xs
xsm
sm
md
lg

ดงผู้ดี ตอนที่ 6 : อธิษฐานเป็นจริง! “พ่อพิทย์” มาหา “ขม” ที่หัวหิน

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ดงผู้ดี ตอนที่ 6 : อธิษฐานเป็นจริง! “พ่อพิทย์” มาหา “ขม” ที่หัวหิน

บทประพันธ์ : บุษยมาส
บทโทรทัศน์ : สามัญ

พระอาทิตย์ดวงเดิมโผล่เหนือท้องทะเล ที่อำเภอหัวหิน

รังสรรค์และบุหงาทั้งสองเดินออกมาจากห้องนอน ตรงไปยังโถงกลางบ้านคุณหญิงทั้งสองกับคุณไพลิน นั่งกินอาหารเช้ากันอยู่
“อรุณสวัสดิ์ครับทุกคน”
“เมื่อคืนดื่มหนักจังนะตารังสรรค์” คุณหญิงว่า
“นี่ผมจะโดนดุแต่เช้าอีกเหรอครับ”
“ไม่ได้ดุ แต่เป็นห่วง”
คุณหญิงนรราชเสวีเอ่ยปากทีเล่นทีจริง เอาใจรังสรรค์เพื่อให้บรรยากาศยามเช้ายังคงความสดใสไว้
“เรามาพักผ่อนกันนี่ ก็ต้องมีดื่มกันบ้างเป็นธรรมดาเนอะ พ่อรังสรรค์”
“จริงครับคุณหญิง”
“ ดื่มบ้างนิดหน่อยใครจะไปว่า หลังๆนี่หนักทุกวันๆ...แถมกินแล้วไม่รู้จักเก็บอีกต่างหาก”
“ตกลงโกรธที่ไม่เก็บใช่มั้ยครับ...บุหงาไปเรียกลูกสาวฉันมาช่วยเก็บขวดเก็บแก้วที”
“ไม่ต้อง ฉันเก็บหมดแล้ว” ไพลินบอก
“งั้นก็ไปเรียกมากินข้าว”
“โอ๊ย...ไม่มีเด็กคนไหนอยู่ให้เรียกแล้ว”
บุหงาถาม“ไปเล่นน้ำกันหมดเลยเหรอคะ”
“ไปเขาสามร้อยยอด ตั้งแต่เช้ามืดแล้ว”
“งั้นไปเอาบรั่นดีขวดใหม่ให้ฉันที”
คุณหญิงรัตนเดชากรถอนใจให้กับลูกชายของเธอ

ทุกคนเดินขึ้นเขามุ่งตรงไปถ้ำพระยานครสภาพโดยรอบเป็นป่าโปร่ง หมู่สรรพสัตว์ส่งเสียงร้องรับกันเป็นทอดๆ
พจนีย์เดินอยู่รั้งท้ายหลังสุดตะโกนเสียงดัง เหงื่อท่วมตัว
“จะรีบไปไหนกัน เดินรอๆกันหน่อยได้มั้ย ไม่งั้นฉันจะกลับละนะ”
รัมภ์บอก“กลับเองนะ ไม่มีใครว่างไปส่ง”
“ใครไม่รอขอให้ตกเขาตาย”
พจนีย์หยุดเดินส่วนคนอื่นๆยังคงเดินต่อไป ไม่มีใครหยุดพจนีย์ตะโกนลั่น
“แช่งขนาดนี้แล้วยังไม่หยุดรออีกเหรอ”
ทุกคนค่อยๆหยุดเดิน แล้วหันมามองพจนีย์
รัมภ์เสนอ“พักห้านาทีแล้วกัน”
“สิบดีกว่า” พจนีย์ต่อรอง
“ห้าพอแล้ว”
“ใครให้พี่รัมภ์เป็นหัวหน้ากลุ่มไม่ทราบ”
“ไม่มีใครเป็นหัวหน้าใคร พี่แค่พูดแทนทุกคนในสิ่งที่เหมาะสมกับส่วนรวม ไม่ใช่พูดแบบเห็นแก่ตัวอย่างพจน์”
พจนีย์เอ่ยปากด้วยเสียงขุ่น สีหน้างอแง
“สิบห้านาที”
รัฐแย้ง“มากไป เอาแค่เหงื่อแห้งแล้วเดินต่อ”
ทุกคนจึงขยับตัวลงนั่ง
รติรสสีหน้าของเธอแสดงอาการเจ็บแปล๊บขึ้นมา โขมพัสตร์กระเถิบเข้าไปถามรติรส
“คุณรสเป็นยังไงคะ”
“ขาพลิกตั้งแต่อยู่ตีนเขาแล้ว”
“งั้นให้พี่รัฐ พี่รัมภ์เดินล่วงหน้าไปก่อน แล้วเราค่อยๆตามไปทีหลังก็ได้มั้งคะ”
โขมพัสตร์ขยับตัวเดินไปหารัฐ
“พี่รัฐคะ คุณรสขาพลิกค่ะ ถ้ารีบเดินต่อ เดี๋ยวบวมขึ้นมาจะแย่นะคะ”
“แต่ถ้าเราไปถึงถ้ำช้า เราก็จะยิ่งกลับบ้านช้า คุณหญิงย่าจะดุเอาได้...เอางี้ รสขี่หลังพี่แล้วกัน”
รติรสตกใจที่รัฐตัดสินใจอย่างนั้น
“ พี่รัฐ !”
“พี่ไหวน่า...สบายมาก...มาจะได้ไม่เสียเวลา...ทุกคน หมดเวลาพักแล้ว”
“อะไร ยังไม่ถึงสองนาทีเลย อย่ามั่วสิ พี่รัฐ” พจนีย์ว่า
รัฐไม่สนใจคำทักท้วงของพจนีย์
“ใครไม่ไปอย่าไป ใครอยากไปก็ตามพี่มา”
รัฐเดินไปก้มหลังให้ใกล้ๆรติรส
“มาขึ้นหลังพี่เลยรส”
รติรสตัดสินใจปีนขึ้นไปบนหลังรัฐ
โขมพัสตร์ยิ้มให้กำลังใจรติรสรัฐขยับตัวออกเดินต่อทุกคนเดินตามรัฐ
พจนีย์ตัดสินใจตะโกนดังลั่น
“โอ๊ย ขาพลิก...พลิกสองข้างเลย เดินไม่ได้แล้ว”
รัมภ์บอก“เดินไม่ได้ก็นั่งรออยู่ตรงนี้แล้วกัน จะได้ไม่เป็นภาระคนอื่น”
“พี่รัมภ์ !”
พจนีย์วิ่งตรงไปกระโดดขึ้นหลังรัมภ์หน้าตาเฉย
“เอาละ ทีนี้จะเดินอีกซักกี่กิโล ก็ตามสบายเลยค่ะ”
โขมพัสตร์ยิ้มให้กำลังใจรัมภ์
ทั้งหมดก็เดินขึ้นเขากันต่อไป

เช้าเดียวกันที่บ้านเทพสถิต โสมวดี ตักข้าวใส่จานให้ผู้เป็นลูกชาย
“หมู่นี้ขยันมากินข้าวกับแม่บ่อยจังนะ มีผลประโยชน์อะไรแอบแฝงรึเปล่า”
“เฮ้อ...หายหน้าไปก็บ่น มาหาบ่อยก็ระแวง...เอายังไงกันแน่นะ คุณแม่คนนี้” ชาติสยามบอก
“จะไปรู้เหรอ พวกเด็กนอกนี่เล่ห์เหลี่ยมเยอะจะตาย...ต้องการอะไรจากแม่ก็บอกมาตรงๆดีกว่า อย่ามาอ้อมค้อม แม่ไม่ชอบ”
“งั้นบอกเลยก็ได้ ผมจะแต่งงาน”
“เฮ่ย” โสมวดีอุทาน
“ตกใจละซี จะห้ามใช่มั้ย...ไม่ยอมให้แต่งใช่มั้ย”
“ใครบอก แม่ดีใจต่างหาก จะได้มีคนมาดูแลเราแทนแม่”
“แต่แม่ต้องเป็นคนเลือกเจ้าสาว ?”
“ถูกต้อง”
“นั่นแหละ คือเหตุผลที่ผมยังไม่แต่งงาน”
“ยังไม่ถูกใจจริงๆก็บอกมาเถอะ...ทำมาเป็นอ้างแม่”
“ถูกใจแล้ว ถูกใจจริงๆเลย แค่กลัวว่าจะยังไม่ถึงเวลาที่เหมาะสม แต่ถ้าทิ้งไว้นานไป ก็กลัวเขาจะทิ้งผม”
“งั้นก็หมั้นไว้ก่อนสิ”
“นั่นแหละที่ผมจะบอกแม่ แม่จะว่าอะไรมั้ย”
“อันนี้ยอมได้ ไม่ห้าม...เพราะหมั้นได้ ก็ถอนหมั้นได้”
“โอเค”
“ กับใคร ? รุ้งกาญจน์?”
“ถูกต้อง”
“แล้วเมื่อไหร่จะพามาเจอแม่ซะที”
“เร็วๆนี้แหละครับ”
“แน่นะ”
“แน่สิ กินข้าวเสร็จ ผมก็จะไปสนามบินแล้ว”
“ไปทำไม”
“ไปรับคู่หมั้นผมน่ะสิ ถามได้”
“แล้วเรื่องนายชวาล พี่ชายเราล่ะ มีข่าวคราวอะไรคืบหน้าบ้างรึเปล่า”
ชาติสยามยิ้มหวานให้แม่ ก่อนเอ่ยปาก
“ไม่บอก”
“โอ๊ว...”
โสมวดี เดินหนีผู้เป็นลูกชายชาติสยามครุ่นคิดถึงการสนทนาเมื่อคืนที่ผ่านมา

เมื่อคืนที่ผ่านมาชาติสยามและชวาลนั่งคุยกันอยู่ในมุมหนึ่งของบ้านท่ามกลางแสงไฟบางๆจากโคมข้างเก้าอี้
“พี่ชวาลดูผอมลงไปนะครับ”
“จริง...พี่วุ่นวายกับภาระหลายอย่าง น้ำหนักลดลงคือหนึ่งในอาการของพี่”
“พี่ป่วย ?”
ชวาลพยักหน้าช้าๆ
“นี่คือเหตุที่พี่ยังกลับมาหาลูกสาวไม่ได้”
“เราคุยเรื่องนี้กันทีหลังเถอะ พี่อยากรู้เรื่องของขมมากกว่า เขาเป็นยังไงบ้างเขาลำบากลำบนแค่ไหน”
ชาติสยามหยิบจดหมายห่อใหญ่ ส่งให้ชวาล
“นี่คือความรู้สึกทั้งหมดของขมที่มีต่อพ่อพิทย์ รุ้งพราย ของเธอ”
ชวาลอึ้ง มองจดหมายห่อนั้น
“ขมเขียนจดหมายถึงพี่ตลอดเวลา โดยเฉพาะเวลาที่มีปัญหา...ถ้าพี่อ่านจดหมายจนหมด พี่จะเข้าใจความรู้สึกของขม มากกว่าฟังจากปากของผม”
ชาติสยามส่งจดหมายอีกหนึ่งฉบับให้ชวาลมันไม่ได้รวมอยู่ในห่อนั้น
“และนี่เป็นฉบับล่าสุดที่เพิ่งเขียนวันนี้”
ชวาลสูดลมหายใจลึกๆ แล้วจึงเอ่ยปาก

“สยามไปนอนพักเถอะ ทิ้งพี่ไว้ตามลำพังกับจดหมายของขมก็พอ”

คนทั้งห้านั่งเรียงเป็นแถวพนมมือไหว้พระพุทธรูปกลางถ้ำ ซ้ายสุดคือ รัฐ ถัดไปเป็นรติรส รัมภ์ พจนีย์ และโขมพัสตร์

พจนีย์พูดในขณะที่ยังพนมมืออยู่เธอพูดเบาๆพอให้โขมพัสตร์ได้ยิน
“ขอบใจนะ”
“พูดกับดิฉันเหรอคะ ?”
“เออ”
“เรื่องอะไร ?”
“ที่เมื่อคืนนี้ ไม่ซัดทอดฉันกับคุณย่า”
โขมพัสตร์พนมมือนิ่งพจนีย์เอ่ยปากต่อ น้ำเสียงแดกดัน และดังขึ้นกว่าเก่า
“แต่มันไม่ได้ทำให้ ฉันหลงรักและเอ็นดูเธอเหมือนพวกนั้นหรอกนะ”
“ไม่มีปัญหาค่ะ เพราะดิฉันไม่คิดจะเปลี่ยนความคิดหรือนิสัยของใคร โดยเฉพาะคุณ แต่อย่าทำให้ดิฉันเดือดร้อนมากกว่านี้นะคะ เพราะวันนึง มันอาจจะเกินขีดความอดทนของดิฉันได้เหมือนกัน”
รติรสและรัฐ กราบพระพุทธรูปหลังอธิษฐานจบ
“รสอธิษฐานอะไร เล่าให้ฟังได้มั้ย”
“ขอให้ผลการเรียนดี รสอยากสอบได้เกียรตินิยม พ่อจะได้ภูมิใจ พี่รัฐล่ะ”
“พี่ขอให้มีสุขภาพแข็งแรง ไม่มีอุบัติเหตุเภทภัย และก็ขอให้คำอธิษฐานของรสจงเป็นจริง”
“พี่รัฐขอให้รส ?”
“ให้คนอื่นๆด้วย ทุกคนเลย”
โขมพัสตร์กราบพระพุทธรูป แล้วเดินเลี่ยงออกมาจากแถว
รติรสเอ่ยปากถามขม
“ขมขออะไรบอกได้มั้ย”
“ทุกครั้งที่ไหว้พระ ขมจะขออยู่เรื่องเดียว”
“ขอให้พ่อกลับมารับเร็วๆ ?” รติรสบอก
“ค่ะ คุณรส”
รัมภ์เพิ่งเงยหน้าจากการกราบพระพุทธรูป
“ทำไมไหว้นานจังรัมภ์ ขออะไรเยอะแยะเหรอ”
“ขอให้พจนีย์เงียบเสียงเร็วๆ ไม่มีสมาธิอธิษฐานเลย”
รติรสถาม“เธออธิษฐานอะไร พจนีย์”
“ลืม...เดี๋ยวนะ”
พจนีย์ยกมือไหว้พระพุทธรูปอีกครั้ง แล้วลูบหัวตัวเองอย่างรวดเร็ว
“เสร็จแล้ว ?” รติรสว่า
“อือม พจน์ขอสั้นๆ...ขอให้ฉันเป็นผู้ชนะ”
พจนีย์เหลือบตาไปจ้องหน้าโขมพัสตร์ แววตาดุดัน เธอมองตอบด้วยสีหน้าปกติ
“แค่นั้นหละ...รีบกลับไปเล่นน้ำทะเลดีกว่า”
“ขากลับเดินลงเขา ห้ามขี่หลังกันอีกแล้วนะ” รัมภ์บอก

ต่อมา ทั้งสี่คนเล่นน้ำทะเลอย่างสนุกสนาน ส่วนโขมพัสตร์ ยืนอยู่หน้าเตาปิ้งย่าง ข้างๆ อิ่มและอาบ
ทั้งสามกำลังช่วยกัน ปิ้งบาร์บีคิว
อีกมุมหนึ่ง ไม่ไกลกันนักคุณหญิงทั้งสองคนจับตามองดูท่วงท่าของโขมพัสตร์อย่างเอ็นดู
“เด็กคนนี้น่ารักอย่างนี้นี่เอง ตารัฐตารัมภ์ถึงได้ติดแจ”
“ขนาดนั้นเลยเหรอคะคุณหญิง”
“ก็วันๆ เอาแต่เล่าเรื่องของขม พูดถึงแต่ชื่อขมให้อิฉันฟัง จนฉันละชักจะหวั่นๆใจซะแล้ว”
“หวั่นใจเรื่องอะไรคะ”
“ก็เรื่องที่เราสองคนตกปากรับคำกันไว้นานแล้วน่ะสิ”
“อ๋อ”
“ฉันยังยืนยันเจตนาที่จะให้สองตระกูลของเรา เกี่ยวดองกันนะคุณหญิง”
“ฉันก็ยินดีที่จะเป็นเช่นนั้น”
“แต่ฉันก็ไม่อยากบังคับจิตใจเด็ก อยากให้เป็นความรักความต้องการของเขาจริงๆ”
“ฉันเข้าใจ และจะไม่ยึดติดกับคำสัญญามากกว่าหัวใจของเด็กๆ”

หน้าเตาปิ้งย่างสาวใช้หยิบของปิ้งย่างลงจากเตาใส่จาน แล้วส่งให้ขม
“ขม ช่วยเอาจานนี้เข้าไปวางบนโต๊ะอาหารในบ้านทีสิ”
“ได้จ้ะ”
“แล้วอย่าหายไปเลยล่ะ มาช่วยกันย่างกุ้งต่อนะ ขม”
“จ้า”
ขมถือจานเดินตรงไปเข้าบ้านคุณหญิงรัตนเดชากร มองตามขมไป
“บางทีฉันก็นึกอยากให้ขมเป็นสายเลือดของฉันจริงๆเหมือนกัน”
“โอ้...ถ้าเป็นอย่างนั้นทุกอย่างก็คงจะลงตัวง่ายขึ้นเยอะเลย”

ขมวางจานของปิ้งย่างจานนั้นบนโต๊ะอาหาร
รังสรรค์เดินเข้ามาจ้องมองโขมพัสตร์ เธอรีบก้มหน้าเดินเลี่ยงออกไปรังสรรค์เรียกไว้
“เดี๋ยว อย่าเพิ่งไป”
โขมพัสตร์หยุด ยืน ก้มหน้านิ่ง
“เกลียดฉันมากเหรอ ถึงไม่ยอมมองหน้าฉัน”
“คุณรังสรรค์ต่างหากที่เกลียดหน้าดิฉัน”
“ใช่...เพราะฉะนั้นไม่ต้องเงยหน้ามาให้ฉันเห็นนะ แค่ยืนฟังเฉยๆเท่านั้นพอ”
โขมพัสตร์ก้มหน้ากัดฟันนิ่ง
“ขอบใจที่เธอไม่ซัดทอดใส่ร้ายพจนีย์ ทั้งๆที่มีโอกาส...แต่ความจริงก็คือความจริง ต่อให้เธอใส่ร้ายลูกสาวฉันยังไง เธอก็ไม่มีวันชนะพจนีย์ได้หรอก...เพราะไม่ว่าเธอจะหลอกล่อให้ใครหลงใหลเธอมากแค่ไหน เธอมันก็คือคนนอก แค่เด็กที่ถูกทิ้งไว้ในบ้านพุทธชาด ไม่ใช่สายเลือดของรัตนเดชากรอย่างลูกสาวฉัน
เธอมันแค่พลเมืองชั้นสองของบ้านนี้เท่านั้น จำเอาไว้”
รังสรรค์เดินออกจากไปทันที
โขมพัสตร์ยืนก้มหน้านิ่ง ตัวสั่น
ชาติสยามเดินเข้ามา
“ขม”
โขมพัสตร์เงยหน้ามองชาติสยามเต็มๆตา
“อาสยาม”
“ทำไมมายืนอยู่ตรงนี้...ร้องไห้ด้วย ใครทำอะไรหลานอาอีก”
โขมพัสตร์เอ่ยปากเสียงสั่นเครือ
“ไม่มีใครทำ ขมโกรธตัวเอง ขมพยายามไม่สนใจสิ่งที่เขาพูด แต่ก็อดไม่ได้ ขมโกรธตัวเองค่ะอา”
โขมพัสตร์โผเข้าไปกอดชาติสยาม สะอื้นไห้
“ไม่เป็นไร อาเข้าใจ...ไม่ดีใจเหรอที่อามาตามคำสัญญา”
“ดีใจค่ะ”
“อาพาคนมาเซอร์ไพรส์ป้าไพลิน”
“ใครเหรอคะ”
“ภาสธร ลูกชายป้าไพลิน เป็นเพื่อนสนิทกับอา เพิ่งกลับมาจากอังกฤษ อาไปรับมันเมื่อเช้านี้ โดยที่ป้าไพลินไม่รู้”
“คุณป้าต้องดีใจมากแน่ๆ”
“แล้วอาก็มีเซอร์ไพรส์สำหรับขมด้วยนะ”
“อะไรเหรอคะ ?”
“มีผู้หญิงคนนึง เขาอยากเจอขมมาก...และเขาจะรักและเอ็นดูขม ไม่แพ้อาสยามคนนี้”
รุ้งกาญจน์เดินเข้ามา
“อารุ้งกาญจน์ คนรักของอาจ้ะ”
ขมมองรุ้งกาญจน์ อย่างตื่นตะลึงในความงามของเธอ
“อารุ้งกาญจน์”
“เรียกอาว่า อารุ้งก็ได้จ้ะ”
“อารุ้ง...สวัสดีค่ะ”
โขมพัสตร์ยกมือไหว้รุ้งกาญจน์
“สยามพูดถึงขมให้อาฟังตลอดเวลา จนอาอยากจะเห็นหน้าขมเหลือเกินว่าจะน่ารักแค่ไหน”
“กะโปโลมากกว่าค่ะ”
“ใครว่า...สวย น่ารักกว่าที่สยามคุยไว้เยอะเลย”
“โชคดีของขมจัง ขมมีอาที่น่ารักตั้งสองคนแน่ะ”
ทุกคนยิ้ม สดชื่น มีชีวิตชีวา

บ่ายต่อเนื่อง ภาสธรพงษ์รพีก้มลงไหว้คุณหญิงนรราชเสวีอย่างสุภาพเขานั่งอยู่ท่ามกลางวงล้อมของทุกคน
“ไม่ได้เห็นหน้าเห็นตากันกี่ปีมาแล้วเนี่ยะ ภาสธร”
“หกปีครับคุณหญิง”
“นี่คงจะเป็นของขวัญที่มีค่าที่สุดสำหรับวันเกิดไพลินปีนี้สินะ”
“ตื่นเต้นจะช็อกตายละไม่ว่า นึกจะมาก็มาไม่บอกไม่กล่าวไม่ส่งข่าวกันก่อนเลย”
“ที่จริงตั้งใจจะมาให้ตรงวันเกิดพรุ่งนี้พอดี แต่ติดขัดเรื่องตั๋วนิดหน่อย คุณย่าเลยบอกให้มาก่อนวันนึงก็ได้”
“อ้าว นี่คุณแม่รู้ล่วงหน้าแล้วเหรอ”
“เรารู้กันทุกคน ยกเว้นเธอนั่นแหละ”
“อะไรกันเนี่ย เล่นอะไรกันอย่างนี้”
“เขาเรียกว่า เซอร์ไพรส์ จ้ะ” คุณหญิงนรราชเสวีว่า
“อย่ามาเซอร์ไพรส์กันอย่างนี้บ่อยๆนะ ไม่เอาด้วยหรอก”

“ไหนๆก็ไหนๆ ผมขอให้เครดิตเพื่อนรักอย่างเป็นทางการซะหน่อย เขาเป็นธุระเรื่องนี้ให้ผม ชาติสยาม สุรบดินทร์ และแฟนสาวของเขาที่จะร่วมหอลงโรงเร็วๆนี้...คุณรุ้งกาญจน์ กิจจานุรักษ์”

กลุ่มลูกหลานทั้งห้าทุกคนจ้องมองท่วงท่าที่งดงามของรุ้งกาญจน์

รัมภ์บอก“สวยจัง”
“สมน้ำหน้านังขม ตกกระป๋องแน่คราวนี้” พจนีย์ว่า
คุณหญิงนรราชเสวีเอ่ยปากอย่างอารมณ์ดี
“จะแต่งงานกันแล้วเหรอ”
“ยังหรอกค่ะ รุ้งขอเที่ยวให้ทั่วไทยก่อน อยู่เมืองนอกมานาน เดี๋ยวจะไม่รู้จักบ้านเกิดเมืองนอนตัวเอง”
“เราคงจะหมั้นกันไว้ก่อนน่ะครับ”
“ก็ดีนะ”
“ช่วงนี้ ชาติสยามเขาจะได้มีเวลา ปกป้อง ดูแลหลานสาวเขาด้วยไงคะ”
“หลานผมอยู่ในความดูแลของคุณหญิงกับพี่ไพลิน ไม่มีอะไรน่าห่วง”
ชาติสยามชำเลืองหางตามายังรังสรรค์
ทั้งสองจ้องมองที่ชาติสยามและรุ้งกาญจน์ สายตาขุ่นมัว
“มันพูดจาแดกดันฉันชัดๆ”
“เดี๋ยวน้องเอาคืนให้เองค่ะ”

ต่อมา รุ้งกาญจน์ยืนมองดูความสวยงามของท้องทะเลบุหงาเดินเข้ามายืนข้างๆ
“คุณรุ้งกาญจน์คะ”
“คะ”
“ดิฉันบุหงาค่ะ”
“ทราบค่ะ”
“ขอคุยด้วยนิดนึงนะคะ”
“ค่ะ”
“จะรังเกียจมั้ยค่ะ ถ้าดิฉันจะถามเรื่องส่วนตัวของคุณรุ้งกาญจน์”
“ส่วนตัวแค่ไหนล่ะคะ”
“คุณรุ้งกาญจน์คบหากับคุณชาติสยามมานานแค่ไหนแล้วคะ”
“อันนี้ส่วนตัวมากเลยนะคะ...แต่ดิฉันยินดีเปิดเผยค่ะ...สิบปีแล้ว ตั้งแต่เรายังเรียน ไฮสคูล”
“งั้นคุณก็คงจะเชื่อใจคุณชาติสยามได้ทุกเรื่องใช่มั้ยคะ”
รุ้งกาญจน์ หันไปจ้องตาบุหงานิ่ง
“คุณต้องการอะไรเหรอคะคุณบุหงา”
“ฉันแค่อยากจะเตือนค่ะ ถึงคุณสองคนจะไว้ใจกัน แต่ก็ต้องระวังเด็กที่ชื่อขมไว้ให้ดี”
“ทำไมคะ”
“คุณก็รู้นี่คะว่าเขาไม่ใช่อาใช่หลานกันแท้ๆ...วันนึงนังขมอาจจะเป็นหอกข้างแคร่ของคุณก็ได้นะคะ ใครจะรู้”
รุ้งกาญจน์ยิ้ม เอ่ยปากด้วยเสียงรื่นหู
“ดิฉันไม่ค่อยถนัดสำนวนภาษาไทยนัก แต่จากน้ำเสียงของคุณบุหงาก็พอจะเข้าใจได้ว่าหอกข้างแคร่หมายถึงอะไร...ตัวอย่างที่เห็นก็คงเป็นคุณกับพี่สาวของคุณใช่มั้ยคะ เพียงแต่ดิฉันไม่แน่ใจ ว่าใครเป็นหอกข้างแคร่ของใคร”
บุหงาหน้าชาขึ้นมาทันที
“คุณรุ้งกาญจน์”
“เรื่องราวของครอบครัวคุณถูกพูดถึงในสังคมข้าราชการมากน่ะค่ะ ก็เลยถึงหูคุณป้าดิฉัน และถึงหูดิฉันจนได้ในที่สุด...แหม เป็นคนดังคงทำตัวลำบากน่าดูนะคะ”
บุหงาพูดอะไรไม่ออก
“อ้อ ไม่ต้องห่วงเรื่องหลานสาวแท้หรือเทียมคนนี้หรอกนะคะ เพราะดิฉันกับชาติสยาม เราคุยกันทุกเรื่อง และดิฉันรู้สถานะของขมดี ว่ามีใครในบ้านพุทธชาดคิดอย่างไรกับเธอบ้าง...ถ้าไม่มีอะไรเพิ่มเติมกว่านี้ ดิฉันต้องขอตัวนะคะ ดิฉันไม่ถนัดเรื่องการสนทนาที่หาสาระไม่ได้”
รุ้งกาญจน์เดินแยกออกไปบุหงาได้แต่ยืนนิ่ง หน้าชาอยู่ตรงนั้น

คืนเดียวกัน ที่บ้านพักชาติสยาม ชวาลนั่งอ่านจดหมายโขมพัสตร์ น้ำตาคลอ
เสียงโขมพัสตร์ดังออกมาจากจดหมายในมือของเขา
“พ่อพิทย์ลืมขมไปแล้วหรือยังคะ...ขมถามอย่างนี้ทุกคืน ถามแต่กับตัวเองเพราะไม่มีใครให้คำตอบได้...มันนานมากเลยนะคะ นานจนใครๆตั้งสมมติฐานว่า พ่อคงลืมขมไปแล้ว...ไม่จริงใช่มั้ยคะ...ขมยังเป็นแก้วตาดวงใจ ที่พ่อพิทย์รักและห่วงใยอยู่เสมอใช่ไหมคะ”

ณ บ้านพักหัวหินวงสนทนาของกลุ่มลูกหลานทั้งห้า
รติรสเอ่ยปากกับทุกคน

“ พรุ่งนี้เช้า ระหว่างที่พวกผู้ใหญ่ไปตลาด เราจะตกแต่งสถานที่ให้สวยงามเพื่อเป็นของขวัญวันเกิดอีกชิ้นนึงของคุณป้าไพลิน...ใครเอาด้วยบ้าง”
ทุกคนยกมือขึ้นพร้อมๆกัน รวมทั้งโขมพัสตร์
“เราน่าจะจำกัดเฉพาะคนที่เป็นลูกหลาน เป็นญาติแท้ๆไม่ดีกว่าเหรอ”
พจนีย์เหยียดสายตาเธอไปยังโขมพัสตร์

ชวาลน้ำตาไหลพราก อันเนื่องมาจากข้อความในจดหมายของลูกสาว
“ขมเป็นส่วนเกินของบ้านนี้จริงๆ...ถ้าไม่ได้อาชาติสยาม ขมก็คงไม่รู้จะทนอยู่ได้ยังไง...พ่อกลับมาหาขมเร็วๆได้มั้ยคะ...ได้โปรดเถิด ขมคิดถึงพ่อใจจะขาดอยู่แล้วค่ะ”

บริเวณสนามหน้าบ้านหัวหิน สายรุ้งหลายเส้นถูกโยงจากจุดสูงสุดกึ่งกลางหน้าบ้านกระจายออกไปเป็นแฉกๆ เหมือนเป็นกระโจมสายรุ้ง
รติรสถือปลายสายรุ้งคู่หนึ่ง และเป็นผู้กำกับการตกแต่งครั้งนี้
รัฐและรัมภ์ ถือปลายสายรุ้งคนละคู่ และลากโยงไปที่โคนเสาและราวระเบียงที่อยู่ห่างกัน
รติรสถือปลายสายรุ้งอีกคู่หนึ่ง กลางสนาม โขมพัสตร์ยืนไม่ห่างจากรติรส พร้อมเป็นลูกมือคอยช่วยเหลือ
“ทุกคนจับปลายไว้ก่อนนะ เดี๋ยวเราจะเอาถุงลูกบอลล์ขึ้นไปผูกไว้ที่ยอดสูงตรงกลางสนาม”
พจนีย์ถาม“ใครจะขึ้นไปผูกล่ะ”
รติรสบอก“ให้อิ่ม ก็ได้ แต่พวกเราต้องคอยเล็งให้ถุงลูกบอลได้กึ่งกลางกับสายรุ้ง แล้วค่อย
ผูกปลายสาย พอป้าไพลินมา เราก็กระตุกเชือกให้ลูกบอลร่วงลงมารอบๆตัวป้าไง โอเคนะ”
ทุกคนพยักหน้ารับรู้และเข้าใจ
รติรสบอก“ขมไปตามอิ่มมาทีสิ”
“อิ่มไปดูต้นทางอยู่ค่ะ ดิฉันปีนขึ้นไปผูกให้ก็ได้”
“แน่นะ”
ขมหยิบถุงลูกบอลแล้วเดินไปปีนบันไดอย่างทะมัดทะแมง
“ขม ค่อยๆก้าวช้าๆนะ”
รัมภ์บอก“น่าจะมีใครคอยจับบันไดให้ขมหน่อย”
พจนีย์ปล่อยปลายสายรุ้งของตัวเอง แล้วเอ่ยปาก
“พจน์เอง พจน์จับให้”
โขมพัสตร์หันไปมองพจนีย์
พจนีย์เดินไปจับบันได แล้วเอ่ยปากหน้ายิ้ม
“กลัวเหรอ”
โขมพัสตร์นิ่ง ไม่ตอบ
“กลัวความสูง หรือว่ากลัวฉัน” พจนีย์ถาม
“ไม่กลัวทั้งสองอย่าง”
“ดี งั้นก็รีบปีนขึ้นไปเลย ฉันจะตั้งใจจับบันไดให้อย่างสุดความสามารถ”
โขมพัสตร์รีบก้าวขึ้นบันไดไปทีละขั้น ๆพจนีย์ตะโกนเสียงดัง
“ทุกคนดู...พจน์จับบันไดไว้แน่นแค่ไหน เห็นแล้วใช่มั้ย...ถ้าขมตกลงมา ก็เป็นความซวยของเขาเอง ไม่เกี่ยวกับพจน์นะ”
“แล้วจะพูดจาให้เป็นลางทำไม” รัมภ์ว่า
“ถือเป็นการพูดแก้เคล็ดไว้ก่อนไง...เนอะขมเนอะ” พจนีย์ว่า

ขมปีนขึ้นไปถึงยอดสูงสุดของหลังคา
“ตรงนี้ได้มั้ยคะ ตรงกลางรึยัง”
“พี่รัฐ พี่รัมภ์ช่วยเล็งจากด้านของพี่หน่อยค่ะ”
รัฐและรัมภ์ข่วยกันเล็งแนวสายรุ้งของตน
“ของพี่โอเคแล้วครับ” รัฐบอก
“พี่ก็โอเค”
รติรสบอก“ทุกคนผูกเลยค่ะ”
“พี่รสผูกของพจน์ให้ด้วยนะ”
โขมพัสตร์เริ่มผูกถุงลูกบอล
พจนีย์มองขม อะไรบางอย่างปรากฏในแววตาของเธอ
อิ่มวิ่งเข้ามาตะโกนลั่น
“มาแล้วค่ะ มากันแล้ว”
“ทุกคนเร่งมือหน่อยเร็ว...ขมผูกได้มั้ย”
“ได้ค่ะ แป๊ปเดียว”
รัฐบอก“พี่ไปขวางคุณป้าไว้ให้ก่อนแล้วกัน รัมภ์มาด้วยเร็ว”
รัฐและรัมภ์รีบวิ่งไปตรงทางเดินเข้าบ้าน
“ขมผูกเสร็จแล้วบอกพี่ด้วยนะพจน์”
รติรสวิ่งตามรัฐและรัมภ์ไปอีกคน

พจนีย์มองจ้องเขม็งที่โขมพัสตร์ เท้าขมวางอยู่บนบันไดอย่างหมิ่นเหม่

บริเวณทางเดินเข้าบ้านพัก ชาติสยามเดินเข้ามากับรุ้งกาญจน์ รัฐ รัมภ์ และ รติรส ก้าวเข้ามาขวางหน้าไว้

รุ้งกาญจน์ถาม
“ทำอะไรกันอยู่เหรอจ๊ะ หน้าตาตื่นเต้นเชียว”
ทั้งสามคนต่างอึกอัก ตอบไม่ถูก
ชาติสยามยิ้ม
“ใจเย็นๆ คุณป้าไพลินยังไม่มา ยังมีเวลาครับ”
“โธ่ !” รติรสว่า

พจนีย์ตัดสินใจอะไรบางอย่างแล้วจึงตะโกนถามโขมพัสตร์
“เสร็จรึยัง”
“เกือบแล้วค่ะ”
“เสร็จตอนนี้เลยดีกว่า”
พจนีย์กระชากบันไดอย่างแรง
ร่างของโขมพัสตร์ร่วงหล่น กลิ้งไปกับพื้น เสียงกรีดร้องดังลั่น

ทุกคนหันไปมองด้วยสีหน้าตกใจ
ทุกคนร้อง“ขม”
ชาติสยามวิ่งเข้าไปถึงตัวขมเป็นคนแรกท่ามกลางความตกตะลึงของทุกคน
ชาติสยามค่อยๆประคองร่างหลานสาวอย่างระมัดระวัง ปรากฏรอยเลือดที่ศีรษะของโขมพัสตร์
“ขม...ขม”
ขมหมดสติ ไปในอ้อมแขนของชาติสยาม
พจนีย์ทั้งตกใจและสะใจ ปะปนกันไปในแววตาของเธอ

ต่อมา ในห้องทำงานหมอ ณ สถานพยาบาล อ.หัวหินหมอถือฟิล์มเอ็กซเรย์เดินเข้าตรงไปหาชาติสยามที่นั่งรออยู่
“คุณชาติสยามใช่มั้ยครับ”
“ครับ ผมเป็นอาของขม”
“ผลเอ็กซเรย์ปรากฏว่า กระดูกหน้าแข้งด้านขวาของคนไข้มีรอยร้าว เราคงต้องใส่เฝือกเพื่อป้องกันการกระทบกระเทือน ซักสองเดือนกระดูกก็คงจะติดดี นอกนั้นก็ไม่มีอะไรครับ”
“แล้วเลือดที่ศีรษะล่ะครับ”
“เป็นบาดแผลภายนอกครับ ไม่มีอะไรต้องกังวล”
“หลานผมต้องนอนที่นี่มั้ยครับ”
“ใช้เวลาทำเฝือกซักสองสามชั่วโมง เสร็จแล้วก็กลับบ้านได้ครับ...เดี๋ยวผมไปสั่งเจ้าหน้าที่เตรียมอุปกรณ์ก่อนนะครับ”
หมอเดินออกไปจากห้อง
ชาติสยามถอนใจ โล่งอก

บริเวณเตียงคนไข้ ในสถานพยาบาลเดิม โขมพัสตร์นอนซึมอยู่บนเตียงคนไข้โดยมี รัฐ รัมภ์ รติรส และรุ้งกาญจน์ ยืมล้อมรอบเตียงด้วยความเป็นห่วง
ชาติสยามเปิดประตูก้าวเข้ามา โขมพัสตร์ชันตัวขึ้นมอง
“ตื่นแล้วเหรอคนป่วย”
“ขมไม่ได้ป่วยค่ะ แค่ตกบันได”
“แล้วก็สลบไป” รติรสต่อ
“แป๊ปเดียว”
“ก็สลบใช่มั้ยล่ะ”
“หมอบอกว่าเป็นลมค่ะ ไม่ถึงกับสลบ” รุ้งกาญจน์บอก
รัมภ์กระเซ้า“ว้า อ่อนแอนี่หว่า”
“ก็มันหวิวๆตอนลอยอยู่กลางอากาศนี่”
“เรากลับไปกระโดดกันบ้างดีมั้ย จะได้เข้าใจความรู้สึกของขม”
ชาติสยามบอก“อย่าเลย เดี๋ยวต้องเข้าเฝือกแบบขม”
รัฐโพล่ง“เข้าเฝือก”
“สองเดือน”
“ทีนี้ละขาใหญ่ตัวจริงมาแล้ว” รัมภ์แซว
ชาติสยามหันไปพูดกับรติรส รัฐ รัมภ์
“ทุกคนกลับบ้านได้แล้วหละ ฝากบอกคุณหญิงกับคุณไพลินด้วยว่าไม่ต้องห่วง”
“รุ้งจัดการให้แล้วกัน”
โขมพัสตร์เอ่ยปากกับรติรส
“ขมขอโทษนะคะคุณรส ที่ทำให้แผนเซอร์ไพรส์ของคุณรสล้มเหลว หมดสนุกกันเลย”
“ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ เรื่องขมตกบันไดก็สนุก ตื่นเต้นไม่แพ้กันหรอก”
“และถ้าคุณหญิงย่ารู้ว่าใครเป็นต้นเหตุ จะยิ่งเร้าใจขึ้นไปใหญ่” รัฐว่า
โขมพัสตร์ถอนใจ นึกถึงความวุ่นวายที่อาจจะเกิดขึ้นได้อีก

บ่ายวันเดียวกัน บ้านพักหัวหินพจนีย์ หน้าตาขึงขัง
“ทำไมต้องมาโทษพจน์อย่างนี้ด้วย พจน์ไม่เกี่ยวซักหน่อย”
พจน์ยืนประจันหน้ากับ คุณหญิงรัตนเดชากร
ไพลิน ภาสธร รังสรรค์ บุหงา กระจายกันอยู่รอบๆพจนีย์
“นังอิ่มบอกว่า เราเป็นคนจับบันได”
“ก็ใช่ค่ะ พจน์จับอย่างดี แต่ขมน่ะแหละ ซุ่มซ่าม ยืนไม่ดีเอง จะให้พจน์ทำยังไงต้องวิ่งไปรับมันด้วยมั้ย พจน์ผิดเพราะไม่ไปรับมันอย่างนั้นใช่มั้ยคะ”
“ฉันไม่ได้พูดอย่างนั้น”
“คุณย่าไม่เห็น ก็คิดไม่ดีกับพจน์แล้ว...เพราะพจน์มันไม่ใช่หลานรักของย่าเหมือนอย่างพี่รส พี่รสทำอะไรก็ถูกทุกอย่าง พจน์ไม่ได้ทำอะไรยังผิดได้เลยย่าลำเอียง”
“อย่าพูดอย่างนี้นะ...ฉันรักทุกคนในตระกูลนี้เท่าๆกัน ไม่ว่าลูกหรือหลาน การที่ฉันจ้ำจี้จ้ำไชใคร หรือดุใคร ไม่ได้แปลว่าไม่รัก แต่แปลว่าคนๆนั้นได้ทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง...เพราะฉะนั้นถ้าเราไม่ได้ทำอะไรผิด ก็ไม่เห็นจะต้องร้อนตัว”
พจนีย์ลดความก้าวร้าวลงเธอเอ่ยปากเป็นเสียงบ่น
“ตกบันไดแค่นี้ไม่ถึงตายซักหน่อย ไม่เห็นจะต้องทำให้เป็นเรื่องใหญ่เลย”
รติรส รัฐ รัมภ์ และรุ้งกาญจน์ เดินเข้ามา
“ไม่ตายแต่ก็เข้าเฝือก สองเดือน เธอคิดว่าเรื่องเล็กมั้ยล่ะ”
ไพลินตกใจถาม“ขาหักเหรอ ?”
“กระดูกหน้าแข้งร้าวค่ะ อย่างอื่นไม่มีอะไร ชาติสยามอยู่เป็นเพื่อนขมที่โรงพยาบาล”
“เฮ้อ ฟาดเคราะห์ไปที”
พจนีย์บ่น“เรื่องแค่นี้...ขี้ผงจะตาย !”
คุณหญิงเดินเข้าไปประชิดตัวพจนีย์ แล้วจึงเอ่ยปาก
“งั้นเล่าสาเหตุของเรื่องขี้ผงแค่นี้ ให้ฉันฟังหน่อยซิ ใครรู้เห็นอะไรแค่ไหน บอกมาให้หมด”

รัฐ รัมภ์ รติรส ทั้งสามมองจ้องไปที่พจนีย์ต่างครุ่นคิดว่าควรจะพูดอะไรออกไปหรือไม่พจนีย์ปิดปากเงียบรุ้งกาญจน์ตัดสินใจเอ่ยปาก
“ขมบอกว่า เธอก้าวพลาดเองค่ะ ก็เลยลื่นหล่นลงมา”
รังสรรค์ ถอนหายใจ โล่งอก
“จบการพิจารณาคดีแล้วใช่มั้ยครับ...จากนี้ไปขอความกรุณา อย่าได้มีใครคิดร้ายกับลูกสาวผมอีก เพราะผมอาจจะคิดร้ายกลับไปบ้าง และมันคงไม่ใช่เรื่องดีในครอบครัวของเรา”
ไพลินถาม“แกขู่ใคร ตารังสรรค์”
“ผมไม่ได้ขู่ใคร ผมหงุดหงิด”
รังสรรค์เดินออกไปทันทีไพลินมองตามด้วยความผิดหวังในท่าทีของน้องชาย

ที่ระเบียงบ้านพักหัวหิน ภาสธร ส่งน้ำดื่มให้ไพลิน แล้วขยับตัวลงนั่งข้างๆเธอ
“แม่กับน้ารังสรรค์ ดูจะไม่ค่อยถูกชะตากันนะครับ”
“น้าเรามันก่อเรื่องไว้เยอะน่ะสิ”
“เรื่องเด็กที่ชื่อ”ขม”ด้วยรึเปล่า”
“นั่นคือเรื่องล่าสุด เกลียดเขาถึงขนาดทุบตีเขา แต่ก็ดันไปรับปากเลี้ยงดูเขาไม่รู้อะไรของมัน”
“ชอบกลแฮะ !”
“แต่แม่รู้สึกว่าเด็กขมไม่ใช่คนนอกสำหรับเรา ขมมีอะไรหลายๆอย่างที่ทำให้แม่กับคุณยายนึกถึง คนเก่า คนแก่ ของบ้านเราคนนึง ที่ผูกพันกับพวกเราไม่น้อย”
“ใครเหรอครับ ?”
“บอกไปลูกก็ไม่รู้จักหรอก ตอนนั้นลูกยังเด็กมาก แล้วก็ไปเรียนเมืองนอกด้วย”
“แต่ก็พอจะได้ยินคนพูดๆอยู่เหมือนกันนะครับ แต่ก็ไม่รู้ว่าเรื่องไหนจริง เรื่องไหนไม่จริง”
ไพลินตัดสินใจเอ่ยปากถามลูกชาย
“ลูกรู้จัก คนชื่อ พิทย์ รุ้งพราย มั้ยล่ะ”
“ชื่อยังกะนักร้อง”
“เคยได้ยินเหรอ ?”
“ไม่เคยครับ เขาเป็นใครเหรอ”
“พี่ชายของนายชาติสยามเพื่อนเราน่ะแหละ”
“เฮ่ย...มันแอบไปมีพี่เป็นนักร้องตั้งแต่เมื่อไหร่”
“ไม่ใช่นักร้อง แต่เป็นพ่อของขม”
“อ้าว เหรอครับ”

“ลองสืบประวัติจากเพื่อนเราให้แม่หน่อยสิ แม่อยากรู้”

มุมหนึ่ง ในบ้านพักหัวหิน รุ้งกาญจน์ยืนปอกผลไม้จำพวก ส้มโอ สัปปะรด

บุหงาเดินเข้ามายืนข้างๆเธอ
“คุณรุ้งกาญจน์คงเหงาสินะคะ ถึงต้องมายืนปอกผลไม้อย่างนี้”
“เปล่าค่ะ ฉันทำเพราะชอบ ไม่ได้ทำเพราะเหงา”
“แต่มันก็น่าน้อยใจนะคะ มาถึงวันแรกคุณชาติสยามก็มัวแต่วุ่นวายกับหลานสาว จนไม่มีเวลาให้คุณรุ้งกาญจน์เลย ถ้าเป็นดิฉันละก้อ ไม่ยอมแน่ๆ”
“ดิฉันไม่ใช่คนใจแคบแบบนั้นค่ะ หนูขมแกน่ารัก น่าสงสาร ใครมีหลานน่ารักอย่างนี้ก็ต้องเอาใจใส่เป็นธรรมดา”
“ถ้าเป็นหลานแท้ๆ สายเลือดเดียวกัน ก็ว่าไปอย่าง แต่นี่เป็นแค่หลานห่างๆห่วงกันขนาดนี้มันก็น่าคิดอยู่นะคะ”
“มีแต่คนจิตอกุศลเท่านั้นละค่ะ ที่จะคิดเรื่องสกปรกแบบนั้นได้”
บุหงาหน้าตึง อึ้งไป
“คุณบุหงาคงไม่ใช่คนแบบนั้น ใช่มั้ยคะ”
บุหงาฝืนยิ้ม เดินออกไปรุ้งกาญจน์มองตาม รู้ทันอยู่ในที

ค่ำ วันเดิมผ่านบรรยากาศ สีสันของงานเลี้ยงวันเกิด
คุณหญิงทั้งสองและไพลินนั่งคุยกัน หน้าตาเบิกบาน
“ตกแต่งบรรยากาศซะสวยงามเชียว ความคิดหนูรติรสใช่มั้ยเนี่ย” คุณหญิงนรราชเสวีถาม
“ค่ะ เขาตั้งใจจะเซอร์ไพรส์แม่ไพลิน”
“แต่กลับมีเรื่องเซอร์ไพรส์กว่า ต้องขอโทษคุณหญิงด้วยนะคะ มาหัวหินคราวนี้ต้องมารับรู้เรื่องวุ่นวายเต็มไปหมด” ไพลินว่า
“ไม่เป็นไร...ทำใจสบายๆไว้ เพราะอุบัติเหตุ มันเลือกเกิดไม่ได้....แล้วจะเป่าเค้กกันตอนไหน มีฤกษ์ผานาทีมั้ย”
“รอขมกลับมาให้พร้อมๆกันก่อน เอาสะดวกเข้าว่าค่ะ”

อีกมุมหนึ่ง รติรส รัฐ รัมภ์เดินไปยืนข้างๆพจนีย์ที่นั่งเหม่ออยู่ริมหาดพจนีย์หันไปมองพวกเขาทั้งสาม
“จะมารุมอะไรพจน์อีกล่ะ จะใส่ความอะไรกันอีก”
“พวกเราไม่เคยคิดร้ายกับเธอเลยนะพจนีย์ รติรสก็พี่สาวเธอ พี่กับรัมภ์ก็เป็นเหมือนพี่ชาย เหมือนเพื่อนเหมือนญาติ”
“แล้วทำหน้าเข้มกันแบบนี้เพื่ออะไร จะสั่งสอนอะไรพจน์เหรอ”
“แค่จะบอกให้รู้ว่า ความลับไม่มีในโลก เราสามคนรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นที่บันได แต่ก็ไม่มากเท่าที่ตัวเธอรู้หรอกนะพจนีย์ เธอย่อมรู้ตัวเองดีว่าทำอะไรลงไป” รัฐบอก
“แล้วไง”
“พวกเราไม่อยากให้เกิดเรื่องแบบนี้อีก เพราะมันจะกระทบกระเทือนความรู้สึกดีๆระหว่างเรา ซึ่งไม่มีใครต้องการให้เป็นอย่างนั้น”
รัฐ รัมภ์ และรติรส เดินออกไปเงียบๆ
พจนีย์นั่งครุ่นคิดเคร่งเครียดบุหงาขยับตัวลงนั่งเข้าข้างๆ
“ถ้าน้าบุหงาจะดุพจน์อีกคน ขอเป็นวันหลังได้มั้ยคะ”
“เปล่า น้าอยากจะให้คำแนะนำบางอย่างกับพจน์”
พจนีย์หันไปมองน้าสาวด้วยความสนใจ
“ไหนๆเราก็เกลียดคนๆเดียวกันแล้ว มีอะไรดีๆก็น่าจะแนะนำกัน”
“แนะนำว่าไงคะ”
“ทำอะไรอย่าให้ใครจับได้ ถ้าถูกจับได้ก็อย่ายอมรับ แต่ที่สำคัญที่ต้องจำไว้คือคำขอโทษสามารถพลิกสถานการณ์ร้ายให้กลายเป็นดีได้เสมอ”
พจนีย์ค่อยๆคิดตามเธอมองไปยังสนามหน้าบ้านพัก

พจนีย์เห็นชาติสยามประคองโขมพัสตร์ ในสภาพใส่เฝือก เดินเข้ามาในงานผู้คนต่างเข้าไปรุมล้อม เอาอกเอาใจ
“ตอนนี้เลยเหรอคะ”
“ยัง...ต้องตอนที่เป็นไฮไลท์ของงานจริงๆ เพื่อดึงความสนใจของทุกคนมาอยู่ที่เราคนเดียวเท่านั้น...นั่นแหละ เคล็ดลับของการเป็นผู้ชนะ”

เวลากลางคืนกลางสนามหน้าบ้านพักทุกคนล้อมวงรอบไพลิน และอ้าปากร้องเพลง happy birthdayก่อนถึงประโยคสุดท้ายของเพลง ภาสธรจึงเอ่ยปากพูดขึ้น
“ผมในฐานะตัวแทนของลูกหลานทุกคน ขออวยพรให้คุณแม่ไพลินมีแต่ความสุข ทั้งกายและใจ ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ มีสตางค์ให้ลูกหลานใช้เยอะๆนะครับ”
ทุกคนหัวเราะกันตามสมควร
“งั้นแม่ก็ขอให้พรที่ลูกอวยมาให้ สะท้อนกลับไปยังทุกๆคน ให้ลูกหลานทุกคนแข็งแรง เจริญก้าวหน้า ประสบความสำเร็จสมหวังทุกประการ แม้กับผู้ที่ไม่ใช่ลูกหลานแท้ๆ แต่เป็นคนรักใคร่ชอบพอ แม่ก็ขอให้พรนี้มีผลไปถึงเขาด้วย ทั้งหนูรุ้งกาญจน์ ชาติสยาม และ ขม”
รอยยิ้มผุดขึ้นบนใบหน้าทุกคนเว้นก็แต่เพียงรังสรรค์ และพจนีย์ ที่มีความรู้สึกกับโขมพัสตร์ต่างออกไป

ไพลินกระเถิบตัวเข้าใกล้เค้ก เตรียมตัวจะเป่าเทียน
พจนีย์แทรกตัวเข้ามากลางวง
“เดี๋ยวค่ะ พจน์ขอพูดอะไรหน่อยนะคะ”
“เป่าเค้กก่อนค่อยพูดได้มั้ย”
“ไม่เป็นไร พูดตอนนี้น่ะแหละ”
“พจน์ขอกล่าวคำว่า ขอโทษ กับคุณป้า คุณย่า และทุกๆคน ที่บางทีพจน์อาจจะมีท่าทีก้าวร้าว ขึ้นเสียงกับผู้ใหญ่ หรือทำอะไรไม่ดีลงไปโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์พจน์ขอโทษ”
รัมภ์บอก“เทียนจะละลายแล้ว”
พจนีย์ และพจน์ขออาศัยวันดีวันนี้ พูดอะไรบางอย่างกับขมด้วยทุกคนมองไปที่ขม
โขมพัสตร์มองหน้าพจนีย์
“ช่วยไม่ได้ที่เราสองคนไม่ถูกชะตากันตั้งแต่แรกเห็น เพราะฉะนั้นอะไรก็ตามที่ดูเหมือนว่าฉันจงใจแกล้งเธอ ขอให้รู้ด้วยว่า ฉันไม่ได้ตั้งใจ และฉันยอมขอโทษเธอตรงนี้ก็แล้วกัน”
โขมพัสตร์รับคำขอโทษด้วยท่าทีนิ่ง
ทุกคนในงาน ปลาบปลื้ม แต่ไม่ถึงกับมั่นใจในท่าทีของพจนีย์นัก
บุหงายิ้มประทับใจลีลาของหลานสาว
รังสรรค์ ไม่เห็นถึงความจำเป็นที่ต้องขอโทษโขมพัสตร์
คุณหญิงรัตนเดชากรบอก“บรรยากาศดีที่สุดแล้ว เป่าเค้กเลยเถอะ”
ไพลินก้มหน้าเป่าเทียนบนเค้ก
ทุกคนร้องเพลง happy birthday ท่อนสุดท้าย ท่ามกลางความสุขสดชื่น

กลางดึกต่อมา ชาติสยาม และรุ้งกาญจน์เดินโอบไหล่กันไปตามแนวชายหาด ท่ามกลางแสงจันทร์ลออตา
“ผมอยากให้โลกหยุดหมุนอยู่แค่วันนี้จังเลย”
“ทำไมล่ะคะ”
“รุ้งจะได้อยู่กับผมตลอดไป ไม่หนีผมไปไหนอีก”
“ใครหนีใครกันแน่ ?”
“รุ้งน่ะสิ หนีผม”
“สยามต่างหาก...หนีรุ้งตลอด เรียนก็เรียนจบก่อน จบแล้วก็หนีกลับเมืองไทยไม่รอรุ้งเลย”
“ก็มารอรุ้งอยู่ที่นี่ไง แต่รุ้งน่ะแหละมาแค่คืนเดียวก็จะหนีไปเที่ยวที่อื่นอีกแล้ว”
“สยามไม่ยอมไปกับรุ้งเองนี่คะ”
“ผมกำลังจะได้งานเป็นอาจารย์มหาลัย ผมจะไปไหนได้ล่ะ”
“ไม่ใช่มั้ง...ที่ไปไม่ได้เพราะมีหลานรักเป็นห่วงผูกคออยู่รึเปล่า”
“เปล่า ขมคือหน้าที่ ที่ผมรับปากกับพี่ชายไว้ แต่พันธะของหัวใจที่เป็นห่วงผูกคอผมคือรุ้งต่างหาก”
“รุ้งควรจะดีใจ หรือคลื่นไส้ดีคะ”
“เอ๊า !”
“ก็สำนวนสยามเชยนี่”
“งั้นรุ้งพูดเพราะๆแบบไม่เชยให้ผมฟังหน่อยสิ”
รุ้งกาญจน์หันไปโอบรอบคอของสยามและยื่นหน้าเข้าไปพูดใกล้หน้าเขา
“ถึงรุ้งจะเป็นคนชอบท่องเที่ยว ดูไม่เป็นแม่ศรีเรือนอย่างที่แม่ของสยามคาดหวัง”
“ช่างแม่ปะไร”
“แต่ทั้งชีวิตรุ้งมีผู้ชายคนเดียวคือสยามและจะไม่มีใครอีกเลย”

สยามจึงก้มลงไปจูบรุ้งกาญจน์อย่างนุ่มนวลที่สุด

โขมพัสตร์ที่ระเบียงบ้านพัก เธอยิ้มชื่นใจเมื่อมองไปที่ชาติสยามและรุ้งกาญจน์

ทั้งคู่ผละจากการจูบ แล้วชาติสยามจึงเอ่ยปาก
“พรุ่งนี้เปลี่ยนใจ ไม่ไปใต้เถอะนะ ผมขอร้อง”
“สยามอยากให้รุ้งเป็นคนโลเล เปลี่ยนใจไปมาเหรอคะ”
สยามจำนนด้วยเหตุผล ไม่อาจเซ้าซี้ต่อไปได้อีก
“โอเค...งั้นผมจะไม่นอน จะอยู่กับรุ้งจนถึงเช้าเลยแล้วกัน”

โขมพัสตร์ยังยืนมองอาของเธอ อยู่ที่ระเบียงเดิม อย่างอิ่มอกอิ่มใจรัฐเดินเข้ามายืนข้างๆขม
“ปวดขาบ้างมั้ย ขม”
“ไม่ปวดค่ะ แต่อึดอัด”
“ถ้าเมื่อเช้าพี่เป็นคนปีนบันไดขึ้นไปเอง ก็คงไม่เกิดเรื่องอย่างนี้กับขมหรอก”
“แต่อาจจะเกิดเรื่องอื่นที่ใหญ่กว่านี้ก็ได้นะคะ”
“ขมเป็นคนดีนะ ที่ยอมให้อภัยพจนีย์”
“การให้อภัย ไม่ใช่เรื่องยากนี่คะ”
“หวังว่าซักวัน เขาจะกลับตัวได้นะ”

ระเบียงอีกมุมหนึ่ง บ้านพักหัวหินรัมภ์ยืนมองไปยังขมกับรัฐรติรสก้าวเข้ามาข้างๆรัมภ์
"พี่รัมภ์หายไปไหนตั้งแต่หัวค่ำ"
"พี่มัวแต่ไปเล่นไพ่กับน้าประหยัดน่ะ"
"ไม่อยากไปคุยกับขมเหรอ"
"พี่นึกว่าเขาหลับ...ไม่ทันพี่รัฐเลย...รสล่ะไปคุยกับพวกเขากันมั้ย"
"ไม่ดีกว่า ไม่อยากไปแทรกเขา เผื่อเขามีเรื่องที่อยากจะคุยกันสองคน"
รัมภ์มองหน้ารติรส และสัมผัสความรู้สึกบางอย่างของรติรสได้

รัฐและโขมพัสตร์คุยกันต่อเนื่อง
"พรุ่งนี้ขมกลับยังไงน่ะ"
"กลับรถไฟ กับ อาสยาม แต่ต้องแวะไปหาหมอก่อนตอนสายๆ"
"อาสยามเขาดีกับขมมากเลยนะ"
"ค่ะ...ถ้าไม่มีอาสยาม ขมก็ไม่รู้เหมือนกันว่า จะมีชีวิตอยู่ได้ยังไง"

ชาติสยามนั่งกอดกับรุ้งกาญจน์ริมทะเลอย่างหวานชื่น

รุ่งขึ้นพระอาทิตย์โผล่พ้นน้ำ
โขมพัสตร์นอนหลับตาอยู่บนเตียงนุ่มกลางห้องนอน เสียงกระดิ่งดังขึ้น จนเธอต้องลืมตาตื่น
ชาติสยามยืนสั่นกระดิ่งอยู่ข้างๆเตียงนอน
"กลางค่ำกลางคืน ไม่ยอมนอน ตะวันโด่งจนป่านนี้ก็เลยไม่ยอมตื่น"
"อาก็ไม่นอนเหมือนกัน"
"ใครบอก"
"ขมเห็นน่ะสิ อากับอารุ้งนั่งจู๋จี๋กันริมทะเลจนดึก"
"แอบดูอาเหรอ"
"ไม่ได้แอบ ใครๆก็เห็น"
"ต้องเห็นใจอาบ้างสิ อากับอารุ้งไม่ได้เจอกันนาน ก็ต้องมีเรื่องคุยกันเยอะ"
"แต่ขมไม่เห็นว่าคุยกันเลย เห็นแต่กอดกันหอมกัน"
"ทะลึ่งแล้ว หลานคนนี้...ลุกขึ้นเร็ว ได้เวลาไปหาหมอแล้ว"
โขมชันตัวขึ้นและเผลอเหวี่ยงขาเยี่ยงคนปกติจนเสียหลักร่วงจากเตียง ร้องลั่น
"โอ๊ย"
"ลืมละซีว่าใส่เฝือกอยู่"
"ค่ะ..."
"อยู่เฉยๆ อาพาไปเอง"
ชาติสยามอุ้มขมเดินออกจากห้อง

ชาติสยามอุ้มโขมพัสตร์ตรงไปยังโถงกลางบ้านพัก
"ทีหลัง เอาไม้ค้ำยันไว้ใกล้ตัว ใกล้มือตลอดเวลานะ เข้าใจมั้ย จะลุกจะนั่งเราต้องใช้มัน จะเรียกใครมาอุ้มตลอดเวลาก็คงจะไม่เหมาะ"
"คุณหญิง กับ คุณไพลินล่ะคะ"
"กลับบ้านพุทธชาดกันหมดแล้ว"
ชาติสยามอุ้มขมมานั่งที่โต๊ะอาหารอาหารเช้าวางอยู่แล้วที่กลางโต๊ะ
"รีบกินข้าวเร็วเข้า จะได้เดินทางกัน"
"นี่อาทำเหรอ"
"อารุ้งจ้ะ"
"อารุ้งอยู่ไหนล่ะคะ"
"ไปแล้ว เดินทางล่องใต้ สามอาทิตย์ อารุ้งเขาชอบท่องเที่ยวน่ะ"
"อย่างนี้อาก็คิดถึงอารุ้งแย่น่ะสิ"
"อือม...ยังดีที่มีขมเป็นเพื่อนแก้เหงา"
"ใครบอก ขมไม่ใช่เพื่อนซักหน่อย หลานต่างหาก"
ชาติสยามใช้มือขยี้หัวหลานสาวอย่างเอ็นดู
"เออ...หลานแก้เหงา"
"โอ๊ย..."
"เจ็บขาเหรอ ?"
"เปล่าค่ะ...คัน...อาเกาให้หน่อยสิ"
"ลำบากแล้วสิ ขมเอ๊ย..."
สยามคว้าตะเกียบใกล้มือ เสียบไปที่ซอกระหว่างขากับเฝือก โขมพัสตร์มีหน้าตาสบายขึ้น
"เอ้าโอเคมั้ย?"
"ไปทางซ้ายนิดนึง...ต่ำลงไปอีกหน่อย อีกนิดค่ะ..."
ชาติสยามพยายามขยับตะเกียบตามที่ขมบอก
"นั่นแหละ ตรงนั้นแหละค่ะ....อาาาา แจ๋วเลยค่ะอา"
"พอ...รีบกินข้าวได้แล้ว ถ้ายังคันอีกก็ทนเอาละนะ"
ชาติสยามเดินไปที่กระเป๋าเสื้อผ้ามุมห้อง
"กระเป๋าเสื้อผ้าขมอยู่ตรงนี้นะ...นี่เสื้อผ้าของขม อารุ้งเป็นคนเลือกชุดนี้ เขาว่าเหมาะกับคนใส่เฝือก ดีมั้ย"
"อารุ้งน่ารักจัง"
"ทีนี้ตอนใส่เสื้อผ้า ทำเองได้รึเปล่า หรือจะให้อาใส่ให้"
"ใส่เองดีกว่าค่ะ"
"ดี กินข้าว ล้างหน้า เปลี่ยนเสื้อผ้า เสร็จแล้วสั่นกระดิ่งเรียกอานะ"
ชาติสยามวางกระดิ่งไว้บนโต๊ะอาหารแล้วจึงเดินออกไป
โขมพัสตร์หยิบกระดิ่งขึ้นมาสั่นทันที ชาติสยามตะโกนลั่น
"เฮ้ย เร็วไปมั้ง"
"ขมลองเสียงน่ะค่ะ"
โขมพัสตร์ตักอาหารเข้าปากอย่างมีความสุข สดชื่น

เวลาต่อเนื่องมา ชาติสยามประคองโขมพัสตร์ลงนั่งบนเก้าอี้หน้าชานชาลา
"เรามาถึงก่อนเวลานะ...กว่ารถไฟจะเข้าชานชาลาก็อีกครึ่งชั่วโมง" ชาติสยามบอก
"รู้งี้ขมนอนต่ออีกหน่อยก็ดี"
"ใครจะรู้ว่าหมอจะตรวจเร็วหรือช้าล่ะ...มาถึงเร็วไว้น่ะดีแล้ว ดีกว่าตกรถไฟน่า"
"ตกก็รอขบวนหน้า หรือค้างที่นี่อีกคืนก็ได้"
"ไม่ได้ อาไม่ชอบผิดนัด"
"นัด? นัดกับรถไฟ ?"
" ใช่...อาไม่ชอบผิดนัดกับรถไฟ...ขมรออาแป๊ปนึงนะ ตอนนี้อามีนัดกับคนขายน้ำทางโน้น"
"ไม่ต้องซื้อน้ำให้ขมนะ ขมไม่อยากปวดฉี่"
"ถ้ามีคนแปลกหน้ามาคุยด้วย ดูหน้าตาเขาให้ดีก่อนนะว่า ควรจะคุยด้วยมั้ย ถ้าเห็นท่าไม่ดี สั่นกระดิ่งเรียกอานะ"
"ไหนล่ะกระดิ่ง"
"โน่นไง"
ชาติสยามชี้ไปที่กระดิ่งรถไฟอันใหญ่ที่แขวนอยู่กลางชานชาลา
"อันใหญ่ ดังดี ไปละ"
"ค่ะ"
ชาติสยามขยับตัวจะไปเขานึกอะไรขึ้นมาได้ จึงหันมาพูดกับโขมพัสตร์อีกครั้ง
"อ้อ...วันนี้วันดี วันพระใหญ่ ถ้าขมขอพรวันนี้ โอกาสที่คำขอจะเป็นจริงมีสูง"
"งั้นถ้าขมขอให้เจอพ่อ ขมจะได้เจอพ่อมั้ยคะ"
"ไม่ลองก็ไม่รู้...ไปละ"
ชาติสยามเดินออกจากไป

โขมพัสตร์ค่อยๆยกมือขึ้นมาประสานที่หน้าอก ในท่าไหว้พระ
ถุงน้ำสีสดใสยื่นเข้าไปที่หน้าโขมพัสตร์ ไอเย็นของน้ำแข็ง ทำให้เธอลืมตาขึ้น
"ขมบอกแล้วไงว่าไม่ต้องซื้อน้ำให้ขม"
"คนซื้อก็เสียน้ำใจแย่สิ"
เสียงชายวัยกลางคนดังขึ้น โขมพัสตร์ค่อยๆลืมตาโพลงเธอเงยหน้ามองเจ้าของเสียง นิ่ง อึ้ง
ชายผู้ถือถุงน้ำคนนี้คือ ชวาล สุรบดินทร์
"ขมอธิษฐานขอให้พ่อกลับมาไม่ใช่เหรอ...หรือว่าขมจำพ่อไม่ได้แล้ว"
"พ่อพิทย์"

โขมพัสตร์โผเข้ากอดผู้เป็นพ่อจนแน่น

ชาติสยามโผล่หน้าออกมาจากหลืบมุมในสถานี เขามองภาพนี้อย่างอิ่มเอมใจ

โขมพัสตร์ผละออกจากการกอด เพื่อมองจ้องหน้าชวาลเต็มๆตา
"พ่อพิทย์จริงๆด้วย...ขมนึกว่าพ่อจะไม่กลับมาหาขมอีกแล้ว ขมสวดมนต์ทุกคืนขอให้พ่อกลับมาหาขม ขมรอพ่อตั้งห้าปี แล้วอยู่ๆพ่อก็โผล่มา..."
โขมพัสตร์โผเข้ากอดผู้เป็นพ่ออีกครั้ง
"วันพระใหญ่ อธิษฐานอะไรก็มักจะสมหวัง"
"อาสยามนัดกับพ่อไว้ แล้วไม่ยอมบอกขมใช่มั้ยคะ"
"พ่อบอกสยามเองว่า ไม่ให้บอกขมก่อน"
"ขมเขียนจดหมายถึงพ่อ ฝากไว้ที่อาสยาม"
"พ่อได้อ่านแล้วทุกฉบับ"
ขมผละออกจากการกอดอีกครั้ง เพื่อพูดตรงหน้าผู้เป็นพ่อ
"แต่ขมไม่เคยได้จดหมายจากพ่อเลย ขมไม่เคยรู้เลยว่าพ่ออยู่ที่ไหน ทำอะไรบ้าง"
"พ่อจะเล่าให้ฟังทั้งหมด หลังจากขมเล่าเรื่องนี้ให้พ่อฟัง"
ชวาลชี้มือไปที่เฝือกขาของขม
"เพราะมันไม่มีในจดหมาย"
"มันเพิ่งเกิดขึ้น จากสาเหตุเดิมๆ แต่จากนี้ไปจะไม่มีปัญหาแบบนี้อีกแล้ว เพราะขมจะได้อยู่กับพ่อพิทย์ของขมแล้ว"
"พ่อรักลูก และคิดถึงลูกมากๆเลยนะ ขม"
"จากนี้ไป เราจะได้อยู่ด้วยกันแล้วใช่มั้ยคะ...พ่อจะไม่ทิ้งขมไปอีกแล้วใช่มั้ยคะ"
ชวาลดึงร่างขมมากอดไว้แน่น
รถไฟแล่นเข้าจอดที่ชานชาลาพนักงานรถไฟสั่นกระดิ่งดังลั่นทว่าสองพ่อลูกยังคงกอดกันด้วยความรัก
ชาติสยามเดินตรงเข้ามาหาพ่อลูกคู่นี้เอ่ยปาก สีหน้ายิ้ม
"มีเวลาอีกสิบนาที กอดกันให้พอนะครับ ถ้านานกว่านั้น ตกรถทั้งหมู่แน่ๆ"

บนรถไฟชวาลนั่งโอบไหล่ผู้เป็นลูกสาวไว้พร้อมกับเอ่ยปากเล่าเรื่องราวของเขาอย่างสนุก
ชาติสยามนั่งบนเก้าอี้ตรงข้ามชวาล โขมพัสตร์ฟังพ่ออย่างมีความสุขทว่าดวงตาของเธอหรี่ปรือใกล้จะหลับ เพราะความเพลียและง่วง
"พ่อต้องเดินทางไปต่างประเทศ หลายต่อหลายที่ ไม่ได้อยู่นิ่งๆเป็นที่เป็นทางและแต่ละที่ที่พ่อไปก็กันดารทั้งนั้น โรคภัยไข้เจ็บก็ชุกชุม บางครั้งพ่อต้องนอนซมเพราะไข้ป่าเป็นเดือนๆ กว่าจะรักษาหายก็แทบแย่"
"งานลำบากลำบนขนาดนี้ พ่อไปทำทำไม"
"มันคืองานอาสา มูลนิธิที่พ่อทำงานให้ เขามีเจตนาช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ที่ด้อยโอกาส ถ้าไม่มีใครคิดทำงานแบบนี้ โลกเราก็จะไม่สมดุลย์ เพราะมีบางคนขาดบางคนมีมากเกิน สังคมต้องการคนที่รู้จักเสียสละเพื่อส่วนรวมนะลูก"
"พ่อพิทย์ของขมเป็นคนดีจัง"
"พ่อก็ได้แต่หวังว่า ผลจากกรรมดีของพ่อ จะส่งไปถึงขม ให้ขมมีแต่ความสุขมีแต่ความเจริญรุ่งเรืิองตลอดชีวิตของลูก"
ชวาลก้มไปมองหน้าลูกสาวของเขา
โขมพัสตร์ หลับสนิทในอ้อมกอดของผู้เป็นพ่อชาติสยามจึงเอ่ยปากพูดกับชวาล
"คงระบมจากอุบัติเหตุเมื่อวาน แล้วก็ฤทธิ์ยา และก็นอนดึกด้วย"
"ดีแล้วหละที่ขมหลับ...พี่จะได้มีโอกาสคุยกับเธอในสิ่งที่เธอยังไม่รู้และไม่ควรให้ขมรู้"

เวลาต่อมา รถรังสรรค์แล่นเข้ามาจอดหน้าบ้านพุทธชาดทุกคนก้าวลงจากรถ
นมผ่อนเดินเข้าไปรอรับ
"คุณแม่มารึยัง"
"ยังค่ะ คุณรังสรรค์มาถึงเป็นคันแรก"
รังสรรค์เดินเข้าบ้านก่อนใคร
นมผ่อนเดินไปหารติรส เพื่อช่วยยกกระเป๋า
"ขมเป็นยังไงบ้างคะ"
"ใส่เฝือกสองเดือน"
"แล้วเขาจะกลับมายังไงคะ"
"นั่งรถไฟมากับอาเขาจ้ะ"
รติรสเดินเข้าบ้านไป
พจนีย์ขยับเข้ามาพูดใกล้ๆนมผ่อน
"ป้าอยากรู้อะไรก็โทร.ไปถามคุณชาติสยามแล้วกัน...โทร. ตามให้พาไป ส่งหัวหินยังโทร. ได้เลยนี่"
พจนีย์เดินเข้าบ้านทันที บุหงาจึงเอ่ยปากสั่งนมผ่อน
"ไม่ต้องโทร. นะ หัดเกรงใจเขาบ้าง อยากรู้อะไรมาถามฉัน ถ้าต้องโทร. ฉันโทร. เอง"
"ค่ะ"

ชาติสยามและชวาลทั้งสอง ยืนคุยกันท้ายโบกี้รถไฟ
"พี่ไม่ได้ทำงานมูลนิธิอย่างที่เล่าให้ขมฟังหรอก"
"ผมพอจะเดาได้"
"แต่พี่ต้องเดินทางไปหลายๆที่จริง"
"งานอะไรเหรอครับ"
"ไม่ใช่งาน แต่เพื่อรักษาตัว"
"รักษาตัว ?"
"พี่ไม่ใช่คนแข็งแรงเป็นปกติ เหมือนอย่างที่เห็นจากภายนอกหรอก"
ชาติสยามอึ้งไป
"โรคที่พี่เป็น เป็นโรคใหม่ที่แพทย์กำลังหาทางรักษาอยู่"
"เกี่ยวกับอะไรครับ"
"หัวใจ...การผ่าตัดเป็นทางเลือกสุดท้ายที่หมอยังไม่อยากทำ พี่ลองเข้ารับการบำบัดหลายต่อหลายวิธี บางครั้งพี่ได้แต่นอนนิ่งเป็นเดือนๆ หมดสติ หมดเรี่ยวหมดแรง...พี่ไม่อยากให้ลูกสาวของพี่ ต้องมารับรู้อาการป่วยไข้ของพี่ มันไม่ใช่เรื่องที่ดีต่อจิตใจของเขา"
"แล้วพี่คิดว่า การอยู่บ้านพุทธชาดมันดีต่อจิตใจขมเหรอครับ"
"พี่ถึงต้องพึ่งเธอไง ชาติสยาม"
"ผมก็เป็นแค่อา...อาทำหน้าที่ได้ไม่เท่าพ่อหรอกครับ"
"แต่ในจดหมายของขม เธอเป็นอาที่ดีที่สุด และเป็นคนเดียวที่ยึดเหนี่ยวจิตใจขมไว้ได้ โดยไม่ต้องพึ่งพ่อด้วยซ้ำ"
"พี่คงไม่คิดจะปล่อยให้ขมให้อยู่อย่างนี้ตลอดไปใช่มั้ยครับ"
ชวาลถอนใจ นิ่ง แทนคำตอบ
ชาติสยามเข้าใจท่าทีของพี่ชาย
"พี่ไม่สงสารลูกบ้างเหรอครับ"
"เพราะขมคือดวงใจของพี่ พี่ถึงต้องทำอย่างนี้...ช่วยพี่อีกนิดเถอะนะสยามทุกอย่างกำลังจะจบแล้วหละ"
"หมายความว่ายังไงครับ"
"พี่เดินทางมาถึงขั้นตอนสุดท้ายของการรักษาแล้ว ทุกอย่างมีแนวโน้มว่าจะเป็นไปในทิศทางที่ดี"
"พี่จะหายใช่มั้ยครับ"
"ก็ต้องวัดดวงกัน...ถ้าผ่านขั้นตอนนี้ไปได้ พี่จะหายเป็นปกติ และจะกลับมาทันวันเกิดของขมพอดี พี่เชื่ออย่างนั้น"
"ผมเอาใจช่วยพี่นะครับ"
"ขอบใจนะ"
"มีเรื่องสำคัญอีกเรื่องนึงครับ"
"อะไร ?"
"ทุกคนอยากรู้เรื่องของแม่แข แม่ของขม"
ชวาลนิ่งอึ้งไปอีกครั้ง
"เรื่องนี้ เป็นปริศนาที่ทุกคนในบ้านพุทธชาดต้องการความกระจ่าง..ผมกลายเป็นมนุษย์ประหลาด ที่ไม่รู้จักเมียของพี่ชายตัวเอง"
"เธออยากรู้เรื่องแม่ของขมแค่ไหน"
"เท่าที่พี่จะเล่าได้"
"หลังวันเกิดขม เธอจะได้รู้ทุกอย่างเป็นคนแรก พี่สัญญา"
ชาติสยามถอนหายใจ และเลือกที่จะไม่เซ้าซี้ต่อ
"พี่จะกลับอังกฤษเลยเหรอครับ"

"ยัง จนกว่าจะสะสาง เรื่องราวกับคนบางคนก่อน"

ต่อมา รถแท๊กซี่แล่นเข้ามาจอดหน้าบ้านพุทธชาด ชาติสยามประคองโขมพัสตร์ลงจากรถพร้อมไม้ค้ำยัน

"เดินคล่องแล้วนี่ หรือว่าจะให้อาเป็นม้าให้ขมขี่เข้าบ้าน"
นมผ่อนเดินเข้ามารับขมสีหน้านมผ่อนเต็มไปด้วยความห่วงใย
"ขม เป็นยังไงบ้าง...ไปขาหักขาเดาะเอาถึงหัวหินโน่น แม่คุณเอ๊ย"
"ก็ถ้าป้านมผ่อนไม่โทร. ตามอาสยาม ป่านนี้ขมนอนตีพุงสบายอยู่ที่บ้านแล้ว"
"ป้าไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างนี้นี่นา ขอโทษนะ"
"ไม่ต้องขอโทษจ้ะ...ขมต้องขอบคุณป้ามากกว่า เพราะถ้าขมไม่ได้ไปหัวหิน ขมจะพลาดอะไรดีๆ มากมายเลย"
"ขอบคุณคุณชาติสยามนะคะที่มาส่งขม" นมผ่อนบอก
"หลานผมทั้งคน มากกว่านี้ก็ไหว....ผมกลับเลยละครับ"
ชาติสยามหันไปพูดเบาๆกับโขมพัสตร์
"อย่าลืมที่คุยกันบนรถไฟนะ"
"ไม่ลืมแน่นอน ขมรับรอง"
ชาติสยามขยับตัวนั่งในแท๊กซี่คันเดิม
รถแท๊กซี่เคลื่อนตัวออกไปจากบ้านพุทธชาด โขมพัสตร์มองตามไปด้วยสายตาที่เปี่ยมความหวัง

สี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้บนรถไฟ ชวาล ขม และชาติสยาม นั่งอยู่ที่เก้าอี้ โขมพัสตร์เอ่ยปาก หน้าตาตื่นเต้น
"พ่อพิทย์พูดจริงๆนะคะ"
"จริงสิ...ที่ผ่านมาพ่ออาจจะผิดสัญญากับขมไปบ้าง แต่ครั้งนี้ ไม่มีทาง"
"วันเกิดขมปีนี้จะเป็นปีที่มีความสุขมากที่สุด"
"แต่ขมต้องรับปากกับพ่อเรื่องนึงได้มั้ย"
"อะไรคะ ?"
"อย่าเพิ่งบอกเรื่องนี้กับใครในบ้านพุทธชาดนะ"
โขมพัสตร์นิ่งคิดนิดนึงจึงเอ่ยปาก
"ขอคนนึงได้มั้ยคะ...ทุกครั้งที่ขมมีปัญหา ขมปรึกษาคนนี้อยู่คนเดียว"
ชวาลถาม"ใคร ?"
"ป้านมผ่อน"
"อือม...พ่ออนุญาตคนเดียวเท่านั้นนะลูก"
โขมพัสตร์กอดผู้เป็นพ่ออย่างมีความสุข

โขมพัสตร์เอนตัวลงนอนบนที่นอนของเธอกลางดึก เธอยิ้มอิ่มอกอิ่มใจอยู่เพียงลำพังสักพัก เธอจึงเอ่ยปากเสียงดังไปถึงนมผ่อนที่อยู่อีกห้องหนึ่ง
"ป้านมผ่อนจ๋า...อีกสองเดือนก็จะถึงวันสำคัญของขมแล้ว ขมให้ป้าทายว่าสำคัญยังไง"

นมผ่อนนอนอยู่ในห้องของตนเอ่ยปากตอบ
"เป็นวันที่ หมอถอดเฝือกออก"
"หลังถอดเฝือกแล้ว มีวันสำคัญกว่านั้นอีก"
"วันเกิด ?"
"ใช่จ้ะ...วันเกิด วันที่ขมรอคอยมาทั้งชีวิต"

รุ่งขึ้น รังสรรค์ก้าวเข้ามา หน้าห้องทำงานของเขามันคือห้องหัวหน้าฝ่ายกองแผนงาน กรมโยธาเทศบาลเลขาหน้าห้องพูดกับรังสรรค์ทันทีที่เขาเดินเข้ามา
"หัวหน้าคะ...มีแขกมารอพบหัวหน้าค่ะ"
"ใคร ?"
"เขาบอกว่าเป็นเพื่อน เพิ่งกลับมาจากเมืองนอกค่ะ"
"บอกให้เขารอก่อน ผมยังไม่อยากคุยกับใครตอนนี้"
"ไม่ทันแล้วค่ะ เขาเข้าไปรอหัวหน้าอยู่ในห้องแล้วค่ะ"
"ห๊ะ"

รังสรรค์เปิดประตูเข้ามาในห้อง ถึงกับชะงักชวาลนั่งรออยู่ในห้องนี้แล้ว
"หัวหน้าฝ่ายมาสายอย่างนี้ ไม่คุ้มกับเงินหลวงเลย"
"ฉันมาตรงเวลาเป็นปกติ แต่แกจงใจมาก่อนเวลา เพื่อฉวยโอกาสเข้ามานั่งในห้องทำงานฉันอย่างไร้มารยาท"
"ฉันมีมารยาทกับคนที่ควรมีมารยาทด้วยเท่านั้น ซึ่งไม่ใช่แก"
"คนที่ทิ้งลูกตัวเองไว้กับฉันถึงสี่ห้าปีโดยไม่โผล่หัวมาเลย ไม่มีสิทธิ์พูดประโยคนี้กับฉัน"
"ก็เพราะแกไม่รักษาสัญญาไง แกสัญญาว่าจะดูแลลูกฉันอย่างดีที่สุด ไม่ต่างจากลูกแก แต่แกกลับทำให้เขาต้องเจ็บทั้งกายทั้งใจด้วยน้ำมือของแก และลูกสาวแก...คนอย่างแกมันเหลือเกียรติ เหลือค่าอะไรที่ฉันจะต้องเกรงใจและมีมารยาทด้วยอีกเหรอ"
"ถ้าฉันดูแลไม่ดีแกก็เอาลูกแกกลับไปสิวะ เอาไปเลย เอาไปให้พ้นเลย...อย่าลืมว่า ฉันไม่ได้ขอลูกแกมาเลี้ยงนะ แกเป็นคนบังคับ ข่มขู่ฉัน จนฉันไม่มีทางเลือก"
"ใช่ คนอย่างแกไม่ควรมีทางเลือกอื่นอีกแล้ว...และต้องให้ฉันเตือนอีกมั้ย ว่าแกจะได้รับผลอะไรบ้าง ถ้าทำร้ายลูกสาวฉัน"
รังสรรค์หน้าแดงก่ำด้วยความโกรธตะโกนลั่น
"อย่านะ...อย่าแตะต้องรติรสเป็นอันขาด"
ชวาลตะโกนโต้ตอบด้วยเสียงดังไม่แพ้กัน
"แกก็ต้องไม่ทำให้ขมต้องเจ็บช้ำอีกเหมือนกัน"
รังสรรค์นิ่ง หายใจแรง
"ฉันจะให้โอกาสแกแก้ตัวอีกครั้ง...อดทนอีกไม่เกินสามเดือน ฉันจะมารับตัวลูกสาวฉันกลับไป...เพราะฉะนั้นควบคุมอารมณ์ของแกให้ดี ถ้ามีเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้นกับขมอีกฉันจะไม่ให้โอกาสแก้ตัวเป็นครั้งที่สอง และเมื่อถึงวันนั้น ก็ไม่มีเหตุจำเป็นอะไรที่ฉันจะต้องสงสารและเห็นใจรติรส ลูกสาวแก จำไว้ด้วย"
รังสรรค์ยืนกัดกรามนิ่ง

เช้าวันเดียวกันหน้ารือนนมผ่อนเฝือกที่ห่อหุ้มขาของขมมีลวดลายการ์ตูนเต็มเฝือก รัมภ์เขียน
เอ่ยปากพูดอย่างภาคภูมิใจ
"นี่จะเป็นเฝือกลายการ์ตูนที่สวยที่สุด นับตั้งแต่มีการใส่เฝือกมา"
"เว่อร์แล้วพี่รัมภ์" รติรสว่า
"จริง มีใครเคยเห็นเฝือกลายนี้ที่ไหนบ้าง ? ไม่มี มีที่นี่ที่เดียว"
"ขมควรจะภูมิใจใช่มั้ยคะ"
รัมภ์ว่า "ใช่"
"ขมต้องอยู่กับลายการ์ตูนของแกไปอีกตั้งสองเดือนเชียวนะ"
"เดี๋ยวก็ชิน...เอ้า ทุกคนเซ็นชื่อได้แล้ว"
รัฐและรติรส หยิบปากกาเซ็นชื่อลงบนพื้นที่ว่างของเฝือก
พจนีย์เดินเข้ามา
"นึกแล้วเชียวว่าต้องมาสุมหัวกันอยู่ที่นี่"
"คำว่าสุมหัว มันเหมือนกับว่าพวกเราเป็นโจร ก่อการร้ายงั้นแหละ" รัฐว่า
"ไม่ใช่ก็ใกล้เคียง เพราะวันๆก็เห็นมาขลุกอยู่แต่ตรงนี้ ไม่ไปที่อื่นเลย"
"ก็ขมเดินลำบาก พวกเราก็มาหาขม อิจฉาเหรอ" รัมภ์ว่า
พจนีย์ตวาดใส่รัมภ์ทันที
"พี่รัมภ์ด่าพจน์เหรอ"
รติรสส่งเสียงปราม"พจน์"
"พอเถอะค่ะ อย่าทะเลาะกันเลย" โขมพัสตร์บอก
"พจน์ก็ขอโทษทุกคนแล้วไง อะไรที่เคยทำไม่ดี เคยเข้าใจผิดกัน พจน์ก็ขอโทษหมดแล้ว ทำไมต้องมารังเกียจกันอย่างนี้ด้วย ไม่รู้จักให้อภัยกันบ้างเหรอ"
รัฐบอก"ตั้งแต่กลับจากหัวหิน ก็ไม่มีใครว่าอะไรพจน์เลยนะ พจน์ร้อนตัวไปเองรึเปล่า"
"รสไปมหาลัยดีกว่า"
"พี่ไปส่งรสเอง กำลังคิดจะไปเหมือนกัน"
รัฐและรติรส เดินไป
"พี่รัมภ์ล่ะ จะอยู่คุยกับพจน์หรือจะไป"
"ไปมหาลัย ไปเตะตะกร้อกับเพื่อน"
รัมภ์เดินไป พจนีย์มองหน้าโขมพัสตร์แล้วเอ่ยปาก
"ขาใส่เฝือกอย่างนี้ ตีปิงปองได้มั้ย"
โขมพัสตร์ค่อยๆขยับตัวด้วยไม้ค้ำยัน
"โอเค ฉันไปเรียกนังอิ่มนังเอิบมาเล่นก็ได้"

ต่อมา รังสรรค์เดินเข้าเรือนด้วยอาการหงุดหงิดสาวใช้คนหนึ่ง ถือจดหมายเข้ามาวางบนโต๊ะ
และเอ่ยปากเมื่อเห็นรังสรรค์
"คุณรังสรรค์ลืมของเหรอคะ"
"เปล่า"
"ดิฉันเห็นกลับมาเร็ว"
"ฉันจะกลับเร็วกลับช้า จะทำงานหรือไม่ทำงาน มันเกี่ยวอะไรกับแก ทำไมต้องมาสังเกตสังกาเหมือนคอยจับผิดฉันด้วย ห๊ะ"
สาวใช้หน้าถอดสี เสียงสั่น
"เปล่าค่ะ"
"จดหมายใครน่ะ?"
"ของคุณบุหงาค่ะ"
"แล้วเขาอยู่ไหน"
"ออกไปร้านตัดเสื้อค่ะ"
สาวใช้วางจดหมายลงบนโต๊ะ แล้วรีบเดินออกไป
จดหมายฉบับนั้นมุมซองเขียนว่า “จาก แฟรงกี้"

ต่อมา บุหงากำลังเดินขึ้นบ้านรังสรรค์ก้าวเข้าขวางหน้าบุหงา
"ทำไมวันนี้คุณพี่กลับเร็วจัง...ไปหาอะไรกินนอกบ้านกัน ดีมั้ยคะ"
รังสรรค์ถามเสียงห้วน"ใครคือแฟรงกี้"
บุหงาตกใจ เมื่อได้ยินชื่อนี้เธอมีอาการอึกอัก พูดไม่ออก
"ฉันถามว่า ใครคือแฟรงกี้" รังสรรค์คาดคั้น
"เพื่อนที่ปีนัง...มีอะไรเหรอคะ"
"มีจดหมายจากนายแฟรงกี้เขียนถึงเธอ วางอยู่บนโต๊ะ"
บุหงาขยับตัวจะเดินเข้าไปในบ้านรังสรรค์เอ่ยปากเสียงเข้ม
"อย่าเขียนจดหมายคุยกับผู้ชายอื่นมากนักนะ ฉันไม่ชอบ"

บุหงา เธอพยายามหาจดหมายฉบับนั้นบนโต๊ะ แต่มันไม่ได้อยู่ที่นั่น
บุหงาเอ่ยปากกับสาวใช้ที่ยืนอยู่ข้างๆ
"ไหนล่ะจดหมายของฉัน มันอยู่ไหน"
"ไม่ทราบค่ะ"
"ไม่ทราบได้ยังไง ก็คุณรังสรรค์บอกว่าแกเอามาวางไว้บนโต๊ะ เมื่อตอนสายๆ"
"ค่ะ ดิฉันวางไว้ตรงนี้รวมกับจดหมายอื่นๆ"
"แล้วมันหายไปไหนล่ะ"
"เอ้อ...เห็นคุณพจนีย์เข้ามาหยิบดูด้วยเหมือนกัน เธออาจจะหยิบติดมือไปก็ได้
นะคะ"

จดหมายจากแฟรงกี้ฉบับนั้น ถูกเปิดออกพจนีย์กำลังอ่านข้อความในจดหมาย
เสียงแฟรงกี้ดังออกมาตามตัวอักษรในจดหมายนั้น
"ดาร์ลิ้ง...ไออยากเจอยูมากจริงๆ...หาเวลามาเจอกันหน่อยนะ...ไม่งั้นเรื่องของ
เราอาจจะถูกเปิดเผยโดยไม่ทันรู้เนื้อรู้ตัวก็ได้"
พจนีย์มีสีหน้าครุ่นคิด
บุหงาเดินอย่างร้อนรนเข้ามา
"พจนีย์ เห็นจดหมายของน้ามั้ย หนูหยิบติดมารึเปล่า"
พจนีย์ยื่นจดหมายฉบับนั้นให้บุหงา
"ขอโทษนะคะ พจน์เปิดอ่านไปแล้ว นึกว่าเป็นจดหมายเพื่อน"
บุหงาก้มหน้าอ่านข้อความในจดหมายนั้นสีหน้าของเธอมีแวววิตกกังวลขึ้นมาส่วนพจนีย์กลับยิ้มร่าเริง
"ไม่คิดเลยนะคะว่าน้าบุหงาจะมีความลับกับเขาเหมือนกัน"
บุหงาหน้าเสียทันที
"แหม เรื่องแค่นี้เอง ไม่ต้องทำหน้าเสียอย่างนั้นก็ได้ค่ะ รับรองพจน์ไม่บอกพ่อหรอก...ใครๆก็มีแฟนเก่าได้ทั้งนั้น ยิ่งเสน่ห์แรงๆแบบน้าบุหงาด้วย พจน์ว่าต้องมีแฟนเก่ามากกว่าหนึ่งคนแน่ๆ ใช่มั้ยคะ"
บุหงาพยายามควบคุมอารมณ์ตัวเองให้ผ่อนคลายลง
"พ่อของพจน์ก็ไม่เบาเหมือนกันแหละ"
"พจน์ก็ว่าอย่างนั้น...แต่แฟนเก่าน้าบุหงาเท่ห์จังเลยนะคะ ชื่อแฟรงกี้ เป็นลูกครึ่งเหรอคะ"
บุหงา ยิ้ม ยักไหล่แทนคำตอบ
"น้าบุหงารีบไปหาเขาเถอะค่ะ...จะได้ไม่มีอะไรบานปลายไปถึงหูพ่อทีหลัง"
พจนีย์เดินออกไป

บุหงา ครุ่นคิด ค่อนข้างเครียด

อ่านต่อตอนที่ 7


กำลังโหลดความคิดเห็น