ดงผู้ดี ตอนที่ 5 : ไม่ใช่อา-หลาน ใครก็คิดว่าเป็นคนรัก!
บทประพันธ์ : บุษยมาส
บทโทรทัศน์ : สามัญ
กลางคืนต่อเนื่องมา คุณหญิงรัตนเดชากร และนมผ่อนนั่งกระวนกระวายใจกลางโถงบ้าน สักพัก ... ไพลินเดินเข้ามา คุณหญิงเอ่ยปากถามลูกสาวทันที
“แม่ไพลิน...ขมล่ะ เขายอมกลับมามั้ย”
“โน่นไงคะ”
ไพลินหันหน้าไปมองยังด้านหลังของเธอ
โขมพัสตร์เดินเข้ามา หน้าตาซึม
“โล่งอกไปที”
นมผ่อนปราดเข้าไปใกล้ขมด้วยความสงสารและเห็นใจ
“แม่คุณเอ๊ย...ป้าเป็นห่วงแทบแย่”
“ป้านมผ่อน”
“เธอคงจะตกใจมากสินะ ถึงได้พรวดพราดออกไปโดยไม่บอกไม่กล่าวใครอย่างนี้”
โขมพัสตร์ก้มลงกราบที่พื้นเบื้องหน้าคุณหญิง
“ดิฉันต้องขอโทษคุณหญิง ที่ทำในสิ่งที่ไม่เหมาะสม”
“คนที่ทำสิ่งที่ไม่เหมาะสมกว่าเธอก็คือตารังสรรค์ ฉันควรจะขอโทษเธอแทนลูกชายของฉันมากกว่า”
“คุณหญิงไม่ต้องขอโทษดิฉันหรอกค่ะ”
“ไม่ได้หรอก คนเป็นลูกทำความผิด คนเป็นแม่ก็ต้องรับผิดชอบในความผิดนั้นด้วย และฉันจะรับผิดชอบด้วยการให้เธอย้ายมาอยู่ที่ตึกใหญ่กับฉันที่นี่เพื่อจะได้ไม่เกิดเหตุการณ์อย่างนี้อีก”
“อย่าทำอย่างนั้นเลยค่ะ”
“ทำไม ที่เรือนใหญ่นี่ มีอะไรน่ารังเกียจเหรอ”
“มิได้ค่ะ ทั้งคุณหญิงและคุณไพลินเมตตากับดิฉันมาก แต่ถ้าดิฉันย้ายมาอยู่ที่นี่คนที่รังเกียจดิฉัน ก็จะพลอยโกรธเคือง ไม่พอใจดิฉันมากยิ่งขึ้น ดิฉันอาจจะพบกับสถานการณ์ที่ยากลำบากกว่าที่เป็นอยู่นี้อีก”
ไพลินกับคุณหญิงมองหน้ากัน
คุณหญิงบอก“ก็อาจจะจริงอย่างเธอว่า”
“ให้ดิฉันอยู่ที่เรือนป้านมผ่อนเหมือนเดิมเถอะนะคะ”
“แต่ต้องสัญญานะว่า เธอจะไม่แก้ปัญหาด้วยวิธีนี้อีก ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม...เป็นผู้หญิงตัวคนเดียวหนีออกจากบ้านอย่างนี้ มันอันตราย รู้มั้ย”
“ค่ะ”
“งั้นพรุ่งนี้ ฉันจะให้แม่ไพลินพาเธอไปซื้อของ ถือเป็นการรับขวัญ และก็เป็นของขวัญที่เธอสอบได้ที่หนึ่งก็แล้วกัน”
“ให้คุณไพลินพาคุณรสกับคุณพจน์ไปด้วยสิคะ ซื้อของให้เธอด้วยได้มั้ยคะ”
“ทำไม”
“อย่าให้ดิฉันได้อะไรมากกว่าหลานท่านเลยค่ะ ลูกชายของท่านจะได้ไม่ชิงชังดิฉันมากไปกว่านี้ นะคะ”
ที่เรือนเล็ก รังสรรค์เทเหล้าใส่แก้วจนเต็ม แล้วดื่มรวดเดียวหมดเหตุการณ์ช่วงหัวค่ำ ผุดขึ้นมาในความนึกคิดของเขา
เรือนใหญ่ สามชั่วโมงก่อนหน้านี้
คุณหญิงรัตนเดชากร ก้าวเข้าเบื้องหน้ารังสรรค์เอ่ยปากเสียงเข้ม
“อธิบายให้ฉันฟังหน่อยซิ บอกเหตุผลมาซักข้อเดียวก็ได้ ว่าอะไรเป็นเหตุให้เราต้องตบตีเขาขนาดนั้น แค่เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆคนเดียว ทำไมถึงได้ใจไม้ไส้ระกำกับเขานัก เกลียดอะไรเขานักหนา”
“มันคิดจะขโมยของของผม มันเลวเหมือน...”
“เหมือนใคร ?”
“เหมือนผู้หญิงคนนึง ที่ผมเกลียดเข้ากระดูกดำ”
“เพราะเรามันคิดถึงแต่ตัวเอง คิดถึงแต่ความผิดหวังของตัว แล้วก็โยนความผิดให้กับผู้หญิงคนนึง ทั้งๆที่ไม่มีข้อพิสูจน์...แต่เราเคยคิดถึงเรื่องเลวร้ายที่ทำไว้กับผู้หญิงคนนั้นบ้างมั้ย?”
รังสรรค์ นิ่ง เงียบไป
“ถ้าคิดจะเอาความโกรธแค้นผู้หญิงคนนั้น มาระบายลงกับเด็กคนนี้ละก้อ แม่ขอบอกเลยว่า มันไม่ถูกต้อง ไม่ว่าคนสองคนนี้จะเกี่ยวข้องกันหรือไม่ก็ตาม”
รังสรรค์เดินหงุดหงิดทั่วห้อง แววตาขุ่นมัว แฝงไปด้วยความปวดร้าวลึกๆและในที่สุดก็ขว้างแก้วเหล้าในมือลงบนพื้นด้วยความโกรธ
ด้าน รัฐ รัมภ์ วิ่งตรงไปหาโขมพัสตร์กับนมผ่อน ที่เดินมาจากเรือนใหญ่
รัฐถาม“ขมเป็นยังไงบ้าง”
“ไม่เป็นไรค่ะ”
“พวกเราตกใจกันหมดเลยรู้มั้ย” รัฐว่า
“คุณยายบอกให้เราช่วยกันออกตามหาขม แต่เราไม่รู้จะไปตามที่ไหน”
“คุณรัฐ คุณรัมภ์ บอกคุณยายด้วยนะคะ ว่าขมปลอดภัยดีแล้ว” ผ่อนว่า
รัฐ-รัมภ์รับคำ“ครับ”
“ป้าเข้าเรือนก่อนนะ”
นมผ่อนเดินตรงเข้าไปในตัวบ้าน
“ขม ไปอยู่ที่ไหนมาน่ะ” รัมภ์ว่า
“ขมนั่งรถไปเรื่อยๆ แค่อยากไปให้ไกลจากบ้านนี้เท่านั้นเอง”
รัฐบอก“งั้นไปอยู่ตึกขาว บ้านพี่มั้ย พี่จะบอกให้คุณยายมาขอกับคุณหญิง ดีมั้ย”
“ไม่ดีหรอกค่ะ”
รัมภ์ถาม“หรือว่ายังไกลไม่พอ”
โขมพัสตร์ส่ายหน้าช้าๆ อมยิ้มนิดๆ
“ขอบคุณนะคะพี่รัฐพี่รัมภ์...พี่สองคนทำให้ขมรู้สึกว่า ขมยังมีเพื่อน มีพี่...ไม่ได้โดดเดี่ยวตามลำพัง”
รัมภ์บอก“ขมยังมีรติรสอีกคนนะ เขาห่วงขมพอๆกับพวกเรา”
“ขมรู้ค่ะ”
“พี่ขออะไรอย่างนึงได้มั้ย”
“คะ ?”
“จากนี้ไป ถ้ามีเรื่องลำบากใจอะไร อย่าคิดแก้ปัญหาตามลำพังแบบนี้อีก...อย่างน้อย บอกพี่ก่อนได้มั้ย”
รัมภ์โพล่ง“พวกพี่จะพาขมหนีเอง”
“บ้า !”
รัฐเอื้อมมือไปจับมือโขมพัสตร์
“จำไว้นะ ขมจะมีพี่รัฐอยู่ข้างๆเสมอ”
รัมภ์เอื้อมมือตัวเองไปจับมือโขมพัสตร์อีกคน
“พี่รัมภ์ด้วยจ้ะ”
“ขอบคุณค่ะ”
โขมพัสตร์ยิ้มให้รัฐและรัมภ์ด้วยความซาบซึ้งใจ
เช้าวันใหม่ เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นที่บ้านชาสติสยาม ชาติสยามยกหูโทรศัพท์เครื่องนั้นขึ้นมาพูด
“สวัสดีครับ ชาติสยามพูดครับ...ฮัลโหล...ฮัลโหล...นั่นใครครับ...ใครโทรมาหาผมรึเปล่า”
โถงเรือนเล็ก บ้านพุทธชาดบุหงาถือโทรศัพท์แนบหู หน้าตามีความตื่นเต้นเธอค่อยๆขยับปากพูด เสียงแผ่วเบา
“เอ้อ...ดิฉัน บุหงาค่ะ...คุณชาติสยามจำดิฉันได้มั้ยคะ”
“จำได้สิครับ คุณบุหงา รัตนเดชากร”
“ค่ะ”
“ผมให้เบอร์โทรศัพท์คุณบุหงาไว้เหรอครับ”
สมุดโทรศัพท์เล่มใหญ่ที่มีรายนามของผู้ใช้โทรศัพท์ วางข้างๆ
“เอ้อ...เปล่าค่ะ”
“งั้น มีธุระอะไรกับผมเหรอครับ”
บุหงาตัดสินใจเอ่ยปากบอกความในใจ
“เอ้อ ดิฉันอยากพบคุณชาติสยามค่ะ อยากพบคุณมากๆเลย พอจะมีเวลาว่างเจอกันได้มั้ยคะ”
สีหน้าของชาติสยาม เต็มไปด้วยความฉงน ปนขำ
“จะดีเหรอครับ”
“ดีสิคะ”
“ผมเกรงว่า จะทำให้คุณรังสรรค์...”
“คุณรังสรรค์ไม่อยู่ค่ะ ดิฉันถึงกล้าโทรหาคุณชาติสยาม”
“ยิ่งทำให้ผมไม่สบายใจขึ้นไปใหญ่”
บุหงาหน้าเสียเล็กน้อย เธอรีบอ้างเหตุผลใหม่ทันที
“แต่นี่เป็นเรื่องสำคัญ เกี่ยวกับขมนะคะ”
“ขมหนีออกจากบ้านอีกเหรอครับ”
“ยังค่ะ แต่ดิฉันกลัวว่าจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นมาอีก...เราพบกันตอนบ่ายได้มั้ยคะ จะได้ปรึกษาเรื่องนี้ด้วยกัน”
“งั้นเราเจอกันที่ที่ทำงานคุณรังสรรค์ดีมั้ยครับ...พอดีผมมีนัดกับคุณรังสรรค์ ที่นั่นบ่ายนี้พอดี”
บุหงาถึงกับสะดุ้ง รีบเอ่ยปากละล่ำละลัก
“เอ้อ ที่นั่น น่าจะไม่เหมาะค่ะ เพราะเรื่องที่ดิฉันจะคุยกับคุณชาติสยาม...ไม่ควรให้คุณรังสรรค์รู้”
ชาติสยาม ยิ้ม เหมือนจะรู้ทันนิดๆ
“งั้นคงจะลำบากสำหรับผมแล้วหละครับ...เพราะผมยังไม่อยากมีเรื่องผิดใจกับคุณรังสรรค์...เท่านี้นะครับ”
“เอ้อ เดี๋ยวค่ะ...อย่าบอกคุณรังสรรค์ว่าดิฉันโทร. มานะคะ...เอ้อ เพื่อความปลอดภัยของขมน่ะค่ะ...แล้วดิฉันจะโทรมาใหม่ค่ะ”
“ครับ”
ชาติสยามวางโทรศัพท์ลงบนแป้นถอนใจนิดๆ ด้วยความเบื่อหน่ายหน่อยๆ
กระทรวงมหาดไทยรังสรรค์เดินเข้าไปในห้องห้องประชุม ชาติสยามยืนรออยู่ในห้องนี้แล้ว รังสรรค์เอ่ยปากเสียงเข้ม
“ขอบใจที่อุตส่าห์มาตามนัด”
“ผู้ใหญ่เอ่ยปากขอพบ คนเป็นเด็กก็ไม่ควรปฏิเสธให้เสียน้ำใจ”
“เดาได้ใช่มั้ยว่า ผมต้องการคุยเรื่องอะไรกับคุณ”
“ถ้าจะให้เดาจริงๆก็คงเดาได้ แต่อย่าให้การสนทนาของเราเริ่มต้นด้วยการคาดเดาเลยครับ...คุณรังสรรค์ ต้องการอะไรจากผม ว่ามาตรงๆเลยดีกว่า”
“ฉันต้องการรู้ปูมหลังทั้งหมดของขม”
ชาติสยาม ยิ้ม
“คุณรังสรรค์เป็นเพื่อนพ่อขม คุณจะไม่รู้ปูมหลังของลูกเพื่อนเลยเหรอครับ”
“น้องชายพ่อ อาจจะรู้เรื่องราวมากกว่า เพื่อนพ่อ ก็ได้”
“คุณอาจจะเข้าใจผิด”
“ฉันไม่คิดอย่างนั้น”
“งั้นก็ลองถามสิ่งที่คุณอยากรู้มา”
รังสรรค์เอ่ยปากซักถามราวกับเป็นเจ้าหน้าที่สืบสวนสอบสวน
“ใครคือแม่ของขม”
“ผมไม่ทราบ”
“ไม่ทราบได้ยังไง”
“ก็คงเหมือนกับที่คุณรังสรรค์ไม่ทราบนั่นแหละครับ”
“แปลว่า ไอ้ชวาล สุรบดินทร์ มันมีเรื่องลับลมคมในกับคนทุกคน อย่างนั้นเหรอ”
“ข้อนี้ผมก็ตอบไม่ได้เช่นกัน”
“ทำไมมันต้องตั้งชื่อตัวเองว่า พิทย์ รุ้งพราย”
“ผมไม่ทราบ”
“เหมือนกับที่ฉันไม่ทราบ ?”
“ครับ”
“นายจงใจไม่ให้ข้อมูลฉันมากกว่า”
“ผมบอกคุณรังสรรค์ได้เฉพาะเรื่องที่ผมรู้”
“รู้อะไรก็บอกมาเลยสิ”
“ผมรู้ว่า ขมเป็นลูกสาวคนเดียวที่พี่ชวาลรักและเป็นห่วงมาก...และผมเป็นคนเดียวที่พี่ชวาลไว้ใจให้ดูแลคนที่เป็นดวงใจของเขา...ผมจึงอยากให้คุณรังสรรค์รู้เช่นกันว่า ผมจะไม่ยอมให้ใครหน้าไหนมาทำร้ายทั้งร่างกายและจิตใจของเด็กผู้หญิงคนนี้อีกเป็นอันขาด”
“นายขู่ฉันเหรอ”
“ผมไม่ได้ขู่ ผมแค่พูดความจริงให้คุณรังสรรค์ได้รู้ไว้”
“งั้นทำไมนายไม่เอาเด็กคนนี้ไปเลี้ยงเองซะเลยล่ะ”
“ผมก็อยากจะทำอย่างนั้น ถ้ามันจะไม่ขัดความประสงค์ของพี่ชวาล”
“ความประสงค์บ้าๆ”
“หรือคุณรังสรรค์จะลองผิดสัญญาที่รับปากกับพี่ชวาลไว้ก็ได้ ผมไม่รู้นะว่าจะมีผลอะไรเกิดขึ้นบ้าง...คุณรังสรรค์คนเดียวเท่านั้นที่รู้...อยากเสี่ยงก็ลองดูได้ครับ”
รังสรรค์อึ้งไป ความโกรธแค้นปะทุอยู่ลึกๆ
“มีอะไรจะถามผมอีกมั้ยครับ”
“นอกจากนายแล้ว มีใครในสุรบดินทร์รู้เรื่องนี้อีกมั้ย”
“ถ้ามันจะทำให้คุณรังสรรค์สบายใจ ผมก็ยืนยันได้ว่า มีแต่คุณรังสรรค์ กับ ผมเท่านั้นครับ ที่รู้เรื่องนี้”
วันเดียวกัน รถไพลินแล่นเข้ามาจอดริมถนนย่านการค้า หลังได้ข้าวของ ไพลินกลับมาบนรถขยับตัวลงนั่งที่เบาะด้านหน้า โขมพัสตร์ รติรส พจนีย์ ขยับตัวลงนั่งที่เบาะด้านหลังพร้อมถุงใบใหญ่
หน้าตาพจนีย์มีความสุขกับข้าวของมากมายในมือเธอ
“คุณป้าซื้อของให้พวกเราอย่างนี้แล้ว วันเกิดคุณป้าเรายังขอของขวัญได้เหมือนทุกปีอีกรึเปล่าคะ”
“ปีนี้คงไม่ละจ้ะ ปีนี้ป้าขอ งด แจก ของ”
“โธ่ อดเลย”
“วันนี้ก็ได้มาตั้งเยอะแล้วนะยายพจน์ ยังไม่พออีกเหรอ” รติรสบอก
“ก็อยากได้อีกนี่ มีอะไรรึเปล่า”
“โลภมากจริงๆยายพจน์”
“พจน์ไม่ใช่ขมนี่ จะได้ไม่อยากได้อะไรกับเขาเลย”
พจนีย์ลดน้ำหนักเสียงลง เหมือนเป็นการกระซิบไม่ให้ดังไปถึงหูไพลิน
“ไม่รู้ว่าจะมาทำไมให้เกะกะ แน่นรถเปล่าๆ”
โขมพัสต์นั่งนิ่ง ไม่มีอาการตอบรับการประชดประชันจากพจนีย์แต่อย่างใด
รถคันนี้เคลื่อนตัวออก
ไพลิน หันไปหาหลานๆที่นั่งอยู่เบาะหลัง
“วันนี้ป้าต้องขอบใจหลานๆทุกคน ที่ไม่มีการทะเลาะกันให้เห็น เพราะฉะนั้นป้าจะมีรางวัลเพิ่มเติมให้”
“นั่นไง นึกแล้วเชียวว่าป้าต้องหลอกเรา ตกลงมีของขวัญแจกอีกใช่มั้ยคะ”
“ไม่ ไม่มีของแจก เพราะวันเกิดป้าปีนี้ ป้าจะไม่จัดงาน แต่จะพาทุกคนไปเที่ยวหัวหินกัน”
รติรสและพจนีย์ยิ้มดีใจ
พจนีย์ร้องดีใจ“หัวหิน...ไชโย”
“ใครไปบ้างคะ”
“ทุกคนจ้ะ”
พจนีย์ถาม “บ้านตึกขาวด้วยรึเปล่า”
“แน่นอน”
“แล้วขมล่ะคะ”
“ทุกคนก็ต้องรวมถึงขมด้วยสิ”
โขมพัสตร์มีสีหน้ากระอักกระอ่วน
ต่อเนื่องมา นมผ่อนก้าวเข้ามาถาม
“ไม่ดีใจเหรอที่จะได้ไปหัวหิน”
“ถ้าเป็นคนปกติทั่วไปก็คงจะดีใจจ้ะป้า”
“ขมผิดปกติตรงไหน”
“ป้าก็รู้ มีแต่คนรังเกียจขม”
“คนรักก็ออกจะเยอะแยะ ไม่งั้นเขาจะชวนขมไปทำไม”
“ไปให้มีเรื่องน่ะสิป้า”
“ไม่ต้องกลัวน่า ไปที่นั่น มีทั้งคุณหญิง คุณไพลิน คุณรติรส คุณรัฐ คุณรัมภ์”
“แล้วก็ คุณรังสรรค์ คุณพจนีย์”
“แค่สองคน”
“คุณบุหงา”
“สามคนเท่านั้น”
“แต่เวลารวมกัน ตอนอารมณ์ร้ายๆ ใครก็เอาไม่อยู่นะป้า...นอกจาก...”
“นอกจากใคร ?”
“นอกจากพ่อพิทย์ของขม...ถ้าพ่อพิทย์อยู่ คงไม่มีใครกล้าทำอะไรขมหรอก”
น้ำเสียงของขมดูเหงาเศร้าลงไปเล็กน้อย
“พ่อพิทย์ไม่อยู่ แล้วอาล่ะ...อาสยามแทนพ่อพิทย์ได้มั้ย”
“จะมีใครชวนอาไปด้วยเหรอคะ”
นมผ่อนนิ่งไป ไม่อาจตอบคำถามนี้ได้
บ้านเทพสถิต ตอนค่ำ ชาติสยามเดินยิ้มเข้ามาที่กลางโถงบ้าน
“ฮัลโหล บ้านนี้มีใครอยู่มั้ย ขโมยจะขึ้นบ้านละนะ”
เสียงมจ.หญิงโสมวดีดังเข้ามาก่อนตัว
“ขึ้นมาเลย อยากได้อะไรก็ขนไปให้หมดเลย ถ้าไม่กลัวผีบ้านผีเรือนจับหักคอก็เชิญ”
“ห๊า บ้านเรามีผีด้วยเหรอ ?”
“อือม”
“แม่เลี้ยงผีตั้งแต่เมื่อไหร่ ?”
“ ตั้งแต่ลูกชายคนเดียว มันไม่อยู่บ้านให้เลี้ยง แม่ก็ต้องเลี้ยงผีแก้เหงาน่ะสิ”
“อ้าว ก็แม่เป็นคนปลูกบ้านให้ผมอยู่เองนะ จะโทษใคร”
“ขืนฉันไม่ปลูกบ้านให้ แกก็จะได้ไปซุกหัวกับใครที่ไหน จนแม่ตามไม่เจอน่ะสิ”
ชาติสยามกอดแม่ หอมแก้มแม่ เอาอกเอาใจ
“จริงๆเลย หม่อมเจ้าหญิงโสมวดีคนนี้...แล้วตอนนี้ลูกชายหิวข้าวแล้ว รู้มั้ยครับ”
“กับข้าวตั้งไว้ให้บนโต๊ะแล้ว...ไม่ท้องกิ่ว ไม่มีโผล่มาหาแม่หรอก”
“โผล่ซี่ วันนี้ตั้งใจโผล่มาเลย เพราะคิดถึง และมีเรื่องอยากปรึกษา”
“อย่างหลังมากกว่า ไอ้คิดถึงน่ะข้ออ้างละมั้ง”
“โธ่ อย่าเพิ่งว่าลูกเลยจ้า”
“เอ้า อยากปรึกษาอะไร ว่ามา”
“อยากรู้เรื่องพี่ชวาล”
“เราสนิทกับเขามากกว่าใคร น่าจะรู้จักเขาดีกว่าแม่ด้วยซ้ำ”
“ก็รู้แค่บางเรื่อง เรามาแลกเปลี่ยนข้อมูลกันไง”
“เราว่ามาก่อนเลย”
“แม่คงยังไม่รู้ว่าพี่ชวาลมีลูกแล้ว”
“ห๊ะ !”
ในห้องนอนโขมพัสตร์ตอนกลางคืน โขมพัสตร์นั่งสวดมนต์ บนที่นอนของเธอเสียงชาติสยามดังเข้ามา
“ พี่ชวาล มีลูกสาวหนึ่งคน อายุ17ปีแล้ว...แต่น่าแปลกที่ไม่มีใครรู้ว่าแม่ของเด็กคนนี้คือใคร...รู้แต่ว่า เสียชีวิตไปตั้งแต่ห้าปีที่แล้ว”
ชาติสยามนั่งกินข้าวบนโต๊ะอาหารสวยพร้อมเอ่ยปากคุยกับผู้เป็นแม่ ที่นั่งอยู่เบื้องหน้า
“หลังจากนั้น พี่ชวาลก็เอาลูกสาวไปฝากไว้กับเพื่อน ที่ดูเหมือนจะมีปัญหากันอยู่ แล้วพี่ชวาลก็มาขอร้องให้ผมคอยดูแลลูกสาวแกให้อีกแรง”
“ เฮ้อ ตาชวาลเนี่ยนา !”
“ทำไมครับ”
“พี่ชายเรานี้ช่าง อาภัพจริงๆ”
“ตาแม่เล่าบ้างแล้ว”
“ตั้งแต่ลุงของแกที่เป็นพ่อชวาลตายไป ก็มีแต่เรื่องวุ่นวายเต็มไปหมด ญาติพี่น้องรุมทึ้งมรดก จนชวาลประกาศตัดขาดจากทุกคน สุดท้ายก็ต้องมาช้ำอกช้ำใจเรื่องถูกผู้หญิงทิ้งอีก”
“ผู้หญิงคนไหน”
“แม่ก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน”
ไนต์คลับแห่งหนึ่ง เมื่อสิบแปดปีก่อนหน้านี้ชวาลเดินก้าวยาวๆเข้ามาในบาร์แห่งนี้ เขาตรงไปที่โต๊ะตัวหนึ่ง ปรากฏร่างของผู้หญิงฟุบหน้า เมามาย อยู่ที่นั่นเธอคือ แขนภา
“แขนภา”
แขนภาเงยหน้าขึ้นมองจ้องชวาลด้วยสายตาปรือ และพร่ามัว
“คุณ...คุณมาที่นี่ได้ยังไง”
“มีผู้หวังดี โทร. บอกผมว่าคุณเมาอยู่ที่นี่”
“ใคร? ใครคือผู้หวังดี...ไม่มีหรอก มีแต่คนคิดจะทำลายฉันทั้งนั้น”
แขนภาโซเซ เหมือนจะล้มชวาลโอบประคองร่างของเธอไว้
ชายในชุดบริกร โผล่หน้าตรงซอกมุมลับตามันยกกล้องขนาดกะทัดรัด แนบที่ตา และเล็งไปที่แขนภามันคือ แฟรงกี้ นั่นเอง
แขนภามองไปที่แฟรงกี้ แล้วยกมือชี้ไปที่มัน
“ผู้ชายคนนั้นด้วย เอาอะไรให้ฉันกินก็ไม่รู้ มึนหัวที่สุด”
แฟรงกี้ ลดกล้องลงทันที!
“นั่นพนักงานที่นี่ เขาเป็นคนโทร.บอกผมเอง...เดี๋ยวผมจะตามนายรังสรรค์ให้นะ”
“ไม่ต้อง ไม่มีประโยชน์หรอก เขาทิ้งฉันไปหมดแล้ว ไม่มีใครอยู่บ้านเลยซักคนพวกเขาไปเที่ยวทะเลกัน ไม่มีใครสนใจฉันเลยซักคน”
“งั้นผมพาคุณไปส่งที่บ้านพุทธชาดเอง”
“ทำไมคุณดีกับฉันอย่างนี้...มีคุณคนเดียวเท่านั้นที่ไม่เคยทิ้งฉันเลย คุณชวาล”
ชวาลค่อยๆอุ้มแขนภาออกไปแฟรงกี้ แอบเดินตามไปถ่ายรูปชายหญิงคู่นี้
บ้านเทพสถิตย์ชาติสยาม ยังคงนั่งที่โต๊ะกินข้าวตัวเดิม
"บางครั้งผู้หญิงก็ไม่ได้ต้องการผู้ชายที่ดีเกินไปนะลูก"
"งั้นผมคงต้องหัดทำตัวให้เลวเข้าไว้แล้วมั้ง"
"แกอยากจะเป็นอย่างนายรังสรรค์ รัตนเดชากร งั้นเหรอ"
ห้องนอนแขนภา บ้านพุทธชาด เวลากลางคืน สิบแปดปีก่อนหน้านี้ชวาลประคองร่างของแขนภานอนบนเตียงแขนภายังคงขยับปากพูดพึมพำเรื่องราวในใจออกมาโดยไม่รู้ตัว
" แขคิดถึงลูก อยากเห็นหน้าลูก"
"อย่าเพิ่งพูดอะไรเลย นอนเถอะ หลับพักผ่อนให้เต็มที่ก่อนนะ แล้วผมจะแวะมาเยี่ยมใหม่ ผมกลับละ"
ชวาลขยับตัวลุกขึ้นแขนภารั้งร่างของชวาลไว้
"อย่าเพิ่งไปค่ะ อยู่เป็นเพื่อนแขก่อนนะ...อย่าทิ้งแขไปนะ คุณรังสรรค์"
แขนภากอดชวาลไว้แน่น
แฟรงกี้โผล่หน้าในมุมลับตาของห้องยกกล้องตัวเดิมขึ้นมาถ่ายภาพเหล่านี้ไว้
ชวาลอยู่ในวงแขนของแขนภาที่เมามาย ไม่ได้สติ
โถงบ้านพุทธชาดกลางวัน ต่อมา เมื่อสิบแปดปีที่แล้ว
ภาพถ่ายในมือรังสรรค์ เขาจ้องมองดูมันด้วยสีหน้าโกรธจัด ก่อนขยำรูปเหล่านั้นทิ้ง และปัดของใกล้ตัวจนล้มระเนระนาด
"อีแขนภา...อีกากี"
บุปผายืนอยู่บริเวณมุมลับตาส่งซองเงินให้แฟรงกี้
"ทำงานได้ดีมาก"
"อยากได้อะไรเพิ่มเติม เรียกใช้แฟรงกี้ได้เสมอนะครับ"
บ้านเทพสถิตย์
"เป็นไปได้เหมือนกัน ที่เมียตาชวาล อาจเป็นคนรักเก่าของนายรังสรรค์"
"แต่พี่ชวาลไม่เคยพูดเรื่องนี้"
"งั้นก็เป็นหน้าที่ของแก ที่จะต้องสืบค้นเอาเอง...เพราะตอนนี้เราสองคนรู้เรื่องของชวาลเท่าๆกันแล้วหละ"
เวลากลางคืนหน้าบ้านพุทธชาดรถรังสรรค์แล่นเข้ามาจอด
รติรสนั่งอยู่มุมหนึ่งของสนามหน้าบ้านรังสรรค์ก้าวลงจากรถ เดินไปหาผู้เป็นลูก
"ทำไมมานั่งอยู่ตรงนี้ล่ะลูก"
"รสรอเจอพ่อค่ะ"
"มีเรื่องอะไรรึเปล่า ?"
"พรุ่งนี้รสจะไปมหาวิทยาลัยวันแรกค่ะ"
รอยยิ้มผุดขึ้นบนใบหน้ารังสรรค์
"เหรอ? พ่อต้องไปทำอะไรด้วยรึเปล่า"
"ไม่ต้องค่ะ รสแค่อยากบอกให้พ่อรู้"
รังสรรค์เอื้อมมือโอบไหล่ลูกสาวอย่างอบอุ่น
"พ่อดีใจด้วยนะ ลูกเป็นเด็กดี และก็เป็นคนเก่งด้วย"
"ถ้าแม่ยังอยู่ แม่จะภูมิใจกับรสมั้ยคะ"
รังสรรค์หายใจลึกๆก่อนเอ่ยปากตอบ
"ภูมิใจสิ...แม่บุปผาต้องภูมิใจในตัวลูกแน่ๆ"
"แต่ตอนที่แม่ยังอยู่ แม่ก็ไม่ค่อยคุยกับรสเท่าไหร่...จนบางทีรสรู้สึกเหมือน...เหมือนรสเป็นลูกที่ไม่มีใครต้องการ"
"อย่าคิดอย่างนั้น"
"เป็นเพราะรสหน้าไม่เหมือนแม่รึเปล่าคะ...รสหน้าเหมือนคนที่แม่ไม่ชอบรึเปล่าคะ"
รังสรรค์อึ้งไปนิดนึงเขาค่อยๆประคองวงหน้าของลูกสาว และพูดกับเธออย่างมีความหมาย
"พ่อเคยบอกแล้ว จำไม่ได้เหรอ ว่ารสเป็นลูกพ่อ อย่าสนใจสิ่งที่คนอื่นพูด ไม่ว่ารสจะหน้าเหมือนใคร หรือไม่เหมือนใคร พ่อก็รักรสเสมอ"
"ค่ะ"
"พ่อจะหาของขวัญให้ลูกสักชิ้นนึง แล้วพรุ่งนี้พ่อจะไปส่งรสที่มหาวิทยาลัยนะ"
"ไม่เป็นไรค่ะ รสจะไปกับพี่รัฐ เพราะเราเรียนที่เดียวกัน"
"เหรอ ?"
"ค่ะ"
"อือม...พ่อก็ไม่ทันได้ถามว่ารสสอบได้ที่ไหน คณะอะไร...พ่อขอโทษนะ"
รังสรรค์ขยับตัวจะเดินเข้าบ้านรติรสเอ่ยปากอีกหนึ่งคำถาม
"พ่อคะ วันเกิดป้าไพลินพ่อจะไปหัวหินกับพวกเรารึเปล่าคะ"
ในห้องนอน เวลาต่อมา บุหงาวางแก้วน้ำดื่มให้รังสรรค์ พร้อมกับเอ่ยปาก
"คุณแม่บอกว่าให้ไปกันหมดทุกคน คุณพี่ก็ควรจะไปนะคะ ไม่งั้นน่าเกลียด"
"ฉันไม่อยากเห็นหน้านังขม"
บุหงาวางท่าครุ่นคิดนิดนึง
"งั้นก็ ชวนอาเขาไปด้วยสิคะ จะได้มาคอยดูแลหลาน ไม่ให้มาวุ่นวายรกหูรกตาคุณพี่"
"ไอ้หมอนั่นก็รกหูรกตาฉันไม่ต่างจากหลานมัน"
"เหรอคะ...เขาทำอะไรให้คุณพี่รำคาญคะ ?"
"มันโอหัง จองหอง พูดจากวนฉันตลอดเวลา"
บุหงาวางหน้าใสซื่อ ไม่รู้ไม่ชี้
"คุณพี่ไปเจอคุณชาติสยามมาเหรอคะ"
"อือม และไม่อยากจะเจอหน้ามันอีก"
บุหงาเขี่ยเรื่องเข้าตัว
"งั้น...ให้เป็นธุระของน้องเองค่ะ...น้องจะชวนเขาไปหัวหินด้วย เขาจะได้แยกขมออกจากวงของเรา แล้วน้องก็จะเป็นกันชนคอยรับหน้าคุณชาติสยามเอง คุณพี่จะได้ไม่ต้องหงุดหงิด"
รังสรรค์จ้องมองบุหงา ค้นหาความจริงเบื้องหลังคำพูดของเธอ
"เธอคิดอะไรอยู่รึเปล่าบุหงา...ไอ้หมอนั่นมันหนุ่มกว่าฉัน หล่อกว่าฉัน"
บุหงาเอ่ยปากตอบอย่างท้าทาย มิได้เกรงกลัวแม้แต่น้อย
"แล้วไงคะ ?"
"เธอเบื่อฉันใช่มั้ย"
"ก็ถ้าคุณพี่ไม่ทำตัวน่าเบื่อ น้องจะเบื่อได้ยังไง"
รังสรรค์ใช้สองมือ บีบไหล่ทั้งสองข้างของบุหงา
"รู้ใช่มั้ยว่า ถ้านอกใจฉัน อะไรจะเกิดขึ้น"
"ถ้าคุณพี่ทำร้ายดิฉัน คุณพี่ก็ต้องรู้เหมือนกันว่าจะเกิดอะไรขึ้น"
หน้ามหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ รัฐและรติรสเดินเข้ามา รัฐส่งเอกสารให้รติรส
"นั่นไงคณะของรส...และนี่คือเอกสารลงทะเบียน รสกรอกรหัสวิชาที่จะเรียนลงไป แล้วก็จ่ายเงิน แค่นั้นก็เสร็จ"
"ขอบคุณค่ะ"
"หรือจะให้พี่เข้าไปเป็นเพื่อนด้วยมั้ย?"
"ไม่ต้องหรอกค่ะ พี่รัฐก็ต้องไปลงทะเบียนคณะของพี่เหมือนกันนี่คะ"
"สบายมาก พี่ลงแป๊ปเดียวก็เสร็จ แล้วเดี๋ยวพี่จะพารสไปซื้อหนังสือเรียนนะ"
"ลำบากพี่รัฐรึเปล่าคะ"
"แค่นี้เรื่องเล็ก รุ่นพี่ไม่ดูแลรุ่นน้อง ก็ไม่ใช่รุ่นพี่ที่ดีน่ะสิ...เดี๋ยวเรามาเจอกันตรงนี้นะ...อย่าหนีพี่ไปเที่ยวไหนล่ะ"
"ค่ะพี่รัฐ"
โถงเรือนเล็ก บ้านพุทธชาดบุหงายืนพูดโทรศัพท์ในมุมลับตา
"ดิฉันบุหงานะคะ...คุณชาติสยามจำได้ใช่มั้ยคะ"
โถงบ้านชาติสยาม เขายืนพูดโทรศัพท์พร้อมกับแต่งตัวไปด้วย
"ผมไม่ได้ขี้ลืม ถึงขนาดจำผู้หญิงที่เพิ่งโทรหาผมเมื่อวานไม่ได้"
"ดิฉันโทรมากวนใจคุณรึเปล่าคะ"
"ก็อยู่ที่ว่าโทรมาหาผมด้วยเรื่องอะไร"
"เรื่องขมค่ะ"
"แน่ใจนะครับ"
บุหงาประดิษฐ์น้ำเสียงน่าเห็นใจ
"ค่ะ...นับวันคุณรังสรรค์ดูจะอารมณ์ร้ายใส่ขมอยู่บ่อยๆ ดิฉันเองยังตกใจเลยนะคะ"
"คุณบุหงาก็ช่วยทักท้วงแกไว้บ้างสิครับ"
"ถ้าฉันพูดกับเขาได้ ก็คงพูดไปนานแล้วละค่ะ ทุกวันนี้ดิฉันพูดกับเขาแทบจะนับคำได้เลย...ตกลงเราจะเจอกันได้มั้ยคะ"
ชาติสยามครุ่นคิดชั่วครู่ จึงเอ่ยปากตอบ
"ถ้าเป็นเรื่องของหลานสาวผม ก็ยินดีครับ"
รอยยิ้มผุดขึ้นบนหน้าของบุหงา
"ค่ะ...แล้วเจอกันบ่ายนี้นะคะ"
"ครับ"
ชาติสยามวางโทรศัพท์ลงสีหน้าของเขาบ่งบอกว่า ไม่ค่อยมั่นใจในสิ่งที่บุหงาพูดเท่าไหร่นัก
บุหงาวางโทรศัพท์ลง สีหน้าเบิกบานใจ
ด้านหลังพจนีย์ยืนมองน้าสาวของเธออยู่ด้วยความสนใจยิ่งบุหงาพลิกหน้าหันไปเห็นพจนีย์ เธอมีอาการสะดุ้งเล็กน้อย
"น้าบุหงาคุยกับใครเหรอ"
"เพื่อนน่ะ...เพื่อนเก่าของน้า"
"ใช่คนที่ชวนน้าบุหงาไปเรียนทำขนมเค้กรึเปล่า"
"อือม...ใช่"
"แล้วเขาจะชวนน้าไปทำอะไรอีกล่ะคราวนี้"
"เปล่า...แค่นัดเจอกันเฉยๆ"
"พจน์ไปด้วยสิ พจน์เบื่อ ขี้เกียจอยู่บ้าน"
"ก็ไปเล่นกับหนุ่มๆบ้านตึกขาวสิจ๊ะ"
"พี่รัฐไม่อยู่ ไปมหาลัยกับพี่รส"
"ก็ยังมีพี่รัมภ์อีกคนนึงไง...หล่อพอกันซะด้วย"
"น่าเบื่อต่างหาก พี่รัมภ์ปากคอเราะร้าย ชอบแขวะพจน์ พจน์ไม่ชอบ"
"งั้นพจน์ก็คงต้องไปเล่นกับขม"
พจนีย์ชักสีหน้าบูดบึ้งทันที
"น้าบุหงาพูดเหมือนไม่รู้จักพจน์ แค่นั่งรถไปกับมันเมื่อวานพจน์ก็คลื่นไส้จะแย่อยู่แล้ว แหมทำเป็นลอยหน้าลอยตา คุณป้าก็ให้ท้ายมัน เอาใจมันซะไม่มี"
"งั้นก็เปลี่ยนจากเล่นกับมัน เป็น หาเรื่องแกล้งมันสิคะ"
"โอ๊ย คุณย่าสั่งห้ามซะขนาดนั้น ใครจะกล้าแตะต้องนังขม"
"เราก็แกล้งมันแบบ ไม่จงใจสิคะ...แหม ฉลาดๆอย่างหลานพจนีย์ หาวิธีได้อยู่แล้วหละ...จริงมั้ยคะ ?"
พจนีย์คิดตามแล้วยิ้ม มีความสุข
พจนีย์เดินไปที่ตึกขาว รัมภ์เดินเข้ามา พจนีย์ยืนรออยู่
"พจน์มาหาพี่ถึงบ้านแต่เช้าเชียว มีอะไรรึเปล่า"
"จะชวนไปตีปิงปอง"
"เสียใจ พี่ไม่ว่าง พี่มีนัดแล้ว"
"นัดกับใคร ?...อย่าบอกว่า ยายขมนะ"
"ถูกต้อง"
"นัดทำอะไร ไปเที่ยวไหนกัน ไม่เห็นบอกพจน์บ้างเลย"
"นัดไปท่องหนังสือ พี่ติวภาษาอังกฤษให้ขม สนใจจะเข้าคลาสเดียวกันมั้ยล่ะ"
"ตีปิงปองก่อนได้มั้ยล่ะ เข้าคลาสเอาไว้ทีหลัง"
"เอ้อ !"
"ชวนขมมาตีด้วยไง สามคนกำลังดี ผลัดกันตี ไม่เหนื่อย"
เวลาต่อเนื่องมา รัมภ์และพจนีย์ยืนคนละฝั่งของโต๊ะปิงปอง และกำลังตีลูกปิงปองอย่างสนุก
โขมพัสตร์ยืนถือหนังสืออยู่ข้างโต๊ะ มองตามลูกปิงปองโดยไม่ปริปากบ่น
พจนีย์ถาม"พี่รัมภ์เตรียมตัวไปหัวหินหรือยัง"
"เตรียมเรียบร้อยอย่างดี ทั้งชุดว่ายน้ำ ชุดเดินหาด ชุดเดินป่า"
"เดินป่าด้วย ?"
"พี่กะจะชวนพวกเราเดินขึ้นเขาสามร้อยยอด ไปไหว้พระในถ้ำบนนั้นกัน ได้บุญด้วย ได้ออกกำลังด้วย สนุกดีนะ"
"แต่พจน์สังหรณ์ใจว่า จะไม่สนุกเหมือนที่เราเคยไปกันตอนเด็กๆ"
"ทำไมล่ะ"
"ก็มีบางคนที่พจน์ไม่อยากให้ไปด้วย"
โขมพัสตร์พยายามนิ่งมากยิ่งขึ้น
พจนีย์ยังคงตีปิงปองต่อไป พร้อมกับเอ่ยปากเสียงใส
"ฉันไม่ได้หมายถึงเธอหรอกนะขม อีคนนั้นมันก็แค่เด็กรับใช้ไม่มีหัวนอนปลายเท้าคนนึงที่พ่อมันเอามาทิ้งไว้ และคุณย่าก็กำลังเห่อ จะเอามันไปเที่ยวด้วยพจน์เกลียดขี้หน้ามันมากเลยหละขม ยิ่งเวลาใครไปเอาใจมันนะ มันจะผยองพองขน น่าเกลียดเชียว"
รัมภ์หยุดตีปิงปองทันที
"พจน์ พี่รู้นะว่าพจน์พูดจากระทบใคร...อย่างนี้ พี่ไม่เล่นด้วยแล้ว"
"งั้นเธอมาตีต่อสิขม มาเร็ว"
"พี่จะติวภาษาอังกฤษให้ขม"
"ตีก่อนซักตาสองตาแล้วค่อยติวก็ได้ มาเร็ว"
โขมพัสตร์จำใจหยิบไม้ปิงปองจากพี่รัมภ์
"เอารับลูกเสิร์ฟ"
พจนีย์โยนลูกลอยขึ้น แล้วตบลูกปิงปองลูกนั้นอย่างตั้งใจมันพุ่งไปกระแทกหน้าโขมพัสตร์อย่างแรง
พจนีย์หัวเราะร่าเริง
"อุ๊ยตาย ลูกเสิร์ฟ ไซด์โค้งเข้าเป้า โดนหน้าพอดี...ขอโทษจ้า ฮ่ะฮ่ะฮ่า"
"ขมไปอ่านหนังสือหละนะคะ"
ขมวางไม้ปิงปองแล้วเดินออกไปทันที
"เมื่อไหร่จะเลิกนิสัยเสียอย่างนี้ซะที พจนีย์"
"อุบัติเหตุ...เกิดขึ้นได้ทุกเวลา พี่รัมภ์ไม่รู้เหรอ ?"
วันเดียวกัน ในคอฟฟี่ช็อปแห่งหนึ่งชาติสยามขยับตัวลงนั่งเบื้องหน้าบุหงาเธอนั่งรอเขาอยู่บนโต๊ะสวย ท่ามกลางแสงไฟสลัวของร้านนี้
บุหงาเอ่ยปากด้วยเสียงเซ็กซี่
"ขอบคุณนะคะ ที่กรุณามาหาดิฉัน"
"เพราะเป็นเรื่องของขม ผมจึงไม่อยากปฏิเสธ"
"แหม น่าดีใจแทนขมนะคะ ไม่ใช่อาแท้ๆ ยังห่วงใยใส่ใจขนาดนี้"
"ผิดเหรอครับ"
"ตอนนี้อาจจะไม่ แต่นานไปอาจจะดูไม่ดีนะคะ"
"เรานัดเจอกันในร้านแบบนี้ อาจจะไม่ดียิ่งกว่านะครับ"
"เหรอคะ ?"
"อย่างน้อยก็น่าจะเลือกร้านที่สว่างกว่านี้หน่อย"
"บรรยากาศแบบนี้ดีออก"
"ผมว่ามันไม่เหมาะกับการคุยเรื่องหลานผมเท่าไหร่"
"แล้วคุณคิดว่าเหมาะกับอะไรคะ ?"
"เหมาะสำหรับคุณกับคุณรังสรรค์มากกว่า"
บุหงาตั้งท่าถอนหายใจอย่างน่าสงสาร
"ทุกครั้งที่คุณชาติสยามเอ่ยชื่อ ” รังสรรค์ ” ดิฉันรู้สึกระทมทุกข์ทุกครั้ง"
"ชื่อสามีคุณนะครับ !"
"ถ้าไม่ใช่เพราะเกรงใจผู้ใหญ่ ฉันไม่มีทางยอมเป็นภรรยาเขาหรอกค่ะ"
สยามจ้องมองท่าทีของบุหงาอย่างไม่ไว้วางใจ
"คุณคงไม่รู้ว่า ฉันจำเป็นต้องรับหน้าที่นี้แทนที่พี่สาวของดิฉัน...อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้"
"ความรัก สามารถรับหน้าที่แทนกันได้ด้วยเหรอครับ ?"
"เพราะมันไม่ใช่ความรักไงคะ...ฉันถึงต้องทนลำบากใจกับการทำหน้าที่ดูแลสามีของพี่สาว...เธอสั่งเสียกับดิฉันไว้ก่อนตายน่ะค่ะ"
"นี่เป็นเรื่องส่วนตัวของคุณบุหงาที่ผมไม่ควรรับรู้"
"แต่ดิฉันอยากให้คุณชาติสยามรับรู้ค่ะ"
"เกี่ยวกับหลานสาวผมตรงไหน ?"
บุหงาจงใจถอนใจอีกครั้ง
"คุณจะได้รู้ว่า ทุกครั้งที่คุณรังสรรค์อาละวาดใส่ขม ไม่ว่าดิฉันจะเจ็บปวดใจแค่ไหน ก็ไม่สามารถห้ามปรามคุณรังสรรค์ได้...เพราะดิฉันกับเขา เราแทบจะไม่ได้คุยอะไรกันเลย"
"ผมว่าคุณควรจะรีบแก้ปัญหาในครอบครัวของคุณซะก่อน ส่วนเรื่องหลานผมผมจะแก้ปัญหาเอง"
"แต่เราช่วยกันได้นี่คะ"
"ยังไงครับ ?"
"เริ่มจาก คุณชาติสยามกับดิฉันควรจะนัดเจอกันแบบนี้บ่อยๆ เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลกัน"
"ผมไปที่บ้านพุทธชาดก็ได้มั้งครับ"
"ฉันไม่อยากให้ใครที่นั่นรู้ ถ้าพวกเขาไหวตัวทัน มันจะไม่ดีสำหรับขม"
"งั้นเหรอครับ ?"
"และในเร็วๆนี้ ดิฉันอาจจะไม่อยู่ที่บ้านนั้นแล้วก็ได้"
บุหงาขยับตัวเข้าใกล้ชาติสยามด้วยท่วงท่ายั่วยวนอยู่ในที
"ดิฉันอยากตัดสินใจอะไรตามหัวใจตัวเองบ้าง"
ชาติสยามถอยตัวห่างออกจากบุหงา
"เรื่องที่เกี่ยวกับขมหมดเท่านี้ใช่มั้ยครับ"
"ค่ะ...เหลือแต่เรื่องของดิฉัน"
"คราวหน้าหาร้านที่สว่างๆ และผู้คนพลุกพล่านกว่านี้นะครับ ผมอาจจะรับฟังเรื่องราวของคุณมากกว่านี้ก็ได้ สวัสดีครับ"
ชาติสยามลุกขึ้นจากโต๊ะและเดินออกไป บุหงามองตามด้วยความเสียดาย
บ่ายวันเดิมรถของรัฐแล่นเข้ามาจอดหน้าบ้านพุทธชาด รติรสนั่งข้างๆรัฐซึ่งเป็นผู้ขับรถ
"ขอบคุณพี่รัฐนะคะ ที่เสียเวลากับรสทั้งวัน"
"ด้วยความเต็มใจจ้ะ"
"ถ้าไม่ได้พี่รัฐช่วย รสคงทำอะไรได้ไม่เสร็จทุกอย่างในวันเดียวอย่างนี้แน่ๆ"
"พี่ทำให้รสแค่นี้ยังถือว่าน้อยไป...เราเห็นกันมาตั้งแต่เล็กๆ ไม่ใช่คนอื่นคนไกลซะหน่อย"
"พี่รัฐเข้าไปดื่มน้ำในบ้านก่อนมั้ยคะ"
"ไม่ละ พี่เอารถไปเก็บเลยดีกว่า จะรีบแวะไปหาขมหน่อย...ไปก่อนนะ"
รติรสถือถุงหนังสือลงจากรถรัฐจึงขับรถเคลื่อนออกไป
รติรสมองตามไป เกิดความรู้สึกน้อยใจขึ้นมานิดๆ
พจนีย์เดินเข้ามา ยุแยง
"เห็นรึยังว่า นังขมมันเป็นตัวมารขัดขวางความสุขเราแค่ไหน"
"พูดเกินไปน่าพจน์"
"เกินที่ไหนกัน...มันแย่งผู้ชายบ้านนู้นไปทั้งสองคน พี่รสก็เห็น ยังจะไปเอาอกเอาใจมันอีก...คอยดูนะ พจน์จะไม่ปล่อยให้มันไปแย่งความสุขของเราที่หัวหินได้ง่ายๆหรอก"
คืนนั้น โขมพัสตร์นั่งเขียนจดหมายในห้องนอนนมผ่อนโผล่หน้าเข้ามาในห้องนี้
"เขียนจดหมายถึงพ่ออีกแล้วเหรอ ขม"
"ค่ะ...เขียนเรื่องทะเลขมกำลังจะได้ไปทะเลครั้งแรกในชีวิต แต่ขมอยากไปกับพ่อ มากกว่าไปกับคุณรังสรรค์"
"ขม ป้าขอพูดอะไรหน่อยนะ"
"ค่ะ"
"ป้าเข้าใจว่าขมต้องอึดอัดมากแค่ไหน กับสิ่งที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ แต่ป้าเชื่อว่า ถ้าเราปล่อยวางมันซะ เปิดหูเปิดตา เปิดใจ เลือกรับแต่สิ่งดีๆเข้ามา ก็จะทำให้เรามีความสุขได้ในทุกๆสถานการณ์...มันอาจจะยาก แต่เราก็ต้องพยายาม...ไม่แน่นะ บรรยากาศดีๆที่ทะเล อาจจะทำให้อะไรๆดีขึ้นก็ได้ ใครจะรู้"
โขมพัสตร์หันไปกอดนมผ่อนอย่างอบอุ่น
"ขมอยากให้ป้าไปหัวหินด้วยจัง"
" อย่าเลยจ้ะ...ป้าว่ายน้ำไม่เป็น"
ชาติสยามเดินเข้ามากลางโถงบ้านเสียงโทรศัพท์ในบ้านดังขึ้นชาติสยามยกโทรศัพท์ขึ้นแนบหู
"สวัสดีครับ ผมชาติสยามครับ...พี่ชวาล"
รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของชาติสยาม
"ครับ พี่ชวาล ได้ครับพี่"
เช้าวันใหม่ กลางโถงเรือนใหญ่นมผ่อนและเด็กรับใช้กำลังจัดสัมภาระและกล่องอาหาร
คุณหญิงรัตนเดชากรเดินเข้ามา เอ่ยปากถาม
"ขนอะไรไปซะเยอะเลยน่ะ"
"เครื่องครัวเล็กๆ กับของแห้งน่ะค่ะ...คุณหญิงจะได้ไม่ต้องไปหาซื้อที่โน่น สั่งแต่พวกของทะเลก็พอ"
"ขอบใจนะ...ขมล่ะ"
"กำลังจัดกระเป๋า ใกล้เสร็จแล้วค่ะ"
"ตกลงขมเขาจะนั่งรถคันไหนไป"
"เห็นคุณรติรสชวนให้ไปนั่งคันเดียวกันกับเธอ"
"จะดีเหรอ ตารังสรรค์ขับไปเองซะด้วย"
"อิฉันว่าให้ขมไปรถตู้กับนังอิ่ม นังอาบ ก็ได้ค่ะ"
"ก็แล้วแต่เขาแล้วกัน"
โขมพัสตร์ถือกระเป๋าเดินออกมาจากเรือนพจนีย์ก้าวเข้ามาขวางหน้าขม
"เอากระเป๋าไปใบเท่าเนี้ย?"
"ดิฉันไม่ได้มีของอะไรมากมายนี่คะ"
"โถ น่าสงสาร...อยากได้อะไรที่นั่นบอกนะ ฉันจะซื้อให้"
"ไม่เป็นไรค่ะ"
โขมพัสตร์ขยับตัวจะเดินออกไป...พจนีย์เรียกไว้
"คุณย่าบอกให้เธอนั่งรออยู่ตรงนี้ก่อน เขากำลังจัดรถกันอยู่ เดี๋ยวพร้อมแล้วจะมาเรียก"
โขมพัสตร์หยุดเดิน หันมาถามพจนีย์
"แล้วดิฉันนั่งรถไปกับใครคะ"
"อยากไปคันไหนล่ะ"
"คันไหนก็ได้"
"เดี๋ยวก็รู้เอง รออยู่นี่นะ ฉันจะแวะไปดูที่ตึกขาวซะหน่อย"
พจนีย์เดินออกไป โขมพัสตร์ขยับตัวลงนั่งนิ่งๆ ไม่อยากคิดมาก
รังสรรค์ และบุหงาเดินตรงไปยังรถที่จอดอยู่หน้าบ้านรติรสนั่งรออยู่ในรถคันนั้น
"พร้อมทุกคนแล้วใช่มั้ย" รังสรรค์ถาม
รติรสบอก"รอยายพจน์ก่อนค่ะ"
พจนีย์ก้าวยาวๆกึ่งเดินกึ่งวิ่งตรงมาที่รถรังสรรค์
"พจน์มาแล้วจ้ะ รีบไปกันเลยเถอะ อยากเล่นน้ำทะเลจะแย่แล้ว"
รังสรรค์และบุหงาขยับตัวเข้าไปนั่งในรถพจนีย์หันไปมองที่รถตู้ของบ้านที่ยังจอดอยู่
บริเวณที่จอดรถตู้คนขับรถ และสาวใช้สองคนยืนรออยู่ข้างรถพจนีย์เดินเอ่ยปากสั่งคนขับรถตู้คันนั้น
"รถตู้รออะไร ไปได้แล้ว เดี๋ยวไม่ทันคุณย่านะ"
"แต่ ขม..".
"บอกว่าไปได้แล้ว จะ มาแต่ มาเต่อ อะไร !"
พจนีย์เดินกลับไปยังรถรังสรรค์ทันที
ในรถรังสรรค์พจนีย์ขยับตัวลงนั่งที่เบาะหลัง ข้างๆรติรส
"แล้วขมล่ะ"
"ทำไมเหรอ"
"ฉันชวนให้ขมมานั่งด้วยกัน"
"มันจะกล้ามาเหรอ ?"
รังสรรค์และบุหงาเหลือบมองพจนีย์
"โน่น ขึ้นรถไปกับบ้านตึกขาว ไปถึงไหนต่อไหนแล้ว...ไปค่ะพ่อ"
รถรังสรรค์ และรถตู้ ต่างเคลื่อนตัวออกจากบ้าน ในเวลาไล่เลี่ยกัน
โขมพัสตร์นั่งนิ่งอยู่บริเวณหน้าเรือนนมผ่อนนมผ่อนเดินมาจากเรือนใหญ่ และตกใจทันทีที่เห็นโขมพัสตร์
"ตายจริง ขม...ทำไมยังนั่งอยู่ตรงนี้ล่ะ รถออกไปหมดทุกคันแล้วนะ"
"ขมนึกแล้วหละ ว่าต้องเป็นอย่างนี้"
ในรถรังสรรค์ที่กำลังมุ่งหน้าสู่หัวหินพจนีย์นั่งยิ้มมีความสุข อย่างออกนอกหน้าจนบุหงาและรติรส ต้องผลัดกันเหลือบดู
นมผ่อนเดินบ่นเข้ามาในบ้าน โขมพัสตร์เดินถือกระเป๋าตามหลังเข้ามา
"คุณพจน์นะคุณพจน์...ทำไมร้ายกาจได้ถึงเพียงนี้"
"ช่างเขาเถอะค่ะป้า ดีกว่าไปมีเรื่องกันที่โน่น"
"ถึงยังไงคุณหญิงก็ต้องสอบสวนเรื่องนี้ มีหวังได้โดนลงโทษกันบ้างหละ"
"เขาก็จะยิ่งเกลียดชังขมเข้าไปอีกน่ะสิ...เฮ้อ ไม่มีอะไรดีสำหรับขมซักอย่างนอกจากจะไปให้พ้นจากบ้านหลังนี้"
รถแท๊กซี่คันหนึ่งแล่นเข้ามาจอดหน้าบ้านพุทธชาดชาติสยามก้าวลงจากรถแท๊กซี่คันนี้ โขมพัสตร์ก้าวเข้าไปหา หน้าตาดีใจ
"อาสยาม"
โขมพัสตร์วิ่งไปกอดชาติสยามเต็มแรง
"กำลังนึกถึงอาอยู่ใช่มั้ย"
"อารู้ได้ยังไง"
"ถ้าไม่นึกถึงก็บอกมา อาจะได้กลับ"
"นึกถึงค่ะ นึกถึงมากๆเลย"
"ค่อยชื่นใจหน่อย"
"แล้วทำไมวันนี้มาแท๊กซี่ละคะ"
"เพราะอาจะพาขมไปนั่งรถไฟ"
"รถไฟ ?"
"อือม"
"ไปไหน ?"
"ทายซิ ?"
โขมพัสตร์ทำท่าคิด นิดนึง แล้วจึงเอ่ยปากออกมาเป็นเพลงเด็ก
"รถไฟจะไปโคราช ตดดังป้าดถึงราชบุรี"
ชาติสยามเอ่ยปากร้องต่อจากโขมพัสตร์
"ตดอีกที"
"ตดอีกทีถึงบริษัท บริษัทป้ำๆเป๋อๆ"
"ขอเสนอให้ไปหัวหิน !"
เพลงจบลงตรงนี้ โขมพัสตร์ชักสีหน้าขึ้นมาทันที
"ไปทำไม มีแต่คนเหม็นหน้าขม"
"ยิ่งเหม็นหน้าเรา เรายิ่งต้องไป...ให้มันรู้กันว่าหน้าใครเหม็นกว่ากันแน่"
"ป้านมผ่อน โทร. บอกอาเหรอคะ"
ชาติสยามพยักหน้า
"ถ้าขมตามเขาไปที่หัวหิน คุณหญิงก็อาจจะโกรธพจนีย์น้อยลง พจนีย์ก็จะได้ไม่เกลียดเรามากขึ้นไปกว่านี้"
โขมพัสตร์ครุ่นคิด และลังเลชาติสยามค่อยๆเร่งเร้าเธอ
"เอายังไง...นับหนึ่งถึงสาม ถ้าไม่ไปจัดกระเป๋า อากลับนะ....หนึ่ง สอง สะ..."
ขมรีบวิ่งไปเรือนนมผ่อนก่อนสิ้นเสียงคำว่า สาม ...
ขบวนรถไฟวิ่งตรงไปยังหัวหิน ในปีพ.ศ. 2506
โขมพัสตร์ยื่นหน้าออกไปนอกหน้าต่างรถไฟ เส้นผมของเธอปลิวกระจายตามความแรงของลม
สีหน้าและแววตาของโขมพัสตร์เต็มไปด้วยความร่าเริง แจ่มใส
"นี่คือการนั่งรถไฟครั้งแรกในชีวิตของขมเลยนะคะ"
"ไม่บอกก็รู้"
โขมพัสตร์พลิกตัวกลับมานั่งในท่าปกติ ตรงข้ามชาติสยาม
"และเมื่อมีครั้งแรกแล้ว ครั้งต่อๆไปก็จะค่อยๆตามมา"
"คงไม่มั้งคะ เพราะขมไม่รู้จะนั่งรถไฟไปไหนอีก"
"งั้นครั้งต่อไป เราเปลี่ยนจากรถไฟเป็นเครื่องบินก็แล้วกัน"
"ยิ่งหนักเข้าไปใหญ่...ขมจะนั่งเครื่องบินไปไหน..."
"ไปหาพ่อพิทย์ไง ดีมั้ย"
หน้าตาของขมตื่นเต้นมากขึ้นเป็นทวีคูณ
"จริงเหรอคะ"
"ใครจะรู้"
"อาน่ะสิรู้...อาพูดจริงหรือเปล่า หรือหลอกขมเล่นๆ"
"ใจเย็นๆ อาแค่เสนอความคิดเห็น ยังไม่ได้รับปากอะไรทั้งนั้น"
"งั้นก็คงไม่มีวันเป็นจริงหรอก...ขนาดพ่อพิทย์รับปากกับขม ยังทำไม่ได้อย่างที่รับปากเลย...ทุกวันนี้ขมเจออามากกว่าเจอพ่อซะอีก"
"เบื่อรึยังล่ะ"
โขมพัสตร์ส่ายหน้า
"ตอนนี้บอกไม่เบื่อ อีกหน่อยพอเจอพ่อ ก็ขี้คร้านจะลืมอาหมด"
"ไม่มีทาง มีแต่อานั่นแหละจะเบื่อขม...เพราะถ้าวันนึงพ่อไล่ขมไม่ให้ขมอยู่ด้วยขมจะไปอยู่กับอา"
"ไม่มีวันนั้นหรอก อารับรองว่า พ่อพิทย์ไม่มีวันทิ้งขม"
"ก็ทิ้งอยู่นี่ไง พ่ออาจจะลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่ามีลูกชื่อขม"
โขมพัสตร์ซึมลงไป เมื่อพูดถึงพ่อ
ชาติสยามจ้องมองขมด้วยความรู้สึกสงสารและเห็นใจเขาตัดสินใจเอ่ยปากอะไรบางอย่าง เพื่อปลอบประโลมจิตใจของเธอ
"พ่อพิทย์ไม่เคยลืมขม พ่อพิทย์พูดถึงขมตลอดเวลา"
"อารู้ ?"
"อือม"
"ไม่เห็นเล่าให้ขมฟังบ้างเลย"
"พ่อพิทย์พูดกับอาถึงเรื่องอนาคตของขมบ่อยๆ"
"เหรอคะ"
"พ่อพิทย์อยากเห็นขมก้าวหน้า และประสบความสำเร็จในทุกๆด้านโดยเฉพาะการศึกษาเล่าเรียน พ่อพิทย์อยากให้ขมเรียนให้สูงที่สุด"
โขมพัสตร์ตั้งใจฟัง แววตาสดใสขึ้น
"แค่ไหนคือสูงที่สุด"
"มหาวิทยาลัย จนถึงปริญญาเอก"
"อย่างนั้นเลยเหรอคะ...แล้วพ่ออยากให้ขมเรียนอะไร ?"
"อักษรศาสตร์ สังคมศาสตร์ วรรณคดี ได้หมด"
"พอเรียนจบแล้วยังไงอีกคะ"
"จบแล้วก็ได้แต่งงานกับผู้ชายดีๆซักคนนึง ที่จะอยู่เป็นคู่ชีวิตกับขมไปจนวันตาย"
"ไม่มีหรอกค่ะ คนๆนั้นน่ะ ขมจะอยู่คนเดียว"
"ไม่ได้ ขมต้องมีใครซักคน"
"แล้วขมจะรู้ได้ยังไงว่า ใคร ดี"
"ถึงตอนนั้น ขมก็จะรู้เอง"
"ขมขอให้คนนั้นดีเท่ากับอาก็พอ"
อาและหลานยิ้มให้กัน ในบรรยากาศที่สดใส
บ้านสวยหลังใหญ่ บริเวณชายหาดหัวหิน พจนีย์และรติรสใส่ชุดว่ายน้ำ ทั้งสองวิ่งทะยานออกจากโถงบ้านไพลินที่กำลังจัดสัมภาระต่างๆอยู่
"ไม่เก็บกระเป๋า จัดข้าวจัดของให้เรียบร้อยก่อนล่ะลูก มาถึงก็ลงทะเลเลยเหรอ"
"ของเดี๋ยวค่อยจัดก็ได้ค่ะป้า ถ้าช้าเดี๋ยวมืด ป้าก็ไม่ให้เล่นน้ำทะเลอีกน่ะแหละไปพี่รสไปเร็ว"
พจนีย์ลากรติรสวิ่งลงทะเลไปในทันที
บุหงาเดินถือขวดเหล้าและแก้วเข้ามา เธอเดินตรงไปหารังสรรค์ ที่นั่งอยู่บริเวณระเบียง
"นี่ก็อีกคน มาถึงก็ดื่มเหล้าเลย"
"บรรยากาศแบบนี้ พี่จะให้ผมทำอะไรล่ะ...ให้ไปทำกับข้าวมั้ย จะได้ไล่นังอิ่มนังอาบกลับบ้านไป"
นังอิ่มนังอาบยกของจากรถตู้เดินตรงเข้ามาในบ้าน
ไพลินหันไปสั่งงานสาวใช้
"พวกเครื่องครัว เอาไปไว้ที่ห้องเล็กด้านหลัง เอาของของเราไปเก็บในห้อง แล้วก็ช่วยมากวาดถูห้องแขกหน่อย รู้สึกว่าคุณหญิงกับหลานๆจะมาถึงกันแล้วนะ"
"ค่ะ"
"ขมล่ะ"
"เอ้อ ไม่ทราบค่ะ"
บุหงาหันมาบอกว่า"พจนีย์บอกว่ามากับคุณรัฐคุณรัมภ์"
"เหรอ"
รัฐและรัมภ์เดินถือกระเป๋าเข้ามา
รัฐ-รัมภ์บอก"สวัสดีครับ คุณป้าไพลิน"
"คุณยายล่ะจ๊ะ"
รัฐบอก"แวะคุยกับคุณหญิงย่า ที่สนามน่ะครับ"
"ผมยกกระเป๋าไปห้องเดิมเลยนะครับ"
"ได้จ้ะ เด็กกำลังกวาดห้องพอดี...ขมล่ะ"
รัฐและรัมภ์มองหน้ากัน งงๆ
"ขมนั่งรถมากับรัฐ รัมภ์ไม่ใช่เหรอ"
"เปล่านี่ครับ"
ไพลินถอนหายใจ ด้วยความเบื่อหน่ายและหงุดหงิดทันที
"พจนีย์เอ๊ย ก่อเรื่องอีกจนได้"
โขมพัสตร์และชาติสยาม แบกกระเป๋าใบย่อมๆทั้งสองเดินอยู่บริเวณชานชาลาสถานีรถไฟหัวหิน
"อาไปบ้านพักถูกเหรอคะ"
"ให้สามล้อไปส่งได้ ไม่ยาก...แต่ตอนนี้ขอเดินก่อน"
"เดินไปไหน"
"อ้าว มาหัวหินทั้งที ไม่อยากเอาเท้าแช่น้ำทะเลหน่อยเหรอ...ทะเลใกล้ๆแถวนี้ไม่มีพวกหน้าเหม็นโผล่มาให้เห็นด้วยนะ หรือจะไม่ไป"
"ไปซี่ ถามได้ !"
ทั้งสองวิ่งอย่างร่าเริง
โขมพัสตร์มุ่งหน้าลงทะเลชาติสยามตามไปห่างๆ เธอกระโดดโลดเต้นไปกับคลื่นทะเลอย่างสนุกสนานชาติสยามเดินไปหยุดยืนริมหาดแล้วจึงตะโกนพูดกับขม
"นี่ต้องเป็นครั้งแรกที่ขมสัมผัสน้ำทะเลแน่ๆ"
"ท่าทางขม ดูง่ายอย่างนั้นเลยเหรอคะ"
"ครั้งแรกของทุกคน ดูง่ายเหมือนกันหมดแหละ"
"อยากเห็นครั้งแรกของคุณอาชาติสยามบ้างจัง"
"ครั้งแรกของอาเหรอ?...เอาเรื่องอะไรล่ะ"
"ทุกเรื่อง"
ชาติสยามทำท่าคิดนิดนึงก่อนเอ่ยปากตอบ
"ไม่บอก"
"งั้นให้ขมเดานะ"
"เอาเลย"
"ครั้งแรกที่อาสยามเล่นน้ำทะเล อาต้องเปียกไปทั้งตัว เปียกมากกว่าขมตอนนี้แน่ๆ"
" ใครบอก"
"ขมบอกอยู่นี่ไง"
ทันใดนั้น โขมพัสตร์ก็วิ่งเข้าผลักชาติสยามจนล้มลงไปกับพื้นทราย โขมพัสตร์ดึงร่างของชาติสยามจนกลิ้งลงทะเลไปด้วยกันทั้งคู่
ชาติสยามพยายามดิ้นหนี โขมพัสตร์ยิ่งจับตัวเขาไว้แน่นทั้งสองจึงอยู่ในสภาพกอดกันกลมบนหาดทรายที่ปริ่มน้ำทะเล
โขมพัสตร์นอนทับอยู่บนร่างของผู้เป็นอา โดยมีคลื่นทะเลซัดกระแทกทั้งสองเป็นระยะๆ
ความสุข สนุกสนาน กระจายอยู่รอบๆตัวทั้งอาและหลาน
"ทำเอาอาหมดสภาพเลยนะหลานรัก"
"มาทะเล เขาไม่เล่นกันอย่างนี้เหรอคะ"
"อย่าไปเล่นอย่างนี้กับคนอื่นล่ะ"
"ไม่ กับอาคนเดียวเท่านั้น"
"ชื่นใจ"
ชาติสยามผุดลุกขึ้นโดยเร็วเขาอุ้มร่างโขมพัสตร์วิ่งตรงลงทะเล แล้วโยนเธอลงไปกลางท้องทะเลนั้น
ต่างสาดน้ำใส่กันอย่างมีความสุข
คืนนั้น สมาชิกทุกคนนั่งล้อมวงกันกลางลานบ้าน
คุณหญิงนรราชเสวี นั่งข้างๆคุณหญิงรัตนเดชากรรังสรรค์เดินถือแก้วเหล้าเข้ามานั่งในวงสนทนา
"เราจะต้องตั้งวงประชุม เรื่องเด็กคนนี้ไปอีกนานแค่ไหนไม่ทราบ...ขนาดอยู่หัวหินยังต้องประชุมกันอีก"
"นานจนกว่า ครอบครัวของเธอ จะเลิกทำร้ายขมอย่างนี้" คุณหญิงว่า
"ไล่ผมออกจากครอบครัวนี้เลยแล้วกัน"
คุณหญิงรัตนเดชากรเดินเข้าไปพูดใส่หน้าลูกชาย
"อย่าพูดจาอย่างนี้กับแม่นะ...ถ้าแม่ไม่เกรงใจคุณหญิงละก้อ"
"จะตบหน้าผมเหรอครับ"
"ฉันไม่เคยมีกิริยาแบบนั้น ตารังสรรค์...และแกก็ควรจะเลิกนิสัยแบบนั้นซะด้วย"
"ย่าอย่าว่าพ่อเลยค่ะ พจน์ผิดเอง"
"ผิดยังไง ?"
"ก็เป็นความผิดของพจน์ไง ไม่เกี่ยวกับพ่อซักหน่อย"
"ย่าถามว่าผิดยังไง ทำไมไม่ตอบ...ย่าอยากรู้ว่าที่เรารับผิดน่ะ รับไปชุ่ยๆเหมือนทุกครั้ง หรือว่าสำนึกในความผิดที่ตัวเองเป็นผู้ก่อ"
"ก็แค่เข้าใจผิด ต้องสำนึกอะไรมากมายด้วยเหรอ...ใครๆก็เข้าใจผิดกันได้นี่"
"แน่ใจนะว่า เราไม่ได้จงใจหลอกทิ้งเขาไว้ที่บ้าน"
"กลับไปถึงบ้าน ย่าก็ไปถามมันเองก็แล้วกัน"
"ใคร ?...เรียกใครว่า มัน"
พจนีย์ถอนใจออกมาแรงๆ ก่อนเอ่ยปากด้วยน้ำเสียงประชดประชัน
"คุณขม !"
"พูดจาแบบนี้คนอื่นได้ยินเข้า เขาจะว่าเราเป็นลูกพ่อแม่ไม่สั่งสอน"
"ก็แม่หนูตายแล้ว จะสอนได้ไง"
ไพลินเอ่ยปากดุปราม
"พจนีย์"
คนรถเดินเข้ามาบอก
"หนูขมมาแล้วครับ"
ไพลินตกใจ "ห๊ะ มายังไง"
"มากับคุณชาติสยามครับ"
"ไปเรียกมาหาฉันหน่อยซิ" คุณหญิงบอก
รัฐ รัมภ์ และ รติรสต่างวิ่งตามหลังคนรถไป
ทั้งสามวิ่งตรงไปหาโขมพัสตร์ที่ยืนอยู่ริมหาด
รติรสเรียก"ขม"
"คุณรส พี่รัฐ พี่รัมภ์"
"ฉันนึกว่าขมจะไม่ได้มาแล้วซะอีก" รติรสว่า
รัฐถาม"ทำไมตัวเปียกอย่างนี้"
ชาติสยามส่งน้ำดื่มอุ่นๆในมือให้โขมพัสตร์
"ซนน่ะหละ ไม่มีอะไรหรอก"
"คุณชาติสยามก็เปียก" รัมภ์ว่า
"ก็ซนพอกัน"
"มากันยังไงครับ" รัฐถาม
"รถไฟ" โขมพัสตร์บอก
"น่าสนุกจังเลย ได้นั่งรถไฟด้วย" รติรสว่า
"วันหลังเรานั่งรถไฟเที่ยวกันบ้างดีมั้ย" รัฐว่า
"เรานี่ใครบ้างคะ"
รัฐบอก"หมดนี่เลย พี่รัฐพี่รัมภ์ รติรส"
พจนีย์เดินเข้ามา
"พจน์ด้วยได้มั้ย"
ทุกคนหันไปมองพจนีย์ สีหน้านิ่งๆ
"ทำไมมองพจน์ เหมือนเห็นตัวอิจฉางั้นแหละ"
"คุณย่าให้ขมไปหาแน่ะ พี่ลืมไปเลย"
"ค่ะ"
"อาไปด้วย ไปด้วยกัน"
ชาติสยามขยับตัวเดินตรงไปยังตัวบ้าน โขมพัสตร์เดินตามหลังผู้เป็นอา
พจนีย์ขยับเดินตามไปพูดใกล้ๆโขมพัสตร์
"อยากจะใส่ความฉันก็เต็มที่เลยนะ ฉันไม่กลัวหรอก"
เวลาต่อเนื่องมา โขมพัสตร์ขยับตัวลงนั่งกลางวง และยกมือไหว้ทุกคน คุณหญิงนรราชเสวีเพ่งสายตามองใบหน้าโขมพัสตร์
"เนี่ยนะ ขม รุ้งพราย นายรัฐนายรัมภ์พูดถึงวันละหลายๆครั้ง เพิ่งเห็นหน้าค่าตาชัดๆวันนี้นี่เอง"
"เกือบจะไม่ได้เห็นแล้วค่ะ ถ้าคุณชาติสยามไม่พาขมมาส่ง"
"จะนั่งรถมากับป้าก็น่าจะบอกก่อน จะได้ให้ตารัฐรอ"
ขมมีสีหน้าแปลกใจขึ้นมาเล็กน้อย
"เอ้อ"
"พจนีย์บอกว่า เธอจะขึ้นรถมากับตารัฐตารัมภ์ พวกเราก็เลยออกจากบ้านกันมาโดยไม่ได้รอเธอ"
"เอ้อ"
"จริงรึเปล่า" คุณหญิงกล่าว
ทุกคนต่างรอฟังคำตอบของโขมพัสตร์
โขมพัสตร์เหลือบไปมองพจนีย์ที่จ้องหน้าโขมพัสตร์นิ่ง
ชาติสยามจ้องมองดูท่าทีของหลานสาว
โขมพัสตร์ตัดสินใจเอ่ยปาก
"ค่ะ ดิฉันบอกคุณพจน์อย่างนั้น แล้วก็มัวแต่จัดกระเป๋า ช้าเอง ก็เลยไปขึ้นรถไม่ทัน"
รังสรรค์เอ่ยปากขึ้นมาทันที
"เห็นมั้ย...พจนีย์พูดจริงมั้ยล่ะ...ทั้งแม่ทั้งป้ามีอคติกับลูกสาวผม เอะอะก็หาว่าพจนีย์ผิดตลอด ได้ยินความจริงอย่างนี้คงไม่มีใครโทษพจนีย์อีกนะ"
รังสรรค์เดินถือแก้วเหล้าออกไปทันทีที่พูดจบ
คุณหญิงรัตนเดชากร รีบสั่งบุหงา
"ตามสามีหล่อนไปสิ เมาๆแบบนี้เดี๋ยวอาละวาดข้าวของพังหมด"
บุหงาลอบมองชาติสยามแล้วจำใจเดินออกไป
ไพลินจึงเอ่ยปาก
"ยายรส พาขมไปดูห้องพัก เขาจะได้อาบน้ำอาบท่า จัดข้าวของของเขาซะ"
โขมพัสตร์หันมาพูดกับชาติสยาม
"อาอย่าเพิ่งกลับนะคะ รอขมก่อน"
รติรสพาขมเดินไปยังห้องพัก
คุณหญิงรัตนเดชากรเอ่ยปาก
"พ่อชาติสยามจะกลับคืนนี้เลยเหรอ"
"ครับ พอดีผมมีธุระสำคัญพรุ่งนี้เช้านะครับ"
ไพลินบอก"งั้นเดี๋ยวให้นายประหยัดขับรถตู้ไปส่งแล้วกัน"
"ขอบคุณครับ เสร็จธุระแล้วผมจะกลับมา พร้อมกับของขวัญวันเกิดนะครับ"
"อย่าลำบากเลย"
"ผมจะเลือกของที่ไม่ลำบากครับ รับรอง"
โขมพัสตร์เดินตามรติรสเข้ามาในห้องพัก
"ขมนอนคนเดียวเลยเหรอคะ"
"งั้นสิ"
"ที่จริงให้ขมนอนห้องอิ่มกับอาบก็ได้"
"ไม่ได้...ป้าไพลินเป็นคนจัดห้องให้เองเลยนะ"
"ค่ะ"
"ขม ฉันถามจริงๆ ที่ขมตอบคุณย่าเมื่อกี้นี้ เป็นเรื่องจริงเหรอ หรือเป็นเพราะเธอไม่อยากให้พจนีย์โดนดุ"
ขมส่ายหน้ายิ้มๆ
"ขมไปหาอาสยามก่อนนะคะ"
โขมพัสตร์วิ่งออกไปจากห้องทันทีรติรสได้แต่มองตามด้วยความสงสัยใคร่รู้
ต่อเนื่องมา โขมพัสตร์ส่งซองจดหมายให้ชาติสยาม
"จดหมายถึงพ่อพิทย์ค่ะ...ฝากอาส่งให้พ่อพิทย์ด้วยนะคะ ถ้าเป็นไปได้"
"นี่ฉบับล่าสุดเหรอ ?"
"ค่ะ เพิ่งเขียนเมื่อคืนนี้ แล้วก็เขียนเพิ่มเติมอีกนิดเมื่อกี้นี้"
"ฉบับนี้เขียนถึงเรื่องอะไร"
"เรื่องครั้งแรกของขม กับ ทะเล"
"เขียนบอกด้วยรึเปล่าว่าผลักอาจนตัวเปียก"
"ค่ะ เขียนบอกทุกอย่าง ยกเว้นเรื่องเดียว"
"เรื่องอะไร"
"เพื่อนที่โรงเรียนเคยคุยว่า เวลามาหัวหินเขาจะได้ขี่ม้าด้วย...ขมอยากเล่าให้พ่อฟังว่าครั้งแรกของการขี่ม้าเป็นยังไง แต่ที่นี่ไม่มีม้าให้ขมขี่"
"ลองดูมั้ย"
"ลอง ?"
"ลองสมมุติว่าอาเป็นม้า"
"ห๊ะ !"
"ลองสิ จะได้เขียนไปในจดหมายเลยไง...จดหมายถึงมือพ่อเมื่อไหร่ พ่อก็จะได้อ่านเรื่องราว ครั้งแรกของขมที่หัวหินได้อย่างครบถ้วน"
"จริงนะ อา"
"อย่าช้า เดี๋ยวม้าจะเบื่อซะก่อน"
ชาติสยามก้มหลังพร้อมให้หลานขี่ โขมพัสตร์กระโดดขึ้นขี่หลังชาติสยาม ยิ้มร่าเริง
"อาจะพยายามวิ่งโขยกให้จังหวะคล้ายๆม้าที่สุด...ระวังนะ ไปละ"
ชาติสยามวิ่งโขยกไปรอบๆหาด โขมพัสตร์หัวเราะอย่างมีความสุขบนหลังผู้เป็นอา
ระเบียงบ้านพักมุมหนึ่งพจนีย์มองไปที่โขมพัสตร์และชาติสยาม ด้วยสายตาชิงชัง
รัมภ์เดินเข้าไปยืนข้างๆพจนีย์
"น่าสงสาร อุตส่าห์วางแผนซะดิบดี แต่แล้วขมก็ตามมาจนได้"
"พี่รัมภ์อย่ามากล่าวหาพจน์นะ"
"ถ้าผิดไปจากที่พี่พูด ก็ถือว่าพี่ปากเสียไปเอง เวรกรรมก็จะตกกับพี่เอง"
"ถ้าพี่รัมภ์เข้าข้างมัน ก็ไม่ต้องมาคุยกับพจน์"
"พี่อยากชี้ให้เห็นว่า ที่พจน์ทำไม่สำเร็จตามแผนเพราะอะไร...เพราะขมเป็นคนดีขมไม่เคยคิดร้ายกับใคร แม้แต่คนที่คิดร้ายกับขมก่อน เมื่อเราเป็นคนดี เราก็จะถูกรักและเอ็นดูจากคนรอบข้างเป็นธรรมดา ...เพราะฉะนั้นถ้าพจน์ไม่เปลี่ยนแปลงตัวเองซะตั้งแต่วันนี้ วันนึงพจน์จะไม่เหลือใคร จำไว้"
ชาติสยามทรุดตัวลงนั่งกลางชายหาด โดยมีร่างของโขมพัสตร์อยู่บนหลัง
"ม้าหมดแรงแล้วคร้าบ..."
"ขมว่ายังไงๆ อาก็วิ่งไม่เหมือนม้า"
"อ้าว ! แล้วทำไมไม่บอกตั้งแต่แรก ปล่อยให้วิ่งได้ตั้งนาน"
"ก็ขมอยากเขียนบอกพ่อถึงครั้งแรกที่ได้ขี่หลังอาไงคะ สนุกจะตาย"
"ตามสบายเลย อารอนะ"
ชาติสยามส่งจดหมายฉบับนั้นคืนให้หลานสาว
โขมพัสตร์รับมาเขียน พร้อมกับเอ่ยปากพูด
"ทำไมคืนนี้อาไม่ค้างที่นี่ก่อน แล้วค่อยกลับตอนเช้าล่ะคะ"
"อามีธุระจำเป็นจริงๆ"
"แล้วอาจะกลับมาตอนวันเกิดคุณไพลินรึเปล่า"
"มาซี่...อาจะกลับมาตั้งแต่พรุ่งนี้เลย"
"จริงนะ"
"อาเคยโกหกเหรอ"
"ใครจะรู้ คนเราก็อาจจะมีครั้งแรกได้เสมอ"
"แต่ครั้งแรกของการทำร้ายจิตใจขม จะไม่มีวันเกิดจากอาเป็นอันขาด"
โขมพัสตร์กอดชาติสยามด้วยความเคารพรัก
ชาติสยามลูบหัวหลานสาวอย่างเอ็นดู
"วันนี้ขมทำได้ดีมากนะ เรื่องพจนีย์น่ะ"
"ขมไม่อยากให้เธอเกลียดขมมากไปกว่านี้"
"อารู้ว่า ขมต้องอดทนมากแค่ไหน...แต่รู้ไว้นะว่าขมจะมีอาเสมอ เราจะสู้กับสถานการณ์เหล่านี้ไปด้วยกัน"
อีกมุมหนึ่ง ริมระเบียงบ้านพักหัวหินรัฐยืนมองขมและชาติสยามแววตาของเขามีความกังวลใจอยู่ลึกๆ
รติรสเดินเข้ามายืนข้างๆรัฐ
"ขมโชคดีนะคะ ได้อาดีๆอย่างคุณชาติสยาม"
"แต่ถ้าใครเห็นแล้วไม่รู้ว่าเป็นอาเป็นหลานละก้อ ต้องคิดว่าเป็นคู่รักกันแน่ๆ"
"ค่ะ เพราะใครๆก็รัก ใครๆก็เอ็นดูขม ใช่มั้ยคะ พี่รัฐ"
รัฐนิ่ง ไม่มีคำตอบให้รติรสเหลือบมองรัฐ ด้วยแววตาน้อยใจนิดๆ
โขมพัสตร์และชาติสยามนั่งโอบประคองกลางหาดทราย
ที่ระเบียงบ้านด้านหลัง รัมภ์กับพจนีย์ และรัฐกับรติรส ยืนมองอยู่คนละมุม
อีกมุมหนึ่ง ปรากฏเป็นร่างของรังสรรค์และบุหงา
รังสรรค์ดื่มเหล้า และมองจ้องมาที่ขมด้วยสายตาชิงชัง
ส่วนบุหงามองไปที่คนทั้งสองด้วยความอิจฉา
ต่อมา ชาติสยามเดินเข้าบ้าน ท่ามกลางความมืดทันทีที่เขาเอื้อมมือกดสวิตช์เปิดไฟ
ร่างชายคนหนึ่ง นั่งอยู่ใกล้หน้าต่าง และหันหลังให้ชาติสยาม
ชาติสยามเอ่ยปากทันทีที่เห็นร่างชายผู้นั้น
"ผมกลับมาแล้วครับ...ต้องขอโทษจริงๆที่ปล่อยให้พี่รอนาน"
ชายคนนั้นหันหน้ามาหาชาติสยามเขาคือ ชวาล สุรบดินทร์
"นานแค่ไหนพี่ก็รอได้...หวังว่าเธอคงยังไม่เหนื่อยนะ เพราะคืนนี้เราต้องคุยกันอีกยาว"
"ได้เลยครับ ถึงเช้าก็ยังไหวครับ พี่ชวาล"
อ่านต่อตอนที่ 6