ดงผู้ดี ตอนที่ 4 : จิกหัวตบ “ขม” กี่ครั้งถึงจะพอ ! …รังสรรค์
บทประพันธ์ : บุษยมาส
บทโทรทัศน์ : สามัญ
นมผ่อนกำลังทำกิจกรรมของเธออยู่ที่ลานหน้าบ้าน บุหงาเดินเข้ามา
"ขมล่ะป้า ขมอยู่มั้ย"
"อยู่ในบ้านน่ะค่ะ แต่ไม่รู้หลับรึเปล่า เห็นตาบวมๆ"
บุหงาขยับตัวเดินเข้าไปในบ้านได้สักสองสามก้าว
บุหงาหันกลับมาพูดกับนมผ่อน
"ฉันจะเข้าไปคุยกับขมหน่อย...ป้าจะไปทำธุระที่ไหนก็ทำเถอะ"
"ธุระอิฉันก็มีอยู่ที่นี่หละค่ะ ไม่ได้มีอื่น"
"เอ้อ ฉันขอคุยกับขมเป็นการส่วนตัวก็แล้วกัน เข้าใจนะ"
บุหงาเดินเข้าไปในบ้าน นมผ่อนส่ายศีรษะนิดๆ
บุหงาก้าวเข้ามาในห้องนอน โขมพัสตร์นั่งอ่านหนังสืออยู่ บุหงากระมิดกระเมี้ยนเอ่ยปากอย่างระวัง ไม่ให้เสียงดังออกไปนอกห้อง
“ขม”
“คุณบุหงามีอะไรจะใช้ดิฉันเหรอคะ”
“เมื่อเช้า ฉันเห็นคุณชาติสยามขับรถมาที่นี่...เขาได้แวะมาคุยกับเธอรึเปล่า”
“ค่ะ”
“เขาฝากอะไรถึงฉันมั้ย”
“ทำไมอาสยามต้องฝากอะไรถึงคุณบุหงาด้วยคะ”
บุหงามีอาการหงุดหงิดขึ้นมาทันที
“ฉันถามแก แกก็ตอบฉันมาสิ ไม่ต้องมาย้อนถามฉัน...ก็แค่ตอบความจริงมามันยากตรงไหน จะเป็นจะตายขึ้นมารึไง”
โขมพัสตร์จ้องหน้าบุหงา ยิ้มเยาะในที
“นั่นสิคะ”
บุหงาเอ่ยปากย้ำ แบบเน้นเป็นคำๆ
“ตกลงว่า เขาพูดหรือฝากอะไรถึงฉันรึเปล่า”
“อาสยามไม่ได้เอ่ยปากถึงคุณบุหงาแม้แต่นิดเดียว”
บุหงาหน้าถอดสี อารมณ์พุ่งพรวดขึ้น
“ไม่จริง แกโกรธฉันเรื่องตุ๊กตานั่น แกเลยโกหกฉัน”
“ดิฉันไม่เข้าใจว่า การยอมรับความจริง มันยากตรงไหน จะเป็นจะตายขึ้นมารึไง”
“นังขม !”
“ดิฉันขอไปช่วยงานป้านมผ่อนก่อนนะคะ”
โขมพัสตร์เดินออกไปทันที
รัฐและรัมภ์เดินเข้ามากลางบ้านตึกขาวตอนค่ำ สุภาพสตรีสูงวัย แต่คงราศีแห่งความสง่างามและโอบอ้อมอารีเธอคือ คุณหญิงนรราชเสวี ผู้เป็นยายของหนุ่มทั้งสอง
“กลับมาแล้วเหรอตารัฐ ตารัมภ์”
รัฐ-รัมภ์“ครับคุณยาย”
“มุดรั้วอีกตามเคยสินะ”
“ครับ” ทั้งคู่รับพร้อมกัน
“หลานๆบ้านโน้นเขาโตเป็นสาวกันหมดแล้ว หนุ่มๆอย่างเธอไปมุดรั้วบ่อยๆเดี๋ยวเจ้าของบ้านได้เอาปืนไล่ยิงจะหนีไม่ทันเอานะ”
รัฐบอก“ไม่มีทางครับ เพราะคุณหญิงบ้านโน้น กับคุณหญิงบ้านนี้เป็นเพื่อนรักกัน”
“เพื่อนย่อมไม่ฆ่าหลานเพื่อนครับ” รัมภ์ว่า
“ทำเป็นพูดดี”
รัมภ์บอก“ได้ต้นแบบจากคุณยายไง”
“แล้วเลือกได้รึยังล่ะ”
รัฐ-รัมภ์โพล่งพร้อมกัน “เลือก ?”
“ทีนี้ละทำเป็นไม่รู้เดียงสา...ยายเคยบอกแล้วไงว่าจะสู่ขอทาบทามให้ ถ้าชอบหลานบ้านโน้นจริงๆ...สองตระกูลจะได้ดองกันซะที”
สองหนุ่มมองหน้ากันเอง
รัฐบอก“นายรัมภ์...เอาสิ !”
“พี่น่ะแหละ เอาสิพี่รัฐ ผมไม่ชอบเป็นของดอง”
“หรือจะเอาสองคู่เลย ยายก็ยินดีนะ คนนึงคู่รติรส อีกคนนึงคู่พจนีย์...ว่าไง”
รัฐถามหยั่งเชิง“ถ้าไม่ใช่ทั้งคู่ล่ะครับ”
คุณหญิงนรราชเสวีถึงกับ “ห๊ะ”
“ถ้าไม่ใช่หลานคุณหญิงรัตนเดชากรล่ะครับ”
“ไม่ใช่หลานสาวคุณหญิง แล้วบ้านนั้นจะมีใครอีกเหรอ”
รัมภ์บอก“มีครับ ชื่อ ขม”
“คนอะไร ชื่อขม”
“เป็นลูกสาวของเพื่อนคุณรังสรรค์ครับ”
“แล้วใครชอบขม รัฐ หรือ รัมภ์”
หนุ่มทั้งสองคนยกมือพร้อมกัน
“ชอบทั้งคู่เลย ?”
หนุ่มทั้งสองคนพยักหน้าพร้อมกัน
“ไปตกลงกันให้ดีก่อนดีกว่า แล้วค่อยมาพูดกับยายใหม่นะ”
รัฐเปิดประตูห้องนอนเดินเข้ามารัมภ์ตามมาหยุดยืนอยู่ที่หน้าห้องเขาเอ่ยปากพูดกับพี่ชาย
“พี่รัฐ พี่พูดจริงรึเปล่า เรื่องชอบขมน่ะ”
“นายล่ะ”
“ไม่รู้สิ แต่ชอบมากกว่าพจนีย์ก็แล้วกัน”
“รติรสกับพจนีย์ ฉันรู้สึกเหมือนเป็นเพื่อน เป็นพี่น้อง...แต่กับขม...”
“เหมือนกันแฮะ” รัมภ์บอก
“งั้นเราเป็นคู่แข่งกันแล้วหละ”
“ตกลงกติกากันหน่อยดีมั้ยพี่”
“กติกามีข้อเดียว...ห้ามฉุด !”
“โอเค”
สองหนุ่ม จับมือกันอย่างมุ่งมั่น
คืนเดียวกัน โขมพัสตร์นั่งเขียนจดหมาย บริเวณเก้าอี้สวยข้างเรือนนมผ่อนรังสรรค์เดินเข้ามายืนมองสักพักเธอจึงเงยหน้า เธอสะดุ้งตกใจพอสมควร
“คุณรังสรรค์”
รังสรรค์ยังคงมองจ้องโขมพัสตร์อย่างพิจารณา
“ดิฉันจะไปเรียกป้านมผ่อนให้ สักครู่นะคะ”
“ไม่ต้อง นั่งนั่นหละ ฉันมีเรื่องจะคุยกับเธอ”
“กับดิฉัน ?”
รังสรรค์ไม่เอ่ยปากตอบแต่อย่างใด
โขมพัสตร์ก้มหน้านิ่ง
“เล่าเรื่องพ่อเรื่องแม่ของเธอให้ฉันฟังซิ”
โขมพัสตร์หวาดระแวงท่าทีของรังสรรค์อยู่ไม่น้อย
“ดิฉันได้อยู่กับพ่อแค่ไม่กี่วัน ได้อยู่กับแม่แค่ไม่กี่ปี คุณเป็นเพื่อนพ่อพิทย์ คุณน่าจะรู้มากกว่าดิฉันซะอีก”
“ฉันบอกให้เล่าก็เล่ามาเถอะน่า ไม่เห็นจะต้องมาวิเคราะห์ว่าใครรู้มากกว่าใคร”
“คุณจะอยากรู้ไปทำไมคะ”
“ถ้ายังไม่หยุดตั้งคำถามกับฉัน ฉันจะหงุดหงิด และก็จะจบลงด้วยความรุนแรงเหมือนเคย...ซึ่งมันจะทำให้ฉันดูเป็นปีศาจร้ายในสายตาของพี่สาวฉันและแม่ฉัน เธอต้องการอย่างนั้นใช่มั้ย?”
“แม่ดิฉันชื่อ แข”
“ฉันรู้แล้ว แขเฉยๆ ไม่มีอะไรต่อท้าย...พิการด้วยใช่มั้ย”
“แม่หลังค่อม ดิฉันเกิดมาจำความได้ก็เห็นแม่หลังโค้งงออย่างนั้น แต่แม่ก็
ทำงานทุกอย่างเพื่อเลี้ยงดิฉัน เพียงลำพังคนเดียว”
“ทำงานอะไร”
“รับจ้างล้างจาน เก็บผัก เก็บขยะ”
“สติไม่ดีด้วยรึเปล่า ?”
“สติดี แต่แม่จำไม่ได้ว่าแม่เป็นใครมาจากไหน จำไม่ได้ด้วยว่าพ่อดิฉันคือใคร”
ภาพในอดีตของโขมพัสตร์ค่อยๆถูกรื้อฟื้นขึ้นมาในใจของเธออีกครั้ง
“แล้วพ่อพิทย์ของเธอล่ะ”
“พ่อพิทย์ โผล่มาวันสุดท้ายในชีวิตของแม่...แล้วแม่ก็จำพ่อได้ แล้วแม่ก็ตาย”
“พ่อแกนี่มันระยำจริงๆ ปล่อยให้ลูกเมียไปตกระกำลำบากอยู่ได้ตั้งนาน”
โขมพัสตร์หันมาโต้แย้งรังสรรค์ เสียงแข็ง
“ไม่จริง พ่อตามหาแม่ทั้งชีวิต แต่หาไม่เจอ”
“ข้ออ้างของผู้ชายชั่วๆ”
“คุณไม่มีสิทธิ์มาด่าว่าพ่อดิฉันนะคะ”
“ทำไมฉันจะไม่มีสิทธิ์...ฉันเป็นคนเดียวในโลกนี้ที่รู้กำพืดของพ่อแม่แก และมีสิทธิ์เต็มที่ที่จะประฌามความชั่วของพ่อแม่แก จำไว้ด้วย”
นมผ่อนโผล่หน้าออกมาจากในบ้านด้วยความตกใจในเสียงอันดังของรังสรรค์
“คุณรังสรรค์ !”
“เอานังตัวดีของนมผ่อนเข้าเรือนไปได้แล้ว...เห็นหน้ามันแล้วฉันอยากจะอาเจียน”
รังสรรค์เดินกลับไปเรือนของตนทันที
โขมพัสตร์ทรุดตัวลง น้ำตาไหลพรากอีกครั้งจนได้
นมผ่อนเข้าไปโอบกอด ปลอบโยน
“ทำไมเขาต้องทำอย่างนี้กับขมด้วย ป้า...เขาจงใจมาที่นี่เพื่อมาด่าขม มาย่ำยีขม...ขมเกลียดเขาค่ะป้า ขมเกลียดนายรังสรรค์ ขมเกลียดผู้ชายคนนี้...ไม่รู้ว่าเวรกรรมแต่ชาติปางไหน ขมถึงต้องมาเจอกับคนเลวๆแบบนี้ด้วย”
บ่ายวันหนึ่งในอดีต เมื่อ พ.ศ. 2484
วงปี่พาทย์คณะใหญ่ ตั้งวงกลางลานบ้านพุทธชาดหมู่แขกในงานที่นั่งรายล้อมรอบเวทีการแสดงนี้
เก้าอี้ตัวใหญ่ของผู้เป็นเจ้าของงานคือ คุณหญิงรัตนเดชากร เธอนั่งเคียงข้างกับ คุณหญิงนรราชเสวี
ทั้งสองดูอิ่มเอิบกับบรรยากาศของงานนี้
“คุณหญิงกล้ามากนะคะ กล้าจัดปี่พาทย์มโหรีวงใหญ่ ในยามที่ท่านประกาศห้าม”
คุณหญิงรัตนเดชากรบอก “ฉันจัดในบ้าน ทำเรื่องขอท่านเป็นกรณีพิเศษแล้ว ถือเป็นการสั่งลาดนตรีไทย”
“มั่นใจนะคุณหญิง ถูกจับกันตอนแก่ มันไม่คุ้มนะ”
“ไม่หรอกน่า...ขุนนิติการดำรงแกเป็นคนทำเรื่องให้ แกรับรองว่าไม่มีปัญหา”
“งั้นก็แล้วไป”
“ขุนนิติการส่งลูกสาวมาร้องเพลงเถา เปิดวงเลยนะ”
“เหรอคะ เพลงอะไร”
“โสมส่องแสง”
เสียงดนตรีปี่พาทย์ โสมส่องแสง ดังขึ้น
แขนภา ก้าวเดินขึ้นเวทีเธอยกมือไหว้คนดู และลงนั่งพับเพียบหน้าวง
รังสรรค์ลุกขึ้นจากโต๊ะ พลิกตัวหันหน้ามองมาที่เวทีเขาขยับเดินมายังหน้าเวที
ชวาลลุกขึ้นจากโต๊ะ พลิกตัวหันหน้ามองมาที่เวทีเขาขยับเดินมายังหน้าเวที เช่นกัน
แขนภา นั่งเด่นอยู่หน้าวงปี่พาทย์นั้น
รังสรรค์และชวาลจ้องมองแขนภาด้วยความหลงใหล
ชวาลเอ่ยปากขึ้นมาก่อน
“ปกตินายจะฟังแต่เพลงสากลไม่ใช่เหรอรังสรรค์ นายบอกว่ามีแต่คนแก่ๆเท่านั้นที่ฟังเพลงไทยเดิม”
“นั่นมันก่อนที่ฉันจะได้ยินเพลงนี้ ชวาล”
“แน่ใจเหรอว่านายกำลังฟังเพลง”
“แน่ใจว่านายก็ไม่ได้ต่างจากฉัน”
“แปลว่าเราต้องแข่งกัน”
รังสรรค์บอก“ใครดีใครได้”
รังสรรรค์ยื่นมือออกไปเบื้องหน้าชวาลจับมือรังสรรค์ไว้
“ดีล”
แขนภากำลังร้องเพลงท่อนที่เพราะที่สุดของโสมส่องแสง ด้วยใบหน้าและท่วงท่าที่งามที่สุด
หลังเวทีดอกไม้งามสองช่อยื่นให้แขนภา เธอมองดอกไม้นั้น สีหน้าเขินอายเสียงโฆษกบนเวที ยังคงกล่าวชื่นชมแขนภาอยู่
แขนภาถาม“ดิฉันต้องรับช่อไหนก่อนคะ”
“รับพร้อมกันได้เลยครับ เพราะความตั้งใจของเราสองคนไม่ต่างกัน” ชวาลบอก
“แต่ถ้าจะให้ถูกต้อง คุณควรจะรับดอกไม้ของผมก่อน เพราะผมเป็นเจ้าของบ้านนี้”
ขุนนิติการดำรง ทนายควาประจำตระกูลรัตนเดชากรเดินเข้ามา
“ไหว้คุณรังสรรค์ซะลูกแข เธอเป็นลูกชายคุณหญิงรัตนเดชากร เจ้านายพ่อ”
แขนภายกมือไหว้อย่างอ่อนช้อย
“นี่ ชวาล สุรบดินทร์ เพื่อนสนิทผม” รังสรรค์แนะนำ
แขนภายกมือไหว้ชวาลอย่างอ่อนช้อยพอกัน
รังสรรค์หันไปพูดกับเพื่อน
“ฉันแนะนำนายให้แล้วนะ เดี๋ยวจะหาว่าฉันเอาเปรียบ”
“ผมไม่เคยฟังเพลงโสมส่องแสงที่ไหนเพราะเท่านี้มาก่อนเลย” ชวาลบอก
“ขอบคุณค่ะ”
“เพราะมันเพิ่งฟังครั้งแรกเมื่อกี้” รังสรรค์บอก
“นายก็เหมือนกัน”
“แต่เพลงนี้จะฝังลึกในใจผมไปจนตลอดชีวิตครับ”
แขนภายิ้มเขินอาย
“ถ้าไม่รังเกียจ ขออนุญาตถ่ายรูปร่วมกันได้มั้ยครับ”
“ค่ะ”
ชวาลบอก“ช่างภาพ มาทางนี้หน่อย...ท่านขุนครับ เชิญถ่ายรูปด้วยกันหน่อยครับ”
ชวาลยกเก้าอี้ใกล้ตัวมาให้แขนภานั่ง
“คุณแขนั่งตรงกลางเลยครับ”
แขนภานั่งบนเก้าอี้ตัวนั้น
ชวาล รังสรรค์ ขุนนิติการยืนเรียงรายด้านหลังแขนภา
ช่างภาพนับ ...หนึ่ง...สอง...
ก่อนช่างภาพจะนับสาม
ชวาลรีบหย่อนตัวลงนั่งข้างแขนภาอย่างแนบชิดทันทีโดยมี รังสรรค์และขุนนิติการดำรง ยืนคู่กันด้านหลังเก้าอี้
ช่างภาพนับ ...สาม
เสียงชัตเตอร์ลั่น
ต่อมา ภาพนิ่งเฟรมนั้น กลายเป็นภาพถ่ายในกรอบเล็กๆเป็นภาพคู่รังสรรค์และขุนนิติการดำรง
โดยภาพชวาลและแขนภาที่นั่งเก้าอี้ด้านหน้า ถูกตัดทิ้งไป
รังสรรค์นั่งมองรูปนี้ แววตาหวนระลึกถึงเรื่องราวในอดีตเสียงบุหงาดังเข้ามาทำลายภวังค์ของเขาจนหมดสิ้น
“นั่งคิดอะไรอยู่เหรอคะคุณพี่”
บุหงาพุ่งเข้ามาโอบกอดรังสรรค์และวางแก้วเหล้าให้เขา
“คิดจะนอกใจน้องรึเปล่าคะ”
“เหลวไหลน่า”
“พี่บุปผาเคยบอกว่า เรื่องที่เราคิดว่าเหลวไหล มักจะกลายเป็นเรื่องจริงย้อนมาทิ่มแทงเราได้เสมอ”
รังสรรค์จ้องหน้าบุหงา แล้วเอ่ยปากถามด้วยความใคร่รู้
“บุปผาเล่าอะไรให้เธอฟังบ้าง ?”
“หลายเรื่องค่ะ ตอนน้องอยู่ปีนัง พี่บุปผาเขียนจดหมายมาบ่นอะไรให้ฟังเยอะแยะ เรื่องเหลวไหลทั้งนั้น”
รังสรรค์ยิ้ม และบีบแก้มบุหงาเบาๆ คล้ายยั่วเล่น
“เรื่องเหลวไหลคือเรื่องที่เราไม่ควรเก็บมาคิด และไม่แม้แต่จะนำมาเป็นหัวข้อสนทนาของสามีภรรยา เพราะมันไม่มีความจริงแต่อย่างใด”
“งั้นเราคุยเรื่องที่ไม่เหลวไหลกันมั้ยคะ”
“เรื่องอะไรดีล่ะ ?”
“เรื่องนังขม”
“นั่นมันเกินกว่าคำว่าเหลวไหลอีก”
“นังขมมันมีอาด้วยนะคะ คุณพี่รู้รึเปล่า ?”
“ช่างหัวมันปะไร มันจะมีพี่ป้าน้าอาซักกี่คนก็ช่างหัวมัน”
“แต่อาของมันมาหามันที่นี่วันนี้นะคะ อามันชื่อชาติสยาม สุรบดินทร์ ค่ะ”
รังสรรค์นิ่งไปนิดนึงเมื่อได้ยินชื่อนี้
“แสดงว่าเพื่อนคุณพี่คนนี้ ก็ไม่ธรรมดานะคะ รู้จักตระกูลใหญ่อย่างสุรบดินทร์ด้วย เพราะฉะนั้นคุณพี่อาจจะต้องลดความรุนแรงกับนังขมลงบ้าง น้องไม่อยากให้เรามีปัญหากับตระกูลสุรบดินทร์น่ะค่ะ”
บุหงาค่อยๆเดินออกไปรังสรรค์นั่งครุ่นคิด นิ่ง
ในอดีต ชวาลและรังสรรค์ ยืนคุยกัน สีหน้าเคร่งเครียด
“ตระกูลสุรบดินทร์ ไม่ได้ด้อยกว่า รัตนเดชากรตรงไหน เพราะฉะนั้นไม่ต้องกลัวว่าฉันจะเอาชนะนายด้วยเรื่องนี้” รังสรรค์ว่า
“ฉันก็ไม่คิดว่า แขนภาจะเลือกผู้ชายของเธอจากนามสกุล”
“งั้นนายกลัวอะไร”
“กลัวความกะล่อนของนายน่ะสิ รังสรรค์”
“นั่นมันคือเสน่ห์ของฉัน”
“นายอาจจะมีเสน่ห์มากกว่าฉัน...แต่ฉันมีความรักและความจริงใจ ซึ่งคนอย่างนายไม่เคยมีให้กับผู้หญิงคนไหน”
“เพราะมันไม่ใช่เรื่องจำเป็นสำหรับฉัน”
“แล้ววันนึงนายจะรู้ว่า เสน่ห์ปลอมๆของนาย จะต้องพ่ายแพ้แก่หัวใจที่บริสุทธิ์ของฉัน”
“นานมั้ย กว่าจะถึงวันนั้น”
รังสรรค์ยิ้มเยาะยั่วชวาลชวาลยิ้มยั่วตอบ
ชวาลหยิบล็อกเก็ตมีราคา วางลงบนโต๊ะเบื้องหน้ารังสรรค์
“แขนภาฝากฉันมาคืนนาย”
ชวาลเดินออกไปรังสรรค์หน้าเสียมองล็อกเก็ตนั้น
ล็อกเก็ตอันนั้น วางอยู่ในกล่องมีค่า ในลิ้นชักโต๊ะหนังสือ รังสรรค์หยิบมันขึ้นมาดูแววตาของเขามีร่องรอยของความเจ็บช้ำในอดีต
เช้าตรู่ โถงบ้านตึกขาวรัฐกับรัมภ์ เดินเข้ามา ขณะที่คุณหญิงนรราชเสวีนั่งอยู่ในห้องโถงนี้ก่อนแล้ว
เธอเอ่ยปากทักหลานชายทั้งสอง
“จะไปไหนกันแต่เช้าจ๊ะสองหนุ่ม”
รัมภ์บอก“จะขับรถไปรับสาวๆครับ”
“แล้วทิ้งคนแก่อยู่บ้านคนเดียวเนี่ยนะ ไปเที่ยวไหนกันก็น่าจะพายายไปด้วย”
รัฐบอก “ไม่ได้ไปเที่ยวครับ ไปดูผลสอบ”
“ต้องแต่งตัวหล่ออย่างนี้ด้วย”
“เสร็จแล้วพาสาวๆไปกินข้าวกันต่อน่ะครับ” รัมภ์บอก
“ทุ่มทุนจริงนะ...รวยมาจากไหนกัน”
“คุณอารังสรรค์เลี้ยงน่ะครับ” รัฐบอก
“เราไปกินฟรี”
“งั้นก็หาของขวัญไปให้เขาหน่อย”
“เตรียมไว้ตั้งแต่กลับจากปีนังแล้วครับ” รัฐบอก
สองหนุ่มเดินออกจากไป คุณหญิงมองตามหลานชายทั้งสองอย่างเอ็นดู
ต่อมา เด็กนักเรียนหญิงนั่งเรียบร้อยในห้องเรียนเสียงครูเรียกชื่อนักเรียนให้ออกไปรับสมุดพก
“นิภา ฉ่ำประดิษฐ์...อรุณศรี แม้นจันทร์...โขมพัสตร์ รุ้งพราย”
โขมพัสตร์เดินออกไปรับสมุดพกจากมือครูที่หน้าห้องประจำชั้น
ตรงระเบียงหน้าห้องเรียน โขมพัสตร์หย่อนตัวลงนั่ง เปิดสมุดพก หน้าตายิ้มดีใจ
ชาติสยามมาทางด้านหลังยื่นหน้าเข้ามาใกล้ๆ
“ขอเดาว่าต้องได้ที่หนึ่ง”
โขมพัสตร์เงยหน้ามองชาติสยาม ตื่นเต้นดีใจ
“อาสยาม”
“ที่หนึ่งใช่มั้ย?”
“ที่สาม”
“พาอาไปดูหน้าสองคนที่เก่งกว่าขมหน่อยซิ อยากรู้ว่าหน้าตาจะฉลาดซักแค่ไหน โกงข้อสอบรึเปล่า”
ชาติสยามแกล้งทำท่าขึงขัง เหมือนจะเข้าไปในห้อง
โขมพัสตร์รีบดึงรั้งแขนชาติสยามไว้
“ที่หนึ่งค่ะ...ขมได้ที่หนึ่ง”
“น่าน มันต้องอย่างนี้สิหลานอา”
ชาติสยามขยี้ศีรษะขมอย่างหมั่นเขี้ยว โขมพัสตร์กอดอาสยามด้วยความรัก
“รู้ได้ไงว่าขมมาฟังผลสอบ”
“ไม่เห็นจะยากตรงไหน”
“ขมนึกว่าอาไปเมืองนอกซะอีก”
“เพิ่งกลับมาเมื่อวาน กลับมาถึงก็รีบมาดูผลสอบขมเลย จะได้ไปเล่าให้พ่อพิทย์ฟังได้ถูกต้อง”
ชาติสยามดึงสมุดพกของโขมพัสตร์มาอ่าน
สยามดูแล้วว่า “เด็กหญิงขม รุ้งพราย สอบได้ที่หนึ่ง ได้คะแนน97%...วิชาที่ทำคะแนนได้สูงสุดคือ...อ้าว ทำไมไม่ใช่เลขล่ะ”
“ขมบอกแล้วว่า ขมไม่เก่งเลข”
“อาก็ติวให้แล้วนี่นา”
“อามัวแต่วิ่งต่างหาก”
“งั้นวันนี้แก้ตัวด้วยการเลี้ยงข้าวแล้วกัน”
“จริงนะ...งั้นรีบไปบอกพี่รัฐ พี่รัมภ์ก่อน”
โขมพัสตร์จูงมือชาติสยามวิ่งไปตามระเบียงทางเดินหน้าห้องเรียน
รัฐและรัมภ์ หน้าตาผิดหวัง
รัมภ์ถามย้ำ“ขมจะไม่ไปกับเราจริงๆเหรอ”
“ค่ะ คุณรังสรรค์เขาคงไม่อยากให้ขมไปด้วยหรอก”
ชาติสยามยืนพิงรถอยู่ไม่ไกล
รัฐบอก“แต่พี่ขออนุญาตคุณอารังสรรค์แล้วนะ”
รัมภ์บอก“แลัวคุณอารังสรรค์ก็ไม่ได้เลี้ยงขม เราสองคนเป็นคนเลี้ยง”
“อย่าเลยค่ะ เดือดร้อนพี่รัฐพี่รัมภ์เปล่าๆ เขารังเกียจขมขนาดนี้แล้ว”
“พี่เตรียมของขวัญไว้ให้ขมตั้งแต่กลับมาจากปีนัง ยังไม่ได้ให้ขมเลย”
“ให้ที่บ้านก็ได้นี่คะ”
รัฐ และ รัมภ์ ได้แต่อึกอัก พูดอะไรไม่ออก
ชาติสยามยืนสังเกตท่าทีของเด็กทั้งสามอย่างสนใจ
“ขอบคุณพี่รัฐ พี่รัมภ์มากนะคะ ขมไปกินข้าวกับอาสยามดีกว่าค่ะ”
โขมพัสตร์เดินไปหาชาติสยามที่รถคันนั้น
โขมพัสตร์หย่อนตัวลงนั่งในรถชาติสยาม หน้าตาร่าเริงชาติสยามขยับลงนั่งประจำที่คนขับ
“ไปกินอะไรที่ไหนดี”
“ได้หมดเลย ขมแล้วแต่อา”
“อยากกินของแพงหรือของถูก”
“อามีตังค์แค่ไหนล่ะคะ”
“นั่นไม่ใช่ปัญหา ถ้าตังค์ไม่พอ เราก็ขอเขาล้างจาน”
“งั้นซื้อกับข้าวกลับไปกินที่บ้านดีกว่าค่ะ ถูกที่สุด”
“อาว่าไม่นะ อาว่ามีที่ถูกกว่านั้น อาจถึงขั้นได้กินฟรี”
“ที่ไหน ?”
ทุกคนนั่งอยู่ที่โต๊ะตัวใหญ่กลางร้านอาหารหรูแห่งหนึ่ง บนโต๊ะตัวนี้มีอาหารหน้าตาดี วางเรียงรายจนเต็ม
บุหงาบอก“ท่องหนังสือหนักมาทั้งปี วันนี้กินให้เต็มที่นะเด็กๆ”
“เหตุผลเดียวที่พจน์อยากให้มีสอบทุกอาทิตย์ก็คืออย่างนี้แหละค่ะ”
“แต่ถ้าสอบได้ที่โหล่ในห้อง ก็จะไม่มีอย่างนี้นะลูก” รังสรรค์บอก
“แปลว่าพจน์ได้ท็อปของห้องเหรอ” รัมภ์ถาม
พจนีย์หน้าเสียเล็กน้อย
“อานิสงส์จากยายรสต่างหาก”
ทุกคนหัวเราะพอสมควรกับการหยอกล้อพจนีย์
ชาติสยามเดินเข้ามาในร้านบุหงาหันไปเห็น ตาเป็นประกาย
“อุ๊ย คุณชาติสยาม”
ทุกคนหันไปมองตามสายตาบุหงา
โขมพัสตร์เดินตามหลังชาติสยามเข้ามามารัฐ รัมภ์และรติรสยิ้มให้
ฝ่ายรังสรรค์ หน้าขมึงตึงขึ้นมาทันที
ชาติสยามเดินตรงไปที่โต๊ะใหญ่กลางร้านตัวนี้
“สวัสดีครับทุกคน ถ้าผมจะพาหลานสาวผมมานั่งกินอาหารที่นี่ด้วย คงไม่เป็นการรบกวนจิตใจใครใช่มั้ยครับ”
รัฐยืนขึ้น รีบขยับเก้าอี้ให้โขมพัสตร์ทันที
รังสรรค์เอ่ยปากเสียงเข้ม
“โต๊ะทางโน้นยังว่างอยู่ เชิญตามสบาย”
“ครับ...ดูเหมือนจะวิวดีกว่าโต๊ะนี้ซะอีก”
ชาติสยามเดินนำโขมพัสตร์ไปที่โต๊ะเล็กริมหน้าต่าง
ที่โต๊ะริมหน้าต่างชาติสยามเลื่อนเก้าอี้ให้โขมพัสตร์นั่ง เธอเลือกนั่งบนเก้าอี้อีกตัว ที่หันหลังให้โต๊ะใหญ่ตัวนั้น
“ขมนั่งตัวนี้ดีกว่า เขาจะได้ไม่ต้องเห็นหน้าขม”
“เขาเห็นหน้าขมเต็มๆตาตั้งแต่เดินเข้ามาในร้านแล้ว”
“ขมบอกแล้วว่าอย่ามาที่นี่ อาสยามก็ไม่เชื่อ หาเรื่องให้ขมโดนดุทำไมก็ไม่รู้”
“อาอยากเห็น ว่าเขาจะหาเรื่องอะไรมาดุขมได้ ในเมื่อเราไม่ได้ทำอะไรผิด แต่ที่อาเห็น ก็มีตั้งสามคนที่ดีใจที่เมื่อเห็นหน้าขม”
“แล้วก็มีผู้หญิงอีกหนึ่งคนที่ยิ้มให้อา”
“แต่อาไม่ได้ยิ้มตอบเขานะ” ชาติสยามว่า
ที่โต๊ะใหญ่กลางร้านพจนีย์เหลือบมองไปที่โขมพัสตร์ แล้วแสยะยิ้มใส่พร้อมกับเอ่ยปากขึ้นมาลอยๆ ให้รัฐและรัมภ์ที่นั่งข้างๆได้ยิน
“ดูท่ามันสิ แหม ทำอย่างกับว่าเป็นคู่รักกัน...นี่ถ้าในร้านนี้มืดหน่อย มีหวังได้กอดจูบลูบคลำกันไปถึงไหนๆแน่ๆ”
“ยายพจน์พูดจาอะไรน่าเกลียด” รติรสว่า
“ก็จริงนี่”
“จริงที่ไหน เขาจะทำอย่างนั้นได้ยังไง เขาเป็นอาเป็นหลานกันนะ” รัฐว่า
“อาแท้ๆหรือเปล่าก็ไม่รู้ เชื่อได้ยังไง”
รังสรรค์เอ่ยปากพูดเสียงดัง หน้าตาหงุดหงิด
“รีบกินกันให้เสร็จๆ จะได้รีบกลับ”
“เรายังไม่ได้ของขวัญเรียนจบเลยนะพ่อ”
“ผลสอบแย่อย่างนี้ ยังจะเอาของขวัญอีกเหรอ”
“อ้าว”
“แต่รติรส สอบได้ที่หนึ่งนะครับคุณอา” รัฐว่า
“ฉันไม่มีของขวัญให้ใครทั้งนั้น”
รังสรรค์ขยับลุกออกจากโต๊ะ
บุหงารีบลุกตามไปพูดกับรังสรรค์ใกล้ๆ
“คุณพี่คะ ก่อนกลับน้องขอไปคุยกับกับคุณชาติสยามหน่อยนะคะ เขาจะได้ไม่
เข้าใจเราผิด”
“เข้าใจผิดว่าอะไร ?”
“เข้าใจผิดว่าเราไปรังเกียจเขาด้วยไงคะ”
รังสรรค์พ่นลมหายใจออกมาแรงแล้วจึงเอ่ยปาก
“ไม่ต้อง เธออยู่นี่แหละ ฉันคุยเอง”
“เอ้อ”
บุหงาอึ้งไปอย่างไม่คาดคิด
รังสรรค์เดินกลับไปยืนหน้าโต๊ะใหญ่ของเขา
“นายรัฐนายรัมภ์จะให้ของขวัญอะไรใคร ก็ให้ซะเลย”
รัฐบอก“เรามีของให้ขมด้วยครับ”
“ก็ไปเรียกมันมาสิ”
รัฐขยับตัวหันไปส่งเสียงเรียกขม
“ขม...เชิญที่โต๊ะนี้หน่อยจ้ะ”
โขมพัสตร์หันมามองรัฐอย่างลังเลชาติสยามจึงเอ่ยปาก
“อาว่าจังหวะนี้ขมควรจะไปนะ”
โขมพัสตร์ลุกขึ้นเดินไปที่โต๊ะตัวใหญ่กลางร้าน
ส่วนรังสรรค์เดินผ่านหน้าโขมพัสตร์ไป โดยไม่ปรายตามองเธอเขาตรงไปที่โต๊ะเล็กริมหน้าต่างตัวนั้น
รังสรรค์ก้าวเข้ามายืนเบื้องหน้าชาติสยาม
“คุณคือ ชาติสยาม สุรบดินทร์ใช่มั้ย”
“ใช่ครับ...ต้องขอโทษด้วย ที่เมื่อสักครู่ผมลืมแนะนำตัว”
“ไม่เป็นไร เพราะใครๆในบ้านฉันรู้จักคุณหมดแล้ว”
“ยกเว้นคุณรังสรรค์”
รังสรรค์ขยับตัวลงนั่งบนเก้าอี้ใกล้ตัว
“ที่จริงผมรู้จักคนตระกูลสุรบดินทร์หลายคนอยู่...ที่สนิทกันมากๆก็มีคนนึง ชื่อ...”
ชาติสยามตอบ“ชวาล สุรบดินทร์?”
“คุณรู้ ?”
“ครับ”
“และคุณก็รู้จัก พิทย์ รุ้งพรายด้วย ?”
“ครับ”
“รู้จักดีแค่ไหน ?”
“หมายถึงใครครับ ชวาล หรือ พิทย์ ?”
“คุณจะเรียกชื่อเขาว่าอะไรก็ช่าง แต่ผมอยากรู้รายละเอียดของพี่ชายคุณ โดยเฉพาะเรื่องครอบครัวของเขา”
“ผมคงตอบอะไรคุณรังสรรค์ได้ไม่ถนัดนัก...เพราะพี่พิทย์ในมุมที่ผมรู้จัก คงไม่ใช่มุมที่คุณรังสรรค์อยากรู้”
“งั้นช่วยตอบคำถามอีกข้อเดียวได้มั้ย”
“ถามว่า ?”
“เมื่อไหร่ มันจะมารับลูกสาวมันกลับไปซะที”
“คนเดียวที่จะตอบคำถามข้อนี้ได้คือ พี่พิทย์ แต่ผมสามารถบอกคุณรังสรรค์ได้อย่างหนึ่ง...พี่พิทย์กำชับนักหนาว่า คุณอย่าทำผิดสัญญาที่ให้ไว้เป็นอันขาด”
รังสรรค์มีสีหน้าเครียดขึ้นมาพอสมควร
ห้องนอนรติรส ตอนกลางคืนหนังสือเล่มหนาเกี่ยวกับธรรมชาติวิทยา เป็นภาษาอังกฤษ
รติรสนั่งมองหนังสือเล่มนี้
บ่ายที่ผ่านมารัฐและรัมภ์ถือถุงของขวัญก้าวเข้ามา เขายื่นมันให้กับรติรส
รัฐบอก“นี่ของฝากจากปีนัง จากเราสองคน”
รัมภ์บอก“และเป็นของขวัญสำหรับคนเรียนเก่งด้วย”
รติรสยิ้มรับ แล้วจึงหยิบของออกมาจากถุงเป็น Textbook เล่มนั้นนั่นเอง
รัฐและรัมภ์หันไปหาพจนีย์พวกเขาส่งถุงของขวัญใบใหญ่ให้พจนีย์
รัฐบอก“นี่สำหรับพจนีย์ จากพี่รัฐและพี่รัมภ์”
รัมภ์แซว“ของขวัญสำหรับคนสอบเกือบตก”
“พี่รัมภ์ !”
“แต่ก็กล่องใหญ่กว่าใครนะ”
พจน์ยิ้มรับ แล้วจึงหยิบของออกมาจากถุงเป็นหมวกปีกกว้าง สีสวยงาม
รัฐและรัมภ์หันไปหาขมทั้งสองหยิบของขวัญคนละถุงส่งให้ขม
“ของขวัญจากพี่ สำหรับคนที่สอบได้ที่หนึ่ง”
“อันนี้ของพี่รัมภ์จ้ะ”
พจนีย์ เอ่ยปากกับพี่สาว แววตาอิจฉา
“มันได้สองกล่องแน่ะพี่รส”
โขมพัสตร์หยิบของขวัญออกมาจากถุงของขวัญของรัฐเป็น music boxส่วนของรัมภ์ เป็นตุ๊กตาในขวดแก้ว หรือ snow globes
พจนีย์เอ่ยปากด้วยความอิจฉา
“เอาใจกันเกินหน้าเกินตาไปหน่อยแล้วนะ”
รติรส มองภาพนี้ด้วยความน้อยใจนิดๆ
รังสรรค์เปิดประตูห้องรติรส แล้วเดินเข้ามา
“รส”
“มีอะไรเหรอคะ พ่อ”
“พ่อมาแสดงความยินดี ที่หนูเรียนจบมัธยม และสอบได้ที่หนึ่ง”
“ขอบคุณค่ะ”
“พ่อมีของขวัญให้รสด้วย”
รังสรรค์ส่งกล่องของขวัญให้กับลูกสาวรติรสรับของขวัญนั้นเธอยกมือไหว้ผู้เป็นพ่ออย่างซาบซึ้งใจ
“ลูกอยากเรียนต่อมั้ย”
“รสอยากเรียนมหาวิทยาลัยค่ะ”
“อยากเรียนอะไร”
“อักษรศาสตร์”
“ดีแล้ว...ความรู้เป็นอาวุธสำคัญที่จะพาลูกไปสู่ความสำเร็จได้...อยากให้พ่อช่วยอะไร หรืออยากให้หาอาจารย์พิเศษมาติวให้ก็บอกพ่อนะ”
“ขอบคุณค่ะ”
รังสรรค์ขยับตัวจะเดินออกจากห้อง แล้วจึงหันมาพูดอีกหนึ่งประโยค
“อย่าบอกพจนีย์ล่ะว่าพ่อมีของขวัญให้ลูก”
รังสรรค์เดินออกจากห้องนี้ไป
รติรสค่อยๆแกะของขวัญกล่องนี้ออกดูเป็นปากกาหมึกซึมราคาแพง และการ์ดหนึ่งใบ พร้อมข้อความว่า
"ยินดีด้วยกับการก้าวสู่ความเป็นผู้ใหญ่ พ่อรักลูกเสมอรังสรรค์"
บ้านเทพสถิต ตอนกลางคืน บนโต๊ะอาหารใหญ่ของบ้านหลังนี้ชาติสยามนั่งตักข้าวเข้าปากอย่างอร่อยผู้เป็นแม่นั่งมองอย่างอารมณ์ดี
“ไปอดอยากมาจากไหนเนี่ยลูกชายฉัน ถึงได้โผล่มากินข้าวบ้านแม่เอาดึกดื่นอย่างนี้”
“ไปกินข้าวกลางวันกับคนในตระกูลรัตนเดชากรมา” ชาติสยามว่า
“แล้วอาหารไม่ถูกปากเหรอลูก”
“ไม่ใช่อาหารครับแม่ แต่เป็นบรรยากาศต่างหาก ที่ทำให้กินอะไรไม่ลง”
“เฮ้อ อย่างนี้ก็มีด้วย”
“แม่รู้จักคนตระกูลนี้บ้างมั้ย” ชาติสยามเลียบเคียง
“ตระกูลผู้ดีเก่าแก่อย่างนี้ ใครๆก็รู้จัก”
“เอาแบบรู้จักดีนะ”
“คนไหนล่ะ”
“รังสรรค์ รัตนเดชากร”
“ขึ้นชื่อที่สุดของคนนี้ก็ต้องเรื่องเจ้าชู้”
“จริงเหรอ ?”
“เขาลือกันว่ามีเมียเล็กเมียน้อยทั่วบ้านทั่วเมือง จริงเท็จยังไงแม่ไม่รู้นะ...แต่ที่แน่ๆคือ พอเมียตาย ตาคนนี้ก็ไปคว้าน้องเมียมาเป็นเมียแทน...อย่างนี้เรียกว่าเจ้าชู้มั้ยล่ะ”
ชาติสยามตักข้าวใส่ปาก ครุ่นคิดนิดๆ
บ่ายวันหนึ่ง เมื่อสิบแปดปีก่อนหน้านี้สาวงามคนหนึ่งนั่งหน้าเศร้ากลางห้องเธอคือ บุปผา รัตนเดชากร พี่สาวของบุหงา
รังสรรค์หย่อนตัวลงนั่งข้างๆบุปผา
“เป็นอะไรไปจ๊ะบุปผา ทำไมวันนี้นั่งหน้าเครียดทั้งวัน”
“น้องมีเรื่องไม่สบายใจ”
“บอกพี่ได้มั้ย”
“น้องมี ข้อสงสัยที่หาคำตอบไม่ได้”
“สงสัยเรื่องอะไรจ๊ะ”
“รติรส...ลูกสาวเรา”
รังสรรค์นิ่งอึ้งไปนิดนึง
“ลูก เรา ใช่มั้ยคะ”
รังสรรค์บรรจงปั้นยิ้มให้ภรรยา
“ถ้าไม่ใช่ลูกเราแล้วจะเป็นลูกใคร”
“แต่คุณพี่ก็มีผู้หญิงตัวเล็กตัวน้อยเต็มไปหมดนี่คะ”
“อย่ากังวลไปเลย พี่ไม่เคยจริงจังกับใคร นอกจากบุปผาเมียแต่งคนเดียวของพี่”
“น้องจะมั่นใจได้ยังไง...ในเมื่อยังมีผู้หญิงอีกหนึ่งคนในบ้านนี้ ที่น้องต้องยอมแบ่งปันคุณพี่ให้มัน”
“ก็แค่คนนี้คนเดียว”
“แล้วถ้ามันมีลูกล่ะคะ..ถ้าผู้หญิงคนนี้เกิดมีลูกขึ้นมา คุณพี่จะรักน้องน้อยลงมั้ย”
“งั้นเรามารีบมีลูกของเราอีกซักคนนึงดีมั้ย”
รังสรรค์โน้มตัวลงไปจุมพิตบุปผาอย่างนุ่มนวล
ที่โต๊ะเขียนหนังสือตัวนั้น เวลากลางคืน บุปผาในชุดนอนเซ็กซี่ นั่งเขียนจดหมายบนโต๊ะตัวนี้
เสียงบุปผาดังออกมาตามตัวอักษร
“บุหงาน้องรัก...พี่มีเรื่องร้อนใจ ที่อยากปรึกษาเธอ...มีเธอเพียงคนเดียวเท่านั้นที่จะช่วยกำจัดหนามยอกอกของพี่คนนี้ได้...เธอต้องช่วยพี่นะ บุหงา”
บุหงา นั่งหน้านิ่งในรถรังสรรค์นั่งอยู่ข้างๆในตำแหน่งผู้ขับรถทั้งสองทอดสายตามองตรงไปเบื้องหน้าเสียงพระสวด บังสกุล ดังเข้ามา
ที่บริเวณวัด สมาชิกบ้านพุทธชาดนั่งพนมมือเรียงกันหน้าเจดีย์บรรจุกระดูกพระสงฆ์ นั่งสวดบังสกุลอยู่ตรงตำแหน่งที่เหมาะสมใกล้เจดีย์นั้น เห็นเป็นรูปบุปผา มีตัวหนังสือใต้รูปเขียนว่า
นางบุปผา รัตนเดชากร ชาตะ 18 มิย. 2468 มรณะ 26 สค. 2498
บ่ายวันหนึ่งในมุมลับตา สิบแปดปีก่อนหน้านี้บุปผาก้าวเข้ามาด้วยสีหน้าจริงจัง
“เธอคือคนที่บุหงาส่งมาใช่มั้ย”
เบื้องหน้าบุปผา มันคือ แฟรงกี้!
“yes , I’m Frankie”
“น้องสาวฉันบอกอะไรเธอบ้าง”
“ทำลายชื่อเสียงของผู้หญิงคนนึง แลกกับเงินค่าจ้างจากยู”
“นี่คือผู้หญิงคนนั้น”
บุปผาส่งรูปใบหนึ่งให้แฟรงกี้ เขารับมาดู เป็นรูป แขนภา ที่สวยสะดุดตายิ่งนัก
ที่วัดเดิม บุหงาเอื้อมมือวางดอกไม้เบื้องหน้ารูปบุปผาที่เจดีย์บุหงาพนมมืออธิษฐานถึงพี่สาว
เสียงบุหงาดังเข้ามา
“ป่านนี้ดวงวิญญาณของพี่คงสงบสุขอยู่ที่ใดที่หนึ่ง ซึ่งถ้าพี่มองลงมาได้ ก็คงจะเห็นว่าฉันทำหน้าที่เมียได้ดีกว่าพี่เยอะ...”
รังสรรค์นั่งอยู่ข้างๆบุหงา
“แต่ก็ไม่แน่นะ วันนึงอาจจะถึงเวลาที่ฉันต้องทิ้งเขาไปก็ได้...ถึงตอนนั้นหวังว่าพี่คงอภัยให้ฉันจนหมดแล้วหละนะ พี่บุปผา”
บ่ายวันเดียวกัน สาวใช้เรือนเล็กก้าวยาวๆเข้ามาที่เรือนนมผ่อน ส่งเสียงตะโกนลั่น
“ป้า...ป้านมผ่อน...ป้า”
โขมพัสตร์ เดินออกมาจากห้องของเธอ
“มีอะไรเหรอพี่อิ่ม”
“ฉันจะมาขอยาแก้ไข้ให้พี่อาบน่ะ...แกเป็นลมอยู่บนเรือน ตัวร้อนจี๋เลย”
“เดี๋ยวฉันเอาไปให้....พี่อิ่มรีบไปเช็ดตัวพี่อาบก่อนเถอะ มันช่วยลดไข้ได้”
“เออ เร็วๆนะ”
สาวใช้ขยับตัวเดินออกไป โขมพัสตร์รีบเรียกไว้
“เดี๋ยวพี่อิ่ม...คุณรังสรรค์ไม่อยู่ใช่มั้ย”
“ไม่มีใครอยู่เลย ไปวัดกันตั้งแต่เช้า”
อิ่มประคองสาวใช้อาบ ให้ลุกขึ้นนั่ง โขมพัสตร์ยื่นยาแก้ไข้กับแก้วน้ำให้อาบ
“นี่จ้ะยาแก้ไข้ กับน้ำ”
“ขอบใจนะขม”
อาบรีบกินยาโดยเร็ว
“ฉันว่า ฉันพาพี่อาบไปนอนก่อนดีกว่า”
“ดีจ้ะ”
โขมพัสตร์ช่วยประคองอาบให้ยืนขึ้น อิ่มเอ่ยปาก
“ขมช่วยเก็บไม้กวาดกับผ้าขี้ริ้วตรงนั้นให้ทีสิ ถูต่อให้พี่อีกนิดก็ดีนะ พี่ยังถูไม่เสร็จเลย เดี๋ยวคุณรังสรรค์กลับมาเห็น เอ็ดตะโรเอาอีก”
“จ้ะ”
บริเวณโต๊ะหนังสือของรังสรรค์
โขมพัสตร์เดินเข้ามาหยิบไม้กวาด ผ้าขี้ริ้วและถังน้ำที่วางอยู่บริเวณนี้ เธอใช้ผ้าขี้ริ้วเช็ดฝุ่นตรงที่สาวใช้ทำค้างไว้
ลิ้นชักตู้เปิดอยู่ พร้อมกับของสี่ห้าชิ้นที่วางเกะกะ ไม่เป็นที่เป็นทาง โขมพัสตร์ค่อยๆเก็บของเหล่านั้นใส่ลิ้นชักให้เรียบร้อยทว่ากล่องใบหนึ่งเปิดอยู่โดยไม่มีของอยู่ในกล่อง
โขมพัสตร์กวาดสายตามองไปรอบๆพลันเหลือบไปเห็นความแวววับของล็อกเก็ตอันนั้น ซึ่งตกอยู่ที่พื้น ตรงซอกข้างตู้ โขมพัสตร์หยิบมันขึ้นมาเพื่อจะเก็บใส่ในกล่อง
แต่เธอกลับหยุดชะงักเมื่อมองเห็นล็อกเก็ตอันนี้เต็มๆตา
โขมพัสตร์รู้สึกคุ้นเคยกับมัน พลันนึกย้อนไปในอดีต
ชุมชนชนบทริมคลองแม่แขในหลายๆอิริยาบท ล้างจาน กล่อมลูก ป้อนข้าวลูกเชือกที่ผูกรัดผ้านุ่งที่เอวของแม่แข ในระหว่างนั้นมีห่อผ้าชิ้นเล็กๆผูกติดอยู่
มือของขมในวัยเด็กไขว่คว้า ดึงห่อผ้านั้นเล่นรอยขาดของผ้า ทำให้เห็นของที่อยู่ในห่อมันคือ ล็อกเก็ต ลักษณะเดียวกันกับของรังสรรค์ เพียงแต่ว่าขุ่นมัวกว่ากันมาก
โขมพัสตร์มองล็อกเก็ตในมือด้วยความแปลกใจ
ทันใดนั้น เสียงรังสรรค์ก็แผดเสียงดังกังวานขึ้น
“ออกไปจากโต๊ะหนังสือของฉันเดี๋ยวนี้”
รังสรรค์ยืนตระหง่าน หน้าตาดุดัน อยู่ด้านหลังโขมพัสตร์ ขมหันหน้ากลับไปดู เธอตกใจจนตัวสั่น
“ขอโทษค่ะ”
“ฉันบอกให้ออกไป เสือกขึ้นมาทำไมบนห้องนี้”
“ดิฉันมาเก็บของแทนพี่อาบ แกถูพื้นตรงนี้ค้างไว้”
รังสรรค์เดินไปกระชากหัวโขมพัสตร์ออกมาจากโต๊ะหนังสือ
“ไม่ต้องมาตีหน้าตอแหลเลย ฉันสั่งห้ามแกขึ้นมาบนนี้ แกฟังไม่รู้ภาษารึไง”
รังสรรค์เหวี่ยงร่างของโขมพัสตร์กระเด็นไป จนศีรษะกระแทกตู้
โขมพัสตร์ทรุดตัวล้มลง เลือดไหลซึมออกมาตรงบริเวณหน้าผาก
โขมพัสตร์หงายมือเปิดออก ล็อกเก็ตอันนั้นอยู่ในอุ้งมือของเธอ
รังสรรค์ เหลือบมองเห็น ยิ่งโกรธจัดยิ่งขึ้นอีก
“นั่นแกหยิบอะไรไปจากโต๊ะฉัน”
“เปล่าค่ะ”
“เปล่าอะไร มันอยู่ในมือแกนั่นไง”
รังสรรค์ก้มลงกระชากล็อกเก็ตออกมาจากมือเธอ โขมพัสตร์ตกใจ เนื้อตัวสั่นมากยิ่งขึ้น
“ดิฉันเห็นมันตกอยู่ที่พื้น”
“มันตกที่พื้นแล้วแกก็เลยคิดจะขโมยงั้นเหรอ”
“เปล่าค่ะ ดิฉันกำลังจะเก็บ”
“โกหก แกกำลังจะขโมยของของฉัน”
“เปล่าค่ะ”
“แกไม่ต้องมาเถียง เห็นอยู่เต็มตาว่าแกกำลังจะขโมยของมีค่าของฉัน”
“เปล่านะคะ ดิฉันไม่ได้ขโมย”
รังสรรค์สืบเท้าตรงเข้าไปตบหน้าขมอย่างแรง
“ยังกล้าเถียงอีกเหรอ”
โขมพัสตร์เซกลิ้งไปตามแรงตบ
“ดิฉันขอโทษ ดิฉันไม่ได้ตั้งใจ”
“อีผู้ร้ายปากแข็ง ฉันจะลงโทษแกยังไงดี ถึงจะสาสมกับความชั่วของแก”
รังสรรค์หันไปคว้าไม้กวาดยาวอันนั้นเงื้อสุดมือแล้วฟาดลงไปที่ขม
ขมคว้ากระป๋องน้ำใกล้ตัวปัดป้องเป็นพัลวันพร้อมกับพยายามไถลตัวหนีรังสรรค์
“มันต้องตีให้ตายใช่มั้ย ถึงจะรู้ว่าฉันเกลียดแกขนาดไหน”
“อย่าค่ะ อย่าทำขมเลยค่ะ ขมเจ็บแล้วค่ะ”
“เจ็บแล้วเคยจำบ้างมั้ย มีแต่โอหังอวดดี”
“อย่าค่ะ อย่าตีขมเลยค่ะ”
“แกมันเนรคุณ เลี้ยงไม่เชื่อง เลวเหมือนพ่อเหมือนแม่แก”
รติรส พจนีย์ บุหงา วิ่งเข้ามาจากคนละทิศคนละทางทุกคนอยู่ในอาการตกใจ
รติรสและบุหงาตรงเข้าไปห้ามรังสรรค์
“ พ่อ ! - คุณพี่ !”
“พ่อพอเถอะค่ะ อย่าตีขมเลยค่ะ เลือดไหลเต็มไปหมดแล้ว”
รติรสดึงรั้งตัวรังสรรค์ออกมาจนได้รังสรรค์ยังคงตวาดลั่นบ้าน
“มึงอย่าโผล่หน้ามาให้กูเห็นอีกเป็นอันขาด อีกาลกิณี”
โขมพัสตร์ร้องไห้ วิ่งออกไปท่ามกลางรอยเลือดที่ไหลตามแขน และหน้าผาก
ต่อเนื่องมา นมผ่อนก้าวยาวๆเข้ามาที่โถงเรือนใหญ่ หน้าตาตื่น
“เกิดเรื่องใหญ่แล้วค่ะคุณไพลิน”
“เรื่องอะไร”
“คุณรังสรรค์ อาละวาดตบตีขม อยู่บนเรือนค่ะ”
ไพลินตกใจไม่แพ้นมผ่อน
ไพลินรีบเดินเข้ามาที่เรือนเล็ก หน้าตาโกรธ
“รู้ตัวมั้ยว่าทำอะไรลงไป เป็นผู้ใหญ่ซะเปล่า ทำไมไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจ สะกดกลั้นอารมณ์บ้าง”
“ลงโทษเด็กเลวๆคนนึงเนี่ยมันผิดนักเหรอ”
“คำก็เลว สองคำก็เลว มันเลวยังไง ลองบอกมาซิ”
“ขึ้นมาขโมยของของฉันถึงบนเรือนนี่ยังไม่เลวอีกเหรอ”
“ถามคนอื่นรึยัง สอบสวนกระบวนความจนได้ข้อมูลถูกต้องชัดเจนรึยัง...ก็ยัง !เด็กมันเอายามาให้นังอาบ มันมีน้ำใจช่วยเหลือเพื่อน แกก็ไปกล่าวโทษมัน”
“โธ่ ข้ออ้างข้างๆคูๆ...อีกหน่อยโจรห้าร้อยปีนบ้านใครก็อ้างว่าเอายาแก้ไข้ไปให้เขา เท่านั้นก็ไม่ผิดแล้วใช่มั้ย”
“เอาไปเทียบกับโจรห้าร้อยได้ยังไง นี่มันเด็กในบ้าน มันเป็นขโมยขโจรปีนขึ้นบ้านมาที่ไหนกัน”
“แล้วพี่ไพจะให้ฉันทำยังไง ต้องไปขอโทษมันมั้ย”
“ใช่”
“ฝันไปเถอะ”
“จะให้ฉันตามคุณแม่มาฟังด้วยอีกคนมั้ย ตารังสรรค์”
รังสรรค์นิ่งอึ้ง
สาวใช้เดินเข้ามาหน้าตาตื่น
“คุณไพลินขา...ขมไปแล้วค่ะ”
“อะไรนะ”
“ขมไม่อยู่ที่เรือนค่ะ”
“ดูทั่วแล้วเหรอ”
“ค่ะ เสื้อผ้าก็หายไปด้วยค่ะ”
“ดี ไปซะได้ก็ดี”
สีหน้าไพลินเต็มไปด้วยความกังวล
“แม่คุณเอ๊ย ตัวคนเดียวอย่างนั้น จะไปอยู่ไหนกันล่ะเนี่ยะ”
ต่อเนื่องมา รัฐและรัมภ์เดินก้าวยาวมาหารติรส ที่ยืนอยู่มุมหนึ่งในสวน
รัฐถาม“ขมหนีออกจากบ้านเหรอ”
“ใช่ คุณพ่อดุด่า ทุบตีขมหนักมากเลย”
รัมภ์บอก“เฮ้อ เป็นพี่ พี่ก็คงหนี”
“รสสงสารขมจังเลย”
“เราออกไปตามหาขมกันมั้ย”
“ดี แต่ปัญหาคือจะไปตามที่ไหน”
“นอกจากที่โรงเรียนแล้ว ก็ไม่เคยเห็นขมไปที่ไหนเลย”
“นั่นสิ” รัมภ์ว่า
“แล้วคุณหญิงย่าว่ายังไงบ้าง”
เมื่อเรื่องถึงคุณหญิง
“ทำเกินไปแล้วตารังสรรค์...ใจร้ายผิดมนุษย์มนาจริงๆ ไม่รู้ไปจงเกลียดจงชังเด็กมันขนาดนี้ทำไม มันทำอะไรให้รึก็เปล่า”
“คุณแม่คงต้องกำราบลูกชายคนนี้ด้วยตัวเองแล้วหละค่ะ” ไพลินบอก
“ฉันทำแน่แม่ไพ...แต่เรื่องใหญ่กว่าก็คือ เราต้องตามหาตัวขมให้ได้ ถ้าเกิดไปมีอุบัติเหตุ หรือเป็นอันตรายอะไรข้างนอกละก้อ พ่อเขาได้มาเล่นงานเราถึงบ้านแน่ๆ”
“ดิฉันคิดว่า มีเพียงคนเดียวที่น่าจะรู้ว่า ขมอยู่ที่ไหน”
คุณหญิงรอฟังอย่างตั้งใจ
โขมพัสตร์นั่งนิ่งเพียงลำพัง ข้างต้นไม้ใหญ่ต้นเดิมในสวนสาธารณะ น้ำตาของเธอไหลรินทั่วหน้า
รอยเลือดและแผลตามเนื้อตัว ยังคงปรากฏให้เห็น
โขมพัสตร์ขมหยิบกระดาษเขียนจดหมายขึ้นมาวางบนตักเธอค่อยๆบรรจงเขียนข้อความลงไปบนกระดาษแผ่นนั้นเสียงโขมพัสตร์ดังบอกเนื้อความ
“พ่อจ๋า...ผู้ชายคนนั้น คนที่พ่อบอกว่าเป็นเพื่อน...เขาเป็นปีศาจร้ายชัดๆ เขาทำร้ายขมราวกับจะฆ่าให้ตาย...ขมไม่อาจทนอยู่ที่นั่นได้อีกต่อไปแล้ว...ขมขอโทษที่ทำไม่ได้อย่างที่พ่อต้องการ แต่ความอดทนของขมมีเท่านี้จริงๆจ้ะพ่อจ๋า...ขมอยากให้พ่อมาอยู่ใกล้ๆ ขมอยากกอดพ่อ อยากอยู่กับพ่อ หรือไม่ต้องมี
ชีวิตอยู่ต่อไปเลย ก็ยังดีกว่า ทนทรมานอยู่ในบ้านของอสูรร้ายตัวนั้น”
เสียงชาติสยามดังเข้ามา
“จดหมายลาตายรึเปล่า”
โขมพัสตร์หันไปมองตามทิศทางของเสียง
ชาติสยามหย่อนตัวลงนั่ง และยิ้มให้โขมพัสตร์อย่างอบอุ่น เธอโผเข้ากอดซบไปกับร่างของชาติสยาม
“อาสยาม”
“ทีนี้เชื่ออาได้รึยัง...แค่ขมนึกถึงอา อาก็จะมาหาขม ตามหน้าที่ของเทวดาผู้พิทักษ์ทันที”
“แล้วทำไมอาไม่มาก่อนหน้านี้ล่ะ ทำไมไม่มาตอนที่เขาจะทุบตีขมล่ะ ทำไมอาไม่มาช่วยห้ามเขาตอนนั้น หรือไม่ก็ทุบตีตอบโต้เขาตอนนั้นบ้าง”
ชาติสยามถอนใจนิดๆ
“ก็...คุณป้าไพลินเพิ่งโทรบอกอาตอนนี้ อาก็มาได้ตอนนี้น่ะสิ”
“คุณป้ารู้ว่าขมอยู่ที่นี่เหรอคะ”
“ไม่มีใครรู้หรอก นอกจากอา”
“ขมไม่มีที่ไป ไม่รู้จะไปอยู่ที่ไหน”
“ดีแล้วหละ ถ้าขมไปที่อื่น อาก็คงจะเดาไม่ได้ แล้วก็ตามหาขมไม่เจอ และก็จะไม่มีโอกาสทำแผลให้ขม”
ชาติสยามหยิบอุปกรณ์ล้างแผล และยาออกมา
โขมพัสตร์ชักแขนหนี ปฏิเสธการทำแผล
“แผลแค่นี้ขมไม่เจ็บหรอกค่ะ ขมเจ็บที่ใจมากกว่า”
“เจ็บหรือไม่เจ็บก็ต้องทำ อย่าดื้อน่า...ทั้งกายทั้งใจมันต้องแข็งแรงเท่าๆกัน เราถึงจะมีกำลังสู้ชีวิตต่อไป”
ชาติสยามดึงแขนโขมพัสตร์มา และเริ่มต้นล้างแผลให้เธอ
“เสร็จแล้วอาจะพาขมกลับบ้านรึเปล่า”
“เรื่องอะไร ทำแผลเสร็จ ก็ต้องกินกันก่อนซี่...นานๆจะหนีออกจากบ้านสักครั้งจะรีบกลับบ้านทำไม”
“ขมไม่กลับไปที่นั่นแล้วนะอา...อาพาขมไปอยู่ที่อื่นได้มั้ย ที่ไหนก็ได้ที่ไม่ใช่บ้านพุทธชาดน่ะ”
“อิ่มก่อนแล้วค่อยคิด...เพราะเสียงท้องร้องเป็นอุปสรรคสำหรับนักคิดทุกคน”
โขมพัสตร์ยิ้มสดชื่นไปกับอาสยามของเธอ
โถงเรือนเล็ก บ้านพุทธชาดรังสรรค์นั่งซึมนิ่งแก้วบรั่นดีอยู่ในมือของเขา เขาดื่มบรั่นดีในแก้วนั้น แล้วครุ่นคิด สีหน้าเครียด
สิบแปดปีก่อนหน้านี้รังสรรค์ในอารมณ์เกรี้ยวกราด
“อีเลว แกมันเลว เนรคุณ เลี้ยงเสียข้าวสุก แกทำอย่างนี้กับฉัน ในบ้านของฉันอย่างนี้ได้ยังไง”
รังสรรค์ขว้างปาข้าวของขว้างของพูดจาด่าทอ
บุหงาเทบรั่นดีเติมลงไปในแก้วใบนั้น
“น้องไม่ค่อยได้เห็นคุณพี่เกรี้ยวกราดขนาดนี้มาก่อนเลย”
“จะเกลียดฉันอีกคนเหรอ”
“ไม่หรอกค่ะ...ดิฉันรักและเคารพคุณพี่อย่างไร ก็จะเป็นอย่างนั้นตลอดไป แต่...”
“แต่อะไร ?”
“บางทีคุณพี่อาจจะต้องพยายามระงับอารมณ์กับนังขมไว้บ้าง”
“ทำไม เธอจะเข้าข้างมันอีกคนงั้นเหรอ”
“ไม่มีทางค่ะ แต่น้องเกรงว่า มันอาจจะเป็นต้นเหตุให้ใครๆตั้งข้อสังเกตเรื่องนี้แล้วมันอาจจะไม่ใช่เรื่องที่ดีนักสำหรับคุณพี่ก็ได้”
รังสรรค์นิ่ง ครุ่นคิดตามคำพูดของบุหงา
“ถ้าวันนึง เรื่องไม่ดีที่เธอว่า ถูกเปิดเผยขึ้นมา เธอจะไปจากฉันงั้นเหรอ”
“บุหงาไม่เคยคิดจะทำอย่างนั้น...แต่”
“แต่อีกแล้ว”
บุหงาประดิษฐ์เสียงเซ็กซี่ยั่วยวน หมายให้รังสรรค์คล้อยตามเธอ
“คุณพี่ก็รู้ ว่าธรรมชาติของมนุษย์ย่อมวิ่งไปหาที่เย็นสบาย ที่มีความสุข...ถ้าจะเกิดเหตุการณ์แบบนั้นขึ้นมา ก็หมายความว่า มีความจำเป็นบังคับ”
รังสรรค์เอ่ยปากตอบด้วยเสียงดุดัน
“ถ้าเธอทิ้งฉันไปวันใด...ฉันจะฆ่าเธอวันนั้น”
ต่อเนื่องมา ชาติสยามและโขมพัสตร์นั่งอยู่ริมบึงน้ำทั้งสองกำลังกินอาหารในกระทง จำพวก ผัดไทย ก๋วยเตี๋ยวหลอดเมื่อกินจนหมด โขมพัสตร์จึงเอ่ยปาก
“คิดออกรึยังว่าจะพาขมไปอยู่ที่ไหน”
“อือม...”
“อย่าบอกว่ายังไม่อิ่มนะอา ก๋วยเตี๋ยวผัดไทยตั้งสามกระทงแล้ว”
“ความอิ่มที่มากเกินไป ก็จะเป็น...”
“เป็นอุปสรรคของนักคิดเหมือนกัน ขมเดาได้แล้วว่าอาต้องพูดอย่างนี้...แล้วเดี๋ยวอาก็จะชวนขมเดินให้อาหารย่อย พอขมเพลินๆอาก็จะพาขมไปส่งที่บ้านพุทธชาดใช่มั้ย”
“ขมคิดอย่างนั้นเหรอ ?”
“มันก็ต้องเป็นอย่างนั้นหละ ขมรู้...ขมคือตัวปัญหาของทุกคน...ขมทำให้ทุกคนต้องเดือดร้อน วุ่นวาย ทั้งๆที่เขาไม่เกี่ยวอะไรกับขมด้วยเลย...คนเดียวที่ไม่เคยทิ้งขมก็คือแม่แข...แต่แม่แขก็อยู่กับขมได้ไม่นาน หลังจากนั้นทุกคนก็โยนขมออกไปให้พ้นตัว ให้ไปอยู่กับคนอื่นเสมอ แม้แต่พ่อก็เถอะ...ถ้าขมโตกว่านี้อีกนิด หรือหางานทำได้ ขมจะอยู่คนเดียว ขมอยากอยู่คนเดียว อาช่วยขมได้มั้ยคะ”
“เอ้อ...อาว่าเรามาแก้ปัญหาไปทีละเปลาะดีกว่านะ...เริ่มจากโจทย์ก่อน โจทย์คืออะไร? โจทย์คือหาที่อยู่ให้ขม ให้เป็นที่ๆขมจะไม่ถูกรังแก ไม่ถูกดุด่า ทุบตีใช่มั้ย”
“ใช่ค่ะ”
“เรามาดูว่าตัวเลือกมีอะไรบ้าง หนึ่งบ้านพุทธชาด”
ขมส่ายหน้าทันที
“อย่าเพิ่งส่ายหน้าสิ บ้านพุทธชาดมีตั้งหลายหลัง ค่อยๆคิดไปทีละหลัง”
“ก็ได้”
“บ้านคุณรังสรรค์ อันนี้ตัดไปเลยนะ”
“ค่ะ”
“เรือนนมผ่อน”
“ทุกวันนี้ขมก็อยู่กับป้านมผ่อน เขาก็ยังหาเรื่องขมได้”
“งั้น เรือนใหญ่ บ้านคุณหญิงรัตนเดชากร”
“ขมเกรงใจคุณหญิง”
“แปลว่า ถ้าตัดความเกรงใจออกไป ขมก็อยู่ที่นั่นได้ใช่มั้ย”
“ก็...คงงั้นมั้งค่ะ”
“มีตัวเลือกที่ไหนอีก ?”
“บ้านอาสยาม” โขมพัสตร์บอก
“โอเค...เพราะฉะนั้น สถานที่ที่เข้ารอบก็คือ บ้านคุณหญิงรัตนเดชากร กับ บ้าน
อาสยาม”
“ขมเลือกบ้านอา”
“เฮ้ยใจเย็นๆ...ค่อยๆคิดต่อไปก่อน”
“ขมคิดมาเยอะแล้วนี่”
“ก็ให้อาคิดบ้างไง”
ชาติสยามวางท่าครุ่นคิดต่อไป
“ที่ที่ขมอยู่ ควรเป็นที่ที่พ่อพิทย์พอใจ สบายใจและไว้วางใจด้วย ใช่มั้ย”
“อาเป็นน้องพ่อ ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว”
“งั้นลองคิดต่อซิว่า ทำไมพ่อพิทย์ไม่ฝากขมไว้กับอาตั้งแต่แรก”
“เอ้อ...”
โขมพัสตร์ค่อยๆคิดตามคำพูดของชาติสยาม
“อามีอะไรน่าเกลียด น่ากลัว ที่ขมไม่รู้เหรอคะ”
“อาเป็นผู้ชาย”
“แล้วยังไง ?”
“อาอยู่ตัวคนเดียว อาแยกบ้านออกมาจากบ้านแม่อานานแล้ว”
“อาไม่มีคนใช้เหรอคะ”
“ไม่มี”
“อากลัวว่าขมเป็นภาระใช่มั้ย...งั้นขมขอสมัครเป็นคนรับใช้บ้านอาเอง ขมจะ
ทำงานบ้าน ถูบ้าน ซักผ้า ล้างจานให้เอง”
ชาติสยามถอนหายใจออกมานิดๆ
“เฮ้อ...ขมเอ๊ย...”
“ทำไมคะ”
“ที่พ่อพิทย์ไม่ฝากขมไว้กับอา ก็เพราะไม่อยากให้เป็นขี้ปากชาวบ้าน เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเรา”
“ขมเป็นหลานอานะคะ”
“แล้วคนอื่นเขารู้มั้ยล่ะ...อาคงต้องทำป้ายแขวนคอขมไว้ตลอดเวลาสินะ ว่าคนนี้คือหลานฉัน”
“อารังเกียจขมนั่นเอง”
โขมพัสตร์เดินไปนั่งพิงต้นไม้ห่างจากชาติสยาม ในท่วงท่าของการ งอนพองาม
ค่ำวันเดิมไพลินเดินออกมาจากตัวบ้านพจนีย์เดินเข้าไปหาผู้เป็นป้า
“ป้าไพลินขา ป้ากำลังจะไปไหนเหรอคะ”
“ไปตามขมกลับมาน่ะสิ”
“พจน์ขอถามอะไรป้านิดเดียวได้มั้ยคะ”
“ถามอะไร ?”
“ระหว่าง พจน์ที่เป็นหลานป้า กับนังขม ป้ารักใครมากกว่ากัน”
“ถามอะไรอย่างนี้”
“ก็พจน์อยากรู้อย่างนี้นี่ และระหว่างนังขมกับพ่อของพจน์ที่เป็นน้องชายของป้าป้ารักใครมากกว่ากัน”
“มันเป็นปัญหาที่กระทบจิตใจเธอมากนักเหรอพจนีย์”
“แน่นอนค่ะ พจน์ช้ำใจทุกครั้งที่เห็นป้าเอาใจใส่นังขมมากกว่าหลานแท้ๆ และยิ่งช้ำใจหนักที่เห็นป้าด่าพ่อหนู เพราะสงสารนังนั่นมากกว่า...พจน์อยากจะรู้ว่านังขมมันวิเศษอะไร ถึงได้อยู่เหนือญาติพี่น้องของป้าทุกคนในบ้านนี้”
“พจนีย์ ป้าจะบอกอะไรให้นะ...ความเป็นญาติพี่น้องร่วมสายเลือดของเรา เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นโดยที่ป้าไม่ได้เลือก แต่เมื่อเป็นญาติกันแล้ว ไม่มีทางที่ป้าจะไม่รักแต่เหนือความเป็นญาติพี่น้องคือคุณธรรม...ถ้าเธอไม่รู้จักคุณธรรม ไม่รู้จักความเมตตา นั่นเป็นปัญหาใหญ่ของเธอแล้วพจนีย์ และถ้าปัญหานี้เป็นเพราะ
พ่อเธอไม่เคยอบรมสั่งสอน นั่นก็แปลว่าตัวปัญหาก็คือเธอทั้งสองคนพ่อลูก...เมื่อป้าตามขมกลับมาได้แล้ว เราจะต้องรีบแก้ปัญหานี้ด้วยกัน อย่างเร่งด่วน”
ไพลินเดินไปขึ้นรถของเธอทันทีพจนีย์ยืนนิ่ง ตัวชา
ที่สวนสาธารณะตอนค่ำ จดหมายปึกใหญ่มากมายหลายฉบับถูกยื่นไปให้ชาติสยามด้วยมือของโขมพัสตร์
“นี่คือจดหมายทั้งหมดที่ขมเขียนถึงพ่อ ฉบับสุดท้าย ขมเพิ่งเขียนเมื่อกี้นี้...ขมฝากอาสยามเอาให้พ่อได้มั้ยคะ”
“อาจะส่งให้ถึงมือพ่อพิทย์ทันทีที่อาได้เจอเขา”
“อารู้มั้ยคะ ว่าทำไมพ่อถึงอยากให้ขมอยู่ที่บ้านพุทธชาด”
“ตระกูลรัตนเดชากรเป็นตระกูลใหญ่ ตระกูลผู้ดี”
“เรายังใช้คำนี้กับเขาได้อีกเหรอคะ”
“อาจจะเว้นคุณรังสรรค์ไว้คนนึง”
“พจนีย์ด้วย” โขมพัสตร์ว่า
“แต่ยังมีคุณป้าไพลิน กับ คุณหญิงรัตนเดชากร ที่เป็นประมุขของบ้าน อาคิดว่าพ่อพิทย์เล็งเห็นแล้วว่า คนเหล่านี้จะอบรมและปลูกฝังสิ่งดีๆให้กับขมได้”
“ดีกว่าอยู่กับอา ?”
“ใช่”
“พ่อเข้าใจผิดถนัด !”
“อย่ามั่นใจในตัวอานักเลย...ขมอาจจะยังไม่เคยเห็นภาคดุร้ายของอาก็ได้”
ขมนั่งเหม่อมองไปไกล สักพักจึงเอ่ยปาก
“ขมอยากกลับไปหาครูสมพร”
“ครูสมพร ?”
“คุณครูที่อุปการะขม ให้ขมได้เรียนหนังสือชั้นประถม...คุณครูสมพรต่างหากที่
ควรแก่การเรียกว่าผู้ดี”
“งั้นเราไปหาครูสมพรกันดีมั้ย?”
โขมพัสตร์มีท่าทีตื่นเต้นดีใจขึ้นมาทันที
“จริงเหรอคะ”
“ก็ถ้าขมต้องการ ? อาก็จะบอกพ่อพิทย์...พ่อพิทย์คงจะดีใจมากๆเลย ที่ขมกลับไปอยู่ที่นั่น...แล้วก็ไม่ต้องเรียนให้จบมัธยม ไม่ต้องเรียนมหาวิทยาลัย ขมก็จะได้ขอครูสมพรทำงานในโรงเรียน...เป็นอะไรดีล่ะ เป็นภารโรงมั้ย...พ่อพิทย์ก็จะภูมิใจว่า ดญ.โขมพัสตร์ ลูกสาวฉันได้เป็นภารโรงสมใจแล้ว”
“อาดูถูกภารโรงเหรอ ?”
“อาไม่ได้ดูถูกภารโรง อาไม่เคยดูถูกคนที่ด้อยโอกาสกว่า แต่อาอยากให้ขมคิดให้ละเอียดว่า โอกาสของขมมีมากแค่ไหน อนาคตของขม ขมอยากจะไปให้ถึงจุดไหน”
“ขมไม่เคยคิดไกลขนาดนั้น ขมแค่ต้องการมีความสุขในชีวิต กับพ่อกับแม่ถ้าเป็นไปได้ เท่านั้นเอง เท่านั้นจริงๆที่ขมต้องการ”
ค่ำต่อเนื่องมา สาวใช้เดินตรงไปหารังสรรค์เขายังคงนั่งดื่มเหล้าอยู่
“คุณรังสรรค์คะ คุณหญิงเรียกให้ไปพบค่ะ”
“บอกแม่ว่าฉันเมาแล้ว ดื่มไปเยอะ พรุ่งนี้ค่อยไปหา”
“ท่านบอกว่าต้องมาให้ได้ เดี๋ยวนี้ค่ะ และให้ตามคุณบุหงา คุณรติรส คุณพจนีย์ด้วยค่ะ”
ที่เรือนใหญ่ต่อมา คุณหญิงรัตนเดชากรเดินเข้ามากลางห้องโถงสมาชิกในบ้านนี้ทุกคนกระจายตัวกันรอบๆห้องรวมทั้งนมผ่อน และสาวใช้อื่นๆด้วย จะขาดไปก็เพียงแต่ไพลินเท่านั้น
“หาที่นั่งให้เรียบร้อย เพราะเราต้องคุยกันยาว” คุณหญิงว่า
ทุกคนขยับตัวลงนั่งตรงตำแหน่งที่เหมาะสม
รังสรรค์ยังถือแก้วเหล้าอยู่ในมือ หน้าตาแดงก่ำคุณหญิงหันไปสั่งสาวใช้ข้างตัว
“ไปเก็บแก้วเหล้าตารังสรรค์ที”
สาวใช้ทำตามคำสั่งอย่างไม่รอช้า
“คุณย่าจะหาเรื่องดุพ่อหนูอีกคนเหรอคะ” พจนีย์ถาม
“ย่าดุคนที่ควรจะดุ และย่าไม่เคยหาเรื่องมาดุใคร มีแต่คนๆนั้นหาเรื่องมาให้ย่าดุเอง เข้าใจซะด้วย”
“เอาเลยครับคุณแม่ ผมพร้อมแล้ว มีอะไรก็ใส่มาเลยครับ”
“ฉันจะเอาตัวขมมาอยู่ที่เรือนใหญ่”
“เชิญเลยครับ ตามสบาย ตามใจคุณแม่เลย...แค่นี้ใช่มั้ยครับ ผมจะได้กลับไปกินเหล้าต่อ”
รังสรรค์ขยับตัวลุกขึ้นคุณหญิงเปล่งเสียงดังกังวาน
“นั่งลงตารังสรรค์”
รังสรรค์ขยับตัวลงนั่ง อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้
คุณหญิงเดินเข้าไปใกล้รังสรรค์ และพูดใส่หน้าผู้เป็นลูกชาย
“ฉันพลาดอะไรไปนะ ฉันละเลยการอบรมสั่งสอนเรามากขนาดนี้เชียวเหรอ ถึงได้ทำตัวห่างจากความเป็นผู้ดีได้ถึงเพียงนี้...และไอ้การไร้สมบัติผู้ดีของเรา มันได้สืบทอดส่งต่อไปยังลูกและเมียของเราด้วย รู้ตัวบ้างมั้ย”
รติรส พจนีย์ และบุหงา พากันสะดุ้ง
“ดิฉันพยายามทักท้วงคุณพี่แล้วค่ะ แต่...” บุหงาว่า
คุณหญิงหันไปพูดใส่หน้าบุหงา
“ไม่ต้องพูดจนกว่าฉันจะอนุญาตให้พูด”
ทุกคนนิ่งเงียบลงอีกครั้ง
คุณหญิงจึงเดินพูดไปรอบๆห้อง
“มีความสับสน งุนงงมากมาย ที่ไม่สามารถหาเหตุผลอธิบายได้ เกี่ยวกับการที่ตารังสรรค์รับฝาก ขม รุ้งพราย ไว้ในบ้านหลังนี้...แต่ฉันจะยังไม่ซักไซ้ไล่เรียงเรื่องนี้หรอก แต่จะบอกให้ทุกคนรู้ว่า การรับอุปการะเด็กคนหนึ่งมาจนห้าปีด้วยท่าทีอย่างที่ทำกับเขาอยู่นี้ เป็นสิ่งที่ไม่สมควรกระทำที่สุด”
ทุกคนในห้องนี้ยังคงนั่งฟัง นิ่งเงียบ
“หลังจากวันนี้ ถ้าไพลินตามหาตัวขมเจอ เด็กคนนี้จะต้องอยู่ที่เรือนใหญ่ และฉันขอสั่ง ห้ามทุกคนกระทำกับขมอย่างที่เคยทำ ไม่ว่าจะเป็นการด่าทอให้ร้ายพ่อแม่เขา ทั้งๆที่ไม่มีใครรู้จักพ่อแม่ของเขาจริงซักคน นอกจากเธอ รังสรรค์ห้ามใช้งานที่ไม่เหมาะไม่ควรกับเขา และห้ามตบตีเขาเป็นอันขาด”
พจนีย์พูดแทรก“คุณย่ารักมันมากกว่าลูกหลานแท้ๆ...เหมือนป้าไพลิน ไม่มีผิด”
“ย่าไม่มีวันรักใครมากกว่าลูกหลาน แต่การรักลูกหลาน ไม่ได้หมายความว่า ย่าจะต้องไปดูถูกให้ร้ายคนอื่นเพื่อแสดงความรักต่อพวกเธอ...เพราะนั่นไม่ใช่วิธีการแสดงความรักและความปรารถนาดีที่ถูกต้อง”
พจนีย์นิ่ง เงียบไป ...
คุณหญิงป่าวประกาศกับทุกคนในห้องนี้
“ฉันอยากเห็นความสงบสุขในบ้านหลังนี้กลับคืนมา ดังเช่นในอดีต...เพราะฉะนั้น อย่าได้มีผู้ใดคิดขัดขืนคำสั่งของฉัน ไม่เช่นนั้นฉันอาจจะต้องทำในสิ่งที่ไม่อยากทำ...อย่าให้ถึงขั้นต้องตัดขาดจากการเป็นญาติกันเลยนะ
ภายในรถชาติสยามมีโขมพัสตร์นั่งนิ่งอยู่ข้างๆ
หนึ่งชั่วโมงก่อนหน้านี้ชาติสยามเอ่ยปากพูดกับโขมพัสตร์
“คุณหญิงรัตนเดชากร และคุณไพลิน รับปากกับอาว่า จะดูแลขมเป็นอย่างดีจะไม่ให้ใครทำร้ายขมอีก”
“อาเชื่อเขาเหรอคะ”
“อาเชื่อ...แต่ถ้ามีเหตุการณ์อย่างวันนี้เกิดขึ้นอีกเมื่อไหร่ อาจะเอาตัวขมไปอยู่กับอาทันที โดยไม่สนใจคำครหาของใครทั้งสิ้น อาสัญญา”
ถนนย่านการค้า ในเมืองรถชาติสยามแล่นมาจอด ริมถนนรถไพลินจอดอยู่ไม่ไกลนัก
ชาติสยามบิดกุญแจ ดับเครื่อง แล้วหันไปพูดกับโขมพัสตร์
“นั่นไงรถคุณไพลิน เธอรอขมอยู่นั่นแล้ว...หลานอาต้องเข้มแข็งอดทนนะ ไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้น”
โขมพัสตร์สูดลมหายใจลึกๆ แล้วจึงตอบ
“ค่ะ”
“คราวหน้าถ้าจะหนีออกจากบ้านอีก ไปที่เดิมนะ อย่าไปที่อื่นล่ะ”
โขมพัสตร์ยิ้มตอบ“ค่ะ”
ทั้งคู่ก้าวลงจากรถพร้อมกัน
ชาติสยามเดินจูงโขมพัสตร์ ตรงไปที่รถของไพลิน
ไพลินเปิดหน้าต่างรถ พร้อมกับยิ้มต้อนรับ โขมพัสตร์ยกมือไหว้อย่างอ่อนช้อย
“ผมพาเด็กหน้าแตกมาส่งถึงมือคุณไพลินแล้วนะครับ”
โขมพัสตร์หันไปตั้งคำถามใส่ชาติสยาม
“หน้าแตก ?”
“ก็แตกที่หน้าผากนี่ไง...แต่อาทำแผลให้เรียบร้อยแล้ว”
โขมพัสตร์หันไปพูดกับไพลิน
“ขมขอโทษนะคะ ที่หุนหันออกจากบ้านมา โดยไม่บอกใคร”
“แล้วก็แล้วไปเถอะ แต่จากนี้ไป ฉันจะดูแลเธอเอง และไม่ต้องกลัวว่าจะมีใครมาทำร้ายเธออีกแล้วนะ”
“ค่ะ”
“ขอบคุณมากนะ ชาติสยาม”
“ขมเป็นหลานผม ผมยินดีให้บริการเสมอครับ”
โขมพัสตร์ก้าวเข้าไปนั่งในรถ และรถคันนี้ก็แล่นออกไป
โขมพัสตร์ในรถ เหลียวมองชาติสยามเขามองตาม ด้วยความรู้สึกอิ่มเอม ที่ไม่อาจอธิบายได้
อ่านต่อตอนที่ 5