xs
xsm
sm
md
lg

ดงผู้ดี ตอนที่ 3 : "บุหงา" หว่านเสน่ห์เกินร้อยใส่ "ชาติสยาม"

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ดงผู้ดี ตอนที่ 3 "บุหงา" หว่านเสน่ห์เกินร้อยใส่ "ชาติสยาม"

บทประพันธ์ : บุษยมาส
บทโทรทัศน์ : สามัญ

มุมหนึ่งในเรือนนมผ่อน โขมพัสตร์นั่งร้องไห้อยู่เพียงลำพังหนุ่มคนหนึ่งเดินตรงไปยังร่างของเธอ เขาคือ รัฐ พิชัยรณรงค์

“มีใครอยู่มั้ยเอ่ย”
โขมพัสตร์ปาดน้ำตาตัวเอง แล้วตอบโดยไม่หันไปมอง
“ป้านมผ่อน อยู่ที่เรือนใหญ่”
“แล้วเด็กผู้หญิงที่ชื่อขมล่ะ อยู่มั้ย”
เธอค่อยๆหันไปมองเจ้าของเสียง
“จำพี่รัฐไม่ได้เหรอ”
“พี่รัฐ...กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่คะ”
“เมื่อเย็นนี้เอง...กลับมาถึงพี่ก็มาหาขมเป็นคนแรกเลยนะเนี่ย”
“คุณรสคงอยากเจอพี่รัฐ เธอพูดถึงพี่รัฐแทบทุกวัน”
“รสเขียนจดหมายคุยกับพี่อยู่บ่อยๆ แต่ขมน่ะสิ ไม่เคยเขียนจดหมายถึงพี่เลย” รัฐตัดพ้อ
“ขมไม่รู้จะเขียนอะไรนี่คะ”
“โตเป็นสาว จนเกือบจำไม่ได้เลยนะเนี่ย...แต่ที่เหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยนคือ ขี้แง”
รัฐลูบศีรษะโขมพัสตร์อย่างเอ็นดู

พจนีย์ก้าวเข้ามา ห่างจากเรือนนมผ่อนไม่ไกลนัก
พจนีย์มองไปยังรัฐและโขมพัสตร์อย่างไม่สบอารมณ์
นมผ่อนเดินมาจากเรือนใหญ่มา เอ่ยปากทักรัฐทันที
“กลับจากเมืองนอก ก็มามุดรั้วที่นี่เลยเหรอคะคุณรัฐ”
“ผมรีบมาดูว่า เรือนหลังนี้ยังมีคนอยู่เหมือนเดิมรึเปล่าน่ะครับ...พรุ่งนี้ค่อยเดินผ่านประตูอย่างเป็นทางการครับ”
นมผ่อนยิ้มรับ แล้วจึงหันไปพูดกับขม
“ขม คุณไพลินให้ไปหาที่เรือนใหญ่...ล้างหน้าล้างตาแล้วตามป้ามานะ”
นมผ่อนเดินออกไป
รัฐเดินเข้าไปใกล้โขมพัสตร์
“พรุ่งนี้พี่จะเอาของฝากมาให้นะ อยู่รอรับด้วยล่ะ”
มุมหนึ่ง พจนีย์ยืนแววตาเต็มไปด้วยความอิจฉาริษยา

คืนนั้น โขมพัสตร์คลานเข้าไปกลางโถงบ้านเรือนใหญ่ บ้านพุทธชาด
ไพลิน พี่สาวของรังสรรค์นั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวใหญ่กลางห้องนมผ่อนนั่งพับเพียบอยู่ไม่ไกลจากไพลิน
โขมพัสตร์กราบคุณไพลินแล้วจึงเงยหน้าขึ้น
“เนี่ยเหรอ ขม รุ้งพราย”
“ค่ะ”
“รู้มั้ยว่าฉันคือใคร”
“คุณไพลิน รัตนเดชากร”
“รู้จักฉันด้วย”
“ป้านมผ่อนบอกค่ะ”
“นมผ่อนบอกอะไรเธอบ้าง”
“ทุกอย่างที่ดิฉันต้องรู้และต้องทำในบ้านพุทธชาด”
“รวมทั้งบอกให้เธอคลานเข่าเข้ามาหาฉันอย่างนี้ด้วยน่ะเหรอ”
“เปล่าค่ะ ดิฉันทำเอง”
“ต่อไปไม่ต้องทำขนาดนี้นะ เดินเหินเหมือนคนปกติดีกว่า”
“ค่ะ”
ไพลินลุกขึ้นเดินไปใกล้โขมพัสตร์
“เธอรู้จักทุกคนในบ้านนี้ แต่คนบ้านนี้อีกหลายคนกลับไม่รู้จักเธอ ไม่เคยเห็นเธอมาตั้งสี่ปี เป็นไปได้ยังไงเนี่ย”
โขมพัสตร์นั่งก้มหน้านิ่ง ไม่มีคำตอบ
“ทำไมตาบวมอย่างนั้น...เป็นอะไรรึเปล่า”
“เปล่าค่ะ”
“เปล่าอะไร ?...ร้องไห้ใช่มั้ย?”
โขมพัสตร์มองหน้านมผ่อน ก่อนตัดสินใจตอบ
“ค่ะ”
“ใครทำให้ร้องไห้”
ขมนิ่งไปนิดนึง แล้วจึงเอ่ยปากพร้อมกับหยาดน้ำตาที่รินไหลออกมาอีกครั้ง
“ไม่มีใครทำค่ะ...ขมแค่คิดถึงพ่อ”
“พ่อที่ชื่อ พิทย์ น่ะเหรอ ?”
ขมพยักหน้า
“แล้วแม่ล่ะ ไม่คิดถึงแม่บ้างเหรอ”
“คิดค่ะ คิดถึงไม่น้อยกว่าพ่อ”
“แม่ชื่อแข ใช่มั้ย”
“ค่ะ”
“ไม่มีชื่อจริงเหรอ”
“ชื่อจริง ก็ชื่อแขน่ะหละค่ะ”
ไพลินหย่อนตัวลงนั่งข้างๆโขมพัสตร์
เธอเอ่ยปากพูดกับโขมพัสตร์อย่างจริงใจ และมีไมตรี
“ฟังฉันให้ดีนะ...คนบ้านพุทธชาด ไม่ใช่คนใจร้าย รัตนเดชากรเป็นตระกูลเก่าแก่ ที่ยึดมั่นในคุณธรรม รักความถูกต้อง ฉันและแม่ของฉันเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ผู้ด้อยโอกาสเสมอมา...เมื่อเธออาศัยอยู่ที่นี่ถึงสี่ปี ก็ต้องถือว่าเธอเป็นคนของบ้านนี้คนนึง เพราะฉะนั้นหากมีอะไรที่ทำให้เธอไม่สบายใจ ให้มาหาฉัน
ฉันพร้อมช่วยเหลือเธอเต็มกำลัง”
โขมพัสตร์เงยหน้ามองไพลินเต็มๆตา
“ท่านพอจะช่วยตามหาพ่อพิทย์ให้ขมได้มั้ยล่ะคะ...วันใดที่ขมเจอพ่อ ขมจะไปจากที่นี่ และจะไม่กลับมาเหยียบที่นี่อีกเลยค่ะ”
ไพลินถึงกับอึ้งไปพอสมควร

ด้านรังสรรค์ยืนนิ่งกลางระเบียงทอดสายตาไปไกล สีหน้าเครียดบุหงาเดินถือแก้วเหล้าเข้ามายื่นให้ผู้เป็นสามีอย่างเอาใจ
“คุณพี่ขา...บุหงาขอโทษนะคะ ที่มีส่วนทำให้คุณพี่ต้องอารมณ์เสีย...บุหงาตั้งใจทำเค้กมาให้คุณพี่ชิมจริงๆ แต่ไม่คิดว่า นังขมจะถือโอกาสเดินขึ้นมาบนบ้านนี้”
“เรื่องนั้นไม่ใช่ความผิดของเธอ แต่เรื่องรติรส เธอต้องระวังคำพูดของเธอหน่อยนะ”
บุหงาโอบกอด ออเซาะรังสรรค์
“น้องแค่จำมาจากพี่บุปผา น้องเคยได้ยินพี่บุปผาพูด ก็คงจะเผลอพลั้งปากพูดเล่นไปอย่างนั้นเอง”
“เธอรู้ด้วยเหรอว่าผู้หญิงที่ฉันเกลียดคือใคร ?”
บุหงามองหน้ารังสรรค์ สายตายวนยั่วแบบทีเล่นทีจริง
“คุณพี่อยากให้น้องรู้มั้ยล่ะคะ”
“ไม่ว่าเธอจะรู้อะไรมาแค่ไหน ลืมมันซะให้หมด ถ้าเธอยังอยากเป็นเมียที่รักของฉันตลอดไป เข้าใจมั้ย”
“คุณพี่ก็ต้องเข้าใจด้วยว่า ไม่มีเมียคนไหนอยากให้ผัวตัวเองฝังใจอยู่กับผู้หญิงอื่นเหมือนกัน”
รังสรรค์เดินออกไป ขณะที่พจนีย์เดินหน้าบึ้งเข้ามา
น้าบุหงาขา ช่วยพจน์หน่อยได้มั้ยคะ”
“เรื่องอะไรจ๊ะ”
“พจน์อยากจะแกล้งนังขม พจน์เกลียดขี้หน้ามัน”
“วันนี้พจน์ก็แกล้งมันเต็มแรงแล้วนะ ยังไม่พออีกเหรอ”
“ยังค่ะ เพราะดูเหมือนว่ามันกำลังจะแย่งพี่รัฐไปจากพจน์”
“แล้วจะให้น้าช่วยยังไง”
“พรุ่งนี้น้าบุหงาพานังขมออกไปนอกบ้านอีกได้มั้ยคะ...พจน์จะได้ไม่ต้องเห็นมันมานั่งตีหน้าเศร้ายั่วยวนพี่รัฐให้รกหูรกตาอีก”

รติรสเปิดประตูห้องนอนรังสรรค์ยืนอยู่หน้าห้องนี้
“นอนรึยังลูก”
“กำลังจะนอนค่ะ”
รังสรรค์ส่งน้ำหอมขวดนั้นให้รติรส
“พ่อเอามาให้รส”
“พ่อให้พจน์เถอะค่ะ พจน์เขาอยากได้”
“พ่อจะซื้อขวดใหม่ให้เขาทีหลัง”
“ไม่ต้องเสียตังค์หรอกค่ะพ่อ เอาขวดนี้ให้น้องเถอะ รสเองก็ไม่ค่อยได้ใช้น้ำหอมเท่าไหร่”
“ลูกจะใช้หรือไม่ใช้ก็แล้วแต่ลูก แต่พ่อตัดสินใจแล้วว่าน้ำหอมขวดนี้ควรจะเป็นของลูก”
รติรสรับน้ำหอมจากรังสรรค์
“รสจำไว้นะ...รสเป็นลูกพ่อ พ่อรักลูกทุกคนเท่ากัน ไม่มีวันที่พ่อจะเกลียดลูกของตัวเอง ไม่ว่าลูกคนนั้นจะหน้าตาเหมือนใครก็ตาม”
“แปลว่ารสหน้าเหมือน ผู้หญิงที่พ่อเกลียดจริงๆใช่มั้ยคะ”
“นอนได้แล้วลูก”

รติรสปิดประตูห้องรังสรรค์เดินออกไปด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

18 ปีก่อนหน้านี้ชายผู้หนึ่งเดินเข้าไปในห้องพักคนไข้ผู้ที่อยู่บนเตียงคือ บุปผา

สภาพของเธอบอกให้รู้ว่า เพิ่งผ่านการคลอดลูกทว่าเธอกลับนอนร้องไห้ ฟูมฟาย ทุกข์ทรมานใจ
บุปผาคว้ามือชายที่เดินเข้ามาในห้องนี้ไว้ ชายคนนั้นคือ รังสรรค์
“ คุณรังสรรค์คะ...ลูกของเรา...ลูกเรา...”
“ชู่ย์ย์...ยังไม่ต้องพูดอะไร จ้ะ”
“พยาบาลบอกว่าลูกเราไม่หายใจ...รกพันคอลูกเรา”
“ไม่จริง ใครบอกบุปผาอย่างนั้น”
รังสรรค์หันไปอุ้มทารกจากกระบะที่เขาเข็นเข้ามา ส่งให้บุปผา
“ไงลูกของเรา เป็นผู้หญิง...ผมตั้งชื่อเธอว่า รติรส”
“ลูกของฉันจริงๆใช่มั้ยคะ”
“จริงสิ”
บุปผากอดทารกนั้นไว้ หน้าตาของเธอเปี่ยมสุขขึ้นมาทันที
“แล้วลูกของผู้หญิงคนนั้นล่ะคะ”
“ช่างเถอะจ้ะ...นี่ไม่ใช่เวลาที่บุปผาต้องสนใจใคร...นอกจาก ตัวเอง และลูกของเราเท่านั้น”

บุหงาเอนตัวลงนอนข้างๆรังสรรค์เธอหันไปพูดใกล้ๆหูผู้เป็นสามีที่นอนลืมตาอยู่
“คุณพี่คะ...พรุ่งนี้น้องขอแก้ตัวได้มั้ยคะ”
“แก้ตัว ?”
“น้องขอไปทำเค้กที่โรงเรียนอีกซักวันนะคะ เอามาแทนก้อนที่คุณพี่เขวี้ยงทิ้งวันนี้น่ะค่ะ คุณพี่จะอนุญาตมั้ยคะ”
“ฉันไปส่งเธอที่โรงเรียนก็ได้นะ เธอจะได้ไม่ต้องยืนรอเรียกแท็กซี่”
“อย่าเลยค่ะ จะเสียเวลาทำงานคุณพี่เปล่าๆ”
“ตามใจ”
รังสรรค์หลับตาลงบุหงายิ้มพอใจ และหอมแก้มสามีเต็มแรง

เวลากลางคืน สองชั่วโมงที่ผ่านมาที่ห้องโถงเรือนเล็กบุหงายืนหลบมุมพูดโทรศัพท์เสียงแผ่วเบา
“พรุ่งนี้เจอกันที่เดิมนะ”
“คิดถึงไอมากขนาดนี้เลยเหรอ”
“เรื่องธุรกิจเว้ย”

ห้องนอนในโรงแรมแฟรงกี้นอนพูดโทรศัพท์บนเตียง
“แสดงว่ามีอะไรคืบหน้าแล้วใช่มั้ย”
“ฉันมีรายชื่อบรรดาคุณหญิงคุณนาย ที่จะเป็นแหล่งปล่อยของของนายได้...แต่ฉันต้องรู้ก่อนว่าของที่นายขนมา จะเหมาะกับพวกเขามั้ย...เราต้องรีบเพราะมีคนหันมาทำธุรกิจแบบนี้กันเยอะแล้ว ถ้าเราขยับตัวช้า เราจะเสียลูกค้าให้คนอื่น” บุหงาบอก
“ไอเลือกหุ้นส่วนได้ ไม่ผิดคนจริงๆ...แต่ก่อนคุยธุรกิจ ขอทำเรื่องส่วนตัวกันซักยกสองยกก่อนนะ ดาร์ลิ้ง”

เช้าวันต่อมา ชายหนุ่มคนใหม่ก้าวเข้ามาหน้าเรือนนมผ่อนเขาคือ รัมภ์พิชัยรณรงค์น้องชายของ รัฐ
“มีใครอยู่มั้ยครับ”
นมผ่อนเดินส่งเสียงออกมาจากในเรือน
“ถ้าคุณรัมภ์มาถามหาป้าละก้อ ป้าอยู่จ้ะ”
“เอ้อ...แล้ว ขมล่ะครับป้า”
นมผ่อนหัวเราะเบาๆ
“หนุ่มๆบ้านตึกขาวนี่ก็แปลกนะ ชอบมุดรั้วเข้ามาตั้งแต่เด็กจนโต เมื่อคืนก็โผล่มาดึกๆคนนึง เช้ามืดก็มาอีกคน...ทำไมไม่มาพร้อมกันเลยล่ะ”
“พี่รัฐมาตั้งแต่เมื่อคืนเหรอ”
“จ้ะ มาถามหาขมแบบคุณรัมภ์นี่แหละ”
“แล้วพี่รัฐได้คุยกับขมรึเปล่า”
"ก็ได้คุยกันอยู่พักนึง"
"งั้นวันนี้ฉันขอคุยนานหน่อยนะ ก่อนพี่รัฐจะมา"
"เสียใจค่ะ ขมออกไปข้างนอกกับคุณบุหงาตั้งแต่เช้าแล้ว"
"อ้าว !"
รัฐเดินก้าวยาวๆเข้ามา รัฐเอ่ยปากถามนมผ่อนโดยที่ยังมองไม่เห็นน้องชาย
"ป้าครับ ขมล่ะ"
"คุยกันเองแล้วกันนะ พี่รัฐกับน้องรัมภ์"
นมผ่อนเดินยิ้มแยกไปทำธุระของตน
"นายรัมภ์ แกมาก่อนฉันอีกนะ"
"พี่น่ะแหละ...เมื่อคืนแกล้งทำเป็นง่วงนอน แล้วก็แอบย่องมาคนเดียวไม่บอกใครนะ"

ข้างเรือนนมผ่อนพจนีย์กับรติรส ยืนหลบมุมแอบมองมาที่รัฐกับรัมภ์
"เห็นมั้ยว่าพี่รัฐพี่รัมภ์ มาหานังขมก่อนเรา" พจนีย์ว่า
"เขาจะมาหาใครก่อน มันก็เป็นสิทธิ์ของเขา"
"ถ้าไม่ใช่เพราะนังขมไปยั่วยวนก่อน พวกเขาจะไปหามันเหรอ"
"ขมเขาจะทำอะไรมันก็เป็นสิทธิ์ของเขาเหมือนกัน"
"ไม่ได้ พจน์ไม่ยอม...มันอาศัยบ้านเราอยู่ มันจะมาทำตัวเหนือพวกเราได้ยังไง..มีพจน์ต้องไม่มีนังขม คอยดูสิ"

ด้านโขมพัสตร์ยังนั่งก้มหน้าก้มตาเขียนรายงานกลางสวนสาธารณะชาติสยามหย่อนตัวลงนั่งข้างๆ
"รายงานยังไม่เสร็จอีกเหรอ"
โขมพัสตร์เอ่ยปากตอบโดยไม่หันไปมอง
"ยังค่ะ"
"เมื่อคืนคงท่องหนังสือทั้งคืน"
โขมพัสตร์ส่ายหน้า
"งั้นก็คงนอนหลับแต่หัววัน...หลับจนตาบวม"
"คุณไปวิ่งเถอะค่ะ หนูต้องรีบทำรายงานให้เสร็จวันนี้"
"คนเรานี่ก็แปลกนะ อารมณ์แต่ละวันๆช่างต่างกันสิ้นเชิง บางวันอารมณ์ดีบางทีอารมณ์บูด บางวันช่างคุยบางวันขี้หงุดหงิด เอาใจยากจริงๆ"
ขมหันไปมองหน้าสยาม
"คุณไม่เห็นจะต้องเอาใจหนูเลย เราเพิ่งเจอกันสองครั้งเอง จะมาตามเอาใจหนูทำไมคะ"
"เพราะฉันเป็นเทวดาผู้พิทักษ์ของหนูไง"
โขมพัสตร์นิ่งไป เมื่อเห็นแววตาที่จริงใจของชาติสยาม
"และในนามของ Guardian Angel ฉันขอบอกให้เธอเก็บของทั้งหมดเดี๋ยวนี้"
"ทำไม"
"ไม่งั้นมันจะเปียกแฉะจนไม่อาจจะแก้ไขได้"

ชั่วประเดี๋ยว สายฝนเทลงมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยชาติสยามและโขมพัสตร์ช่วยกันเก็บของวิ่งฝ่าฝนออกไป ท่ามกลางเสียงฟ้าร้องคำราม

กลางห้องพักในบังกะโลเปลี่ยว ... สภาพห้องที่ผ่านการระเริงรักมาอย่างโชกโชนแฟรงกี้ในสภาพเปลือยกายเดินเข้าไปในห้องน้ำบุหงานุ่งกระโจมอกเดินสวนออกมาจากห้องน้ำเดียวกัน
แฟรงกี้รั้งตัวบุหงาไว้ตรงหน้าประตูห้องน้ำ
"อย่าเพิ่งรีบแต่งตัวนะดาร์ลิ้ง...ไออาบน้ำแป๊ปเดียว เดี๋ยวเรานอนคุยเรื่องธุรกิจกัน"
"ไม่ต้องรีบก็ได้ ฉันมีเวลาทั้งวัน"
แฟรงกี้จูบบุหงาหนึ่งที "น่ารักจริง"
แฟรงกี้เดินเข้าห้องน้ำไปเมื่อประตูห้องน้ำปิด บุหงารีบใส่เสื้อผ้าของเธอทันที
บุหงาตะโกนพูดกับแฟรงกี้ด้วยน้ำเสียงปกติ
"ของทั้งหมดอยู่ท้ายรถใช่มั้ย"
"ใช่ ล็อตใหญ่เลยเพิ่งเข้ามาสดๆเมื่อคืน ไอเอามาให้ยูดูทั้งหมดเลยนะ จะได้ไปโฆษณาได้ถูก"
"ดีมาก"
"ล็อตนี้ของแบรนด์เนมทั้งนั้น ราคาสูงหน่อยนะ"
"สูงแค่ไหนก็สู้ เรื่องราคาไม่เกี่ยงอยู่แล้ว"
"แหม ถูกใจแฟรงกี้จริงๆเลย"
บุหงาแต่งตัวเสร็จพอดี
เธอค่อยๆแง้มประตูบังกะโลอย่างเบาที่สุด
บุหงาพยักหน้าเหมือนให้สัญญาณบางอย่างกับผู้ที่อยู่นอกห้องแล้วจึงหันมาตะโกนพูดกับแฟรงกี้
"อาบน้ำเสร็จแล้วออกมาเลยนะ ฉันรออยู่"
บุหงาค่อยๆเดินออกไปจากห้องนี้

ในห้องน้ำแฟรงกี้เงยหน้าขึ้นมาจากอ่างล้างหน้าแววตาของมันเต็มไปด้วยอารมณ์กลัดมัน น้ำเปียกทั่วหน้า
"เปลี่ยนใจแล้ว น้ำค่อยอาบทีหลัง มาลุยเรื่องของเราเลยดีกว่า"
แฟรงกี้เปิดประตูห้องน้ำ หน้าตาเหมือนจะช็อก เจ้าหน้าที่ พร้อมอาวุธประจำกาย เรียงรายกันเต็มห้อง
"เฮ้ย...พวกแกเป็นใคร"
"เราเป็นเจ้าหน้าที่ศุลกากรครับ คุณถูกจับข้อหาลักลอบนำสินค้าหนีภาษีเข้าประเทศ คุณแฟรงกี้"
เจ้าหน้าที่ปราดเข้ารวบตัวแฟรงกี้ และใส่กุญแจมือเขาทันที

"อีบุหงา อีตัวแสบ"

ณ ศาลาเล็กๆในสวนสาธารณะ ฝนยังตกอยู่ ... โขมพัสตร์นั่งเขียนรายงานอยู่ในศาลานี้

ชาติสยามนั่งอยู่ข้างๆ คอยช่วยกันฝนให้ขม
สักพักโขมพัสตร์จึงวางปากกา เงยหน้าขึ้นจากกระดาษรายงาน
"เสร็จแล้ว ?"
"ค่ะ ครบทุกหัวข้อแล้ว"
"เป็นการทำรายงานนอกสถานที่ ที่ได้บรรยากาศจริงๆ"
"เปียกๆอย่างนี้น่ะเหรอคะ"
"ประเทศเราอยู่ในเขตร้อนชื้น ก็ต้องมีฝนตกเป็นธรรมดา...เสียดายอย่างเดียวที่รายงานฉบับนี้ คนทำไม่ใช่เจ้าของ เจ้าของไม่ใช่คนทำ...แหม น่าคิดค่าจ้างจังเลย"
"ค่าจ้างคือการได้อาศัยอยู่ในบ้านของเขา"
"ใช่เหรอ ? หนูต้องตอบแทนเขาอย่างนี้จริงๆเหรอ"
"หนูไม่รู้ พวกเขาพูดใส่หูหนูอย่างนี้แทบทุกวัน...จนบางทีหนูก็เชื่ออย่างนั้นจริงๆ"
"ฉันว่า หนูน่าจะเชื่ออย่างที่พ่อหนูบอกมากกว่านะ"
"หนูเชื่อพ่อ...แต่การที่พ่อหายไปเฉยๆ มันก็อดทำให้หนูลังเลไม่ได้เหมือนกัน...หนูพยายามหาเหตุผล ว่าอะไรเป็นเหตุให้พ่อหายไป ไม่โผล่หน้ามา ไม่ติดต่อมา หนูไม่รู้แม้กระทั่งว่าพ่ออยู่ที่ไหน หนูหาเหตุผลไม่เจอ นอกจาก..."
โขมพัสตร์ถอนใจออกมายาว ก่อนเอ่ยปากพูดต่อ
"คงจะจริงอย่างที่พวกเขาว่า หนูมันก็แค่กาฝากที่พ่อทิ้งไว้ เท่านั้นเอง"

บุหงาเดินกางร่ม เข้ามาในสวนสาธารณะ ท่ามกลางสายฝนที่หนาตาบุหงาชะเง้อมองหาไปรอบๆ
ไม่มีร่างของขม อยู่ในบริเวณนั้นบุหงาตะโกนเสียงดังแข่งกับสายฝน
"ขม...นังขม...นังขม"

เวลาเดียวกัน รัฐและรัมภ์เดินกางร่มฝ่าสายฝนตรงมายังระเบียงบ้านพุทธชาดรติรสและพจนีย์ ยืนรออยู่ที่ระเบียงนั้น
"พี่รัฐพี่รัมภ์น่ารักจังเลย อุตส่าห์เดินตากฝนมาหาพวกเรา" พจนีย์บอก
"เรามีร่มจ้ะ" รัมภ์ว่า
"พี่ตั้งใจเอาของฝากมาให้เธอทั้งสองคน" รัฐบอก
"จะน่ารักกว่านี้มาก ถ้ามาหาพวกเราก่อนไปหานังขม"
รัฐและรัมภ์มองหน้ากัน
รัมภ์ถาม"ใครบอกว่าเราไปหาขมก่อน"
"ไม่มีใครบอก แต่เห็นกับตา...และพจน์อยากรู้ว่าของฝากที่เอามาให้เรากับของฝากนังขม ของใครจะใหญ่และแพงกว่ากันคะ"
"พจน์ ไปถามอะไรอย่างนั้น น่าเกลียดน่า"
"ไม่เห็นจะน่าเกลียดเลย ถามตรงๆอย่างนี้แหละดี จะได้รู้ว่าพี่รัฐพี่รัมภ์ให้ความสำคัญใครมากกว่ากัน เรา หรือ นังขม"
รัฐบอก"พี่สนิทกับพวกเธอตั้งแต่เด็กๆ พี่จะไม่ให้ความสำคัญกับเธอได้ยังไง"
"แล้วนังขมล่ะ"
"ไม่เห็นจะต้องเปรียบเทียบกันเลย" รัมภ์ว่า
"แค่นี้ ก็ตอบไม่ได้เหรอ"
"ขมอยู่ที่นี่มาตั้งสี่ปี ขมไม่มีพ่อ พี่ก็สงสารเขา" รัฐว่า
"ถูกมันหลอก มันยั่วเอาน่ะสิ"
"พจน์" รติรสปราม
พจนีย์เดินเข้าไปพูดใส่หน้ารัฐและรัมภ์
"จะบอกให้เอาบุญนะ นังขมมันแผนสูง มันยั่วยวนทุกคนในบ้านนี้ มันหวังจะเสนอหน้าเอาตัวเองขึ้นมาเทียบเท่าเจ้าของบ้านโดยไม่รู้จักดูกำพืดตัวเอง ไม่เชื่อถามพ่อพจน์ดูก็ได้"
"พจน์พูดจาใส่ร้ายคนอื่นอย่างนี้ ไม่น่าฟังเลยนะ"
รัฐเอ่ยปากเสียงเข้มอย่างไม่ค่อยพอใจนัก
"พี่กลับก่อนดีกว่า จะมาอีกทีตอนขมกลับถึงบ้านแล้ว และจะให้ของฝากทุกคนพร้อมๆกัน"
รัฐเดินออกไป ...
"พี่รสดูสิ เห็นรึยังว่าพี่รัฐรักนังขมมากกว่าพจน์"
รัมภ์บอก"พี่ก็ไม่ต่างจากพี่รัฐ ถ้าพจน์ยังทำตัวแบบนี้ ความสนิทสนมระหว่างเรามันก็คงจะต้องต่างไปจากเดิม"
รัมภ์เดินออกจากไปในทิศทางเดียวกับผู้เป็นพี่ชาย

กลางสวนสาธารณะ สายฝนเริ่มซาลงแล้ว บุหงายืนหงุดหงิดอยู่ที่เดิม ยังไม่ปรากฏร่างของขมรอบๆบริเวณนี้
"นังขมนะ นังขม"
บุหงาตัดสินใจเดินออกจากไปอย่างไม่พอใจ

รถของชาติสยามแล่นเข้ามาจอดที่สวนสาธารณะ ไม่ไกลจากต้นไม้ใหญ่ต้นเดิม มีโขมพัสตร์นั่งอยู่ข้างๆ เธอชะเง้อคอ กวาดสายตามองไปรอบๆไม่มีร่างของบุหงา ยืนอยู่ตรงนั้นแล้ว
"น้าของหนูคงยังไม่มา" ชาติสยามบอก
"อาจจะมาแล้วไม่เจอหนู ก็เลยกลับไปเลย" โขมพัสตร์ว่า
"ไม่มั้ง...อาจจะยังเรียนไม่เลิก...น่าจะมารับตอนเย็นๆเหมือนวันก่อนมากกว่า"
โขมพัสตร์ได้แต่นั่งรอนิ่งๆ ด้วยความไม่สบายใจนัก
"แต่น่าแปลกนะ ฉันวิ่งรอบสวนนี้ไม่รู้กี่รอบ ขับรถรอบๆสวนนี้ก็หลายครั้ง ไม่เคยเห็นว่ามีโรงเรียนสอนทำขนมอยู่แถวนี้เลย"
"หนูได้รับคำสั่งว่า ไม่ให้พูด ไม่ให้สนใจเรื่องนี้ค่ะ แค่นั่งรอที่นี่ และอย่าพูดกับคนแปลกหน้า"
"งั้นหนูก็ขัดคำสั่งน้าของหนูแล้วสินะ"
"น้าบุหงาไม่ได้ห้ามหนูพูดกับเทวดาผู้พิทักษ์ของหนูนี่คะ"
ชาติสยามยิ้มให้ขมอย่างอบอุ่นเขาส่งถุงผลไม้ให้เธอ
"อ้ะ กินผลไม้รองท้องซะ"
"คุณเอามาจากไหน"
"ฉันเป็นเทวดา ฉันย่อมเสกอาหารมาได้ ไม่แปลก"
โขมพัสตร์ยิ้ม และหยิบผลไม้กินความสดชื่นแจ่มใสเล็กๆ เกิดขึ้นในรถคันนี้

หน้าบ้านพุทธชาดเวลาต่อมา สายฝนเริ่มซาลงจนหยุดสนิทในที่สุด
รถแท๊กซี่แล่นเข้ามาจอดนมผ่อนอยู่มุมหนึ่งในบริเวณนั้นบุหงาก้าวลงจากรถแท๊กซี่
นมผ่อนเดินเข้าไปหาบุหงา
"คุณบุหงากลับมาคนเดียวเหรอคะ"
"ก็เห็นอยู่กี่คนล่ะ"
"แล้วขมล่ะคะ...ขมอยู่ไหน"
"ไม่ต้องเอ่ยชื่อนี้ให้ฉันได้ยินอีกนะ"
"ทำไมคะ เกิดอะไรขึ้น ขมทำอะไรให้คุณบุหงาโกรธเหรอคะ"
"จะไม่โกรธได้ยังไง ฉันบอกให้มันรอฉันอยู่กับที่ มันกลับหายหัวไปไหนก็ไม่รู้"
"อ้าว แล้ว คุณบุหงาไม่รอมันซักพักเหรอคะ"
"ฉันรอมันจนแฉะไปหมดแล้วก็ไม่เห็นหัวมัน...ป่านนี้หนีตามผู้ชายไปแล้วก็ไม่รู้"
พจนีย์และรติรสเดินเข้ามาพอดี
"ว่ายังไงนะคะน้าบุหงา นังขมหนีตามผู้ชายเหรอ ?"
"ไม่รู้สิ น้าก็เดาไปตามเนื้อผ้า"
"ซึ่งพจน์เชื่อว่าน้าบุหงาต้องเดาถูก"
รติรสบอก"เป็นไปไม่ได้ ขมไม่ใช่เด็กเหลวไหล ใจแตกอย่างนั้น"
"จริงค่ะ ต้องเป็นเรื่องเข้าใจผิดกันแน่ๆ...โธ่ แล้วขมมันจะกลับบ้านกลับช่องยังไง สะตุ้งสตางค์ก็ไม่ได้มีติดตัวไป ไม่รู้ไปเปียกฝนเป็นไข้อยู่ที่ไหนรึเปล่า"
"ตายจริง แล้วรายงานของพจน์ล่ะ น้าบุหงาขา นังขมมันเอารายงานของพจน์ไปทำด้วยรึเปล่าคะ"
"น้าก็ไม่รู้เหมือนกันจ้ะ"
บุหงาเดินขึ้นเรือนทันทีที่พูดจบ
"นังขมนะนังขม ถ้ารายงานฉันไม่เสร็จละ น่าดู"
"เธอควรจะห่วงคนมากกว่าห่วงรายงานนะพจนีย์"

"ไม่ !"

ไพลินเดินเข้ามากลางโถงบ้านเรือนใหญ่ ทราบเรื่องทั้งหมด

"ตายจริง ทำไมเพิ่งมาบอกฉันเอาป่านนี้ล่ะนมผ่อน"
"อิฉันไม่อยากเอาเรื่องมากวนใจคุณไพลินน่ะค่ะ...แต่อิฉันไม่รู้จะหันหน้าไปหาใครแล้ว...อิฉันกลัวจะมีเรื่องร้ายเกิดขึ้นกับขม อย่างน้อยมันก็เป็นเด็กในบ้านเรานะคะ"
"ก็ใช่น่ะสิ ฉันถึงได้ห่วงมันไม่แพ้นมผ่อนนั่นแหละ...บุหงานี่ก็จริงๆเลย ไม่น่าจะรีบกลับมาคนเดียวก่อนเลย"
"แล้วเราจะทำยังไงดีคะ...แจ้งตำรวจดีมั้ยคะ"
"ฉันจะลองปรึกษาตำรวจที่รู้จักกันก่อน เรื่องจะได้ไม่เอิกเกริกเกินไป"
"ค่ะ...ขอบคุณค่ะ"
นมผ่อนขยับตัวจะเดินออก
"แล้วตารังสรรค์กลับมารึยัง"
"ยังค่ะ...เห็นว่ามีประชุมที่กระทรวง"
"บอกตารังสรรค์ให้มาหาฉันทันทีที่กลับถึงบ้าน...ฉันคงต้องสั่งสอนน้องชายคนนี้หลายยกหน่อย...ใช้ไม่ได้จริงๆ"

เวลาค่ำ รถของชาติสยามแล่นเข้ามาจอดหน้ารั้วบ้านพุทธชาด โขมพัสตร์หันไปพูดกับชาติสยาม
"ขอบคุณนะคะที่มาส่งหนู"
"หน้าที่ของเทวดาผู้พิทักษ์อย่างฉันอยู่แล้ว"
"ไม่จริงหรอกค่ะ คุณเป็นคน ไม่ใช่เทวดา และคุณก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับหนูเลยซักนิด...หลังจากวันนี้เราอาจจะไม่ได้เจอกันอีกแล้วก็ได้"
"น้าของเธอจะไม่ไปเรียนทำขนมแล้วเหรอ"
"หนูไม่รู้ แต่หนูเชื่อว่า ตอนนี้ทุกคนในบ้านพุทธชาดคงกำลังรอเอาเรื่องหนูอยู่แน่ๆ"
"งั้นขอให้ฉันแนะนำเธอสักนิด ก่อนที่เธอจะเดินเข้าบ้านได้มั้ย"
"ค่ะ"
"เธออาจจะหาเหตุผลไม่ได้ว่าทำไมพ่อเธอถึงทำอย่างนี้ แต่ฉันเชื่อว่าพ่อของเธอต้องรักเธอ อย่างน้อยคำสอนของพ่อเธอก็เป็นสิ่งถูกต้อง เธอต้องเป็นคนดี...ในที่สุดแล้วความดีจะคุ้มครองเธอเอง"
"หนูก็หวังอย่างนั้น"
"แต่ถ้าความดียังเอาไม่อยู่ ก็ขอให้นึกถึงฉันนะ ฉันจะมาหาเธอเอง"
"โม้แล้ว เป็นไปไม่ได้"
"ไม่เชื่อคืนนี้ลองนึกถึงฉันดู"
"ชื่อคุณ หนูยังไม่รู้เลย"
"เธอจะรู้จักชื่อฉันเอง เมื่อเราพบกันครั้งหน้า"
"ถ้ามีวันนั้นนะคะ"
ชาติสยามยิ้มให้โขมพัสตร์อย่างอบอุ่น เธอยกมือไหว้ขอบคุณแล้วจึงก้าวลงจากรถ

รังสรรค์และบุหงาเดินออกมาจากเรือนเล็กเพื่อไปยังเรือนใหญ่ของไพลินบุหงามองไปยังหน้าประตูรั้ว แล้วจึงรั้งตัวผู้เป็นสามีไว้
"นั่นมันนังขมนี่คะคุณพี่"
รังสรรค์มองตามสายตาบุหงา
โขมพัสตร์ยืนโบกมือให้ชาติสยามที่อยู่ในรถชาติสยามยื่นมือออกมาโบกมือตอบ แล้วรถชาติสยามก็แล่นจากไป
"ใครขับรถมาส่งมัน"
"ว่าแล้วเชียว เป็นอย่างที่น้องเดาไว้ไม่มีผิด นังขมมันไปกับผู้ชายจริงๆด้วย"
"เลวจริงๆ"

โขมพัสตร์เดินเข้าบ้าน ตรงไปทางเรือนนมผ่อนรังสรรค์ตวาดเสียงดังขมถึงกับสะดุ้ง
"นังขม !"
โขมพัสตร์หันไปยังที่มาของเสียงรังสรรค์ก้าวเข้ามา สีหน้าดุดัน พร้อมด้วยบุหงาที่ยืนอยู่ข้างๆ
"แกไปไหนมา ถึงได้กลับเอาป่านนี้...รู้มั้ยว่าทำให้คนบ้านนี้เขาวุ่นวายกันแค่ไหน"
"ดิฉันขอโทษค่ะ ดิฉันติดฝน"
"โกหก"
"คุณรังสรรค์ถามคุณน้าบุหงาก็ได้ว่าฝนตกหนักแค่ไหน"
บุหงาขยับตัวเข้าไปพูดใกล้ขม ด้วยท่าทีที่คล้ายจะรู้กันเพียงสองคน
"ฉันไปรับแกที่นั่น แล้วแกหายหัวไปไหน"
"ฝนตกหนักอย่างนั้น จะให้หนูนั่งตากฝนอยู่ได้ยังไง"
"แล้วทำไมไม่เข้าไปหลบในโรงเรียน"
ขมมองหน้าบุหงา
บุหงาเขม่นตา เหมือนกำชับว่าห้ามพูดอะไรเด็ดขาด
"ถ้าดิฉันเข้าไปหลบในนั้นได้ ดิฉันก็คงทำไปแล้วละค่ะ"
"เถียงคำไม่ตกฟาก"
"ดิฉันพูดความจริง"
"คิดว่าฉันจะโง่เชื่อแกเหรอ"
"คุณจะโง่หรือไม่ดิฉันไม่รู้ แต่ถ้าการพูดความจริงคือการเถียง ดิฉันก็จะเถียงอย่างนี้จนตัวตาย ดีกว่ามีชีวิตอยู่กับการโกหกหลอกลวง"
"งั้นก็ตายซะตอนนี้เลย"
รังสรรค์เงื้อมือตบหน้าโขมพัสตร์ฉาดใหญ่ ด้วยความโกรธ จนเธอเซล้มไถลไปกับพื้นกระดาษรายงานในมือกระจายเกลื่อนพื้นถนนที่เปียกน้ำ
รังสรรค์ยังคงเอ็ดตะโรต่อด้วยความโกรธ
"เห็นอยู่ชัดๆว่าแกหนีไปกับผู้ชาย ยังจะมาตอแหลแก้ตัวอีกเหรอ"
"ดิฉันไม่ได้ตอแหล ไม่ได้หนีไปกับผู้ชาย"
"แล้วใครอยู่ในรถคันนั้น แกนั่งรถมากับใคร"
"คนใจดีคนนึงที่เขาเมตตาดิฉัน"
"ถุ๊ย...เลว สำส่อนเหมือนแม่แกไม่มีผิด"
โขมพัสตร์ชันตัวลุกขึ้น หน้าแดงจัด ทั้งเจ็บทั้งโกรธ
"คุณรังสรรค์"
"ทำไม"
"คุณรู้จักแม่ฉันเหรอ ถึงมาด่าแม่ฉันอย่างนี้"
"ไม่รู้จักก็เดาได้ เด็กอย่างแกมันต้องได้เชื้อแม่มาถึงได้เป็นอย่างนี้"
"ใช่ ดิฉันได้เชื้อจากแม่ แต่ก็เป็นเชื้อดี ไม่ใช่เชื้อเลวๆอย่างที่ลูกสาวคุณได้มาจากคุณ"
รังสรรค์พุ่งเข้าไปตบหน้าโขมพัสตร์ซ้ำอีกครั้งร่างของโขมพัสตร์ร่วงล้มลงไปใกล้เคียงกับที่เดิม
บุหงารีบเข้าไปรั้งตัวรังสรรค์ไว้
"พอแล้วค่ะคุณพี่ ปากมันแตก เลือดไหลออกมาแล้ว"
"ออกไปเลย เก็บเสื้อผ้าของแกออกไปจากบ้านนี้เลย ไปอยู่กับผู้ชายที่แกคว้ามาเมื่อกี้นี้เลย ไป ออกไป"

ไพลินก้าวยาวๆเข้ามาพร้อมกับนมผ่อน เสียงไพลินเข้ม ประกาศก้อง
"ไม่ต้องไป ขมไม่ต้องไปไหนทั้งนั้น"
นมผ่อนรีบเข้าไปประคองโขมพัสตร์ด้วยความสงสาร
"รังสรรค์เธอทำตัวไม่สมกับเป็นผู้ใหญ่เลยนะ"
"สั่งสอนเด็กเลวๆ นี่มันผิดด้วยเหรอครับ" รังสรรค์เถียง
"ฉันคงต้องอธิบายเรื่องผิดเรื่องถูกกับเธอใหม่ เพื่อให้เข้าใจตรงกันมากกว่านี้"
พจนีย์รติรสก้าวเข้ามา
"นังขม...หายหัวไปไหนมาทั้งวัน รายงานของฉันล่ะ ทำเสร็จรึยัง"
โขมพัสตร์ค่อยๆเก็บกระดาษที่กองกระจายอยู่ที่พื้นพจนีย์หน้าเสียขึ้นมาทันที
"อย่าบอกนะว่านั่นคือรายงานของฉัน"
"ดิฉันจะทำให้ใหม่คืนนี้ค่ะ"
พจนีย์แผดเสียงดังลั่น ไม่แพ้พ่อ
"นังขม นังขี้ข้า แกคิดจะแกล้งฉันใช่มั้ย อีขม"
"หยุดแสดงกิริยาต่ำช้าซะทีเถอะพจนีย์" ไพลินว่า
"ก็คุณป้าดูมันสิคะ นังขมมันรับปากว่าจะทำรายงานให้พจน์ แล้วดูมันทำสิคะรายงานพจน์เปียกขาดไปหมดแล้ว...พจน์ต้องส่งครูพรุ่งนี้ด้วย"
"รายงานของเธอ เธอก็ต้องทำเอง ใช้คนอื่นทำให้ก็ผิดข้อนึงแล้ว ยังผิดซ้ำด้วยการใช้ถ้อยคำต่ำช้าด่าทอเขาอย่างนี้อีก ทำตัวไม่สมกับเป็นผู้ดีเลย...ถ้าต้องส่งรายงานพรุ่งนี้ก็ทำให้เสร็จคืนนี้ แล้วก็ทำเองนะ ห้ามคนอื่นทำให้ ไม่งั้นป้าจะเป็นคนไปฟ้องครูเอง"
พจนีย์นิ่งอึ้งไป
"นมผ่อน พาขมไปทำแผลที่เรือนใหญ่ เดี๋ยวฉันตามไป" ไพลินบอก
"ไม่ต้องถึงขนาดนั้นก็ได้มั้ง พี่ไพ"
"เด็กถูกเธอทำร้ายต่อหน้า จะให้ฉันนิ่งดูดายอย่างนั้นเหรอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่ทำร้ายเขาก็คือเธอ รังสรรค์"

นมผ่อนประคองโขมพัสตร์เดินออกไป รังสรรค์มองตามไปด้วยสายตาเคียดแค้น

คุณหญิงรัตนเดชากรเดินเข้ามาในห้องโถง เรือนใหญ่บ้านพุทธชาด

นมผ่อนกับเด็กรับใช้ในบ้านกำลังเช็ดแผลให้โขมพัสตร์
คุณหญิงเอ่ยปาก เมื่อเดินเข้าไปใกล้จนเห็นใบหน้าของขม
"เนี่ยเหรอ สาวน้อยลึกลับที่ชื่อ ขม รุ้งพราย หน้าตาไปวัดไปวาได้เหมือนกันนี่นา"
นมผ่อนพูดเบาๆกับโขมพัสตร์
"คุณหญิงรัตนเดชากร คุณแม่ของคุณไพลินกับคุณรังสรรค์...กราบท่านซะสิ ขม"
โขมพัสตร์ยกมือกราบคุณหญิงอย่างอ่อนช้อยคุณหญิงมองด้วยสายตาพึงพอใจ
"กิริยามารยาทก็ดูเป็นผู้ดี...นมผ่อนคงจะสอนมาดีใช่มั้ย"
"เปล่าเลยค่ะ...แม่ของขมเธอสอนมาดี ก่อนจะมาถึงมืออิฉันอีกค่ะ"
"เหรอ...แม่ที่ชื่อ แข น่ะนะ"
"ค่ะ"
"แข เฉยๆ หรือมีอะไรต่อท้ายมั้ย"
"ทุกคนที่นี่ถามถึงชื่อแม่ของดิฉันเหมือนกันหมดเลย...คำตอบของดิฉันก็เหมือนเดิมค่ะ แม่ชื่อ แขเฉยๆ ไม่เคยมีชื่อจริงอย่างอื่นอีกค่ะ"
"เธอก็ยังมีชื่อจริงว่า โขมพัสตร์ นี่"
"แม่ตั้งให้ดิฉันมาอย่างนี้นี่คะ แต่แม่ไม่เคยบอกว่าใครเป็นคนตั้งชื่อให้แม่"
การทำแผลเสร็จเรียบร้อยเด็กรับใช้คนนั้นค่อยๆกระเถิบตัวออกไป
คุณหญิงรัตนเดชากรขยับตัวลงนั่งสบายๆ
"ได้ยินมาว่า ที่เรือนเล็กไม่ค่อยอบอุ่น น่าอยู่เท่าไหร่นัก สำหรับเธอ...เธออยาก
จะย้ายมาอยู่ที่เรือนใหญ่นี้มั้ย"
"ขอบพระคุณค่ะ แต่ดิฉันอยู่สบายดีแล้วค่ะ"
"แน่ใจนะ ว่าสบายดีจริงๆ"
โขมพัสตร์นิ่งคิดนิดนึงก่อนเอ่ยปากตอบ
"พ่ออยากให้ดิฉันอยู่ที่นั่น...ดิฉันอยากทำตามความต้องการของพ่อค่ะ"
คุณหญิงรัตนเดชากรรับรู้ได้ถึงจิตใจที่บริสุทธิ์ของเด็กคนนี้
"ถ้าอย่างนั้นฉันก็จะไม่เซ้าซี้...แต่ถ้าวันใด เธอเกิดอึดอัดคับข้องใจเกินจะทนละ
ก้อ เธอจะเปลี่ยนใจย้ายมาอยู่กับฉันที่นี่ ก็ได้นะ ฉันยินดี"
โขมพัสตร์ก้มลงกราบคุณหญิงรัตนเดชากร
"ขอบพระคุณ คุณหญิงอย่างสูงค่ะ"

รังสรรค์ก้าวกลับมาที่เรือนเล็ก หน้าเครียด
"ไอ้เด็กเวร จองหองเหมือนพ่อมันไม่มีผิด"
รังสรรค์ยกแก้วเหล้าในมือดื่มรวดเดียวหมดแก้วไพลินยืนจ้องมองท่าทีของผู้เป็นน้องชาย
"เพื่อนเธอน่ะเหรอ ?"
"เพื่อนชั่วๆ"
"ที่ชื่อ พิทย์ รุ้งพรายน่ะนะ"
"พี่อย่ามาเอ่ยชื่อมันให้ผมได้ยินได้มั้ย"
"เป็นเพื่อนตั้งแต่สมัยไหน ทำไมฉันไม่เคยได้ยินชื่อเพื่อนของเธอคนนี้เลย"
"พี่คิดว่าพี่รู้จักเพื่อนผมครบทุกคนเหรอ...ขนาดผมยังลืมชื่อเพื่อนบางคนของผมได้เลย"
รังสรรค์หันไปรินเหล้าใส่แก้ว
"แต่ถ้าเธอยอมรับลูกของเพื่อนคนนี้ไว้ ก็แสดงว่าเขาต้องมีความผูกพันกับเธอมากพอตัว หรือไม่เช่นนั้นก็ต้องมีบุญคุณอะไรที่เธอปฏิเสธเขาไม่ได้"
รังสรรค์ดื่มเหล้าอีกครั้ง ด้วยท่าทีหงุดหงิดอย่างเห็นได้ชัด
"มันจะเพราะอะไรก็ช่างเถอะ ผมรับปากมันแล้ว ผมก็ต้องเลี้ยงให้มันตามที่รับปากนั่นหละ"
"งั้นเธอก็ต้องทำเรื่องนี้ให้มันถูกต้องด้วย ตารังสรรค์...ฉันรู้ว่าพ่อของขมให้เงินก้อนใหญ่ไว้กับเธอ ซึ่งมันมากพอสำหรับเป็นค่าใช้จ่ายของขมได้สบายๆเพราะฉะนั้น ขม ไม่ได้ทำให้บ้านเราเดือดร้อนอะไร ถูกต้องมั้ย"
รังสรรค์พยักหน้าอย่างมิอาจโต้เถียงได้
"ดังนั้นการแสดงความจงเกลียดจงชังขมอย่างออกนอกหน้า มันจึงขัดแย้งกับสิ่งที่เธอรับปากกับเพื่อนของเธอไว้"
"ผมต้องยกย่องนังเด็กนั่น และเรียกมันว่าคุณขมด้วยมั้ยครับ" รังสรรค์พูดประชด
"อย่าประชดฉันนะ ตารังสรรค์...แค่เธอกำชับกับทุกคนในบ้าน โดยเฉพาะพจนีย์ให้รู้ว่า ขมไม่ใช่ขี้ข้า ไม่ใช่ทาสรับใช้ เท่านั้นก็พอ และอย่าให้ฉันเห็นว่ามีใครหยาบคายกับขมอย่างเช่นวันนี้อีก ไม่เช่นนั้น ฉันจะเอาตัวขมไปเลี้ยงที่เรือนใหญ่เอง"

ในห้องนอนโขมพัสตร์ คืนนั้น เธอนั่งเขียนจดหมายอยู่ในห้องนอนของเธอเสียงของโขมพัสตร์ดังขึ้นตามตัวหนังสือในจดหมาย
"พ่อพิทย์จ๋า...ขมอดทนอย่างที่สุดแล้ว เพื่อจะเป็นเด็กดีอย่างที่พ่อต้องการ แต่ถ้าพ่อได้เห็นว่าเพื่อนของพ่อเขาทำอะไรกับขมบ้าง พ่อจะทำยังไง พ่อจะยังให้ขมทนอยู่ที่นี่ต่อไปอีกมั้ย"

ระเบียงบ้านพุทธชาด คืนนั้นพจนีย์นั่งหน้าบึ้งบนระเบียงบ้านรติรสนั่งอยู่ข้างๆ ช่วยเขียนรายงานให้พจนีย์
"ไหนจะลูกสาวเขาอีก ทำเหมือนขมเป็นทาส ยังดีที่คุณรติรสลูกสาวคนโตพอจะมีเมตตากับขมบ้าง เช่นเดียวกับคุณหญิง คุณไพลิน และป้านมผ่อน"
รัฐ รัมภ์เดินถือกระดาษตรงมาที่ระเบียงนี้
รัฐบอก"พี่เอากระดาษฟุลสแก๊ปมาให้"
รัมภ์บอก"เราสองคนตั้งใจมาช่วยพจน์ทำรายงาน ต้องส่งพรุ่งนี้ไม่ใช่เหรอ"
"แล้วของฝากจากเมืองนอกล่ะ" พจนีย์ทวง
"พี่จะเก็บไว้ให้หลังสอบเสร็จแล้วกันนะ ใครสอบได้คะแนนดีที่สุดก็จะได้ชิ้นใหญ่ที่สุด ดีมั้ย"
"อย่างนี้นังขมก็ต้องได้ชิ้นใหญ่ไปแหงๆ"
"สนใจเรื่องรายงานของเธอก่อนอย่างอื่นเถอะ ช่วยกันทำเร็วเข้า" รติรสว่า

โขมพัสตร์ ยังคงนั่งเขียนจดหมายอยู่ที่โต๊ะตัวเดิมในห้องนอน
"พ่อเคยมีเทวดาผู้พิทักษ์มั้ยคะ ขมมีแล้วนะพ่อ ขมยังแอบคิดเลยว่า พ่อพิทย์ต้องเป็นคนคงส่งเทวดาตัวนี้มาดูแลขมแน่ๆเลย ใช่มั้ยจ๊ะพ่อ"

บ้านชาติสยาม คืนเดียวกัน เขานั่งเขียนจดหมายอยู่ที่มุมหนึ่งในบ้านของเขาเสียงชาติสยามดังขึ้นตามตัวหนังสือในจดหมาย
"พี่ชวาลครับ ผมมีเรื่องที่อยากจะบอกพี่เพื่อให้พี่ได้สบายใจ ผมเชื่อมั่นร้อยเปอร์เซ็นต์แล้วครับว่า ขม รุ้งพราย เป็นเด็กดี ดีที่จิตใจ ไม่เห็นแก่ตัว รู้ถูกรู้ผิดสมเป็นเลือดสุรบดินทร์จริงๆ...ผมขอสัญญากับพี่อีกครั้งว่าผมจะดูแลลูกสาวพี่คนนี้อย่างดีที่สุด เท่าที่ผมจะทำได้ เพื่อพี่ชวาลครับ"

เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น บุหงาเดินเข้ามาในบริเวณเรือนนมผ่อนเห็นโขมพัสตร์นั่งท่องหนังสืออยู่มุมหนึ่ง
"ขม"
โขมพัสตร์หันไปมองบุหงาหน้านิ่ง
"คุณบุหงามีอะไรจะใช้ขมเหรอคะ"
"ไม่ได้จะใช้อะไร...แค่อยากมาบอกว่าขอบใจ"
โขมพัสตร์ก้มหน้าอ่านหนังสือต่อไป
"รู้ใช่มั้ยว่า ฉันขอบใจเธอเรื่องอะไร"
โขมพัสตร์ยังคงก้มหน้าอ่านหนังสือนิ่ง
บุหงาหย่อนตัวลงนั่งข้างๆ
"ที่จริง ถ้าเธอยอมตัวเปียกนิดหน่อย ยืนรอฉันอยู่ที่เดิมมันก็จะไม่เกิดเหตุการณ์อย่างนี้..."
โขมพัสตร์ไม่เอ่ยปากตอบแต่อย่างใด
"คนที่มาส่งเธอเมื่อคืนนี้คือใคร"
"เทวดา"
"พูดเป็นเล่น"
"ไม่เชื่อก็ได้ ดิฉันไม่บังคับค่ะ"
"อย่าวิ่งไล่จับเทวดาตัวผู้แบบนี้บ่อยนักก็แล้วกัน"
โขมพัสตร์เงยหน้าขึ้นมองจ้องบุหงาพูดนิ่งๆ
"คุณบุหงาบอกดิฉันหรือบอกใครคะ"
"เอ๊ะ...นังนี่ ฉันตั้งใจจะมาขอบใจแกดีๆ ยังจะมาพูดจาย้อนฉันอย่างนี้อีก...ไปแต่งตัวได้แล้ว ฉันจะพาแกไปช้อปปิ้งเป็นรางวัลตอบแทนแก"
"ดิฉันต้องท่องหนังสือค่ะ"
"ก็ท่องไปในรถก็ได้นี่ ซื้อของเสร็จก็กลับ ไม่ได้ไปไหนไกล...เถอะน่า จะได้ไม่ต้องติดค้างเป็นบุญเป็นคุณกันนาน"

เช้าวันเดียวกัน บ้านแสนสวยของชาติสยาม เขาเดินงัวเงียออกมาจากห้องนอนไปจนถึงโต๊ะอาหาร
ซึ่งมีอาหารเช้าอย่างดีน่ากินวางอยู่เต็มโต๊ะ
สุภาพสตรีหุ่นดี ยืนอยู่บริเวณพื้นที่เตรียมอาหาร
ชาติสยามตรงเข้าไปสวมกอดด้านหลังของสุภาพสตรีคนนั้น
"จับได้แล้ว สาวสวยที่แอบมาทำอาหารเช้าซะเต็มโต๊ะ มจ.หญิงโสมวดีนี่เอง"
สุภาพสตรีคนนั้นหันหน้ามาหาชาติสยามเธอคือ มจ.หญิงโสมวดี แม่ของเขานั่นเอง
"ถ้าฉันหันหน้ามาแล้วกลายเป็นคนอื่นจะว่ายังไง"
"โธ่จะมีผู้หญิงที่ไหนเข้ามาบ้านนี้ได้ ถ้าไม่ใช่แม่"
"แน่ใจนะ...หรือว่าผู้หญิงอื่นเขามาตอนกลางคืน ไม่ได้มาเช้าอย่างแม่...นี่แอบซุกใครไว้ในห้องนอนด้วยรึเปล่า พวกเด็กเรียนเมืองนอกยิ่งไว้ใจไม่ค่อยได้"
"ไว้ใจไม่ได้แล้วแม่ส่งผมไปเมืองนอกทำไม"
"ก็ถ้าไม่ใช่ความตั้งใจของพ่อแก ตั้งแต่เขายังอยู่ละก้อ...ฉันส่งแกเรียนโรงเรียนวัดก็พอแล้ว"
"แม่ก็พูดเกินไป"
โสมวดียกอาหารไปวางเพิ่มเติมบนโต๊ะ
"วันนี้ไม่ออกไปไหนเหรอไง ถึงได้ตื่นสายอย่างนี้"
"มีลางสังหรณ์ว่าแม่จะมา ก็เลยอยู่รอ"
"ลางเลิงอะไร เด็กที่บ้านบอกว่าแกโทรไปสั่งกับข้าว เพราะไม่มีอะไรกินต่างหาก...เฮ้อ ไม่มีแม่ซักคน จะมีผู้หญิงที่ไหนมาดูแลแกนะ ตาสยาม"
"มีก็แล้วกันน่า"
"คนที่ชื่อรุ้งกาญจน์รึเปล่า"
"นั่นก็คนนึง"
"มีหลายคนด้วย ?"
"แม่ชอบรุ้งกาญจน์มั้ยล่ะ ถ้าแม่ชอบก็เอาคนนี้หละ"
"ก็พอไหว พอรับได้ แต่เขาจะยอมกลับมาอยู่เมืองไทยเหรอ"
"กลับสิครับ อีกสักพักก็กลับ...แต่วันนี้ผมต้องไปหาซื้อของขวัญวันเกิดจะเอาไปให้เขาที่อังกฤษโน่น...แม่ช่วยไปเลือกของให้หน่อยสิ"

"โอ๊ย...แฟนแก แกก็เลือกเองสิ แฟนแม่ซะที่ไหน"

ย่านช้อปปิ้ง บริเวณถนนเจริญกรุง บุหงาเดินนำหน้าโขมพัสตร์ ปะปนไปกับผู้คนบนถนนสายนี้

"อยากได้อะไรก็บอกมา ฉันจะซื้อให้"
"คุณบุหงาอยากซื้ออะไรก็ซื้อเลยค่ะ"
"ดี ไม่เลือกมากดี...งั้นแกรออยู่ตรงนี้ก่อน ฉันจะไปดูว่าร้านโน้นพอจะมีหมวกสวยๆให้แกซักใบมั้ย อย่าเดินหายไปไหนอีกล่ะ"
บุหงาเดินไปทางดงร้านค้า
พลันสายตาโขมพัสตร์หันไปเห็นบางอย่าง ...
ด้านหลังของชายหนุ่มในชุดสูท สวมหมวกปีกรูปร่างและเสื้อผ้าที่เขาสวมใส่ละม้ายคล้ายชวาลยิ่งนักเธอถึงกับอุทานออกมาโดยไม่รู้ตัว
"พ่อ"
ชายผู้นั้นกำลังเดินข้ามถนน โขมพัสตร์วิ่งฝ่าผู้คนตรงไปที่ชายคนนั้นทันที
"พ่อ...พ่อพิทย์...อย่าเพิ่งไป พ่อรอขมก่อน"
โขมพัสตร์พุ่งเข้าไปกอดชายผู้นั้น ตรงกลางถนนพอดี !
"พ่อพิทย์ พ่อพิทย์ของขม...ขมคิดถึงพ่อจังเลย"
ชายผู้นั้นพลิกหน้ามาหาโขมพัสตร์ เขาคือ ชาติสยาม สุรบดินทร์เขาเอ่ยปากเสียงนุ่มนวล
"ฉันไม่ใช่พ่อของเธอ แต่ฉันก็ยินดีให้เธอกอด"
"คุณ !"
"เทวดาผู้พิทักษ์ของเธอไง บอกแล้วว่าเราต้องได้เจอกันอีก"
บุหงาก้าวเข้ามาริมถนนเธอมองไปที่โขมพัสตร์แล้วตะโกนลั่น
"นังขม !"
บุหงาวิ่งตรงเข้าไปกระชากตัวโขมพัสตร์ออกมา
"เรื่องอะไรมายืนกอดผู้ชายกลางถนนอย่างนี้ เดี๋ยวก็รถชนกันพอดี"
รถเก๋งคันหนึ่งแล่นมาบนถนนด้วยความเร็วชาติสยามดึงร่างของบุหงาให้หลบรถคันนั้นบุหงาเสียหลัก เซไปอยู่ในอ้อมกอดของชาติสยาม
บุหงาเงยหน้ามองชาติสยาม เธอหลงไหลในความหล่อของเขาทันที !
"อุ๊ย...คุณ"
"ผม ชาติสยาม สุรบดินทร์ครับ"
"ดิฉัน บุหงา รัตนเดชากร ยินดีที่รู้จักค่ะ"
"ครับ"
"ขอโทษด้วยนะคะ อยู่ๆเด็กที่บ้านก็วิ่งมากอดคุณกลางถนน ไม่สุภาพเลย"
"แต่ตอนนี้เป็นคุณบุหงานะครับที่กำลังกอดผมอยู่"
บุหงารีบผละออกจากการกอดรัดชาติสยาม
"อุ๊ย ขอโทษค่ะ มัวแต่ตกใจ...ถ้าไม่ได้คุณชาติสยาม ฉันคงตายแน่ๆ"
"ไม่หรอกครับ อาจจะแค่เปียก เพราะน้ำกระเด็นมาโดนเท่านั้น"
"แต่คุณสิคะเปียกไปหมดเลย..."
บุหงาหันไปออกคำสั่งกับโขมพัสตร์ทันที
"นังขม แกไปที่ร้านผ้าตรงหัวมุมนะ บอกเขาว่าฉันขอยืมผ้าสะอาดมาเช็ดน้ำให้คุณชาติสยามหน่อย...ไปเร็วๆสิ ฉันรออยู่ที่ร้านไอติมตรงนู้นนะ"
"ค่ะ"
"ไปค่ะ เราไปนั่งร้านไอติมกันดีกว่า"
บุหงาจูงชาติสยามเดินไปร้านไอศกรีม
โขมพัสตร์เหลียวหน้ามองตามร่างของชาติสยามไป

โต๊ะสว่างสดใสในร้านไอศกรีมบุหงาและชาติสยามนั่งประจันหน้ากันอยู่ที่นั่นบุหงาจงใจประดิษฐ์ท่วงท่าให้ต้องตาต้องใจชาติสยามให้ได้
"ผมได้ยินชื่อคุณบุหงามานาน เพิ่งได้พบตัวจริงวันนี้เอง"
"แหม คุณชาติสยามสนใจดิฉันด้วยเหรอคะ"
"ภรรยาของคุณรังสรรค์ รัตนเดชากร ย่อมเป็นที่รู้จักและอยู่ในความสนใจของสังคมอยู่แล้วครับ"
บุหงาหน้าเสียไปนิดนึง
"และผมก็เป็นเพื่อนรักของนายภาสธร ลูกชายคุณไพลิน ผมจึงคุ้นเคยกับเรื่องราวในบ้านพุทธชาดมากพอสมควร"
"คุ้นเคยแบบนั้น มันไม่เหมือนได้สัมผัสจริงๆนะคะ"
"ไม่เหมือนยังไงเหรอครับ"
"อย่างเช่นเรื่องของดิฉัน...คุณคงไม่รู้ว่าดิฉันแต่งงานกับคุณรังสรรค์เพราะอะไร"
"สังคมรับรู้ว่าเป็นความเหมาะสมที่สุด ที่สาวสวยกับข้าราชการหนุ่มใหญ่ได้ร่วมหอลงโรงกัน"
"แต่ไม่มีใครพูดถึงคำว่าความรักเลยใช่มั้ยคะ...บางทีความเห็นชอบของผู้ใหญ่กับความรู้สึกของหัวใจมันก็ไปกันคนละทาง...คุณชาติสยามว่ามั้ยคะ"
"ผมตอบไม่ได้ครับ"
"ค่ะ เป็นเรื่องที่พูดยาก ดิฉันเองก็เพิ่งจะเข้าใจ ไม่นานนี้เอง"
โขมพัสตร์เดินเข้ามาพร้อมผ้าสะอาดในมือบุหงารับผ้านั้นมาอย่างกุลีกุจอ
"มาค่ะ...ดิฉันเช็ดให้ ในฐานะที่มีส่วนทำให้คุณชาติสยามเปียก"
"อย่าเลยครับ...ผมทำเองดีกว่า...ขอตัวเข้าห้องน้ำแป๊ปนึงนะครับ"
ชาติสยามรับผ้าผืนนั้นมา แล้วเดินตรงไปเข้าห้องน้ำ
บุหงารีบหันมาสั่งโขมพัสตร์
"แกจะไปเดินเล่นที่ไหนก็ไป อยากได้อะไรก็ดูๆไว้...ฉันจะรออยู่ที่นี่"
"คุณบุหงาบอกว่าจะมาซื้อของแป๊ปเดียว"
"คนเรามันเปลี่ยนความคิด ความรู้สึกได้ แกไม่เคยเหรอ"
โขมพัสตร์นิ่ง ไม่ต่อปากต่อคำต่อ
"ไป เร็วเข้าสิ ฉันจะคุยอะไรกับคุณชาติสยามเป็นการส่วนตัวหน่อย แกอย่ามานั่งขวางหูขวางตาหน่อยเลยน่า...ไป"
โขมพัสตร์จึงเดินออกไปจากร้านนี้

ขมเดินเหงาๆ เพียงลำพัง กลางถนนสายเจริญกรุงสายนี้จู่ๆ ชาติสยามก็เดินเข้ามาข้างๆโขมพัสตร์
"จะเดินไปไกลถึงไหนเอ่ย"
"คุณ..." โขมพัสตร์เหลียวมองหาบุหงา ชาติสยามรู้ทัน
"น้าของเธอยังอยู่ในร้าน ฉันแอบออกมาทางหลังร้าน ขี้เกียจคุยกับเขา"
"เดี๋ยวก็เดือดร้อนถึงหนูอีกจนได้"
"ไม่หรอก เดี๋ยวสักพักฉันค่อยกลับไป...เธอรู้จักชื่อฉันแล้วใช่มั้ย"
"ชาติสยาม ชื่อยาวจัง"
"เรียกฉันว่าอาสยามก็ได้"
"อาสยาม ?"
"ฉันรู้จักพ่อของเธอ...รู้จักดีเลย"
โขมพัสตร์มีท่าทีตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัด
"คุณรู้จักพ่อพิทย์ !"
"ความลับนะ...พิทย์ รุ้งพราย คือพี่ชายที่ฉันนับถือมาก...เขาฝากฉันมาคอยดูแลเธอ ขม รุ้งพราย"
รอยยิ้มอย่างปีติ ผุดขึ้นบนใบหน้าโขมพัสตร์
"นึกแล้วเชียว ขมเดาไว้ไม่ผิด"
"เดาด้วย ?"
"ไม่งั้นคุณ...เอ้อ ไม่งั้นอาสยามคงไม่ตามมาคอยดูขมตั้งแต่ที่สวนสาธารณะหรอก ใช่มั้ยคะ"
"อื่อฮื้อ"
โขมพัสตร์จับมือชาติสยามเขย่าด้วยความเบิกบานพูดประสาซื่อ
"ขมดีใจจังเลย...อย่างน้อยขมก็ยังมีอาสยามเป็นเหมือนตัวแทนของพ่อ"
"ด้วยความเต็มใจ"
"ขมคิดว่าพ่อพิทย์จะลืมขมไปซะแล้ว"
"พ่อพิทย์ไม่เคยลืมขมเลย แต่เขาอยู่ต่างประเทศน่ะ"
"อามีที่อยู่พ่อมั้ยคะ ขมอยากส่งจดหมายไปหาพ่อ ขมเขียนจดหมายถึงพ่อเยอะเลย แต่ไม่รู้จะส่งไปที่ไหน"
สยามผ่อนลมหายใจเบาๆ ก่อนเลือกคำตอบที่เหมาะสม
"พ่อพิทย์ต้องย้ายที่อยู่ไปเรื่อยๆน่ะ การส่งจดหมายอาจจะไม่สะดวก...เอาอย่างนี้นะ ขมเอาจดหมายมาให้ฉัน ฉันไปเมืองนอกเมื่อไหร่ จะหาทางส่งให้พ่อพิทย์เอง"
"ขอบคุณค่ะ"
โขมพัสตร์จ้องมองชาติสยามอย่างซาบซึ้ง
"ขมดีใจจังที่มีอาสยามเป็นอา"
"ดีกว่าเป็นเทวดามั้ย"
"ดีกว่ากันเยอะเลยค่ะ"
"ฉันคงต้องกลับไปร้านไอติมแล้วหละ เดี๋ยวน้าบุหงาของเธอจะสงสัย...แล้วเจอกันใหม่นะ"
"อาสยามขา...ขมขอกอดอาอีกครั้งได้มั้ยคะ"
"ได้สิ"

โขมพัสตร์พุ่งเข้าไปกอดชาติสยามด้วยความซาบซึ้งและมีความหวัง อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ส่วนชาติสยามนั้น กลับมีความรู้สึกแปลกใหม่ที่ยากเกินกว่าจะคาดคะเน !

บุหงานั่งรออยู่เพียงลำพังที่ร้านไอศรีมอย่างอดทนสักพักชาติสยามจึงเดินออกมาจากหลังร้านพร้อมถุงในมือบุหงายิ้มให้เขาอย่างมีเสน่ห์

"คุณชาติสยามหายไปนานจัง"
"พอดีผมเจอคนรู้จักที่หลังร้านน่ะครับ ก็เลยคุยกับเขานานหน่อย"
"อ๋อ เหรอคะ...เอ้อ ไม่ทราบว่าวันนี้คุณชาติสยามว่างทั้งวันมั้ยคะ"
"ผมมีนัดหลายนัดเลย...เราคงต้องแยกกันตรงนี้นะครับ"
"เอ้อ น่าเสียดายจัง เรากำลังคุยกันถูกคอพอดี คุณว่ามั้ยคะ"
ชาติสยามพยายามเลือกคำตอบที่เหมาะสม
"ผม ไม่แน่ใจครับ"
"แต่ดิฉันมั่นใจค่ะ...อะไรบางอย่างในตัวคุณ ดูเหมือนจะเข้ากันได้ดีกับดิฉัน"
"ผมเกรงว่า ถ้าคุณรังสรรค์ได้ยินประโยคนี้ของคุณ เขาอาจจะไม่ค่อยชอบใจนะครับ"
"อย่าห่วงเลยค่ะ เขาไม่มีวันได้ยินหรอก ฉันรับรอง"
บุหงาโปรยสายตาเซ็กซี่ใส่ชาติสยาม
ชาติสยามยักไหล่ ด้วยความบริสุทธิ์ใจ ไม่มีอารมณ์ตอบรับกับสายตานั้น
"เอ้อ...จะเป็นการรบกวนมั้ยครับ หากผมจะฝากของชิ้นนึงกับคุณบุหงา"
"อะไรเหรอคะ"
ชาติสยามหยิบตุ๊กตาขนาดย่อมออกมาจากถุง
"มันคือสัญลักษณ์ของการคุ้มครอง" ชาติสยามบอก
"ฝากให้ดิฉัน ?"
โขมพัสตร์เดินเข้ามาในร้านไอติมพอดีชาติสยามหันไปเห็น
"ฝากให้หลานผมน่ะครับ"
"หลานคุณ ?"
"ผมนับถือพ่อเธอน่ะครับ เธอมาพอดี...งั้นไม่รบกวนคุณบุหงาแล้วกัน ผมให้เธอเองเลยดีกว่า"
ชาติสยามเดินตรงไปหาโขมพัสตร์ และส่งตุ๊กตาตัวนั้นให้เธอ
"Guardian Angel ไง เก็บไว้ให้ดีนะ...มีอะไรอยากจะบอกอา ก็พูดกับตุ๊กตาตัว
นี้ได้ แค่บอกว่าคิดถึง อาก็จะโผล่มาหาขมทันที"
"จริงเหรอ ?"
"ไม่ลอง ไม่รู้"
โขมพัสตร์ยิ้มรับด้วยความประทับใจชาติสยามหันไปพูดกับบุหงา
"ไปก่อนนะครับ คุณบุหงา"

ต่อมา รถแท๊กซี่แล่นมาจอดหน้าบ้านพุทธชาดบุหงาและโขมพัสตร์ก้าวลงจากรถอยู่ๆบุหงาก็คว้าตุ๊กตาตัวนั้นมาจากมือของโขมพัสตร์หน้าตาเฉย
"เอามานี่"
"คุณบุหงาจะเอาตุ๊กตาของขมไปไหน"
"ตุ๊กตาของฉันต่างหาก"
"จะเป็นของคุณบุหงาได้ยังไง ในเมื่ออาสยามตั้งใจให้ขม"
"นังเด็กโง่เอ๊ย...ใครเขาตั้งใจให้แก คุณชาติสยามตั้งใจให้ฉันต่างหาก มันเป็นตุ๊กตาสัญลักษณ์ของการคุ้มครองเว้ย เขาต้องการคุ้มครองฉัน แกมันแค่ข้ออ้าง"
"ข้ออ้างอะไรคะ"
"เวลาผู้ชายชอบผู้หญิง แต่ไม่กล้าแสดงออก เขาก็ทำแบบนี้กันทุกคน"
"อาสยามบอกเหรอคะว่าชอบคุณบุหงา"
"แค่ฉันมองตาเขา ฉันก็รู้แล้ว...แกอย่าพูดเรื่องนี้ให้ใครฟังเป็นอันขาด..."
บุหงาส่งถุงให้โขมพัสตร์
"นี่ถุงของแก ฉันซื้อหมวกให้แกใบนึง"
"ขมไม่อยากได้หมวกของคุณบุหงา ขมต้องการตุ๊กตาของขมคืน"
โขมพัสตร์พุ่งเข้าไปแย่งตุ๊กตาตัวนั้น
บุหงากระชากมือหนีและเหวี่ยงร่างโขมพัสตร์จนเซไป
"อย่านะ ออกไปห่างๆฉันและตุ๊กตาของฉัน ถ้าไม่เชื่อมีเรื่องแน่ และคราวนี้คนที่จะตบแกคือฉัน ไม่ต้องให้ถึงมือคุณรังสรรค์หรอก"
บุหงารีบเดินก้าวยาวๆเข้าบ้าน

โขมลงนั่งน้ำตาหยดที่เรือนนมผ่อน
นมผ่อน เธอเดินเข้ามาเห็น
"ขม เกิดอะไรขึ้นลูก...ออกไปกับคุณบุหงาทีไร มีเรื่องกลับมาทุกที"
"คุณบุหงาแย่งตุ๊กตาของขมไปจ้ะ..ถ้าขมไปแย่งของขมคืนมา ขมไม่ผิดใช่มั้ยป้า"
"ตุ๊กตาอะไร...ป้าซื้อให้ใหม่ก็ได้ จะได้ไม่ต้องยื้อต้องแย่งกัน"
"ไม่ได้ค่ะ มันเป็นตุ๊กตาที่อาให้ขม...ขมอุตส่าห์ดีใจที่ได้เจออา แต่คุณบุหงาก็ยัง
จะมาแย่งของที่อาให้ขมอีก"
นมผ่อนสนใจกับคำว่า อา
"ขมมีอาด้วยเหรอ"
"ค่ะ ขมก็เพิ่งรู้วันนี้ อาของขมชื่อชาติสยาม สุรบดินทร์ค่ะ"

ที่เรือนใหญ่ บ้านพุทธชาดไพลินก้าวเข้าเบื้องหน้านมผ่อนโดยมีคุณหญิงรัตนเดชากร นั่งร่วมสนทนาวงอยู่ใกล้ๆ
"จริงเหรอนมผ่อน...พ่อของขมน่ะเหรอเป็นพี่ชายของชาติสยาม สุรบดินทร์"
"อิฉันก็ยังข้องใจอยู่เหมือนกัน แต่ขมยืนยันว่าคุณชาติสยามพูดแบบนั้นจริงๆ"
"แล้วตาคนนั้นจะใช่ชาติสยามจริงรึเปล่า อาจเป็นคนอื่นมาแอบอ้างชื่อได้มั้ย" คุณหญิงว่า
"ถ้าเขากล้าแนะนำตัวต่อหน้าแม่บุหงา ก็คงเป็นตัวจริง ไม่น่าใช่คนอื่นแอบอ้าง" ไพลินว่า
"แม่ไพลินก็ลองถามตาภาสดูที เพื่อนกันอาจจะรู้รายละเอียดกันมากกว่านี้"
"ค่ะคุณแม่..." ไพลินถามนมผ่อน "แล้วที่บอกว่าแม่บุหงาแย่งตุ๊กตาไปจากขมน่ะ จริงรึ
เปล่า"
"สี่ปีที่ขมอยู่ที่นี่ อิฉันไม่เคยเห็นขมพูดจาโกหกแม้แต่ครั้งเดียว"
ทั้งคุณไพลินและคุณหญิงรัตนเดชากรต่างพยักหน้ารับรู้
"ฉันไม่เห็นเหตุผลอะไรที่ชาติสยามจะซื้อตุ๊กตาให้บุหงา ตามที่แม่บุหงาอ้าง...พิลึกจริงๆ"

ตุ๊กตาตัวนั้น มันวางอยู่บนตู้สวยในห้องนอน
บุหงายื่นหน้าเข้าไปพูดกับตุ๊กตา
"ชาติสยาม สุรบดินทร์...เราเจอกันช้าไป...ไม่งั้นฉันอาจจะเป็น บุหงา สุรบดินทร์ไปแล้วก็ได้"
บุหงายกตุ๊กตาตัวนี้ขึ้นมากอดแนบอก และขยับตัวเต้นรำไปกับมัน จนทั่วห้องนอน
รังสรรค์เดินเข้ามาพอดี บุหงาหยุดเต้นรำทันที
"กลับมาแล้วเหรอคะ คุณพี่"
"ก็กลับมาแล้วน่ะสิ ไม่งั้นเธอจะเห็นฉันได้ยังไง"
"บุหงาจะไปรินน้ำเย็นมาให้คุณพี่นะคะ"
บุหงาขยับตัวเดินไปรินน้ำรังสรรค์เอ่ยปากพูดขึ้นมาลอยๆ
"นึกยังไงถึงเต้นรำกับตุ๊กตา"
"ก็คุณพี่ไม่ค่อยพาบุหงาไปงานเต้นรำที่ไหนนี่คะ"
"แต่เต้นรำกับตุ๊กตา มันไม่เด็กไปหน่อยเหรอ...หรือว่าใครให้เธอมา"
บุหงาชะงักนิดนึง ก่อนคิดหาคำตอบ
"บุหงาเห็นว่ามันน่ารักดี ก็เลยซื้อมาเอง"
"ร้อยวันพันปี ฉันไม่เห็นเธอเคยเล่นตุ๊กตา"
รังสรรค์เดินเข้าไปจ้องหน้าบุหงาใกล้ๆ จนเธอระแวง
"มีอะไรรึเปล่า ?"
"เอ้อ..
"หรือว่า...อยากมีลูก"
บุหงารู้สึกโล่งใจขึ้น เมื่อรู้ว่ารังสรรค์คิดเช่นนี้เธอกลับมาวางลีลายั่วยวนเหมือนดั่งเคย
"ถ้ามันจะทำให้คุณพี่รักน้องมากขึ้น"
"ฉันมีลูกมากพอแล้ว...แต่กับเธอ ไม่ต้องมีลูกด้วยกัน ฉันก็รักเธอจนล้นหัวใจ"
"จริงนะคะ"
"จริงสิ ฉันพิสูจน์ให้ดูก็ได้"
รังสรรค์รวบร่างของบุหงาเอนลงบนเตียง และระดมจูบเธอ

เช้ารุ่งขึ้น บริเวณบ้านพุทธชาด โขมพัสตร์ก้าวเข้าเข้ามามองเรือนเล็กอย่างใจจดจ่อ
บนระเบียงบ้านบุหงาอุ้มตุ๊กตาตัวนั้นอย่างอารมณ์ดี แจ่มใสเบิกบาน
โขมพัสตร์ตะโกนพูดเสียงดังพอให้บุหงาได้ยิน
"คุณบุหงาคะ"
"มีอะไร"
"ขมจะขอของของขมคืน"
"ของของแกจะมาอยู่ที่ฉันได้ยังไง"
"ก็คุณบุหงาแย่งของดิฉันไป"
"เอ๊ะนังนี่"
"ตุ๊กตาของดิฉัน อยู่ในมือของคุณบุหงานั่นไง"
"อีบ้า อีเพ้อเจ้อ ฉันอธิบายแกตั้งแต่เมื่อวาน แกยังไม่เข้าใจอีกรึไง"
"คุณบุหงานั่นแหละเพ้อเจ้อ...ลองเล่าเรื่องนี้ให้คนอื่นฟังมั้ยล่ะ แล้วถามเขาดูว่าตุ๊กตาตัวนั้นต้องเป็นของใคร"
บุหงารีบก้าวพรวดลงมาจากระเบียง ตรงเข้าไปหาโขมพัสตร์
"อย่านะ...แกอย่าพูดเรื่องนี้ให้ใครฟังเป็นอันขาด ไม่งั้นฉันจะตีแกจนตาย"
"เห็นมั้ยล่ะคะ คุณบุหงาก็ไม่กล้า"
"ฉันไม่ได้ไม่กล้า ฉันแค่ไม่อยากทำให้เป็นเรื่องใหญ่"
"งั้นคุณบุหงาก็คืนตุ๊กตาให้ดิฉันสิคะ ขอร้องนะคะ ถ้าเป็นของอื่น หรือตุ๊กตาตัวอื่น ขมจะไม่หวง ไม่ทวงคืนเลย แต่นี่มันเป็นตุ๊กตาที่อาให้ขม มันเป็นสมบัติชิ้นเดียวที่ขมมี คุณบุหงายังจะใจร้ายแย่งของมีค่าของขมไปได้ลงคออีกเหรอ"
"ฉันจะซื้อตัวใหม่ให้แกก็แล้วกัน เอาที่เหมือนตัวนี้เปี๊ยบเลย"
"ไม่ค่ะ ต้องเป็นตัวนี้"
"ก็บอกว่าจะซื้อให้เหมือนเปี๊ยบไง มันจะต่างกันตรงไหน"
"งั้นคุณบุหงาก็เอาตัวใหม่ไปสิ เอาตัวนี้คืนขมมา"
"เรื่องอะไร"
"มันมีคุณค่าทางใจสำหรับขมนะคะ"

"มันก็มีคุณค่าทางใจสำหรับฉันเหมือนกัน"

รังสรรค์เดินออกมาจากตัวเรือนตะโกนเสียงก้อง

"นังขม...แกกล้าดียังไง ถึงบังอาจขัดคำสั่งฉันอีก"
"ขมไม่ได้ขัดคำสั่งคุณรังสรรค์"
"แล้วแกเหยียบมาที่นี่ทำไม"
"ขมไม่ได้ขึ้นไปบนเรือนของคุณ ไม่เคยคิดจะขึ้นด้วย ขมยืนอยู่ข้างล่าง คุณรังสรรค์ก็เห็น"
"ก็เห็นน่ะสิ มันถึงได้ขวางหูขวางตาฉันไง"
"ถ้าไม่อยากให้ขวางหูขวางตา ก็บอกให้คุณบุหงาคืนตุ๊กตามาให้ขมสิ"
บุหงาเริ่มมีท่าทีหวั่นวิตก
"จะบ้าเหรอ ตุ๊กตานั่น บุหงาเขาซื้อมา แกจะมาตู่ว่าเป็นของแกได้ยังไง"
ขมหันไปจ้องหน้าบุหงาอย่างแค้นเคือง
"คุณบุหงา...คุณบอกคุณรังสรรค์ว่าคุณซื้อตุ๊กตามาเองเหรอ"
บุหงาเชิดหน้าใส่ขม
"ใช่ จะทำไม"
"คุณโกหก"
"อย่ามาด่าเมียฉันว่าโกหกนะ"
"ก็เขาโกหกจริงๆนี่"
รติรส พจนีย์ รัฐ รัมภ์ ก้าวยาวๆมาจากอีกด้านหนึ่งของสนาม
"พวกคุณเป็นอะไรกัน ทำไมไม่มีใครพูดความจริงกันเลย...บ้านนี้เป็นบ้านที่มีแต่ความโกหกหลอกลวง ตลบตะแลง หาความจริงใจไม่ได้"
พจนีย์แว้ด"แกด่าพ่อฉันเหรอ นังขม"
"ฉันไม่ได้ด่า ฉันพูดความจริง"
บุหงาตัดสินใจยื่นตุ๊กตาคืนให้ขม
"เอ้า แกอยากได้นัก ก็เอาไป ฉันให้แกก็ได้"
"ไปให้มันทำไม" รังสรรค์ถาม
"จะได้จบๆไปค่ะ"
"ไม่ มันจะจบแบบนี้ไม่ได้"
รังสรรค์เดินไปกระชากตุ๊กตาตัวนั้นจากมือบุหงา
"แกอยากได้ตุ๊กตาตัวนี้นักใช่มั้ย..."
รังสรรค์กระชาก ฉีก ตุ๊กตาตัวนี้จนขาดวิ่น
"อยากได้ก็มาเอาไป เอาไปเลย เอาไป"
รังสรรค์ใช้ไฟแช็คจุดไฟเผาเศษตุ๊กตาแล้วโยนทิ้งให้เป็นกองไฟเล็กๆ กลางสนามนั้น
"เอาไปเล่นให้สนุกเลย เอาไป"
ทุกคนในที่นั้นพากันตะลึงงัน
"ไปข้างนอกดีกว่าบุหงา ฉันจะหาซื้อตุ๊กตาให้ใหม่เอาที่สวยกว่านี้ แล้วซื้อยกโหลมาเลย"
รังสรรค์เดินไปที่รถของเขาบุหงาเดินตามแต่โดยดี
โขมพัสตร์ทรุดตัวลงนั่งร้องไห้ เสียใจ

รถของรังสรรค์แล่นออกจากบ้านพุทธชาด
รถของชาติสยามแล่นสวนเข้ามาจอดบริเวณหน้าประตู
บุหงามองชาติสยามที่ขับรถผ่านเธอไป
ชาติสยามมองผ่านประตูบ้านไปยังกองไฟกลางสนามนั้น
โขมพัสตร์นั่งร้องไห้ข้างกองไฟกองนั้น สักพักจึงวิ่งกลับเข้าไปในเรือน

กลางโถงรับแขกในเรือนใหญ่ บ้านพุทธชาดคุณหญิงรัตนเดชากร ไพลิน และชาติสยาม นั่งอยู่ที่นั่น
คุณหญิงเป็นผู้เอ่ยปากก่อน
"ฉันไม่คิดเลยว่า ตุ๊กตาตัวเดียวจะกลายเป็นเรื่องใหญ่เรื่องโตขนาดนี้"
"ผมต้องขอโทษด้วยครับ ที่เป็นต้นเหตุของเรื่องนี้ ผมอาจจะพูดจากำกวมไปนิดนึง จนคุณบุหงาเข้าใจผิด"
ไพลินบอก"ไม่เห็นน่าจะเข้าใจผิดเลย ตัวเองก็โตจนมีผัวแล้ว ใครเขาจะซื้อตุ๊กตาให้"
"ช่างเถอะ...ที่ฉันสนใจคือ เธอกับเด็กขมน่ะรู้จักกันได้ยังไง ถึงขั้นเป็นอาเป็นหลานกันเชียว ทั้งๆที่เด็กคนนี้ก็ไม่ใช่สุรบดินทร์ไม่ใช่เหรอ"
"ครับ พ่อของขมคือ พิทย์ รุ้งพราย พี่ชายที่เคยมีบุญคุณกับผม ตอนผมอยู่อังกฤษ ความผูกพันนี้ ผมไม่ได้บอกให้ใครทราบ"
"แม้แต่แม่ของเธอ"
"ครับ"
คุณหญิงบอก"ลึกลับชอบกล"
"เหมือนกับที่เราไม่เคยรู้ว่า ตารังสรรค์มีนายพิทย์เป็นเพื่อน" ไพลินบอก
"พี่พิทย์ มีความจำเป็นต้องเดินทางไปหลายๆที่ ก็เลยต้องฝากขมไว้กับคุณรังสรรค์"
"ฝากยังไง จนจะห้าปีแล้วไม่มีโผล่หน้ามาหาลูกเลย" ไพลินบอก
"คิดว่า คงจะกลับมาเร็วๆนี้หละครับ"
"บอกให้เขากลับมาบ้างเถอะ เด็กมันคิดถึงพ่อจะแย่แล้ว" คุณหญิงว่า
"ครับ งั้นผมขออนุญาตไปคุยกับขมนะครับ"
"ตามสบาย" คุณหญิงว่า
"ถ้าคุณไพลินจะฝากอะไรถึงนายภาส ฝากไปกับผมได้นะครับ อาทิตย์หน้าผมจะต้องกลับไปรับปริญญาที่อังกฤษ"
"ขอบใจจ้ะ"
ชาติสยามค่อยๆค้อมตัว เดินออกไปไพลินพูดกับแม่
"มันฟังดูแปลกๆมั้ยคะคุณแม่"
"ใช่ แปลกกว่านั้นก็คือ ฉันเห็นหน้าขมแล้วรู้สึกเหมือนใครซักคนนึง ที่จากบ้านนี้ไปนานแสนนาน"

บริเวณสวน ใกล้เรือนนมผ่อน โขมพัสตร์นั่งซึมนิ่งน้ำตาแห้งเป็นคราบรอบวงแก้มของเธอ
รติรส พจนีย์ รัฐ รัมภ์ นั่งอยู่รอบๆโขมพัสตร์ รติรสเอ่ยปากปลอบ
"ฉันอยากขอโทษแทนพ่อฉันด้วย...พ่อใช้อารมณ์แรงมากเกินไป..ฉันรู้ว่า ขมเสียใจมากแค่ไหน...ถ้ามีอะไรที่ฉันจะช่วยบรรเทาความเสียใจได้ ขอให้บอกนะ"
"ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวขมก็หายเอง ขมชาชินกับเรื่องแบบนี้แล้ว ขมแค่เสียดายเท่านั้น ของบางอย่างอาจจะไม่มีราคามากมาย แต่มันมีคุณค่ากับจิตใจมากคุณรสเข้าใจใช่มั้ยคะ"
"จ้ะ ฉันเข้าใจ"
พจนีย์ถอนหายใจออกมาซะดังอย่างจงใจ
"ทำไมพี่รสต้องไปปลอบมันขนาดนั้น ก็แค่ตุ๊กตาเสียกบาลตัวนึง ไม่ได้มีชีวิตซักหน่อย ร้องไห้ฟูมฟาย ยังกับพ่อแม่ตาย"
"ยายพจน์ถ้าเธอไม่รู้จักเห็นใจคนอื่น เธอก็ออกไปซะ อย่ามานั่งให้คนอื่นเขารำคาญอย่างนี้"
"ไม่ได้อยากจะนั่ง แต่รอให้ทุกคนมาติวข้อสอบให้ เมื่อไหร่จะไปกันซะที หรืออยากให้ฉันสอบตก"
"พวกพี่ๆไปเถอะค่ะ ขมอยากอยู่คนเดียว"
"เชิญตามสบายเลย"
พจนีย์เดินออกไปเป็นคนแรกรติรสเดินตามน้องสาวไป
รัฐ และ รัมภ์ ต่างยืนละล้าละลัง มองหน้ากันเอง
รัฐบอก"พี่เป็นกำลังใจให้นะ ขม...พี่อยู่ข้างขมเสมอ"
"พี่ด้วยครับ"
รัฐและรัมภ์จึงค่อยๆเดินออกไป

น้ำตาของโขมพัสตร์ค่อยๆไหลออกมาอีกครั้งชาติสยามก้าวมาด้านหลัง โขมพัสตร์เอ่ยปากโดยไม่หันไป
"ขมบอกว่าอยากอยู่คนเดียวไง พี่ไปติวหนังสือให้คุณพจนีย์เถอะค่ะ"
"แล้วอาต้องไปติวให้เขาด้วยมั้ย"
ขมจึงพลิกหน้าหันไปมอง
"อาสยาม"
"ร้องไห้เป็นเด็กแดงเลยนะวันนี้"
โขมพัสตร์โผเข้าไปกอดชาติสยาม
"ขมเสียใจ...ขมไม่มีตุ๊กตาเทวดาของอาสยามแล้ว คุณรังสรรค์ใจร้าย เผาทิ้งหมดเลย...ต่อไปขมจะพูดกับอายังไง"
"อาบอกแล้วไง แค่นึกถึงอาก็มาแล้ว ไม่ต้องใช้ตุ๊กตาก็ได้"
"ถ้าขมนึกถึงอาทุกวัน อาจะมาหาขมได้ทุกวันเหรอคะ"
ชาติสยามสูดลมหายใจลึกๆ ตอบไม่ถูก
"ก็ไม่ได้ใช่มั้ย...สุดท้ายมันก็เป็นเรื่องโกหก หลอกเด็กทั้งหมด...ทั้งเรื่องเทวดาผู้พิทักษ์ และเรื่องตุ๊กตาตัวนั้น...อาจจะรวมถึงเรื่องพ่อพิทย์ด้วยก็ได้...บางทีขมรู้สึกเหมือนคนสิ้นหวัง ไม่อยากจะมีชีวิตอยู่ต่อไปแล้ว"
"ไม่เอานะขม อย่าคิดอย่างนั้น...ไม่ว่าจะมีเรื่องราวร้ายแรงอะไรเกิดขึ้นกับขม มีสองสิ่งที่ขมต้องเชื่อมั่น สองสิ่งเท่านั้น...หนึ่ง พ่อพิทย์ของขมรักขมมาก และพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้ขมได้มีชีวิตอย่างมีความสุข"
"สองล่ะคะ"
"สอง อาสยามคนนี้ก็ไม่ต่างจากพ่อพิทย์...เมื่อพ่อพิทย์มอบหมายให้อาดูแลเธออาก็จะรักเธอเท่าๆกับที่พ่อพิทย์รัก และจะทำทุกอย่างเพื่อให้ขมมีความสุขในชีวิตเช่นกัน"
โขมพัสตร์กอดชาติสยามอย่างอบอุ่น

บ่ายวันเดียวกัน ไพลินก้าวเข้ามายังกลางโถงบ้านเรือนเล็ก เธอเดินไปหยุดยืนมองรูปถ่ายที่ประดับฝาบ้าน มันเป็นรูปครอบครัวของรังสรรค์
รติรสในรูปนั้น ...ไพลิน ครุ่นคิด

ที่โถงเรือนใหญ่ เมื่อสี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้
ไพลิน ยืนอยู่ด้านหลังคุณหญิงรัตนเดชากร
"มองบางมุม ขมก็หน้าเหมือนรติรส ราวกับเป็นพี่น้องกัน...เหมือนกันมากกว่ารติรสกับพจนีย์ซะอีก..."
"มันเป็นข้อสงสัย ที่เรายังหาหลักฐานพิสูจน์ไม่ได้นะคะ" ไพลินว่า
"ก็ไม่ได้แปลว่า เราต้องเลิกสงสัยนี่"
"แต่ถึงยังไง แขนภาก็ไม่ได้พิการหลังค่อมอย่างแม่แขนะคะ"
"ใครจะรู้ เรื่องแบบนี้อาจเกิดขึ้นทีหลังก็ได้"
"แล้ว นายพิทย์ รุ้งพราย ล่ะ...เกี่ยวพันกับแขนภายังไง"
"แขนภา อาจจะแต่งงานกับพิทย์หลังจากทิ้งเราไป"
"นั่นก็ไม่น่าทำให้ขมมีหน้าตาเหมือนรติรสได้"
"นอกจากว่า แขนภากำลังตั้งท้องอยู่ในขณะนั้น" คุณหญิงว่า

รังสรรค์เดินควงแขนบุหงามาที่โถงเรือนเล็กทั้งสองหยุดชะงักเมื่อเห็นไพลินยืนอยู่กลางโถงบ้าน
"พี่ไพลินมีธุระอะไรกับผมรึเปล่า"
"ฉันคงไม่ได้มายืนตากลมเล่นเฉยๆ ที่บ้านเธอหรอกนะ ตารังสรรค์"
"คุณพี่คุยกับคุณไพลินเถอะนะคะ บุหงาจะไปดูต้นไม้ในสวนหลังบ้านซักหน่อย"
บุหงาเดินเลี่ยงออกไป
"มีเรื่องอะไรบ้างก็ว่ามาเลยครับ"
"เตือนเมียเธอไว้บ้างนะรังสรรค์ เรื่องการพาขมออกไปนอกบ้าน"
"ต้องขออนุญาตพี่ก่อนเหรอครับ ?"
"เด็กมันกำลังจะสอบ...โรงเรียนเขาหยุดให้ท่องหนังสือเตรียมสอบ ไม่ใช่ให้เที่ยวไปเดินถือของให้ใคร หรือไปนั่งเฝ้าใคร"
"มันมาฟ้องพี่ไพเหรอ?...บุหงาเขาอุตส่าห์หวังดี พาไปซื้อของดีๆให้ใช้ กลับไม่สำนึกบุญคุณ สันดานเลวจริงๆ"
"อีกเรื่องนึงตาสรรค์...ตระกูลเราเป็นผู้ดีนะ ไม่ใช่ถ่อยเถื่อนมาจากไหนที่จะใช้คำหยาบคายกับเด็กในบ้านอย่างนั้น"
รังสรรค์นิ่งไป
"หลังๆนี้เธอเป็นเอามากนะ เกรี้ยวกราดเอากับเด็ก ถึงกับลงไม้ลงมือตบตี เมียเธอก็เที่ยวไปแย่งของของเด็ก กระทั่งตุ๊กตาตัวนิดเดียว"
รังสรรค์สูดหายใจลึกๆก่อนเอ่ยปาก
"ผมรู้สึกว่า ตั้งแต่เด็กคนนี้เข้ามาในบ้านพุทธชาด ดูมันจะมีอิทธิพลเหนือทุกคนในบ้านไปหมด"
"อาจจะจริง ไม่งั้นเธอก็คงไม่รับฝากเด็กคนนี้ไว้"
"โธ่...หน้ามันผมยังไม่อยากจะมอง"
"เพราะหน้าขม เหมือนหน้าใครรึเปล่า"
รังสรรค์ชะงัก อึ้งไปนานกว่าเก่า
"ลองสังเกตหน้าเด็กคนนี้ให้ดี ดูซิว่าหน้าตาเขาเหมือนใคร"
แววตาของรังสรรค์เขม็งเกลียว เต็มไปด้วยความเครียด

"อาจจะเหมือนใครบางคนที่หนีจากบ้านนี้ไป เมื่อสิบแปดปีก่อน พิจารณาดูให้ดีเถอะ รังสรรค์"

อ่านต่อตอนที่ 4


กำลังโหลดความคิดเห็น