xs
xsm
sm
md
lg

ดงผู้ดี ตอนที่ 2 : "บุหงา" เซ็งผัวแก่ กลับไปเข้าจังหวะกับผัวเก่า

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ดงผู้ดี ตอนที่ 2 : "บุหงา" เซ็งผัวแก่ กลับไปเข้าจังหวะกับผัวเก่า

บทประพันธ์ : บุษยมาส
บทโทรทัศน์ : สามัญ

ท่ามกลางแสงแดดสีส้มบาดตารถของชวาลแล่นไปบนถนนหลวงก่อนเลี้ยวลงจอดข้างทาง

บ่ายวันเดียวกัน ชวาลนั่งก้มหน้าร้องไห้สะอึกสะอื้นในรถคันนี้เขาค่อยๆหยิบรูปใบหนึ่งออกมาจากกระเป๋าเสื้อและจ้องมองมันด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความอาลัยอาวรณ์เสียงความคิดของชวาลดังออกมา
“ผมขอโทษที่ต้องทำแบบนี้...แต่ถ้าคุณสามารถรับรู้ความรู้สึกของผมได้ด้วยวิธีใดก็ตาม คุณจะเข้าใจเหตุผลของผม...ผมยังคงยืนยันคำสัญญา ว่าลูกของคุณจะได้รับการดูแลอย่างดีที่สุด...เท่าที่ผมพอจะทำได้”
รูปภาพนั้นคือรูปของแขนภา ในช่วงเวลาที่เธอสวยที่สุด

เวลาบ่ายวันเดียวกัน นมผ่อนเดินออกมาจากเรือนของรังสรรค์เธอเดินตรงไปกลางสนามหญ้าที่มีร่างของขมนั่งร้องไห้อยู่ที่นั่นนมผ่อนสังเกตอาการของขมพักหนึ่ง จึงเอ่ยปาก
“หนู...หนูคือลูกของ พ่อพิทย์ รุ้งพรายใช่มั้ย”
เด็กหญิงขมหันไปหานมผ่อน แล้วพยักหน้าทั้งน้ำตา
“แต่พ่อไปแล้ว...ตอนนี้หนูเป็นลูกไม่มีพ่อแล้ว”
“มีสิ พ่อพิทย์ของหนูฝากหนูไว้กับคุณรังสรรค์”
“คุณรังสรรค์ ?” ขมฉงน
“เจ้าของบ้านหลังนี้ และคุณรังสรรค์ก็ฝากให้ป้าเป็นผู้ดูแลหนู...”
“แต่หนูอยากอยู่กับพ่อมากกว่า”
“เมื่อพ่อของหนูหมดธุระ เขาก็จะกลับมารับหนูเอง”
“พ่อก็พูดแบบนี้กับหนู...พ่อไม่ได้โกหกหนูใช่มั้ยคะ”
นมผ่อนโอบประคองขมด้วยความสงสารและเอ็นดู
“ไม่มีพ่อคนไหนจะโกหกลูกสาวที่น่ารักอย่างนี้ได้ลงคอหรอก เชื่อป้าสิ...ป้าชื่อผ่อน เรียกป้าว่านมผ่อนก็ได้”
เด็กหญิงขมลองขยับปากเรียกชื่อป้า
“ป้านมผ่อน”
“แล้วหนูชื่ออะไรล่ะ”
ขมสูดหายใจลึกๆ ก่อนตอบอย่างมั่นใจ
“หนูชื่อ ขม รุ้งพราย จ้ะ”

ต่อมา บุหงาเดินเข้ามาที่โถงเรือนเล็ก เสื้อผ้าที่เธอสวมใส่บอกให้รู้ว่า เธอเพิ่งกลับมาจากนอกบ้าน
บุหงาเอ่ยปากตะโกนเรียกสาวใช้เสียงดัง
“นังอาบ...นังอาบอยู่ไหนน่ะ”
สาวใช้คนนั้นรีบวิ่งออกมาตามเสียงเรียก
“อยู่นี่ค่ะ”
“ไปยกถุงของฉันที่วางกองอยู่หน้าบ้านมาเก็บที...ยกมาดีๆล่ะ เครื่องแก้วทั้งนั้นอย่าให้ตกแตกแม้แต่ใบเดียวนะ เพราะทั้งชีวิตแกจะไม่มีทางหาเงินมาใช้ฉันได้หรอก เข้าใจมั้ย”
“เข้าใจค่ะ”
บุหงาเดินตรงไปหารังสรรค์ที่ยืนนิ่งอยู่บนระเบียง
“คุณพี่ขา วันนี้น้องไปซื้อของที่วังบูรพา ได้เครื่องแก้วสวยๆมาใช้ในบ้านเราหลายใบเลยค่ะ จริงๆอยากจะเหมามาทั้งร้าน แต่ถือไม่ไหว คราวหน้าน้องขอเอาเด็กในบ้านไปช่วยถือได้มั้ยคะ”
“ได้สิ”
รังสรรค์ดูจะไม่ค่อยสนใจคำพูดของบุหงาสักเท่าไหร่สายตาของเขาจับจ้องมองลงไปเบื้องล่าง
บุหงามองตามสายตารังสรรค์ไปเห็นนมผ่อนจูงมือขมเดินผ่านสนามหญ้าตรงไปยังเรือนของตน
“นั่นนมผ่อนไปเอาเด็กที่ไหนมาจูงน่ะ”
“เด็กอนาถา พ่อมันเอามาฝากให้เราเลี้ยง”
“เอ๊า ฝากกันง่ายๆอย่างนี้ได้ด้วย?...พ่อมันเป็นใคร คุณพี่ถึงไปยอมตามใจมัน”
รังสรรค์ตอบด้วยน้ำเสียงห้วน
“เพื่อนเก่าฉัน”
“โถ งั้นก็เลี้ยงมันเอาบุญเถอะค่ะ...ผิวพรรณมันก็ขาวดีไม่กระดำกระด่าง เผื่อมันโตขึ้น บุหงาจะได้เอามาเป็นคนรับใช้ส่วนตัว ใช้งานบนตึกนี้ไงคะ”
รังสรรค์ตวัดเสียงกร้าวทันที
“อย่านะ เธอจะใช้งานมัน หรือจิกหัวกบาลมันยังไงก็ได้ แต่อย่าให้มันขึ้นมาเหยียบบนเรือนนี้เด็ดขาด”
“ทำไมล่ะคะ”
“ฉันเกลียดขี้หน้ามัน เกลียดมันทั้งพ่อทั้งลูกน่ะแหละ”
“เกลียดแล้วรับมันไว้ทำไมล่ะคะ”
“ก็แค่เวทนา สงสาร เพื่อนสารเลวคนนึงที่ไม่มีทางไป ก็เท่านั้น”
รังสรรค์เดินออกไปทันทีที่พูดจบ
รติรสและพจนีย์ในชุดนักเรียน เดินเข้ามา
พจนีย์ส่งเสียงดังมาแต่ไกล
“น้าบุหงาขา พ่อโกรธใครเหรอคะ เอ็ดเสียงดังเชียว”
“เด็กมาอาศัยบ้านเราอยู่น่ะจ้ะ”

ขมวางกระเป๋าเสื้อผ้าของเธอกลางห้องในเรือนนมผ่อน นมผ่อนกำลังแนะนำสถานที่ให้ขมฟัง
“นี่คือห้องของขมจ้ะ...นั่นก็ตู้เก็บเสื้อผ้าของขมคนเดียวเลย”
“โอ้โฮ ตู้ใหญ่เบ้อเร่อ เสื้อผ้าขมมีแค่ไม่กี่ชุดเอง”
“เดี๋ยวโตขึ้น ก็มีเสื้อผ้าเยอะขึ้นเองนั่นแหละ”
“ขมต้องอยู่ที่นี่จนโตเลยเหรอจ๊ะป้า”
นมผ่อนอึ้งไปนิดนึง
“ป้าก็พูดเรื่อยเปื่อยไปยังงั้นเอง...มีอีกเรื่องที่ขมต้องท่องจำ นั่นก็คือ คุณรังสรรค์ไม่อนุญาตให้ขมขึ้นไปบนเรือนของท่านเป็นอันขาด”
“เขารังเกียจขมเหรอจ๊ะ”
นมผ่อนได้แต่ถอนหายใจ ตอบอะไรไม่ถูก
“ขมก็ไม่ได้อยากขึ้นไปบนนั้นซักนิด”
“เรือนหลังใหญ่อีกฝั่งหนึ่งก็เหมือนกันนะ”
“คุณรังสรรค์มีบ้านหลายหลังจัง”
“เรือนใหญ่เป็นบ้านของคุณหญิงรัตนเดชากรกับคุณไพลิน แม่และพี่สาวของคุณรังสรรค์...ซึ่งท่านไม่อนุญาตให้ขมไปแถวๆนั้นด้วย”
“งั้นขมอยู่แต่ในห้องนี้ได้ใช่มั้ยจ๊ะป้า”
“รอบๆเรือนของป้านี่ ขมจะทำอะไรได้หมดเลยจ้ะแม่คุณ”
เมื่อสิ้นเสียงนมผ่อน น้ำตาของขมก็ค่อยๆไหลออกมานมผ่อนเอื้อมมือโอบปลอบโยนเธอ
“ขม เอ๊ย...”
“ขมคิดถึงพ่อ...ถ้าพ่อรู้ว่าเขารังเกียจขมขนาดนี้ พ่อจะยังฝากขมไว้ที่นี่อีกหรือเปล่า”
รติรสและพจนีย์วิ่งเข้ามา
"เนี่ยเหรอขี้ข้าคนใหม่ของบ้านเรา ตัวเท่ากะเปี๊ยก"
"ตายจริง ทำไมพูดอย่างนี้ล่ะคะ คุณหนูพจน์"
"ฉันพูดตามน้าบุหงา"
"เข้าใจซะใหม่นะคะคุณหนู ขมไม่ใช่ขี้ข้านะคะ"
"ถ้าไม่ใช่ขี้ข้าแล้วมันเป็นใคร"
"พ่อของหนูขมเขามาฝากไว้กับคุณรังสรรค์คุณพ่อคุณหนูค่ะ"
"เชอะ มาอาศัยบ้านเขาอยู่มาเกาะเขากิน ก็ขี้ข้านั่นแหละ...โธ่ ไอ้ลูกพ่อทิ้ง"
"พอได้แล้วยายพจน์"
ขมลุกขึ้นเชิดหน้าพูดตอบโต้เสียงดังชัดถ้อยชัดคำ
"ฉันไม่ใช่ขี้ข้า ฉันไม่ได้มาเกาะใครกิน และพ่อก็ไม่ได้ทิ้งฉัน พ่อแค่ฝากไว้แป๊ปเดียว เดี๋ยวก็มารับฉันกลับแล้ว"
"เหรอ"
"พ่อของเธอก็รับปากด้วยว่าจะเลี้ยงดูฉันอย่างดี เท่าเทียมกับพวกเธอ"ขมว่า
"ไม่มีทาง ไม่ใช่แน่ๆ แกมั่วแล้วหละ พ่อเพิ่งบอกน้าบุหงาว่า จะจิกหัวใช้แกยังไงก็ได้ต่างหาก...รอให้โตกว่านี้ก่อนเถอะ ฉันจะจิกหัวแกให้ดู"
พจนีย์วิ่งหัวเราะร่าเริงออกจากไป
รติรสกระเถิบเข้าไปพูดกับขมใกล้ๆ
"ฉันชื่อรส เป็นพี่ของพจนีย์...เธออย่าโกรธยายพจน์เลยนะ เขาเป็นคนอย่างนี้แหละ พูดอะไรไม่คิด แต่เดี๋ยวเดียวก็ลืม"
"ขมไม่เคยโกรธใคร ถ้าคนๆคนนั้นไม่ล่วงเกิน พ่อกับแม่ขม"
รติรสค่อยๆเดินตามน้องออกไป
นมผ่อนหันไปพูดกับขมอย่างเห็นใจ
"อดทนไว้นะขม...เวลาจะทำให้อะไรๆดีขึ้นเอง"
"จ้ะป้า"
"ป้ายังไม่รู้เลยว่า แม่ขมชื่ออะไร"
"แม่แข"
"แข ?"
"ใช่จ้ะ แม่ขมชื่อแข"
ความคิดบางอย่างผุดขึ้นในใจของนมผ่อน
"แขเฉยๆ หรือ แขอะไร"
"แข นามสกุลรุ้งพรายจ้ะ...ป้ารู้จักแม่แขของขมเหรอ"

"เปล่า ป้าแค่นึกถึงใครคนนึง ที่ไม่ได้เจอกันมานานแล้วเท่านั้นเอง"

บ้านพุทธชาด ในเวลากลางคืนท่ามกลางแสงสว่างจากพระจันทร์เต็มดวง

เสียงเด็กหญิงขมดังเข้ามา
"พ่อจ๋า...ขมอยู่ในบ้านพุทธชาดมาได้พักใหญ่ๆแล้ว ไม่ว่าจะผ่านไปกี่วัน ก็ไม่มีวันไหนเลยที่ขมจะไม่คิดถึงพ่อ"
ภายในห้องนอนขม เธอนั่งเขียนจดหมายท่ามกลางแสงไฟหรี่ๆ จากโคมอันเล็กๆบนโต๊ะ
"ถ้าพ่อได้มีโอกาสอยู่กับขมที่นี่สักเพียงชั่ววัน พ่อก็จะเห็นว่า คนที่นี่ไม่ได้รักและเอ็นดูขมอย่างที่พ่อเข้าใจ...จะมีก็แต่ป้านมผ่อนเท่านั้นที่ดีกับขมทุกอย่าง"

ตอนเช้า นมผ่อนเดินจูงมือขมเข้าไปในโรงเรียน
"ขมได้เรียนหนังสืออย่างที่พ่อต้องการแล้วนะจ๊ะ...โรงเรียนเดียวกับ รติรสและพจนีย์ คุณหนูสองคนของบ้านนี้"
รถเก๋งคันใหญ่ของบ้านพุทธชาดแล่นมาจอดในโรงเรียน
รติรสและพจนีย์ก้าวลงจากรถ ขวางหน้าขมพอดี
"พ่ออยากรู้มั้ยว่านิสัยสองคนนี้เป็นยังไง...ขมให้พ่อเดาก็แล้วกัน บอกใบ้ให้นิดนึงว่า สองคนนี้นิสัยต่างกันราวฟ้ากับดิน"
พจนีย์มองหน้าขมเหยียดๆ
"ขี้ข้าก็ต้องเดินมาโรงเรียนเองอย่างนี้แหละ"
พจนีย์วิ่งขึ้นอาคารเรียนทันทีที่พูดจบ
รติรสดึงมือขมมาจากนมผ่อน และเดินขึ้นอาคารเรียนไปด้วยกัน

บริเวณหิ้งพระ ในเรือนนมผ่อน
เด็กหญิงขมนั่งสวดมนต์ข้างๆนมผ่อน
"พ่อเชื่อมั้ยว่า ตั้งแต่ขมอยู่ที่นี่ ขมยังรู้จักคนไม่ครบทั้งบ้านเลย เพื่อนพ่อที่ชื่อรังสรรค์ ขมก็ยังไม่ได้ไปสวัสดี"

วันหนึ่ง หน้าบ้านพุทธชาดรถรังสรรค์แล่นผ่านประตูรั้วเข้ามาจอดหน้าบ้าน
"เพราะเขาสั่งห้ามไม่ให้ขมโผล่หน้าไปที่เรือนไหนๆทั้งนั้น..".
บุหงาก้าวลงจากรถเธอตะโกนเรียกขม
"มานี่ซินังขม มาช่วยยกของลงจากรถหน่อย"
ขมวิ่งไปที่รถคันนี้รังสรรค์เปิดประตูรถกระแทกขมจนล้ม
รังสรรค์เดินข้ามร่างของขมไปอย่างไม่ใยดี
"ซุ่มซ่ามจริงๆแกนี่"
เสียงขมดังต่อ... เพื่อเขียนเล่าเรื่องราวในจดหมายให้พ่อฟัง
"คุณรังสรรค์เขาเกลียดขมมาก หน้าขมเขาก็ไม่อยากจะมอง น้าบุหงาเมียเขาก็เหมือนกัน...ขมไม่อยากอยู่ที่นี่แล้วค่ะพ่อ"

ในห้องนอนขม ตอนกลางวันขมยังนั่งเขียนจดหมายอยู่ที่โต๊ะตัวเดิม
"ขมอยากอยู่กับพ่อพิทย์ ขมคอยชะเง้อมองหารถของพ่อพิทย์ทุกวัน แต่ก็ไม่เห็นพ่อลืมสัญญาที่ให้ไว้กับขมหรือเปล่า...ขมเขียนจดหมายหาพ่อ พร้อมกับฝากความรัก ความระลึกถึงไปให้พ่อพิทย์ในจดหมายด้วย"

บริเวณโต๊ะข้างเตียงนอนขมเอาจดหมายใส่กล่อง วางไว้ที่หัวเตียงนอน มีจดหมายมากมายหลายฉบับวางทับซ้อนอยู่ในกล่องนั้น
" แต่ขมก็ไม่รู้จะส่งไปที่ไหน ที่อยู่ของพ่อขมก็ไม่เคยมี"

เตียงนอนขม ตอนกลางคืนเด็กหญิงขมนั่งพนมมือสวดมนต์ในมุ้งที่คลุมเตียงนอนของเธอ
"พ่อจ๋า ไม่ว่าพ่อจะอยู่ที่ไหน ขอให้รู้ว่าขมยังรอคอยวันที่เราจะได้อยู่ด้วยกันประสาพ่อลูกอยู่เสมอนะจ๊ะ....ขมรักพ่อ...นานแค่ไหนขมก็รักพ่อ"
ขมก้มลงกราบที่หมอน

ห้าปีต่อมา
เด็กหญิงขมในอดีตโตเป็นสาวรุ่น
เธอเงยหน้าขึ้นมาจากการกราบหมอน
เสียงของขมยังคงดังบอกเล่าต่อไป
" ขอให้ดวงวิญญาณของแม่แข และความรักจากพ่อพิทย์ ช่วยเป็นเกราะคุ้มครองป้องภัยให้ขมอยู่ที่นี่ได้ โดยปราศจากภยันตรายใดๆด้วยนะจ๊ะ"
ขมค่อยๆเอนตัวลงนอน ลืมตามองเพดานนิ่งใบหน้าที่สวยงามของเธอช่างละม้ายคล้าย แขนภา เหลือเกิน

วันหนึ่ง กลุ่มหนุ่มวัยรุ่นหกคน กำลังเล่นบาสเกตบอลอยู่ในโรงยิมแห่งหนึ่ง หนึ่งในนั้นเป็นหนุ่มหน้าตาดี ที่มีชื่อว่า "ชาติสยาม สุรบดินทร์" เขามีท่วงท่าการเล่นบาสเกตบอลที่สวยงาม
เพื่อนคนหนึ่งที่อยู่นอกคอร์ท เดินเข้ามาตะโกนเรียก
"สยาม...สยาม"
"ว่าไง"
"มีคนมาหานายที่นี่"
"ฉันไม่ได้นัดใครไว้ซะหน่อย บอกให้เขามาใหม่ตอนเย็นๆแล้วกัน"
"นายก็ไปบอกเขาเองสิ ฉันเล่นแทนให้"
"ไม่มีทาง นายหาข้ออ้างมาเล่นแทนฉันก็บอกมาเถอะ"
"ไม่ใช่ข้ออ้าง มีคนมาหานายจริงๆ เขาบอกว่าเรื่องสำคัญด้วย"
"เขาชื่ออะไร"
"ชื่อชวาล...เขาว่าเขาเป็นพี่ชายนาย"
สยามหยุดเล่นบาสเกตบอลทันที

ชวาลก้าวเข้ามายังมุมหนึ่งไม่ไกลจากโรงยิมนั้น
"ไม่ได้เจอกันมานาน จนไม่อยากคุยกับพี่แล้วเหรอ ชาติสยาม สุรบดินทร์"
ชาติสยามยืนเช็ดเหงื่อเบื้องหน้าชวาล
"ก็ไม่คิดว่าพี่ชวาลจะมาหาผมถึงที่นี่ได้นี่ครับ ครั้งสุดท้ายที่ได้ข่าวคราวของพี่ผมเข้าใจว่าพี่ปักหลักอยู่ที่อังกฤษ"
"ก็ทำนองนั้น ถ้าไม่มีธุระสำคัญที่ต้องพึ่งพาน้องชายคนนี้ พี่ก็คงจะไม่กลับมา"
"มีอะไรที่ผมช่วยพี่ชวาลได้ บอกมาเลยครับ"
"รับปากกับพี่ก่อนได้มั้ยว่าจะไม่ปฏิเสธพี่"
"พี่ชวาลช่วยเหลือผม ตั้งแต่ผมไปเรียนเมืองนอกใหม่ๆ ผมไม่เคยลืมบุญคุณนี้เพราะฉะนั้นอะไรที่ผมตอบแทนพี่ได้ ผมยินดีทำทุกอย่างครับ"
"แน่ใจนะ"
"แน่สิครับ"
"งั้นเราอาจจะต้องคุยกันยาวนิดนึง"
"ผมมีเวลาทั้งวันครับ" สยามบอก
ทั้งสองขยับตัวเดินคุยกันไป
"พี่มีของสำคัญ ที่อยากจะฝากให้สยามเป็นธุระดูแลแทนพี่หน่อย"
"โธ่ เรื่องแค่นี้เอง"
"อย่าเพิ่งโธ่ จนกว่าจะฟังเรื่องทั้งหมดจบ"
"พี่บอกมาเลยว่าของคืออะไร อยู่ที่ไหน ผมวิ่งไปเอาเดี๋ยวนี้ยังได้เลย"
"ของนั้นคือ คน"
"ห๊ะ"
"เด็กผู้หญิง อายุ 16ปี"
"แล้ว...มันสำคัญ สำหรับพี่ ยังไงเหรอครับ"
"เธอเป็นลูกสาวพี่"
"ห๊า...พี่ชวาลมีลูกแล้ว ?...ผมนึกว่าพี่ยังเป็นหนุ่มโสดตลอดกาลซะอีก...ที่แท้ก็แอบไปมีลูกอายุตั้ง16...นี่คงไม่อยากให้ใครรู้ใช่มั้ยครับ...เจ้าชู้ไม่เบานะพี่"
"ไม่ใช่อย่างที่เธอคิดหรอกสยาม มันซับซ้อนมากกว่านั้นเยอะ"
"ซับซ้อน ?"
"ซับซ้อนเกินกว่าที่พี่จะอธิบายได้"
"งั้นผมจะไม่ถามเรื่องนี้อีก"
ชวาลขยับตัวลงนั่ง ตรงบริเวณที่เหมาะสม
"เด็กคนนี้คือดวงใจของพี่ แต่ความจำเป็นบางอย่างของพี่ ทำให้พี่ไม่สามารถเลี้ยงดูเขาได้...พี่ต้องการคนที่พี่ไว้ใจ คอยดูแลเขาจนถึงวันที่เขาเติบโต"
"ตระกูลสุรบดินทร์ของเราเป็นตระกูลใหญ่ ญาติพี่น้องมากมาย พี่ชวาลไม่เห็นจะต้องกังวล"
"เธอก็รู้ว่าไม่มีใครในสุรบดินทร์ต้องการพี่...เพราะฉะนั้น คนในสุรบดินทร์ก็ไม่ควรรู้ว่าพี่มีลูก ยกเว้นแต่เธอ เธอคือคนเดียวที่พี่ไว้ใจ"
ชาติสยามขยับตัวลงนั่งข้างๆชวาล
"ได้ครับ พี่ชวาลพาน้องมาหาผมได้เลย ให้มาอยู่ที่บ้านผมเลยก็ได้ ผมจะหาพี่เลี้ยงดีๆดูแลอย่างใกล้ชิด"
"ไม่ได้...พี่ไม่ต้องการให้เขารู้ว่าเขาเป็นเลือดเนื้อของสุรบดินทร์"
"อ้าว !"
"ตอนนี้เขารู้แค่ว่า เขาคือลูกสาวของพิทย์ รุ้งพราย"
"พิทย์ รุ้งพราย ?"
"อีกชื่อหนึ่งของพี่"
"เรื่องราวซับซ้อนอย่างที่พี่ว่าจริงๆ"
"เธอปฏิเสธพี่ไม่ได้แล้วนะ"
"ผมไม่ทำอย่างนั้นแน่นอน...แล้วตอนนี้น้องเขาอยู่ที่ไหน"
"บ้านพุทธชาด พี่ฝากไว้กับเพื่อนเก่าของพี่ที่นั่น"
"ผมสนิทกับหลานชายตระกูลนั้นอยู่คนนึง" สยามบอก
"พี่จึงอยากฝากให้สยาม สอดส่องดูแลความเป็นอยู่ของลูกพี่ที่นั่นด้วย เพราะพี่ไม่ค่อยวางใจในเพื่อนเก่าของพี่เท่าไหร่นัก"
"ครับ...น้องชื่ออะไรครับ"
"โขมพัสตร์ หรือ ขม รุ้งพราย...นี่คือรูปล่าสุดของเธอ"
ชวาลหยิบรูปถ่าย ส่งให้ชาติสยามมันเป็นรูปที่เขาแอบถ่ายขมบริเวณหน้าโรงเรียนไว้
ชาติสยามมองดูรูปถ่ายนี้ และเผยอยิ้ม
"น่ารักไม่ใช่เล่นนะครับลูกสาวพี่"
"จำไว้ว่า ขมคือหลานแท้ๆของเธอคนนึง เธอต้องรักและเอ็นดูขมให้มากๆนะชาติสยาม"

"ครับ...ผมจะทำตามคำขอร้องของพี่ชวาลครับ"

เช้าตรู่วันหนึ่ง ณ ห้องนอนรังสรรค์ บ้านพุทธชาดบุหงานอนหนุนไหล่รังสรรค์อยู่บนเตียงนี้

เสียงเคาะประตูห้อง ตามมาด้วยเสียงสาวใช้
"คุณผู้หญิงคะ...คุณผู้หญิง"
บุหงาค่อยๆลืมตาขึ้น
"มีอะไร นังอาบ"
"เปิดประตูหน่อยค่ะ" สาวใช้บอก
"ฉันกับคุณผู้ชายยังไม่ตื่น แกไม่มีสิทธิ์มาเคาะเรียกฉัน"
รังสรรค์ขยับตัวลุกขึ้น
"ไปเปิดประตูเถอะ ฉันควรจะอาบน้ำไปทำงานได้แล้ว"
"เดี๋ยวสิคะคุณพี่...คุณพี่รับปากกับน้องเมื่อคืน ว่าเราจะทำการบ้านกันตอนเช้าลืมแล้วเหรอคะ"
"ฉันยังเหนื่อยอยู่น่ะ"
"เหนื่อยหรือเบื่อบุหงากันแน่คะ"
รังสรรค์ส่ายหน้า
"มีแต่บุหงานั่นแหละที่จะเบื่อคนแก่ๆอย่างฉัน"
"งั้นบุหงายกยอดไปรวมคืนนี้นะคะ"
รังสรรค์บรรจงจูบบุหงา แล้วลุกออกจากเตียงนอน ตรงไปเข้าห้องน้ำ

บุหงาเปิดประตูห้องนอนออกมาสาวใช้ยืนรออยู่หน้าห้อง
"ว่ามา มีเรื่องอะไรถึงต้องมาปลุกฉันแต่เช้า...ถ้าเป็นเรื่องไม่เข้าท่า ฉันไล่แก
ออกจากบ้านนี้แน่"
" มีโทรศัพท์ถึงคุณผู้หญิงค่ะ"
"แค่เนี้ยะ...ไปเก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋าได้เลย"
"เขาบอกว่าเป็นเรื่องสำคัญ ให้บอกต่อหน้าคุณผู้หญิงคนเดียวเท่านั้น"
"แกรีบไปหางานใหม่เถอะ ฉันขี้เกียจฟังแกพูดแล้ว"
บุหงาขยับตัวเดินกลับเข้าไปในห้อง
สาวใช้รีบพูดต่อก่อนที่บุหงาจะปิดประตู
"เขาบอกว่าเป็นเพื่อนเก่าคุณผู้หญิงเพิ่งกลับจากปีนังค่ะ"
บุหงาหยุดชะงัก หันหน้ามามองสาวใช้อีกครั้ง
"ตอนนี้เขายังรอคุณผู้หญิงอยู่ในโทรศัพท์นะคะ"

รังสรรค์ในชุดพร้อมออกไปทำงานเขาเดินไปถึงโต๊ะอาหารในบริเวณห้องอาหารเรือนเล็ก บ้านพุทธชาดบุหงาในชุดเสื้อคลุมสวยเซ็กซี่กำลังวางอาหารเช้าหน้าตาดีลงบนโต๊ะ
"ทานอาหารเช้าก่อนออกไปทำงานนะคะคุณพี่"
"นี่บุหงาเป็นคนเตรียมให้ฉันเองเหรอ"
"น้องเห็นคุณพี่บ่นว่างานยุ่ง ก็เลยกลัวว่าจะไม่มีเวลาทานอาหารดีๆ"
"กลัวพี่ไม่มีแรงด้วยใช่มั้ยล่ะ"
รังสรรค์เอื้อมมือโอบกอดบุหงาแล้วกระซิบข้างหู
"รับรองคืนนี้พี่ไม่พลาดแน่ๆ"
รังสรรค์ขยับตัวลงนั่งที่ตำแหน่งหัวโต๊ะ แล้วเริ่มทานอาหาร
บุหงาขยับตัวนั่งข้างๆอย่างออดอ้อนออเซาะ
"ระหว่างที่คุณพี่ไปทำงาน บุหงาขอออกไปหาอะไรทำข้างนอกบ้างได้มั้ยคะ"
"หาอะไรทำ ?...คืออะไร ?"
"น้องอยากเรียนทำขนมเค้กค่ะ...จะได้มาทำให้คุณพี่ทานที่บ้าน"
"โถแม่คุณ ไม่ต้องมีขนมเค้ก ฉันก็ทั้งรักทั้งหลงเธอจะแย่แล้วนะ"
"คุณพี่จะอนุญาตให้บุหงาออกไปมั้ยคะ"
"ไปเมื่อไหร่"
"วันนี้ค่ะ"
"ไม่ใช่ว่าออกนอกบ้าน เพราะคิดจะนอกใจฉันนะ"
"ฆ่าบุหงาให้ตายเลยค่ะ ถ้าบุหงาทำชั่วอย่างนั้น"
"ฉันล้อเล่นน่ะ...ไปเถอะ ฉันอนุญาต"
บุหงาหอมแก้มรังสรรค์หนึ่งที แล้วจึงเดินไปรินน้ำ
"บุหงา"
"คะ"
"เอาเด็กในบ้านไปด้วยคนนึงสิ จะได้คอยช่วยถือโน่นถือนี่ให้เธอ"
"เอ้อ...ค่ะ"
บุหงาไม่อาจปฏิเสธรังสรรค์ได้ความกังวลใจปรากฏขึ้นในสีหน้าและแววตาของเธอ

สองชั่วโมงก่อนหน้านี้บุหงายืนพูดโทรศัพท์แววตาเครียดน้ำเสียงเธอดุดัน แต่คำรามอยู่ในลำคอ ไม่ดังออกมามากนัก
"โทรมาหาฉันทำไม แฟรงกี้"

ห้องนอนในโรงแรมแห่งหนึ่ง หนุ่มหน้าเข้มคล้ายนักเลงจีน นอนพูดโทรศัพท์อยู่บนเตียง
"ไม่เจอกันนาน เสียงเข้มขึ้นเยอะเลยนะ"

ทั้งคู่คุยตอบโต้กันไปมา
"เรื่องระหว่างเรามันจบไปแล้วนะ อย่าลืมสิ"
" ไม่ได้ลืม แต่ความคิดถึงมันห้ามกันได้ที่ไหน"
"นายต้องการอะไรอีก"
"ถ้าจะให้บอกทั้งหมดที่ต้องการ คงต้องพูดกันทั้งวัน"
"ฉันไม่มีเวลามากขนาดนั้น"
"งั้นออกมาเจอกันซักสองสามชั่วโมงได้มั้ย"
"ไม่มีทาง"
"ตอบเร็วไปหน่อยมั้ง...อย่าลืมว่าความลับของยู ที่อยู่ในมือของไอ ถ้าเปิดออก
มาเมื่อไหร่ คุณนายบุหงาจะไม่มีอะไรเหลือเลยนะจ๊ะ ดาร์ลิ้ง"

บริเวณสนามหญ้าหน้าเรือนนมผ่อนขมนั่งท่องหนังสืออยู่เพียงลำพังเสียงบุหงาตะโกนดังเข้ามา
"ขม...ขม"
ขมเงยหน้าขึ้นจากหนังสือ
"ขา"
บุหงาเดินก้าวยาวๆเข้ามา เธออยู่ในเสื้อผ้า พร้อมออกนอกบ้าน
"ทำอะไรอยู่น่ะ ทำไมไม่ไปโรงเรียน"
"อาทิตย์นี้โรงเรียนหยุดให้ท่องหนังสือสอบค่ะ"
"ดี...งั้นออกไปข้างนอกกับฉันหน่อย"
"แต่ขมต้องอ่านหนังสือ..."
"แกก็เอาหนังสือติดไปด้วยสิ...อ่านที่ไหนตัวหนังสือมันก็เหมือนเดิมนั่นแหละ...ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเร็วๆเข้า ฉันรออยู่หน้าบ้านนะ"
บุหงารีบเดินออกไป ขมได้แต่ยืนงุนงง

ในรถแท๊กซี่
บุหงาและขมต่างนั่งนิ่ง สีหน้าของบุหงาดูจะมีความเครียดปนอยู่ไม่น้อยขมตัดสินใจเอ่ยปากถาม
"เราจะไปที่ไหนกันเหรอคะ"
"เดี๋ยวถึงแล้วก็รู้เองแหละ"
"ขมออกจากบ้านมาไม่ได้บอกใคร ป้านมผ่อนก็ไม่รู้ด้วยว่าขมอยู่ที่ไหน"
"แกมากับฉัน...ฉันรู้ว่าแกอยู่ที่ไหน เท่านั้นยังไม่พออีกเหรอ หรือว่านมผ่อนมันใหญ่กว่าฉัน"
ขมค่อยๆก้มหน้านิ่ง
"อ่านหนังสือไปสิ...จะสอบแล้วไม่ใช่เหรอ"

ต่อมา บุหงาเดินนำขมเข้ามาที่กลางสวนสาธารณะ
"แกรอฉันอยู่ในสวนนี่หละ นั่งท่องหนังสือไปจนกว่าฉันจะกลับมา"
"แล้ว..."
"ไม่ต้องถามว่าฉันไปไหน"
"ถ้าคนที่บ้านถามขม ขมก็ต้องตอบว่า คุณบุหงาไปไหนไม่รู้เหรอคะ"
"ใครเขาจะมาถามแก...แต่ถ้าดันมีคนปากรั่วทะลึ่งมาถามโน่นถามนี่ แกก็บอกว่า ฉันมาเรียนทำขนมเค้ก ส่วนแกมาคอยช่วยฉันถือของ"
บุหงาพาขมเดินมาถึงใต้ต้นไม้ใหญ่
"นั่งตรงนี้นะ ถ้าหิวก็ไปกินน้ำก๊อกตรงโน้น แล้วอย่าคุยกับคนแปลกหน้าเข้าใจมั้ย"
"แล้วคุณบุหงาจะกลับมาตอนไหน...อีกนานมั้ยคะ"
"มาเมื่อไหร่แกก็เห็นเอง อย่าเดินเพ่นพ่านไปที่อื่นก็แล้วกัน ฉันกลับมาไม่เจอแกละ น่าดู"
บุหงาขยับตัวเดินกลับไปทางเก่า
"คุณบุหงาคะ...ไหนคะโรงเรียนทำขนม"
บุหงาถอนใจแรงด้วยความหงุดหงิด แล้วจึงชี้มือออกไปไกล
"อยู่ฝั่งโน้นไง มองไม่เห็นเหรอ"

บุหงารีบเดินออกไปทขมหย่อนตัวลงนั่งอ่านหนังสือ ด้วยความรู้สึก งงๆ

กลุ่มชายหนุ่มหุ่นดี วิ่งจ๊อกกิ้งไปบนถนนไม่ไกลจากต้นไม้นี้ และหนุ่มหนึ่งคนในกลุ่มนั้น เขาคือ ชาติสยาม สุรบดินทร์

ชาติสยามเหลือบไปเห็นโขมพัสตร์ที่นั่งอยู่ใต้ต้นไม้เขาหยุดวิ่งทันที
เขานึกย้อนถึงรูปถ่ายโขมพัสตร์ที่ชวาลยื่นให้ชาติสยามดูชาติสยามครุ่นคิด ก่อนตัดสินใจ

บริเวณริมถนนใกล้สวนสาธารณะบุหงาหย่อนตัวลงนั่งในรถเก๋งคันหนึ่งผู้ขับรถคันนี้คือ แฟรงกี้
"นายมาช้า แฟรงกี้"
"ยูมาก่อนเวลาต่างหาก...แสดงว่าคิดถึงไอ เหมือนกันใช่มั้ยล่ะ"
แฟรงกี้ใช้มือลูบใบหน้าของบุหงาอย่างคุ้นเคย
"ฉันอยากให้มันจบๆไปไวๆต่างหาก...จะเอาเงินอีกเท่าไหร่ว่ามา"
"นั่นไม่ใช่เรื่องใหญ่ เพราะที่ยูให้ไอสำหรับงานวันนั้น มันก็มากพอแล้วหละ"
"พูดสิ่งที่นายต้องการออกมาเลย อย่าโอ้เอ้"
"รื้อฟื้นความหลังที่เราเคยสนุกร่วมกัน นั่นคือสิ่งที่แฟรงกี้ฝันถึงทุกคืน"
แฟรงกี้วางมือของมันบนต้นขาบุหงา แล้วลูบไล้บุหงารีบตะปบมือนั้น
"ฉันวันนี้ไม่เหมือนฉันวันนั้นแล้วนะ แฟรงกี้"
"แน่นอน...มันยิ่งเร่งเร้าให้ไออยากมีอะไรกับยูวันนี้ยิ่งกว่าวันนั้นซะอีก คุณนาย"
"อย่าบอกนะว่า ไอ้แก่รังสรรค์นั่นมันตอบสนองอารมณ์ยูได้ดีกว่าไอ"
แฟรงกี้ สตาร์ทรถและขับออกไป...

มุมหนึ่งในสวนสาธารณะ โขมพัสตร์ก้มหน้าดื่มน้ำจากก๊อกน้ำสาธารณะ ก่อนปิดก๊อก เช็ดน้ำที่เปียกแก้มและคาง แล้วจึงเดินออกไป
โขมพัสตร์เดินกลับมาที่ต้นไม้ใหญ่ต้นเดิมเธอหยุดชะงักเมื่อเห็นภาพเบื้องหน้าชาติสยามนั่งก้มหน้ามองหนังสือของเธอที่กองอยู่ตรงนั้น
โขมพัสตร์รีบตะโกนเสียงดังทันที
"อย่าเอาหนังสือนั่นไปไหนนะ"
ชาติสยามเงยหน้ามองโขมพัสตร์ แล้วจึงชูมือแสดงความบริสุทธิ์ใจ
โขมพัสตร์รีบเดินไปรวบหนังสือของเธอเอาไว้ในมือ
"หนังสือของหนู ?"
โขมพัสตร์ใช้วิธีพยักหน้าแทนคำพูด
"หนังสือเรียน ?"
เธอพยักหน้าอีกครั้ง
"หนังสือเรียน ก็น่าจะใช้เรียนที่โรงเรียน...ทำไมมากองอยู่กลางสวนสาธารณะ"
โขมพัสตร์นิ่งเงียบ ไม่พยักหน้า และไม่มีคำตอบ
"วันนี้ไม่ไปโรงเรียนเหรอ"
เธอยังคงนิ่งเงียบต่อไป
"ไม่ยอมพูดแบบนี้ บางทีอาจจะต้องตามสารวัตรนักเรียนมาเป็นล่ามให้"
โขมพัสตร์จึงเอ่ยปากตอบทันที
"ฉันไม่ได้โดดเรียน"
"แต่ฉันว่าโดด...ลักษณะนี้ต้องโดดเรียนแน่ๆ"
"โรงเรียนหยุดให้ท่องหนังสือสอบต่างหาก"
"งั้นก็น่าจะท่องหนังสืออยู่ที่บ้าน มานั่งเล่นในสวนอย่างนี้เหมือนเด็กใจแตกหนีออกจากบ้านมา"
"ฉันไม่ได้หนี...ไม่ได้มาคนเดียวด้วย"
"มากับใคร ?"
เธอคิดนิดนึงก่อนตอบ
"พ่อ"
"พ่อ ?...ไหนล่ะพ่อ"
"พ่อออกไปซื้อของ"
"ซื้ออะไร ?"
"ปืน...พ่อยิงปืนแม่น พ่อชอบยิงคนที่จะมาขโมยหนังสือเรียนของฉัน"
ชาติสยามแสดงท่าทีตกใจแท้จริงมีรอยยิ้มแอบผุดขึ้นบนใบหน้าของเขา
"อือม...งั้นทีหลังถ้าจะเดินไปกินน้ำก๊อก ก็ถือหนังสือติดไปด้วยนะ ฉันจะได้ไม่ต้องเสี่ยงตายมานั่งเฝ้าให้อย่างนี้"
ชาติสยามขยับตัวลุกขึ้น พร้อมกับเอ่ยปากลอยๆ เหมือนบ่น
"สงสัยต้องไปหาซื้อเสื้อเกราะกันกระสุนมาใส่ซะหน่อยแล้วมั้งเรา"
ชาติสยามเดินออกไป
เธอถอนหายใจ โล่งอก และอมยิ้มไว้นิดๆ

เวลาเดียวกัน รติรสนั่งท่องหนังสือบริเวณระเบียงบ้าน ส่วนพจนีย์ เอนฟุบหลับอยู่บนโต๊ะข้างๆพี่สาวรติรสหันไปเรียกน้อง
"พจน์ ตื่น...ตื่นมาท่องหนังสือได้แล้ว เดี๋ยวสอบตกนะ"
"ไม่ตกหรอกน่า พจน์มีวิธี"
"วิธีอะไร"
"วิธีลอกข้อสอบน่ะสิ"
รติรสถอนใจใส่น้องสาว
"แล้วรายงานของเธออีกตั้งเยอะแยะ ทำรึยัง"
"ไม่ทำ"
"งั้นเธอก็จะโดนตัดคะแนน"
"ไม่โดน เพราะพจน์จะให้นังขมทำ...พจน์เตรียมกระดาษไว้ให้มันแล้ว"
คนรับใช้เดินถือจดหมายเข้ามาที่ระเบียงนี้
"คุณหนูขา จดหมายค่ะ"
"จดหมายใคร" พจนีย์ถาม
"ของคุณรติรสค่ะ"
รติรสรับจดหมายจากสาวใช้
"แล้วของฉันล่ะ"
"ไม่มีค่ะ"
สาวใช้เดินกลับออกไป
รติรสพลิกดูชื่อผู้ส่งที่อยู่หลังซอง แล้วหน้าตาดีใจ
"จดหมายพี่รัฐ"
พจนีย์แย่งจดหมายมาจากมือรติรส
"ไหนขอดูซิ"
"เอาของพี่มา"
"ขอแกะดูหน่อยน่า"
"อย่านะ มันจดหมายของพี่ ไม่ใช่ของพจน์"
"พี่รัฐอาจจะเขียนถึงพจน์ในนี้ด้วยก็ได้ ขอดูแค่นี้เป็นอะไรไป"
"ถ้ามีเขียนถึงเธอ ฉันจะบอกเอง"
"ไม่ ฉันชอบอ่านด้วยตาของฉันเอง มากกว่า"
พจนีย์ฉีกซองจดหมายออกต่อหน้าต่อตารติรสทันที
"พจน์ !"
"พจน์อ่านให้ฟัง...ฟังนะ..."
พจนีย์ดัดเสียงเป็นเสียงหนุ่มหล่อ
"รสจ๋า รัฐคิดถึงรสเหลือเกิน นอนฝันถึงเธอทุกคืน อยากอยู่ใกล้ๆ อยากหอม
แก้ม อยากจูบปาก"
"บ้า"
"พี่รัฐไม่ได้บ้านะ แต่พี่รัฐล้อเล่น เพราะจริงๆแล้วพี่คิดถึงพจนีย์มากกว่า พจนีย์สวยกว่า เซ็กซี่กว่าเธอเยอะยายรติรส"
รติรสตะโกนลั่น
" เอาจดหมายพี่คืนมา"
"อยากได้ก็มาแย่งเอาเองสิ"
พจนีย์ถือจดหมายวิ่งหนีรติรสรีบวิ่งไล่ตาม

พี่น้องสองสาว วิ่งแย่งจดหมายกัน จนไปถึงหน้าเรือนใหญ่พจนีย์วิ่งไปชน คุณไพลิน ที่อยู่บริเวณนั้น
"ขอโทษค่ะ คุณป้า"
"วิ่งไล่อะไรกันอย่างนี้ ไม่ใช่เด็กๆแล้วนะ"
"พจน์เขาแย่งจดหมายรสไปค่ะ
"จดหมายรักจากผู้ชายค่ะคุณป้า พี่รสแอบคบผู้ชายค่ะ"
"บ้า จดหมายจากพี่รัฐค่ะ"
"แล้วพี่รัฐไม่ใช่ผู้ชายเหรอ...ดูสิหน้าแดงใหญ่เลย"
"พี่เขาเขียนมาว่ายังไง"
พจนีย์ก้มลงอ่านจริงๆ
"เอ้อ เขาบอกว่าใกล้จะกลับมาเมืองไทยแล้ว"
"อย่างนี้ไม่เรียกว่าจดหมายรัก คืนพี่เขาไปซะ เอาจดหมายคนอื่นมาอ่านอย่างนี้ไม่สุภาพนะพจนีย์"
"ค่ะ"
พจนีย์คืนจดหมายให้รสแล้วเดินบ่นออกไป
"ไปตามหานังขมดีกว่า จะได้ทำรายงานให้เสร็จๆซะที"

"ใครคือ นังขม ?" ไพลินสงสัย

สวนสาธารณะในเวลาต่อมา โขมพัสตร์นั่งอ่านหนังสือใต้ต้นไม้เดิม

อยู่ๆ ชาติสยามก็หย่อนตัวลงนั่งข้างๆโขมพัสตร์ พร้อมด้วยห่ออาหารมากมายในมือมีทั้งก๋วยเตี๋ยวหลอด หอยทอด ผัดไทย กระเพาะปลา เป็นต้น
โขมพัสตร์เหลือบตามองดูท่าทีของชาติสยาม
"ฉันนั่งใกล้หนูไปรึเปล่า"
โขมพัสตร์กระเถิบตัวห่างออกจากชาติสยาม
"คงจะใกล้ไปจริงๆ กลิ่นอาหารนี่มันคงกวนใจคนกำลังท่องหนังสือเนอะ...ไอ้ฉันก็ดันซื้อมาซะเยอะเลย ไม่รู้จะกินเข้าไปหมดรึเปล่า...เวลาหิวจัดๆมันก็อย่างนี้หละ เห็นอะไรก็อยากกินไปหมด หน้ามืดตาลาย อ่านหนังสือไม่รู้เรื่อง...หนูเคยเป็นมั้ย"
เธอนิ่ง ไม่ตอบ
"หนูคงไม่เคยเป็น ยิ่งอิ่มน้ำก๊อกมาใหม่ๆ กลิ่นอาหารไม่น่าจะทำให้น้ำลายไหลได้หรอกนะ"
ชาติสยามใช้ตะเกียบคีบผัดไทยใส่ปากเคี้ยวอย่างอร่อย น่ากิน
โขมพัสตร์ค่อยๆกลืนน้ำลายลงคอ โดยไม่ให้เขาเห็น
ชาติสยามชะเง้อมองหนังสือตำราวิชาคณิตศาสตร์ที่อยู่บนตักโขมพัสตร์
"ท่องจำสูตรแบบนั้น ช่วยอะไรไม่ได้หรอก พอเจอโจทย์จริงๆ ก็งง ไปไม่เป็น"
เธอหันไปมองหน้าชาติสยามอย่างสนใจ
"คุณมีวิธีจำแบบอื่นเหรอ"
"คณิตศาสตร์แม้จะเป็นตัวเลข แต่ก็ต้องอาศัยความเข้าใจเป็นเบื้องต้น ก่อนจะไปถึงสูตร"
"เรื่องตัวเลขเนี่ย หนูไม่เคยเข้าใจเลย...หนูยอมแพ้จริงๆ"
"ถ้าเริ่มต้นด้วยการยอมแพ้ ทั้งชีวิตก็จะมีแต่แพ้...มา ฉันสอนให้เอง"
ชาติสยามกระเถิบเข้าไปใกล้หลานสาว
"อันดับแรก ลืมตัวเลขที่ท่องไว้ในหัวออกไปให้หมดก่อน...ให้สมองเคลียร์ๆ แล้วมองตัวเลขพวกนี้เหมือนเป็นตัวการ์ตูน"
โขมพัสตร์ขมวดคิ้ว งุนงง
"เอาการ์ตูนเรื่องที่สนุกๆหน่อยสิ เรื่องเครียดๆไม่เอา"
สยามใช้นิ้วมือคลายหัวคิ้วของเธอที่ขมวดอยู่
"จากนั้นก็ต้องเติมอาหารลงไปในกระเพาะ...เพราะเสียงท้องร้อง เป็นเสียงที่กวนใจนักคณิตศาสตร์ทุกคนบนโลกนี้"
ชาติสยามยื่นกระทงอาหารให้ โขมพัสตร์ตักอาหารใส่ปากแต่โดยดีทั้งสองยิ้มให้กัน

เวลาต่อมา ที่กลางห้องนอนในบังกะโลเปลี่ยวแฟรงกี้นอนเปลือยกายคว่ำหน้าอยู่บนเตียง
บุหงาเดินแต่งตัวออกมาจากห้องน้ำ
บุหงาสะกิดเรียกแฟรงกี้
"ลุกขึ้นได้แล้ว แฟรงกี้ ตื่น เร็ว...ฉันต้องกลับแล้ว"
แฟรงกี้พลิกหน้ามา ส่งเสียงงัวเงีย
"อยู่อีกแป๊ปนึงไม่ได้เหรอ"
"ไม่ได้ ฉันไม่อยากให้คนที่บ้านสงสัย"
"แป๊ปเดียวจริงๆ"
แฟรงกี้ดึงร่างบุหงาลงมาบนเตียง และกอดรัดเธอไว้
บุหงาพยายามขัดขืน
"ฉันแต่งตัวแล้วนะ แฟรงกี้"
"แกะออกใหม่ก็ได้ ไม่ยาก...รู้มั้ย ไม่มีผัวเมียคู่ไหน เข้ากันได้ดีเหมือนยูกับไออีกแล้ว"
"นายกำลังพูดกับผู้หญิงที่แต่งงานมีสามีแล้วนะ"
"แต่สามีแก่ๆของยู มาทีหลังไอ...และถ้าไม่ใช่เพราะความช่วยเหลือของไอ ยูไม่มีทางได้เป็นสะใภ้บ้านนั้นหรอก ลืมแล้วเหรอ"
"นายคิดจะแบล็คเมล์ฉันใช่มั้ย พูดมาตรงๆ"
"เปล่าเลย แค่คิดถึง แค่อยากได้ เท่านั้นจริงๆ"
แฟรงกี้ใช้มือลูบไล้ โลมเลีย ไปตามเรือนร่างของบุหงา
"ไอรู้นะ ว่ายูมีความสุขสุดยอด แบบที่นายรังสรรค์ไม่เคยทำให้ยูได้ หรือจะปฏิเสธ"
บุหงามองหน้าแฟรงกี้นิ่ง ไม่ปฏิเสธ
"งั้นยูกลับจากปีนังคราวหน้า เราค่อยนัดเจอกันใหม่ก็แล้วกัน"
"ไม่ ไอจะไม่กลับไปปีนังแล้ว...ไอจะปักหลักทำธุรกิจที่นี่...เพราะฉะนั้น ระหว่างเราสองคน ก็คงต้องหาวิธีปักหลักซึ่งกันและกันด้วยเช่นกัน"
แฟรงกี้ปลดเสื้อบุหงาจนหมด แล้วก้มลงไปจูบบุหงาอย่างดูดดื่ม

ห่ออาหารที่กินหมดแล้ว ... โขมพัสตร์และชาติสยามดูดน้ำจากถุงจนหมด
"เป็นไง อิ่มมั้ย"
"อิ่มค่ะ"
"รู้สึกว่า สมองโล่งโปร่งขึ้นมั้ย"
"ค่ะ"
"ดี...ทีนี้เมื่อท้องอิ่มแล้ว ผลที่ตามมาคืออะไรรู้มั้ย"
"ง่วง"
"ถูกต้อง...ความง่วงเป็นอุปสรรคสำคัญที่บั่นทอนความสามารถของนักคณิตศาสตร์...เราจึงต้องกำจัดความง่วงออกไปให้หมดด้วยการ"
"นอน"
"ถ้าอยู่ที่บ้านฉันจะแนะนำอย่างนั้น แต่อยู่กลางสวนแบบนี้ เราใช้วิธีเดิน"
ชาติสยามขยับตัวลุกขึ้นยืน เธอลุกขึ้นยืนตาม
"เพื่อให้กระบวนการย่อยสลายของกระเพาะอาหารทำงานง่ายขึ้น จากนั้นสารอาหารก็จะถูกส่งไปเลี้ยงสมอง การคำนวณตัวเลขต่างๆก็จะแม่นยำขึ้น"
ชาติสยามออกเดินนำ โขมพัสตร์เดินตามเขาแต่โดยดี
"หวังว่าพ่อหนูจะไม่ลอบยิงฉันจากระยะไกลนะ เพราะตอนนี้ฉันยังไม่ได้ใส่เสื้อกันกระสุน"
โขมพัสตร์ยิ้มสดใสก่อนเอ่ยปาก
"หนูหลอกคุณค่ะ"
"ว่าแล้ว แถวนี้ไม่มีร้านปืนซักหน่อย"
"หนูไม่มีพ่อค่ะ"
"ห๊ะ ! ไม่มีได้ยังไง"
"มี แต่พ่อไม่ได้อยู่กับหนู...หนูอยู่กับคนอื่น เขาเป็นเพื่อนพ่อ"
"แปลว่า หนูมานั่งเล่นที่สวนนี้คนเดียว ?"
"หนูมากับคุณน้า เมียของเพื่อนพ่อ"
"มาบ่อยมั้ย"
"เพิ่งมาวันนี้ค่ะ แต่ไม่รู้ว่าจะต้องมาอีกรึเปล่า"
"หนูมักจะเล่าเรื่องส่วนตัวให้คนแปลกหน้าฟังอย่างนี้เสมอเหรอ"
"ไม่เคยค่ะ คุณเป็นคนแรก"
"ฉันควรจะภูมิใจ ?"
"ก็คุณอยากเลี้ยงข้าวหนูทำไมล่ะ หนูก็เลยไว้ใจคุณน่ะสิ"
"อย่าเพิ่งรีบไว้ใจใคร หลังจากการเลี้ยงข้าวเพียงมื้อเดียว จำไว้นะ"
"ค่ะ"
"ฉันไปหาซื้อผลไม้มาให้หนูกินดีกว่า จะได้ถือเป็นมื้อที่สองของคนแปลกหน้าอย่างฉัน"
ชาติสยามเดินออกไป โขมพัสตร์มองตามด้วยความสดชื่น
เสียงบุหงาดังเข้ามา
"ขม !"
โขมพัสตร์หันไปมองตามทิศทางของเสียงเรียก
ด้านชาติสยามที่ก้าวเดินไปหันไปมองที่โขมพัสตร์
บุหงาเดินเข้าไปหาโขมพัสตร์
"กลับบ้านกันได้แล้ว ไป"
โขมพัสตร์เดินตามบุหงาออกไปแต่โดยดี
เธอเหลียวมองหาชาติสยามนิดๆ

ชาติสยามมองอาการของคนทั้งสองด้วยความสนใจ

ในรถแท๊กซี่บุหงาและโขมพัสตร์ นั่งนิ่งอยู่ในรถคันนี้สักพักบุหงาก็เอ่ยปากขึ้น
"อย่าลืมที่ฉันบอกนะ...ถ้ามีใครถาม ให้พูดว่าไปรอฉันเรียนทำขนม รู้แค่นี้อย่างอื่นไม่ต้องพูด ไม่รู้ไม่เห็นอะไรทั้งนั้น เข้าใจนะ"
"ค่ะ เข้าใจค่ะ"
"ดี...ต่อไป แกอาจจะต้องไปไหนมาไหนกับฉันบ่อยขึ้นก็ได้"

เย็นวันเดิมพจนีย์เดินหอบหนังสือเข้ามากลางเรือนนมผ่อนกวาดตามองหา พร้อมกับตะโกนเสียงดัง
"ขม...ขม...นังขม อยู่ไหนเนี่ย"
โขมพัสตร์เดินเข้ามา
"อยู่นี่ค่ะ"
"แกไปไหนมา ฉันตามหาแกทั้งวัน"
"ออกไปข้างนอกค่ะ"
"นอกบ้าน ? เดี๋ยวนี้หนีเที่ยวเหรอ"
"เปล่าค่ะ"
"ฉันจะฟ้องน้าบุหงา"
"ฉันออกไปกับน้าบุหงาของคุณนั่นแหละ"
"ไม่เชื่อ"
"ก็ลองไปฟ้องดูสิคะ"
"ไม่ละ เสียเวลา...เอ้านี่ หนังสือภูมิศาสตร์กับกระดาษรายงาน"
พจนีย์ส่งกองหนังสือกับกระดาษให้เธอ
"ให้ฉันทำไม"
"ให้แกทำรายงานน่ะสิ"
"รายงานของใคร"
"ของฉัน"
"รายงานของคุณ คุณก็ทำเองสิคะ"
"ไม่ แกนั่นหละต้องทำ เพราะนี่เป็นคำสั่ง...หัวข้อรายงานอยู่ในนั้นแล้ว ทำให้เสร็จภายในอาทิตย์นี้นะ"
"ไม่ได้ค่ะ ฉันต้องท่องหนังสือสอบ"
"ก็ท่องไปสิ ใครห้าม? ท่องเสร็จก็ทำรายงานของฉันต่อ"
พจนีย์กระเถิบตัวเข้าไปพูดใส่หน้าโขมพัสตร์
"มาขออยู่บ้านเขา มาขอข้าวเขากิน เขาให้ทำอะไรก็ต้องทำ ห้ามขัดคำสั่ง"
"ฉันไม่ได้มาขออยู่ ไม่ได้มาขอข้าวใครกิน พ่อพิทย์ให้เงินค่าเลี้ยงดูฉันไว้กับพ่อคุณ และพ่อคุณก็รับฝากฉันด้วยความเต็มใจ"
"ไปถามพ่อฉันดูมั้ย ว่าเต็มใจรึเปล่า"
โขมพัสตร์นิ่งอึ้ง
"เอาหนังสือของฉันไปเก็บ แล้วตามฉันไปที่โต๊ะปิงปอง...จะเอาหนังสือของแกไปนั่งท่องที่โต๊ะปิงปองด้วยก็ได้"

โขมพัสตร์ได้แต่ยืนนิ่งด้วยความอึดอัดขัดใจ

เย็นต่อเนื่องมา ... บริเวณโต๊ะปิงปอง ใต้ถุนระเบียงเรือนเล็ก บ้านพุทธชาด

รติรสและพจนีย์ ตีปิงปองกันอย่างสนุกสนาน
พจนีย์ตบลูกปิงปองแรง จนกระเด็นไกลห่างไปจากโต๊ะ
โขมพัสตร์เดินถือหนังสือเข้ามาทางนั้นพอดีพจนีย์ตะโกนลั่น
"นังขม เก็บลูกปิงปองมาให้ฉันด้วย"
โขมพัสตร์เก็บลูกปิงปองมาส่งให้พจนีย์
"แล้วแกก็นั่งอ่านหนังสือตรงนี้แหละ...พอลูกปิงปองกระเด็นไป แกก็คอยวิ่งไปเก็บมาให้ฉัน"
"นี่คือเหตุผลที่คุณเรียกให้ฉันมาที่นี่ ?"
"ถูกต้อง"
พจนีย์เริ่มเสิร์ฟลูกปิงปองใหม่รติรสตีปิงปองพร้อมกับเอ่ยปากพูด
"พี่ว่ามันมากเกินไปนะพจน์ ขมเขาไม่ได้เป็นคนรับใช้ของเรานะ"
"น้อยไปสิ มันน่ะยิ่งกว่าคนรับใช้อีก มันเป็นกาฝาก มาเกาะบ้านเรา เรียกว่าขี้ข้ายังน้อยไปเลย"
โขมพัสตร์ลุกขึ้นอย่างเหลืออด
"ถอนคำพูดเดี๋ยวนี้นะ"
พจนีย์หยุดการตีลูกปิงปอง แล้วหันมาตอบโต้โขมพัสตร์ทันที
"ไม่ถอน"
รติรสปราม"พจน์"
"แกไม่มีสิทธิ์มาสั่งฉันในบ้านของฉัน"
"คุณก็ไม่มีสิทธิ์มากล่าวหาฉันอย่างไม่มีเหตุผล"
"ฉันถอนแทนยายพจน์ให้ก็ได้" รติรสว่า
"คุณไม่ได้เป็นคนพูด คุณไม่ต้องถอน คุณไม่เกี่ยว"
"ขม"
"ฉันทนให้คุณพูดจาไม่ดีกับฉัน ใส่ร้ายฉันมานานแล้วนะคุณพจนีย์"
"แล้วยังไม่ชินอีกเหรอ"
"ฉันไม่เหมือนคุณนี่ ที่แสดงท่าทีต่ำทรามจนเคยชิน จนติดเป็นนิสัย"
"แก"
"โถ หลงคิดว่าเป็นผู้ดี...ที่แท้ก็ดีแต่เปลือก ไส้ในนั้นเละสิ้นดี"
"อีขม"
พจนีย์ปาไม้ปิงปองใส่หน้าขม
โขมพัสตร์ปัดป้องพจนีย์พุ่งเข้าไปจิกหัว ทุบตีขม
รติรสพยายามแยกทั้งสองออกจากกัน

รังสรรค์ก้าวเข้ามา ตะโกนลั่น
"หยุดเดี๋ยวนี้นะ"
พจนีย์เหวี่ยงร่างของโขมพัสตร์ จนเซไปกระแทกร่างของรังสรรค์
โขมพัสตร์หันมามองรังสรรค์
รังสรรค์จ้องหน้าโขมพัสตร์ อึ้ง เขาเผลออุทานออกมาเบาๆว่า
"แขนภา !"

เวลา 20ปีก่อนหน้านี้
สาวงามที่ชื่อ แขนภาวิ่งไปปะทะกับอกสามศอกของชายหนุ่มที่ชื่อ รังสรรค์ทั้งสองมองหน้ากัน

รังสรรค์จ้องมองโขมพัสตร์ที่อยู่ในอ้อมแขนของเขา เมื่อรังสรรค์ได้สติจึงผลักร่างของเธอห่างออกไปจากตัว แล้วตวาดเสียงดัง
"แกมาเหยียบที่นี่ทำไม ฉันเคยสั่งห้ามโผล่หน้ามาที่นี่ แกลืมไปแล้วเหรอ"
"คุณพจนีย์สั่งให้ฉันมาค่ะ"
พจนีย์เอ่ยปากสวนขึ้นมาทันที
"ฉันจะไปสั่งแกอย่างนั้นทำไม แกทะลึ่งมาเองต่างหาก อยากจะมาตีปิงปองก็บอกเถอะ"
โขมพัสตร์และรติรสหันไปจ้องหน้าพจนีย์และเอ่ยปากพร้อมกัน
"พจนีย์ !"
พจนีย์พุ่งเข้าไปเกาะแขนผู้เป็นพ่อ
"พ่อขาอีนังขมมันอิจฉาพจน์ค่ะ มันอยากเป็นอย่างพจน์ พจน์ทำอะไร มันก็จะทำตาม พจน์มีอะไรมันก็อยากจะมีอย่างนั้นบ้าง แม้กระทั่งเรื่องปิงปองมันก็จะมาแย่งพจน์ตี ถึงขนาดฉุดกระชากพจน์อย่างที่พ่อเห็น"
โขมพัสตร์เดินตรงเข้าไปหาพจนีย์
"ฉันไม่คิดว่าคุณจะเลวได้ขนาดนี้"
"ดูมันพูดสิคะคุณพ่อ ดูมันว่าพจน์สิคะ"
"คุณน่ะหละเคยดูตัวเองบ้างมั้ย ว่าพูดจากลับกลอกยังไง"
รติรสปราม"ขม"
พจนีย์เงื้อมือตบ โขมพัสตร์จับมือนั้นไว้
"หยุดเดี๋ยวนี้นะ"
รังสรรค์กระชากแขนโขมพัสตร์ แล้วเหวี่ยงลงไปกองที่พื้น
รติรสพุ่งเข้าไปประคองโขมพัสตร์
"อย่าไปแตะต้องมันรส...ให้มันกลับไปอยู่เรือนนมผ่อน แล้วอย่าสะเออะหน้ามาที่นี่อีก ไป"
โขมพัสตร์กัดริมฝีปากนิ่ง แล้วเดินก้มหน้าออกไป
"พ่อน่าจะเฉดหัวมันออกไปเลย เลี้ยงมันไว้ทำไมก็ไม่รู้"
"พ่อมีเหตุผลของพ่อ และเราสองคนก็เลิกยุ่งเรื่องของเด็กคนนี้ได้แล้ว"
รังสรรค์เดินขึ้นเรือนไป
"พจนีย์ เธอต้องรู้นะว่าเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้เธอเป็นคนผิด ไม่ใช่ขม"
"คนเป็นนายทำอะไรก็ไม่มีวันผิด ผู้อาศัยอย่างมันต้องหัดเรียนรู้เอาเอง"

ค่ำวันเดียวกัน นมผ่อน ทายาหม่องที่บริเวณต้นแขนและเอวให้โขมพัสตร์มันเป็นรอยช้ำที่เกิดจากการกระชาก และกระแทกพื้น
นมผ่อนเอ่ยปากปลอบโยนไปด้วย ส่วนโขมพัสตร์นั้นสะอึกสะอื้นด้วยความช้ำใจ
"ขมเอ๊ย...หาเรื่องเจ็บเนื้อเจ็บตัวแท้ๆ...คราวหน้าคราวหลังก็พยายามเลี่ยงพยายามห่างคุณพจนีย์เข้าไว้ อย่าไปปะทะเขา อะไรอดได้ก็ต้องอด อะไรทนได้ก็ต้องทนนะลูก"
"ขมทนได้ทุกอย่าง เขาจะจิกหัวใช้ขมยังไงขมก็ทน เพราะขมรู้ว่าขมเป็นแค่ผู้อาศัย แต่อย่ามาใส่ความในเรื่องที่ไม่เป็นความจริงกับขมสิ อย่างนี้ไม่ถูกนี่ป้านมผ่อน"
"เรื่องถูกผิด มันอยู่ที่จิตสำนึก ซึ่งคนบางคนไม่มีวันเข้าใจ"
"ขมไม่อยากอยู่ที่นี่แล้ว ป้านมผ่อน...ขมคิดถึงแม่แข คิดถึงพ่อพิทย์...เมื่อไหร่พ่อพิทย์จะมารับขมไปจากที่นี่ซะที"

ห้องโถงบ้านชาติสยามยามค่ำคืน
รูปถ่ายโขมพัสตร์ ที่วางอยู่บนโต๊ะหนังสือมันคือรูปที่ชวาลเคยให้ชาติสยามไว้
ชาติสยามกำลังเขียนจดหมายอยู่บนโต๊ะตัวนั้นเสียงจากตัวหนังสือ ดังเป็นเสียงชาติสยามออกมา"เรียนพี่ชวาลที่เคารพรัก วันนี้ผมได้พบกับ ขม รุ้งพราย ลูกสาวของพี่โดยบังเอิญ ผมไม่ได้บอกเธอว่าผมเป็นใครเกี่ยวข้องกับเธออย่างไร เพื่อจะได้สังเกตนิสัยใจคอที่แท้จริงของเธอได้อย่างเต็มที่"

โขมพัสตร์นอนอยู่บนเตียงนอนของเธอเห็นร่องรอยของน้ำตาที่ไหลอาบแก้มทั้งสองข้าง
"ผมต้องบอกพี่ชวาลตรงๆว่า เท่าที่เห็นในช่วงเวลาสั้นๆนั้น ขมเป็นเด็กน่ารักฉลาด ไหวพริบปฏิภาณดี ผมเชื่อว่าเธอจะเอาตัวรอดในบ้านพุทธชาดได้แน่ๆ"

ชาติสยาม ยืนดื่มกาแฟบนระเบียงสายตาทอดไปไกล และครุ่นคิดถึงผู้เป็นหลาน
"ส่วนจิตใจเธอจะดีเลวยังไง คงต้องค่อยๆดูอีกพักใหญ่ๆ แต่ผมมั่นใจว่าเมื่อเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของพี่ เธอย่อมได้ส่วนดีของพี่ติดตัวไป คนในตระกูลสุรบดินทร์จะต้องภาคภูมิใจในตัวเธอครับพี่"

อพาร์ทเม้นท์แห่งหนึ่งในมหานครลอนดอน
ชวาล นั่งอ่านจดหมายฉบับนี้ ที่หน้าเตาผิงซึ่งไฟกำลังลุกโชน
"มีอีกเรื่องหนึ่งที่พี่ควรจะรู้ครับ ผมเห็นความเศร้าในแววตาของเธอ เวลาที่เธอพูดถึงพ่อ...เธอคิดถึงพี่ครับ ผมรู้...แล้วพบกันเร็วๆนี้นะครับ พี่ชวาล"
ชวาลวางจดหมายฉบับนี้ลง
สายตาของเขา ดูเศร้าสร้อยด้วยเช่นกัน

ห้องนอนในโรงแรมแห่งหนึ่ง แฟรงกี้ยืนชงเหล้า โดยมีโทรศัพท์แนบหูอยู่สักพัก เสียงบุหงาดังออกมาจากโทรศัพท์เครื่องนี้
"ฮัลโหล"

"ปล่อยให้ไอรอสายอยู่ตั้งนาน ใจดำจริงๆนะ ดาร์ลิ้ง"

บุหงายืนหลบมุมพูดโทรศัพท์ด้วยเสียงแผ่วเบา

"นายโทรมาทำไมดึกดื่นขนาดนี้...คิดว่าฉันจะสะดวกคุยกับนายได้ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงงั้นเหรอ"
แฟรงกี้เอนตัวลงนอนบนเตียงพร้อมกับพูดโทรศัพท์
"รู้ว่ายูมีผัวเป็นตัวเป็นตน ไอก็เลยเลือกโทรมาตอนดึก เพราะเดาว่าผัวแก่ของยูน่าจะหมดเรี่ยวหมดแรง หลับปุ๋ยไปแล้ว"
"ฉันก็หลับแล้วเหมือนกัน"
"ไม่จริงหรอก นายรังสรรค์ไม่น่าทำให้ยูหมดเรี่ยวแรงได้ขนาดนั้น แต่ถ้าเป็นไอละก้อรับรอง ยูหลับสบายคาอกไอแน่ๆ คุณนายบุหงา"
"ฉันไม่มีเวลามาพูดเล่นเหลวไหลอย่างนี้นะแฟรงกี้ ฉันจะวางหูละ"
"งั้นพูดตรงๆสั้นๆเลยก็ได้...พรุ่งนี้เราเจอกัน ที่เดิม"
"ไม่"
"ยูก็รู้นี่นา ว่าถ้าปฏิเสธไอ อะไรจะเกิดขึ้น...น่านะ เราจะได้หารือเรื่องธุรกิจแบบยั่งยืนของเราซะทีไงล่ะ"

ต่อมา บุหงาค่อยเอนตัวลงนอนข้างๆรังสรรค์อย่างแผ่วเบา
จู่ๆรังสรรค์ก็เอ่ยปากขึ้นทั้งที่ยังหลับตา
"ไปไหนมาบุหงา"
"น้องนึกว่าคุณพี่หลับอยู่ซะอีก"
"ฉันตื่นตอนเธอลุกออกไปนั่นแหละ"
บุหงาเอื้อมมือไปโอบรอบตัวรังสรรค์
"น้องออกไปรับโทรศัพท์ค่ะ"
"ใครโทร.มาดึกป่านนี้"
"เพื่อนที่เรียนทำขนมด้วยกัน เขาบอกว่า พรุ่งนี้มีชั่วโมงพิเศษ ครูจะสอนทำฟรุ๊ตเค้กสูตรใหม่ เขาชวนให้น้องไปเรียนด้วย"
"ทำมาให้ฉันชิมด้วยสิ"
"แปลว่าคุณพี่อนุญาตใช่มั้ยคะ"
"ถ้ามันเป็นความสุขของบุหงา ฉันจะขัดได้ยังไง"
"คุณพี่น่ารักจัง"
"งั้นเธอก็ต้องรักฉันมากๆนะ"
บุหงาบรรจงจูบแก้มรังสรรค์แนบแน่น
"มากที่สุดในโลกเลยค่ะคุณพี่"
รังสรรค์ยิ้มพอใจ
"ฉันตื่นแล้วหละ ดูเหมือนจะมีแรงขึ้นมาซะด้วยสิ...งั้นเรามาออกแรงกันหน่อยดี
กว่านะ"
รังสรรค์โน้มตัวลงไปทับบนร่างของบุหงาเริ่มต้นกิจกรรมเข้าจังหวะทันที

วันรุ่งขึ้น บุหงาเดินนำหน้าโขมพัสตร์ตรงไปยังใต้ต้นไม้เดิม วันนี้ถือถุงผ้าใส่สัมภาระของเธอมาด้วย
"รอฉันอยู่ที่นี่เหมือนเดิมนะ อย่าไปไหน จนกว่าฉันจะกลับมารับ เข้าใจมั้ย"
"ค่ะ"
"อย่าพูดกับคนแปลกหน้า ถ้าไม่จำเป็น"
"ค่ะ"
บุหงารีบเดินออกไป
โขมพัสตร์หยิบเสื่อที่อยู่ในถุงออกมาปูหยิบเอาหนังสือและกระดาษทำรายงานออกมาวางแผ่
พร้อมด้วยกล่องข้าวและกระติกน้ำ
โขมพัสตร์หย่อนตัวลงนั่ง แล้วจึงเริ่มต้นอ่านหนังสือ พร้อมกับตักข้าวใส่ปาก
ชาติสยามในชุดจ๊อกกิ้งเดินเข้ามาด้านหลังโขมพัสตร์
"โฮ้โฮ...วันนี้ห่อข้าวมาเองเลยแฮะ...สงสัยกับข้าวที่เราเลี้ยงคราวก่อนคงไม่อร่อย"
เธอเหลือบไปมองชาติสยาม แล้วยิ้ม
"อร่อยค่ะ แต่หนูไม่ชอบเบียดเบียนใคร"
"แต่ดูเหมือนหนูจะยังไม่มีผลไม้นะ"
ชาติสยามหย่อนตัวลงนั่งข้างๆเธอและยื่นถุงผลไม้ให้
"ซื้อไว้ให้ตั้งแต่วันนั้น แต่หนูหนีกลับไปก่อน"
"จริงเหรอ ?"
"ไม่จริง เพิ่งซื้อใหม่เมื่อกี้"
"คุณมาวิ่งทุกวันเหรอคะ"
"ก็...จนกว่าหนูจะสอบเสร็จมั้ง"
"ไม่เกี่ยวกันนี่คะ"
"มันก็เกี่ยวอยู่นิดๆนะ เพราะฉันรับปากจะสอนวิธีจำสูตรคณิตศาสตร์ให้หนู ฉันยังไม่ได้ทำตามสัญญาเลยนี่นา"
"ไม่เป็นไรค่ะ เพราะวันนี้หนูต้องทำรายงาน ภูมิศาสตร์ก่อน"
ชาติสยามชะเง้อดูกระดาษปกรายงานที่วางอยู่ข้างๆโขมพัสตร์
เขาอ่านชื่อที่ปรากฏอยู่ที่ปก
"พจนีย์ รัตนเดชากร...ชื่อหนูเหรอ"
โขมพัสตร์ส่ายหน้า
"ชื่อเจ้าของรายงาน...เขาขอให้หนูทำให้เขา"
"หนูเป็นคนมีน้ำใจจังเนอะ"
"พ่อบอกให้หนูเป็นเด็กดี คนอื่นจะได้รัก จะได้ไม่รังเกียจหนู"
อยู่ๆเสียงของโขมพัสตร์ก็สั่นเครือน้ำตาก็เอ่อล้นขึ้นมาโดยไม่ได้ตั้งใจ
"หนูทำตามที่พ่อบอกทุกอย่าง...แต่พวกเขาก็ยังรังเกียจหนูอยู่ดี"
ชาติสยามจ้องมองท่าทีของขมเมื่อนำไปผสมเข้ากับเรื่องราวที่พี่ชวาลเล่าให้เขาฟังทำให้เขารู้สึกสงสารและเห็นใจเธอไม่น้อย
"น้ำตาทำให้ความสามารถในการมองเห็นต่ำลง ถือเป็นอุปสรรคสำคัญของนักวิชาการ และนักคณิตศาสตร์ด้วย"
ชาติสยามยื่นผ้าขนหนูของเขาให้โขมพัสตร์
"ฉันยังไม่ได้ใช้"
"ไม่เป็นไรค่ะ"
"ฉันไม่ถือเป็นการเบียดเบียนหรอกน่า"
เธอยังคงนิ่ง
ชาติสยามจึงยกผ้าผืนนั้นขึ้นมาเช็ดน้ำตาให้โขมพัสตร์ซะเองความรู้สึกดีต่อกันระหว่างคนทั้งสองจึงค่อยๆก่อตัวขึ้น
"เรามาใช้เวลาวันนี้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดดีกว่า...เริ่มจากการตีโจทย์ให้แตก...โจทย์คือ หนูกำลังจะสอบ เพราะฉะนั้นการท่องหนังสือถือเป็นเรื่องสำคัญ...แต่เมื่อหนูรับปากว่าจะทำรายงานให้พจนีย์ หนูก็ควรทำให้ได้ตามที่รับปาก ดังนั้นการแก้ปัญหาก็คือ หนูท่องหนังสือไป ส่วนรายงานชิ้นนี้ ฉันจะ
เป็นคนทำให้เอง ก็จะได้ประโยชน์ครบทั้งสองทาง"
"แต่คุณก็จะไม่ได้วิ่ง"
"อือม...ฉันอาจจะลองวิ่งไป ทำรายงานไป ก็ได้ สนุกดีออก"
"คนที่เสียประโยชน์คือคุณนะคะ"
"อย่าปฏิเสธ Guardian Angel ของหนูเลย"
"คืออะไรคะ ?"
"เทวดาผู้พิทักษ์ไง"
"คุณเป็น เทวดาผู้พิทักษ์ของหนู ?"
"ฟังดูดีออก ลองเป็นซักวันสองวันก็ไม่เลวนะ"

วันเดียวกัน นมผ่อน นั่งดูรูปภาพใบเก่าที่ถืออยู่ในมือ มันเป็นภาพของ แขนภา ในเวลาที่สวยงามยิ่งนัก
นมผ่อน ครุ่นคิดถึงตอนทายาหม่องให้โขมพัสตร์
โขมพัสตร์พลิกหน้ามาหานมผ่อน น้ำตายังนองหน้าเธออยู่
"ตอนที่ขมวิ่งไปชนกับคุณรังสรรค์ คุณรังสรรค์มองหน้าขมแล้วเรียกขมว่า“แขนภา" ทำไมคุณรังสรรค์ถึงเรียกขมอย่างนั้น ป้ารู้มั้ยคะ"
นมผ่อนถึงกับอึ้งไปนิดนึง ก่อนเอ่ยปาก
"แกอาจจะกำลังนึกถึงใครอยู่มั้ง...ป้าก็ไม่รู้เหมือนกันจ้ะ"

นมผ่อน ครุ่นคิดมากยิ่งขึ้นเสียงไพลิน ดังเข้ามา
"นมผ่อน...นมผ่อนอยู่มั้ย"
"อยู่ค่ะ"

นมผ่อนเก็บรูปใบนั้นลงในลิ้นชักแล้วจึงเดินออกไป

ไพลินยืนอยู่หน้าเรือนนมผ่อนนมผ่อนเดินก้าวยาวๆตรงไปหาคุณไพลิน

“โถ คุณไพลิน อุตส่าห์เดินมาถึงนี่...จะใช้อะไรอิฉัน แค่ให้เด็กมาเรียกก็ได้ค่ะอิฉันเดินไปหาคุณไพลินที่เรือนจะเหมาะกว่านะคะ”
“ไม่หรอก ฉันอยากมาเอง เพราะฉันอยากเห็นกับตา”
“คุณไพลินอยากเห็นอะไรเหรอคะ”
“ขม...ฉันอยากเห็นเด็กที่ชื่อขม...เขาอยู่มั้ย”
“ไม่อยู่ค่ะ...คุณบุหงาเอาตัวขมไปข้างนอก เห็นว่าให้ไปคอยช่วยถือของ”
“น่าเสียดาย...งั้นนมผ่อนเล่าให้ฉันฟังก็แล้วกัน ว่า เด็กที่ชื่อ ”ขม” คือใคร”
นมผ่อนมีท่าทีลำบากใจเล็กน้อย ก่อนตัดสินใจเอ่ยปากพูด
“เอ้อ...พ่อของขม เป็นเพื่อนกับคุณรังสรรค์ แกมีธุระสำคัญต้องเดินทางไกล ก็เลยเอาลูกสาวมาฝากไว้กับคุณรังสรรค์”
“มาฝากไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่”
“กว่าสี่ปีแล้วค่ะ”
“อะไรกัน อยู่มาตั้งสี่ปี ทำไมฉันไม่รู้เรื่องเลย”
“เอ้อ...คุณรังสรรค์แกสั่งห้าม ไม่ให้บอกเรื่องนี้กับคุณไพลินค่ะ กับคุณหญิงแกก็ห้ามบอก...แล้วก็ห้ามขมไปเดินแถวเรือนใหญ่ด้วย”
“พิลึกจัง นี่มันลูกเพื่อนหรือนักโทษกันแน่...แล้วพ่อของขมชื่ออะไร”
“ชื่อ พิทย์ รุ้งพราย”
ไพลินมีสีหน้าประหลาดใจ
“ไม่เห็นเคยได้ยิน ตารังสรรค์มีเพื่อนชื่อนี้ด้วยเหรอ ? แล้วแม่ของขมล่ะ”
“แม่ชื่อ แข ค่ะ...ตายไปแล้ว”
ไพลินสะกิดใจบางอย่างกับคำว่า แข
“แข ?...แขเฉยๆหรือแขอะไร”
“อิฉันก็ถามขมอย่างนี้เหมือนกัน แกบอกอิฉันว่า ชื่อ แข เฉยๆค่ะ”
ไพลินพยักหน้านิดๆแสดงการรับรู้
“ถ้าขมกลับมาเมื่อไหร่ นมผ่อนช่วยพาไปให้ฉันดูตัวหน่อยนะ”
“เจ้าค่ะ”
ไพลินเดินออกจากฉากไป ทิ้งให้นมผ่อนยืนครุ่นคิดอยู่

ผ่านเวลาต่อมา บุหงานั่งใส่เสื้อหน้ากระจกร่องรอยบางอย่างบอกให้รู้ว่าเธอพึ่งผ่านสมรภูมิรักมาอย่างถึงพริกถึงขิง
แฟรงกี้หย่อนร่างที่เปลือยกาย เข้ามาด้านหลังบุหงา
“ยิ่งดูยิ่งสวยนะ คุณนายบุหงาคนนี้...กระดังงาลนไฟจริงๆ”
“ฉันว่า เซ็กส์จัดอย่างนายเนี่ยะ ไปหาซื้อโสเภณีมาบริการดีกว่า ไม่ใช่โทร.เรียกฉันทุกวันอย่างนี้”
แฟรงกี้โอบกอดบุหงาจากด้านหลัง
“มันก็จัดด้วยกันทั้งคู่หละน่า ไม่งั้นยูจะถ่อมาหาไอง่ายๆเหรอ ถ้าใจไม่อยาก”
“เพราะนายขู่ฉัน แฟรงกี้...นายเอาข้อตกลงในอดีตของเรามาบีบบังคับฉันต่างหาก”
“แต่สุดท้ายก็วินวินด้วยกันทั้งสองฝ่ายไม่ใช่เหรอ”
“แล้วเรื่องธุรกิจที่บอกว่าจะคุยกับฉันล่ะ ว่าไง...ตกลงทำจริงหรือมั่ว”
“ทำจริงสิ”
“ธุรกิจอะไร ?”
“ขนของเถื่อน”
“ยังไง ?”
“ไอจะลักลอบขนสินค้าแบรนด์เนมชั้นดี มาจากปีนัง แล้วเอามาปล่อยขายในราคาที่ต่ำกว่าสินค้าทั่วไป ไออยากได้ยูมาเป็นหุ้นส่วน สนใจมั้ย”
บุหงามีสีหน้าครุ่นคิด

ที่สวนสาธารณะเดิม บ่ายคล้อยเย็น โขมพัสตร์นั่งท่องหนังสืออยู่โคนต้นไม้ใหญ่ต้นเดิมชาติสยาม กำลังกระโดดเชือกออกกำลังกายอยู่ข้างๆโขมพัสตร์สักพัก ชาติสยามจึงนั่งลงเขียนรายงานลงกระดาษ
“หนูว่า ถ้าคุณทำรายงานอย่างเดียว โดยไม่ต้องกระโดดเชือก ป่านนี้คงเสร็จไปแล้วหละ”
“เสร็จเร็วก็ไม่ดีน่ะสิ”
“หึ๊? ไม่ดียังไง”
“ฉันก็ไม่มีข้ออ้างที่จะนั่งเป็นเพื่อนหนูน่ะสิ”
“ไม่ต้องมีเพื่อน หนูก็อยู่ได้ หนูอยู่คนเดียวมาตั้งแต่เกิด”
“นั่นคือเหตุผลที่เธอต้องมี Guardian Angel...โดยเฉพาะเวลาค่ำๆอย่างนี้”
เธอยิ้มสดใสขึ้นมาได้
“หนูชอบภาษาไทยมากกว่า...เทวดาผู้พิทักษ์”
“ฉันกลัวพูดเร็วๆ แล้วกลายเป็น เทพารักษ์...เดี๋ยวต้องลงไปอยู่ในน้ำ”
“ทำไม”
“ไม่เคยฟังนิทานอีสปเรื่อง เทพารักษ์กับคนตัดไม้เหรอ ที่ต้องลงไปงมขวานใต้น้ำน่ะ”
โขมพัสตร์หัวเราะออกมาเบาๆ
ชาติสยามลุกขึ้นกระโดดเชือกอีกครั้ง เขาเพ่งสายตามองไกลออกไปเบื้องหน้า
เห็นบุหงาในระยะไกล เธอกำลังเดินเข้ามาในสวนสาธารณะนี้
“ฉันจะไปวิ่งซักรอบนึงนะ ถ้ากลับมาแล้วหนูยังนั่งอยู่ ฉันจะช่วยเขียนรายงาน
ต่อ”
ชาติสยามขยับตัววิ่งออกไป
บุหงาเดินเข้ามาใกล้โขมพัสตร์
“ไป กลับบ้านกันได้แล้ว”
“วันนี้เรียนทำขนมถึงค่ำเลยเหรอคะ”
“อย่ายุ่งเรื่องของฉัน”
บุหงาเดินนำหน้าโขมพัสตร์ออกไป

ฟ้ามืดแล้ว รถแท็กซี่แล่นเข้ามาจอดหน้าบ้านพุทธชาด
บุหงาก้าวลงจากรถ โขมพัสตร์ก้าวตามมาทีหลัง
บุหงาหันไปส่งถุงขนมเค้กให้โขมพัสตร์
“แกเอาเค้กนี่ไปใส่จาน แล้วให้นมผ่อนยกไปที่ห้องอาหาร ฉันจะบอกทุกคนว่าฉันทำเค้กก้อนนี้เอง”
“แต่ที่กล่องยังมีชื่อร้านที่คุณบุหงาแวะซื้ออยู่เลยนะคะ”
“ฉันถึงให้แกเอาไปใส่จานไง นังขม อย่าโง่ใส่มาทั้งกล่องล่ะ”
โขมพัสตร์ยิ้มพอใจที่ได้แหย่บุหงา

กลางห้องอาหารเรือนเล็ก บ้านพุทธชาด
สาวใช้กำลังตั้งอาหารลงบนโต๊ะ
กล่องของขวัญกล่องหนึ่งวางเด่นอยู่กลางโต๊ะนั้น
รติรสและพจนีย์เดินเข้ามา
“ของขวัญใคร อยู่บนโต๊ะน่ะ” รติรสถาม
สาวใช้บอก“คุณรังสรรค์บอกว่าเพื่อนที่ทำงานให้ ท่านเลยให้เอามาวางกลางโต๊ะ”
“วางทำไม” พจนีย์ถาม
“ท่านบอกว่าเดี๋ยวจะเลือกอีกทีว่าจะให้คุณรติรส หรือ คุณพจนีย์”
สาวใช้เดินออกไปเมื่อพูดจบ
พจนีย์หันไปยิ้มใส่พี่สาว
“เสียใจนะพี่รส เพราะของชิ้นนี้ต้องเป็นของพจน์แน่ๆ”
“รู้ได้ไง รอพ่อตัดสินใจก่อนดีกว่า”
รังสรรค์เดินตรงมาที่โต๊ะอาหาร
พจนีย์รีบพุ่งเข้าไปเกาะแขน ประจบผู้เป็นพ่อ
“พ่อขา พจน์รินน้ำให้พ่อนะคะ”
“ขอบใจจ้ะลูก...เอ้อ พ่อได้ของฝากจากเพื่อนที่ทำงาน เป็นน้ำหอม มันมีอยู่ขวดเดียว หนูต้องตกลงกันแล้วหละว่า น้ำหอมขวดนี้ควรจะเป็นของใคร”
รติรสกับพจนีย์มองหน้ากันนิ่ง
“ให้พ่อตัดสินใจดีกว่าค่ะ” รติรสบอก
“งั้นพ่อจะให้...”
“ให้พจน์”
รังสรรค์ยิ้มกว้าง
“พ่อกำลังจะให้จับไม้สั้นไม้ยาวกันจ้ะ...แต่เมื่อพจน์พูดอย่างนี้ พ่อก็อยากจะฟังเหตุผลของพจน์ว่า ทำไมของชิ้นนี้จึงควรจะเป็นของพจน์”
“เพราะพ่อรักพจน์มากกว่าพี่รส”
รังสรรค์ถึงกับอึ้งไป เขาหุบยิ้มทันที
“ทำไมคิดอย่างนั้น”
“เพราะพี่รสหน้าเหมือนผู้หญิงที่พ่อเกลียด”
ความโกรธปรากฏขึ้นบนหน้ารังสรรค์อย่างชัดเจนเขาเอ่ยปากด้วยเสียงที่เข้มมากขึ้น
“พจน์ ไปเอาความคิดนี้มาจากไหน”
“น้าบุหงาเคยพูดให้ฟัง นานแล้วค่ะ”
จังหวะนั้น บุหงาเดินยิ้มแย้มเข้ามาในห้องนี้ พร้อมส่งเสียงสดใสตรงเข้าไปกอดผู้เป็นสามี
“น้องกลับมาแล้วค่ะคุณพี่ วันนี้เรียนทำขนมหลายอย่าง ก็เลยกลับค่ำหน่อยน้องเอาเค้กที่ทำที่โรงเรียนกลับมาฝากคุณพี่ด้วยนะคะ เดี๋ยวนมผ่อนจะยกเข้ามาให้”
รังสรรค์ไม่ได้สนใจเรื่องราวที่ออกจากปากบุหงาเขาหันไปพูดเสียงดังใส่ผู้เป็นภรรยา ราวกับตะคอก
“บุหงา ทีหลังอย่าเอาความคิดผิดๆของเธอไปพูดให้ลูกฉันฟัง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม เข้าใจมั้ย”
รังสรรค์เดินออกไปจากห้องทันทีที่พูดจบทุกคนในห้องนิ่งเงียบไปชั่วครู่
“น้าพูดอะไรผิดเหรอ”
“พ่อโกรธ ที่น้าบุหงาบอกยายพจน์ว่า รสหน้าเหมือนผู้หญิงที่พ่อเกลียด”
บุหงาปั้นหน้า งง ไม่รู้ไม่ชี้
“น้าเคยพูดอย่างนั้นเหรอ”
โขมพัสตร์เดินถือขนมเค้กเข้ามายืนตรงมุมห้อง
บุหงาหันไปเห็น จึงชักสีหน้าโกรธทันที
“นังขม ฉันสั่งให้นมผ่อนเป็นคนถือเค้กเข้ามา แกเข้ามาทำไม”
“ป้านมผ่อนไม่อยู่ ขมกลัวว่าคุณบุหงาจะรอนาน ก็เลยถือมาเอง”
“งั้นแกก็รีบเอามาวางแล้วออกไปเร็วๆ คุณรังสรรค์ยังไม่อยู่ตอนนี้”
โขมพัสตร์เดินถือจานขนมเค้กตรงไปที่โต๊ะอาหาร
“เค้กสวยน่าทานจังค่ะ น้าบุหงา” พจนีย์ว่า
“ขอบใจจ้ะ”
“แต่ถ้าพ่อมาเห็นหน้านังขมตอนนี้ละก้อ เค้กก้อนนี้ต้องเละแน่ๆ เผลอๆอาจจะละเลงเละบนหน้าแกนี่หละนังขม”
โขมพัสตร์หยุดยืนนิ่ง กัดริมฝีปากนิดๆ เพื่อข่มอารมณ์
“มายืนชะงักอะไรตรงนี้ วางจานแล้วก็ออกไปซะที”
โขมพัสตร์ขยับตัวจะเดินออก
พจนีย์เอื้อมมือไปจับแขนเธอไว้
“พจน์ว่าให้มันอยู่รออีกนิดก็ดี อยากรู้ว่าพ่อจะลงไม้ลงมือกับมันยังไง...พจน์อยากเห็น”
รติรสพยายามห้ามปรามผู้เป็นน้อง
“พจนีย์ !”
“ปล่อยมือฉันนะคะคุณพจน์”
“ไม่ปล่อย...ฉันจะรอให้พ่อเป็นคนมาแกะมือออกเอง”
แล้วพจนีย์ก็ตะโกนส่งเสียงดังขึ้นมา
“พ่อขามากินข้าวเถอะค่ะพ่อ”
“คุณพจน์”
“ทำไม...” พจนีย์ตะโกนอีก “พ่อขา”
โขมพัสตร์กระชากมือออกจากการจับของพจนีย์ แล้ววิ่งออกไปนอกห้อง
ร่างของเธอชนกับรังสรรค์ที่กำลังเดินเข้ามาการชนครั้งนี้แรงจนถึงกับเซ ชนโต๊ะรังสรรค์โกรธจัด ตวาดเสียงดังสนั่น
“แก...กล้าดียังไงขึ้นมาถึงบนนี้ ห๊า”
โขมพัสตร์รวบรวมสติ ตั้งใจตอบ
“ดิฉันเอาขนมเค้กของคุณบุหงามาให้ค่ะ”
“ใครใช้แก...เสือกไม่เข้าเรื่อง...คนในบ้านนี้มีตั้งเยอะแยะ ทำไมต้องเป็นแกถือมา...แกจงใจขัดคำสั่งฉันใช่มั้ย”
“เปล่าค่ะ”
“อย่าเถียง”
“ต้องเถียงค่ะ เพราะมันไม่เป็นความจริง”
“คนชั่วมันก็ไม่เคยยอมรับความจริงอย่างนี้ทุกคน”
“คุณว่าใครชั่วคะ”
“ก็แกไง ทั้งแก ทั้งพ่อแก ทั้งแม่แก”
โขมพัสตร์โกรธถึงกับเลือดขึ้นหน้าขึ้นมาบ้าง
“ไม่จริงค่ะ”
“ฉันบอกว่าอย่าเถียง ได้ยินมั้ย”
รังสรรค์หยิบจานเค้กปาใส่หน้าเธออย่างแรง
“แค่ให้แกอยู่ในบ้านนี้มันก็ขวางหูขวางตาฉันมากพอแล้ว ยังเสือกเอาหน้าเอาตัวโผล่ขึ้นมาต่อปากต่อคำกับฉันถึงบนนี้อีก...ออกไป ไสหัวแกไปให้พ้นหน้าฉันเดี๋ยวนี้ ไป”
โขมพัสตร์มิอาจทนอยู่ในห้องนี้ได้ต่อไป
เธอวิ่งร้องไห้ออกไป ท่ามกลางความตะลึงของรติรส
พจนีย์แอบยิ้ม อย่างพึงพอใจ

แววตาของรังสรรค์เต็มไปด้วยความจงเกลียดจงชังอย่างที่สุด

อ่านต่อตอนที่ 3


กำลังโหลดความคิดเห็น