ดงผู้ดี ตอนที่ 1 : แม่แขไม่ได้บ้า ! แต่หลังค่อม ความทรงจำหายไป
บทประพันธ์ : บุษยมาส
บทโทรทัศน์ : สามัญ
บ่ายวันหนึ่ง ในปี พ.ศ. 2500 ทางเดินในชุมชนริมคลอง ณ ชนบทแห่งหนึ่ง เสียงขลุ่ยดังกังวาน ปลายขลุ่ยไมเก่าๆ ถูกประคองด้วยอุ้งมือเรียวดำมันคือต้นกำเนิดของเสียงเสนาะหูที่เราได้ยิน
เสียงสดใสของเด็กผู้หญิง ขับขานคำร้องล้อไปกับเสียงขลุ่ยนี้
“เจ้านกขมิ้นเหลืองอ่อนเอย
ค่ำแล้วจะนอนที่ตรงไหน
จะนอนไหน ก็นอนได้
สุมทุมพุ่มไม้ ก็เคยนอน”
ผู้เป่าขลุ่ย เป็นชายสูงวัย ร่างผอมเกร็ง
ร่างของเด็กน้อยวัย 10 ขวบเศษๆ อุ้มตุ๊กตาเก่าบนตักเธอชื่อ “ขม” เป็นผู้ร้องเพลงนี้ ....
กลุ่มคนแต่งตัวดีจากเมืองหลวงเดินเรียงแถวเข้ามา พวกเขาเหล่านั้นมองทัศนียภาพรอบๆ โดยมีคนท้องถิ่นเป็นผู้นำทาง
คุณหญิงที่อยู่หัวแถวมองไปยังเด็กหญิงขม ด้วยสายตาอ่อนโยน
เสียงเพลงของ ขม ยังคงดังต่อเนื่องอยู่
“ลมพระพายชายพัดมาอ่อนๆ
เจ้าเคยจร มานอนรังเอย”
คุณหญิงเอ่ยปากกับชาวบ้านท้องถิ่น
“เด็กคนนี้เสียงดีจัง เอาตังค์นี่ไปให้เขา”
ชาวบ้านท้องถิ่นรับเงินแล้วเดินไปยื่นให้เด็กหญิง
“ขมเอ๊ย คุณท่านให้ตังค์กินหนมแน่ะ”
“ไม่เอา” ขมตอบทันที
“ไม่เอาได้ยังไง ท่านให้ตั้งเยอะ”
“แม่บอกว่าไม่ให้เอาของใคร”
“เอาไปเถอะ ท่านใจดี ท่านมาจากเมืองหลวงเชียวนะ” ชาวบ้านว่า
เด็กหญิงขมส่ายหน้า พูดตอบโต้
“หนูไม่ใช่ขอทานนี่”
คุณหญิงเดินเข้าไปพูดกับเด็กหญิงขม
“แม่หนูอยู่ไหน”
“แม่ไปทำงาน เดี๋ยวมา”
ชาวบ้านท้องถิ่นหันไปอธิบายกับคุณหญิง
“แม่มันพิการ ความจำเสื่อม ทำอะไรไม่ได้มากหรอกค่ะ แค่รับจ้างล้างถ้วยล้างชามแลกข้าวไปวันๆ”
“หนูร้องเพลงอีกได้มั้ย ฉันชอบ” คุณหญิงว่า
“อยากฟังเพราะกว่านี้มั้ยคะ เดี๋ยวหนูไปตามแม่มาร้องให้ฟัง แม่เสียงดีกว่าหนูเยอะเลย”
ขมหันไปพูดกับชายสูงวัยผู้เป่าขลุ่ย
“เดี๋ยวหนูมานะลุง อย่าเพิ่งไปไหนนะ”
เด็กหญิงขมวิ่งร้องเพลงจากไปพร้อมๆกับที่เสียงกังวานใสราวกับนักร้องดังเข้ามา
“เจ้านกขมิ้นเหลืองอ่อนเอย....ค่ำแล้วจะนอนที่ตรงไหน”
มุมหนึ่งในตลาดริมคลอง หญิงร่างสันทัด ผมเผ้ายุ่งเหยิง หลังงองุ้มใครๆเรียกเธอว่า “แม่แข”
เธอนั่งล้างจานชามกองใหญ่ พร้อมกับอ้าปากร้องเพลงๆนี้
“จะนอนไหน ก็นอนได้...สุมทุมพุ่มไม้ ก็เคยนอน...”
เด็กชายคนหนึ่งยืนโปรยข้าวสวยให้อาหารปลาบนสะพานไม้พลันสายตาแม่แขเหลือบไปเห็นเด็กคนนั้น
“ลมพระพายชายพัดมาอ่อนๆ...เจ้าเคยจรมานอนรังเอย”
เด็กชายคนนั้น ค่อยๆก้าวออกไปยังปลายสะพาน
แม่แข ตะโกนเสียงดังลั่น
“หยุดนะ อย่าทำอย่างนั้น”
ทว่าไม่มีผู้ใดสนใจเสียงร้องของแม่แขแต่อย่างใด
เด็กชายคนนั้น กระเถิบไปยืนชิดติดขอบปลายสะพานมากยิ่งขึ้น
แม่แขวิ่งตะโกนไปยังเด็กชายคนนั้น
“ออกมาจากตรงนั้นเดี๋ยวนี้”
เด็กน้อยสนุกกับการให้อาหารปลา หาได้สนใจเสียงเรียกของแม่แขแต่อย่างไร
แม่แขพุ่งเข้าไปกระชากแขนเด็กคนนั้นอย่างแรง
“บอกให้ออกมา ทำไมไม่เชื่อ”
เด็กหันมาเห็นหน้าแม่แขเต็มๆ มันตกใจร้องลั่น
“ช่วยด้วย”
“ออกมานะ...ตกน้ำไปจะว่ายังไง”
“ช่วยด้วย คนบ้ามาจับหนู...ช่วยด้วย”
เด็กคนนั้นสะบัดมือออกจากการเกาะกุม จึงเสียหลักพลัดตกน้ำแม่แขรีบกระโดดตามลงไปในน้ำทันทีผู้คนในตลาดหันมามองด้วยความตกใจ
สาวตัวดำบุคลิกคนรับใช้ ตะโกนลั่น
“ช่วยด้วย ลูกชายคุณหญิงตกน้ำ ช่วยด้วย”
ชาวบ้านในละแวกนั้น กระโดดตามลงไปช่วยอีกสองสามคน
ชาวบ้านช่วยกันอุ้มเด็กขึ้นมาจากน้ำแม่แข ตะกายตัวตามขึ้นมาด้วยเช่นกัน
สาวตัวดำ พุ่งเข้าไปกระชากแขนแม่แขทันที
“แก ผลักคุณหนูตกน้ำทำไม”
“เปล่านะ”
“อย่าเถียง ฉันเห็น”
“เห็นก็ต้องรู้สิว่า ฉันไม่ได้ผลัก เด็กคนนี้ซุ่มซ่ามจนตกลงไปเอง”
“แกยังมีหน้ามาว่าคุณหนูอีกเหรอ”
เด็กหญิงขมวิ่งเข้ามา พบเหตุการณ์นี้เข้าพอดี
ขมตะโกนลั่น
“แม่”
“ขม”
“อย่าว่าแม่หนูนะ แม่หนูใจดี เป็นคนดี ไม่เคยทำร้ายใคร”
“คนดีเขาไม่พิการอย่างนี้หรอก แม่แกมันยังใจคอหยาบช้า”
“ไม่จริง”
“จริง”
กลุ่มนักท่องเที่ยวจากเมืองหลวง วิ่งเข้ามา
คุณหญิงคนนั้นวิ่งตรงเข้าไปโอบกอดเด็กชายสาวใช้หันไปใส่ความกับคุณหญิงทันที
“อีค่อมนี่มันผลักน้องออมตกน้ำค่ะคุณนาย ตีมันเลยค่ะ”
ขมบอกคุณหญิง“นี่ไงแม่หนู อยากฟังแม่หนูร้องเพลงเพราะๆมั้ยคะ”
“ไม่ แกจะไปไหนก็ไป นังพูนเอาน้องออมไปล้างตัว แล้วขึ้นรถกลับกรุงเทพฯ”
คุณหญิงสั่งแล้วเดินหน้าบึ้งออกไป
สาวใช้หันไปตะคอกใส่แม่แขและขม
“มองอะไร เขาไล่แล้วยังไม่ไปอีก”
“บ้านฉันอยู่ที่นี่ จะให้ไปไหน”
สาวใช้บอกเด็กชาย “งั้นเราไปกันเถอะคุณหนู อย่าอยู่แถวนี้เลย เหม็นสาบ”
“ฉันจะฟ้องแม่ ฟ้องพ่อ ให้ไล่พวกแกออกไปจากที่ของเรา คอยดู”
สาวใช้และเด็กชายเดินออกไป
เด็กหญิงขมหันไปกอดผู้เป็นแม่
“แม่ แม่เป็นอะไรรึเปล่า”
แม่แขส่ายหน้า อธิบาย
“เขาจะตกน้ำ แม่ลงไปช่วย แม่ไม่ได้ผลักเขา”
“หนูรู้จ้ะแม่...กลับบ้านกันเถอะ”
“เดี๋ยว เอาตังค์ก่อน”
เจ้าของร้านอาหารเดินมาส่งเงินให้แม่แข
“นี่ค่าล้างจาน...ทีหลังอย่าทำอย่างนี้อีกนะ แขเอ๊ย...คนอื่นเขาไม่รู้จักแก ทำอะไรก็ผิดไปหมดอย่างนี้แหละ”
ค่ำวันเดียวกัน ทั้งสองนั่งอยู่กลางเพิงร้างท้ายตลาด เพิงร้างนี้เป็นเสมือนบ้านพักของเธอ
เด็กหญิงขมใช้ผ้าขนหนูเช็ดผมให้ผู้เป็นแม่สายตาของแม่แขเหม่อมองไปไกล ด้วยความซึมเศร้า
“ขม แม่ขอโทษนะลูก” แม่แขเอ่ยปาก
“ขอโทษทำไม แม่ไม่ได้ทำอะไรผิดซักหน่อย”
“ขอโทษที่แม่เป็นคนพิการ”
“แม่ไม่ได้พิการ แม่สวยออก”
“ขม แม่เคยจมน้ำมั้ย?”
“แม่ว่ายน้ำเก่งจะตาย”
ลึกลงไปในแววตาของแม่แขดูขมวดเกร็งมากขึ้น
“ตอนแม่อยู่ในน้ำ แม่เห็น...”
“เห็นอะไรแม่”
“ เห็น...”
กลางแม่น้ำใหญ่ 12 ปีก่อนหน้านี้เด็กทารกตกลงไปในน้ำมือเรียวบางสองมือยื่นเข้าไปอุ้มทารกไว้ ร่างของเด็กทารกถูกชูขึ้นสูงเหนือผิวน้ำ
ในเพิงร้าง แม่แข สีหน้าและแววตาของเธอเต็มไปด้วยความสับสนเด็กหญิงขม ยื่นหน้าเข้าไปใกล้ผู้เป็นแม่
“แม่ แม่เห็นอะไร”
“แม่จำไม่ได้แล้ว”
แม่แขผ่อนลมหายใจยาว แล้วหันไปกอดลูกสาว
“แม่ขอโทษนะขม”
“ขอโทษอีกแล้ว”
“ขอโทษที่แม่จำอะไรไม่ได้เลย...จำไม่ได้ว่าแม่เป็นใคร ใครเป็นพ่อขม แม่ก็นึกไม่ออก”
“แค่แม่จำได้ว่าขมเป็นลูกแม่ ขมก็มีความสุขแล้วจ้ะ” ขมบอก
เสียงเคาะประตูดังขึ้นพร้อมกับสตรีวัยกลางคนโผล่หน้าเข้ามาเธอชื่อว่า ครูสมพร
“แม่แข ขม นอนรึยัง ขอคุยด้วยหน่อยได้มั้ย”
ขมเรียก“ครูสมพร”
“ครูซื้อลอดช่องมาฝากด้วยนะ มากินไปคุยไปดีกว่า”
สามชีวิต นั่งกินลอดช่องหน้าเพิงร้าง ท่ามกลางแสงไฟสลัว
“เรื่องเมื่อตอนบ่ายน่ะ ฉันต้องขอโทษแม่แขแทนคนพวกนั้นด้วยนะ คนเมืองหลวงก็อย่างนี้หละ ยิ่งเป็นคุณหญิงคุณนาย ยิ่งขี้ตกใจกันทั้งนั้น”
“ฉันก็ตกใจ กลัวเด็กคนนั้นจะจมน้ำตาย ไม่นึกว่าจะทำให้เขาโกรธ”
“ช่างเถอะ มันผ่านไปแล้ว แต่ฉันมีข้อเสนอมาให้แม่แข”
“ข้อเสนอ ?”
“ฉันว่าแม่แขกับลูกอยู่กันอย่างนี้ไม่ดีหรอก ขมก็กำลังจะโตขึ้นๆ”
แม่แขถาม“แล้วครูจะให้ฉันไปอยู่ที่ไหน”
“พูดตรงๆนะ...ฉันยินดีอุปการะขม ให้ขมมาอยู่กับฉัน”
เด็กหญิงขมเงยหน้าจากการกินลอดช่อง
“แล้วแม่ล่ะ”
“แม่แขของขมก็อาจจะต้องไปอยู่โรงพยาบาล ให้หมอคอยดูแลใกล้ชิด”
“ไม่นะครู แม่ขมไม่ได้บ้า แม่แค่จำอะไรไม่ได้เท่านั้น แต่รับรองว่าวันนึงแม่จะต้องจำได้เอง เชื่อขมสิ”
“งั้นถ้าครูจะขอให้ขมเรียนหนังสือล่ะ...แล้วให้แม่แขมาช่วยงานที่โรงเรียน แทนการรับจ้างล้างถ้วยชามในตลาด อย่างนี้สนใจมั้ย”
“เรียนหนังสือ ?”
“ขมเป็นเด็กดี เด็กฉลาด ขมควรจะได้เรียนหนังสือ และไม่ใช่แค่ให้อ่านออกเขียนได้นะ ขมควรจะมีโอกาสได้เรียนให้สูงที่สุด เพื่ออนาคตที่ดีทั้งของตัวขมและแม่แข...ลองคิดดูนะ”
เด็กหญิงขมในชุดนักเรียน เดินจูงมือมากับแม่แขเมื่อถึงหน้าประตูโรงเรียนสมพรอนุกูล ทั้งสองยกมือไหว้คุณครูอย่างงดงาม
เสียงครูสมพร ดังต่อเนื่องเข้ามา
“ทุกๆวันขมกับแม่แขก็จะเดินไปโรงเรียนแต่เช้าพร้อมกัน เมื่อถึงเวลาที่ขมเข้าห้องเรียน ครูก็จะให้แม่แขช่วยงานเล็กๆน้อยๆ”
แม่แขรดน้ำต้นไม้ ภายในบริเวณโรงเรียนหน้าตาของเธอมีร่องรอยของความสุขอย่างเห็นได้ชัด
“อาจจะเป็นงานกวาดใบไม้ หรือรดน้ำต้นไม้บ้าง ซึ่งก็ไม่ได้มากมายจนต้องทำทั้งวี่ทั้งวัน”
ภายในห้องเรียนเด็กหญิงขม นั่งเรียนร่วมกับเด็กที่เล็กกว่าสีหน้าและแววตาของขม เบิกบาน มุ่งมั่น
“ส่วนขมก็ต้องเรียนรวมกับเด็กเล็กไปก่อนในช่วงแรกๆ แต่ถ้าเรียนเร็วเรียนดี ก็จะได้สอบเลื่อนชั้นขึ้นไปเรียนกับเด็กที่โตขึ้น ซึ่งครูเชื่อว่า ไม่ยากเกินไปสำหรับคนเก่งอย่างขม”
ทางเดิน ระเบียงอาคารเรียนแม่แขเดินกวาดใบไม้ ไปตามทางเดินเสียงดนตรีจากวงเครื่องสายดังเข้ามาแม่แขเงยหน้าขึ้น ฟังเสียงเพลงนั้นอย่างตั้งใจ แววตาเป็นประกาย
วงเครื่องสายกำลังซ้อมบรรเลงเพลง อยู่กลางห้องดนตรีไทย สมาชิกในวงประกอบไปด้วยคณะครูและนักเรียนโรงเรียนสมพรอนุกูล
แม่แข เดินมาเกาะหน้าต่าง มองเข้าไปในห้องดนตรีไทยนี้อย่างสนใจเผยอยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว
เธอกวาดสายตามองไปรอบๆห้องอย่างสนใจจนเห็นหนังสือจุลสารของโรงเรียนเล่มหนึ่งวางอยู่บนโต๊ะใกล้หน้าต่าง
ปกหนังสือเล่มนั้น เป็นรูปบ้านไม้สวยงามของคหบดีผู้มั่งคั่งแม่แข จ้องมองปกหนังสือเล่มนี้ด้วยสายตาเขม็งเกลียว
บ้านไม้สวยงามหลังนั้น เมื่อ 15 ปีก่อนหน้านี้คณะนักดนตรีไทยวงใหญ่ กำลังขยับวางเครื่องดนตรีของตนบนเวทีการแสดงกลางลานบ้าน
แทนตัว ... คนเดินตรงไปยังเวทีนั้น
ผู้คนในวงดนตรี และแขกผู้มีเกียรติในงานต่างหันมามองและยิ้ม ... แม้จะดูไม่ออกว่า ใครเป็นใคร
ในห้องดนตรีไทยเดิมโรงเรียนสมพรอนุกูล
แม่แข หน้าตาขมวดเครียดเธอพยายามเรียกความทรงจำของเธอกลับมา
เสียงครูผู้ควบคุมวงดังขึ้น จนแม่แขได้สติ หลุดจากห้วงนึกคิดของตน
“พักแป๊ปนึง แล้วซ้อมต่อ ต้องเล่นให้แม่นกว่านี้ ไม่งั้นครูสมพรจะเสียหน้า แล้ว
เพลงเอกเพลงโชว์ ขอเป็นเพลงโสมส่องแสงนะ เพราะท่านข้าหลวงชอบเพลงนี้มาก”
ผู้เป็นนักร้องประจำวงเอ่ยปากทันทีที่ได้ยินชื่อเพลง
“ใครจะร้องล่ะคะครู เพลงเถาด้วย หนูไม่ไหว”
ครูย้ำ“ไม่ไหวก็ต้องซ้อม จนกว่าจะไหว”
“หาคนอื่นร้องเถอะครู ถ้าไม่อยากให้ครูสมพรเสียหน้า”
“หาที่ไหนทันล่ะ ตอนนี้”
แม่แขที่ยังยืนอยู่ริมหน้าต่างเอ่ยปากเสียงดังฟังชัด
“ฉันร้องได้”
คณะนักดนตรีหันไปมองที่แม่แข
“แม่แข ?” ครูเอ่ยชื่อลอยๆ
“ฉันคิดว่า ฉันร้องเพลงโสมส่องแสงได้จ้ะ”
เวลากลางวันภายในบ้านพุทธชาด ซึ่งเป็นบ้านหลังเดียวกับที่เราเห็นในปกหนังสือจุลสาร
เสียงวงดนตรีไทย ร้องและบรรเลงเพลง โสมส่องแสงดังเข้ามา
บริเวณโถงเรือนใหญ่ วงเครื่องสายวงใหญ่กำลังบรรเลงในงานมงคลสมรสคู่บ่าวสาวที่นั่งบนตั่งรับน้ำสังข์คือ รังสรรค์ และ บุหงา
รังสรรค์หันไปกระซิบกับเจ้าสาวของเขาเบาๆ พอได้ยินกันสองคน
“ใครบอกให้วงดนตรีเล่นเพลงนี้”
“ครูคุมวงเขาถามบุหงาว่า อยากฟังเพลงอะไรเป็นพิเศษ บุหงาก็เลยบอกชื่อเพลงนี้ไป เพราะพี่บุปผาเคยบอกว่าคุณพี่ชอบเพลงโสมส่องแสง”
“พี่สาวเธอเข้าใจผิดแล้วหละ”
ไพลินผู้เป็นพี่สาวรังสรรค์เดินถือสังข์เข้ามายืนเบื้องหน้าบ่าวสาว
“มีปัญหาอะไรกับเพลงนี้เหรอตารังสรรค์ มันบาดหูบาดใจ จนทนฟังไม่ได้เหรอ”
“ผมไม่ชอบ...ไม่ชอบทุกอย่างที่เกี่ยวกับผู้หญิงเลวๆคนนั้น”
บุหงาหันไปกระซิบถามเจ้าบ่าวของเธอ หน้าตาซื่อ
“เพลงนี้ทำให้คุณพี่คิดถึงใครเหรอคะ”
ตอนเย็น แม่แข กับ ขม เดินจูงมือกันไปบนทางเดินในตลาดขมเอ่ยปากพูดกับแม่อย่างตื่นเต้น
“ขมไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าแม่ร้องเพลงโสมส่องแสงได้ นึกว่าร้องได้แต่นกขมิ้นเหลืองอ่อน”
“แม่ก็ไม่เคยรู้เหมือนกัน...อยู่ๆมันก็นึกขึ้นมาได้เอง”
“ครูสมพรบอกว่า แม่ร้องเพราะด้วยนะ”
“แปลกจัง...ตอนที่แม่ร้องเพลงนี้ เหมือนแม่เริ่มจะจำอะไรขึ้นมาได้บ้าง”
“เหรอจ๊ะ”
“เหมือนแม่จะเห็นหน้าผู้ชายคนนึง...เขาน่าจะเป็นพ่อของขม”
“จริงเหรอแม่ หน้าตาเขาเป็นยังไง เล่าให้ขมฟังหน่อยสิ”
แม่แข เหลือบไปเห็นอะไรบางอย่าง... บุรุษร่างใหญ่ในชุดสูท เหมือนภาพในห้วงคำนึงของแม่แข
เขาหมุนตัวมองไปรอบๆ คล้ายมองหาอะไรบางอย่างแม่แข ตาเป็นประกาย
“คนนั้น...คนนั้น” แม่แขเอ่ย...
ด้านหลังของชายคนนั้น ขยับตัวออกเดิน... แม่แขวิ่งตรงไปที่ชายคนนั้นทันที พร้อมกับตะโกนลั่น
“คุณอย่าเพิ่งไป รอฉันก่อน”
“แม่”
เด็กหญิงขม ตะโกนตามผู้เป็นแม่ไป
แม่แข วิ่งเข้าไปกระชากแขนชายในชุดสูทคนนั้น
“คุณ คุณคะ”
ชายคนนั้นหันหน้ามามองแม่แขอย่างแปลกใจ
แม่แขเอ่ยถาม“คุณรู้จักฉันมั้ย”
“ผมว่าไม่นะ”
“ลองมองให้ดีก่อนสิคะ...แล้วบอกฉันที ว่าฉันเป็นเมียคุณใช่มั้ย”
“จะบ้าเหรอ ฉันไม่รู้จักแก”
ขมวิ่งมาถึงตัวผู้เป็นแม่
“แม่”
“คุณจำฉันไม่ได้เลยเหรอ ?”
ชายคนนั้นสะบัดมือ แล้วผลักแม่แขจนล้มลง
“โธ่ อีบ้า ผัวทิ้งแล้วเพ้อเจ้อ ไล่ตามจับผู้ชายกลางตลาดอย่างนี้เหรอ”
ขมรีบเข้าไปประคองผู้เป็นแม่ทันที
“ขอโทษค่ะ ขอโทษแทนแม่ขมด้วยค่ะ”
“ทีหลังก็เก็บแม่แกไว้ให้ดีอย่าให้มาเพ่นพ่านอย่างนี้ หรือไม่ก็ส่งไปอยู่หลังคา
แดงซะ ไป”
ชายคนนี้ไม่สบอารมณ์ เดินโกรธออกไปทันที
แม่แขยังนั่งกองอยู่ที่พื้น โดยมีขมประคองอยู่ข้างๆ
“แม่ขอโทษนะขม...แม่ทำให้ขมกลายเป็นลูกอีบ้า แม่ไม่ได้ตั้งใจ”
“ไม่เป็นไรจ้ะแม่ ขมรู้ว่าแม่ไม่ได้บ้า...ขมรู้จ้ะ”
ภายในห้องพยาบาลโรงเรียนสมพรอนุกูลแม่แขนอนอยู่บนเตียง โดยมีหมอดูแลอาการอย่างใกล้ชิดครูสมพรและเด็กหญิงขม นั่งห่างออกมาจากเตียงหมอเอ่ยปากพูด ...
“ช่วงนี้แม่แขบอกว่า เห็นภาพแปลกๆ แวบเข้ามาในหัวบ่อยๆใช่มั้ย” หมอถาม
“ค่ะ แต่ดิฉันจำไม่ได้ว่ามันคืออะไร”
“เป็นไปได้ที่ความทรงจำในอดีตค่อยๆเริ่มคืนกลับมา อาจจะเป็นเพราะแม่แขได้ทำในสิ่งที่เคยทำในอดีต”
“ร้องเพลงน่ะเหรอคะ”
“ไม่มีใครตอบได้”
“งั้นถ้าแม่แขร้องเพลงบ่อยๆ แม่แขก็จะจำได้ว่าตัวเองเป็นใครใช่มั้ยคะ” ขมถาม
“หมอยังไม่กล้ารับรองอย่างนั้น”
ครูสมพรกระเถิบเข้าไปใกล้หมอ แล้วจึงเอ่ยปาก
“ วันเสาร์นี้มีงานเลี้ยงต้อนรับข้าหลวงคนใหม่ ถ้าฉันจะให้แม่แขได้ร้องเพลงกับวง จะเป็นการช่วยอีกแรงมั้ยคะ”
“ไม่เสียหายอะไรนี่ครับ อย่างน้อยคนในงานก็จะได้ฟังเสียงเพราะๆของแม่แข”
“ครูจะให้แม่แขร้องเพลงกับวงจริงๆเหรอ” ขมถาม
“จริงสิ คณะครูทั้งโรงเรียนเห็นตรงกันว่า ไม่มีใครร้องโสมส่องแสงได้เพราะเท่าแม่แขอีกแล้ว”
“เหรอคะ”
“ตกลง ยอมเป็นนักร้องรับเชิญให้ฉันมั้ย”
“ ค่ะ...ถ้าฉันพอจะมีบุญ ฉันอาจจะจำอะไรขึ้นมาได้บ้าง อย่างน้อยก็ขอให้นึกออกว่าพ่อของขมเป็นใคร ขมจะได้เลิกโดนคนอื่นล้อซะที”
“วันเสาร์พาแม่มาที่บ้านครูแต่เช้านะ...ครูจะจับแม่แขแต่งตัวให้สวยแบบที่ทั้งงานต้องตะลึงเลยหละ”
ขมกอดผู้เป็นแม่ด้วยความรักยิ่ง
ในตอนกลางคืน ที่ห้องนอนรังสรรค์ ในเรือนเล็ก บ้านพุทธชาดร่างของบุหงานอนท่าสวยอยู่บนเตียงส่วนที่ระเบียงนั้น รังสรรค์ยืนทอดสายตาไปไกล
สักพัก บุหงาจึงเดินเข้ามาโอบกอดรังสรรค์จากด้านหลัง
“คืนส่งตัว เขาห้ามคู่บ่าวสาว ไม่ให้ออกจากห้องหอนะคะคุณพี่”
“ฉันอยู่แค่ระเบียงนี้เอง ไม่ได้ออกจากห้องซักหน่อย”
“แอบคิดถึงใครรึเปล่าคะ”
“นอกจากบุหงาแล้ว ก็มีแค่บุปผาพี่สาวเธอเท่านั้นแหละที่ฉันจะนึกถึง”
“ปากหวานจริง”
รังสรรค์เดินไปยืนมองรูปบุปผาที่ตั้งอยู่ในห้อง
“บุปผาคงดีใจ ถ้ารู้ว่าฉันได้น้องสาวของเขามาเป็นคู่ชีวิตต่อจากเขา”
“ไม่เท่ากับที่บุหงาดีใจหรอกค่ะ”
“ปากหวานกว่าฉันอีกนะบุหงา”
“ก็จริงนี่คะ ชีวิตนี้บุหงายอมให้คุณพี่ คิดถึงพี่บุปผาคนเดียวเท่านั้น ถ้าคุณพี่แอบมีใครในใจอีกละก้อ...” บุหงาทิ้งท้าย
“ก้อทำไม”
“บุหงาจะมีชู้บ้าง”
“อย่าเชียวนะ ฉันไม่ยอม”
“งั้นคุณพี่ก็ต้องลืมผู้หญิงทุกคนบนโลกนี้ให้หมด ไม่ว่าจะคนใหม่หรือคนเก่าในอดีตของคุณพี่”
“ฉันมีเธอคนเดียวก็เต็มหัวใจฉันแล้วหละบุหงา”
รังสรรค์ก้มลงไปจูบบุหงาฟอดใหญ่
“กลับไปที่เตียงของเรา ทำหน้าที่คู่บ่าวสาวที่ดีกันต่อเถอะ”
“เดี๋ยวบุหงาตามไปค่ะ”
รังสรรค์เดินกลับไปที่เตียงนอน
บุหงาหยิบรูปพี่สาวขึ้นมาจ้องมองใกล้ๆ แล้วจึงเอ่ยปากเบาๆ คล้ายพึมพำ
“อโหสิให้ฉันเถอะนะพี่ผา อย่างน้อยคุณพี่ก็มีความสุขกับฉันมากกว่าตอนอยู่กับ
เธอเยอะเลย”
ค่ำแล้ว ... แม่แขในเพิงร้างท้ายตลาด เธอนั่งร้องเพลงกล่อมลูกสาวที่นอนหนุนตัก
“ เจ้านกขมิ้นเหลืองอ่อนเอย...ค่ำแล้วจะนอนที่ตรงไหนจะนอนไหน ก็นอนได้...สุมทุมพุ่มไม้ ก็เคยนอน...”
เด็กหญิงขมตาปรือใกล้จะหลับ แต่ก็ยังเอ่ยปากพูดกับแม่
“แม่ร้องเพลงโสมส่องแสงให้ขมฟังได้มั้ย”
แม่แขเอ่ยปากหน้าตาเป็นกังวล
“ แม่...แม่จำไม่ได้แล้ว แม่กลัวทำงานเขาล่มจังเลย”
“อย่ากลัวจ้ะแม่ ขมเชื่อว่าแม่ต้องทำได้...แต่ถ้าแม่ลืมจริงๆ ครูจะคอยบอกคำร้องข้างหลังแม่นะ”
“ แม่จะพยายามทำให้ดีที่สุด...เพื่อลูก”
ขมค่อยๆหลับตาปิดสนิท
อยู่ๆ อาการปวดที่กล้ามเนื้อหัวใจก็เกิดขึ้นอย่างเฉียบพลันแม่แขทรุดตัว งอลงไป จนต้องเอนหลังนอนในที่สุดเด็กหญิงขมเอ่ยปากเสียงงัวเงีย
“แม่ ขมหลับละนะ”
แม่แข ฝืนกลั้นความเจ็บเอ่ยปากตอบผู้เป็นลูก
“จ้ะ”
“ขมอยากให้ถึงพรุ่งนี้เร็วๆ อยากเห็นแม่แขตอนสวยๆจังเลย”
อาการเจ็บของเธอค่อยๆทุเลาลงทีละนิด
รุ่งขึ้นตอนบ่ายแก่ๆ กลางบ้านครูสมพรคนในบ้านกำลังทยอยถือข้าวของสำคัญเพื่อไปใช้ในงานคืนนี้ครูสมพรเอ่ยปากกำชับคนเหล่านั้น
“ไปถึงที่งานแล้วบอกให้เขาตั้งเครื่องดนตรีเลยนะ อย่าไปฉุกละหุกเอาตอนค่ำล่ะ”
คนเหล่านั้นรับคำแล้วเดินออกไป
ครูสมพรเดินตรงไปหาขมที่ยืนกระวนกระวายอยู่หน้าห้องใหญ่
“นั่งรอก็ได้จ้ะขม เดินไปเดินมาตื่นเต้นซะยิ่งกว่าคนเป็นนักร้องซะอีก”
“แม่ตื่นเต้นกว่าขมเยอะ ครูไม่เห็นเอง”
“ไม่เห็นก็เดาได้จ้ะ”
ครูสมพรเดินไปแง้มประตูบานนั้นแล้วหันมาพูดกับขม
“แต่งตัวเสร็จแล้ว...ดูให้ดีอย่ากะพริบตานะ ดูซิว่า ขมจะจำแม่ตัวเองได้มั้ย”
แม่แขเดินออกมาจากห้องผ่านประตูบานนั้น
แม่แขได้รับการแต่งหน้าทำผม จนสวยผิดจากเดิม ราวกับคนละคนชุดไทยที่แม่แขสวมใส่ ก็งามประณีตยิ่งนักหลังที่งองุ้มของแม่แข ถูกความสวยเบียดบังจนเราแทบจะลืมความพิการของเธอไปมีเพียงแววตาของแม่แขเท่านั้น ที่ยังมีความประหม่า
ขมจ้องมองแม่ ตาเป็นประกาย
“แม่สวยจัง”
“แม่รู้สึกเหมือนเคยใส่เสื้อแบบนี้ สีนี้ ร้องเพลงในงานแบบนี้มาก่อน”
“ทุกคนในงานจะต้องชอบชุดนี้ของเธอ ฉันรับรอง” สมพรบอก
ขมบอก“แม่หมุนตัวให้ขมดูหน่อยสิ”
แม่แขค่อยๆหมุนตัวไปรอบๆรอยยิ้มเป็นสุขปรากฏขึ้นบนใบหน้าของแม่แข
บ้านพุทธชาด 15ปี ก่อนหน้านี้
สาวสวยอายุราว18ปีเธอสวมใส่ชุดที่งดงามใกล้เคียงกับชุดของแม่แขเธอหมุนตัวไปรอบๆ ด้วยท่วงท่าไม่ต่างจากแม่แขกระทั่งวงหน้าของเธอก็งามไม่แพ้กันต่างกันตรงที่หลังของเธอมิได้งองุ้ม ดั่งเช่นแผ่นหลังของแม่แขชื่อของสาวสวยคนนี้คือ แขนภา
แขนภายิ้มให้กับผู้คนที่รายล้อมรอบตัวเธอ
ชายหนุ่มคนหนึ่ง ก้าวเข้ามายืนเบื้องหน้าเธอ
“ไม่มีใครใส่ชุดนี้ได้สวยเท่าเธออีกแล้ว แขนภา”
แขนภามองหน้าชายผู้นี้ และยกมือไหว้เขาอย่างนอบน้อม
บริเวณหน้าบ้านครูสมพรต่อมา สมพรประคองแม่แขเข้าไปนั่งในรถของเธอขมยืนหน้าละห้อยอยู่ด้านหลัง
“ให้ขมไปดูแม่ร้องเพลงด้วยไม่ได้เหรอคะ ขมสัญญาว่าจะอยู่นิ่งๆไม่เกะกะ ไม่ทำอะไรวุ่นวาย เลยค่ะ”
ครูสมพรยิ้มให้ขมอย่างอารี
“มันเป็นงานของผู้ใหญ่น่ะ กว่าจะเลิกก็ดึกเกินไปสำหรับเด็กๆอย่างขมแล้ว”
“แต่ขมอดนอนเก่งนะคะครู”
“ อย่าเลย อดนอนไม่ดีหรอก เดี๋ยวไม่โตนะ...เชื่อครูสิ ขมนอนรอที่บ้านครูนี่หละเสร็จงานปั๊บ ครูจะกลับมาเล่าให้ขมฟังทันทีเลย ครูสัญญา”
ขมเดินอ้อมไปเกาะหน้าต่างรถพูดกับผู้เป็นแม่
“แม่จ๋า แม่ตั้งใจร้องเพลงให้เพราะเลยนะแม่ ขมเชื่อว่าทุกคนในงานจะต้องหลงรักเสียงเพลงของแม่ ขมจะสวดมนต์ภาวนาให้แม่ได้ความทรงจำกลับคืนมาทั้งหมดในคืนนี้หละ”
“ขอบใจจ้ะขม”
“ขมรักแม่นะ”
“แม่ก็รักลูกจ้ะ”
รถคันนี้เคลื่อนตัวออกไปจากบ้านขมได้แต่ยืนมองตามไปจนลับสายตา
โรงเรียนสมพรอนุกูลในเวลากลางคืน ซึ่งเป็นสถานที่จัดงาน
บริเวณกลางสนามโรงเรียน ท่ามกลางบรรยากาศบริเวณงานเลี้ยง พระจันทร์โตเต็มดวงลอยกระจ่างบนฟากฟ้า
บนเวที มีป้ายต้อนรับ ท่านข้าหลวงคนใหม่
เครื่องดนตรีไทยเต็มวงตั้งอยู่ข้างเวทีนั้นแขกผู้มีเกียรติที่มาร่วมงาน ทยอยกันเดินไปยังที่นั่งของตน
ด้านหลังเวทีครูสมพรก้าวเข้ามาเบื้องหน้าคณะนักดนตรี
“ทุกคนไปประจำที่บนเวทีได้เลยนะ ใกล้เวลาข้าหลวงมาถึงแล้ว”
หมู่นักดนตรีขยับตัวไปนั่งประจำที่ตามคำสั่งครูสมพรหันไปมองแม่แข ที่นั่งสงบนิ่งอยู่มุมหนึ่ง
ครูสมพรเดินเข้าไปใกล้
“นางเอกของงานคืนนี้ทานอะไรรองท้องบ้างรึยัง นั่งหน้าซีดเหมือนจะเป็นลม”
“ฉันตื่นเต้นน่ะจ้ะ”
“ทุกอย่างจะต้องผ่านไปด้วยดี เชื่อฉันสิ”
บริเวณหน้าทางเข้างานข้าหลวงและภรรยาเดินเข้ามาในงานครูสมพร และคณะตรงเข้าไปมอบดอกไม้ต้อนรับ
ข้าหลวงเอ่ยปากยิ้มแย้ม
“จัดงานให้ฉันซะเอิกเกริกเชียวนะสมพร”
“ พี่ชายได้ย้ายกลับมาบ้านทั้งที ก็ต้องป่าวประกาศหน่อย มีวงเครื่องสายที่พี่ชอบด้วยนะ”
บริเวณเวทีแม่แขขยับตัวนั่งข้างๆหมู่นักดนตรีครูผู้คุมวงเอ่ยปากกับนักดนตรี
“พอข้าหลวงนั่งประจำที่ ก็เริ่มด้วยโสมส่องแสงเลยนะ”
ครูหันไปกระซิบกับแม่แข
“เรามาทวนเนื้อเพลงกันหน่อยดีมั้ย แม่แข”
“จ้ะ”
ครูค่อยๆเอ่ยปากพูดเนื้อเพลงให้แม่แขฟัง
“โอ้ว่าแสงโสมส่อง ผ่องทั่วนภากาศ แจ่มใสไพลาศ สุกสะอาดลออตาผ่องแผ้วแพร้วรัศมี สาดรังสีสว่างหล้า ใสสดหมดเมฆา อวดอาภาเมื่อคืนเพ็ญ”
แม่แขยกมือขึ้นไหว้ท่วมหัว แล้วเอ่ยปากพึมพำ
“พ่อแม่ครูอาจารย์ช่วยลูกด้วยเถิด อย่าให้ลูกต้องตายไปโดยไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใครเลย เจ้าประคุณ”
บ้านพุทธชาด 15 ปีก่อนหน้านี้
ท่ามกลางวงเครื่องสายวงใหญ่เสียงร้องเพลง โสมส่องแสง ดังต่อเนื่องมา
คณะนักดนตรี และนักร้องสาว หันหน้าไปยังหมู่ผู้คนในงานนักร้องสาวคนนี้ใส่เสื้อผ้าคล้ายแม่แขยิ่งนัก
“ทรงกลด โรจน์รุ่งพร้อย งามหยดย้อยลอยตรงเด่นช่างงามแท้ แข(เอย) ยามเพ็ญ ส่องแสงเย็นยวนอารมณ์”
บุรุษร่างใหญ่ เดินอย่างสง่าผ่าเผยตรงเข้ามาหน้าเวทีแสงไฟสปอร์ตไลท์ที่ส่องมาจากด้านหลังชายผู้นี้ทำให้ไม่สามารถเห็นรายละเอียดเค้าโครงหน้าของเขามีเพียงท่วงท่าที่แสดงความสนใจในนักร้องสาวคนนี้เท่านั้น
บริเวณที่นั่งข้าหลวง
ข้าหลวงเอ่ยปากพูดกับครูสมพร พร้อมรอยยิ้มพึงพอใจ
“ไม่นึกว่าจะมีใครที่นี่ร้องเพลงนี้ได้”
“กว่าจะได้ตัวคนร้อง ก็แทบจะถอดใจเหมือนกันคะ” สมพรบอก
“ไม่ใช่ครูโรงเรียนนี้หรอกรึ”
ครูสมพรส่ายหน้ายิ้มๆ
“ใครกัน ร้องยังกับมืออาชีพทีเดียว” ข้าหลวงสงสัย
บริเวณทางเข้างานหนุ่มใหญ่ร่างงาม ในสูทประณีตเดินเข้ามาในงานเพียงลำพัง
เสียงเพลงโสมส่องแสงของแม่แข ดำเนินมาถึงจังหวะสองชั้น
“โอ้โอ๋ จันทราเอย เชิญเมตตา กรุณากระต่ายน้อยเสียแรงหวัง เฝ้าตั้งตาคอย มิเอื้อมอาจสอย สอยมาชมเอย”
ชายหนุ่มหยุดชะงักทันทีที่ได้ยินเสียงเพลงนี้
เขาคือ ชวาล สุรบดินทร์ ที่ไม่มีใครรู้จัก
บริเวณเวทีการแสดง
แม่แข นั่งร้องเพลงนี้ด้วยความปีติสุขแววตาของเธอที่พยายามเรียบเรียงเรื่องราวในอดีตกลับคืนมาให้จงได้
“อกข้อน สะท้อนจิตหา เฝ้าแต่เบิ่งดูฟ้า(ละหนอ) เศร้าอารมณ์ฟูมฟกอกตรม ระทมใจเอย”
มุมหนึ่งกลางงาน
ชวาล แหวกผู้คนในงานเข้ามายืนใกล้โต๊ะเครื่องดื่มเขาหันไปถามพนักงานที่โต๊ะนั้น
“รู้มั้ยว่าคนที่กำลังร้องเพลงนี้ชื่ออะไร”
“ไม่รู้ครับ ต้องไปถามพวกครู...แต่เห็นเขาเรียกกันว่าแม่แข รึไงเนี่ยหละครับ”
ชวาลมีสีหน้าครุ่นคิดมากยิ่งขึ้น
บ้านพุทธชาด 15 ปีก่อนหน้านี้
วงดนตรียังคงบรรเลงไปยังหมู่แขกผู้มีเกียรติในงานหัวหน้าผู้ควบคุมวง เอ่ยปากพูดผ่านไมโครโฟนที่ถืออยู่
“ขอเสียงปรบมือให้กับนักร้องรับเชิญของวงครับ นางสาวแขนภา นิติการ บุตรสาวของเจ้าคุณนิติการดำรง ทนายประจำตระกูลรัตนเดชากรนี่เอง”
เสียงตบมือของแขกในงานดังสนั่น
แขนภาผู้เป็นนักร้องยกมือขึ้นไหว้อย่างนอบน้อม
“ขอบคุณมากค่ะ”
ในทันใด สองมือของชายหนุ่มคนนั้น ยื่นเข้ามารวบมือของแขนภาไว้
แขนภาเงยหน้ามองชายผู้นี้ใบหน้าของเธอแดงก่ำด้วยความเขินอาย
บริเวณเวทีการแสดง
เสียงเพลงดำเนินมาถึงจังหวะชั้นเดียวแม่แขค่อยๆหลับตา ร้องเพลงท่อนนี้
“โอ้แขของข้อยเอย อย่าเพิ่งคล้อยเคลื่อนคลาอย่าด่วนแฝงเมฆา อยู่ให้ข้าชมเอย”
ชวาลก้าวเข้ามายืนชิดติดขอบเวที
ชวาลเพ่งมองแม่แข ราวกับได้พบกับสิ่งมีค่าที่เฝ้าตามหามานานแสนนาน
แม่แข เธอค่อยๆลืมตาขึ้นมา ประสานสายตากับชวาลพอดีแววตาของแม่แขเป็นประกาย สว่างไสวขึ้นมาทันที
แม่แขเอ่ยปากพูด ในระหว่างดนตรีบรรเลงรับคำร้อง
“ฉันจำได้แล้ว...ฉันจำได้...ฉันจำคุณได้”
“ผมไม่เคยลืมคุณเลย แม้แต่วินาทีเดียว”
ทันใดนั้น แม่แขก็มีอาการปวดที่กล้ามเนื้อหัวใจแน่นหน้าอก และหมดสติล้มลงในที่สุดนักดนตรีต่างพากันตกใจครูผู้คุมวง กระเถิบเข้าไปใกล้แม่แข และเอ่ยปากเรียก
“แม่แข..เป็นอะไรไป จะถึงท่อนร้องแล้วนะ”
“คุณร้องแทนเธอที ผมจะรีบพาเธอไปหาหมอ”
ชวาลอุ้มแม่แขออกไป โดยไม่รอคำอนุญาตจากใครทั้งสิ้น
กลางห้องโถงบ้านครูสมพรตอนกลางคืน มุ้งหลังไม่ใหญ่นักกางไว้อย่างโดดเดี่ยว
ในมุ้งหลังนั้นเด็กหญิงขมนอนหลับตานิ่งมือเรียวงามยื่นเข้ามาลูบบริเวณศีรษะของขมอย่างแผ่วเบา ... แม่แขแต่งกายในชุดเดียวกับการแสดงที่ผ่านมา
แม่แขก้มลงไปกระซิบข้างๆหูขม
“นอนหลับเถอะนะ ดวงใจของแม่”
รอยยิ้มเผยอขึ้นบนวงหน้าของเด็กหญิงขมแม่แขเอื้อมมือกอดขมไว้แน่น
“ขมของแม่ต้องเป็นเด็กดี อย่าดื้อนะลูก...สิ่งศักดิ์สิทธิ์จะปกปักรักษาผู้ประพฤติดี ผู้มีจิตใจดี ท่านจะคุ้มครองดูแลลูกแทนแม่นะลูก...ลาก่อน”
เด็กหญิงขมสะดุ้งตื่นลืมตาขึ้นขมกวาดสายตามองไปรอบๆไม่มีร่างของผู้ใดอยู่ในมุ้งหลังนี้
“แม่...แม่แข”
เด็กหญิงขมมุดมุ้งออกมาข้างนอกเห็นเป็นเงาร่างของแม่แข เดินออกจากห้องนี้ไป
ขมรีบวิ่งตะโกนตามไปทันที
“แม่”
สถานที่แห่งหนึ่ง ความมืดมิด เวิ้งว้างปกคลุมทั่วบริเวณ ขมยังคงวิ่งตามหลังแม่แขเธอเอื้อมมือเท่าไหร่ ก็ไม่สามารถคว้าตัวแม่แขไว้ได้จนร่างของแม่แขหายลับตาไป
ขมหยุดยืนนิ่งท่ามกลางความมืดเวิ้งว้าง ไร้ขอบเขตแววตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว พลางตะโกนเสียงดังลั่น
“แม่ แม่จ๋า แม่อยู่ไหน”
ขมหมุนตัวไปรอบๆ มองหาผู้เป็นแม่อย่างไร้ความหวัง
“ทำไมแม่หนีขมล่ะ...แม่อย่าทิ้งขมไปสิ แม่จ๋า ขมไม่มีใครนะแม่...แล้วขมจะอยู่ยังไง...แม่จ๋า”
เสียงผู้หญิงอีกคนดัง เรียก
“ขม...ขม...ขม”
เด็กหญิงขม ยังคงนอนหลับตาอยู่ในมุ้งหน้าตาเครียดเยี่ยงคนฝันร้าย และยังคงอ้าปากร้องเรียกผู้เป็นแม่อยู่
“แม่จ๋า อย่าหนีขมไป”
นางห่อ คนงานบ้านครูสมพรเขย่าตัวเรียกขมอย่างร้อนรน
“ขม ขมเอ๊ย ตื่นเถอะลูก ขม”
ขมสะดุ้งลืมตาตื่น
“ป้าห่อ...แม่ขมล่ะ ป้าห่อเห็นแม่ขมมั้ย”
“แม่เอ็งยังไม่กลับจากงานเลย...เอ็งฝันไปน่ะ” นางห่อบอก
“แล้วป้าห่อปลุกขมทำไม”
ครูสมพรเปิดมุ้งกระเถิบเข้ามาใกล้ขม
“ปลุกให้ไปหาแม่แขไง”
“ครูจะพาขมไปฟังแม่ร้องเพลงเหรอคะ”
“จ้ะ...แต่ขมต้องรีบหน่อยนะ เราช้าไม่ได้”
“ขมตื่นแล้วค่ะครู...ไปเดี๋ยวนี้ได้เลย”
ขมรีบวิ่งออกไปจากมุ้งทันที ครูสมพรมองตามไป พูดอะไรไม่ออก
ณ โรงพยาบาลประจำจังหวัด ในเวลาต่อมา หมอและพยาบาลเดินออกมาจากห้องฉุกเฉิน
ครูคนหนึ่งวิ่งเข้าไปหาหมอทันที
“แม่แขเป็นยังไงบ้างคะคุณหมอ”
หมอบอก“หัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน การทำงานของหัวใจตอนนี้เหลือไม่ถึง30% หมอทำอะไรไม่ได้แล้วจริงๆ”
“โธ่ แม่แข”
ชวาล เขายืนอยู่ไม่ไกลจากหน้าห้องนั้นนัก
เสียงหมอตอบ“คนไข้เหลือเวลาอีกไม่มากนักนะครับ...เอ้อ เธอถามหาลูกสาวด้วย”
“กำลังไปรับมาแล้วค่ะ ดิฉันขอเข้าไปหาแม่แขได้มั้ยคะ”
“ครับ”
หมอและพยาบาลเดินออกไป
ครูคนนั้นเข้าไปในห้องฉุกเฉิน
แม่แข นอนหลับตานิ่งอยู่บนเตียงครูคนนั้นเดินเข้าไปชิดติดขอบเตียง พร้อมเอ่ยปากเสียงสะอื้น น้ำตาไหลพราก
“แม่แข...ทำใจดีๆไว้ก่อนนะ หนูขมกำลังมา ครูสมพรไปรับด้วยตัวเองเลยนะ”
แม่แข ค่อยๆลืมตาขึ้น
“ฉันจะรอจนกว่าจะเห็นหน้าลูก” แม่แขบอก
แม่แขพลิกหน้าไปมองชวาลที่ยืนอยู่หน้าห้อง แล้วเอ่ยปากเสียงแผ่วเบา
“คุณ...ยังอยู่”
ครูหันหน้าไปมองชวาล แล้วเอ่ยปากพูดกับแม่แข
“ผู้ชายคนนี้เป็นคนอุ้มแม่แขขึ้นรถแล้วขับมาส่งที่นี่”
แม่แขค่อยๆยกมือขึ้นชวาลเดินเข้ามาประคองมือของแม่แขไว้
“ ฉันจำคุณได้...ฉันจำเรื่องระหว่างเราได้...จำได้จริงๆ”
“ฉันไปรอครูสมพรข้างนอกนะ”
ครูคนนั้นเดินออกไปจากห้อง
“ผมตามหาคุณแทบพลิกแผ่นดินเลย รู้มั้ย”
น้ำตาของแม่แขค่อยๆไหลเอ่อล้นออกมา
ต่อมา ครูสมพร จูงมือขมเดินก้าวยาวๆไปตามทางเดินในโรงพยาบาลเด็กหญิงขมเอ่ยปากอย่างไร้เดียงสา
“ทำไมครูพาขมมาที่นี่ล่ะคะ แม่แขไม่ได้ไปร้องเพลงที่โรงเรียนเหรอคะ”
“ร้องจ้ะ แม่แขร้องเพลงเพราะมากๆ คนชมกันทั้งงานเลย”
“แล้วทำไมครูไม่พาขมไปที่งานล่ะคะ ขมอยากเห็นแม่”
ครูสมพรตัดสินใจหยุดเดิน แล้วทรุดลงนั่งพูดต่อหน้าเด็กหญิงขม
“ขม ฟังครูให้ดีนะ...แม่แขไม่สบาย และต้องการเจอขมมากๆ”
“แม่เป็นอะไรคะ เป็นมากหรือเปล่า”
“ครูก็ไม่รู้เหมือนกัน...รู้แต่ว่า ขมต้องเข้มแข็งนะ ต้องไม่ทำให้แม่แขเป็นกังวลนะลูก”
หน้าตาของขมเต็มไปด้วยความกังวลใจ
ประตูห้องฉุกเฉินถูกเปิดออก
ขมยืนอยู่กลางประตู โดยมีครูสมพรยืนอยู่ด้านหลังขมเปล่งเสียงดังลั่น
“แม่”
ชวาลหันไปมองเด็กหญิงขม
แม่แขค่อยๆพลิกหน้ามามองผู้เป็นลูกสาว น้ำตาไหลพราก
“ขม ลูกแม่”
ขมวิ่งเข้าไปกอดแม่ของเธอ
“แม่ ขมมาหาแม่แล้ว...แม่ไม่เป็นอะไรแล้วใช่มั้ย”
“แม่ คงอยู่กับขมได้อีกไม่นาน”
“ไม่...แม่ต้องไม่เป็นอะไรนะ แม่ต้องไม่เป็นอะไร”
“แต่แม่ก็ดีใจ ที่แม่จำได้แล้วนะ”
“แม่ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว...หมอบอกว่าแม่ต้องนอนพัก ถ้าพูดมาก แม่จะเหนื่อย”
“ ขม แม่จำได้แล้วจริงๆ...แม่จำได้แล้วว่าแม่เป็นใคร ถึงแม่จะตาย แม่ก็ไม่เสียใจ”
“ไม่นะ...แม่ต้องไม่ตาย ถ้าแม่ตายแล้วขมจะอยู่กับใครล่ะ”
แม่แขเอื้อมไปคว้ามือชวาลไว้
“ ฉันฝากลูกด้วยนะ”
“ไม่...แม่ไม่ต้องฝากขมกับใคร”
ขมก้มตัวลงไปกอดร่างของแม่แขแน่น
ชวาลก้มลงไปพูดใกล้ๆหูแม่แข
“ผมจะดูแลขมให้ดีที่สุด ผมสัญญา”
“ขม เป็นเด็กดีนะลูก จำไว้ว่าแม่รักหนูมากที่สุดในโลกนะ ขม”
“ขมก็รักแม่มากที่สุดในโลกเหมือนกัน”
แม่แขค่อยๆปริปากยิ้มอย่างอ่อนล้า
“ลาก่อนนะลูก”
แม่แขค่อยๆหลับตา และสิ้นลมในที่สุด
“แม่...”
ขมร้องไห้คร่ำครวญถึงแม่อย่างน่าสงสาร
ชวาลค่อยๆเอื้อมมือ โอบไหล่ขมไว้ครูสมพรกระเถิบเข้าไปใกล้ชวาล แล้วเอ่ยปากถามอย่างเกรงใจ
“ขอโทษเถอะนะคะ ฉันต้องขอบคุณที่คืนนี้คุณช่วยเป็นธุระเรื่องแม่แขมากมายหลายอย่าง แต่พวกเราก็ไม่มีใครเคยเห็นคุณมาก่อน...เพราะฉะนั้นคุณพอจะบอกดิฉันได้มั้ยคะว่า คุณคือใคร”
“ผมชื่อ พิทย์ รุ้งพราย...ผมเป็นพ่อของขมครับ”
ขมค่อยๆหันไปมองหน้าชวาล ด้วยความสับสน งุนงง
วันต่อมา ครูสมพรและครูอื่นๆเดินเข้ามาในศาลาวัดทุกคนช่วยกันถือข้าวของสำคัญเกี่ยวกับการจัดงานศพติดมือมาครูขี้สงสัยคนหนึ่งเอ่ยปากครูสมพร
ครู1ถาม“ครูใหญ่แน่ใจเหรอคะ ว่าเขาจะไม่โกหกเรา”
“ฉันนึกไม่ออกว่าเขาจะหลอกเราทำไม...หน้าตาเขากับขมก็มีส่วนคล้ายกัน แล้วเขาก็ดีกับแม่แขขนาดนั้น ทุกคนก็เห็น”
ครู2 ย้ำ“ใช่ ฉันเห็นแม่แขฝากฝังขมไว้กับเขาด้วย”
“แต่ก็น่าจะอยู่สวดศพจนถึงวันเผา ขมมันจะได้มีกระดูกแม่เก็บติดตัวไว้บ้าง”
“ก็เขาอ้างว่ามีธุระสำคัญ ขมมันก็ยินดีที่จะไปกับเขา ฉันจะทำอะไรได้” สมพรบอก
ที่โรงพยาบาลเดิม เช้ามืดที่ผ่านมาชวาลยื่นซองเงินส่งให้ครูสมพร
“ผมขอฝากเงินไว้กับครู เพื่อใช้เป็นค่าใช้จ่ายงานศพแขด้วย...ผมมีธุระจำเป็นที่ต้องรีบกลับไปทำจริงๆ วันหน้าถ้ามีโอกาส ผมจะพาขมกลับมากราบกระดูกแม่แขที่นี่”
ครูสมพรก้มหน้าลงไปหาขม ที่ยืนอยู่ข้างๆชวาล
“ขมเลือกที่จะไปกับพ่อจริงๆใช่มั้ยลูก”
ขมค่อยๆพยักหน้า
“ขมไม่มีแม่อีกต่อไปแล้ว แต่ขมได้พ่อกลับมา...แม่คงอยากให้ขมได้อยู่กับพ่อ”
ครูสมพรพยักหน้าด้วยความเข้าใจ
“ลาครูซะลูก เราต้องไปกันแล้ว”
ขมยกมือไหว้ครูสมพรอย่างนอบน้อม
ครูคนเดิมเอ่ยปากขึ้นด้วยความสงสัยอีก
“ แต่ก็แปลกนะ ฉันลองถามคนที่มางาน ไม่มีใครรู้จัก พิทย์ รุ้งพรายซักคน”
ต่อมา ... รถเก๋งของชวาล แล่นไปบนถนนท่ามกลางแสงแดดร้อนระอุเสียงครูสมพรดังเข้ามา
“เขาบอกว่า เขาตระเวนไปหลายต่อหลายที่เพื่อตามหาแม่แข...”
ในรถคันเดิมนี้ชวาลขับรถด้วยสีหน้านิ่ง โดยมีเด็กหญิงขมนั่งข้างๆขมเหม่อมอง ทอดสายตาไปไกลนอกรถร่องรอยความโศกเศร้ายังปรากฏอยู่บนใบหน้าของเธอ
“การปรากฏตัวในงานคืนนั้น เขาจึงไม่ได้มาในฐานะแขกรับเชิญของใคร แต่เขามาตามเสียงเพลงโสมส่องแสง ที่เขาได้ยิน”
ชวาลหันไปพูดกับขมด้วยเสียงนุ่มนวล
“เป็นยังไงบ้างลูก...รู้สึกเมารถบ้างมั้ย”
ขมส่ายหน้าช้าๆ แล้วจึงหันไปจ้องหน้าชวาล
“ทำไมพ่อเพิ่งโผล่มา...พ่อหายไปไหนมาตั้งนาน”
“พ่อขอโทษ...มันอาจจะเป็นเรื่องที่เข้าใจยาก...แต่ขอให้ขมรู้ไว้ว่า ที่ผ่านมาพ่อก็ลำบากไม่แพ้กัน...โดยเฉพาะการต้องดั้นด้น ยิ่งกว่าพลิกแผ่นดิน กว่าจะได้เจอขมกับแม่”
“ตอนที่พ่อเจอแม่ครั้งแรก แม่สวยมากใช่มั้ยคะ”
“ใช่ สวยมาก และขมจะต้องดีใจ เพราะพ่อกำลังจะบอกว่า ขมเองก็สวยเหมือนแม่แขไม่มีผิด”
ขมค่อยๆยิ้มออกมาเพียงนิดๆ
ในโรงพยาบาลตอนกลางคืนที่ผ่านมาขมทรุดตัวลงปลายเตียงคนไข้ขมเอื้อมมือไปจับปลายเท้าของแม่แขที่นอนไร้ลมหายใจอยู่บนเตียงนั้นน้ำตาไหลรินออกมาจากดวงตาทั้งสองข้างของเธอ
“แม่จ๋า ขมรู้แล้วว่าใครเป็นพ่อของขม พ่อขมชื่อ พิทย์ รุ้งพราย แม่ก็ต้องมีนามสกุลว่า รุ้งพรายเหมือนพ่อ...ขมอยากจะดีใจที่ได้เจอหน้าพ่อ แต่ก็ดีใจได้ไม่เต็มที่ เพราะ แม่เลือกที่จะจากขมไปในวันนี้เหมือนกัน...แม่ไม่ต้องเป็นห่วงขมนะ พ่อพิทย์ จะพาขมไปอยู่กับพ่อด้วย...ขมสัญญาว่าจะเป็นเด็กดีอย่างที่แม่ต้องการ ขมจะไม่ทำให้แม่ต้องผิดหวังจ้ะ”
เด็กหญิงขมก้มลงกราบที่ปลายเท้าแม่ทั้งน้ำตา
รถชวาลแล่นเข้ามาจอดหน้าบังกะโลเก่าๆ ริมถนนหลวง ตอนค่ำ ชวาลอุ้มร่างของขมที่หลับนิ่งลงจากรถ แล้วเดินตรงเข้าไปในบังกะโลนี้
ชวาล วางร่างของขมลงบนเตียงนอนขมเอ่ยปากออกมาอย่างงัวเงีย
“ถึงแล้วเหรอพ่อ”
“ยังลูก เพิ่งได้ครึ่งทาง...เราจะนอนพักที่นี่ แล้วพรุ่งนี้เช้าค่อยเดินทางต่อ”
ขมคว้าแขนชวาลมากอดไว้แน่น
“พ่ออย่าแอบหนีไปตอนขมหลับนะ...อย่าทิ้งขมไปเหมือนแม่อีกคนนะ”
แล้วขมก็ค่อยๆหลับสนิทไปอีกครั้ง
ชวาลลูบหัวลูกด้วยความรักและความสงสาร
ชวาลนึกถึงตอนพูดกับแม่แข ที่นอนอยู่บนเตียงในโรงพยาบาล
“ผมตามหาคุณแทบพลิกแผ่นดินเลย รู้มั้ย...ผมอยากรู้ว่าทำไมคุณต้องหนีผม...คุณจงใจทิ้งผมไปทำไม”
“แขขอโทษ...แขไม่อยากเป็นภาระของคุณ”
“คุณกับลูกไม่ใช่ภาระ...แต่เป็นสิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิตของผม”
แม่แขค่อยๆยื่นมือออกมาเบื้องหน้าด้วยแรงทั้งหมดที่เธอมีชวาลยื่นมือออกไป เพื่อประคองมือนั้น
พลันของในมือแม่แขหล่นใส่ลงบนอุ้งมือของชวาลมันคือล็อคเก็ตที่ทำด้วยทองคำขาว
ล็อคเก็ตนั้นอยู่ในมือของชวาล เขายืนพิงหน้าต่างห้องในบังกะโล เขาก้มหน้ามองของสำคัญในมือด้วยสายตาเศร้าสร้อย
ขมยังคงนอนหลับสนิทใต้ผ้าห่มผืนใหญ่บนเตียงนุ่ม
ชวาลพลิกหน้ามองออกไปนอกหน้าต่างเขาถอนหายใจด้วยความวิตกกังวลไม่น้อย
วันต่อมา ... รถของชวาลแล่นมาจอดหน้ารั้วบ้านพุทธชาด เขาเปิดประตู ก้าวลงจากรถแล้วเดินตรงไปกดออด ส่วนขมยังคงนั่งเอนตัวหลับอยู่ในรถ
คนใช้ในบ้านเดินมาเกาะประตูรั้วมองจ้องหน้าชวาล
“มาหาใครคะ”
“เธอไม่รู้จักฉันเหรอ”
คนรับใช้ส่ายหน้า
“เพิ่งมาอยู่ใหม่ใช่มั้ย”
“อยู่มาได้ปีครึ่ง ก็ไม่ใหม่แล้วนะคะ”
“ไปบอกนายรังสรรค์ว่า เพื่อนรักที่ไม่ได้เจอกันนานหลายปี แวะมาหา”
“ให้บอกว่าคุณชื่ออะไรคะ”
“เขาเห็นหน้าฉัน เขาก็จะรู้เอง”
คนรับใช้เดินงงๆกลับเข้าบ้านไป
ชวาลเดินกลับมาที่รถของเขาขมค่อยๆขยับตัวตื่นขึ้น ท่าทางยังงัวเงียอยู่ไม่น้อย
“นี่บ้านพ่อพิทย์เหรอจ๊ะ”
“ไม่ใช่บ้านพ่อ แต่เป็นบ้านที่ขมสามารถใช้ชีวิตอยู่ได้โดยไม่ต้องเกรงใจใคร”
“เจ้าของบ้านเขาจะไม่ว่าเอาเหรอคะ”
“ไม่มีทาง เพราะเขาเป็นเพื่อนรักเก่าแก่ของพ่อเอง”
รังสรรค์ เดินออกมายืนริมระเบียงชั้นบนเขาเพ่งสายตามองไปที่ประตูหน้าบ้าน เห็นด้านหลังของชวาลที่ก้มลงพูดกับขมในรถ และเมื่อชวาลพลิกหน้ามองเข้าไปในบ้านอีกครั้ง
รังสรรค์เห็นหน้าชวาลอย่างชัดเจน พร้อมๆกับสีหน้าที่โกรธจัด!
คนใช้คนเดิมเดินมาที่หน้าประตูรั้วอีกครั้ง แล้วเอ่ยปากพูดกับชวาล
“คุณท่านบอกว่าให้เอารถเข้ามาจอดข้างในเลยค่ะ วันนี้ไม่มีใครอยู่บ้าน”
ชวาลยิ้มเล็กน้อยแล้วจึงเดินกลับไปขึ้นรถของตนคนรับใช้เปิดประตูบ้านรถของชวาลจึงเคลื่อนผ่านประตูรั้วเข้าไป
รถเก๋งของชวาลจอดหน้าตัวบ้านหลังใหญ่ชวาลหันไปพูดกับลูกสาว
“ขมรอพ่ออยู่แถวนี้ก่อนนะ พ่อคุยกับเพื่อนเสร็จแล้ว จะออกมาหาขม”
ชวาลก้าวลงจากรถขมเปิดประตูรถก้าวลงมาเรียกเขาไว้
“พ่อจ๋า...พ่ออย่าหนีขมไปนะ”
ชวาลเดินกลับมาโอบกอดผู้เป็นลูกสาว
“ขมเป็นลูกรักคนเดียวของพ่อ...พ่อจะทิ้งขมไปได้ยังไง...ตรงโน้นมีชิงช้า ขมไปนั่งเล่นรอพ่อแถวนั้นก็ได้ลูก...แป๊ปเดียวเดี๋ยวพ่อก็มาแล้ว”
“จ้ะ”
ชวาลเดินหายไปในตัวบ้านพุทธชาด
ชวาลเดินตรงเข้าไปในโถงบ้านเรือนหลังเล็กอันโอ่อ่าหลังนี้รังสรรค์นั่งไขว่ห้างนิ่ง รออยู่ในห้องโถงนี้แล้ว สีหน้าของเขามิได้แสดงออกถึงความเป็นเพื่อนรักแม้แต่น้อย!
ชวาลหยุดยืนเบื้องหน้าผู้เป็นเพื่อนทว่ารังสรรค์ไม่แม้แต่จะลุกขึ้นต้อนรับผู้ที่อ้างตัวเป็นเพื่อนคนนี้
“ไม่นึกว่าแกจะกล้ากลับมาเหยียบที่นี่อีก”
“ไม่มีอะไรที่ฉันต้องกลัว”
“งั้นอะไรคือเหตุผล ที่ทำให้แกต้องมาหาฉัน”
“ฉันมีธุระต้องไปเมืองนอก”
รังสรรค์เปล่งเสียงหัวเราะดังลั่น
“เรื่องแค่นี้ก็ต้องมาบอก...ไม่เกี่ยวอะไรกับฉันเลย หรือคิดจะมาคุยทับกัน”
“เพราะฉันต้องไปอยู่เมืองนอก ฉันจึงต้องเอาของมาฝากไว้กับแก”
“เห็นบ้านฉันเป็นโกดังรึไง...ธนาคารก็ไม่ใช่...ฉันไม่มีดอกเบี้ยเงินฝากจ่ายให้แกซะหน่อย”
“ของฝากของฉันไม่ใช่เงิน ไม่ใช่ทอง ไม่ใช่เพชรนิลจินดา”
“แล้วมันคืออะไร ?”
“คน”
“คน ?”
รังสรรค์ระเบิดเสียงหัวเราะอีกครั้งก่อนเปลี่ยนเป็นน้ำเสียงดุดัน
“อย่าบอกว่าเมียแกนะ...และยิ่งถ้าเป็นอีเมียคนนั้นละก้อ ฉันไม่มีวันยอมให้มันเข้ามาเหยียบในบ้านหลังนี้”
“กรุณาสุภาพกับคนของฉันหน่อย”
“ฉันไม่จำเป็นต้องสุภาพกับผู้หญิงเลวๆอย่างมัน”
“แล้วแกดีกว่าเขาแค่ไหนกันเชียว”
“ออกไปจากบ้านฉันได้แล้ว เอาเมียเลวๆของแกออกไปด้วย ที่นี่ไม่ต้อนรับพวกแก”
“คนที่ฉันจะฝากไว้กับแก ไม่ใช่เมียฉัน แต่เป็นลูกสาวฉัน”
“อ๋อ...ไอ้เพื่อนชั่วๆของฉันมีลูกแล้วเหรอ ลูกกับเมียชั่วๆของแกใช่มั้ย”
ชวาลพุ่งเข้าไปกระชากคอรังสรรค์
“ถ้าแกยังไม่หยุดใช้คำว่าชั่วกับคนของฉันละก้อ ปากแกแตกแน่”
“คิดว่าจะมีแค่ปากฉันข้างเดียวเหรอที่แตก”
ทั้งสองจ้องหน้ากันสักพักชวาลจึงปล่อยมือจากคอของรังสรรค์
“เสียใจด้วยนะ ฉันไม่คิดจะรับฝากลูกแก”
“ไม่รับไม่ได้หรอก”
“ทำไมจะไม่ได้”
“เพราะถ้าแกปฏิเสธคำขอของฉัน เรื่องชั่วๆทั้งหมดของแกจะถูกเปิดเผย โดยเฉพาะความผิดบาปที่เกี่ยวพันกับลูกสาวคนโตของแก...แกคงไม่อยากให้เขารู้เรื่องชั่วๆของพ่ออย่างแกใช่มั้ย”
รังสรรค์ถึงกับอึ้ง หน้าค่อยๆซีดลงในทันที
บริเวณสนามหญ้า เด็กหญิงขมนั่งเหงาเพียงลำพังบนชิงช้าใต้ต้นไม้ใหญ่
เด็กชายคนใหม่เดินผ่านรั้วบ้านเข้ามาท่าทางเขาจะโตกว่าขมสักสามสี่ปี...ชื่อของเขาคือ รัมภ์
เด็กชายรัมภ์ เดินมายืนจ้องหน้าขมใกล้ๆ
“เธอเป็นใคร ?”
ขมมองรัมภ์ ครุ่นคิด พยายามหาคำตอบที่เหมาะสม
“ชื่ออะไร ?”
ขมยังไม่แน่ใจว่าควรจะมีท่าทีตอบอย่างไร
“หูหนวกเหรอ หรือว่าเป็นใบ้ พูดไม่ได้”
ขมตัดสินใจลุกจากชิงช้า เดินกลับไปยังรถของชวาล
รัมภ์เอื้อมมือกระชากผ้าเช็ดหน้าในมือของขมมาไว้กับตน
“เอาของเราคืนมานะ”
“อ้าวพูดได้แล้วนี่...หูไม่หนวก ไม่ได้เป็นใบ้นี่นา”
“เอาผ้าเช็ดหน้าคืนมานะ”
“ไม่ให้”
“ก็นั่นมันของของเรา”
“อยากได้ ก็มาเอาไปเองสิ”
ขมเอื้อมมือไปคว้าผ้าเช็ดหน้าของเธอ แต่รัมภ์ดึงมือหนี
“เอามานะ”
“แย่งไม่ได้เองนี่นา...”
รัมภ์วิ่งหนีไปรอบๆ โดยมีขมวิ่งไล่ตามเด็กชายอีกคนเดินผ่านรั้วบ้านเข้ามาทางเดียวกับรัมภ์
เขาชื่อ รัฐ เป็นพี่ชายของรัมภ์
“หยุดได้แล้วรัมภ์”
รัมภ์จึงหยุดวิ่ง แล้วชูผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นไว้สูงสุดปลายแขนเด็กหญิงขม พยายามกระโดดคว้าแต่ก็ไม่ถึง
“อย่าไปแกล้งเขาอย่างนั้นสิรัมภ์”
“ไม่ได้แกล้งซะหน่อย เขาเอื้อมไม่ถึงเอง”
“ก็ถือต่ำๆหน่อยสิ” ขมบอก
“ก็กระโดดสูงๆหน่อยสิ” รัมภ์ว่า
“ถ้ายังไม่เลิกแกล้งน้องเขา พี่จะฟ้องคุณยายนะ”
รัมภ์ก้มหน้าลงไปพูดกับขม
“กระโดดสูงๆอีกหน่อย เร็ว อึ๊บ..”.
ขมออกแรงกระโดดสุดตัว
ร่างของเธอชนรัมภ์จนล้มกลิ้งลงไปทั้งคู่ขมจึงคว้าผ้าเช็ดหน้าของเธอคืนมาได้
รัฐวิ่งเข้ามาประคองเด็กหญิงขม
“ทำไมต้องมาแกล้งกันด้วย” ขมว่า
“ก็เห็นว่าเพิ่งมาอยู่ใหม่ ก็เลยอยากรู้จัก”
“คุณยายให้มาลาคนบ้านนี้ ไม่ได้ให้มาเที่ยวเล่นแกล้งใคร” รัฐบอก
“แหม เล่นนิดๆหน่อยๆแค่นี้เอง พี่รัฐไม่ต้องไปฟ้องคุณยายล่ะ”
รัฐหันมาพูดกับขมด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“เราชื่อรัฐ นั่นน้องเราชื่อรัมภ์ ขี้เล่นอย่างนั้นเอง อย่าโกรธเขาเลยนะ”
ขมหันไปแลบลิ้นใส่รัมภ์รัมภ์แลบลิ้นตอบ
“เธอชื่ออะไร”
“ชื่อขม”
“ขม ?...ชื่อคนเหรอ” รัมภ์ว่า
“ฉันชื่อโขมพัสตร์ ชื่อเล่นก็เลยเรียกว่า ขม”
รัมภ์“อ๋อ”
“บ้านเราคือตึกขาว ติดกับรั้วบ้านพุทธชาดนี่แหละ” รัฐบอก
“บ้านพุทธชาด ?”
“ก็บ้านหลังนี้ไง...ปกติเราจะมาวิ่งเล่นที่นี่แทบทุกวัน”
ขมถาม“เล่นกันเองสองคนเหรอ”
“บ้า จะมาเล่นกันเองทำไม บ้านนี้ก็มีเด็กสองคน ชื่อรติรส กับพจนีย์...ถ้าเธออยู่
ที่นี่ เธอก็เป็นเพื่อนเล่นกับเขาได้” รัมภ์บอก
“แล้วเธอสองคนล่ะ”
“เราสองคนกำลังจะไปเรียนต่อที่ปีนัง อีกสามสี่ปีถึงจะกลับ”
รัมภ์บอก“กว่าจะกลับมาก็โตพอดี ฉันคงไม่เล่นแย่งผ้าเช็ดหน้าเธอแล้วหละ”
รัฐกับรัมภ์ เดินหายไปทางเรือนใหญ่ของบ้านพุทธชาดขมมองตามไปต่างฝ่ายต่างโบกมือให้กันและกัน
ที่โถงเรือนเล็ก รังสรรค์ยืนครุ่นคิด หน้าเครียดชวาลก้าวเข้ามาทางด้านหลังของรังสรรค์
“ฉันไม่มีเวลารอมากนักนะรังสรรค์...ถ้ายังตัดสินใจไม่ได้ ก็เตรียมหาคำอธิบายให้กับลูกสาวคนโตของแกก็แล้วกัน”
“แม่มันเป็นใคร”
“แกไม่ควรเรียกลูกสาวฉันว่ามัน”
รังสรรค์หันมาจ้องหน้าชวาล ก่อนประดิษฐ์คำพูดแดกดัน
“แม่ของหนูน้อยคนนั้นชื่ออะไร”
“แกไม่จำเป็นต้องรู้ เรื่องเดียวที่แกต้องรู้และต้องปฏิบัติอย่างเคร่งครัดก็คือ เลี้ยงดูลูกของฉันให้ดี ให้เท่าเทียมกับลูกของแก ทั้งความเป็นอยู่ และการศึกษา”
“มากเกินไปรึเปล่า”
“แกไม่มีสิทธิ์ต่อรองกับฉัน...ถ้ามีใครถามก็บอกเขาว่าพ่อของเด็กคนนี้ชื่อ พิทย์รุ้งพราย”
“ชื่อปลอม ?”
“แกได้ประโยชน์ในเรื่องนี้มากกว่าฉัน อย่าลืมสิ”
ชวาลหยิบเงินหนึ่งปึกออกมาวางเบื้องหน้ารังสรรค์
“นี่คือค่าใช้จ่ายสำหรับลูกสาวฉัน...แกจะมาอ้างว่าฉันเบียดเบียนเงินทองของแกไม่ได้...และอย่าได้คิดทำร้ายลูกสาวฉันแม้แต่น้อย เพราะลูกสาวแกจะถูกตอบโต้กลับด้วยความรุนแรงยิ่งกว่า...จำไว้ด้วย”
ชวาลขยับตัวเดินออกจากห้องโถงนี้รังสรรค์เอ่ยปากตะโกนถาม
“แล้วจะฝากไว้นานแค่ไหน”
“เมื่อฉันเสร็จธุระสำคัญ ฉันจะกลับมารับเขาเอง”
“ถ้าแกไปเจ็บป่วยล้มตายที่เมืองนอก ฉันไม่ต้องเลี้ยงดูลูกแกจนโตเหรอ”
“แกก็ภาวนา อย่าให้เป็นอย่างนั้นก็แล้วกัน”
ชวาลเดินออกไปทิ้งให้รังสรรค์ยืนหน้าเครียดแต่เพียงลำพัง
ชวาลเดินออกจากตัวบ้าน ตรงไปยังรถของเขาเด็กหญิงขมวิ่งไปหาผู้เป็นพ่อ
“พ่อเสร็จธุระแล้วเหรอจ๊ะ...เราไปกันได้แล้วใช่มั้ย”
“ขมไม่ต้องไปไหนแล้วลูก ขมจะได้อยู่ในบ้านหลังนี้”
ขมมีท่าทีตื่นเต้น
“จริงเหรอ ?”
“จริงสิ...ชอบบ้านนี้มั้ยล่ะลูก”
“บ้านใหญ่โตจัง...ยังไม่รู้ว่าจะชอบดีรึเปล่า”
“ขมจะต้องชอบ พ่อรู้...เพราะขมจะได้อยู่อย่างสุขสบายเทียบเท่าลูกหลานในบ้านหลังนี้เลยหละ”
ชวาลเดินไปเปิดประตูรถ หยิบกระเป๋าขมออกมาวาง
“พ่อก็จะอยู่กับขมที่นี่ด้วยใช่มั้ย...เราจะได้อยู่ด้วยกันสองคนพ่อลูกใช่มั้ยจ๊ะ”
“ไม่ใช่เราจ้ะ...แค่ขมเท่านั้น”
“พ่อ !”
ขมตกใจขึ้นมาทันทีชวาลขยับตัวลงนั่งเบื้องหน้าลูกสาวเขาพยายามข่มใจและเอ่ยปากพูดด้วยเสียงที่อ่อนโยนที่สุด
“ฟังนะลูก...พ่อมีธุระสำคัญที่ต้องทำ...เป็นธุระที่สำคัญมากๆ...พ่ออยากให้ขมอยู่รอพ่อที่นี่”
“ทำไมไม่ให้ขมไปกับพ่อด้วยล่ะ...ขมช่วยงานสำคัญของพ่อได้นะ”
“ไม่ได้หรอกลูก ธุระของพ่อ พ่อต้องรับผิดชอบด้วยตัวพ่อเอง”
“ไม่เอา...ขมเพิ่งได้เจอพ่อแค่สองวันเอง...ขมกำลังรักพ่อมากขึ้นเรื่อยๆ พ่อก็จะทิ้งขมไปแล้วเหรอ”
น้ำตาของชวาลเอ่อขึ้นมาอย่างไม่ทันตั้งตัว
“ถ้าพ่อเลือกได้ พ่อจะไม่ทำอย่างนี้เด็ดขาด”
“พ่อเลือกได้...พ่อเลือกขมสิจ้ะพ่อ...นะ พ่อเลือกขมนะ เอาขมไปด้วยเถอะนะพ่อขมขอร้อง ขมจะเป็นเด็กดี จะไม่กวนใจพ่อเลย นะพ่อพิทย์”
ขมโอบกอดพ่อของเธอไว้แน่น
“แม่ทิ้งขมไปคนนึงแล้ว พ่ออย่าทิ้งขมแบบแม่อีกเลย...ขมไม่มีใครอีกแล้วนะ”
“พ่อไม่ได้ทิ้งลูก...เสร็จธุระแล้วพ่อจะกลับมารับขมจริงๆ เชื่อพ่อนะ...ถ้าขมไปกับพ่อ ขมก็จะไม่มีโอกาสได้เรียนหนังสือ ขมชอบไปโรงเรียนไม่ใช่เหรอลูก”
“แต่ถ้าต้องเลือกระหว่างโรงเรียนกับพ่อ...ขมเลือกพ่อ”
“นั่นไม่ใช่การเลือกที่ดีสำหรับอนาคตนะลูก...การศึกษาเป็นเรื่องสำคัญของทุกคน”
ขมครุ่นคิดนิ่งสักพัก จึงเอ่ยปาก
“นานมั้ย กว่าพ่อจะกลับมา”
“พ่อจะกลับมาให้เร็วที่สุดเท่าที่พ่อจะทำได้”
“ขมกลัว”
“กลัวอะไร”
“กลัวพ่อจะหายไปอีก กลัวพ่อจะไม่กลับมารับขม”
“ไม่มีทาง ขมคือดวงใจของพ่อ พ่อไม่มีวันปล่อยให้ขมต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวเพียงลำพังแน่นอน”
“สัญญานะ”
“สัญญา”
ชวาลเหลือบมองเข้าไปในตัวบ้านพุทธชาดแล้วเอ่ยปากบอกลูกสาว
“จำไว้นะลูก...เจ้าของบ้านหลังนี้เป็นเพื่อนของพ่อ...เขาจะเลี้ยงดูขม เหมือนขมเป็นลูกของเขาคนนึง”
“จ้ะ”
“ขมต้องเป็นเด็กดี แต่ถ้ามีใครมารังแกขมต้องสู้ อย่ายอมก้มหัวให้ใคร ถ้าเราไม่ผิด”
“ถ้าเจ้าของบ้านเป็นเพื่อนพ่อ เขาก็ต้องรักขมและไม่ปล่อยให้ใครรังแกขมสิจ๊ะ”
“ใช่...แต่ถ้ามันไม่เป็นอย่างนั้น พ่อจะกลับมาจัดการทุกอย่างด้วยตัวพ่อเอง”
รังสรรค์ยืนชิดติดหน้าต่างห้องโถงมองการร่ำลาของสองพ่อลูก ที่เกิดขึ้นบริเวณหน้าบ้าน
หญิงสูงวัย หน้าตาใจดีค่อยๆเดินเข้ามาเธอคือ นมผ่อน คนเก่าคนแก่ของบ้านพุทธชาด
“คุณผู้ชายเรียกอิฉันเหรอคะ”
“อือม...”
“ต้องการอะไรรึเปล่าคะ”
รังสรรค์ขยับตัวห่างออกมาจากหน้าต่าง แล้วจึงเอ่ยปากพูด
“เพื่อนฉันเอาลูกมาฝากให้ช่วยเลี้ยงที่นี่”
“เพื่อนคุณผู้ชาย ? เพื่อนคนไหนคะ ?”
“ชื่อ พิทย์ รุ้งพราย”
นมผ่อนมีสีหน้าแปลกใจ
“พิทย์ รุ้งพราย ? อิฉันไม่เคยได้ยินชื่อเพื่อนคุณผู้ชายคนนี้”
รังสรรค์เสียงดังขึ้น ด้วยความหงุดหงิดรำคาญใจ
“เพื่อนฉัน ไม่ใช่เพื่อนแก ทำไมแกจะต้องรู้จักด้วย”
“เจ้าค่ะ”
นมผ่อนก้มหน้านิ่ง รังสรรค์จึงออกปากสั่งความต่อ
“แกเอาเด็กคนนี้ไปดูแลที ให้อยู่ที่เรือนนมผ่อนนั่นแหละ ไม่ต้องให้มันขึ้นมาวุ่นวายบนเรือนนี้ และก็ไม่ต้องให้เรื่องนี้รู้ไปถึงหูคนที่เรือนใหญ่ด้วย เข้าใจมั้ย”
“เจ้าค่ะ”
“เงินที่วางอยู่บนโต๊ะนั่น เก็บไปเป็นค่าใช้จ่ายค่าเลี้ยงดูมัน...แล้วก็หาโรงเรียนให้มันด้วย ไม่ต้องดีเด่นักก็ได้นะ”
“แล้วเด็กคนนี้อยู่ไหน ชื่ออะไรคะ”
“ชื่ออะไรก็ไม่รู้ ช่างหัวมันเถอะ...ป่านนี้คงกำลังร่ำลากันอยู่หน้าบ้านละมั้ง”
รังสรรค์เดินกระแทกเท้ากลับเข้าเรือนไปทันที
ชวาล ค่อยๆผละออกจากการโอบกอดของผู้เป็นลูกเขาค่อยๆเอ่ยปากด้วยความลำบากใจ
“พ่อไปนะลูก”
เมื่อชวาลขยับตัวลุกขึ้นยืนขมกลับดึงรั้งมือของชวาลไว้ชวาลหันมามองหน้าขม พูดอะไรไม่ออก
“ขมขอมองหน้าพ่อให้นานอีกนิดได้มั้ย...ขมอยากจะจำหน้าพ่อให้ได้ เผื่อพ่อหายไปนาน ขมกลัวว่าจะลืมหน้าพ่อซะก่อน”
ชวาลทรุดตัวลงกอดลูกสาวอีกครั้งน้ำตาพากันไหลพรากด้วยกันทั้งคู่
ห้องฉุกเฉิน โรงพยาบาลเดิม คืนนั้นชวาล ก้มหน้าลงไปพูดกับแม่แขที่นอนอยู่บนเตียง
“ผมจะเลี้ยงดูขมให้ดีที่สุด...เขาคือตัวแทนของคุณ ตลอดชีวิตที่เหลืออยู่ของผม”
ชวาลขยับตัวลงนั่งในรถน้ำตายังอาบสองแก้มของเขาอยู่
ขมยังคงยืนร้องไห้อยู่ที่เดิม
กุญแจรถถูกเสียบลงไปในช่องสตาร์ทชวาลเงยหน้าขึ้นมองกระจกส่องหลัง
กระจกส่องหลังชวาลเห็นขมยืนสะอึกสะอื้นอยู่ด้านหลังรถคันนี้
รถชวาลค่อยๆเคลื่อนตัวออกจากบ้านพุทธชาด
คืนนั้น ที่โรงพยาบาล แม่แขยื่นล็อคเก็ตอันนั้นให้ชวาล เธอจึงเอ่ยปากพูดด้วยเสียงแผ่วเบา
“เก็บไว้ให้ขมด้วย...มันคือของมีค่าชิ้นเดียวที่ฉันมี...เล่าเรื่องราวของเราทั้งหมดให้ขมฟัง ในวันที่ขมโตพอนะคะ”
ชวาลก้มมองล็อคเก็ตในมือของเขา
ขมน้ำตานองหน้าตัดสินใจขยับตัววิ่งตามรถชวาล
“พ่อ...ขมไม่อยากอยู่คนเดียว”
ชวาลเงยหน้ามองขมในกระจกมองหลัง เห็นขมวิ่งพร้อมกับตะโกนเรียกพ่อไปด้วย
“พ่อ รอขมด้วย...ขมอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีพ่อ...”
พลัน เด็กหญิงขมสะดุดล้มกลิ้งไปกับพื้น
ชวาลเหยียบเบรคหยุดรถทันที
ขมฝืนชันตัวลุกขึ้นยืน และค่อยๆเดินตรงไปยังรถคันนั้น
“อย่าทิ้งขมไว้ที่นี่เลยนะพ่อ ได้โปรดเถอะ...”
ชวาลมองขมในกระจกแล้วตัดสินใจเอ่ยปากพูดกับขมในกระจกนั้น
“พ่อเลือกสิ่งที่ดีที่สุดเพื่อลูกแล้ว ขม”
รถชวาลเคลื่อนตัวออกจากบ้านพุทธชาดไป
ขมทรุดตัวลงนั่งร้องไห้อย่างเดียวดาย ท่ามกลางความโอฬารของบ้านหลังนี้
อ่านต่อตอนที่ 2