xs
xsm
sm
md
lg

สาปกระสือ ตอนที่26 ตฤณฤทธิ์รู้วิธีแก้คำสาปกระสือ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


สาปกระสือ ตอนที่26 ตฤณฤทธิ์รู้วิธีแก้คำสาปกระสือ

บทประพันธ์และบทโทรทัศน์โดย อาณาจินต์

พระอาทิตย์ยามเช้าสาดแสงต้องยอดปราสาทอนันตาสวยงามจับตา

ตฤณฤทธิ์นั่งดูแผนผังปราสาทอยู่ในแคมป์ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เขาเขียนมาร์คจุดต่างๆ กำกับไว้ด้วยเตือนความจำ
มธุรสเดินถือแก้วกาแฟเข้ามาพร้อมบุรัณย์ เธอยื่นแก้วกาแฟให้เขามองอย่างเป็นห่วง
“พี่ตฤณไม่ได้นอนทั้งคืนเลยใช่ไหมคะ กาแฟค่ะ”
ตฤณฤทธิ์ยิ้มเชิงขอบคุณ แล้วก้มลงมองรูปถ่ายรอยแกะสลักบนกำแพงคุกในมือถือ วิศวัตกับพลเพิ่มเดินเข้ามาสมทบ
“ผมก็นึกว่าอาจารย์หายไปไหนทั้งคืน” วิศวัตมองรูปในมือถือ “นั่นรูปอะไรเหรอครับ”
“น่าจะเป็นสัญลักษณ์อะไรสักอย่างที่อยู่บนกำแพงคุก”
วิศวัตตาโต ขนลุกซู่ “ตกลงในนั้นมีคุกจริงๆ เหรอครับ ตั้งแต่เมื่อเย็นที่อาจารย์หายไป เพราะไปสำรวจมานี่เอง”
ตฤณฤทธิ์ยังคงมองจ้องที่รูปอย่างใช้ความคิด บุรัณย์มองตามแล้วทำสีหน้าครุ่นคิด
“ผมว่าสัญลักษณ์แบบนี้เหมือนคลื่นแม่น้ำเลยนะพี่”
ตฤณฤทธิ์ยิ้มรับ ชี้รูปพลางใช้ความคิด “ฉลาดนี่เรา พี่ก็คิดเหมือนกันว่าน่าจะเป็นแม่น้ำหรือทะเลสาบ เพราะจุดนี้คือตัวปราสาท”
พลเพิ่มตาลุกวาว มีความหวัง
“เท่าที่เราสำรวจมาแถวนี้ไม่มีแม่น้ำหรือทะเลสาบเลยนี่คะ จะมีก็ไกลออกไปมาก”
“มีสิ” ตฤณฤทธิ์ชี้แผนที่ “ตรงนี้คือร่องน้ำคูเมือง ตรงนี้คือแม่น้ำมูล”
“แต่มันไกลกันมากเลยนะคะ”
ฌานเดินเข้ามาฟังด้วย
“พี่คาดว่าสมัยก่อนน่าจะมีการผันน้ำมาเก็บที่ทะเลสาบ แล้วแม่น้ำอาจจะมีการเปลี่ยนเส้นทาง เพราะที่พี่สำรวจรอบๆ ปราสาท เห็นมีหินแม่น้ำอยู่เยอะเหมือนกัน” ตฤณฤทธิ์ชี้แผนที่ประกอบ
วิศวัตยกนิ้วให้ “อาจารย์นี่สุดยอดไปเลย”
“ผมก็เคยได้ยินเรื่องเล่ามาเหมือนกันว่าแถวนี้ เคยเป็นเส้นทางแม่น้ำมูลเก่า” ฌาณว่า
บุรัณย์สนใจ “มูลเป็นภาษาอีสานที่แปลว่าสมบัติ ใช่ไหมครับ”
“ใช่ มูลแปลว่าสมบัติ” ฌาณบอก
“หรือว่า...รอยสลักนั่น จะเป็นลายแทงสมบัติ”
พลเพิ่มกับฌานหันมองหน้ากันอย่างมีแผน

ที่หมู่บ้านดอนป่าหวาย มีเสียงรถแล่นเข้ามาจอดหน้าบ้านกำนันสินในขณะที่กำนันกำลังนั่งกินข้าวเช้าอยู่กับโฉมศรี
“เสียงรถใครมา”
“นังฉายกับคุณปัณหรือเปล่า”
“กว่าจะกลับมาได้นะ นังลูกเทวดา” กำนันสินมีสีหน้าโมโหพูดประชดโฉมศรี “หายไปทั้งคืนไม่นึกถึงพ่อแม่มันเลย”
“พี่จะไปว่าอะไรมันนักหนา มันโตจนมีผัวได้แล้ว”
กำนันสินมองโฉมศรีอึ้งๆ หัวเสียกับคำพูด แต่ไม่ทันได้พูดอไรอีก เพราะปัณรีวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาขัดเสียก่อน
“กำนันคะ กำนัน รีบไปช่วยชาช่าเร็วค่ะ”
กำนันสินกับโฉมศรีลุกพรวด โฉมศรีพุ่งมาเขย่าตัวถามปัณรีอย่างร้อนใจ
“นังฉาย...นังฉายมันเป็นอะไรคะ คุณปัณ”
ปัณรีแกล้งร้องไห้ “ฉันกับชาช่าเจอ...เจอ...กระสือนลินเมื่อคืน”
“แล้วพวกคุณไปเจอนลินได้ยังไง”
ปัณรีใส่ไฟเป็นฉาก “ฉันแอบตามป้าตีไป”
กำนันใจไม่ดี “แล้วนังฉายล่ะ”
“ฉันไม่รู้” ปัณรีร้องไห้โฮๆ “ฉันวิ่งหนีไปคนละทางกับชาช่า โชคดีที่มีคนมาช่วยฉันไว้”
“แล้วทำไมคุณไม่พาคนไปช่วยนังฉายด้วย”
ปัณรีทำท่าหวาดกลัว “ก็ฉันหาไม่เจอ”
โฉมศรีใจเสียร้องไห้ “จะถามอะไรนักหนาพี่! รีบไปช่วยลูกเถอะ รีบพาเราไปเถอะคุณปัณ”
กำนันสินวิ่งไปหยิบกุญแจรถกระโจนลงเรือนไปกับโฉมศรี
ปัณรีปาดน้ำตาทิ้ง มองตามสองผัวเมียไปยิ้มเยาะสะใจที่ใส่ร้ายนลินได้

ส่วนที่วัดป่า นลิน ค่อยๆ ลืมตาขึ้นอย่างอ่อนระโหย มองไปรอบๆ เห็นพระประธานในโบสถ์ ทิลท์ลงเห็นหลวงตาคำกำลังนั่งหลับตาสวดมนต์ แพนไปเห็นแม่ชีนรานั่งสมาธิอยู่
นลินเริ่มสังเกตตัวเอง แล้วเอามือจับที่คอ/นลินตาตื่นตกใจ
“ลินทำได้แล้วค่ะ ดูสิคะลินไม่มีรอยที่คอแล้ว แสดงว่าลินนั่งอยู่ตรงนี้ทั้งคืน ไม่ได้ไปไหนแน่ๆ ค่ะ”
นรากับหลวงตาคำมองหน้านลิน แล้วยิ้มรับ
“แต่เมื่อคืน ลินนิมิตเห็นตัวเองในอดีตค่ะ”
หลวงตาคำกับแม่ชีนราหันมองหน้ากันอย่างสงสัย

ด้านตฤณฤทธิ์ถือแผนที่เดินสำรวจไปรอบๆ ปราสาท จนไปหยุดที่ก้อนหินกลุ่มหนึ่ง
บุรัณย์มองสนใจ “นี่หินแม่น้ำนี่ครับ”
ทุกคนเดินเข้ามาดู
“ใช่” ตฤณฤทธิ์ชี้แผนที่ “ดูจากร่องน้ำของปราสาทสิ้นสุดตรงนี้ งั้นน่าจะมีการผันน้ำมาจากทะเลสาบ เส้นทางนี้แน่ๆ”
ตฤณฤทธิ์มองไปรอบๆ อย่างครุ่นคิด
“ดูจากการเติบโตของต้นไม้แล้ว แม่น้ำน่าจะอยู่เส้นนี้”
วิศวัตจดข้อมูล แล้วถ่ายรูปไว้
“ดูยังไงครับอาจารย์”
“สังเกตจากหินและทรายที่ทับถมกันมาเป็นเวลานาน น่าจะเกิดการเคลื่อนตัวของเปลือกโลก ทำให้ต้นไม้ ไม่ค่อยจะเจริญเติบโตเท่าไหร่นัก แล้วตรงโน้น” ด็อกเตอร์ชี้ไปอีกทาง “น่าจะเป็นทะเลสาบอนันตา”
“แล้วอย่างงี้ รอยสลักบนกำแพงจะสื่อถึงตัวแม่น้ำหรือทะเลสาบคะพี่ตฤณ” มธุรสสงสัย
“พี่ว่าน่าจะเป็นตัวทะเลสาบมากกว่า” ตฤณฤทธิ์ชี้ภาพแผนที่ “ดูจากภาพนี้ เขาวาดเป็นทรงสี่เหลี่ยม”
ทุกคนมองหน้ากันอย่างมีความหวัง เหมือนมาถูกทาง

ริมถนนเส้นนั้น เห็นรถกู้ภัยจอดอยู่ ทุกคนกำลังวุ่นวายได้ที่ เจ้าหน้าที่มูลนิธิห่อศพฉัตรฉายด้วยผ้าขาว เตรียมนำส่งโรงพยาบาล
รถกำนันสินขับเข้ามาจอดไม่ห่างจากที่เกิดเหตุนัก กำนันสินกับโฉมศรีมองออกไปดูเหตุการณ์ด้วยสีหน้าตกใจ โฉมศรีเอามือปิดปากน้ำตาคลอ
“นั่นรถ...”
สองคนมองไปเห็นคนกำลังมุงดูอะไรสักอย่าง โฉมศรีใจคอไม่ดี
“พี่...ไปตามหานังฉายกันเถอะ”
กำนันสินนิ่ง ไม่ตอบอะไร เปิดประตูรถวิ่งออกไปแหวกผู้คนเข้าไปจนถึงศพที่ถูกห่อด้วยผ้าขาว ยืนอึ้ง น้ำตาคลอ ตำรวจและเจ้าหน้าที่กู้ภัยกำลังจะย้ายศพขึ้นรถ
“ขอทางด้วยครับ”
โฉมศรีเข้ามาสมทบ เกาะแขนกำนันสิน มองอึ้งๆ ตัวชา
กำนันสินขอร้อง “อย่าเพิ่งครับคุณตำรวจ”
“คุณเป็นญาติผู้ตายหรือเปล่าครับ” ตำรวจ2
กำนันสินพยักหน้ารับอึ้งๆ ไม่อยากเชื่อ
โฉมศรีร้องไห้โฮออกมาเหมือนคนไร้สติ ดึงแขนกำนันสินไว้ เพราะไม่อยากเชื่อสิ่งที่อยู่ตรงหน้า
“พี่! นั่นมันไม่ใช่นังฉายลูกเรานะพี่”
ทุกคนมองโฉมศรีด้วยความสงสาร
“คุณตำรวจอยู่ที่นี่ก็ดีแล้ว ช่วยตามหานังฉายลูกฉันด้วยนะคะ มันหายออกจากบ้านตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว”
จู่ๆ โฉมศรีก็วิ่งโผเข้าไปกอดศพเขย่าๆ พลางกรีดร้องอย่างรับไม่ได้
“ไม่จริง...ลุกขึ้นมาสิลูก ใครทำแกแบบนี้ บอกแม่มาๆ นังนลินใช่ไหม”
กำนันสินเข้าไปประคองกอดโฉมศรี มองศพฉัตรฉายร้องไห้ตามกัน ก่อนจะเหลือบไปเห็นกระเป๋าที่วางอยู่ข้างศพ มีคราบลิปสติกติดอยู่ กำนันสินคุมแค้น
“ไม่ว่าใครก็ตาม ที่มันทำกับแก พ่อจะลากตัวมันมารับโทษให้ได้”
ปัณรีตามมามองดูห่างๆ ด้วยสีหน้าเหี้ยมเกรียม

ไม่นานต่อมา เห็นชาวบ้านกำลังทะเลาะกันวุ่นวายอยู่บริเวณริมรั้วหน้าบ้านยายเพียร มีชมพู่กับผันช่วยกันขวางที่ประตูหน้าบ้านไว้ ฝั่งหนึ่งมีโฉมศรีเป็นหัวหน้าทีม
“หลีกไป แกอย่ามาขวางทางพวกฉันนะ”
“ไม่” ชมพู่ไม่ยอม
“อยู่ๆ จะมาบุกบ้านคนอื่นได้ไงคุณนาย” ผันก็ไม่ยอม
“ฉันก็บอกแล้วว่าตอนนี้ไม่มีใครอยู่บ้าน อีกอย่างคุณชลันตีก็ฝากบ้านไว้กับฉัน ฉันไม่ยอมให้คุณนายเข้าไปหรอก”
โฉมศรีโกรธจัด “ถ้าแกไม่อยากตายก็ถอยไป”
“บ้านเมืองมีกฎหมายนะคุณนาย มาบุกบ้านคนอื่นแบบนี้เดี๋ยวก็โดนฟ้องหรอก”
“ข้าเป็นคนสั่งเอง ใครจะทำไมวะ ถ้าพวกแกไม่อยากมีเรื่องก็ถอยไป” กำนันสินออกโรงเอง
ผันโมโห “แทนที่จะช่วยปกป้องคนในหมู่บ้าน แล้วนี่อะไร รังแกประชาชน”
“คนที่มันฆ่าลูกกู กูไม่เก็บไว้หรอก”
ชมพู่ ผันมองหน้ากันสงสัย
“อะไรนะ กำนันพูดอีกทีชิ ใครฆ่าใคร” ชมพู่ไม่เชื่อ
ปัณรีแทรกขึ้นใส่ไฟ “ก็กระสือนลินมันฆ่าชาช่า ฉันเห็นมากับตา”
ชมพู่กะผันมีสีหน้าตกใจ
“ตายแล้ว” ชมพู่เอามือทาบอก
“ก็ตายแล้วน่ะสิ รู้อย่างนี้แล้วพวกแกยังจะขวางอีกไหม”
ผันกับชมพู่ไม่กล้าเถียง อึ้งๆ ไปทำอะไรไม่ถูก กำนันสินพาชาวบ้านบุกเข้าไปในบ้าน

ทุกคนบุกเข้ามาในโถงชั้นล่าง กำนันสิน มองไปรอบๆ ตัวบ้าน
“ห้องชั้นบนไม่เจอใครเลยครับพ่อกำนัน” ชาวบ้าน1ลงมาจากชั้นบนบอก
ชาวบ้าน2 รายงานว่า “ห้องครัวและรอบๆ บ้านก็ไม่เจอใครเหมือนกันครับ”
“ก็บอกแล้วไม่เชื่อ ว่าไม่มีใครอยู่” ชมพู่โมโห
“พวกแกหาทั่วแล้วเหรอ กลับไปหาอีกรอบไป” โฉมศรีตะโกนก้อง
กำนันสินปรามเมีย “ไม่ต้อง ไม่เจอก็พอแค่นี้”
โฉมศรีไม่ยอม “พี่ มันอาจจะหลบอยู่แถวนี้ก็ได้”
สีหน้ากำนันสินเต็มไปด้วยความเคียดแค้น “ดูชิมันจะหนีไปไหนได้ กูกำนันสินนี่แหละจะพลิกแผ่นดินหามันให้เจอเอง”
โฉมศรีน้ำตาคลอ “ถ้าลากตัวนังกระสือนั่นมาไม่ได้ ฉันจะไม่เผานังฉายเด็ดขาด”
ปัณรีมองกำนันสินกับโฉมศรีอย่างครุ่นคิด
ชมพู่เหลือบไปเห็นปัณรี มองสงสัย
“คุณปัณบอกเจอกระสือ แล้วทำไมคุณปัณไม่เห็นเป็นอะไรเลยคะ”
“ก็ฉันวิ่งหนีออกมาได้” ปัณรีบอก
“แล้วรู้ได้ไงว่าเป็นคุณลิน”
“ก็ลอยมาหน้าจะชนกันอยู่แล้ว ฉันต้องจำได้สิ”
ชมพู่ไม่เชื่อ “ถ้าเห็นใกล้ขนาดนั้น คุณปัณไม่น่ารอดออกมาได้นะ”
ปัณรีชักไม่พอใจ “เธอจะมาสงสัยอะไรฉัน”
กำนันสินมองปากปัณรีเห็นสีลิปสติกก็อดสงสัยไม่ได้

ตอนเย็นตะวันโพล้เพล้ รถสองแถวแล่นมาจอดหน้าที่หน้าบ้านกำนันสิน เห็นทีมสำรวจทยอยลงมาจากรถ ทุกคนมองสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น เมื่อเห็นกำนันสินกับโฉมศรีนั่งร้องไห้กันอยู่ตรงชานบ้าน
พลเพิ่มถามขึ้น “เกิดอะไรขึ้น”
“นังฉาย...ลูกฉันมันตายแล้ว”
ทุกคนมองหน้ากันตกใจ
“อุบัติเหตุหรือว่า...” ตฤณฤทธิ์พูดไม่ทันจบปัณรีก็แทรกขึ้น
“ไม่ใช่อุบัติเหตุค่ะ ชาช่าโดนกระสือนลินฆ่า”
ตฤณฤทธิ์อึ้ง ตกใจ สีหน้าสับสน
พลเพิ่มปรามปัณรี “พูดอะไรน่ะปัณ”
“ก็ปัณอยู่ในเหตุการณ์ ที่รอดชีวิตมาได้ก็ถือว่าบุญแล้วนะ”
ตฤณฤทธิ์กับบุรัณย์มองหน้ากันไม่อยากเชื่อ ฌานมองปัณรีอย่างจับสังเกต
“เป็นไปไม่ได้ ผมไม่เชื่อว่าลินจะฆ่าชาช่า”
“แต่มันก็เป็นไปแล้ว ชาช่าถูกกระสือฆ่าจริงๆนะคะพี่ตฤณ”
โฉมศรีร้องไห้โฮ คร่ำครวญออกมาอีก “นังฉายมันบุญน้อยจริงๆ ถึงได้ถูกนังกระสือนลินฆ่าอย่างโหดร้ายแบบนั้น”
พลเพิ่มปลอบ “ทำใจดีๆไว้นะครับ ยังไงชาช่าก็ไปสบายแล้ว มีอะไรให้ผมช่วยบอกเลยนะผมยินดี”
“ขอบคุณค่ะ ตอนนี้ฉันอยากให้ตำรวจจับตัวมันมาให้ได้”
กำนันสินเอ่ยขึ้น “ตอนนี้ก็คงได้แต่รอให้เขาตรวจชันสูตรศพไปก่อน แล้วค่อยไปรับศพมาทำพิธี”
“ฉันจะต้องลากคอนังกระสือนั่น มาชดใช้ในสิ่งที่มันทำกับลูกฉัน”
ตฤณฤทธิ์ครุ่นคิด หนักใจเอาการ พลเพิ่มมองปัณรีอย่างสงสัย
ปัณรีเหลือบไปเห็นสายตาฌานที่มองมายังตน จึงเดินหลบออกไป

ปัณรีเดินหนีออกมาหยุดในสวน ชำเลืองมองอย่างสงสัยเหมือนมีใครตามมา ปัณรีหันกลับไปมองไม่เจออะไรแล้วเดินต่อ ปัณรีเริ่มหวาดกลัวรีบเดิน ทันใดนั้นก็มีมือใครบางคนมาจับที่ไหล่
ปัณรีตื่นตกใจ ค่อยๆ หันไปมอง เห็นพลเพิ่มยืนมองมาด้วยสีหน้าไม่พอใจ
“พี่พล...เล่นเอาตกใจหมดเลย”
“แกใส่ร้ายคุณลินทำไม”
“อะไรของพี่เนี่ย ปัณพูดเรื่องจริง นังนลินมันเป็นกระสือจริงๆ ชาวบ้านแถวนี้ก็รู้ดี มีแต่พี่เนี่ยแหละที่ไม่รู้”
“อะไรของแก เดี๋ยวก็ช่วยคุณลิน แล้วรอบนี้มาหาเรื่องใส่ร้าย แกจะเอายังไง”
“ตอนปัณช่วย เพราะยังไม่รู้ว่านังนั่นมันเป็นกระสือ แต่ตอนนี้รู้แล้ว”
ปัณรีไม่อยากคุยจะเดินหนี
พลเพิ่มดึงแขนไว้ “หยุด แล้วบอกพี่มาว่าชาช่าตายได้ไง เอาเรื่องจริง”
ปัณรีมองตาขวาง “ทำไม มันตายได้ก็ดีแล้วนี่ ลึกๆแล้วพี่ก็อยากให้มันหายไปอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ”
“แกรู้อยู่แก่ใจ ว่าคุณลินไม่ได้ฆ่าชาช่า”
“พี่พูดเหมือนสงสัยปัณ พี่ไม่เชื่อใจปัณ พี่เห็นนังกระสือนั่นมันดีกว่าปัณ สักวันเถอะพี่จะเสียใจ เพราะมันไม่ได้รักพี่”
“แกก็รู้ ว่ากระสือมันไม่ใช่เรื่องจริง” พลเพิ่มไม่เชื่อเรื่องนี้
“พี่จะไปรู้อะไร วันๆ สนใจแต่งาน เคยสังเกตเห็นอะไรบ้าง”
ปัณรีโกรธวิ่งหนีไปเลย พลเพิ่มตะโกนตามแต่ไม่เป็นผล
“ปัณ...กลับมาคุยกันให้รู้เรื่องก่อน”
พลเพิ่มมองตามหลังปัณรีไป สีหน้าเครียดจัด
ฌานแอบมองสองพี่น้องคุยกันอยู่มุมหนึ่ง

เช้ามืดวันต่อมา ตฤณฤทธิ์เดินลงเรือนมา หยุดมองซ้ายแลขวา ก่อนจะเดินถือกระเป๋าท่าทางรีบร้อนตรงไปที่รถของเขา
พลเพิ่มและกำนันสินคุยกันเรื่องการขุดสมบัติปราสาทอยู่ตรงระเบียงบ้าน ทั้งคู่เหลือบไปเห็นท่าทางลุกลี้ลุกลนของตฤณฤทธิ์ก็สงสัย
กำนันสินคิดปราด รีบวิ่งเข้าบ้านไป
“กำนันจะไปไหน”
“ผมจะตามคุณตฤณไป คุณตฤณน่าจะแอบไปหานลินแน่ๆ”
“งั้นผมไปด้วย”
ทุกคนต่างแยกไปเอากุญแจรถ
โฉมศรีกับปัณรีเตรียมของไปทำบุญที่วัดเดินออกมาเห็นเข้า
“พี่จะไปไหนแต่เช้า ไม่รอใส่บาตรให้ลูกเหรอ”
“ก็จะไปตามล่านังกระสือนั่นไง”
โฉมศรีหู่ผึ่ง “ฉันไปด้วย”
พลเพิ่มเดินลงมาสมทบ ปัณรีหันไปบอก
“ฉันไปด้วยนะพี่”
“ไปก็ไป งั้นเอารถไปคนละคันนะกำนัน เผื่อจะได้ช่วยกันตาม”
ทุกคนรีบร้อน ตามตฤณฤทธิ์ออกไป

บรรยากาศในวัดเงียบสงบ นลินสวมชุดขาวเดินจงกรมอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ริมรั้วด้านหลังวัด
มีรถขับเข้ามาจอดในวัด และเห็นตฤณฤทธิ์ก้าวลงรถคันนั้นมามองไปรอบๆ จนเห็นนลินเดินจงกรมอยู่อีกฝั่งก็รีบตรงไปหา
นลินมองมาเห็นตฤณฤทธิ์ก็ดีใจยิ้มทัก แต่สังเกตเห็นสีหน้าเครียดของเขาก็แปลกใจ
“คุณมีอะไรหรือเปล่าคะ มาแต่เช้าเลย”
“ตอนนี้ชาช่าตายแล้ว”
นลินตกใจ “หา...ชาช่าเป็นอะไรตายคะ”
“ตอนนี้ผลชันสูตรยังไม่ออก แต่คุณปัณบอกว่า...” ตฤณฤทธิ์มองหน้านลินเหมือนไม่อยากพูดต่อ
“พูดมาเถอะค่ะ มันเกี่ยวกับลินใช่ไหม”
ตฤณฤทธิ์พยักหน้ารับ “แต่ผมไม่เชื่อ และผมก็ไม่เข้าใจ ทำไมอยู่ๆ คุณปัณถึงใส่ร้ายลินว่าเป็นคนฆ่า”
นลินครุ่นคิด แปลกใจมาก “นั่นน่ะสิคะ ลินไม่เคยมีปัญหาอะไรกับคุณปัณ แล้วอีกอย่างคุณปัณก็ยังเคยช่วยลินตอนเกิดเรื่องด้วยซ้ำ”
“ผมว่าตอนนี้อะไรก็ไว้ใจไม่ได้แล้ว คุณต้องระวังตัวด้วยนะ” ตฤณฤทธิ์ถอนหายใจ “เพราะไม่รู้จะเกิดเรื่องอะไรอีก”
นลินยิ้มให้ “ขอบคุณนะคะ คุณเองก็ดูแลตัวเองดีๆ ล่ะ”
ตฤณฤทธิ์ยิ้มรับ “เรื่องงานหนักแค่ไหนผมสู้ไหว แต่ถ้าเป็นเรื่องลิน...ผมคงอยู่นิ่งไม่ได้”
ตฤณฤทธิ์มองนลินอย่างเป็นห่วง

รถสองคันแล่นมาจอดในลานวัด เห็นกำนันสินถือปืนลงมาจากรถสีหน้าเคียดแค้น โฉมศรีตามลงมา พลเพิ่มรีบลงจากรถแล้วเข้ามาปรามกำนันสิน
“ผมว่ากำนันเก็บปืนก่อนดีกว่า มันอาจจะไม่มีอะไรก็ได้”
“อย่าขวางผมเลย ลูกผมตายไปทั้งคน”
“ใช่ คุณไม่เข้าใจหัวอกฉันหรอก ว่ามันเจ็บปวดขนาดไหน ที่เห็นลูกตัวเองต้องตายในสภาพนั้น นังกระสือนั่นมันต้องชดใช้”
พลเพิ่มเป็นห่วงนลิน พยายามทัดทาน
“ใจเย็นๆ ก่อน คุณลินอาจจะไม่ได้อยู่ที่นี่ก็ได้”
ปัณรีแทรกขึ้น “เดี๋ยวก็รู้ พี่จะได้ตาสว่างสักที ว่านังนั่นมันไม่เคยสนใจอะไรพี่เลย”
พลเพิ่มมองปรามปัณรีให้หยุดพูด

ด้านชลันตีกับนวลเดินคุยกัน ออกมาจากในโบสถ์ ด้วยสีหน้ายิ้มแย้มมีความสุข สองคนรับรู้เรื่องที่นลินม่าได้ถอดหัวแล้ว
“คงไม่มีอะไรต้องห่วงอีกแล้วมั้ง ว่าไหมนวล”
“ค่ะ ถ้าคุณหนูทำสมาธิไปเรื่อยๆ แบบนี้ ทุกอย่างก็คงดีขึ้น”
“แต่ก็อดสงสารลินไม่ได้อยู่ดี ที่มีชีวิตเหมือนคนปกติทั่วไปไม่ได้”
นวลเพ่งมองไปทางต้นไม้ใหญ่ไกลๆ เห็นนลินคุยกับตฤณฤทธิ์
“นั่นคุณหนูกำลังคุยกับใครคะ ดูเหมือน...”
ชลันตีมองตาม นึกสงสัย “นั่นคุณตฤณฤทธิ์นี่ มาทำอะไรนะ”
นวลเหลือบไปเห็นกำนันสินถือปืนเดินอาดๆ มาทางนี้ มีโฉมศรี พลเพิ่มและปัณรีตามมาก็ตกใจ
“คุณตีคะ! นั่นกำนันสินนี่ ถือปืนมาด้วย ต้องมาเรื่องแน่ๆเลย”
“นวล รีบไปบอกลินให้หนีไปก่อน เดี๋ยวทางนี้ฉันรับหน้าเอง”
“ค่ะๆ”
นวลรีบวิ่งหลบออกไปทางหลังวัด

นวลวิ่งกระหืดกระหอบมาที่ใต้ต้นไม้ นลินกับตฤณฤทธิ์ตกใจ
“มีอะไรครับป้านวล”
“กำนันสิน...กำนันสินมา คุณรีบพาคุณหนูหนีไปก่อนค่ะ”
ตฤณฤทธิ์พยักหน้ารับแล้วรีบพานลินวิ่งตรงไปที่รถ

กำนันสินถือปืนในมือสีหน้าถมึงทึง ตรงเข้ามาที่ชลันตี โฉมศรี พลเพิ่มและปัณรีตามมาสมทบ
กำนันสินมองหาตะโกนเสียงดังลั่น “ไหนนังกระสือนั่นอยู่ไหน ออกมานะนังกระสือ”
โฉมศรีมองชลันตีอย่างเคียดแค้น “คิดไว้ไม่มีผิด ว่ามันต้องอยู่ที่นี้”
“นี่พวกคุณเป็นบ้าอะไร! ตามมาหาเรื่องกันถึงที่นี่” ชลันตีโกรธจัด
“ก็ถ้านังกระสือนั่นมันไม่ฆ่าลูกฉัน ฉันจะมาที่นี่ทำไม”
ชลันตีตกใจ “เป็นไปไม่ได้ ลินไม่ได้ทำ พวกคุณอย่ามาหาเรื่อง”
“แต่ฉันเป็นพยานได้ ว่านังลินเป็นคนฆ่าชาช่าจริง” ปัณรียืนกราน
นวลวิ่งกลับมาสมทบ พลเพิ่มจับสังเกตว่านวลวิ่งมาจากทางไหน
“คุณหนูไม่ได้ทำ พวกคุณมากล่าวหาอย่างนี้ไม่ได้นะ” นวลเถียงเสียงแข็ง
“ไม่ได้ทำก็ออกมาสิ หดหัวอยู่ทำไม” กำนันมองหา “มันอยู่ในโบสถ์นี่ใช่ไหม”
กำนันสินจะเดินเข้าไปในโบสถ์ นวลกับชลันตีกันไว้ พลเพิ่มช่วยห้าม เหตุการณ์วุ่นวายกันใหญ่
“กำนันใจเย็นๆ ก่อน”
เสียงหลวงตาคำดังขึ้น “หยุดกล่าวร้ายผู้อื่นได้แล้วโยม”
ทุกคนหยุดกึก หันไปทางเสียงมองหลวงตาคำฮึ้งๆ พากันไหว้
กำนันสินไม่ยอม “หลวงตาอย่าเข้ามายุ่งเรื่องนี้เลยจะดีกว่า”
“อาตมาไม่มุสาหรอกโยม ใส่ร้ายผู้อื่นให้พ้นตัว มันเป็นกรรม”
หลวงตาคำหันไปมองหน้าปัณรี กระสือสาวไม่กล้าสบตา
“แต่นังกระสือนั่น มันฆ่าลูกกระผมนะ”
โฉมศรีเสริม “ชีวิตมันต้องชดใช้ด้วยชีวิต”
นราเดินออกมา กำนันสินมองแล้วอึ้งไป
“ถ้าฉันยืนยันอีกเสียงว่านลินไม่ได้ทำล่ะ”
กำนันสินมองอึ้งไป คาดไม่ถึง และในตอนหนุ่มเคยชอบนรามาก่อน
“นรา...”
โฉมศรีหึงผัวเหน็บนรา “เงียบทำไมล่ะพี่ ถึงกับพูดอะไรไม่ออกเลยเหรอ ก็นึกว่าตายไปแล้ว ยังอยู่อีกเหรอ”
เสียงสตาร์ตรถดังขึ้น พลเพิ่มหันไปเห็นรถตฤณฤทธิ์กำลังขับพานลินหนีออกไป เขากับปัณรีวิ่งตามรถไป กำนันสินและโฉมศรีมองตามงงๆ

ตฤณฤทธิ์ขับรถออกไป แต่ถูกพลเพิ่มกับปัณรีวิ่งออกมาขวางหน้ารถ จนต้องเบรกรถกะทันหันนลินกรีดร้องเอามือปิดตาด้วยความตกใจ กลัวจะชนเข้า ตฤณฤทธิ์ตกใจ รีบเปิดประตูลงไปดูทั้งสอง
“คุณพล คุณปัณ เป็นอะไรหรือเปล่า”
พลเพิ่มไม่พูดไม่จาต่อยเปรี้ยงเข้าที่หน้าตฤณฤทธิ์ ถูกตฤณฤทธิ์ต่อยคืน ทั้งคู่ต่อยกันไปมา
นลินนั่งอึ้ง ช็อคทำอะไรไม่ถูก ปัณรีเปิดประตูเข้ามาจิกหัวนลินให้ลงจากรถแล้วตบเข้าที่หน้าเต็มแรง นลินตกใจอึ้งไปเอามือจับที่แก้มงงๆ
“คุณปัณ คุณทำแบบนี้ทำไม ฉันไปทำอะไรให้คุณ”
“แกทำอะไรฉัน ฉันถึงได้เป็น...”
ปัณรีหยุดอยู่แค่นั้น ไม่กล้าพูดต่อ แต่โกรธจัดจนดวงตาแดงก่ำ นลินมองออกรู้ทันที
“คุณปัณ นี่คุณก็เป็น....”
“แกทำให้ฉันเป็นเหมือนแกใช่ไหม นังนลิน”
ปัณรีจะเข้าทำร้ายอีก แต่นลินตบเข้าที่หน้าโดนจมูกปัณรีจังๆ เพื่อป้องกันตัว ปัณรีเลือดกำเดาไหลออกมาถึงกับอึ้งไป นลินตกใจเข้าไปช่วย
“ฉะ...ฉะ...ฉัน ขอโทษ ฉันไม่ได้ตั้งใจ”
ปัณรีผลักนลินออก “แกมันนังปีศาจ”
ระหว่างนี้นลินหันไปเห็นพลเพิ่มขึ้นคร่อมตัวตฤณฤทธิ์ต่อยที่หน้ารัวๆ ตฤณฤทธิ์เสียท่า นลินมองหาของใกล้ตัวจนเจอกิ่งไม้ใหญ่
พลเพิ่มกำลังต่อยตีตฤณฤทธิ์ด้วยความแค้น แต่แล้วอยู่ๆ เขาก็หยุดกึกเอามือจับที่หัว เมื่อเอามาดูมีแต่เลือดเต็มมือ พลเพิ่มตกใจ หันไปเห็นนลินยืนถือไม้ในมืออยู่
พลเพิ่มยื่นมือที่มีแต่เลือดคว้าตัวนลิน แต่เธอถอยหนี
ผ้าถุงสีขาวของนลิน มีรอยเลือดจากมือพลเพิ่มกระเด็นใส่
พลเพิ่มตกอยู่ในอาการสะลึมสะลือพึมพำออกมาด้วยความเสียใจ “คุณลิน”
ปัณรีตกใจวิ่งเข้ามาประคองพี่ชาย
“ทีนี้พี่เห็นหรือยังว่ามันไม่ได้รักพี่เลย”
พลเพิ่มใกล้จะหมดสติ เห็นตฤณฤทธิ์พานลินเดินออกไป แล้วทุกอย่างก็ค่อยๆ มืดดับไป มีเพียงเสียงปัณรีดังก้องในหู
“มันไม่ได้รักพี่ ๆๆๆ”
ปัณรีประคองพลเพิ่มที่สลบไปแล้ว ร้องไห้ให้คนช่วย

เย็นนั้นสารวัตรวิทยากับจ่าไพฑูรย์นั่งรออยู่ตรงชานรับแขกบนเรือนบ้านกำนัน จนเห็นเจ้าของบ้านเดินขึ้นเรือนมา สองคนลุกขึ้นทำความเคารพกำนันสิน
“ขอโทษด้วยนะครับ ที่ต้องให้รอ”
“ไม่เป็นไรครับ ผมไม่ได้นัดล่วงหน้าเพราะมีเรื่องด่วน” สารวัตรบอก
“ยังไงเดี๋ยวเชิญกินข้าวเย็นด้วยกันนะครับ”
“ขอบคุณครับ แต่คงไม่รบกวนดีกว่า พอดีผมกับจ่าต้องไปงานต่อ”
“งั้นก็โอกาสหน้าขอเชิญมากินข้าวด้วยกันนะครับ”
“ครับ ผมเสียใจด้วยนะครับเรื่องคุณฉัตรฉาย”
“ครับ งั้นคุยงานเลยแล้วกันนะ จะได้ไม่เสียเวลาพวกคุณ”
จ่าไพฑูรย์ยื่นเอกสารให้กำนัน “นี่ครับเอกสารทั้งหมด”
กำนันเปิดดูอย่างตั้งใจ
“อันนี้ผลชันสูตรของนายธรรมกับนายพนิชนี่”
“ครับ ผลออกมาคือโดนฆาตกรรมทั้งคู่ ตอนนี้ทางเรากำลังรวบรวมหลักฐานหาตัวคนร้ายอยู่ ยังไงฝากกำนันช่วยหาเบาะแสด้วยนะครับ” สารวัตรว่า
“ครับ ผมยินดีช่วยเต็มที่”
“แต่ที่น่าแปลกใจที่สุดคือศพของคุณอชินีและคุณฉัตรฉาย ผลออกมาเหมือนกันคือถูกทำร้ายจากเขี้ยวฟันของมนุษย์ เราจะเก็บเศษน้ำลายมาตรวจดีเอ็นเออีกที บางทีอาจจะโดนฆาตกรรมก็เป็นได้”
วิทยายื่นรูปถ่ายกระเป๋าฉัตรฉายที่มีรอยลิปสติกให้กำนันสินดู
“รอยลิปสติกนี้ น่าจะทำให้เรารู้ตัวคนร้ายได้ง่ายขึ้น” สารวัตรนิ่งไปครู่หนึ่ง “จากหลักฐานหลายๆอย่าง ถ้าเป็นอย่างที่ผมคิด ผมว่าฆาตกรน่าจะเป็นคนเดียวกัน”
กำนันสินครุ่นคิดเหม่อยลอย เงียบไปดื้อๆ
“กำนัน...กำนัน...”
กำนันสินได้สติ “ครับๆ”
“งั้นผมขอตัวกลับก่อนนะครับ และเอกสารทุกอย่างก็อยู่ในนี้แล้ว ถ้ามีอะไรติดต่อได้ตลอดนะครับ”
“ครับๆ ขอบคุณมากนะครับ”
สองฝ่ายร่ำลากัน สีหน้ากำนันสินเต็มไปด้วยความสงสัยอะไรบางอย่าง

กำนันสินเดินมาเปิดประตูแล้วพาตัวเองเดินเข้าไปในห้องนอนลูกสาว มองไปรอบๆ ห้องด้วยความเศร้าโศก น้ำตาไหลออกมาด้วยความเจ็บปวด กำนันเดินไปหยิบรูปครอบครัวขึ้นมาดูอย่างเศร้าใจ
“พรุ่งนี้พ่อจะไปรับแกกลับมาบ้านเองนังฉาย”
ลมที่หน้าต่างพัดแรงจนสมุดบันทึกที่วางอยู่บนโต๊ะเครื่องแป้งเปิดออก กำนันสินเดินไปดูแล้วหยิบขึ้นมาอ่าน จนไปเจอหน้าท้ายๆ ฉัตรฉายเขียนว่า
“วันที่...ฉันเจอเสื้อเปื้อนเลือดและลิปสติกที่ขยะ ฉันสงสัยว่าคุณปัณรีจะต้องเป็นคนฆ่าคุณอุ้มแน่ๆ”
กำนันสินอึ้งๆ เปิดอ่านต่อทั้งน้ำตา
“ฉันได้เป็นเมียคุณพลเพิ่ม ฉันดีใจที่สุด ฉันจะทำให้ฉันรักเขาให้ได้ สักวันฉันจะเป็นคุณนายให้พ่อกับแม่ฉันภูมิใจ”
กำนันสินกอดสมุดร้องไห้ “โธ่...นังฉาย ถึงแกจะไม่ได้เรื่องได้ราว พ่อก็รักและภูมิใจในตัวแกที่สุดลูกเอ๊ย”
กำนันสินเหลือบไปเห็นชายเสื้อในลิ้นชักโต๊ะเครื่องแป้ง เปิดลิ้นชักออกหยิบเสื้อออกมากางดูเห็นเสื้อเปื้อนเลือด ระหว่างนี้ลิปสติกหล่นจากเสื้อตกลงพื้น กำนันสินหยิบขึ้นมาเปิดลิปออกแล้วทาที่แขนตัวเองเพื่อดูสี
กำนันมองรอยลิปสติกที่กระเป๋าฉัตรฉายจากรูป และนึกไปถึงสีลิปสติกที่ปากปัณรีคราวก่อน
กำนันสินปะติดปะต่อเรื่องราวแล้วนึกได้ ถึงกับเบิกตาตื่นตกใจ มองออกไปนอกหน้าต่าง กำหมัดแน่นกัดฟันกรอดคำรามออกมาด้วยความแค้น
“มึงฆ่าลูกกู”
กำนันสินโกรธจนตัวสั่น แววตาวาววับ เหมือนรู้แล้วว่าใครฆ่าลูกสาวตัวเอง

อีกฟาก สองคนอยู่ที่ชานบ้านหลังหนึ่ง ไม่ไกลจากวัดป่ามากนัก
นลินกำลังเอาลูกประคบประคบใบหน้าให้ตฤณฤทธิ์ ที่ชานบ้านแบบต่างจังหวัด นลินสวมเสื้อคอกระเช้านุ่งผ้าถุง ตฤณฤทธิ์ใส่เสื้อลายการ์ตูนมีโบว์ตัวที่นลินเคยให้ใส่
นลินมองเสื้อแล้วยิ้มขำ จำได้ “นี่กะจะยึดเลยใช่ไหมเนี่ย”
“แล้วใครบอกจะคืนล่ะ นี่ผมใส่ตลอดเลยนะ โชคดีที่วันนี้เอาติดมาบนรถด้วย”
นลินเขิน “เอาที่สบายใจเถอะค่ะ”
หญิงชาวบ้านวัยป้าเจ้าของบ้าน เดินถือมุ้งและผ้าห่มเข้ามาให้
“ตอนดึกๆ อากาศจะหนาวหน่อยนะ แต่ผ้าห่มบ้านป้ามีแค่นี้ ถ้าหนาวก็นอนกอดผัวแกเอาก็แล้วกันนะนังหนู” ป้าหัวเราะ
นลินเขินรีบปฏิเสธ “ไม่...ไม่...ไม่ใช่”
ตฤณฤทธิ์แทรกขึ้น “ขอบคุณครับป้า”
ตฤณฤทธิ์ยิ้มขำ นลินขึงตามองปราม
“นึกยังไงพาเมียแกมาปฎิบัติธรรมซะไกลเลย เห็นไหมรถก็เสียแถมยังโดนทำร้ายอีก ดีนะตาส่งมันเป็นช่างเก่า ไม่งั้นแย่เลย”
“ผมต้องขอโทษด้วยนะครับ ที่มารบกวน”
“รบกวนอะไรพ่อหนุ่ม อย่าคิดมาก ป้าไปละ”
นลินและตฤณฤทธิ์ยกมือไหว้ขอบคุณ ขณะพากันลุกไปส่ง นลินเผลอเตะเอกสารตฤณฤทธิ์ที่วางอยู่กับพื้น จึงหยิบภาพถ่ายรอยแกะสลักในคุกขึ้นมาดู
ฉับพลันนั้นเองนลินเหมือนถูกดูดดึงกลับไปยังอดีตอีกครั้ง
ภาพหลักประหารแกะอักขระโบราณที่ใช้สะกดวิญญาณสาวิตราณี กำลังจมลงไปในน้ำ ผุดซ้อนเข้ามาในห้วงคิด
ตฤณฤทธิ์เรียกให้นลินได้สติ “ลิน...ลิน...คุณเป็นอะไร”
นลินได้สติ “พอฉันหยิบภาพนี้ขึ้นมา ฉันก็เห็น...เหมือนเป็นแท่นหิน กำลังจมลงไปใต้น้ำ แปลกมากเลยค่ะ”
ตฤณฤทธิ์ตกใจ “หรือว่าคุณอาจจะสื่อได้ว่าห้องนั้นเกิดอะไรขึ้น”
“ห้องอะไรคะ”
“คุกในปราสาทที่ผมเห็นตอนสลบไป พอฟื้นขึ้นมากลับมีรูปนี้ในมือถือของผม ผมเชื่อว่ามันเป็นเรื่องจริงไม่ใช่ความฝันแน่ๆ และผมก็กำลังหาคำตอบว่ารอยสลักนั่นเชื่อมโยงอะไรกับแม่น้ำ แล้วยังมีโครงกระดูกกับหัวกะโหลกในห้องนั้นด้วย”
ตฤณฤทธิ์เปิดรูปให้นลินดู สีหน้านลินตกใจ
“ฉันว่าที่ปราสาทมีอะไรแปลกๆ ที่เชื่อมโยงเราทั้งคู่ค่ะ เพราะฉันเห็นในนิมิต เหมือนเราในอดีตกำลังพยายามหนีอะไรสักอย่าง”
ตฤณฤทธิ์มองนลินเหมือนพยายามปะติดปะต่อเรื่องราวทั้งหมดเข้าหากัน
“งั้นพรุ่งนี้เราไปหาคำตอบกัน”
ตฤณฤทธิ์บอกด้วยสีหน้ามุ่งมั่น มาดหมาย

เช้าวันใหม่ กำนันสินเดินผลุนผลันเข้ามาในโถงรับแขกบ้านพลเพิ่ม ด้วยสีหน้าโกรธแค้น เจี๊ยบวิ่งตามมากันไว้ก็ไม่ฟัง
“กำนันรอก่อนนะคะ คุณท่านมีแขกค่ะ”
“หลีกไป”
กำนันสินไม่ฟัง เดินตรงเข้าไปในห้องรับแขก
“อ้าว...กำนันคะ กำนัน...”
พลเพิ่มในสภาพใบหน้ามีร่องรอยฟกช้ำกำลังนั่งคุยกับฌานอยู่ตรงโซฟาหันมาเห็น
“อ้าว กำนัน มาแต่เช้า มีอะไรหรือเปล่า เชิญนั่งก่อน”
พลเพิ่มโบกมือไล่เจี๊ยบออกไป ขณะเดียวกับที่กำนันสินคุมแค้น พุ่งเข้าโวยวายใส่หน้าพลเพิ่ม
“มึงวางแผนกับน้องมึงฆ่าลูกกู ไอ้สารเลว มึงได้มันแล้ว มึงจะไม่รับผิดชอบใช่ไหม มึงบอกกูสิ กูเลี้ยงลูกกูได้ มึงฆ่ามันทำไม มึงมีความเป็นลูกผู้ชายหรือเปล่า”
ฌานช่วยเข้ามาห้าม
พลเพิ่มตกใจ สีหน้างุนงง “นี่กำนันเป็นบ้าไปแล้วเหรอ”
ปัณรีเดินลงมาจากชั้นบน มองสงสัย
“เกิดอะไรขึ้น เสียงดังไปถึงชั้นสอง”
กำนันสินได้ยินเสียงหันขวับมาหา แล้วพุ่งเข้าบีบคอปัณรีอย่างแรง
“อีนังฆาตกร มึงฆ่าลูกกู มึงยังตีหน้าเนียนเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น อีนังปีศาจ”
ทุกคนจะเข้าห้าม แต่กำนันสินควักปืนมาจ่อที่หัวปัณรี
“ทีนี้มึงได้เห็นความบ้าของกูจริงๆ แล้วใช่ไหม มึงจะได้เห็นน้องมึงตายต่อหน้าต่อตา ดูซิมึงจะรู้สึกยังไง กูจะทำให้มึงจดจำกูไปจนวันตาย” กำนันหัวเราะอย่างขาดสติ “มันจะได้สาสมกับที่มึงทำกับลูกกู”
พลเพิ่มพยายามคุยดีๆ “ผมไม่รู้เรื่องอะไรด้วย กำนันมีอะไรค่อยๆคุยกัน วางปืนลงเถอะ
ฌานช่วยกันปลอบ “กำนันใจเย็นๆ ก่อน ค่อยๆ คุยกัน ยังไงก็เคยพึ่งพากันมาอย่าให้ถึงขั้นทำร้ายกันเลย”
“มันไม่เกี่ยวกับอาจารย์ อย่าเข้ามายุ่ง” กำนันหันมาระบายใส่พลเพิ่ม “ชีวิตกูหมดสิ้นทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว มึงพรากหัวใจไปจากกู ที่นี้กูจะพรากหัวใจไปจากมึงเอง”
กำนันสินเหนี่ยวไกปืนจะยิงปัณรี ปัณรีกรีดร้องอย่างบ้าคลั่งด้วยความโกรธ เขี้ยวงอกออกมา สองตาแดงก่ำ กำนันสินตกใจ
“นังปีศาจ มึงฆ่าลูกกู มึงเห็นหรือยัง น้องมึงมันเป็นปีศาจ”
ระหว่างนี้ จ๊อดกับชัย ลูกน้องพลเพิ่ม พากันยืนจ้องคอยหาจังหวะชาร์จกำนันสิน จนสบโอกาสพุ่งตัวเข้าดึงปืนออกจากมือกำนัน สองคนต่อยกำนันสินจนลงไปกองกับพื้น
“พอๆเดี๋ยวมันตายที่นี่ ลากมันออกไป แล้วจัดการซะ” พลเพิ่มสั่ง
ชัยกับจ๊อดพยักหน้ารับแล้วลากกำนันสินออกไป กำนันสินร้องโวยวายไม่หยุด
“มึงฆ่ากูเลย... มึงฆ่ากูสิ...”
ฌานมองตามอย่างไม่สบายใจ พลเพิ่มกับปัณรีมองตามด้วยสายตาเลือดเย็น

รถของกำนันสินขับแล่นมาตามทาง มันเป็นถนนลูกรังสายเปลี่ยวไม่มีรถผ่านมาสักคัน
กำนันสินนั่งอยู่ในรถ โดยถูกมัดมือไพล่หลัง หน่องเป็นคนขับรถ ส่วนชัยกับจ๊อดคุมตัวกำนันสินไว้
“ไม่น่าเลยนะกำนัน อยู่ดีไม่ว่าดี ไปขัดขาคุณเขาทำไม” จ๊อดว่า
“พวกมึงนั่นแหละ ระวังตัวไว้เถอะ อาจจะโดนเหมือนข้าเข้าสักวัน”
“ถ้าไม่โวยวายก็ไม่มีอะไรหรอกกำนัน” ชัยบอก
“ลูกสาวกูตายทั้งคน พวกมึงจะให้กูอยู่เงียบๆ งั้นเหรอ” กำนันสินแค้น
“งั้นกำนันก็ตามลูกสาวไปก็แล้วกัน”
หน่องเลี้ยวรถจอดในป่าริมถนนเปลี่ยว ชัยกับจ๊อดคุมตัวกำนันสินลงจากรถ พาไปข้างทางหาที่ยิงทิ้ง

ชัย จ๊อด หน่อง ช่วยกันคุมตัวกำนันสินมาในป่า ก่อนจะผลักกำนันสินให้คุกเข่าลง จ๊อดเข้ามายืนด้านหลัง แล้วเล็งปืนไปที่กำนันสิน
“อโหสินะกำนัน”
กำนันสินหลับตา แต่จังหวะที่ชัยกับหน่องปล่อยตัว และจ๊อดกำลังจะยิง กำนันสินก็ลุกขึ้นวิ่งหนีตายไปต่อหน้า
“เฮ้ย” ชัยคาดไม่ถึง
จ๊อดยิงโดนขากำนันสินล้มลง แต่พอจะยิงอีก กำนันสินก็อาศัยพงหญ้าซ่อนตัวหายไป
“มันหนีไปแล้ว รีบตามเร็ว” จ๊อดสั่ง
ทุกคนวิ่งตามกำนันสินไป

กำนันสินค่อยๆ โผล่หน้าขึ้นดูว่าพวกจ๊อดไปทางไหน เขาหยิบก้อนหินขว้างไปอีกทางให้หญ้าไหว พวกจ๊อดตามไปทางนั้น กำนันสินกระเสือกกระสนไปอีกด้าน
แต่แล้วกำนันสินก็สะดุดก้อนหินล้มลง พวกลูกน้องพลเพิ่มหันมามอง
“มันอยู่นั่น”
พวกชัยรีบตามไป กำนันสินวิ่งหนีสุดชีวิต

กำนันสินวิ่งหนีสุดชีวิตมาทางถนน เขากลับมาที่รถเพื่อจะหยิบปืนของตัวเองที่ลิ้นชักหน้ารถ กำนันสินดีใจ หยิบปืนออกมาได้ หันไปจะยิงพวกลูกน้องพลเพิ่มที่ตามมา
แต่ไม่ทัน จ๊อดยิงก่อน กำนันสินชะงัก แล้วค่อยๆ ล้มลงข้างรถ
จ๊อดกระหน่ำยิงจนแน่ใจว่ากำนันตายสนิท

อีกฟากหนึ่ง ในความมืดสนิท ค่อยๆ เห็นแสงจากไฟฉายในมือตฤณฤทธิ์สาดนำทางเข้ามา แสงส่องลงไปที่คุก ตฤณฤทธิ์ถึงกับตกตะลึงกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า
“ไม่น่าเชื่อเลยนะคะ ในนี้มีคุกจริงๆ ด้วย”
ตฤณฤทธิ์มองเข้าไปในคุกอย่างใช้ความคิด
“คุณได้กลิ่นอะไรไหม้ๆ ไหมคะ”
“ไม่นะครับ”
นลินมองไปรอบๆ จนเห็นโครงกระดูก และหัวกระโหลกพร้อมชฎานางรำตกอยู่ข้างๆกัน แล้วรู้สึกขนลุกอย่างบอกไม่ถูก
“นั่นมัน”
จู่ๆ นลินก็น้ำตาไหลรินออกมาโดยไม่มีสาเหตุ ร่างอ่อนแรงเหมือนจะเป็นลมจนต้องทรุดลงนั่ง
“คุณคงเหนื่อย งั้นเราพักตรงนี้ก่อนแล้วกัน”
นลินลงนั่งพิงกำแพงพักเหนื่อย
“ค่ะ”
“โครงกระดูกกับชฎานั่น ผมอยากรู้ ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขากันแน่”
สายตาตฤณฤทธิ์เพ่งมองไปบนผนังกำแพง จนเห็นรอยแกะสลักบางอย่าง นลินมองตาม
ทั้งคู่เหมือนต้องมนต์ หลับไป พากันย้อนกลับไปยังเรื่องราวในอดีต

ที่ลานประหาร สิงหลร้องไห้แทบขาดใจ มองหัวกับไส้สาวิตราณีที่ไม่ถูกไหม้ตรึงอยู่กับหลักประหารเห็นด้วยความเจ็บปวดรวดร้าว
อนันตราชคุมแค้น มองร่างที่เหลือของสาวิตราณี สั่งพราหมณ์เสียงเหี้ยม
“สะกดวิญญาณมัน ให้อยู่ในร่างที่มีแต่หัวกับไส้เช่นนี้ ชั่วลูกชั่วหลานทุกภพทุกชาติไป
พราหมณ์กำลังสวดทำปากขมุบขมิบ แล้วเอาปูนแดงแต้มที่คอสาวิตราณี ก่อนจะหันมาสลักแท่นหินสะกดวิญญาณเป็นอักขระโบราณ
อนันตราชเทเลือดของสาวิตราณีราดลงที่แท่นหิน ลมพัดแรงเหมือนทุกอย่างรับรู้
สิงหลตะโกนก้องออกมาสุดเสียงด้วยแรงแค้น
“มึงมันตระบัดสัตย์ มึงเป็นคนคิดคดทรยศก่อน ใยถึงได้กล่าวความพวกกูเยี่ยงนี้”
อนันตราชเหลียวไปมองแรงที่สิงหลอย่างโกรธแค้น แล้วเดินลงไปหยิบหัวสาวิตราณีที่แท่นหิน ทุกคนในที่นั้นมองด้วยความตกใจ
อนันตราชลากหัวกับไส้สาวิตราณีไปยื่นใส่หน้าสิงหล ด้วยแววตาอาฆาตแค้น
“มึงจงดูเสียให้เต็มตา นังคนนี้มันตายเพราะมึง มันเสียสละเพราะมึง จับมันไปขัง”
ทหารลากตัวสิงหลออกไป

ทุกอย่างมืดสลัวมีเพียงแสงตรงช่องทางลง ร่างสิงหลถูกโยนลงมานอนกองกับพื้น แน่นิ่งไปด้วยความเจ็บปวดจากแรงกระแทกก่อนจะค่อยๆ ลืมตาขึ้น มองไปรอบๆ
ส่วนที่ด้านหน้าคุก อนันตราชยืนคุมแค้นสีหน้าเหี้ยมเกรียม มองหัวและไส้ของสาวิตราณีในมือ
“อีกไม่นานพวกมึงจักได้อยู่ด้วยกันในนรกสมใจ”
อนันตราชหัวเราะอย่างสะใจ ในขณะที่สิงหลแค่นหัวเราะเย้ยหยาม
“กูสงสารผีปู่ ผีย่า มึงเสียเหลือเกิน ที่มีเลือดเนื้อเชื้อไขตระบัดสัตย์เช่นมึง มึงผู้โง่เขลาเบาปัญญายิ่งกว่าเดรัจฉาน”
อนันตราชหัวเราะ “ฮ่าๆๆ มึงผู้มีปัญญาหรือสิงหล มึงเห็นหรือยังว่าใครที่น่าอดสู มึงจงครองคู่กับเมียผีของมึงให้สมใจเถิด กูสังเวชนัก”
อนันตราชโยนหัวกับไส้ของสาวิตราณีไปให้
สิงหลกอดหัวสาวิตราณีด้วยความอาลัยรัก ร้องไห้โหยหวนปานจะขาดใจตาย
“สาวิตราณี ข้าขอโทษ สาวิตราณี...”
มีดด้ามหนึ่งถูกลงโยนตามมา อนันตราชหัวเราะเยาะ
“มึงจงเลือกเอาเถิด ว่าอยากตายเช่นไร”

จากนั้นอนันตราชเดินมาชี้นิ้วสั่งทหารที่กำลังก่ออิฐปิดผนังกำแพง(ชั้นใน)ใกล้จะสำเร็จแล้วด้วยสีหน้าโกรธแค้น
“จงก่ออิฐปิดทับสองชั้น อย่าให้มันได้เห็นเดือนเห็นตะวันดวงเดียวกันกับข้าให้มันทุกข์ทรมานจนมิอยากจะหายใจ”
ยินเสียงสิงหลร้องโหยหวนอย่างเจ็บปวดปานจะขาดใจดังมาจากด้านในกำแพง
“สาวิตราณี ข้าขอโทษ ข้าขอโทษ”
“ไอ้อีผู้ไดคิดหักหลังกู จะต้องมีจุดจบน่าสังเวชอย่างพวกมึง”
อนันตราชมองไปรอบๆ เพื่อประกาศให้ทุกคนเกรงกลัวไม่กล้าทำตาม
ทุกคนต่างพากันกลัวไม่กล้าสบตา อนันตราชหันมองที่คุกหลังกำแพงอย่างเคียดแค้น
“มึงจะต้องเจ็บปวดกว่ากูเป็นร้อยเท่า พันทวี มึงจงอยู่กับความทุกข์ที่มึงเป็นผู้ก่อเถิดสิงหล” ประมุขอนันตาปุระหัวเราะออกมาอย่างสะใจ
“พวกมันจะต้องชดใช้ในสิ่งที่ทำลงไปอย่างสาสมพระเจ้าข้า” พราหมณ์ว่า
“มึงจะไม่มีวันได้ครองคู่สมหวัง ไม่ว่าภพใด ชาติใด”
อนันตราชหัวเราะด้วยความสะใจดังกึกก้อง ก่อนจะเดินออกไป

ในห้องขังมืดๆ นั้น สิงหล ตะโกนสาปแช่งออกมาด้วยความโกรธแค้น
“มึงไม่เคยรู้จักรักแท้ และไม่มีวันใดที่มึงจะได้รู้จัก กูขอให้มึงทนทุกข์อย่างโดดเดี่ยวไปชั่วกาลนาน กูเจ็บปวดเช่นใด มึงต้องเจ็บปวดเช่นนั้น”
อนันตราชเดินออกมาที่กำแพงชั้นนอกหัวเราะเยาะอย่างเหี้ยมเกรียม
“เช่นนั้นมึงจงอยู่กับรักแท้ของมึงเถิดสิงหล รักแท้ที่แลกมาด้วยความเจ็บปวด มึงต้องทุกข์ทรมานตรอมใจจนกว่าชีวิตจะหาไม่” อนันตราชสั่งการกับพราหมณ์เสียงเข้ม “ทำยันต์สะกดมันไว้ที่กำแพง ให้มันอยู่ในนี้ไปชั่วกับชั่วกัลป์”
พราหมณ์น้อมรับเอาคำเสียงเหี้ยม “พระเจ้าข้า”
“กูมิเคยกลัวความตายที่อยู่ตรงหน้า มิเคยสิ้นศรัทธาในความดี ต่อให้มึงเผาร่างกูเป็นผงธุลี มึงก็มิอาจแยกความรักของกูกับสาวิตราณีได้ ไม่ว่าจะภพใดชาติใด กูกับสาวิตราณีจะตามไปครองคู่อยู่ด้วยกันทุกชาติไป”
สิงหลหัวเราะออกมาอย่างไม่สะทกสะท้านหรือยี่หระต่อความตายตรงหน้า
ท้าวอนันตราชโกรธจนตัวสั่น ต่อยที่กำแพงเต็มแรง เลือดสดๆ ไหลออกมาจากมือ อนันตราชประกาศก้องสาปแช่งดังกึกก้อง
“เลือดนี้ กูขอหลั่งเพื่อสาปแช่ง ให้ลูกหลานผู้สืบสันดานของพวกมึง พบชะตากรรมเดียวกับพวกมึงตลอดไป เจ้าจงเอาหลักประหารไปถ่วงน้ำที่ทะเลสาบ เพื่อไม่ให้ผู้ใดแก้คำสาปนี้ได้อีกต่อไป”
“พระเจ้าข้า”
เสียงฟ้าร้องฟ้าผ่าดังคำรณคำรามขึ้น

วันเวลาผ่านไป ท้องฟ้าเหนือปราสาทผันแปรไปตามกาลเวลา กลางวันเป็นกลางคืน วันแล้วคืนเล่า
สิงหลนอนกอดหัวและไส้ของสาวิตราณี ด้วยแววตาเลื่อนลอยและหมดหวัง สีหน้าอิดโรยอ่อนแรงตามวันเวลา และเขากำลังนอนรอความตาย
สิงหลนึกถึงอดีต ตอนหนีไปด้วยกัน ได้ครองรักกันอย่างมีความสุข จนสาวิตราณีตั้งท้อง ท้ายที่สุดตัดสินใจมอบลูกให้มะปรางพาหนีไป
จนวันที่ถูกทหารจับได้ สองคนสั่งลากันอย่างอาลัยอาวรณ์ สาวิตราณีรำต่อหน้าอนันตราชแล้วถูกเชือดคอโดยเพชรฌฆาตเหี้ยม ร่างสาวิตราณีถูกลากไปยังลานประหารแล้วเผาทิ้งอย่างอำมหิต เหลือแต่หัวกับไส้ อนันราชสั่งให้พราหมณ์ทำพิธีสะกดวิญญาณที่หลักประหาร
สิงหล น้ำตาไหลรินออกมาด้วยความเจ็บปวด สายตามองไปเห็นมีดที่วางอยู่ไม่ไกลนัก
เหมือนคิดอะไรได้ สิงหลเอื้อมมือไปหยิบมีดมาแล้วมองอย่างครุ่นคิด
สิงหลใช้มีดสลักลงที่กำแพงคุกเพื่อเป็นลายแทงบอกใบ้ สิงหลสลักอักขระไป เงยหน้ามองเบื้องบนสาปแช่งไป ด้วยสีหน้าโกรธแค้น
“กูขอให้บ้านเมืองมึงพินาศย่อยยับและสาบสูญ จงแห้งแล้งขาดแคลนผู้คน เพราะความตระบัดสัตย์ของมึง”
มือเต็มไปด้วยรอยแผล แต่เขาก็ไม่หยุดสลักอักขระ กอดศีรษะสาวิตราณีร่ำไห้ตั้งสัตยาธิษฐาน
“ข้าขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ณ ที่แห่งนี้จงเป็นพยาน ด้วยใจรักที่ข้ามีให้แก่สาวิตราณีผู้นี้ จะไม่มีวันใดเปลี่ยนแปลง ข้าสัญญาว่าจะกลับมาช่วยแก้คำสาปให้กับนาง ขอให้เราได้พบและครองคู่กันอีกทุกภพทุกชาติไป”
สิงหลค่อยๆ นอนลงอย่างอ่อนแรง วางศีรษะสาวิตราณีข้างๆ ตัวกอดไว้อย่างแสนรัก สิ้นเสียงประโยคสุดท้ายสิงหลหลับตาลงเหมือนสิ้นใจตายไป

นลินค่อยๆ ลืมตาได้สติขึ้นมา มองไปรอบๆ นิ่งนึกทบทวนว่าเกิดอะไรขึ้น จนมาหยุดที่ตฤณฤทธิ์ เห็นใบหน้าตฤณฤทธิ์มีเหงื่อไหลออกมาเป็นเม็ดๆ เหมือนกำลังฝันร้าย นลินพยายามเขย่าปลุก
“คุณตฤณ...คุณตฤณ...คุณเป็นอะไรคะ”
ตฤณฤทธิ์ไม่ยอมตื่น นลินใจคอไม่ดี หยิบทิชชู่มาซับเหงื่อให้
คราวนี้ตฤณฤทธิ์รู้สึกตัว จับมือนลินมากุม มองยิ้มๆ
นลินรีบชักมือกลับ ผลักตฤณฤทธิ์ออกเบาๆ อย่างเขินอาย
“แกล้งฉันเหรอ”
“เปล่า...ผมแค่ทดสอบว่าผมฟื้นขึ้นมาในชาติปัจจุบัน”
นลินนึกได้ “คุณตฤณ..คุณเห็นเหมือนที่ฉันเห็นไหมคะ”
“เรื่องหลักประหารใช่ไหม”
นลินพยักหน้า “หลักประหารน่าจะถูกเอาไปถ่วงน้ำที่ทะเลสาบ”
ตฤณฤทธิ์ตกใจรีบลุกขึ้น “งั้นเรารีบไปหาตำแหน่งของทะเลสาบกัน ก่อนที่ฟ้าจะมืด”
ทั้งคู่รีบพากันลุกเดินออกไป

อีกด้านหนึ่ง เสียงมือถือดังขึ้น บางมองโฉมศรีอย่างสงสัย ว่าทำไมไม่ยอมรับสาย ทุกคนใส่ชุดดำ
โฉมศรีมีสีหน้าอิดโรย แววตาเหม่อลอย เอานั่งมองกระเป๋าเอกสาร
บางเอามือถือมายื่นให้ “โทรศัพท์ครับคุณนาย ดังอยู่นานแล้ว”
โฉมศรีเหมือนได้สติรับมากดรับสาย “อ้าวเหรอ สวัสดีค่ะ”
โฉมศรีฟังแล้วนิ่งอึ้งไป
“เดี๋ยวฉันให้คนไปจัดการค่ะ”
โฉมศรีวางสาย แล้วร้องไห้ออกมาเงียบๆ อย่างคนมีสติ ไม่โวยวาย เหมือนได้เตรียมใจคุยกับกำนันสินไว้แล้ว ว่าจะเกิดอะไรขึ้น
บางตาตื่น ตกใจ “เกิดอะไรครับ คุณนาย”
โฉมศรีปาดน้ำตาทิ้ง สั่งเสียงเรียบ “แกช่วยเป็นธุระเรื่องงานศพลูกฉันหน่อยนะ แล้วก็ช่วยไปรับศพกำนันมาไว้ที่วัดด้วย แล้วรอจนกว่าฉันจะกลับค่อยเผา เอาไว้ศาลาเดียวกันกับนังฉายนะ พ่อลูกจะได้อยู่ด้วยกัน”
บางตกใจตาแทบแตก “กำนันตายแล้วเหรอครับ เป็นไปได้ยังไง”
โฉมศรีบอกด้วยสีหน้าเคียดแค้นเพราะรู้ความจริงเป็นอย่างดี “ตำรวจบอกว่าเป็นอุบัติเหตุรถคว่ำ”
จากนั้นโฉมศรีลุกเดินไปหยิบกระเป๋าเอกสารที่เตรียมไว้ แล้วเดินออกไป
“คุณนาย”
บางร้องไห้ มองตามโฉมศรีด้วยความเป็นห่วง

ส่วนพลเพิ่มกับฌานเดินมาที่รถด้วยท่าทีรีบร้อน อยู่ๆ กระถางต้นไม้ที่แขวนอยู่ก็ตกลงมาจนเกือบจะโดนพลเพิ่ม
“เกือบไปแล้ว”
ฌานมองท้องฟ้าด้วยสีหน้าครุ่นคิด เหมือนจะรู้ว่าจะเกิดเรื่องร้าย
“ขอให้เป็นลางดีนะ”
พลเพิ่มหัวเราะ “อะไรกันอาจารย์ คิดมากไปได้ ครั้งนี้เราต้องได้สมบัติก้อนโตจากทะเลสาบนั่นแน่ๆ ผลตอบแทนต้องมากมหาศาลกว่าทุกครั้ง”
สีหน้าพลเพิ่มมุ่งมั่นมีความหวัง แววตามีประกายเจิดจ้า
ฌานครุ่นคิดอะไรบางอย่าง สีหน้าไม่สบายใจ

สองคนเดินมาตามทางรกเรื้อ ตฤณฤทธิ์ดูแผนที่ไปเดินไป จนใกล้จุดทะเลสาบในอดีต
“ถ้าดูตามแผนที่ ทะเลสาบน่าจะอยู่แถวนี้”
ทั้งคู่มองไปรอบๆ จนสายตาตฤณฤทธิ์เหลือบไปเห็นอะไรบางอย่าง จึงรีบดึงให้นลินหยุด ก่อนจะนั่งลงในพงหญ้า ตฤณฤทธิ์เผลอตัวกอดปกป้องนลินไว้โดยอัตโนมัติ
นลินตกใจผละออก แต่ตฤณฤทธิ์ส่งสัญญาณให้อยู่นิ่งๆ ห้ามพูด และบอกใบ้ให้มองไปข้างหน้า นลินมองตามไปแล้วต้องตกใจ
ทั้งคู่ เห็นชัยกับจ๊อดกำลังช่วยกันคุมคนงานขุดหาอะไรบางอย่างบริเวณพื้นดิน จุดที่เคยเป็นทะเลสาบเก่า ทั้งสองหันมาสบตากันอย่างแปลกใจ
ชัยกับจ๊อดหันมาทางนี้พอดีเกือบจะเห็น ตฤณฤทธิ์โน้มตัวนลินให้หลบลงด้วยกัน ชัยกับจ๊อดชะเง้อมองหาอย่างสงสัย
“เห็นใครตะคุ่มๆ อยู่แถวนั้นไหมวะ” ชัยสงสัยไม่หาย
“ไม่มีหรอก ใครจะเข้ามาป่าลึกขนาดนี้ รีบขุดก่อนเถอะ ก่อนที่นายจะเข้ามา” จ๊อดว่า
ตฤณฤทธิ์กับนลินรีบพากันหลบออกไป

ที่กองไฟเล็กๆหน้าเต็นท์ ทิลท์ภาพขึ้นเห็นนลินกับตฤณฤทธิ์นั่งคู่กัน
“คุณไม่ดับไฟเหรอ เดี๋ยวคนพวกนั้นก็มาเห็นเข้าหรอก”
“ไม่เป็นไรหรอก ป่าออกจะกว้าง อีกอย่างเราหนีออกมาตั้งเต็นท์แถวเส้นหน้าผา ผมว่าคงไม่มีใครเดินมาแถวนี้ ดูนี่สิ” เขาชี้ที่ท้องฟ้า “นั่นดาวศุกร์ คุณรู้ไหมนอกจากพระอาทิตย์พระจันทร์ ก็มีดาวศุกร์เนี่ยแหละที่สว่างเป็นอันดับสามบนฟ้า”
“คุณชอบดูดาวเหรอ”
“ไม่ ผมชอบพระอาทิตย์มากกว่า เอาจริงๆ ผมก็เพิ่งมาเกลียดดวงจันทร์เอา เมื่อไม่นานมานี้นี่เอง”
นลินมองฉงนไม่เก็ต “พระจันทร์รู้เข้าคงเสียใจน่าดู ฉันว่าพระจันทร์กับพระอาทิตย์น่า สงสารออก”
“ทำไมเหรอ”
“ก็มันไม่มีวันมาเจอกันน่ะสิ”
“ที่จริง...พระจันทร์กับพระอาทิตย์มาเจอกันออกจะบ่อย แต่แสงพระอาทิตย์นั้นสว่างมากกว่า เลยทำให้เรามองไม่เห็นพระจันทร์” เขายิ้มให้นลิน “แล้วลินไม่อยากรู้เหรอว่าทำไมผมถึงชอบพระอาทิตย์”
“ไม่ค่ะ คุณก็แปลกๆ อยู่แล้วนี่” นลินมองท้องฟ้ายิ้มดีใจชี้ไปที่ดาว “คุณนั่นดาวตก รีบอธิษฐานเร็ว”
นลินหลับตาตั้งจิตอธิษฐาน ตฤณฤทธิ์แทรกขึ้นพอดี
“เพราะผมไม่อยากให้ลินเจ็บปวดก่อนวันพระจันทร์เต็มดวงไง”
นลินลืมตาขึ้นแล้วหันมองตฤณฤทธิ์อย่างซาบซึ้งใจ ตฤณฤทธิ์จับมือนลินมากุมมองตาซึ้งๆ
“ผมไม่สัญญาว่าจะเปลี่ยนแปลงอะไรได้ไหม แต่ผมจะทำทุกทางที่จะทำให้คุณหายจากคำสาปนี่ ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไรก็ตาม”
ทั้งคู่สบตากันลึกซึ้งในแสงสลัว ตฤณฤทธิ์หอมแก้มนลินเบาๆ นลินอึ้งไป
“คุณก็รู้ว่ามันไม่มีทางเป็นไปได้”
นลินเดินน้ำตาคลอตรงไปที่เต็นท์ ด้วยไม่อยากให้ความหวังตฤณฤทธิ์
ตฤณฤทธิ์ลุกตามมา “สาวิตราณี”
นลินชะงัก อึ้งไป หันกลับมาช้า น้ำตาไหลริน
“สิงหล”
ตฤณฤทธิ์คุกเข่าลงกอดนลินน้ำตาคลอ
“ผมขอโทษ สาวิตราณีผมขอโทษ ชาตินี้ขอให้ผมได้เป็นคนชดใช้แทนคุณ ถึงต้องแลกด้วยชีวิตผม ผมก็ยอม”
“ไม่ค่ะ ชาตินี้เราจะไม่ยอมให้เกิดเรื่องซ้ำรอยอีก เราจะช่วยกันแก้คำสาปให้ได้”
ตฤณฤทธิ์กับนลินโผเข้ากอดกันเต็มรัก ท่ามกลางท้องฟ้ากว้าง

ตอนสายวันนั้น เจี๊ยบวิ่งหน้าตาตื่นมาเคาะประตูห้องเรียกปัณรีรัวๆ
“คุณปัณคะ คุณปัณ”
ปัณรีในชุดนอนเปิดประตูออกมา
“อะไรเจี๊ยบ โวยวายแต่เช้าเลย”
“ตำรวจมาถามหาคุณปัณกับคุณพลเพิ่มค่ะ เจี๊ยบบอกไปแล้วว่าไม่อยู่ แต่ดูเหมือนเขาจะไม่เชื่อ”
ปัณรีตกใจ “แล้วตำรวจเขาว่ายังไงบ้าง”
“เขาบอกว่าเดี๋ยวจะกลับมาใหม่ค่ะ”
“แกรีบไปเอาพาสปอร์ตของพี่พลในลิ้นชักห้องทำงานมาให้ฉัน”
เจี๊ยบรีบวิ่งลงไป ปัณรีกลับเข้าห้องทันที

อีกฟากตฤณฤทธิ์กับนลินซุ่มดูอยู่ห่างๆ แอบถ่ายคลิปไว้ด้วยตลอดเวลา เห็นชัยกับจ๊อดคุมคนงานขุดหาของอย่างแข็งขัน
ตฤณฤทธิ์มองสงสัย “คนที่รู้เรื่องทะเลสาบกับเรื่องรอยสลักในคุกก็มีไม่กี่คน ทำไม...รู้ถึงหูพวกขโมยเร็วจัง”
“หรือว่าจะเป็นคนในคะ แล้วเราจะทำยังไงกันดี ติดต่อแจ้งอะไรใครก็ไม่ได้”
“ตอนนี้คงทำอะไรไม่ได้ นอกจากเก็บคลิปพวกนี้ไว้เป็นหลักฐาน เผื่อจะสาวถึงตัวการใหญ่มันได้
“ดูโน่นสิ เหมือนคนพวกนั้นกำลังเจออะไรกันเลย”

คนงานช่วยกันยกหลักประหารขึ้นมาจากดิน
ชัยบอกกับจ๊อด “มึงรีบไปตามนายมาเร็ว”
จ๊อดวิ่งออกไปทางหนึ่ง ตฤณฤทธิ์ใช้กล้องซูมเข้าไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น
“นั่นเหมือนหลักประหารที่ผมเห็นในฝันเลย”
“แล้วพวกเขาจะเอาไปทำอะไรคะ”
ตฤณฤทธิ์กับนลินมองไปทางคนงานแล้วต้องหน้าตาตื่นตกใจ เมื่อเห็นพลเพิ่มกับฌานเดินเข้ามาที่จุดพบหลักประหาร
“ที่พวกแกบอกเจอแล้วนี่คือไอ้แผ่นหินเนี่ยนะ”
พลเพิ่มเข้าไปเตะหลักประหารอย่างหงุดหงิด ฌานมองด้วยสีหน้าไม่สบายใจ พลเพิ่มหงุดหงิดที่ไม่ได้ดั่งใจ สั่งให้คนงานขุดต่อ
“รีบๆ ขุดเข้าก่อนจะมืด มันต้องมีสมบัติสิ จะมีแค่ก้อนหินได้ยังไง”
“ให้คนงานพักกันก่อนเถอะนาย ขุดมานานแล้ว”
ฌาณขอร้องแต่พลเพิ่มไม่ยอม
“ไม่ได้ เราต้องรีบเร่งมือ เดี๋ยวพวกนั้นกลับมา ก็อดกันพอดี”
“แล้วแผ่นหินนี้จะให้เอาไปเก็บไว้ที่เต็นท์เลยไหมครับ” ไอ้จ๊อดถาม
“แผ่นหินนี่น่าจะเกี่ยวกับคนตายหรือหลักประหารสมัยนั้นที่ลงจารึกสะกดวิญญาณไว้ มันเป็นสิ่งอัปมงคล” ฌาณว่า
“งั้นเอามันไว้นี่แหละ”
ตฤณฤทธิ์ถ่ายคลิปไว้ทั้งหมด สองคนมองหน้ากันอึ้งๆ นิ่งงันไป

พลเพิ่มนี่เอง คือตัวการลักลอบขุดและขโมยสมบัติแผ่นดิน!

อ่านต่อตอนที่27 อวสาน


กำลังโหลดความคิดเห็น