xs
xsm
sm
md
lg

สาปกระสือ ตอนที่24 ตฤณฤทธิ์อ่านอักขระโบราณออก

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


สาปกระสือ ตอนที่24 ตฤณฤทธิ์อ่านอักขระโบราณออก

บทประพันธ์และบทโทรทัศน์โดย อาณาจินต์

ตอนสายวันนั้นบุรัณย์ซึ่งพักหลังโชคดีสัญญาณมือถือแรงตลอดๆ ยืนอยู่หน้ากล้องพร้อมกับสารวัตรวิทยา รอโจ๊กตั้งกล้องเพื่อจะรายงานข่าว ไลฟ์สด

“เสร็จหรือยังวะไอ้โจ๊ก นี่มันก็สายมากแล้ว ประเดี๋ยวพวกชาวบ้านก็กลับกันหมดพอดี”
“โถ่พี่ รออีกเดี๋ยวสิ ก็พี่จะไลฟ์สดไม่ใช่เหรอ ต้องรอเวลาทางช่องเขาด้วย”
“รอแป๊บนึงนะครับสารวัตร”
สารวัตรวิทยายิ้มรับ “ไม่เป็นไรครับ”
ชมพู่เดินเข้ามากระแซะถามบุรัณย์
“วันนี้คุณบุรัณย์จะไลฟ์สดด้วยเหรอคะ เอ่อ...ไม่ทราบว่าต้องการคนให้สัมภาษณ์เพิ่มหรือเปล่า ชมพู่ยินดีให้คุณบุรัณย์สัมภาษณ์ได้นะคะ ชมพู่รู้ทุกเรื่องทุกซอกทุกมุมของบ้านพี่แปลกน่ะค่ะ”
เบาเข้ามาแทรกกลางระหว่างบุรัณย์และชมพู่
“ผมนี่ครับ รู้จริงรู้จัง เมื่อคืนผมก็มาเห็นตอนที่นังบัวลอยมันตายกับตาตัวเองเลย”
บุรัณย์รู้สึกขยาดกับความวุ่นวายที่เกิดตั้งแต่เมื่อครั้งก่อนหน้าที่เคยสัมภาษณ์พวกชาวบ้าน
บุรัณย์ยิ้มแห้งๆ “เอ่อ พอดีไลฟ์สด เราต้องรายงานข่าวในแบบที่สามารถควบคุมได้น่ะครับ ถ้าเกิดความวุ่นวายเหมือนเมื่อครั้งก่อน อาจจะทำให้ภาพพจน์ของคนในหมู่บ้านเสียหายได้ ครั้งนี้ผมขอสัมภาษณ์แค่สารวัตรวิทยาก่อนนะครับ”
ชมพู่กะเบาเดินหน้าม่อยออกไป โจ๊กเตรียมกล้องเสร็จและหันบอกบุรัณย์
“เอาล่ะพี่พร้อมแล้ว เตรียมตัวนะ”
บุรัณย์ยืนหน้ากล้องเพื่อเตรียมรายงานข่าวคู่กับสารวัตรวิทยา
เสียงโจ๊กให้สัญญาณ “เริ่ม” ดังขึ้น
“ขณะนี้เราอยู่ที่หมู่บ้านดอนป่าหวาย ซึ่งมีกระแสข่าวเรื่องกระสือออกอาละวาด เมื่อกลางดึกคืนที่ผ่านมา ได้เกิดเหตุสะเทือนขวัญ หญิงท้องแก่วัย 25 ปี ได้เสียชีวิตขณะกำลังคลอดบุตรที่บ้านพักของตนเอง สามีผู้ตายเล่าว่า เห็นหญิงสาวผมยาวที่มีแต่หัวกับไส้ ลักษณะคล้ายกระสือเข้ามากัดกินไส้เมียและลูกของเขาที่อยู่ในท้องจนตาย เรามาฟังความคิดเห็นของเจ้าหน้าที่ตำรวจกันนะครับ ว่าคิดเห็นกับเหตุการณ์นี้อย่างไร”
บุรัณย์ยื่นไมค์ไปที่สารวัตรวิทยา
“ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจมองว่า สามีของผู้ตายคงเสียใจมากที่เห็นลูกเมียเสียชีวิตต่อหน้าต่อตา จึงทำให้เกิดภาพหลอน หรืออาจจะเกิดจากฆาตกรโรคจิตที่ต้องการปิดบังตนเอง โดยปลอมตัวให้คล้ายกับผีกระสือ ดังนั้นผู้ต้องสงสัยในคดีนี้ จึงน่าจะเป็นฆาตกรต่อเนื่องที่กำลังออกอาละวาดอยู่ในขณะนี้ ตอนนี้ตำรวจกำลังเร่งสืบคดีและตามจับฆาตกรโรคจิตรายนี้อยู่ครับ”
บุรัณย์สรุปรายงาน “และนั่นก็เป็นเหตุการณ์และความคิดเห็นของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งเราก็หวังว่าทางเจ้าหน้าที่จะสามารถจับคนร้ายมาลงโทษได้โดยเร็ว บุรัณย์ ทันทุกสถานการณ์ รายงาน ณ หมู่บ้านดอนป่าหวาย”
ชมพู่ เบา และผัน ยังคงเดินวนไปมาที่ด้านหลังคนทั้งคู่เพื่อให้ตนเองได้ติดอยู่ในเฟรมกล้อง
เสียงโจ๊กสั่ง “คัต” ดังลั่น

ปัณรีเปิดดูรายงานข่าวนั้นในโทรศัพท์มือถือ
“และนั่นก็เป็นเหตุการณ์และความคิดเห็นของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งเราก็หวังว่าทางเจ้าหน้าที่จะสามารถจับคนร้ายมาลงโทษได้โดยเร็ว บุรัณย์ ทันทุกสถานการณ์ รายงาน ณ หมู่บ้านดอนป่าหวาย”
เธอดูไลฟ์สดจากโทรศัพท์อยู่ภายในรถ สีหน้าไม่พอใจ
“ทุกอย่าง มันเป็นเพราะแกนังนลิน เพราะแกคนเดียว แกต้องถูกตามล่า ไม่ใช่ฉัน มันต้องเป็นแก”
ปัณรีพูดออกมาอย่างเคียดแค้น

กำนันสินเชื้อเชิญอาจารย์ฌาณมาทำพิธีนั่งทางในตามความเชื่อ เพื่อหาว่าใครฆ่าบัวลอย เวลานี้ ฌานกำลังนั่งสมาธิทำพิธีอยู่บริเวณลานบ้านกำนัน โดยมีบรรดาชาวบ้านนั่งรวมกลุ่มอยู่ด้วยความหวาดกลัว
บุรัณย์และโจ๊ก ช่วยกันบันทึกภาพการทำพิธี โดยมีตฤณฤทธิ์และนวลยืนดูอยู่ไกลๆ
“นี่ขนาดตำรวจยืนยันว่าเป็นฝีมือฆาตกรโรคจิตนะครับ” ตฤณฤทธิ์ว่า
นวลมองตามอย่างเก็บรายละเอียด
ฌานลืมตาขึ้นเหมือนสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง
กำนันสินถามอย่างตื่นเต้น “เป็นยังไงบ้างครับอาจารย์ นังบัวลอยมันตายเพราะอะไร”
“ผีกระสือ...”
ฉัตรฉายผสมโรงขึ้นมาทันที “เห็นไหมล่ะ ฉันบอกแล้วว่ามันต้องเป็นผีกระสือจริงๆ ตอนนี้มันฆ่าคนไปแล้ว 2 ศพ ต่อไปใครกันจะเป็นศพรายต่อไป”
พวกชาวบ้านต่างแตกตื่นตกใจ
“นังผีกระสือมันเป็นใครกันอาจารย์ บอกพวกเรามาเถอะ พวกเราจะได้หาวิธีจัดการมันก่อนที่มันจะมาฆ่าพวกเรา”
ชาวบ้านส่งเสียงเซ็งแซ่ “ใช่ๆ” / “บอกมา บอกพวกเรามา”
ฌานหน้าเครียด “ไม่รู้ ข้าไม่รู้ว่ามันเป็นใคร มันคอยปิดบังตัวมันไว้ ไม่ยอมให้ใครเห็น”
“ต้องเป็นยัยนลิน หลานสาวยายเพียรแน่ๆ มันสืบต่อความเป็นทายาทกระสือต่อจากยายเพียร” ฉัตรฉายบอกเสียงดัง
เบาเสริมว่า “แล้วยิ่งตอนนี้ก็หลบหน้า หายตัวไปเหมือนที่อาจารย์ฌานบอกด้วย”
เหล่าชาวบ้านเริ่มสับสน เหตุการณ์วุ่นวายมากขึ้น
“เอาละๆ ข้าจะทำพิธีรดน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์ป้องกันภูตผีปีศาจให้ เข้ามาๆ ขยับกันเข้ามาใกล้ๆ
เหล่าชาวบ้านเริ่มกรูกันเข้ามารับน้ำมนต์
ฌานทำพิธีพรมน้ำมนต์ให้กับชาวบ้าน

บุรัณย์กำลังสัมภาษณ์กำนันสิน มีโจ๊กเป็นตากล้องให้
“ทำไมวันนี้กำนันสินถึงต้องเชิญอาจารย์ฌานมาทำพิธีในหมู่บ้านด้วยครับ”
“ก็เพราะว่าตอนนี้ หมู่บ้านเราเจอผีกระสืออาละวาดอย่างหนัก”
“กำนันเชื่อร้อยเปอร์เซ็นต์เลยหรือครับว่าเป็นฝีมือผีกระสือ”
“ครับ มันใช่กระสือแน่ครับ ผมเห็นมากับตา”
โฉมศรีและฉัตรฉาย เสนอหน้าเข้ามาแทรกกลางระหว่างบุรัณย์กับกำนัน
“ฝีมือผีกระสือล้านเปอร์เซ็นค่ะ” โฉมศรีบอก
“ตอนนี้พวกเราเลยต้องอยู่กันอย่างหวาดกลัว โดยไม่รู้ว่าใครจะเป็นรายต่อไป” ฉัตรฉายเสริม
“ใครรู้จักยัยนลิน หลานสาวยายเพียรก็ให้ระวังไว้นะคะ มันเป็นกระสือ” โฉมศรีบอก
บุรัณย์ตกใจรีบสั่งให้โจ๊กหยุดถ่าย
ชมพู่และนวลเดินหน้าตึงเข้ามา ด่าด้วยความโกรธ
“นี่นังคุณนายปากเน่า จะพูดจะจาอะไรระวังปากหน่อย ประเดี๋ยวก็ได้โดนฟ้องข้อหาหมิ่นประมาทหรอก”
“หมิ่นประมาทอะไร ฉันพูดเรื่องจริง”
“เรื่องจริงอะไร พูดจาให้มันดีๆ เคยเห็นกระสือกับตาตัวเองหรือไง” นวลย้อน
โฉมศรีอึกอัก “เคยเห็นสิ ใครๆ เขาก็เห็นกัน ไอ้แสงแว้บๆ ที่มันชอบลอยอยู่ในป่านั่นไง”
“แล้วไอ้แสงนั่นมันเป็นหน้าคุณหนูของฉันหรือไง”
โฉมศรีโดยจี้เข้าก็พูดไม่ออก ฉัตรฉายรีบแทรกขึ้นแทน
“ต่อให้ไม่เห็นจังๆ ทุกคนเขาก็รู้ว่านังนลินมันเป็นกระสือ”
“อ้าว พูดถึงขั้นนี้ คงต้องให้คุณชลันตียื่นฟ้องให้หมดตัวเลยซะดีไหม” นวลจ้องหน้าแม่ลูก
“ฟ้องได้ยังไง แกมีหลักฐานอะไรมาฟ้องหมิ่นประมาทฉัน”
“ก็เทปของนักข่าวไงล่ะคุณนาย หลักฐานชัดเจน คราวนี้พวกฉันคงได้เห็นคนรวยหมดตัวเพราะโดนฟ้องกันบ้างล่ะ”
ชมพู่บอก แล้วหันไปหัวเราะกับนวลอย่างสะใจ โฉมศรีและฉัตรฉายหน้าจ๋อยไป

ตฤณฤทธิ์เดินออกมาที่รถบริเวณริมรั้วบ้านกำนัน พร้อมกับบุรัณย์และนวล
“นี่ป้านวลจะใช้เทปของผมฟ้องคุณโฉมศรีจริงๆ หรือครับ” บุรัณย์ถามขึ้น
“ฉันก็พูดขู่ยัยคุณนายนั่นไปอย่างนั้นล่ะค่ะ โดนขู่ไปแบบนี้ไม่รู้ว่าจะเงียบปากไปได้นานแค่ไหน”
บุรัณย์ขำ “น่าจะได้สักระยะมั้งครับ”
“ฉันเชื่อคนอย่างยัยคุณนาย พรุ่งนี้ก็คงเริ่มหาเรื่องใหม่อีก”
ตฤณฤทธิ์หนักใจ “อย่างนั้นเราต้องรีบหาวิธีแก้คำสาปให้ได้เร็วๆ”
“แล้วนี่พี่ตฤณจะไปไหนครับ”
“พี่ว่าจะไปขอข้อมูลจากอาจารย์ที่เชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์ เผื่อจะได้ข้อมูลอะไรดีๆ หาหนทางแก้คำสาป”
“ดีครับพี่”
“ฝากด้วยนะคะคุณตฤณ”
“ครับ ถ้าเราช้าไปมากกว่านี้ ผมว่านลินจะต้องเดือดร้อนเพราะความเข้าใจผิดของทุกคนแน่ๆ”
ตฤณฤทธิ์ขึ้นรถแล้วขับออกไปทันที บุรัณย์และนวลมองตามไปด้วยความหวัง

ส่วนฌานยืนหลบมุมอยู่ ก่อนจะหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดโทร.ออก เสียงสัญญาณโทรศัพท์ดังอยู่พักใหญ่ไม่มีคนรับ ฌานหน้าเครียด จนกระทั่งมีคนรับ
“สวัสดีค่ะ”
“คุณปัณ ฝีมือคุณใช่ไหม”
ฌานนิ่งฟังด้วยสีหน้าจริงจัง

บริเวณป่าข้างทางเงียบสงบ ไร้ผู้คนสัญจรไปมา ฌานยืนรออยู่ตรงมุมลับตาในนั้น กระทั่งรถของปัณรีวิ่งเข้ามาจอด ปัณรีลงรถมาในสภาพสวมแว่นตาดำและใช้ผ้าพันคอเอาไว้ เดินนวยนาดตรงมาหาฌานโดยไม่รู้สึกเป็นเดือดเป็นร้อนอะไร
ฌานจ้องปัณรีเขม็ง “ผู้หญิงท้องที่ตายเป็นฝีมือคุณใช่ไหมคุณปัน”
“เปล๊า ฉันไม่ได้ทำ ฉันไม่รู้เรื่อง”
“ถ้าคุณไม่รู้เรื่องแล้วใครจะรู้”
“อาจจะเป็นนังนลินก็ได้ ในโลกนี้มีฉันเป็นกระสือคนเดียวซะที่ไหน”
ฌานนิ่งมองปัณรีอย่างรู้ทัน ก่อนจะเดินเข้าไปดึงผ้าพันคอออกจากคอปัณรีอย่างเร็ว ปัณรีตกใจ
“ว้าย”
“นี่น่ะเหรอที่คุณบอกว่าไม่รู้เรื่อง เมื่อคืนคุณถอดหัวไปกินไส้คนท้องกับเด็กมา คุณคิดว่าผมไม่รู้หรือไง”
ปัณรีเริ่มกลัว มีท่าทีลนลานเพราะรู้ว่าฌานเก่งแค่ไหน
“ฉันไม่ได้ตั้งในนะอาจารย์ มันเป็นไปของมันเอง ฉันห้ามมันไม่ได้”
“ถ้าคุณยังเที่ยวไล่ล่าคนอยู่อย่างนี้ สักวันคุณจะต้องถูกจับได้”
“ไม่นะอาจารย์ ถ้าฉันถูกจับได้คนพวกนั้นต้องฆ่าฉันแน่ๆ อาจารย์ต้องช่วยฉันนะ อาจารย์อยากได้เงินทองเท่าไหร่ฉันจะหามาให้ แต่อาจารย์ต้องช่วยฉัน หาวิธีให้ฉันหายจากการเป็นกระสือ แล้วก็อย่าให้ใครรู้เรื่องที่ฉันทำเด็ดขาด”
ฌานคิดหนัก

ฝั่งตฤณฤทธิ์และมธุรสกำลังง่วนอยู่กับการเทียบตัวอักษรในหนังสือ
“ตัวอักษรพวกนี้มันก็คล้ายกันนะคะ แต่ก็ยังไม่ใช่”
“อืม...พี่ก็เห็นว่ามันคล้ายกัน แต่มันยังแปลไม่ออก”
ตฤณฤทธิ์มีอาการเครียดอย่างเห็นได้ชัด มธุรสมองอย่างเห็นใจ
“พักสักหน่อยดีไหมคะพี่ตฤณ เดี๋ยวรสชงกาแฟให้”
มธุรสลุกไปชงกาแฟ ขณะที่ตฤณฤทธิ์ยืดตัวตรงบิดคอเพื่อคลายความเมื่อยล้า
ระหว่างนี้บุรัณย์และวิศวัตเดินเข้ามาในห้อง
“ทำอะไรกันอยู่ครับอาจารย์ โห...หนังสือกองเป็นภูเขาเลย”
บุรัณย์และวิศวัตเดินเข้าไปดูกองหนังสือ และเห็นแผ่นกระดาษตัวอักษรโบราณวางอยู่
บุรัณย์เอ่ยทัก “นี่มันอักขระที่อยู่บนกำแพงหรือเปล่าครับพี่”
“ใช่ ฉันกับรสกำลังค้นกันอยู่ว่ามันแปลว่าอะไรกันแน่”
“งานยากเลยนะครับ ขนาดอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญโบราณคดียังไม่รู้ แล้วใครจะรู้” วิศวัตสัพยอก
“ไอ้นี่ ก็พูดซะฉันเป็นผู้หยั่งรู้คนเดียวในโลก”
“อยากให้ช่วยไหมครับพี่ตฤณ”
“ก็ดีนะ หลายคนช่วยกันงานก็จะสำเร็จได้เร็วขึ้น”
วิศวัตโวยวายออกตัว “ผมไม่เอานะครับอาจารย์ งานนี้มันเกินความสามารถของผม”
มธุรสเดินเอากาแฟมาส่งให้ตฤณฤทธิ์ เขารับไปจิบดื่ม
“ยังไม่ลองจะรู้ได้ยังไงว่าความสามารถเราไม่ถึง”
“นั่นสิ ถ้างานนี้เธอทำสำเร็จ ก็เอาปริญญาไปเลย”
ตฤณฤทธิ์ปรินท์ภาพอักขระโบราณตัวใหญ่ในกระดาษ A4 หลายๆ ใบ แล้วเอาไปติดไว้ที่บอร์ด
“ทางลัดสู่ปริญญาเชียวนะวัต ไม่สนใจหรือไง” มธุรสว่า
คราวนี้วิศวัตตาโตขึ้นมาอย่างมีความหวัง
“จริงนะอาจารย์”
วิศวัตหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋าแล้วกดเซลฟี่ภาพตัวเอง
“คลิปนี้ผมจะใช้เป็นหลักฐานคำสัญญาของอาจารย์ตฤณฤทธิ์ สุวรรณครา ถ้าผมสามารถค้นหาความหมายของอักขระบนกำแพงปราสาทอนันตาปุระได้ อาจารย์จะให้ผมจบปริญญาทันที”
บุรัณย์เห็นแล้วยังตกใจ
“เฮ้ย! เอางั้นเลยหรือ”
วิศวัตเดินปรี่ไปหาตฤณฤทธิ์ พร้อมกับเซลฟี่ตนเองกับตฤณฤทธิ์คู่กัน โดยที่ด้านหลังเป็นบอร์ดที่ตฤณฤทธิ์เพิ่งจะติดกระดาษเสร็จ
“อาจารย์ครับ ช่วยพูดยืนยันด้วยครับ”
ตฤณฤทธิ์ขำกับท่าทางตลกๆ ของวิศวัต มองที่กล้องแล้วพูดออกไปว่า
“ครับ ผมตฤณฤทธิ์ สุวรรณครา ขณะที่พูดอยู่นี้ผมมีสติสัมปชัญญะครบถ้วนทุกประการ ผมรับรองด้วยเกียรติ ถ้านายวิศวัต สามารถถอดอักขระโบราณบนกำแพงปราสาทอนันตาปุระออกมาได้...”
อยู่ๆ ตฤณฤทธิ์ก็ชะงัก เหมือนเห็นอะไรบางอย่างที่หน้าจอมือถือ เขาหยุดพูดแล้วเพ่งมองอย่างเอาจริงเอาจัง ขณะที่วิศวัตคิดว่าตฤณฤทธิ์แกล้ง
“เอ้า อาจารย์พูดต่อสิครับ ผมกะแล้ว... ว่าอาจารย์ต้องล้อผมเล่น”
วิศวัตลดโทรศัพท์ลงอย่างน้อยใจ ตฤณฤทธิ์รีบคว้าโทรศัพท์มาจากมือวิศวัต
“เดี๋ยวก่อนวัต ฉันขอยืมโทรศัพท์ก่อน”
วิศวัต มธุรสและบุรัณย์ เห็นท่าทางตฤณฤทธิ์แล้วก็ต้องตกใจ
ตฤณฤทธิ์เคลื่อนกล้องเข้าไปใกล้ๆ อักขระที่อยู่บนบอร์ดและมองอย่างตกใจ เขามองตัวหนังสือที่บอร์ด ก่อนจะพูดลอยๆ ออกมาเบาๆ
“อ่านออกแล้ว”

เช้าวันใหม่ ตลาดคึกคักเช่นทุกวัน เจ๊หวี ชมพู่ ผันและชาวบ้านกำลังเลือกซื้อของกันในตลาด สักพักก็เห็นปัณรีเดินนำฉัตรฉายและเบาเข้ามาในตลาด
ปัณรีส่งสัญญาณให้ฉัตรฉายเริ่มพูดในสิ่งที่เตรียมกันมา ฉัตรฉายพยักหน้ารับก่อนจะเริ่มพูดขึ้นมาเสียงดัง เล่นใหญ่จัดเต็ม
“ว้าย อาจารย์ฌานบอกคุณปัณเองเลยเหรอคะว่า กระสือที่กินไส้นังบัวลอยกับลูก เป็นนลินหลานสาวยายเพียร ตายแล้ว...ตายๆๆๆๆ”
บรรดาชาวบ้านได้ยินเสียงเอะอะโวยวายของฉัตรฉายก็เริ่มทยอยเดินกันเข้ามาด้วยความอยากรู้
ปัณรีรับลูกทันที “ใช่ เธอก็รู้นี่ว่าฉันเป็นใคร อาจารย์ฌานเป็นลูกน้องของพี่ชายฉัน แค่ฉันสั่งว่าต้องการจะรู้ตัวจริงของนังกระสือว่าเป็นใคร อาจารย์ฌานก็รีบนั่งทางใน ถอดจิตไปดูมาให้ อาจารย์ยังบอกว่านังปีศาจตัวนี้มันร้ายมาก มันชอบกินไส้คน และมันจะต้องฆ่าคนอีกแน่ๆ”
เบาเสริมต่อ “แย่แล้วๆ พวกเรา กระสือนั่งเป็นคุณลินหลานยายเพียรจริงๆ แล้วพวกเราจะทำยังไงกันดี จะมีชีวิตรอดกันต่อไปได้ยังไง แบบนี้พวกเราต้องไปจัดการมัน”
ชาวบ้านพากันกลัว และเริ่มคล้อยตาม เห็นด้วย
“ใช่ๆ พวกเราต้องไปจัดการมัน ไปจัดการมัน”
เจ๊หวีนิ่งฟังอยู่นาน เริ่มทนไม่ได้
“คุณลิน เขาไม่ได้อยู่ในหมู่บ้านเราตั้งนานแล้ว จะใส่ร้ายใครก็หัดดูตาม้าตาเรือซะบ้าง”
“นังนั่นมันคงหลบซ่อนตัวอยู่ อย่างที่อาจารย์ฌานบอกน่ะสิ” ปัณรีโต้
“มันคงซุ่มรอจังหวะที่ใครสักคนเผลอ แล้วแอบมากินไส้กินตับแล้วก็หนีไป” ฉัตรฉายบอก
ชมพู่หมั่นไส้ “โอ๊ย…ช่างจินตนาการสูงจังเลยนะ นังคุณนายเพ้อฝัน เล่าได้เป็นฉากๆ แบบนี้ดูท่าจะเป็นกระสือซะเองซะละมั้ง”
ปัณรีร้อนตัว “พูดอะไรน่ะ ฉันเป็นคนนะ ไม่ใช่ผีกระสือ และที่มาบอกวันนี้ ก็เพราะอยากให้พวกหล่อนตาสว่าง เลิกเห็นกงจักรเป็นดอกบัวซะที”
“พวกฉันไม่ใช่แค่ตาสว่างหัวใจพวกฉันก็สว่างด้วย มองปร๊าดเดียวก็รู้ว่า ใครเป็นคนดี ใครเป็นคนเลว”
ตอนท้ายประโยคเจ๊หวีหันไปว่าใส่พวกฉัตรฉาย
“นี่แก แกว่าพวกฉันเป็นคนเลวเหรอนังกะเทยจมูกบาน”
“เออซิ นังเด็กนมซิลิโคน”
ฉัตรฉายกรี๊ดๆๆ “อร๊ายยย แกๆ แกตาย”
ฉัตรฉายรับไม่ได้ที่โดนใครด่าว่าเรื่องนมเล็ก กระโจนเข้าไปตบเจ๊หวีทันที เจ๊หวีหลบแล้วตบสวนกลับไปอย่างคล่องแคล่ว ฉัตรฉายไม่ยอมแพ้พุ่งเข้าไปชนเจ๊หวีจนล้มไปด้วยกัน แล้วขึ้นนั่งคร่อมเจ้หวีแล้วตบหน้าเจ๊หวีไม่ยั้ง ชมพู่รีบเข้ามาช่วยเจ๊หวี เบาก็เข้ามาช่วยฉัตรฉายเลยถูกชมพู่ถีบออกไป เบาเผลอตัวลุกขึ้นมาจะตบชมพู่ ผันรีบเข้ามาช่วยเมียต่อยเบาจนคว่ำ แล้วชมพู่ก็ช่วยผันรุมตบตีเบา
“ไอ้เบา แกจะตบฉันเหรอ นี่แน่ะๆๆ”
ทุกคนตบตีและช่วยกันจนชุลมุนวุ่นวายไปหมด ปัณรีนิ่งยืนมองทุกคนตบตีกันอย่างสะใจ

ในเวลาต่อมา เห็นชมพู่นั่งทำแผลให้เจ๊หวี และผัน อยู่ในร้านกาแฟ
“โอ๊ย! เบาๆ หน่อยสินังพู่ นี่มันมือคนหรือมือควายกันยะ ทายาเหมือนกระทืบซ้ำ”
“แหมเจ๊ ก็หน้าเจ้บวมขนาดนี้ แตะนิดก็เจ็บหนักเป็นธรรมดา ทนหน่อยนะ ทนหน่อย”
“เจ๊ยังดีนะโดนแค่ตบ ผมสิโดนหมัดซ้ายไอ้เบาไปเต็มๆ เลย โอ๊ย”
ตฤณฤทธิ์ บุรัณย์และนวลเดินเข้ามา เจ๊หวีมองเห็นจึงร้องทัก
“อ้าว คุณตฤณ คุณบุรัณย์ ป้านวล”
ทั้งสามหันมาเห็นสภาพเจ๊หวีก็ตกใจ ก่อนจะเดินเข้ามาหาด้วยความเป็นห่วง
“นี่เกิดอะไรขึ้นครับ ทำไมบาดเจ็บกันขนาดนี้”
เจ๊หวีลุกจากเก้าอี้ เข้าไปซบอกตฤณฤทธิ์แล้วพูดเสียงอ้อน
“คุณตฤณ คุณตฤณต้องช่วยพวกหวีนะคะ นังชาช่ามันรังแกหวี”
ตฤณฤทธิ์อึ้งไปก่อนจะรีบถอยห่างออกมาอย่างไม่ให้น่าเกลียด
“อย่างเจ๊หวีนี่นะครับถูกรังแก”
“ใช่ค่ะ นังช่ามันตบ ตบ แล้วก็ตบ หวี จนหวีหน้าพังยับแบบนี้”
เจ๊หวีเล่าพร้อมกับทำท่าประกอบว่าโดนตบให้ตฤณฤทธิ์ดู
“นี่มันเรื่องอะไรกันครับ พวกผมงงไปหมดแล้ว ทำไมถึงตบกัน” บุรัณย์งงมาก
“ก็วันนี้คุณปัณรีกับนังชาช่า มันมาที่ตลาด มาป่าวประกาศบอกว่าคุณลินเป็นกระสือตัวจริง และกำลังจะไล่ล่า ฆ่าผู้คนในหมู่บ้าน”
“พวกหวีก็เลยทนไม่ได้ ต้องเข้าไปตบล้างปากพวกมัน โอ๊ย”
เจ๊หวีออกท่ามากไปหน่อยเลยรู้สึกเจ็บแผลที่ปาก
“แล้วพวกชาวบ้านเชื่อเรื่องที่พวกนั้นพูดกันหรือเปล่า” นวลถาม
“ตอนแรกๆ ก็คงไม่อยากเชื่อกันหรอกค่ะป้านวล แต่พอได้ยินพวกนั้นพูดบ่อยๆ เข้าก็ชักจะเริ่มเอนๆ ไปบ้างแล้ว” ชมพู่ว่า
“พวกหวีก็ช่วยกันเถียงสุดฤทธิ์เลยนะป้านวล” เจ๊หวีหน้าเศร้าลง “แต่ก็ไม่รู้ว่าจะช่วยได้มากแค่ไหน”
“ดูเหมือนพวกเธอก็เริ่มจะสงสัยคุณลินแล้วเหมือนกันล่ะสิ” นวลมองหน้าสามคน
เจ๊หวี ชมพู่ และผันรีบปฏิเสธขึ้นพร้อมกันอย่างร้อนตัว
“เปล่าๆ เปล่านะคะ” / “เปล่าๆ เปล่านะครับ”
“พวกเราเชื่อมั่นและภักดีต่อครอบครัวยายเพียร แต่พอพวกเขาหาว่าคุณลินกลัวถูกจับได้ว่าเป็นกระสือเลยหนีไปซ่อนตัว พวกเราก็ไม่รู้ว่าจะเถียงพวกนั้นว่ายังไง” เจ๊หวีบอก
“แล้วอีกอย่างคุณลิน อยู่ดีๆก็หายหน้าหายตาเหมือนอย่างที่พวกนั้นพูดด้วย” ชมพู่ว่า
นวลนิ่งฟังแล้วหันมองตฤณฤทธิ์เชิงหารือ ตฤณฤทธิ์มองตอบแล้วพยักหน้าให้ป้านวล
นวลถอนหายใจเหมือนตัดสินใจอะไรบางอย่าง ก่อนพูดเชิงถามขึ้น
“พรุ่งนี้พวกเธอสองคนว่างหรือเปล่า”

ท่ามกลางบรรยากาศร่มรื่นของวัดป่าตอนกลางวันในวันต่อมา นลินกำลังเดินจงกรมอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ สีหน้าสงบนิ่งและผ่อนคลาย
นวล บุรัณย์และตฤณฤทธิ์เดินนำเจ๊หวีและชมพู่เดินเข้ามาภายในวัด เจ๊หวีมองไปรอบๆ ด้วยความแปลกใจ
“ป้านวลกับคุณตฤณ พาพวกหวีมาทำอะไรที่วัดเหรอคะ”
“ใช่ค่ะ ปกติเจ๊หวีแกไม่ค่อยถูกโฉลกกับวัดกับป่าช้าหรอกนะคะ เพราะกลัวเจอพวกเดียวกัน” ชมพู่แซว
“นังพู่ พูดให้มันดีๆ หน่อย ฉันยิ่งกลัวบรรยากาศเงียบๆ แบบนี้อยู่ด้วย”
“ฉันจะพาพวกเธอมารับรู้ความจริงน่ะสิว่าอะไรคืออะไร” นวลบอก
เจ๊หวีงง “ความจริง? ความจริงอะไรคะป้านวล”
จนกระทั่งทุกคนเดินมาถึงใต้ต้นไม้ที่นลินกำลังเดินจงกรมอยู่ เจ๊หวีและชมพู่มองเห็น ทั้งคู่ตกตะลึงก่อนจะตะโกนขึ้นพร้อมกัน
“คุณลิน”
นลินหันมองตามเสียงแล้วยิ้มดีใจ
เจ๊หวีและชมพู่รีบวิ่งเข้ามาหานลินด้วยความดีใจ นวลและตฤณฤทธิ์เดินตาม
“เจ๊หวี พี่ชมพู่ มาที่นี่ได้ยังไงกันคะ”
“ป้านวลกับคุณตฤณพามาค่ะ”
“แหม...ที่คุณลินหายหน้าหายตาไป ที่แท้ก็มาถือศีลอยู่ที่วัดป่านี่เอง”
อีเจ๊หันมาทางด็อกเตอร์ “คุณตฤณนี่ก็เก็บเงียบเลยนะคะ ปล่อยให้คนอื่นๆ เขาเข้าใจคุณลินผิดอยู่ได้ น่าตีจริงๆ เชียว”
“เป็นความตั้งใจของลินน่ะครับ ลินเขาไม่อยากให้บอกเรื่องนี้กับใคร”
“นี่พอคนเขาไม่รู้เรื่องจริง เขาก็เอาไปเม้ากันว่าคุณลินเป็นกระสือฆ่าคน แบบนี้มันแย่นะคะ”
นลินมีสีหน้าตกใจ
“มีกระสือฆ่าคนอีกแล้วเหรอคะ”
หลวงตาคำและแม่ชีนราเดินเข้ามาสมทบ
ทุกคนพนมมือไหว้หลวงตาคำ
“เจริญพรเถอะโยม วันนี้ทำไมมากันเยอะเชียว”
“พอดีที่หมู่บ้านมีคนตาย แล้วก็มีคนปล่อยข่าวลือว่าลินเป็นผีกระสือออกล่ากินคนน่ะครับ” ด็อกเตอร์บอก
“พวกเราจึงชวนเจ๊หวีกับชมพู่ มาดูให้เห็นกับตาว่า คุณหนูมาบวชถือศีลอยู่ที่วัด ไม่ได้เป็นอย่างที่ชาวบ้านเขาเล่าลือกัน” นวลเสริม
หลวงตาคำพยักหน้าเข้าใจ “จริงโยม เรื่องนี้อาตมายืนยันได้ โยมลินถือศีลอยู่ทีวัดนี้มาได้พักใหญ่แล้ว”
“และลินก็อยู่กับเราที่นี่ตลอด” นราบอก
“ค่ะ พวกเราเห็นแบบนี้แล้ว พวกเราก็เชื่อร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าคุณลินไม่ใช่ผีกระสือที่เที่ยวฆ่าคนในหมู่บ้าน จริงไหมนังพู่”
“จริงๆ จ้าจริง คราวนี้ละ ฉันจะไปเย็บปากมันทุกคน ที่กล้าใส่ร้ายคุณลินของเรา”
“ไม่ต้องห่วงนะคะคุณลิน อยู่ที่นี่ทำจิตใจให้สงบ ไม่ต้องกังวลเรื่องอะไรทั้งนั้น เดี๋ยวพวกเราจะช่วยคุณลินแก้ข่าวชุ่ยๆ ของพวกนางอิจฉานั่นให้เอง”
เจ๊หวีและชมพู่พยักหน้าให้กันสีหน้ามุ่งมั่น
ทุกคนยิ้มมองความจริงใจของเจ๊หวีและชมพู่อย่างมีความสุข

เจ๊หวี ชมพู่ ตฤณฤทธิ์ บุรัณย์ และนวล ก้มกราบพระประธานในโบสถ์ เจ๊หวีและชมพู่นิ่งมองไปรอบๆ โบสถ์ด้วยสีหน้าอิ่มเอมใจรับรู้ถึงความสงบ
“ที่นี่ช่างเงียบสงบ เหมาะแก่การถือศีล ภาวนาจริงๆ เลยนะคะคุณลิน”
“ค่ะ เจ๊หวีอยากมาถือศีลด้วยกันไหมล่ะคะ”
“โอ๊ะๆๆๆ ไม่ล่ะค่ะ ถ้าแค่ผ่านไปผ่านมาล่ะพอไหว แต่ถ้าจะให้มาอยู่ยาวๆ อย่างคุณลินคงต้องขอคิดดูก่อน”
ชมพู่ล้อ “คนบาปหนาก็อย่างนี้ล่ะค่ะคุณลิน”
“ชมพู่ อยู่ในวัดฉันไม่อยากทำบาปนะยะ เอ่อ...คุณลินคะ ไม่ทราบว่าที่นี่มีห้องน้ำหรือเปล่าคะ พอดีนั่งรถมาไกล”
“มีค่ะ ที่กุฏิแม่ชีก็มี ไปเข้าได้ เดี๋ยวลินพาไปค่ะ”
“ไม่เป็นไรครับคุณลิน เดี๋ยวผมพาไปเอง”
“พู่ไปด้วยค่ะ”
บุรัณย์ พาเจ๊หวีและชมพู่ลุกขึ้น ค้อมตัวเดินออกจากโบสถ์ไป
กระทั่งบุรัณย์ เจ๊หวีและชมพู่ลับตาไปแล้ว ตฤณฤทธิ์จึงพูดขึ้น
“ทุกคนครับ ผมมีข่าวดีจะบอก ตอนนี้ผมรู้วิธีที่จะอ่านอักขระที่กำแพงหินนั่นแล้วนะครับ”
นลินฟังแล้วดีใจ “จริงเหรอคะคุณตฤณ”
“จริงครับ และอีกไม่กี่วัน ผมก็จะเข้าไปที่ปราสาทเพื่ออ่านอักขระ บางทีมันอาจจะช่วยแก้คำสาปให้กับคุณก็ได้”
หลวงตาคำหยิบบทสวดใบลานส่งให้กับตฤณฤทธิ์
“เอาบทสวดนี่ไปด้วย เอาไปสวดประกอบกันเพื่อป้องกันสิ่งชั่วร้ายที่อาจมาขัดขวางคุณ”
ตฤณฤทธิ์รับบทสวดใบลานจากหลวงตา
“ขอบพระคุณครับ”
“ปราสาทนั้นเป็นปราสาทเก่าแก่ อาจมีพลังงานหรือสิ่งชั่วร้ายแอบแฝงอยู่ คุณต้องระวังตัวเองให้ดี” นราเตือน
นลินเห็นด้วย “จริงอย่างคุณแม่ว่านะคะ คุณต้องระวังตัวให้มากๆ”
ตฤณฤทธิ์ยิ้มดีใจ “ครับ ผมจะระวัง รักษาตัวเองให้ดีไม่ต้องเป็นห่วง ตราบใดที่คุณยังไม่ปลอดภัย ผมจะไม่ยอมเป็นอะไรไปเด็ดขาด”
ตฤณฤทธิ์จ้องมองนลินแล้วสิ่งยิ้มหวานให้จนนลินรู้สึกเขินอาย นวลสะกิดเตือนตฤณฤทธิ์
“คุณตฤณคะ คุณหนูถือศีลนุ่งห่มขาวอยู่นะคะ”
ตฤณฤทธิ์รู้สึกตัว รีบขอโทษ
“เอ่อ ผมขอโทษครับ”
ทุกคนหัวเราะขำกับท่าทางเงอะงะของตฤณฤทธิ์

บุรัณย์พาเจ๊หวีและชมพู่เดินเล่นรอบๆ วัด
“เห็นแบบนี้แล้วก็อยากมาบวชบ้างจังเลยนะคะ” เจ๊หวีปรารภ
“อ้าวเจ๊ ไหนเมื่อกี้บอกว่ามาถือศีลอยู่วัดไม่ได้ไง”
“ฉันหมายถึงบวชพระย่ะ เพราะเมื่อก่อน พ่อแม่ฉันอยากให้บวชเป็นพระ” อีเจ๊หันมาหาบุรัณย์เสียงอ่อนลง “แต่หวีกลับเปลี่ยนใจมาเป็นกะเทยซะก่อน”
“ถึงเป็นกะเทยก็บวชได้นี่เจ๊ ฉันเห็นเขาบวชกันเยอะแยะไป” ชมพู่ว่า
“ที่ฉันไม่ยอมบวชเพราะฉันกลัวศาสนาแปดเปื้อนย่ะ เพราะฉันยังตัดกิเลสไม่ได้”
ท้ายประโยคเจ๊หวีเข้ามาคล้องแขนบุรัณย์ทำหน้าอ้อน บุรัณย์แกะแขนเจ๊หวีออก
“งั้นผมก็ขออนุโมทนาบุญด้วยนะครับ ที่เจ๊หวีคิดได้อย่างนี้”
บุรัณย์รีบเดินทำออกไป เจ๊หวีฮึดฮัดขัดใจครู่หนึ่งจึงเดินตาม ชมพู่เห็นแล้วก็ขำตามกันไป

ที่โบสถ์วัดป่าเวลานั้น เจ๊หวี ชมพู่ ตฤณฤทธิ์ บุรัณย์และนวล ก้มกราบลาหลวงตาคำ
“เจริญพร เดินทางปลอดภัยกันทุกคนนะโยม”
“หลวงตาคะ ก่อนกลับหวีขอบทสวดมนต์สักบทที่ช่วยทำให้ใจเย็นลงได้ไหมคะ”
หลวงตานิ่งมองเจ๊หวีอย่างสงสัย
“พอดีเจ๊หวีเขาเป็นคนประเภทจิตใจอ่อนไหว โดนอะไรกระทบเข้าหน่อยก็ของขึ้นเป็นประจำน่ะค่ะหลวงตา” ชมพู่อธิบาย
“เมื่อกี้พอหวีได้ไปเดินดูรอบๆ วัดแล้ว รู้สึกสงบขึ้นยังไงบอกไม่ถูก บางทีพรรษาหน้าหวีอาจจะมาขอบวช รักษาศีลอยู่ที่นี่ด้วยสักคน”
ทุกคนรู้สึกตกตะลึงกับคำพูดของเจ๊หวี
“เจ๊...พูดจริงเหรอเจ๊”
เจ๊หวีหายใจเข้าปอดลึกสุด ก่อนจะนิ่งมองชมพู่ สีหน้าสงบลงอย่างประหลาด
“ฉันรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ ชมพู่ สวรรค์คงเปิดทางให้คนบาปหนาอย่างฉันแล้ว”
“ถ้าโยมตั้งใจอย่างนั้นจริง อาตมาก็อนุโมทนาบุญด้วย หากโยมพร้อมเมื่อไหร่ก็มาได้ทุกเมื่อ”
ทุกคนยกมือขึ้นสาธุ

เจ๊หวีใส่ชุดขาว เดินสงบเสงี่ยมเรียบร้อยเข้ามาในร้านกาแฟ
“เจ๊หวี ตั้งแต่กลับมาจากวัดเจ๊ดูเปลี่ยนไปนะ” ชมพู่มองทึ่ง
“นั่นสิ เจ๊เป็นแบบนี้ฉันไม่คุ้นเลย” ผันบอก
“ตั้งแต่ฉันได้สัมผัสถึงความสงบของที่นั่น ฉันก็รู้สึกได้ทันทีว่า สิ่งนี้แหละคือหนทางสว่างแห่งชีวิตอันน้อยนิดของพวกเรา” อีเจ๊บอก
ชมพู่กะผันทึ่ง “โอ้ว...สาธุ”
เบาและบาง เดินเข้ามา
“อ้าวพวกเรา รีบเข้ามาๆ มาฟังทางนี้” บางป่าวประกาศ
“มาเข้ามา รีบมาฟังข่าวใหม่กัน” เบาเสริม
เหล่าชาวบ้านพากันล้อมวงเข้ามา
“ผลชันสูตรศพของไอ้หนุ่มรีสอร์ตกับนังบัวลอยออกมาแล้ว” บางว่า
“เป็นยังไง ตำรวจเขาบอกว่ายังไงพูดมาเลยไอ้บาง” เบาซัก
“ตำรวจเขายืนยันแน่นอนแล้วว่า ทั้งสองคนมันตายเพราะถูกกินไส้กินตับจนหมดท้อง”
เสียงชาวบ้านต่างหวาดกลัวกันเสียงดังระงม
เจ๊หวีรู้สึกได้ว่าต้องมีอะไรเกี่ยวกับนลินแน่ๆ จึงหยิบมือถือออกมาอัดคลิป
“ถ้าผลออกมาแบบนี้ต้องเป็นกระสือมากินไส้คนแน่นอน”
“ดังนั้น มีแต่พวกเราเท่านั้นที่จะป้องกันตัวเราเองจากนังกระสือร้ายพวกเราจะต้องไปฆ่ามัน ฆ่านังนลิน นังกระสือร้าย” บางคำราม
“ใช่ต้องฆ่ามัน นังกระสือนลิน ฆ่ามันๆๆ” เบาบอกอย่างเมามัน
เจ๊หวีทนไม่ได้ รีบเข้าไปต่อว่า ขณะที่มือก็อัดคลิปเอาไว้ตลอดเวลา
“นี่ถึงขั้นจะใช้ศาลเตี้ยกันเลยเหรอไอ้เบาไอ้บาง”
“เจ้านายแกเป็นถึงกำนัน แต่ดันมีลูกน้องที่ชอบใช้ศาลเตี้ยใส่ร้ายคนอื่น” ชมพู่ด่า
“แบบนี้มันต้องเอาคลิปออกไปประจาน แล้วส่งฟ้องศาลให้เข็ด”
“เฮ้ย นี่แกถ่ายคลิปข้าไว้เหรอ นังกะเทยผี”
ไม่เท่านั้น เบาพุ่งไปแย่งโทรศัพท์จากมือเจ๊หวีทันที เจ๊หวีและชมพู่รู้ทัน ถีบเบาจนกระเด็น
“พวกแกนี่มันเลวชาติจริงๆ พวกผีเปรต พวกสัตว์นรกในร่างคน อย่างพวกแกมีแต่นรกเท่านั้นถึงจะเป็นที่ที่พวกแกควรไป”
ทุกคนอึ้งกับคำด่าแบบใหม่ของเจ๊หวี
“เจ๊หวี โทสะ โมหะ เจ๊ท่องไว้ ท่องไว้”
เจ๊หวีพยายามสงบสติอารมณ์ เอาธรรมะเข้าขย่ม
“โทสะ โมหะ เราต้องไม่โกรธ อารมณ์โกรธมีแต่จะทำลายตัวเรา โทสะ โมหะๆๆๆ”
เจ๊หวีท่องเดินบทสวดมนต์ออกไป ชมพู่กับผันเดินตาม ทุกคนมองตามอึ้งกันทั้งแถบ

สามคนเดินมาตามทางมุ่งหน้ากลับบ้าน
“โห เจ๊หวีนี่สุดยอด ทำเอาพวกชาวบ้านอึ้งกันไปเลย” ผันชมใหญ่
“ก็เจ๊แก ตั้งใจจะสละเรื่องทางโลก เพื่อเข้าสู่ทางธรรม งานนี้ดูท่าจะเอาจริง”
“กิเลสทางโลก โลภโมโทสัน ล้วนเป็นภาพลวงตา นำพาเราไปสู่ทางเสื่อม”
“โอ้โห...ขนาดจะพูดอะไรออกมาแต่ละคำ ก็เป็นธรรมะไปหมด น่าเลื่อมใส น่าศรัทธาจริง”
ชมพู่ปลื้ม “ใช่ เจ๊หวีของเรา ช่างน่าเลื่อมใสศรัทธาเป็นที่สุด บวชเมื่อไรต้องอนุโมทนาสาธุด้วย”
ระหว่างนี้ มีหนุ่มหล่อเดินมาทางเจ๊หวีและชมพู่หยุดถาม
“ขอโทษนะครับ บ้านกำนันสินไปทางไหนครับ”
เจ๊หวีมองหนุ่มหล่อ ตะลึงตาค้างอย่างเห็นได้ชัด
“เดินตรงไปทางนี้ค่ะ อีกไม่ไกลก็ถึงแล้ว แต่เอ๊...พี่ว่าพี่ไปส่งคุณน้องดีกว่านะคะเดี๋ยวจะหลง ไปค่ะคุณน้อง ตามพี่มาทางนี้เลยค่ะ”
เจ๊หวีคล้องแขนหนุ่มหล่อเดินกระดี๊กระด๊าออกไป ชมพู่กะผันมองตามเจ๊หวีเช็งๆ
“เจ๊”

เช้าวันรุ่งขึ้น ตฤณฤทธิ์เรียกรวมพลทีมสำรวจ มธุรส วิศวัต บุรัณย์ โจ๊ก และพรานหนุ่ม มารวมตัวกันที่ลานหน้าบ้านกำนันเพื่อเตรียมตัวเดินทางไปที่ปราสาท
“ช่วยเช็คสัมภาระของตัวเองกันอีกรอบ ว่าหลงลืมอะไรหรือเปล่านะครับ”
ทุกคนต่างก้มเช็คข้าวของของตน กำนันสินเดินเข้ามาดู มองอย่างแปลกใจ
“นี่จะไปไหนกันน่ะครับ”
“เราจะกลับเข้าไปที่ปราสาทกันครับ”
“กำหนดวันเข้าไปไม่ใช่วันนี้นี่ครับ”
“เมื่อเช้านายวัตไม่ได้ไปแจ้งกำนันหรือครับ”
วิศวัตหันมาเห็นกำนันสินก็นึกขึ้นได้ เขารีบเข้ามาหาตฤณฤทธิ์และกำนัน
“ขอโทษครับกำนัน พอดีเมื่อเช้าผมเห็นบ้านกำนันยังไม่มีใครตื่น ก็เลยไปหาพรานก่อน กะว่ากลับมาจะมาบอกกำนันแต่ก็ดันลืม”
“ต้องขอโทษในความสะเพร่าของนายวัตด้วยนะครับ”
“ไม่เป็นไรครับ ไม่เป็นไร ผมก็แค่แปลกใจ แล้วนี่จะเข้าไปกันกี่วันล่ะครับ”
“ยังไม่แน่ใจครับ แล้วแต่ว่าจะเจออะไร”
กำนันสินหันมองบุรัณย์และโจ๊กที่กำลังเช็คกล้องอยู่
“เอานักข่าวเข้าไปด้วยเหรอ”
รถสองแถววิ่งเข้ามาจอด ปาดหนึ่งในลูกหาบของทีมสำรวจเดินลงมาตะโกนบอกทุกคน
“ขึ้นรถได้แล้วครับทุกคน”
ตฤณฤทธิ์หันมองก่อนจะหันมาบอกกำนันสิน
“รถมาแล้ว ขอตัวนะครับกำนัน”
“ครับ เดินทางปลอดภัยครับ”
ทุกคนทยอยกันขึ้นรถ กำนันสินยืนมองส่ง กระทั่งรถวิ่งพ้นบ้านออกนอกถนนไปไกลแล้ว เขาจึงหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาโทร.ออกด้วยสีหน้าเป็นกังวล

อีกฟาก พลเพิ่มนอนถอดเสื้อคว่ำหน้า หลับสนิทอยู่บนเตียง เสียงโทรศัพท์มือถือที่โต๊ะหัวเตียงดังขึ้น พลเพิ่มเอื้อมมือไปคว้ามาดูแล้วรับสาย
“ว่าไงกำนัน”
กำนันสินอยู่ที่หน้าบ้าน คุยสายด้วยสีหน้าเป็นกังวลไม่คาย
“แย่แล้วครับคุณพลเพิ่ม พวกทีมสำรวจเดินทางเข้าปราสาทกันอีกแล้วครับ”
พลเพิ่มหายง่วงเป็นปลิดทิ้ง เขาลุกขึ้นนั่งพิงหัวเตียงแล้วถามต่อด้วยความสงสัย
“อะไรนะ พวกมันเข้าไปได้ไง ไหนบอกจะรอให้ตำรวจสรุปคดีก่อนไม่ใช่เหรอ”
“ผมก็ไม่ทราบครับ อยู่ดีๆ พวกมันก็ลุกขึ้นมาเข้าป่ากันไป โดยไม่แจ้งให้ผมทราบล่วงหน้าเลย”
“แล้วพวกนักข่าวเข้าไปด้วยไหม”
“เข้าไปครับ”
พลเพิ่มกังวล “แย่ล่ะสิ แค่นี้นะเดี๋ยวผมไป”
ยังไม่ทันที่พลเพิ่มจะวางสาย เสียงฉัตรฉายก็ดังขึ้นมา
“คุยอะไรเสียงดังแต่เช้าคะ...”
ฉัตรฉายยกตัวขึ้นมากอดซบที่อกพลเพิ่ม พลเพิ่มรีบกดวางสายโทรศัพท์
กำนันสินนิ่วหน้า เหมือนได้ยินเสียงลูกสาว
พลเพิ่มเบี่ยงตัวเองออกจากฉัตรฉาย แล้วลุกออกจากเตียง
“คุณพลจะไปไหนแต่เช้าคะ อยู่กับชาช่าก่อนสิคะคุณพลเพิ่ม”
เสียงประตูห้องน้ำปิดลงโดยไม่สนใจเสียงเรียกของฉัตรฉายเลยแม้แต่น้อย
ฉัตรฉายกอดผ้าห่มลุกขึ้นนั่งมองประตูห้องน้ำอย่างอารมณ์เสีย

พลเพิ่มเดินลงบันไดมาอย่างรีบร้อน ขณะที่ฉัตรฉายวิ่งตามลงมาสีหน้าไม่พอใจ
“คุณพลเพิ่ม นี่จะไม่พูดอะไรกับชาช่าจริงๆ หรือคะ”
“เอาไว้ก่อน ตอนนี้ผมมีเรื่องด่วนต้องไปทำ”
“จะมีอะไรด่วนเท่ากับเรื่องของชาช่ากัน”
พลเพิ่มยกมือห้าม “เอาล่ะชาช่า ถ้าคุณอยากจะค้างที่นี่ต่อคุณก็ค้างไปเลยนะผมอนุญาต”
พลเพิ่มไม่อยากจะสนใจ และจะเดินออกไปขึ้นรถ/ฉัตรฉายฉุดแขนพลเพิ่มไว้
“อย่าเพิ่งไปสิคะ อยู่กินข้าวเช้ากับชาช่าก่อน...นะคะ”
ปัณรีลงมาจากชั้นบน เดินเข้ามาดึงมือฉัตรฉายออกจากแขนพี่ชาย แล้วยืนขวางฉัตรฉายไว้ ก่อนจะหันมาถามพลเพิ่ม
“พี่พลจะไปไหนแต่เช้าคะ”
“พี่จะเข้าไปที่หมู่บ้าน เมื่อกี้กำนันเพิ่งโทรมาบอกว่าทีมสำรวจเข้าไปที่ปราสาทกันอีกแล้ว”
ฉัตรฉายสอดขึ้น “ชาช่าไปด้วยค่ะ”
ปัณรีดุ “ไม่ได้ เธอจะเข้าหมู่บ้านไปพร้อมพี่พลไม่ได้”
“ทำไมจะไม่ได้ ในเมื่อฉันเป็นเมีย”
ปัณรีนิ่งมองฉัตรฉายอย่างดูถูกเหยียดหยาม
“เมียงั้นเหรอ หัดดูสารรูปตัวเองซะบ้าง ถ้าแค่ใครได้นอนกับพี่พลครั้งสองครั้งก็มาอ้างว่าเป็นเมีย ป่านนี้ฉันไม่มีพี่สะใภ้ทั้งเมืองแล้วเหรอ”
ฉัตรฉายกรี๊ด “อ๊าย คุณปัณ”
พลเพิ่มรำคาญ “พอได้แล้ว กลับเข้าหมู่บ้านไปเมื่อไหร่ระวังคำพูดคุณด้วยนะชาช่า”
“อะไรคะ” ฉัตรฉายงง
“ก็เรื่องเธอกับพี่พลน่ะสิ ถ้าเกิดพ่อเธอรู้เรื่องเข้า ความสัมพันธ์ของพ่อเธอกับพี่พลมีหวังจบไม่สวยแน่ ไปค่ะพี่พล ปัณจะไปกับพี่พลด้วย”
พลเพิ่มมีสีหน้าแปลกใจ ปัณรีดึงพลเพิ่มเดินออกไปขึ้นรถ ฉัตรฉายไม่ยอม เดินตามออกไป

ปัณรีและพลเพิ่มเดินมาที่รถที่จอดรออยู่ที่หน้าบ้าน พลเพิ่มเปิดประตูเข้าไป ปัณรีขึ้นตาม
ฉัตรฉายที่เดินตามมาจะขึ้นตามไปด้วยแต่ปัณรีขวางประตูเอาไว้
“พูดไม่รู้เรื่องหรือไง บอกว่าไม่ให้ไป”
“ก็ฉันจะไปด้วย คุณพลเพิ่มขา ขอชาช่าไปด้วยคนนะคะ”
ฉัตรฉายพูดพร้อมกับจะแทรกตัวเข้ารถไปแต่ปัณรีผลักฉัตรฉายออกแล้วรีบปิดประตูรถ
“ก็บอกว่าไม่ให้ไปไง” พลเพิ่มสั่งดำคนรถ “ไป! ออกรถเลย”
รถของพลเพิ่มวิ่งออกไป ฉัตรฉายมองตามอย่างเจ็บใจ ก่อนจะตัดสินใจวิ่งไปที่รถของเธอที่จอดอยู่ แล้วสตาร์ตรถตามออกไป

ที่วัดป่าในตอนกลางวัน ใต้ต้นไม้ใหญ่ข้างโบสถ์ นลินกำลังนั่งสมาธิอยู่ที่นั่น เธอเริ่มมีอาการเหงื่อออกและกระสับกระส่ายอย่างเห็นได้ชัด
ภาพอดีตผุดซ้อนขึ้นมาราวกับสายน้ำไหล
นับตั้งแต่ท้าวอนันตราชถือดาบนำไพร่พลเข้ามายิ้มอย่างเหี้ยมเกรียม
เจ้าเมืองสุวรรณจักรมองอย่างท้าทายและไม่เกรงกลัว
อนันตราชเอาดาบจ่อไปที่คอของสุวรรณจักร/ สุวรรณจักรหลับตา
เทวราณีทรุดตัวลงร้องไห้เอามือปิดหน้าไม่กล้ามอง
“เจ้าพี่”
แต่แล้วมีดาบของใครบางคนเข้ามางัดจนดาบของอนันตราชเกือบหลุดมือ แต่เขายังกระชับไว้ได้
พอหันไปมองว่าใครที่บังอาจทำเช่นนั้นเขาก็ต้องตะลึงก่อนที่จะเอี้ยวตัวหลบดาบของฝ่ายตรงข้ามที่เตรียมจะฟันเข้ามาได้หวุดหวิด
เจ้าของดาบอีกฝ่ายนั้นคือสาวิตราณีนางสามารถต่อสู้กับอนันตราชได้อย่างคล่องแคล่วทหารของเขาจะเข้ามาช่วย แต่เขายกมือห้ามไว้
ในที่สุดด้วยฝีมือที่เหนือกว่าอนันตราชก็ใช้ดาบของตัวเองปัดดาบของสาวิตราณีจนตกไปแล้วเข้าไปกอดตัวเธอไว้จากด้านหลังเอาดาบจ่อคอเหมือนกำลังจะเชือด
“นี่กระมัง เจ้าหญิงสาวิตราณีแห่งสุวรรณนคร”
สาวิตราณีเบือนหน้าไปจ้องมองอนันตราชอย่างท้าทายอำนาจและไม่ยำเกรง

สาวิตราณีร้องออกมาอย่างรับไม่ได้เมื่อรู้ว่าจะต้องถูกส่งตัวไปยังเมืองอนันตาปุระ
“ไม่นะเพคะ ลูกยอมตายดีกว่าที่จะไปอยู่ที่นั่น”
“ถ้าลูกยอมตายชาวเมืองสุวรรณจักรของเราก็ต้องตายกันหมดเช่นกัน” สุวรรณจักรบอก
สาวิตราณีอึ้งไป มองหน้าสุวรรณจักร สีหน้าไม่อยากเชื่อ
เทวราณีเข้ามาจับแขนของสาวิตราณีอย่างปลอบโยน
เทวราณีเพราะเราเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ จึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากทำตามคำบัญชาของเจ้าเมืองอนันตาปุระเท่านั้น
“ในเมื่อลูกเกิดมาอยู่เหนือชาวเมืองทั้งปวง ใช่ว่าจะกอบโกยแต่เพียงความสุขสบาย ตรงกันข้ามลูกมีหน้าที่อันยิ่งใหญ่ที่ต้องเสียสละเพื่อพวกเขา ลูกต้องอดทนมากกว่าคนทั่วไป”
สาวิตราณีคุกเข่าลงร้องไห้อย่างยอมจำนน
“ลูกเข้าใจแล้ว ลูกเข้าใจดีเพคะ”
“สาวิตราณี...ลูกแม่...ขอบใจลูก”
เทวราณีกอดสาวิตราณีร้องไห้
สุวรรณจักรดวงตาแดงก่ำ ได้แต่กัดกรามแน่นอย่างขึ้งเคียด รู้ชะตากรรมของลูกดี

กาลต่อมา สาวิตราณีจับมือองครักษ์สิงหล ร่ำไห้ด้วยความเศร้าเสียใจ
“สูญสลายหมดแล้ว อนาคตที่เราเคยวาดฝันร่วมกัน”
สิงหลกอดสาวิตราณีไว้
“ข้าเข้าใจถึงภาระหน้าที่อันยิ่งใหญ่ที่ท่านหญิงต้องแบกรับไว้ โปรดอย่าได้หวั่นกลัว จงทำหน้าที่ของท่านให้สมกับสายเลือดขัตติยะที่อยู่ในตัวท่าน”
“แต่..สิงหล..ข้ายังทำใจไม่ได้ ข้า...”
สาวิตราณียังคงร่ำไห้ปานจะขาดใจตาย
สิงหลตัดใจผละจากสาวิตราณี ก่อนจะเดินถอยห่างออกมาแล้วคุกเข่าทำความเคารพ
“ขอท่านหญิงได้โปรดเห็นแก่ท่านเจ้าเมืองและไพร่ฟ้า นับจากนี้ข้าจะขอเป็นข้ารองบาท และจักคอยปกป้องอารักขาพระองค์ตลอดไป”
สาวิตราณีนิ่งมองการกระทำของสิงหลอย่างเจ็บปวด เธอปาดน้ำตาและหยุดร้องไห้ ก่อนจะยืดตัวขึ้นยอมรับชะตากรรมของตนเอง

วันต่อมา สาวิตราณีก้มลงกราบท้าวสุวรรณจักรกับเทวราณีแทบเท้า มีมะปรางนางรับใช้ และ สิงหล อยู่ด้วย
“ทำหน้าที่ให้สมกับขัตติยะนารีแห่งสุวรรณนคร ขอให้ลูกพ่อจงเข้มแข็งและปลอดจากภยันตรายทั้งปวง”
“เพคะท่านพ่อ ลูกจะไม่ทำให้ผิดหวัง”
“จากกันครานี้ไม่รู้ว่าจะได้พบกันอีกเมื่อไร รักษาเนื้อรักษาตัวนะลูกนะ” เทวราณีบอก
“เพคะ ท่านพ่อท่านแม่ก็เช่นกัน รักษาวรกายด้วย”
เมื่อสาวิตราณีลุกขึ้น เทวราณีก็ประคองแล้วกอดลูกสาวอย่างอาลัยอีกครั้ง ทั้งสองต่างร่ำไห้
สุวรรณจักรเบือนหน้าหนี หันไปสั่งสิงหล
“ช่วยดูแลสาวิตราณีแทนเราด้วย”
“พระเจ้าข้า”
สิงหลคุกเข่าไหว้ทำความเคารพสุวรรณจักรและเทวราณี
สาวิตราณีหันกลับไปมองวังอีกครั้งทั้งน้ำตา แต่แล้วก็ตัดใจหันมองไปข้างหน้า แววตาเด็ดเดี่ยว

กำนันสินและฌานยืนรออยู่ที่หน้าบ้านอยู่แล้ว รถของพลเพิ่มวิ่งเข้ามา ตามด้วยรถของฉัตรฉายกำนันมองอย่างแปลกใจ แต่เขาก็หันมาให้ความสนใจกับพลเพิ่ม ปัณรีและพลเพิ่มลงมาจากรถ เดินตรงเข้าไปหากำนันสินกับฌาน พลเพิ่มถามขึ้นอย่างร้อนใจ
“เกิดอะไรขึ้น ทำไมพวกนั้นถึงรีบเข้าไปที่ปราสาท หรือมันเกิดระแคะระคายอะไรขึ้นมา”
“ผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกันครับท่าน แต่ที่เข้าไปเห็นมีแต่ทีมสำรวจกับนักข่าว ไม่มีตำรวจนะครับ”
“ผมว่าไม่น่าจะเป็นอย่างที่เรานึกกลัวกันหรอกครับ” ฌาณว่า
“จะใช่หรือไม่ใช่ เราก็ต้องตามพวกมันเข้าไปที่ปราสาท อาจารย์เตรียมตัวมาพร้อมแล้วใช่ไหม”
“ครับ”
พลเพิ่มหันมองปัณรี เป็นเชิงถาม ปัณรีจึงพูดขึ้น
“ปัณจะไปบ้านคุณลิน จะไปดูสิว่าคุณลินหนีตามผู้ชายไปเหมือนอย่างที่ใครบางคนพูดหรือเปล่า”
ปัณรีหันมองฉัตรฉายที่เดินเข้ามาสมทบ ก่อนจะหันไปมองฌาน/ฌานมองตอบเหมือนรู้กัน
“งั้นพวกเราก็รีบไปกันเถอะ”
ฉัตรฉายรีบเข้ามาเกาะแขนพลเพิ่ม
“คุณพลเพิ่มจะรีบทำไมคะ ปราสาทเก่านั่นมันไม่หนีหายไปไหนหรอก ขึ้นบ้านไปกินน้ำกินท่าก่อน”
กำนันรีบมาดึงตัวฉัตรฉายออก
“นังช่า คุณเขามีงานสำคัญที่ต้องทำ อย่าไปเกะกะ”
ฉัตรฉายฮึดฮัดขัดใจ “พ่อน่ะ”
พลเพิ่มมองฌานแล้วรีบเดินไปขึ้นรถอีกคันที่เตรียมไว้
ฉัตรฉายมองตามอย่างขัดใจ กำนันมองดุ
ปัณรียิ้มเยาะมายังฉัตรฉายก่อนจะเดินออกไป

กำนันสินดึงตัวฉัตรฉายขึ้นมาบนเรือนด้วยความโมโห ฉัตรฉายสลัดมืออกจากมือกำนัน
“ปล่อยได้แล้วพ่อ จะลากฉันให้หัวกระแทกพิ้นตายไปเลยหรือไง”
“เออซิ ข้าก็อยากเอาหัวเอ็งโขกพื้นให้มันหายโง่อยู่เหมือนกัน”
โฉมศรีเดินออกมาในเรือน ตกใจที่เห็นพ่อลูกทะเลาะกัน
“อะไรกันๆ พี่กำนันจะทำอะไรลูก”
“ก็นังลูกสาวตัวดีนี่สิ มันไปคอยตามตอแยคุณพลเพิ่ม รู้ตัวบ้างไหมว่าเขาไม่ได้สนใจอะไรแกเลย”
ฉัตรฉายบอกอย่างถือดี “พ่อรู้ได้ไงว่าเขาไม่สนฉัน”
“แหม...แกนี่มันน่านัก”
กำนันสินพูดอย่างเข่นเขี้ยว พร้อมกับพุ่งจะเข้าไปจับตัวฉัตรฉายมาตี
ฉัตรฉายรีบหนีไปหลบหลังโฉมศรี
“พี่กำนัน จะทำอะไรลูกมันโตแล้วนะ”
“ใช่ โตเป็นสาว แถมมีผัวได้แล้วด้วย”
โฉมศรีหันมองฉัตรฉายอย่างตื่นเต้นดีใจ
“แกว่ายังไงนะนังช่า”
ฉัตรฉายยิ้มร่า “ฉันกำลังจะบอกว่าแม่ได้เป็นแม่ยายนักการเมืองใหญ่แล้วไงจ๊ะ”
สองแม่ลูกจับมือร้องกรี๊ดกร๊าดกันอย่างดีใจ
“โอ้...ชาช่า ลูกรักของแม่ ลูกนี่ช่างเป็นอภิชาตบุตร เป็นที่เชิดหน้าชูตาแก่วงศ์ตระกูลของเราจริงๆ ตัวแม่เป็นได้แค่เมียกำนัน แต่ลูกสาวได้เป็นถึงเมียนักการเมืองใหญ่ประจำจังหวัด”
แม่ลูกร้องกรี๊ดๆ ดีใจ ทิ้งกำนันสินให้ยืนมองอึ้งๆ อยู่คนเดียว

ที่บริเวณปราสาทอนันตาปุระ เหล่าคนงานกำลังขุดทำงานตามหน้าที่ของตน
ตฤณฤทธิ์ยืนจ้องมองกำแพงตรงหน้าอย่างใช้ความคิด โดยมีวิศวัต มธุรส ยืนมองอยู่ไม่ห่าง ขณะที่บุรัณย์และโจ๊ก กำลังช่วยกันตั้งกล้องเพื่อบันทึกภาพ
วิศวัตส่งกระดาษอักขระที่กลับด้านให้ตฤณฤทธิ์ เขารับไปแล้วเพ่งมอง วิศวัตพูดขึ้น
“ไม่น่าเชื่อว่าอักขระที่ผนังจะเป็นภาษากลับด้าน คนสมัยก่อนนี่ช่างคิดช่างทำให้คนอื่นเขาเดาทางยากจริงๆ”
“เขาเรียกว่ากลอุบาย กันไม่ให้คนนอกรู้ แล้วพี่ตฤณจะอ่านเลยหรือเปล่าคะ”
ตฤณฤทธิ์ใช้ความคิด วิศวัตเดินเข้ามาแล้วพูดขึ้น
“อ่านเลยครับอาจารย์ เราจะได้หายข้องใจซะทีว่ากำแพงนี้มันมีอะไร”
ตฤณฤทธิ์หันมองหน้าทุกคนที่ต่างรอคอยคำตอบอยู่ ก่อนจะหันไปที่กำแพงแล้วก้มลงอ่านที่กระดาษในมือ
บุรัณย์รีบวิ่งเข้าไปหาโจ๊ก
“จับภาพไว้ให้ดีๆ นะไอ้โจ๊ก นั่นๆ ซูมเข้าไป ซูมไปที่หน้าพี่ตฤณตอนกำลังอ่านเลย”
โจ๊กที่กำลังซูมเข้าไป เห็นตฤณฤทธิ์กำลังอ่านอักขระโบราณ
“โอมอุดตัง อุมะปะอุ ตาม ธรรม วิหัง โอม สะ โหม ติด”
ตฤณฤทธิ์อ่านจบ ทุกคนต่างลุ้นจ้องมองไปที่กำแพงด้วยความคาดหวังว่าจะเกิดอะไรขึ้น

ขณะเดียวกันนั้น ที่วัดป่า นราเดินเข้าตามมองหาลูก กระทั่งมองเห็นนลินนั่งสมาธิอยู่ใต้ต้นไม้ก็ยิ้มแล้วเดินเข้าไปหา ต่อเมื่อเธอเดินเข้าไปใกล้สีหน้าของนราก็เปลี่ยนเป็นตกใจ
นลินมีเหงื่อออกตลอดทั้งใบหน้าและตามตัวเธอเปลี่ยนเป็นสีแดงอย่างเห็นได้ชัด นลินมีสีหน้าทรมานจนแทบจะทนไม่ไหว
นรารีบวิ่งเข้ามาปลุกนลินให้ลืมตาขึ้น
“ลิน ลืมตาขึ้นลิน ตื่นขึ้นมา ลิน...”
นลินลืมตาตื่นขึ้น แล้วรู้สึกหมดแรงทรุดฮวบลงไป นราเข้ามาประคองไว้ได้ทัน
“เป็นอะไรไปลิน เกิดอะไรขึ้นลูก”
“แม่...ลินเห็น เห็นใครไม่รู้เยอะแยะไปหมด”
“แล้วในนั้นมีคนที่ลินรู้จักหรือเปล่าล่ะลูก”
สีหน้านลินนิ่งนึก ใบหน้าท้าวสุวรรณจักร เทวราณี ท้าวอนันตราช และสิงหล ผุดซ้อนขึ้นมาติดๆ กัน นลินอึ้งไป ก่อนจะมองหน้านราแล้วพูดขึ้น
“ค่ะแม่ ทุกคนเลย”
“บางที นั่นอาจเป็นนิมิตให้ลินได้รู้สาเหตุของวิบากกรรมที่กำลังเผชิญอยู่ เพื่อเป็นหนทางที่เราจะใช้แก้ไขได้”
นลินพยายามยันตัวเองให้ลุกขึ้นนั่ง
“ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ลินคิดว่าลินใกล้จะรู้แล้วล่ะค่ะว่าเรื่องราวทั้งหมดมันเกิดมาจากอะไร”
นลินเริ่มเข้าสมาธิใหม่อีกครั้ง

ที่กำแพงปราสาทยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น ตฤณฤทธิ์ มธุรส วิศวัต บุรัณย์และโจ๊ก ต่างรู้สึกผิดหวัง
“ทำไมไม่มีอะไรเกิดขึ้น”
“พี่ตฤณอ่านผิดหรือเปล่าพี่” บุรัณย์ว่า
มธุรสคิดตาม “หรือบางทีอักขระพวกนี้อาจไม่มีปาฏิหาริย์อะไรก็ได้นะคะพี่ตฤณ”
“ผมว่าเราสกัดหินออก น่าจะเร็วกว่ามานั่งรอปาฏิหาริย์ไหมครับ”
วิศวัตกำลังจะเดินออกไปหยิบอุปกรณ์สำหรับใช้ในการสกัดหิน
เห็นพลเพิ่มและฌานเดินสวนเข้ามาพอดี วิศวัตทักขึ้น
“อ้าว คุณพลเพิ่มกับอาจารย์ก็เข้ามาด้วย”
พลเพิ่มเดินมาทักทายวิศวัตขณะที่ฌานจับตามองที่ตฤณฤทธิ์กำลังอ่านอักขระอย่างไม่ละสายตา
“พอดีผมรู้ข่าวว่าพวกคุณเข้ามาที่ปราสาท ผมนึกว่าเจอร่องรอยพวกโจรก็เลยตามมาน่ะครับ”
ฌานเห็นตฤณฤทธิ์ยกกระดาษขึ้นอ่านอักขระโบราณอีกครั้ง
“โอมอุดตัง อุมะปะอุ ตาม ธรรม วิหัง โอม สะ โหม ติด”
ตฤณฤทธิ์นิ่งมองแล้วถอนหายใจอย่างหมดหวัง
ฌานเดินเข้ามาหาตฤณฤทธิ์ พลเพิ่มตามมาด้วย วิศวัตรีบตามมาด้วย พลเพิ่มถามตฤณฤทธิ์ขึ้นอย่างสงสัย
“ที่คุณท่องเมื่อกี้ มันคือ...”
“อักขระด้านในที่เราเห็น มันเป็นอักษรโบราณเขียนกลับด้านที่เหมือนบทสวดอะไรบางอย่าง”
ตฤณฤทธิ์มองหน้าฌาน ก่อนจะยื่นกระดาษในมือส่งให้ ฌานรับมาดูแล้วพูดขึ้น
“ถ้าเป็นคาถาบทนี้ มันไม่ได้มีแค่นี้”
ฌานหลับตาลงทำสมาธิ ก่อนจะลืมตาแล้วบริกรรมคาถาออกมา
“โอมจิตติ มหาจิตติ โอมจิตตัง มหาจิตตัง พันธะนัง โอมอุดตัง อุมะปะอุ ตาม ธรรม วิหัง โอม สะ โหม ติด”
ฌานบริกรรมคาถา อย่างคล่องแคล่วราวกับมีตัวหนังสือโบราณไหลออกมาจากปากฌานตรงเข้าไปที่กำแพงปราสาท
ทุกคนในที่นั้นนิ่งงัน ในขณะที่ตฤณฤทธิ์รู้สึกเหมือนกับมีพลังงานบางอย่างกระแทกเข้าที่หน้าอย่างแรง จนผงะไป

ทางด้านนลินที่กำลังหลับตานั่งสมาธิอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ เหงื่อผุดขึ้นมาที่ใบหน้า นลินนิ่วหน้าเหมือนกำลังเพ่งมองอะไรในความมืดของอดีต

นลินเห็นภาพตอนสาวิตราณีและสิงหล แอบนัดแนะหนีออกจากวังไปด้วยกัน พร้อมกับดาบของอนันตราช
สองคนหนีมาถึงลำธารนอกเมืองแล้ว สาวิตราณีกำลังนั่งเล่นอยู่ริมลำธารอย่างเพลิดเพลิน สิงหลสาดน้ำเข้าใส่ สาวิตราณีร้องอย่างตกใจ จนเมื่อรู้ว่าเป็นสิงหลแกล้ง จึงเข้าไปทุบตีสิงหลอย่างหยอกล้อ
สิงหลหัวเราะชอบใจ เขารวบมือและตัวสาวิตราณีเข้ามากอด พร้อมกับหยิบดอกจำปีที่อยู่ในมือขึ้นทัดหูให้ เขามองเธอสายตาลึกซึ้ง
สาวิตราณีเขินอาย สิงหลก้มลงหอมแก้มอย่างรักใคร่ สาวิตราณีหลับตาพริ้มยิ้มรับอย่างเต็มใจ

วันเวลาผ่านไป สาวิตราณีวิ่งออกมาจากกระท่อมอาเจียน สิงหลรีบตามมาลูบหลังและยกขันน้ำส่งให้อย่างเป็นห่วง
เวลาผ่านไปอีก สิงหลและสาวิตราณีอุ้มลูกน้อยวิ่งหนีคนตามล่ามาถึงธารน้ำ สาวิตราณีลื่นล้มบาดเจ็บ สิงหลรีบเข้ามาช่วย
“จงพาลูกเราหนีไป ไม่ต้องห่วงข้า”
“ไม่ สาวิตราณี ถ้ารอดเราก็ต้องรอดด้วยกัน”
เท้าของสาวิตราณีมีแผลบาดเจ็บ สิงหลฉีกเสื้อของตนออกแล้วพันแผลที่เท้าให้กับสาวิตราณี
“อดทนหน่อยนะ ส่งลูกมาให้ข้า ข้าจะอุ้มเอง”
สาวิตราณีกำลังจะส่งลูกให้สิงหล แล้วทั้งคู่ก็ได้ยินเสียงเหมือนมีคนเดินมา
สิงหลยกดาบคู่ขึ้นหมายจะต่อสู้กับผู้มาใหม่ แต่เขาก็ต้องยั้งมือไว้เมื่อรู้ว่าเป็นใคร
“มะปราง”
นางรับใช้ยิ้มให้อย่างดีใจ
วันเวลาผ่านไปอีก สิงหลส่งลูกน้อยพร้อมกับส่งห่อผ้าที่พวกเขานำติดตัวมาด้วยให้มะปราง
สาวิตราณีร่ำไห้ แต่ก็ต้องยอมตัดใจ ทั้งสามมองหน้ากันอย่างเข้าใจ ก่อนที่มะปรางจะอุ้มเด็กน้อยวิ่งหนีไป
สิงหลและสาวิตราณีพากันวิ่งหนีไปอีกทาง

สองคนหลบหนีรอดจนอีกหลายวันต่อมา สาวิตราณีล้มลง ในขณะที่สิงหลเหมือนผ่านการต่อสู้มาอย่างหนัก เขาตั้งดาบคอยกันทหารที่ล้อมกรอกพวกเขาทั้งคู่ แต่ก็ต้องพ่ายแพ้ ถูกปัดดาบหล่นลงไป แล้วโดนเอาดาบจ่อคอ

ตฤณฤทธิ์เองก็นึกถึงเหตการณ์เดียวกันนี้ เขาดึงตัวเองกลับออกมา ทบทวนเรื่องราวต่างๆ ที่ผ่านเข้ามาในหัวอย่างไม่ทันตั้งตัว พึมพำออกมา
“สาวิตราณี...”
จู่ๆ ฟ้าก็ผ่าเปรี้ยงขึ้นมาพร้อมกับเสียงดังจากด้านหลังกำแพง เศษฝุ่นที่ปลิวออกมาจากร่องกำแพงฟุ้งกระจายไปทั่วบริเวณ ทุกคนร้องขึ้นด้วยความตกใจ
เมื่อเสียงเงียบลง ตฤณฤทธิ์ก็สังเกตเห็นว่ากำแพงด้านนอกที่มีอักขระโบราณเปิดออกกว้างขึ้นขนาดพอดีตัวคนแทรกเข้าไปได้
พลเพิ่มมองตามสายตาตฤณฤทธิ์ไปที่กำแพง
ตฤณฤทธิ์ค่อยๆ เดินเข้าไปใกล้ๆ เอื้อมมือจะแตะไปอักขระโบราณที่อยู่บนกำแพง แต่ทันทีที่สัมผัสก็หมดสติล้มลงไปต่อหน้าต่อตาทุกคน 
“พี่ตฤณ” / “คุณตฤณ” / “ด็อกเตอร์”

แต่ละคนตกในร้องลั่นรีบเข้าไปดูตฤณฤทธิ์

อ่านต่อตอนที่25


กำลังโหลดความคิดเห็น