สาปกระสือ ตอนที่21 ปัณรีฆ่ากิ๊กกินไส้ใส่ร้ายนลิน
บทประพันธ์และบทโทรทัศน์โดย อาณาจินต์
ที่บ้านพลเพิ่มเวลานั้น นักการเมืองหนุ่มกำลังนั่งดูเอกสารบนโต๊ะด้วยสีหน้าหงุดหงิด สักครู่หนึ่งมีเสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น หน้าจอเป็นสายจากกำนันสิน เขากดรับสาย
“ว่าไงกำนัน”
กำนันสินโทร.มาจากบ้านดอนป่าหวาย สองคนคุยสายกัน
“ตอนนี้ผมได้ข่าวมาแว่วๆ ว่าจะมีหน่วยงานลงพื้นที่ตรวจสอบ ของที่หายไปจากปราสาท ยังไงคุณพลเพิ่มอย่าเพิ่งขยับอะไรนะครับ”
พลเพิ่มลุกขึ้นเดินไปมาอย่างหัวเสีย
“จะขยับอะไรได้ล่ะ ของที่มีตอนนี้ยังไม่ได้ปล่อยเลย คนที่จะซื้อก็กลัวโดนกันหมด ส่วนของที่ส่งไปขายได้ก็โดนกดราคาซะ”
กำนันสินหน้าเครียดหนัก
“ได้ข่าวยังไง ผมจะรีบรายงานให้ทราบอีกทีนะครับ”
“ฝากกำนันช่วยตามหน่อยแล้วกันนะ เดี๋ยวผมจะเคลียร์ทางนี้เอง”
พลเพิ่มวางสาย หันไปทางประตูหน้าบ้านด้วยสีหน้าแปลกใจเมื่อเห็นใครบางคนเดินเข้ามา
“อาจารย์ วันนี้เรามีนัดกันเหรอ”
ฌานเดินเข้ามาหาด้วยสีหน้าเคร่งเครียดจริงจัง
“ไม่มี แต่ผมต้องมาที่นี่ เพราะรู้สึกได้ถึงสิ่งผิดปกติที่กำลังเกิดขึ้นกับท่านและคุณปัณ”
พลเพิ่มมีสีหน้าแปลกใจมากยิ่งขึ้น
“ยัยปัณมีอาการแปลกๆ ผมก็อยากรู้เหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
ฌานมองขึ้นไปบนห้องปัณรีอย่างค้นหาคำตอบ
ปัณรีนอนคลุมโปงอยู่บนเตียงภายในห้องปิดม่านปิดไฟมืด จนมีเสียงเคาะประตูดังขึ้น ปัณรีตะโกนบอกออกไปอย่างฉุนเฉียว
“ก็บอกแล้วไงว่าไม่กิน ไม่กิน”
มีเสียงไขประตู ปัณรีร้องกรี๊ดขึ้นมาอย่างไม่พอใจ
พลเพิ่มเปิดประตูเดินเข้ามาเปิดไฟเปิดม่าน ปัณรีเปิดผ้าห่มออกมาแล้วโยนหมอนใส่พลเพิ่ม เพราะคิดว่าเป็นสาวใช้
“แกกล้าดียังไงเข้ามาในห้องฉัน นังเจี๊ยบ”
แต่พอปัณรีเห็นเป็นพี่ชายก็อึ้งไป
พลเพิ่มมองปัณรีอย่างสุดทน มองไปรอบๆ เห็นข้าวของแตกกระจัดกระจายก็ยิ่งโมโห ตรงไปกระชากแขนลากปัณรีมาที่กระจก
“เห็นสารรูปตัวเองไหม เหมือนผีตายชากไม่มีผิด”
ปัณรีสะบัดแขนออก “พี่ไม่ต้องมายุ่ง ฉันอยากอยู่คนเดียว”
“แต่แกจะอยู่อย่างนี้ไม่ได้ ไปอาบน้ำแต่งตัวแล้วไปกินข้าว ฉันจะพาแกไปโรงพัก”
ประสาวัวสันหลังหวะปัณรีหน้าตาตื่นสติหลุด
“ไปทำไม ฉันไม่ได้ทำอะไรใคร ฉันไม่ไปหรอก”
“แค่ไปให้ปากคำ เรื่องการตายของอชินี ถ้าแกไม่ได้ทำอะไร ทำไมต้องกลัว”
ปัณรีเสียงแข็ง “ฉันไม่ไป พี่นั่นแหละออกไปได้แล้ว”
พลเพิ่มโมโหที่ปัณรีพูดไม่รู้เรื่อง กระชากแขนไปแต่งตัว ปัณรีกรีดร้องใส่พลเพิ่ม
“พ่อแม่ยังไม่เคยทำกับปัณแบบนี้เลย”
“แกทำตัวดีๆ เหมือนชาวบ้านเขาไม่ได้เหรอ สร้างแต่ปัญหาอยู่ได้”
ปัณรียิ้มเยาะ “ทำตัวดีๆ เหรอ พี่เองยังทำไม่ได้เลย! จะมาสอนฉันทำไม คนดีที่ไหนขโมยสมบัติชาติ คนดีที่ไหนโกงคนอื่น”
พลเพิ่มโมโหจนเลือดขึ้นหน้าบันดาลโทสะ ตบหน้าปัณรีฉาดใหญ่
ปัณรีอึ้ง ช็อก เพราะไม่เคยเจอพลเพิ่มโมโหขนาดนี้ เอามือจับแก้มน้ำตาไหลพราก
พลเพิ่มได้สติมองมือตัวเองอย่างตกใจ โผเข้าหาปัณรี
“ปัณ...พี่ขอโทษ พี่ไม่ได้ตั้งใจ”
ปัณรีปัดมือพลเพิ่มออก จ้องมองพลเพิ่มด้วยสายตาเคียดแค้น ไม่มีวันให้อภัย วิ่งออกไป
พลเพิ่มยืนอึ้ง มองที่มือตัวเองอย่างรู้สึกผิด
ปัณรีผลุนผลันออกมาหน้าห้อง ต้องชะงักเมื่อเห็นฌานยืนมองมาอย่างจับผิด
“คุณปัณ”
ปัณรีมองฌานอย่างหวาดระแวงกลัวจะถูกจับได้ แต่ไม่พูดอะไร เดินเฉียดตัวฌานแทบจะกระแทกออกไป ฌานรีบหลีกทางให้ปัณ
“บางทีผมอาจจะช่วยคุณได้นะครับ”
ปัณรีหยุดกึกครู่หนึ่ง ก่อนจะหันไปบอกฌานด้วยน้ำเสียงดุดันแววตาแข็งกร้าว
“อย่ามายุ่งกับฉัน”
เห็นพลเพิ่มเดินมา ปัณรีจึงรีบเดินหนีไป พลเพิ่มถามฌานด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“ยัยปัณเป็นอะไรกันแน่อาจารย์”
“ผมได้กลิ่นปีศาจร้ายในตัวคุณปัณ”
พลเพิ่มตกใจ มองฌานอย่างนึกไม่ถึง
“ปัณโดนของเหรออาจารย์”
“อาจจะใช่หรือร้ายแรงกว่านั้น เราต้องทำพิธีเปิดทางให้ปีศาจปรากฏตัวออกมา ให้เร็วที่สุด” ฌาณเน้นเสียงตอนท้าย
“ปัณไม่มีทางยอมง่ายๆ แน่”
“ท่านต้องหาวิธีเกลี่ยกล่อม ไม่อย่างนั้นชีวิตคุณปัณจะตกอยู่ในอันตราย”
พลเพิ่มมองหน้าฌานอย่างหนักใจ
เมื่อหิวกระหายหนัก กระสือป้ายแดงจึงตัดสินใจไปตลาดสดแห่งหนึ่งย่านนอกเมืองพร้อมกับเจี๊ยบ ปัณรีใส่หมวกและสวมแว่นดำพรางตัว เดินเข้ามาในตลาดท่าทางรีบร้อน จนมาหยุดที่ร้านขายเนื้อวัว ดึงแว่นลง มองไปที่ไส้และเครื่องในวัวบนตะขอ ตาวาววับเผลอตัวกลืนน้ำลายและเลียริมฝีปากอย่างหิวโหย
เจี๊ยบวิ่งกระหืดกระหอบตามมาอย่างแปลกใจ
“คุณปันจะเอาอะไรก็บอกเจี๊ยบสิคะ เดี๋ยวเจี๊ยบมาซื้อให้ ไม่เห็นต้องมาเองเลย”
ปัณรีไม่สนใจตอบ รีบตรงเข้าไปจับไส้ดู พลางถามแม่ค้า “ไส้นี่สดไหม”
แม่ค้ามองกวนๆ “ก็เพิ่งตายเมื่อเช้านะจ๊ะ ถ้าจะเอาสดกว่านี้ก็ไปเชือดเอาที่ฟาร์มโน่น”
ปัณรีฉุน มองตาขวาง แต่ต้องข่มใจไม่อยากทะเลาะ “งั้นเอามาทั้งหมดนี่แหละ”
เจี๊ยบตกใจ “คุณปันจะเอาไส้ไปทำอะไรตั้งเยอะตั้งแยะคะ”
ปัณรีไม่สนใจเจี๊ยบ เร่งแม่ค้าใหญ่ “ใส่ถุงเร็วๆ หน่อยสิฉันหิว”
แม่ค้ากวนตีน “ไม่กินมันตรงนี้เลยล่ะ ถ้าจะหิวขนาดนั้นก็ เอาไป 350 บาท”
ปัณรีรับถุงไส้มา ยื่นแบงก์ห้าร้อยให้แม่ค้า แล้วหันไปบอกเจี๊ยบ
“รอเอาตังค์ทอนด้วย เดี๋ยวฉันจะกลับก่อน”
จากนั้นก็ถือถุงไส้เดินออกไปด้วยท่าทางรีบร้อน เจี๊ยบตะโกนถามอย่างแปลกใจ
“คุณปัน…จะถือไปทำไมให้หนัก เดี๋ยวเจี๊ยบถือกลับไปให้เอง”
ปัณรีตะโกนตอบมาว่า “หารถกลับเองก็แล้วกันนะ ฉันรีบ”
ปัณรีรีบเดินออกไปเลย เจี๊ยบมองตามงงๆ บ่นบ้ากับตัวเอง
“ปกติเห็นเกลียดเครื่องในอย่างกับอะไร ทำไมวันนี้อยู่ๆ ถึงนึกอยากกินขนาดนี้นะ”
แม่ค้ายื่นเงินทอนให้มองตามปัณรีอย่างแปลกใจ
“เจ้านายเธอเป็นกระสือหรือเปล่า ซื้อไส้เยอะขนาดนั้น”
เจี๊ยบรับเงินมา มองไม่พอใจ “ถ้าเจ้านายฉันซื้อไส้แล้วเป็นกระสือ ป้าก็เป็นผีปอบสินะ”
แม่ค้าขึ้นเลย มองตาขวาง “อ้าว นังนี่ แกมาว่าฉันทำไม”
เจี๊ยบมองตอบเอาเรื่องไม่ยอมความ “ก็ป้ามาว่าเจ้านายฉันก่อนนี่”
แม่ค้าโมโหพูดไม่ออก เจี๊ยบเดินลอยหน้าออกไป
ปัณรีเดินรีบร้อนตรงมาขึ้นรถที่ลานจอด ถอดหมวกถอดแว่นมองไปรอบๆ จนแน่ใจว่าไม่มีใคร ก็ดึงไส้หมูออกมากินอย่างหิวโหย แต่พอเคี้ยวๆ กินไป กลับรู้สึกกระอักกระอ่วน อยากอาเจียน
ที่แท้เนื่องเพราะกระสือต้องออกล่าเหยื่อ และกินไส้สดๆ จากเหยื่อที่ตายหมาดๆ
ปัณรีเปิดประตูออกไปโก่งคออาเจียนข้างๆ รถ อย่างอ่อนระโหยโรยแรง
รถคันที่จอดข้างๆ กัน กระจกที่นั่งด้านหลังค่อยๆ เลื่อนลง เห็นเด็กชายราว 5 ขวบจ้องมองมาที่ปัณรีอย่างตกใจ ก่อนที่รถจะค่อยๆ แล่นออกไปช้าๆ เด็กคนนั้นมองมาที่ปัณรีอย่างไม่ละสายตา เหมือนคนกำลังช็อก
ปัณรีเงยหน้าไปมองเห็นสายตาเด็กชายเข้าพอดี กระสือสาวหน้าตาตื่นตกใจที่มีคนเห็น ทำอะไรไม่ถูก รีบกลับเข้ารถเอาทิชชู่เช็ดปากอย่างแรง
ที่วัดป่าอันร่มรื่นและเงียบสงบ นลินกับนรากำลังเดินจงกรมใต้ต้นไม้ใหญ่ มีชาวบ้านจูงวัวเข้ามาในวัด
นลินมองไปที่วัวราวกับมองทะลุเห็นอวัยวะภายใน และหัวใจกำลังเต้นเป็นจังหวะ นลินเลียริมฝีปากพลางกลืนน้ำลายอย่างหิวโหย นรามองอย่างรู้ทัน
“หลับตาแล้วกำหนดจิตให้นิ่งนะลูก วัวตัวนี้ชาวบ้านเขาไถ่ชีวิตมาจากโรงฆ่าสัตว์ ก็ถือว่าเป็นบริวารของพระพุทธเจ้าแล้ว”
“ค่ะแม่”
นลินหลับตากำหนดลมหายใจ แล้วข่มใจเดินจงกรมต่อ แต่คิ้วขมวดมุ่น สีหน้ายังเครียดไม่หาย
นรามองนลินด้วยความเป็นห่วง
ปัณรีขับรถวิ่งมาบนถนนสายหนึ่ง สองข้างทางเป็นทุ่งนาเขียวขจี
สีหน้าปัณรีเต็มไปด้วยความกังวล กระทั่งมีเสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น หน้าจอขึ้นชื่อและรูปของน็อตหนุ่มหุ่นล่ำ ปัณรีหงุดหงิด เมินมองไม่อยากรับสาย
“จะโทร.มาอะไรกันนักหนาเนี่ย”
ปัณรีก็ชะงักเหมือนคิดอะไรได้ หยุดรถข้างทางแล้วกดรับมือถือด้วยสปีกเกอร์โฟน แกล้งทักเสียงหวาน
“Helloน็อต ปันกำลังคิดถึงน็อตอยู่พอดี”
เสียงน็อตดังออกมา “คิดถึงแต่ไม่โทร.หาเลยนี่นะ กลับมาตั้งนานไม่ได้เจอกันสักที”
ปัณรีฟังด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย แต่แกล้งพูดดีด้วย
“ก็ปันไม่ว่างจริงๆ ตั้งแต่ปันกลับมาก็ต้องช่วยงานที่บ้าน ไม่มีเวลาไปไหนเลย อีกอย่างปันไม่อยากยุ่งกับคนมีครอบครัวแล้ว”
“โธ่…ปันก็รู้ว่าต่อให้ผมมีใคร ผมก็ไม่เคยลืมคุณ”
“ก็เพราะคุณปากหวานอย่างนี้น่ะแหละ ฉันถึงไปไหนจากคุณไม่ได้สักที”
“งั้นวันนี้ปันพอจะมีเวลาให้ผมได้ไหม”
ปัณรียิ้มสมใจ “ได้สิ แต่…รอบนี้ปันขอเป็นคนเซอร์ไพรส์น็อตนะคะ”
“ผมชักจะอดใจไม่ไหวแล้วสิ อยากรู้เร็วๆ ว่าเซอร์ไพรส์ของปันจะเป็นอะไร”
“เดี๋ยวปันจะส่งโลเคชั่นไปให้นะคะ”
“รีบส่งมาเลยครับ น็อตรอไม่ไหวแล้ว”
“ค่ะ บาย”
ปัณรีวางสาย ยิ้มเหี้ยมออกมาเต็มใบหน้าอันงดงาม
ที่วัดป่า ลมพัดแรง ท้องฟ้ามืดครึ้ม เหมือนฝนจะตก นลินกับนรารีบพากันเดินเข้าไปในโบสถ์
“หลบในโบสถ์ก่อนนะลูก” นรามองออกไปด้านนอก “ทำไมอยู่ๆ ฝนก็จะตกนะ”
“ก็ดีเหมือนกันลินจะได้นั่งสมาธิที่นี่ต่อเลย”
นราเอามือลูบหัวลูกอย่างเอ็นดู “ดีแล้วลูก พยายามกำหนดจิตใจให้สงบเข้าไว้อย่าให้สิ่งเร้าใดๆ เข้ามาทำลายสมาธิเราได้”
นลินพยักหน้ารับด้วยแววตามุ่งมั่น “ค่ะแม่ ลินต้องผ่านมันไปให้ได้”
นรายิ้มให้กำลังใจ “แม่กับหลวงตาจะไม่ทิ้งหนูไปไหนนะลูก ครั้งแรกๆ อาจจะยากหน่อย แต่แม่เชื่อว่าลูกแม่ทำได้อยู่แล้ว”
นลินยิ้มรับแล้วหลับตาทำสมาธิหน้าพระประธาน
ส่วนที่บ้านกำนันสิน ตฤณฤทธิ์อยู่ในห้องพักกำลังเสิร์ชหาข้อมูลในกูเกิ้ล หน้าจอขึ้นหัวข้อ วิธีแก้คำสาปต่างๆ
เสียงบุรัณย์ดังเข้ามา “ มันจะมีวิธีแก้ได้จริงๆ เหรอพี่”
ตฤณฤทธิ์ตกใจรีบปิดหน้าจอลง แล้วหันมองตามเสียง เห็นบุรัณย์ยืนจ้องอยู่ด้วยสีหน้าสงสัยก็โล่งอก
“พี่ก็ไม่รู้ ว่าจะมีวิธีแก้ไขอะไรได้ไหม เพราะตอนนี้พี่ก็มืดแปดด้าน”
บุรัณย์มองเห็นใจ “พี่ตฤณใจเย็นๆ นะ ผมว่ามันต้องมาสักทางแหละ”
ตฤณฤทธิ์หน้าเศร้ามองออกไปด้านนอก “ไม่รู้ตอนนี้คุณลินเป็นยังไงบ้าง”
“พี่ตฤณไม่ไปหาคุณลินล่ะ จะได้รู้ว่าเขาเป็นยังไง”
“ไม่ได้ ไปตอนนี้ก็เท่ากับไปรบกวนสมาธิเขาอยู่ดี”
บุรัณย์ฟังแล้วสงสาร “งั้นถ้ามีอะไรให้ผมช่วย พี่ตฤณบอกได้ตลอดเลยนะ ไม่ต้องเกรงใจ”
ตฤณฤทธิ์ยิ้มให้เชิงขอบคุณ แต่แล้วสีหน้าค่อยๆ เปลี่ยนเป็นครุ่นคิด
บรรยากาศในวัดป่าโพล้เพล้ใกล้ตะวันตกดิน นลินกับนรานั่งสมาธิอยู่ในโบสถ์ หลวงตาคำก้าวข้ามธรณีประตูเข้ามาเดินมานั่งหน้าพระประธาน
“ใกล้ถึงเวลาแล้วสินะ”
หลวงตาคำพูดจบก็มองออกไปด้านนอก นลินกับนราก้มลงกราบสามครั้ง
หลวงตาคำวางสายสิญจน์ลงที่พื้นให้นรา “เอาสายสิญจน์นี่ไปโยงกับโยมหลาน”
นราโยงสายสิญจน์ให้นลินแล้ววางก้อนสายสิญจน์ลงที่ถาดดอกไม้ธูปเทียนตรงหน้าหลวงตาคำ
“เอาล่ะตั้งจิตให้มั่นและสวดมนต์ตามหลวงตานะ สัคเค กาเม จะ รูเป”
นลินกะนราพูดตาม “สัคเค กาเม จะ รูเป”
เสียงบทสวดชุมนุมเทวดาดังก้องขึ้นในโบสถ์ หลวงตาคำนำสวดมนต์ ให้นลินกับนราสวดตาม
ผ่านไปสักครู่หนึ่ง นลินสวดมนต์ทำปากขมุบขมิบ แต่ท่าทางเริ่มกระสับกระส่าย
ด้านปัณรีใส่หมวกใส่แว่นตาดำ ไดร์ผมตรงแต่งตัวเหมือนนลินเพื่อหลอกคนอื่น นั่งรออยู่ในสวนที่นัดกิ๊กไว้ ด้วยท่าทางกระวนกระวายใจ พอเห็นใครบางคนเดินเข้ามาก็ตาลุกวาว
น็อตหนุ่มหุ่นล่ำ เดินยิ้มกว้างถือดอกไม้ช่อใหญ่เข้ามาหา ตรงไปหอมแก้มปัณรีแล้วยื่นช่อดอกไม้ให้
“ผมนึกว่าปันจะเทผมอีกเสียแล้ว”
“ปันจะทำอย่างั้นทำไมล่ะคะ เรานัดกันแล้วนี่”
น็อตมองงงๆ “ทำไมวันนี้ปันแต่งตัวแปลกๆ”
“ถึงปันจะใส่อะไรที่แปลกไป แต่ข้างในยังเหมือนเดิมนะคะ”
น็อตยิ้มกริ่มมองไปรอบๆ “นึกยังไงถึงนัดที่นี่ล่ะ ดูเงียบๆ ไม่ใช่สไตล์ปันเลยนะ”
“ไปกันเถอะค่ะปันหิว” ปัณรีตัดบทพลางเอานิ้วชี้ไปที่หน้าอกของน็อตด้วยสายตายั่วยวน “ปันอยากกินแล้ว”
น็อตยิ้มกริ่ม “งั้นต้องกินให้หมดทั้งตัวเลยนะ”
ปัณรียิ้มรับ เข้าไปกอดและซบลงที่อกน็อต จากนั้นทั้งคู่กอดประคองกันออกไปที่รถ
ตฤณฤทธิ์กำลังหาข้อมูลการแก้คำสาปในอินเตอร์เน็ต นึกบางอย่างได้ มองออกไปยังนอกหน้าต่าง ด้วยความกังวล
“คืนนี้แล้วสินะ”
ตฤณฤทธิ์หน้าเครียด
พระจันทร์วันเพ็ญ ลอยเด่นเหนือวัดป่าอันเงียบสงบ
นลินนั่งสมาธิหลับตานิ่ง เห็นเหงื่อบนใบหน้าผุดขึ้นเป็นเม็ดๆ
เสียงสวดมนต์ดังก้องไปทั่วโบสถ์หลังนั้น
นลินออกอาการกระสับกระส่าย หายใจแรง ร่างเริ่มมีอาการสั่นอย่างควบคุมไม่ได้ นรากับหลวงตาคำช่วยกันสวดมนต์เพื่อช่วยนลิน
ส่วนปัณรีถือกระเป๋า ใส่หมวก สวมแว่นตาดำเดินนำเข้ามาในล็อบบี้รีสอร์ตเปิดใหม่ แถวๆ บ้านดอนป่าหวาย
น็อตสงสัย “ตอนนี้มันมืดแล้วทำไมปันไม่ถอดหมวกกับแว่นออกล่ะครับ”
“ไม่ได้หรอกค่ะ คนแถวนี้รู้จักปันกันหมด เดี๋ยวเขาเอาไปนินทาได้ ปันไม่อยากฟังพี่พลบ่น”
“งั้นเราไปที่อื่นกันก็ได้นี่” น็อตมองไปรอบๆ “ผมว่ามันดูเงียบๆ แปลกๆ นะ”
“เงียบๆสิดี เดี๋ยวปันมีเซอร์ไพรส์ชุดใหญ่”
น็อตยิ้มหวาน “ชุดใหญ่ไฟต้องกะพริบแว้บๆ เลยนะครับ”
ปัณรีทำท่าเป็นนางเสือใส่ “ไฟกะพริบทั้งคืนเลย”
น็อตมองปัณรีตาวาวอย่างหื่นกระหาย พนักงานรีสอร์ตเข้ามาต้อนรับ
“สวัสดีค่ะ จองห้องไว้แล้วใช่ไหมคะ”
“ยังค่ะ แต่ขอเป็นห้องสุดท้ายนะคะ ฉันชอบความเป็นส่วนตัว”
พนักงานมองปัณรีอย่างสงสัยแต่ก็ไม่เอะใจอะไร “ได้ค่ะ วันนี้ทางเรามีลูกค้าเข้าพักแค่ห้องเดียว รับรองเป็นส่วนตัวแน่นอนค่ะ เดี๋ยวเชิญตามมาทางนี้เลยนะคะ”
ปัณรีหันมองหน้าน็อตแล้วยิ้มเจ้าเล่ห์มีแผน น็อตยิ้มกริ่มคืนนี้จัดหนักแน่
สองคนเข้ามาในห้องพัก น็อตปิดประตูล็อคทันที ปัณรีเดินไปกอดน็อตจากด้านหลัง เอาหน้าซบที่แผ่นหลัง
“น็อตนี่ตัวหอมน่ากินจังเลยนะ”
“น็อตยอมให้ปันกินทั้งตัวเลย”
น็อตหันกลับมาทางปัณรีทำท่าจะจูบ แต่ปัณรีดึงเสื้อน็อตจนฉีกขาดแล้วโยนทิ้งไปมุมห้อง น็อตยิ้มกริ่มคว้าตัวปัณรีมากอดแต่เธอกลับวิ่งหนี
“แน่จริงก็จับปันให้ได้สิคะ”
น็อตวิ่งเข้าไปคว้าเอวปัณรีไว้ได้แล้วทั้งคู่ก็เสียหลักล้มลงที่เตียง
ทั้งคู่ต่างสบตากันไปมาอย่างหวานซึ้ง น็อตกำลังจะจูบ ปัณรีพลิกตัวออกเหมือนนึกอะไรได้
“น็อตลบข้อมูลออกยังคะ ปันไม่อยากมีเรื่องกับเมียน็อตนะ” ปัณรีกลัวมีหลักฐานสาวมาถึงตัว
“ก็นึกว่าเรื่องอะไร ระดับนี้แล้วไม่มีหลักฐานแน่นอนจ้า”
น็อตหยิบมือถือมาโชว์ให้ดู
ปัณรีเดินไปใส่ถุงมือที่เตรียมมาอย่างดี เพื่อไม่ให้มีหลักฐานลายนิ้วมือสาวถึงตัวเธอ และถอดชุดนอกออกอย่างเย้ายวน เห็นเป็นชุดเซ็กซี่ น็อตมองตามตาลุกวาว
ปัณรีเปิดเพลงเสียงดังเพื่อกลบเสียง ทำท่ายั่วยวนแกว่งแส้ไปมา
น็อตยิ้มพอใจรีบลุกตรงเข้าหาปัณรีเพราะมีรสนิยมชอบความซาดิสม์ น็อตหอมเล้าโลมปัณรี
ปัณรีพลิกเกม ผลักตัวน็อตลงที่เตียง ทำท่ายั่วยวนแล้วใส่ปลอกคอน็อต
“วันนี้ผมจะยอมเป็นทุกอย่างให้ปันเอง เมี้ยว…” น็อตทำท่าแมว
ปัณรียิ้มกริ่ม เอาเชือกมัดแขนน็อตไว้หนึ่งข้าง แล้วกำลังจะมัดอีกข้าง
“มัดแค่ข้างเดียวก็ไม่หนีไปไหนแล้ว”
ปัณรีเอาเล็บกรีดที่ท้องน็อตจนเลือดซึม น็อตมองอย่างตื่นเต้น เพราะเขาชอบความรุนแรง
ส่วนเหตุการณ์ที่วัดป่า นลินหลับตาตัวสั่นเหมือนจะควบคุมตัวเองไม่ได้ พยายามฝืนตัวเองไว้อย่างทรมาน จนเริ่มสู้ไม่ไหว นลินหยุดสวดมนต์ ล้มตัวลง นราตกใจจะเข้าไปช่วยประคองตัวนลิน
หลวงตาคำปราม “สวดมนต์ต่อไป”
เสียงสวดมนต์ดังก้องไปทั่วโบสถ์
นลินลืมตาขึ้นดวงตาเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ กรีดร้องด้วยความทุกข์ทรมานเอามือจับที่คอเหมือนกำลังจะถอดหัว จนผมที่มัดไว้หลุดสยายออก นราเหลือบมองน้ำตาซึม แล้วพยายามสวดช่วยนลินเต็มที่
นลินดึงสายสิญจน์จนขาดหลุดลุ่ยแล้วลุกขึ้นวิ่งออกไป นรากำลังจะลุกตามไป
“ไม่ต้องตาม ตั้งสติใช้สมาธิเข้าช่วยอยู่ที่นี่ โยมหลานต้องข่มใจได้ด้วยตัวเองเราจะช่วยตลอดไปไม่ได้”
นรามองตามนลินอย่างสับสนจะทำยังไงต่อดี สุดท้ายข่มใจนั่งสมาธิต่อไป
เสียงสวดมนต์ดังขึ้น หลวงตาคำและนราช่วยสวดมนต์ช่วยนลิน
น็อตถูกมัดอยู่บนเตียง ปัณรีใช้แส้เฆี่ยนไปที่หน้าอกน็อตอย่างแรง จนเลือดออก ดวงตาปัณรีเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ เขี้ยวเริ่มงอก ตัวเริ่มสั่นใกล้จะควบคุมไม่อยู่แล้ว
ปัณรีเอามือป้ายเลือดน็อตขึ้นมาเลียกินและดูดนิ้วอย่างยั่วยวน
ปัณรีมีความสุขที่ได้กินเลือดสดๆ สีหน้าน็อตเริ่มไม่สนุกด้วย ทั้งเจ็บและกลัว
ปัณรีหยุดชะงัก กระสับกระส่าย เป็นอาการใกล้จะถอดหัว น็อตมองปัณรีตาค้าง ตกใจสุดขีด
“ปัน ปันเป็นอะไรผมไม่เล่นแล้วนะ”
ปัณรีแยกเขี้ยวแล้วจะกัดลงที่ท้องน็อต แต่พลาดไปโดนที่แขนจนเลือดสาด น็อตสะบัดปัณรีตกลงที่ข้างเตียง ร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวด
“โอ๊ย แกนังปีศาจ แกหลอกฉัน” เขาร้องตะโกนให้คนช่วย “ช่วยด้วยๆใครก็ได้ช่วยผมที
น็อตพยายามดิ้นรนแกะเชือกที่แขนออกอย่างตื่นตระหนกสุดขีด
ปัณรีนอนดิ้นทุรนทุรายอยู่ที่พื้นด้วยความทรมาน มือทั้งสองจับที่คอด้วยความเจ็บปวด
เชือกที่มัดแขนน็อตเริ่มจะหลุดออกบ้างแล้วบางส่วน
ทางด้านนลินวิ่งหนีออกมาจากโบสถ์ ด้วยท่าทางทุรนทุราย พยายามสู้กับตัวเอง แต่แล้วนลินก็กรีดร้องเสียงดัง ก่อนจะล้มลงหน้าคว่ำไปอย่างแรง
ไม่นานนักกระสือนลินลอยผ่านไปหยุดมองไปที่วัวตัวนั้น เลียริมฝีปากมองอย่างหิวกระหายแล้วจะพุ่งเข้าใส่
ยินเสียงเตือนของนราแทรกขึ้น
“อย่า อย่าทำ ตั้งสติให้ดีนะลูก กลับมา นลินกลับมา”
นลินชะงัก ต่อสู้กับด้านมืดในจิตใจตัวเองอย่างหนัก มองตามเสียงนั้นไป
นรากำลังนั่งสมาธิหลับตาส่งกระแสจิตไปช่วยนลิน ด้วยสีหน้าเป็นกังวล หลวงตาคำกำลังสวดมนต์อย่างเคร่งเครียด
ทางด้านหน้าโบสถ์ เสียงกรีดร้องดังขึ้น
อีกฝั่งปัณรีถอดหัวเป็นกระสือแล้ว จ้องมองน็อตอย่างหิวโหยแยกเขี้ยวแล้วพุ่งเข้าหาเหยื่อ
น็อตมีสีหน้าหวาดกลัวสุดขีด พยายามแกะเชือกที่แขนอย่างลนลาน
“อย่าทำอะไรฉันเลย! ปล่อยฉันไปเถอะ ฉันกลัวแล้ว”
กระสือปัณรีมองที่คอน็อตตั้งท่าโจมตีแล้วพุ่งเข้ากัดทันที แต่น็อตยกแขนป้องไว้ กระสือสาวกัดเข้าที่แขนจมเขี้ยว น็อตร้องด้วยความเจ็บปวด พยายามสะบัดออกเต็มแรง ในจังหวะที่เชือกที่แขนอีกข้างของเขาหลุดออกพอดี
น็อตซึ่งมีแผลแหวะที่แขน รีบวิ่งออกไปอย่างไม่คิดชีวิต
น็อตวิ่งเท่าเปล่าออกมานอกห้องปิดประตูดังปัง ออกแรงวิ่งไม่คิดชีวิต ควานหากุญแจรถในกระเป๋ากางเกงแต่ไม่เจอ น็อตตกใจ ร้องตะโกนให้คนช่วย
“ช่วยด้วย!ช่วยด้วย!ใครก็ได้ช่วยผมที นังผีกระสือมันจะฆ่าผม”
กระสือปัณรีลอยออกมาทางหน้าต่าง
น็อตวิ่งไปเหยียบกิ่งไม้ ร้องออกมาอย่างเจ็บปวด
“โอ๊ย…!อะไรอีกวะเนี่ย”
น็อตเห็นไม้เสียบเท่าก็รีบดึงไม้ออก แล้ววิ่งกะเผลกๆ ตรงไปทางล็อบบี้รีสอร์ต กระสือปัณรีลอยมาดักด้านหน้าไว้ น็อตตกใจสุดขีดรีบวิ่งหนีล้มลุกคลุกคลานและตะโกนขอความช่วยเหลือ
“ช่วยด้วย! ช่วยด้วย”
กระสือปัณรียิ้มแยกเขี้ยวและเลียริมฝีปาก
ฝ่ายกระสือนลินกำลังจะพุ่งเข้าใส่วัว เสียงนราดังขึ้น
“กลับมาลูก…นลินกลับมา อย่าสร้างกรรมต่อไปเลย”
กระสือนลินชะงัก ต่อสู้กับตัวเองอย่างหนักหน่วง กัดฟันหลับตาข่มความกระหาย น้ำตาไหลรินออกมา
“อย่าสร้างกรรมอีกเลยลูก กลับมาเถอะลิน”
กระสือนลินลืมตาขึ้นอย่างได้สติ ก่อนจะลอยกลับไปทางหน้าโบสถ์
ฝ่ายน็อตวิ่งหน้าตาตื่นวิ่งหนีเข้ามาในป่าข้างๆ รีสอร์ต
กระสือปัณรีลอยตามหลังน็อตมาติดๆ แล้วพุ่งกัดเข้าที่คอน็อตจากด้านหลัง น็อตล้มลง สีหน้าเต็มไปด้วยความเจ็บปวด เอามือจับที่คอเพื่อห้ามเลือด เลือดพุ่งกระฉูด
น็อตพยายามตะเกียกตะกายหนีเอาตัวรอด กระสือปัณรีลอยมาดักด้านหน้า
น็อตมองกระสือปัณรีอย่างสิ้นหวังและเริ่มอ่อนแรง ยกมือไหว้ปะหลกๆ
“ผมขอล่ะ อย่าฆ่าผมเลย ปัณ อยากได้อะไรผมให้ทุกอย่าง”
กระสือปัณรีไม่สนใจพุ่งเข้ากัดที่คอ ตรงหลอดลมพอดี
น็อตพยายามจะฝืนตะโกนแต่ไม่มีเสียง หายใจเฮือกสุดท้าย ตาเบิกค้างแล้วแน่นิ่งไป
กระสือปัณรีกัดที่ท้องแล้วลากไส้น็อตออกมากินอย่างเอร็ดอร่อย
ขาน็อตกระตุกเป็นจังหวะ
กระสือปัณรีกัดกินไส้เลือดสาดกระเซ็นไปทั่วบริเวณ
ในที่สุดกระสือนลินก็ลอยกลับเข้าร่างที่หน้าโบสถ์ นรากับหลวงตาคำรีบเข้ามาดู นราเข้ามาประคองตัวนลินขึ้นใบหน้านลินไม่มีรอยเปื้อนเลือด นรายิ้มดีใจ
“นลิน ลูกทำได้แล้ว ลูกแม่
นลิมยิ้มดีใจแต่อ่อนแรงเต็มทนและเจ็บปวดเจียนตายด้วยไม่ได้กินอาหารติดๆ กัน หลายครั้งแล้ว
นราหันมามองหลวงตาคำ ซึ่งท่านยิ้มบางๆ ให้ อย่างพึงพอใจ
พระจันทร์คืนเพ็ญสาดแสงไปทั่วบริเวณ เสียงหมาหอนรับกันเป็นทอดๆ ชวนขนหัวลุก
กระสือปัณรีเข้าร่างแล้วแต่ยังนอนแน่นิ่งอยู่ สักพักก็ลืมตาขึ้น ดวงตากลับมาปกติ ปากเปื้อนเลือดเต็ม
ปัณรีรีบวิ่งไปส่องกระจกในห้องน้ำ มองตัวเองอย่างตกใจรีบเปิดก๊อกน้ำล้างเลือดออก รอยสีแดงขึ้นรอบคอ
ปัณรียืนมองตัวเองนิ่งๆ ที่หน้ากระจก น้ำตาค่อยๆ ไหลออกมา ร้องไห้ออกมาด้วยความคับแค้นใจ สีหน้าเปลี่ยนเป็นโกรธแค้น มองออกไปด้านนอก นึกถึงนลิน
ปัณรีโกรธแค้นนลินสุดจะประมาณ คิดว่าเธอต้องเป็นกระสือเพราะนลินนั่นเอง และจะทำทุกวิถีทางเพื่อใส่ร้ายทำลายนลินให้จงได้
ปัณรีแต่งเนื้อแต่งตัวอย่างรวดเร็ว ใส่หมวกสวมแว่นตาดำหิ้วกระเป๋าออกจากห้องท่าทางลุกลี้ลุกลน มองซ้ายมองขวาแล้ววิ่งไปที่รถเปิดประตูเข้าไปรีบสตาร์ตเครื่อง
แล้วขับออกไปจากรีสอร์ตราวกับจะบินไป
อ่านต่อตอนต่อไป
พระอาทิตย์โผล่ขึ้นที่ปลายฟ้า หญิงชายชาวบ้านผัวเมียคู่หนึ่งเดินมาตามทางแถวชายป่า ชายชาวบ้านเดินเร็วรี่บ่นบ้าด้วยสีหน้าหงุดหงิด
“เดินเร็วๆ หน่อยไม่ได้หรือยังไง ป่านนี้พระคงฉันข้าวเสร็จแล้วมั้ง”
ชาวบ้านหญิงถือตะกร้าตามออกมา ด้วยท่าทางรีบร้อน
“โอ๊ย จะรีบอะไรนักหนา ไปวัดทุกวัน ทีตอนนั้นพ่อแม่ให้บวชก็ไม่บวช”
“บวชได้ที่ไหนล่ะ แกก็พูดไม่คิด”
“อ้าว ทำไมจะบวชไม่ได้ล่ะ”
“ก็กลัวแกจะคิดถึง…เดี๋ยวมันบาป” ตัวผัวส่งยิ้มหวาน
เมียยิ้มอายๆ เอามือตีไหล่ผัวแก้เขิน แล้วตาก็เหลือบไปเห็นอะไรบางอย่าง
“เดี๋ยวๆพี่ นั่นหมามันรุมอะไรกันน่ะ”
ชาวบ้านชายมองตาม เห็นหมากำลังรุมกัดกินอะไรบางอย่าง
“เดี๋ยวพี่ดูเอง”
ชาวบ้านชายเดินตรงเข้าไปดูด้วยสีหน้าสงสัย
หมารุมกัดกินอะไรบางอย่าง ชาวบ้านชายเอามืออุดจมูกใช้ไม้ไล่หมาให้ออกไป
“ไปๆ ไปๆ รุมอะไรวะ เหม็นคาวเป็นบ้า”
หมาต่างพากินวิ่งหนีออกไป ชาวบ้านชายตกใจตาแทบถลน
เมื่อเห็นเป็นศพน็อตนอนตายอย่างสยดสยอง ผิวขาวซีดเพราะเสียเลือด ท้องถูกกัดฉีกขาด จนเห็นอวัยวะด้านในและอวัยวะบางส่วนไหลออกมากองด้านนอก ตรงลำคอมีรอยแผลโดนกัดฉีกขาดสองจุด แขนมีรอยกัดเหวอะหวะ เลือดอาบตัวและไหลนองเต็มพื้น
“เฮ้ย”
ชาวบ้านชายแหกปากร้องลั่น วิ่งไปอาเจียน
เสียงชาวบ้านหญิงตะโกนถามด้วยความเป็นห่วง
“พี่เป็นอะไรหรือเปล่าพี่”
“ศพคนตาย แกอย่าเพิ่งเข้ามานะ รีบไปตามคนอื่นมาที่นี่ แล้วโทร.แจ้งตำรวจเร็ว”
ชาวบ้านหญิงวิ่งเข้ามาถึงกับชะงักกึก ยืนนิ่งช็อกตาตั้งทำตะกร้าหลุดมือ
ข่าวแพร่ไปทั่วหมู่บ้านแล้ว เบาวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาในบ้าน ตะโกนเรียกกำนันดังลั่น
“พ่อกำนัน พ่อกำนัน”
กำนันสินอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ “อะไรของแกวะไอ้เบา”
เบาหอบแฮกๆ ชี้มือไปทางรีสอร์ตชายป่า “ก็…ก็...ที่…ที่...รี...”
กำนันสินรำคาญอ่านหนังสือพิมพ์ต่อ “เอ็งหายเหนื่อยแล้วค่อยมาบอกข้าก็แล้วกัน”
เบาตั้งสติ “กระสือ! กระสือมันฆ่าคนจ้าพ่อกำนัน”
กำนันสินหน้านิ่งๆ ในเบื้องแรก “ก็แค่กระสือ…” จนนึกขึ้นได้ ก็ตกใจ “หา!...อะไรนะกระสือเหรอ”
โฉมศรีกับฉัตรฉายเดินมาได้ยินหูผึ่ง ตกใจร้องวี้ดว้าย รีบเข้ามาสมทบ
“กระสือที่ไหนไอ้เบา”
เบารายงานข่าวมโนมาเต็ม “ก็มีคนถูกฆ่า ไส้นี่ถูกกัดกระจุยกระจาย เลือดนองเต็มพื้นเลยจ้าคุณนาย”
ฉัตรฉายทำท่ากลัวบอกกับแม่ “มันต้องเป็นฝีมือกระสือแน่ๆ เลยแม่”
เสียงตฤณฤทธิ์ดังขึ้น “เห็นมากับตาเลยเหรอครับ”
ตฤณฤทธิ์กับบุรัณย์เดินเข้ามาสมทบด้วยสีหน้าสงสัย
เบาอึกอักยิ้มแห้งๆ เสียงอ่อนไม่กล้าสบตาด็อกเตอร์ “เปล่า…เปล่าจ้า เค้า…เค้าบอกมา”
ตฤณฤทธิ์ถามเสียงเข้ม “เขาเป็นใคร”
“เค้าเป็นเค้านี่แหละ” เบาชี้ที่ตัวเอง
“อ้าว!ไอ้เบา ข่าวไม่กรองเอามาพูดได้ไง” กำนันยัวะ
“แต่มีคนตายที่ชายป่าข้างรีสอร์ตเปิดใหม่จริงๆนะพ่อกำนัน ตอนนี้ชาวบ้านกำลังแห่กันไปดู”
“ไม่ได้แล้ว ข้าต้องรีบไป มันอยู่ในเขตพื้นที่ของข้า”
“งั้นฉันไปด้วยนะพี่ อยากเห็นกับตาว่ามันเป็นฝีมือนังกระสือ…” โฉมศรีมองหน้าตฤณฤทธิ์ไม่กล้าพูดนลินออกมา
“งั้นผมไปด้วย”
“ขอผมไปเอากล้องแป๊บหนึ่งนะพี่ เดี๋ยวผมไปด้วย”
ตฤณฤทธิ์พยักหน้ารับด้วยสีหน้าครุ่นคิด ขณะที่บุรัณย์วิ่งกลับห้องไปทันที
ส่วนที่ตลาด เจ๊หวีกำลังนั่งหวีวิกผมตัวเองอยู่ในร้านเสริมสวย
“เจ๊! เจ๊หวี…”
ชมพู่กับผันวิ่งพรวดเข้ามา สองผัวเมียผงะตกใจ ชมพู่ยกมือทาบอก
“อุ๊ย ตกใจนึกว่ากอลลัม”
เจ๊หวีเท้าสะเอวสีหน้าไม่พอใจ รีบหยิบวิกมาใส่ แต่ยังไม่เรียบร้อย
“อีชมพู่”
“ฉันว่าเหมือนนิโคลัสเคจมากกว่านะ” ผันว่า
เจ๊หวีสะบัดผมหันมายิ้ม “ตอนหนุ่มใช่ไหม”
ชมพู่แทรกขึ้น ด้วยสีหน้าจริงจัง “ตอนนี้”
เจ๊หวีขึงตามองแรงไม่พอใจ “นี่มึงจะให้กูตบมึงให้ได้ใช่ไหม”
ชมพู่หน้านิ่ง “ตอนนี้จะเอาตีนออกไปได้หรือยัง”
ที่แท้เจ๊หวีเหยียบเท้าชมพู่อยู่ ต้องรีบชักเท้าออก แล้วทำเป็นส่องกระจกจัดทรงผมแก้เขินบ่นกับตัวเองเบาๆ
“เหมือนนิโคลัสตรงไหน! สวยขนาดนี้ ผมทรงนี้น้ำตาลชาลิตาชัดๆ”
ชมพู่ทำหน้าหน่าย “จะฟังไหมข่าวอะ ตอนนี้ชาวบ้านแห่ไปดูคนตายกันทั้งหมู่บ้านแล้ว”
เจ๊หวีตกใจ “ตายอีกแล้วเหรอ”
“ใช่ เขาลือกันใหญ่ว่าเป็นฝีมือกระสือ” ผันบอกเสริม
เจ๊หวีนึกออก “แล้วพวกแกไปบอกป้านวลกับคุณชลันตีหรือยัง”
“ไปมาแล้ว แต่คุณชลันตีไปว่าความในเมืองเลยไม่มีรถ ฉันเลยมาตามพี่นี่แหละ”
“อ้าวเหรอ งั้นเอารถฉันไป”
“แล้วเจ๊ล่ะไม่ไปเหรอ ปกติไม่เคยพลาดนี่”
เจ๊หวีทำหน้าเสียดาย “จะไปได้ไงนัดคุณนายผู้ว่าไว้ จะเข้าไปทำสปาหน้าให้เขา พวกแกรีบไปกันเถอะแล้วค่อยมาเล่าให้ฉันฟัง”
“ได้ๆ งั้นฉันไปนะ” ชมพู่กับผันเดินออกไป
เจ๊หวีตะโกนตามหลัง “แต่บ่ายโมงไปรับเจ๊ที่ในตลาดนะ”
“ได้จ้ะเจ๊ เดี๋ยวฉันไปรอที่ตลาดกับพี่ผัน”
ชมพู่กับผันเดินออกไป เจ๊หวีมองตามอย่างเสียดาย
ตรงชายป่าติดกับรีสอร์ต สถานที่เกิดเหตุ
ชาวบ้านกำลังมุงดูเหตุการณ์อยู่นอกเชือกกั้น
เจ้าหน้าที่มูลนิธิต่างพากันทำงานอย่างขันแข็ง สารวัตรวิทยากับจ่าไพฑูรย์เข้ามาดูศพและเก็บหลักฐานในที่เกิดเหตุ
ตฤณฤทธิ์ บุรัณย์ โจ๊ก กำนันสิน โฉมศรี ฉัตรฉาย เบา เดินเข้ามาสมทบ
บุรัณย์กับตฤณฤทธิ์มองหน้ากันแล้วเดินเข้าไปในเชือกกั้น บุรัณย์โชว์บัตรนักข่าว
“ผมเป็นนักข่าวครับ ขอทางด้วยครับ”
บุรัณย์เข้าไปดูศพ ตฤณฤทธิ์มองที่ศพแล้วชะงัก โจ๊กยกกล้องขึ้นถ่ายทำข่าว
“ถ่ายบรรยากาศไปก่อน เดี๋ยวค่อยรายงานสถานการณ์สด”
โจ๊กพยักหน้ารับแล้วถ่ายต่อ
กำนันสินเข้ามาแสดงตัวต่อเจ้าหน้าที่
“ผมเป็นกำนันดูแลพื้นที่ ที่นี่ครับ”
เบาเสนอหน้ากับเจ้าหน้าที่ ตีเนียนเข้าไปดูศพ “ผมเป็นลูกน้องกำนันสินครับ”
โฉมศรีจะเนียนตามเข้าไปด้วย “ฉันเป็นเมียกำนันค่ะ”
ฉัตรฉายจะตามเข้าไปอีกคน “ฉันเป็น...”
เจ้าหน้าที่มองปรามแล้วถอนหายใจ “ไม่ว่าจะเมีย จะลูกจะหลานก็เข้าไม่ได้นะครับ”
โฉมศรีกับฉัตรฉายหน้าแตก ได้แต่ยืนชะเง้ออยู่ด้านนอกเขตกั้น
กำนันสินกับเบามองศพแล้วทำหน้าสะอิดสะเอียน อยากจะอาเจียน
สารวัตรวิทยาสวัสดีทักทายทุกคน
“เป็นยังไงบ้างครับสารวัตร”
“สันนิษฐานเบื้องต้น น่าจะเกิดจากผู้ตายมีรสนิยมทางเพศแบบชอบความรุนแรง แล้วเล่นพิเรนทร์จนเลยเถิดไป”
“จะชอบความรุนแรงยังไงก็ไม่น่าจะทำร้ายตัวเองจนตายนะครับ” กำนันว่า
“ผมต้องสอบพยานบุคคล และเข้าตรวจพื้นที่ให้แน่ใจก่อน ว่าเกิดอะไรขึ้นกับผู้ตายกันแน่ เพราะตามที่พนักงานให้การคือผู้ตายมากับหญิงสาวคนหนึ่ง ผู้หญิงคนนั้นขับรถผู้ชายหนีออกไป คงกลัวความผิดหรือเจตนาลักทรัพย์ ต้องรอเจอตัวผู้ต้องสงสัยก่อน” สารวัตรวิทยาบอก
“แล้วชื่อที่ลงทะเบียนล่ะครับ” บุรัณย์ซักถาม
“ใช้เป็นชื่อผู้ตายครับ ตอนนี้ทางเรากำลังติดต่อทางญาติเผื่อจะได้ข้อมูลเพิ่มเติม” สารวัตรว่า
“แล้วเข้าตรวจสอบกล้องวงจรปิดหรือยังครับ” ตฤณฤทธิ์ถาม
“โชคร้ายที่รีสอร์ตเพิ่งเปิด ระบบต่างๆ ยังไม่เรียบร้อย แต่ผมจะไม่ปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านไปง่ายๆหรอกครับ ต้องตามคนร้ายมาลงโทษให้ได้”
เบาแทรกขึ้นว่า “มันต้องเป็นผีกระสือแน่ๆ เลยครับ และนี่ก็ไม่ใช่ศพแรก กระสือมันกินไส้ไปหลายศพแล้ว”
โฉมศรีหูผึ่ง สบช่องรีบกระพือข่าวกระสือ สร้างกระแสเล่นใหญ่จัดเต็มทันที
“ตายแบบนี้ต้องเป็นกระสือ แน่ๆ ว่าไหม ฉันล่ะไม่อยากจะคิด โดนกินไส้สดๆ คงทรมานน่าดูกว่าจะตาย”
ฉัตรฉายช่วยเสริม “พวกพี่ๆ ระวังไว้นะ ตราบใดที่ยังหาตัวนังผีกระสือไม่ได้ มันก็จะออกมาฆ่าคนแบบนี้ไปเรื่อยๆ”
ชาวบ้านเริ่มเห็นด้วย โฉมศรี ฉัตรฉาย มองหน้ากันชอบใจที่พูดให้ชาวบ้านเห็นด้วย
ในห้องพักบนกุฎิแม่ชี บรรยากาศเงียบสงบ นรากำลังเช็ดตัวให้นลินด้วยความเป็นห่วง นลินค่อยๆ ได้สติลืมตาขึ้นมา แล้วมีท่าทีเจ็บปวดที่ท้อง นราเอาน้ำมนต์ให้กิน
“น้ำมนต์ลูก”
นลินดื่มเข้าไปอึกเดียวก็อาเจียนน้ำมนต์ออกมา
นรามองเป็นห่วง “อดทนหน่อยนะลูก หลวงตาบอกถ้าทำพิธีครบสามวัน อาการลูกก็จะทุเลาลง”
นลินพยักหน้ารับด้วยสีหน้าเจ็บปวดและอ่อนแรง นรามองลูกด้วยความเป็นห่วงและปวดใจที่ทำอะไรไม่ได้
นลินนอนตัวงอหน้านิ่วด้วยความทุกข์ทรมานสุดจะประมาณ
ชาวบ้านจับกลุ่มเม้าท์มอย สันนิษฐานกันไปต่างๆ นานา
“ฉันไม่เชื่อหรอกว่าจะชอบความรุนแรงจนฆ่ากันตาย”
พนง.รีสอร์ตอยู่ด้วยเสริมว่า “เมื่อวานเขามากับผู้หญิง แต่พอเกิดเรื่องก็หายไปเลย น่าจะตกใจหนีไปตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว”
“ดีไม่ดีคนที่หลอกมาน่าจะเป็นกระสือนลินก็ได้นะแม่” ฉัตรฉายว่า
โฉมศรีหันมาถามพนักงาน “ผู้หญิงที่ว่าหน้าตาเป็นยังไงเหรอ”
“หนูคุ้นๆ หน้าแต่นึกไม่ออก เพราะเขาใส่หมวกใส่แว่นดำ แต่ที่จำได้คือตัวสูง หุ่นดีมาก หน้าตาสวย ผมตรงดำยาวสลวยเลยค่ะ”
โฉมศรีตีมือฟันธง “นั่นไงว่าแล้ว ที่พูดมานี่มันนังนลินชัดๆ มันคงตั้งใจหลอกมาฆ่าจริงๆด้วยแหละ”
ชมพู่ได้ยินที่โฉมศรีใส่ร้ายนลิน เดินแหวกชาวบ้านเข้ามา มีผันกับนวลเดินตามมาติดๆ
“นี่คุณนายเมื่อไหร่จะเลิกใส่ร้ายคุณลินสักที”
โฉมศรีไม่ตอบ ยิ้มเยาะมองไปยังนวล “อ้าวนวล ถึงขนาดรีบออกมาดูผลงานเจ้านายเลยเหรอ”
นวลมองตาขวาง “ใครตายฉันก็มาดูหมดแหละ คุณนายตายฉันก็จะไปดูเหมือนกัน เพราะปากแบบนี้คงจะไม่ตายดีแน่ๆ”
“แม่…เขาว่าแม่” ฉัตรฉายบอก
“ฉันได้ยินแล้ว”
นวลจ้องมองอย่างเอาเรื่อง จนโฉมศรีไม่กล้าพูดอะไรต่อ
ชมพู่ยิ้มเยาะ “เจอของจริงเข้าไปถึงกับพูดไม่ออกเลยเหรอคุณนาย ป้านวลพูดน้อยแต่ต่อยหนักนะจ๊ะจะบอกให้”
โฉมศรีแหวใส่ชมพู่ “แกหุบปากแกไปเลยนะนังชมพู่ คนอย่างโฉมศรีลูกกำนันสารเมียกำนันสินไม่เคยกลัวใครโว้ย”
“หยุดๆ จะมามีเรื่องอะไรกันตรงนี้” กำนันสินรำคาญ หันไปบอกลูกสาว “พาแม่แกไปรอที่รถไป เดี๋ยวพ่อตามไป”
โฉมศรีมองค้อนไม่สนใจ สะบัดหน้าเดินตรงไปที่สารวัตรวิทยากับจ่าไพฑูรย์ ฉัตรฉายรีบวิ่งตามไป
กำนันสินถอนหายใจบอกกับทุกคน “ตอนนี้ต้องรักและสามัคคีกัน ไม่ใช่เจอหน้าเป็นมีเรื่อง”
ชมพู่แทรกขึ้น “ก็เมียกำนันใส่ร้ายคนอื่นก่อนนี่”
กำนันสินตัดบท “เอาน่ะ ยอมๆ กันหน่อยเรื่องมันก็จบ พอละ แยกย้ายกันได้แล้วเจ้าหน้าที่จะได้ทำงานกันได้สะดวก”
ชมพู่ นวล มีสีหน้าไม่พอใจ ชาวบ้านทยอยแยกย้ายกันออกไป ตฤณฤทธิ์เดินตรงเข้ามาหานวลบอกเบาๆ
“ป้านวลครับผมขอคุยอะไรด้วยหน่อยนะครับ”
นวลพยักหน้ารับเอาคำ
สองคนมาหยุดคุยกันตรงมุมลับตาคน ตฤณฤทธิ์มองไปรอบๆ กลัวใครได้ยินก่อนจะถาม
“ตอนนี้นลินเป็นยังไงบ้างครับ”
นวลหน้าตึงมองไม่พอใจ เพราะคิดว่าตฤณฤทธิ์กำลังสงสัยนลิน เสียงแข็งใส่
“นี่คุณคิดว่าคุณหนูเป็นคนทำ”
“เปล่าครับ ที่ผมถามนี่ก็เพราะเป็นห่วงลินจริงๆ”
นวลบอกอย่างมั่นใจ “คุณหนูไม่มีทางทำเรื่องแบบนี้แน่นอน”
“ผมก็เชื่อแบบนั้นเหมือนกัน แต่ตอนนี้ที่ผมสงสัยคือใครกันที่ทำ และจะใส่ร้ายลินทำไม”
นวลครุ่นคิดสงสัย “หรือจะมีกระสืออีกตนจริงๆ”
ตฤณฤทธิ์ฟังแล้วตกใจ “มันเป็นไปได้ด้วยเหรอที่จะมีกระสือถึงสองตน”
นวลคิดไม่ตก “ป้าก็ไม่รู้”
ตฤณฤทธิ์ครุ่นคิดหาคำตอบว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
ตรงจุดเกิดเหตุ โฉมศรีกับฉัตรฉายเดินตรงเข้าไปกระซิบกับสารวัตรวิทยา
“สารวัตรคะ ฉันพอมีเบาะแสคนร้ายนะคะ”
วิทยาสนใจ “คุณนายได้เบาะแสมาจากไหนเหรอครับ”
โฉมศรีดึงเบาเข้ามา “นี่ไงคะหลักฐาน”
วิทยางงๆ “หลักฐานอะไรครับ”
โฉมศรีบอกกับเบาว่า “แกพูดไปสิไอ้เบา ว่าแกเคยเห็นกระสือตรงไหน และลูกแกตายยังไง”
เบาตีหน้าเศร้าทันควัน “กระสือมันกินไส้ไอ้แกแล็คซี่ลูกผม พูดมาน้ำตาจะไหล”
ชมพู่แทรกขึ้น “ลูกพี่มันตายจนไปเกิดใหม่แล้ว จะมาคร่ำครวญหามันทำไม”
“ก็ข้าคิดถึงของข้า แกไม่เข้าใจหรอกนังชมพู่”
“คิดถึงก็ตามมันไปสิ”
กำนันสินปราม “เรื่องมันผ่านมาแล้วอย่าไปพูดถึงมันเลย พูดไปไม่มีหลักฐานเขาจะฟ้องเอา”
โฉมศรีมองกำนันสินแล้วรีบเปลี่ยนเรื่อง
“สารวัตรคะ ฆาตกรมันอาจจะยังอยู่ที่บ้านยายเพียรก็ได้ ถ้ารีบไปตอนนี้มันคงยังทำลายหลักฐานไม่ทัน”
ฉัตรฉายเสริม “ใช่ค่ะ จะได้จับมันได้คาหนังคาเขาไปเลย”
ชมพู่เหนื่อยใจ “ก็ไม่หยุดไม่หย่อนนะคนเรา”
ตฤณฤทธิ์กับนวลเดินมาสมทบ
ตฤณฤทธิ์ปราม “ผมว่าคุณนายไม่มีหลักฐานก็ไม่น่าไปใส่ร้ายคนอื่นนะครับ”
นวลมองนิ่งๆ “ต่อให้มีหลักฐาน ก็คุยกับคนอย่างคุณนายไม่รู้เรื่องหรอกค่ะ อย่างคุณนายต้องฟ้องหมิ่นประมาทสักที จะได้สำนึกว่าอะไรควรพูด อะไรควรหุบปาก”
กำนันสินร้อนตัวดุโฉมศรีด้วยสีหน้าจริงจัง
“ไปรอที่รถ”
“โอ๊ย....เรารึอุตส่าห์จะช่วย”
“ช่วยไปไกลๆ ดีกว่าคุณนาย”
โฉมศรี กะฉัตรฉายเดินกระฟัดกระเฟียดออกไป กำนันสินยิ้มแห้งๆ บอกทุกคน
“ต้องขอโทษด้วยนะครับ คุณนายเขาเป็นคนตรงไปตรงมา คิดอะไรเห็นอะไรก็พูดตรงๆ อย่าไปถือสาเลยนะครับ”
ทุกคนมองไม่อยากถือสา ตฤณฤทธิ์ถอนหายใจคิดไม่ตก
บุรัณย์เริ่มรายงานข่าวอยู่ตรงบริเวณพบศพน็อต
“สวัสดีครับ ผมบุรัณย์ ทันทุกสถานการณ์ รายงานสดจากหมู่บ้านดอนป่าหวาย เกิดคดีสะเทือนขวัญ พบศพชายหนุ่มถูกสุนัขกัดกินอวัยวะภายในนอนเสียชีวิตในสภาพสยดสยอง คาดว่าน่าจะเกิดจากการเล่นพิเรนทร์เลยเถิดและรสนิยมทางเพศที่ไม่ปกติ ขณะนี้ตำรวจกำลังเร่งติดตามหาคู่ขาที่หายตัวไป เพื่อมาสอบปากคำต่อไป...”
เบา ชมพู่ ผันและชาวบ้านต่างพากันเสนอหน้าอยากออกทีวี เดินออกันเป็นที่วุ่นวายอยู่ด้านหลังบุรัณย์
“เดี๋ยวเรามาสอบถามชาวบ้านที่พบศพเป็นคนแรกกันนะครับ”
ชาวบ้านชายที่เป็นเจอศพ เดินท่าทางตื่นกล้องเข้ามากับเมีย
“ผมกับเมียกำลังจะออกไปทำบุญ แต่เหลือบไปเห็นหมู...เอ๊ย...หมา...เอ๊ย...หมาครับ หมากำลังรุมกัดกินอะไรบางอย่าง ผมเลยเดินไปดู ผมนี่ช็อกไปเลยครับ”
กำนันสินเดินเข้ามา พูดแทรกเอาหน้า “ผมกำนันสิน จะจับคนร้ายมาลงโทษให้ได้ เพื่อให้หมู่บ้านดอนป่าหวายกลับมาสงบสุขอีกครั้ง”
“ฉันชมพู่ค่ะ คือว่าฉันมาดูเหตุการณ์ น่ากลัวมากค่ะ...”
“ขอบคุณครับ”
บุรัณย์ลดไมค์ลง ทำท่าจบรายงานข่าว
“ฉันยังพูดไม่จบเลย พอแล้วเหรอ”
ผันรีบเข้ามาดึงชมพู่ พลางชี้ให้ดูนาฬิกา
“จะบ่ายแล้ว”
ชมพู่นึกได้ “ตายแล้ว! จริงด้วย ไปรับเจ๊หวีกันเถอะพี่ ป้านวลเข้าเมืองไปรับเจ๊หวีกับฉันนะ เดี๋ยวค่อยกลับ”
“เดี๋ยวผมไปส่งป้านวลเอง จะกลับไปเอาของในหมู่บ้านอยู่พอดี” ตฤณฤทธิ์บอกแล้วหันไปทางบุรัณย์ “กลับกันเลยไหม ป่านนี้รสคงงงว่าเราหายไปไหนกันหมด”
“อาจจะยังไม่ตื่นก็ได้นะพี่ เห็นบ่นปวดหัวๆ คงกินยาแล้วหลับทั้งวันแน่ๆ”
ตฤณฤทธิ์พยักหน้ารับ
“ฝากป้านวลด้วยนะคะคุณตฤณ” ชมพู่บอก
ตฤณฤทธิ์ยิ้มรับแววตาเศร้า บุรัณย์มองตฤณฤทธิ์ด้วยความเห็นใจ
ปัณรีขับรถน็อต มาจอดหลบอยู่ในที่ลับตาผู้คน ห่างจากรีสอร์ตพอประมาณ กระสือสาวฟุบลงกับพวงมาลัยรถเหมือนกำลังหมดแรง สักครู่หนึ่งจึงหยิบมือถือขึ้นมาเช็คข่าวน็อต ดูรายงานข่าว บุรัณย์ทันทุกเหตุการณ์ ช่อง 8
ปัณรีนั่งนิ่งดูข่าว และสีหน้าเริ่มเครียดเมื่อได้ยินแต่ละคนให้สัมภาษณ์เพราะกลัวความผิด กดปิดมือถือ หยิบกระเป๋าลงจากรถน็อต เดินไปขึ้นรถตัวเองที่จอดอยู่แถวนั้น
ปัณรีส่องกระจก เห็นรอยแดงรอบคอก็ยิ่งเครียด หาผ้าพันคอในกระเป๋ามาผูกปิดไว้ ก่อนจะขับรถออกไป
ที่หน้าตลาดในตัวเมือง เจ๊หวี เดินนวยนาดหิ้วกระจาดผักกระเฉดสดเพิ่งซื้อมาจากในตลาด และหิ้วกระเป๋าเครื่องสำอางออกมา แม่เด็กชายที่เห็นปัณรีกินไส้หมู ซึ่งเป็นลูกค้าร้านเสริมสวย เห็นเข้าก็ร้องทักอีเจ๊อย่างแปลกใจ
“เจ๊หวีมาทำอะไรที่นี่ ไม่ไปดูศพกับเขาเหรอ เห็นเขาลือกันใหญ่ว่าโดนกระสือกินไส้
เจ๊หวีมองไม่เชื่อพูดติดตลก “กระสืออีกละ ใครตายก็ไปโทษแต่กระสือ นางรู้เข้าคงน้อยใจกัดไส้ตัวเองตายพอดี”
แม่เด็กทำท่าอยากจะเม้าท์ “ตอนแรกฉันเองก็ไม่เชื่อหรอก...”
เสียงชมพู่ตะโกนแทรกเข้ามา “เจ๊หวี”
ชมพู่กับผันเดินเข้ามาสมทบ มองคู่แม่ลูกอย่างคนไม่รู้จักกัน
“ลูกค้าฉันเอง” เจ๊หันมาถามแม่เด็ก ด้วยท่าทางอยากรู้ “ว่าไงต่อนะ”
“ก็ลูกฉันน่ะสิ บอกเห็นกระสือกินไส้ที่ตลาดเมื่อวานนี้ ใช่ไหมลูก”
“ครับ ผมเห็นเขากินไส้ในรถด้วย น่ากลัวมากเลย” เด็กชายบอก
แม่เด็กกอดปลอบใจ “ไม่ต้องกลัวลูก ไม่ต้องกลัว”
ชมพู่ เจ๊หวี ผัน มองหน้ากัน อย่างสงสัย
เสียงฉัตรฉายแหลมนำเข้ามา “ที่นี้เชื่อหรือยังล่ะว่านังนลินมันเป็นกระสือ”
ฉัตรฉายเดินลอยหน้าลอยตาเข้ามาสมทบ มีเบาถือของให้
“เด็กไม่โกหกหรอกนะ” เบาเอามือลูบหัวเด็ก “ใช่ไหมหนู หนูเห็นมากับตาเลยเหรอ”
เด็กพยักหน้ารับแล้วถอยไปหลบหลังแม่ด้วยความกลัว
“งั้นฉันขอตัวนะเจ๊ จะรีบพาลูกไปรดน้ำมนต์” แม่เด็กมองนาฬิกาท่าทางรีบ “ไปลูกไป เดี๋ยวไม่ทันนัดหลวงพ่อ”
สองแม่ลูกรีบเดินออกไป
เจ๊หวีปรบมือประชดฉัตรฉาย
“สาระแนเรื่องของชาวบ้านนี่ ได้เลือดแม่มาเยอะเลยนะ”
ชมพู่แทรกขึ้น “ตอนนี้คุณลินไม่ได้อยู่ที่นี่ ยังจะมาใส่ร้ายเขาอีก”
ฉัตรฉายโกรธ “กระสือมันก็ลอยไปได้ทุกที่นั่นแหละ ไม่แน่นะบางทีมันอาจจะยังแอบอยู่แถวนี้ก็ได้”
เจ๊หวีพุ่งเข้ามาเอาเท้าเตะเฉียดหน้าฉัตรฉายไปเฉียดฉิว
ลูกสาวกำนันตกใจร้องโวยวาย “ว้าย อีเจ๊หวี”
“ทำไม ก็ตีนมันไม่มีตา จะลอยไปโดนหน้าใครก็ได้โว๊ย”
เจ๊หวีเท้าสะเอวลอยหน้าเชิดใส่จนลืมระวังตัว โดนฉัตรฉายกระโดดถีบเข้าที่เอวจนเสียหลัก เจ๊หวีโกรธจัด เอาลิปสติกชี้หน้า
“แกเข้ามา ฉันจะแทงแกด้วยลิปสติกนี่แหละ”
ฉัตรฉายถลกกระโปรงตั้งการ์ดสู้ “แกเข้ามาเลยฉันศิษย์มีครูโว๊ย เขาทราย แกแล็คซี่ แกเคยได้ยินเปล่า”
เจ๊หวีตั้งการ์ดรับแล้วหัวเราะเยาะ “ได้ข่าวว่าแก่แล้วนี่”
เบาแทรกขึ้นเสียงดัง “ยังไม่แก่ อย่าไปว่าเขาสิ”
เจ๊หวีโมโหวิ่งเข้าไปเอาลิปสติกละเลงไปที่หน้าผากฉัตรฉาย
ด้านฉัตรฉายดึงผักกระเฉดในกระจาดที่เจ๊หวีถือ ฟาดใส่ เกิดการตบตียื้อยุดกันอีรุงตุงนัง เบากับผันช่วยกันดึงแยกออก
ฉัตรฉายโดนลิปสติกเปื้อนเต็มหน้า เจ๊หวีวิกหลุด ถูกผักกระเฉดเกี่ยวหู ติดตามซอกคอ ต้องเป่าผักกระเฉดออกมาจากปากหมดสภาพ
แต่ทั้งคู่ยังมองหน้ากันอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อ
อีกฟาก รถตฤณฤทธิ์ขับตีโค้งเข้ามาจอดในลานวัดอย่างเร็วแรง ตฤณฤทธิ์ บุรัณย์ และนวล รีบลงรถพากันตรงไปที่โบสถ์ด้วยท่าทางร้อนใจ นราเดินออกมารับด้วยสีหน้าไม่ค่อยจะสู้ดีนัก ทุกคนยกมือไหว้แม่ชี
ตฤณฤทธิ์มองหานลิน “ลินเป็นไงบ้างครับ”
“ตอนนี้นลินจิตใจและร่างกายเปราะบางมาก ต้องทำสมาธิจนกว่าจะครบตามที่หลวงตาบอก”
ตฤณฤทธิ์ร้อนรนใจเป็นห่วง “ผมอยากเจอลิน ตอนนี้ลินอยู่ไหนครับ”
นราพยักหน้าให้ทุกคนเดินตามไป
ทุกคนเดินมาหยุดมองไป เห็นนลินหลับตาทำสมาธิเดินจงกรมอยู่ข้างโบสถ์อย่างแน่วนิ่ง ตฤณฤทธิ์เข้ามายืนมองนลินใกล้ๆ ด้วยความเป็นห่วง
“ลินลูก” นราเรียกเบาๆ
นลินลืมตา หันมองมาที่ทุกคน ยิ้มทักด้วยสีหน้าดีใจ แต่รอยยิ้มอ่อนล้า บุรัณย์มองเห็นใจ นวลน้ำตาคลอ
ตฤณฤทธิ์กับนลินมองหน้ากันไปมาด้วยความดีใจ
ไม่นานต่อมา ตฤณฤทธิ์กับนลินออกมานั่งคุยกันที่ม้านั่งใต้ต้นไม้ใหญ่ ตฤณฤทธิ์มองนลินอย่างเป็นห่วง หลังจากได้ฟังเรื่องเมื่อคืนที่เธอเล่าแล้ว
“ฉันพยายามทำทุกอย่างแล้วจริงๆ แต่…”
“ไม่เป็นไรนะทุกอย่างมันจะต้องดีขึ้น แต่อาจจะใช้เวลา ผมเชื่อว่าคุณทำได้”
“ขอบคุณค่ะ แล้วที่หมู่บ้านเป็นยังไงบ้างคะ มีใครสงสัยอะไรบ้างหรือเปล่า”
ตฤณฤทธิ์ถอนหายใจ สีหน้าเครียด เงียบไปดื้อๆ จนนลินสงสัย
“มีอะไรหรือเปล่าคะตฤณ”
“เมื่อเช้าที่รีสอร์ตใกล้หมู่บ้าน มีผู้ชายคนนึงถูกฆ่า อวัยวะบางส่วนหายไป”
นลินน้อยใจมากกว่าตกใจ “ทุกคนคงคิดว่าฉันเป็นคนทำสินะ”
“อาจเป็นเพราะสภาพที่เห็นคล้ายกับสัตว์ที่เคยถูกกระสือกัดกิน แต่ว่า...”
“หรือว่าคุณก็คิดว่าเป็นฉันด้วย ที่คุณมานี่เพราะจะมาสืบว่าเป็นฉันหรือเปล่า ใช่ไหมคะ”
นลินสวนออกมาด้วยความเสียใจ ลุกขึ้นวิ่งหนีออกไป ไม่ฟังเสียงเรียกของตฤณฤทธิ์
“ลิน...ลิน เดี๋ยวก่อน”
ตฤณฤทธิ์ตกใจรีบวิ่งตามไป
อ่านต่อตอนที่22