สาปกระสือ ตอนที่20 บุรัณย์ประจันหน้ากระสือนลิน
บทประพันธ์และบทโทรทัศน์โดย อาณาจินต์
ตฤณฤทธิ์เดินแกมวิ่งออกไปทางหลังบ้านยายเพียรด้วยสีหน้าวิตกกังวล มีมธุรสจ้ำตามหลังมาในความมืด ตฤณฤทธิ์เหลือบไปเห็นแสงไฟไกลๆ จึงรีบตามแสงไฟไป
มธุรสวิ่งตามมาติดๆ แต่แล้วไปสะดุดกับอะไรบางอย่างจนล้มลงกับพื้น เธอกรีดร้องด้วยความตกใจ ตฤณฤทธิ์หันกลับมาดูมองด้วยความเป็นห่วง รีบเข้ามาประคองมธุรสลุกขึ้น
“รส...เจ็บตรงไหนหรือเปล่า”
ตฤณฤทธิ์ใช้ไฟฉายมือถือส่องดู
สีหน้ามธุรสอึ้งๆ ไม่ตอบอะไร มองมือตัวเอง เห็นเลือดเลอะเต็มไปหมด
ตฤณฤทธิ์ตกใจ “รส! โดนอะไรเหรอ”
มธุรสตกใจระคนกลัว “ไม่ใช่เลือดรสค่ะ”
สองคนมองหน้ากันด้วยความตกใจ
พระจันทร์เต็มดวงลอยเด่นบนท้องฟ้า บุรัณย์วิ่งกระหืดกระหอบถือกล้องวิดีโอถ่ายไปรอบๆ เห็นแต่ต้นไม้ เขาหยุดกึกเมื่อเจอแสงไฟนั้น ซูมภาพเข้ามาดู แต่ภาพไม่ค่อยชัดเหมือนกล้องกำลังจะพัง บุรัณย์เขย่ากล้อง
“จะมาพังอะไรตอนนี้วะ”
บุรัณย์หงุดหงิด เพ่งมองไปที่แสงไฟ แล้ววิ่งเข้าไปใกล้ๆ
กระสือนลินผมปลิวสยายตามแรงลม แสงไฟสีแดงกะพริบวาบๆ ตามจังหวะเต้นของหัวใจ กระสือสาวเพ่งมองไปที่ควายในคอกตรงหน้า แววตาเป็นสีแดงดุร้าย จ้องมองเหยื่อ เลียริมฝีปากอย่างกระหาย
นลินกำลังจะพุ่งเข้าใส่ควาย แต่เหมือนได้กลิ่นมนุษย์ จึงหันหัวไปมองอย่างอาฆาต
บุรัณย์เจอกระสือจังๆ ก็ตกใจแทบช็อก กระสือนลินแยกเขี้ยวแล้วพุ่งเข้าใส่ บุรัณย์วิ่งหนีโดยไม่คิดชีวิต หกล้มหกลุกจนทำกล้องหลุดมือ
ทางด้านตฤณฤทธิ์เพ่งมองอะไรบางอย่าง สีหน้าวิตก ตฤณฤทธิ์ค่อยเอาไฟฉายจากมือถือส่องตามทางสายตาตฤณฤทธิ์ไปตามแสงไฟ เห็นรอยหญ้าราบเลอะเลือดเป็นทางเต็มไปหมด
มธุรสโผเข้าเกาะแขนตฤณฤทธิ์ด้วยความกล้าๆกลัวๆ
ทั้งคู่เหมือนเจอเข้ากับอะไรบางอย่าง มธุรสเอามือปิดปากตกใจ
ตฤณฤทธิ์สีหน้าตื่นตกใจเช่นกัน
บุรัณย์นั่งกองอยู่กับพื้น ค่อยๆ กระถดตัวถอยหลังหนี สายตาจับจ้องกระสือนลินด้วยความหวาดกลัว
“อย่าทำอะไรผมเลย ปล่อยผมไปเถอะ”
กระสือนลินไม่สนใจ แยกเขี้ยวจะพุ่งเข้าใส่ บุรัณย์เอาแขนป้องหน้าไว้ด้วยความกลัว
“อย่า...”
เสียงหลวงตาคำดังขัดขึ้น “หยุดเถอะโยม กรรมหนักจะได้เบาลง”
บุรัณย์มองไปเห็นหลวงตาคำยืนอยู่ไม่ไกลนัก เขารีบคลานเข้าไปหลบหลังหลวงตาคำด้วยความกลัว กระสือนลินมองหลวงตาคำอย่างมาดร้าย
“กรรมเก่าติดตัวมาก็มากแล้ว อย่าได้สร้างกรรมใหม่อีกเลยนะโยม”
บุรัณย์มองหลวงตาคำกับกระสือนลินไปมาด้วยท่าทีสงสัย
“กรรมที่ก่อขึ้นโดยตั้งใจ ย่อมส่งผลอาฆาตพยาบาทกัน ไม่รู้จักจบจักสิ้นนะโยม ปล่อยวาง หักห้ามใจเสียเถิด”
แววตากระสือนลินเริ่มอ่อนลง น้ำตาค่อยๆ ไหลออกมา สุดท้ายตัดใจลอยหนีไป
หลวงตาคำยืนมองตามหลังกระสือนลินอย่างโล่งใจ บุรัณย์ยกมือไหว้ปลกๆ
“ขอบคุณครับหลวงตา ที่ช่วยชีวิตผม”
หลวงตาคำยิ้มอย่างมีเมตตา “กรรมไม่ได้มีร่วมกันมา เขาคงไม่อยากสร้างกรรมเพิ่มขึ้นอีก”
บุรัณย์มองหลวงตาคำอย่างสงสัย
ฝ่ายตฤณฤทธิ์เอาไฟในมือถือส่องไล่ดูตามรอยเลือดไปเรื่อยๆ จนเห็นเท้าเปล่าของใครบางคนที่เปื้อนรอยเลือดโผล่ออกมาจากพงหญ้า ตฤณฤทธิ์ตกใจ หันไปบอกมธุรส
“รสรอพี่ตรงนี้นะ เดี๋ยวพี่ไปดูเอง”
มธุรสพยักหน้ารับ “พี่ตฤณ...ระวังนะคะ”
ตฤณฤทธิ์พยักหน้ารับแล้วรีบเดินเข้าไปมองตามรอยเลือด เห็นเสื้อผ้าฉีกขาด ท้องถูกกัดเป็นแผลเหวอะหวะ จนเห็นอวัยวะด้านใน ไส้ไหลออกมา และหายไปบางส่วนเหมือนถูกสัตว์ป่ากัดกิน ด๊อกเตอร์ตฤณส่องไฟดูใบหน้าแล้วแทบช็อก เมื่อเห็นเป็นอชินีนอนตายเบิกตาโพลง นอนจมกองเลือดตายอย่างสยดสยอง
ตฤณฤทธิ์ยืนมองศพอชินีอย่างสังเวชใจ จังหวะนี้มีเสียงกิ่งไม้หักดังขึ้นเหมือนมีคนแอบอยู่
ตฤณฤทธิ์ส่องไฟหาไปรอบๆ มธุรสกลัววิ่งเข้ามาเกาะแขนเขา
“อะไรคะพี่ตฤณ”
พอมธุรสเห็นศพอชินีก็ตกใจสุดขีด รีบเบือนหน้าหนี
ปัณรีหลบอยู่ในพงหญ้า แอบดูเหตุการณ์ด้วยแววตาตื่นตระหนก ใบหน้าเต็มไปด้วยเลือด กระสือมือใหม่มองมือตัวเองซึ่งเปรอะไปด้วยเลือดแล้วยิ่งตกใจ น้ำตาไหลรินออกมาอย่างสะท้อนใจ
ปัณรีเอามือปิดปากตัวเองกลัวตฤณฤทธิ์ได้ยินเสียง รีบคลานหนีไปโดยไว
ด้านชลันตีกับนวลนั่งรอที่หน้าห้องนอนนลิน สีหน้ากระวนกระวายใจ จนมีเสียงดังกุกกักในห้องนลิน
“คุณหนูกลับมาแล้วค่ะ”
นวลรีบเปิดประตูเดินนำเข้าห้องไป ชลันตีตามติด แต่แล้วทั้งสองก็ต้องตกใจเมื่อเห็นภาพตรงหน้า
“ลิน” / “คุณหนู”
ทั้งคู่เห็นนลินนอนชัก ร่างเกร็งอยู่บนเตียง หน้าตาไม่มีรอยเลือด
นลินชักตาตั้งเอามือกุมท้องกรีดร้องทุรนทุราย
ชลันตีกับนวลรีบเข้ามาช่วย นวลช่วยแกะมือนลินไม่ให้เกร็ง ชลันตีรีบเอาผ้ายัดปากไม่ให้นลินกัดลิ้นตัวเอง
“ลิน...ตั้งสตินะลูก”
“คุณหนู...คุณหนูได้ยินพวกเราไหมคะ” นวลเรียกสติ
นลินไม่ตอบใดๆ ได้แต่นอนบิดไปมาด้วยความทรมานสาหัส
ชลันตีกับนวลมองหน้ากันอย่างวิตกกังวล ทำอะไรไม่ถูก
มธุรสเกาะแขนตฤณฤทธิ์แจ มองไปที่ศพอชินีอย่างตกใจ และกลัวจนเสียงสั่น
“จะทำยังไงดีคะพี่ตฤณ”
ตฤณฤทธิ์เอามือจับที่ไหล่มธุรสทั้งสองข้างดึงสติ
“รส...ฟังพี่นะ รสไปตามกำนันมาที่นี่ ส่วนพี่จะไปตามรัน”
“แถวนี้มันอันตรายนะพี่ตฤณ ไม่รู้คุณอุ้มโดนอะไรทำร้ายถึงได้เป็นแบบนี้”
“พี่เอาตัวรอดได้ รสรีบไปเถอะ ไม่ต้องห่วงพี่”
สีหน้ามธุรสทั้งกลัวและลังเลมาก สุดท้ายพยักหน้ารับ
“ระวังตัวด้วยนะ”
มธุรสรีบวิ่งไปทางบ้านกำนันสิน
ตฤณฤทธิ์เดินออกไปด้วยท่าทางรีบร้อน แต่แล้วก็ชะงัก เมื่อเจอบางอย่าง เขายกไฟฉายมือถือขึ้นส่องดู เจอบุรัณย์กับหลวงตาคำ
ตฤณฤทธิ์ลดไฟลง แล้วยกมือไหว้หลวงตาคำ
“หลวงตากำลังจะไปไหนครับ แล้วแก...มาทำอะไรแถวนี้”
“เรื่องมันยาว เดี๋ยวค่อยเล่าให้ฟังนะพี่” บุรัณย์บอก
“ตอนนี้รีบพาอาตมาไปที่บ้านโยมเพียรก่อนเถอะ เดี๋ยวจะไม่ทันการ”
ตฤณฤทธิ์กับบุรัณย์มองหน้ากันอย่างงงๆ แล้วรีบนำทางหลวงตาคำไป
กลางดึกที่บ้านกำนันสิน
ฉัตรฉายไม่หลับไม่นอนนั่งแต่งหน้าอยู่บนเตียงตามคลิปไอดอลในยูทูป ใบหน้าถูกแต่งจัดจ้านเวอร์ๆ ฉัตรฉายหยิบลิปสติก แต่ดันทำหล่น ลิปสติกกลิ้งไปหยุดที่หน้าต่าง
ฉัตรฉายทำหน้าเซ็ง ลุกเดินไปหยิบลิปแล้วยืนขึ้น แต่สายตาเหลือบไปเห็นบางอย่างที่นอกหน้าต่าง ฉัตรฉายพยายามเพ่งมอง
เงาตะคุ่มๆ ของคน ยุกยิกๆ อยู่ที่ราวตากผ้าข้างบ้าน ฉัตรฉายมองสงสัย ตะโกนถามไป
“ใคร ใครอยู่ตรงนั้นน่ะ”
เป็นปัณรีกำลังเอาผ้าเช็ดปาก แล้วรีบเร้นกายหายไปในความมืด ฉัตรฉายมองฉงน
“ใครวะ คุ้นๆ เหมือนคุณปัณเลย ไปทำอะไรมืดๆ คนเดียว หรือจะเป็นขโมย”
ฉัตรฉายตีมือเหมือนคิดออก
“กล้ามาบุกถ้ำเสือเลยเหรอ แกเจอฉันแน่
ฉัตรฉายรีบวิ่งออกจากห้องไป
ฉัตรฉายวิ่งลงเรือนมาอย่างรีบร้อน จนไปชนกับใครบางคนเข้าอย่างจังทำให้ฉัตรฉายหกล้ม ร้องเสียงดังด้วยความตกใจ
“ขโมย...ขโมย”
ไฟตรงบันไดถูกเปิดสว่างขึ้น เห็นกำนันสินใส่เสื้อกล้ามนุ่งโสร่งถือปืนวิ่งหน้าตาตื่นลงเรือนมา
“ไหนๆ ขโมย”
มธุรสยืนหน้าตาตื่นอยู่
“คุณรสเองเหรอ ชาช่าก็นึกว่าขโมย”
กำนันสินดุลูกสาว “ทีหน้าทีหลังหัดดูดีๆ สินังฉาย ทำเอาตกใจหมด แล้วนี่แต่งหน้าอะไรของแก... แกหนีไปเที่ยวมาใช่ไหม กลับมาเกือบจะเช้าเลย” กำนันง้างมือจะฟาด
“เที่ยวอะไรล่ะพ่อ! ฉันซ้อมแต่งหน้า…”
ฉัตรฉายวิ่งหนีขึ้นเรือนไป มธุรสรีบขัดขึ้นก่อน
“ตอนนี้กำนันรีบตามคนไปดูคุณอุ้ม ที่เขตรั้วบ้านยายเพียรก่อนดีกว่าคะ”
ฉัตรฉายหูผึ่ง กำนันสินหน้าตาตื่น “เกิดอะไรขึ้นเหรอครับ”
มธุรสนึกถึงภาพอันสยดสยองด้วยสีหน้าขยาดและหวาดกลัว
ปัณรีเปิดประตูเข้ามาในห้อง ท่าทางร้อนรนกลัวโดนจับได้ ปัณรีวิ่งตรงไปที่กระจก เห็นหน้าตัวเองเต็มไปด้วยคราบเลือด เธอตกใจแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง
“ไม่จริง” ปัณรีตบหน้าตัวเองอย่างแรง “ตื่นสิปัณ ตื่นสิ!”
ปัณรีพยายามตั้งสติ แต่ก็ยังเห็นภาพตัวเองในกระจกในสภาพเหมือนเดิม
ปัณรีรีบเอาเสื้อฉัตรฉายที่ฉกมาจากราวตากผ้า เช็ดคราบเลือดออก แต่เลือดเช็ดออกไม่หมด เธอโยนเสื้อลงถังขยะ มีแท่งลิปสติกทิ้งอยู่ในถังขยะด้วย ปัณรีร้องไห้ออกมาด้วยความตกใจ แล้ววิ่งตรงไปที่ห้องน้ำ เปิดน้ำฝักบัวล้างคราบเลือดตามตัว
พื้นห้องน้ำเห็นคราบเลือดไหลตามน้ำลงไปที่ท่อ ปัณรีทรุดตัวลงนั่งกับพื้นอย่างสิ้นหวัง
ปัณรีนั่งคุดคู้กอดเข่าร้องไห้อยู่ที่ใต้ฝักบัวในห้องน้ำ นึกถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้
โดยตอนนั้นกระสือปัณรีพุ่งเข้ากัดคออชินีโดยที่อีกฝ่ายไม่ทันตั้งตัว อชินีใจขาดตาย ตาเหลือกลาน กระสือปัณรีกัดกินไส้อชินีอย่างอร่อย เลียริมฝีปากอย่างอิ่มเอม
นึกขึ้นมาแล้วปัณรีเอามือปิดหูไม่อยากเชื่อสิ่งที่เกิดขึ้น
“ไม่ใช่ฉัน ฉันไม่ได้ทำ” ปัณรีกลอกตาไปมารับไม่ได้ “ไม่จริง ฉันไม่ได้ทำ”
ปัณรีลุกขึ้นมองตัวเองในกระจกอีกครั้ง เพ่งมองที่คอตัวเองเห็นเป็นรอยสีแดง
ปัณรีทรุดตัวลงกับพื้น ร้องไห้อย่างคับแค้นใจ
“ทำไมฉันต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ด้วย ทำไมต้องเป็นฉัน”
ปัณรีซุกหน้าลงที่เข่าร้องไห้อยู่อย่างนั้น สักครู่หนึ่งจึงเงยหน้าขึ้นเหมือนคิดอะไรออก
“ที่ลือกันว่านลินเป็นกระสือก็เป็นเรื่องจริงสิ หรือว่า...ที่เราเป็นกระสือก็เพราะ...นลิน”
ปัณรีครุ่นคิดด้วยสีหน้าสงสัย
เช้ามืด ตฤณฤทธิ์อุ้มนลินเข้ามาในห้องพระ นลินมีอาการเกร็งและทุรนทุรายด้วยความเจ็บปวด
ตฤณฤทธิ์วางนลินลงกับพื้นแล้วประคองศีรษะนลินไว้ บุรัณย์มองตกใจ ทำอะไรไม่ถูก
ชลันตีกับนวลมองนลินด้วยความสงสาร หลวงตาคำยื่นด้ายสายสิญจน์ให้บุรัณย์
“เอาไปพันรอบๆ ตัวโยมลินนะ”
บุรัณย์กับตฤณฤทธิ์ช่วยกันพันสายสิญจน์รอบๆ ตัวนลิน ชลันตีกับนวลนั่งดูอยู่ข้างๆ น้ำตาคลอ
“เอาปลายด้ายมาให้อาตมา โยมพยุงตัวโยมลินให้นั่งแล้วพนมมือไหว้”
ตฤณฤทธิ์ทำตาม นั่งขัดสมาธิโอบไหล่จากด้านหลังนลินให้นั่งพนมมือ โดยเอามือตัวเองประกบมือนลินให้ไหว้
นวลช่วยกดขานลินไว้ไม่ให้ชักเกร็ง หลวงตาคำจับสายสิญจน์แล้วเริ่มสวดมนต์
นลินดิ้นทุรนทุรายกรีดร้องอย่างทกข์ทรมาน ตรงลำคอปรากฏเป็นอักขระโบราณเรียงเป็นเส้นสีแดงวิ่งจากคอไปที่หน้านลิน ส่งให้นลินตาขวาง ดวงตาเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงตามคำสาปจากอดีต
ตฤณฤทธิ์สะดุดตากับอักขระโบราณนั้นตั้งแต่แว่บแรกที่เห็น
“โยมทุกคนหลับตาไว้ อย่าไปสบตาโยมลินเด็ดขาด”
หลวงตาคำทำปากขมุบขมิบสวดมนต์ แล้วเป่ามนต์ไปที่ผ้าขาวบนมือ ซึ่งลงยันต์ไว้ ก่อนจะยื่นให้บุรัณย์
“โยมเอาผ้านี่ไปปิดตาโยมลินไว้นะ”
บุรัณย์ถือผ้าไปปิดตานลินไว้ ด้วยท่าทางกล้าๆ กลัวๆ
นลินกรีดร้องสุดเสียงสลับกับเสียงสวดมนต์
“นะโมพุทธายะ นะรา นะระ รัตตัง ญานัง นะรา นะระ รัตตัง หิตัง นะรา นะระ รัตตังเขมัง วิปัสสิตัง นะนามิหัง”
นลินค่อยๆตัวอ่อนลงแล้วหมดสติไป ตฤณฤทธิ์เขย่าตัวนลินอย่างตกใจ
“คุณลิน...คุณลิน”
ทุกคนมองหน้ากันอย่างตกใจ
“ไม่เป็นไรหรอกโยม ตอนนี้ต้องให้โยมลินนอนในห้องนี้ไปก่อน ห้ามออกไปไหนจนกว่าจะพ้นเที่ยงวัน”
ทุกคนมองอย่างเข้าใจ
ที่ตลาดเช้าวันนี้ ผู้คนพลุกพล่านวุ่นวายเช่นทุกวัน ชมพู่เดินถือตะกร้าผักมาที่ร้านเสริมสวยเจ๊หวัน ร้องตะโกนเรียกเจ๊หวี
“เจ๊...เจ๊หวี เช้าแล้วยังไม่เปิดร้านอีกเหรอ”
เจ๊หวีในสภาพเพิ่งตื่นนอน เดินออกมาหน้าร้าน
“อะไรของแกนังชมพู่ มาแต่เช้าเลย”
ชมพู่ตั้งท่าเมาท์ “เจ๊รู้เรื่องเมื่อคืนไหม”
“พระเอกกับนางเอกได้กันแล้วนี่” อีเจ๊ทำท่ายิ้มมีความสุข “กำลังฟินเลยแก”
ชมพู่เซ็ง “ไม่ใช่! เรื่องมีคนตายที่เขตรั้วบ้านยายเพียรเมื่อคืน”
เจ๊หวีตกใจ “หา...ตายในหมู่บ้านเลยเหรอนังชม”
ชาวบ้านหน้าตาสู่รู้เดินผ่านไปผ่านมาเริ่มเข้ามาสมทบ
“เมื่อคืนผัวฉันก็ไปดู เห็นมีตำรวจมากันเต็มเลย”
“นี่มันศพที่สามแล้วนะ หมู่บ้านเราทำไมมันน่ากลัวขึ้นทุกวันเลยเนี่ย”
“เห็นเขาลือกันว่าโดนกินไส้เหมือนศพที่แล้วเลย แต่รอบนี้มันกินผู้หญิง” ชาวบ้านคนดังกล่าวว่า
เสียงฉัตรฉายแหลมเข้ามา “ทีนี้เชื่อหรือยัง ว่านังนลินมันเป็นกระสือ”
“เกี่ยวอะไรกับคุณลินล่ะ”
เจ๊หวีหันไปแหวใส่ฉัตรฉายที่เดินเชิดเข้ามา สีหน้าอวดภูมิเต็มที่
“ไม่เกี่ยวได้ไง ก็มีคนตายแถวบ้าน หลักฐานชัดขนาดนั้นพวกแกยังจะแถอีกเหรอ”
“แต่ตายในเขตบ้านแม่เธอไม่ใช่เหรอ” ชมพู่ว่า
“อ้าว...อย่างนี้...” เจ๊หวียกมือปิดปากตกใจก่อนจะชี้ไปที่ฉัตรฉาย “...ก็เป็นกระสือสินะ”
ฉัตรฉายไม่พอใจ “แกโดนนังนลินกินไส้เมื่อไหร่ฉันจะไม่ใส่ซองช่วยงานสักบาทเดียว”
“ฉันมีประกันไม่ต้องห่วงฉันหรอก เก็บไว้ทำบุญให้ตัวเองเถอะ...เผื่อจิตใจจะได้สูงขึ้น”
“ปากดีไปเถอะ สักวันแกจะพูดไม่ออก”
ฉัตรฉายโมโหสะบัดหน้าเดินหนีไป เจ๊หวีมองตามด้วยสีหน้าเป็นกังวล
อาการนลินแย่ลงๆ หลวงตาคำแนะนำให้พาไปรักษาตัวที่วัดป่า เวลานี้ตฤณฤทธิ์อุ้มนลินขึ้นรถที่หน้าบ้าน โดยมีชลันตีกับนวลวิ่งตามมาท่าทางรีบร้อน หลวงตาคำกับบุรัณย์เดินตามมาที่รถ มีเสียงชาวบ้านโวยวายดังมาจากหน้ารั้วบ้าน
“กระสือนลินออกมาๆๆ”
ทันทีที่ประตูรั้วบ้านเปิดออก เห็นชาวบ้านเป็นสิบรวมตัวกันจะมาจับนลิน ยืนปิดทางเอาไว้ โดยมีฉัตรฉายนำหน้า
“ฆ่าคนตายแล้วจะหนีไปไหน”
ชลันตีโมโห “อย่ามาใส่ร้ายลินนะ แล้วรีบออกไป อย่ามาขวางทางรถฉัน”
“ไม่ไป จนกว่าจะปล่อยตัวนังกระสือนั่นมาให้พวกเรา”
“จะบ้าเหรอ มาบุกบ้านคนอื่นเขาอย่างนี้ได้ยังไง” เจ๊หวีที่ตามมากับเจ๊หวันพร้อมชมพู่และกะเทยในร้านด่า
“ก็ถ้าไม่ได้เป็นกระสือจะกลัวอะไรล่ะ” ฉัตรฉายว่า
พวกชาวบ้านส่งเสียงผสมโรง “ใช่ ถ้าไม่ได้เป็นก็พิสูจน์มาสิ พวกเราจะได้หายข้องใจ”
“จะให้พิสูจน์ยังไง” ชมพู่ถาม
“ก็ขังไว้สิ ถ้านังกระสือนี่ไม่ถอดหัวพวกฉันก็จะได้เลิกสงสัยสักที” ฉัตรฉายบอก
นลินนั่งในรถกับนวลกำลังชักเกร็ง ตฤณฤทธิ์ร้อนใจบอกกับชลันตี
“ไปดูลินก่อนเถอะครับ เดี๋ยวผมดูทางนี้เอง” ตฤณฤทธิ์เดินไปหาชาวบ้าน “เปิดทางให้พวกเราเถอะครับ ผมต้องรีบพาลินไปรักษา”
มธุรสมองตฤณฤทธิ์ด้วยแววตาหมองเศร้า
“ฉันว่าคุณตฤณอย่าเข้ามายุ่งเรื่องนี้ดีกว่า” ฉัตรฉายไม่ยอมหันไปสั่งพวกชาวบ้าน “ไปจับตัวนังกระสือมาสิ”
ชาวบ้านกรูไปที่รถ ตฤณฤทธิ์เข้าขวางสีหน้าเอาเรื่อง บุรัณย์เดินถือกล้องตรงเข้ามา
“หลักฐานทุกอย่างอยู่ในกล้อง ผมถ่ายไว้หมดแล้ว”
ตฤณฤทธิ์มองบุรัณย์อย่างตกใจ ฉัตรฉายยิ้มสะใจ
“หลักฐานที่นลินเป็นกระสือใช่ไหม”
“หลักฐานที่พวกคุณกำลังบุกรุกความเป็นส่วนตัวคนอื่น” บุรัณย์บอกด้วยสีหน้าจริงจัง
ทุกคนตกใจ หัวหดทั้งแถบแล้วเงียบเสียงไป
“ถ้าพวกคุณไม่ยอมให้พี่ตฤณพาคุณลินไปรักษา ผมจะเอาคลิปนี้ไปทำข่าวฟ้องพวกคุณทุกคน”
มธุรสมองบุรัณย์อย่างสงสัย ฉัตรฉายและทุกคนอึกอักพูดไม่ออก
ตฤณฤทธิ์ยิ้มให้บุรัณย์เชิงขอบใจ
ปัณรีแอบมองดูเหตุการณ์ตั้งแต่ต้น จดสายตาจ้องนลินอย่างอาฆาตมาดร้าย
ปัณรีกลับบ้านในตัวเมืองแล้ว เวลานี้นั่งซุกตัวอยู่มุมห้องอันมืดสลัว มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น ปัณรีสะดุ้งโหยง
เป็นพลเพิ่มนั่นเองที่เคาะประตูเรียกน้องสาวอยู่หน้าห้องด้วยสีหน้าเป็นห่วง
“ปัณ...ปัณ...นี่พี่เอง พี่เข้าไปได้ไหม”
รอนานแล้วแต่ไม่มีเสียงตอบกลับมา พลเพิ่มหมุนลูกบิดเปิดประตูเข้าไปในห้อง เดินไปเปิดม่านออก เห็นปัณรีนั่งคุดคู้อยู่มุมห้องก็ตกใจ รีบเข้าไปดู
“ปัณ...เป็นอะไร”
พลเพิ่มเอามือแตะที่ไหล่น้อง ปัณรีค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมามอง พบว่าหน้าตาไม่ได้แต่ง ปล่อยตัวโทรมๆ จนพลเพิ่มตกใจ เพราะปัณรีไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน
“เกิดอะไรขึ้น ท่าทางอาการหนักกว่าเดิมอีกนะ พี่ต้องพาแกไปหาหมอแล้ว”
พลเพิ่มจะฉุดปัณรีขึ้นมา แต่ปัณรีสะบัดออก
“ไม่ ออกไป ฉันอยากอยู่คนเดียว”
ไม่เท่านั้นปัณรีผลักดันตัวพลเพิ่มให้ออกจากห้องไปแล้วปิดประตูทรุดตัวลงนั่งร้องไห้โฮ
มีเสียงพลเพิ่มตะโกนมาจากหน้าห้องด้วยความเป็นห่วง
“ปัณ...เป็นอะไร บอกพี่สิ”
ปัณรีตะโกนตอบไป “อย่ามายุ่งกับฉัน ฉันอยากอยู่คนเดียว”
เจี๊ยบอยู่กับพลเพิ่มด้วย “มาถึงก็ไม่ยอมพูดกับใครเลยค่ะ ข้าวก็ไม่ยอมกิน”
พลเพิ่มพยักหน้ารับรู้ “มีอะไรก็ไปทำเถอะ”
เจี๊ยบเดินลงไป พลเพิ่มได้แต่มองประตูแล้วถอนหายใจ สีหน้าเครียดจัด
บรรยากาศของวัดป่าแห่งนี้ เงียบสงบ และร่มรื่นไปด้วยต้นไม้ ไม่มีผู้คนพลุกพล่าน มีรถแล่นเข้ามาจอดในวัด เห็นตฤณฤทธิ์อุ้มนลินลงรถพาเข้าไปในโบสถ์อย่างรีบร้อน นวลกับชลันตีตามเข้าไปด้วยกัน
นลินเกร็ง และอาเจียนออกมาเป็นเลือด ตฤณฤทธิ์ตกใจวางนลินลง กอดประคองกุมมือนลินไว้
“ลิน...ลินเป็นยังไงบ้าง...”
ชลันตีมองหลานน้ำตาคลอ “ลิน...ลิน...ได้ยินป้าไหม”
นวลร้องไห้สงสารคุณหนูจับใจ “คุณหนูอย่าเป็นอะไรนะคะ”
นลินมองไปที่พระประธานตรงหน้า อาการยิ่งรุนแรงขึ้น ชักและเกร็งมากขึ้นเหมือนจะหยุดหายใจ ชลันตีกับนวลเข้ามาช่วยแกะมือนลินไม่ให้เกร็ง ทุกคนวุ่นวายช่วยนลินคนละไม้ละมือ
จนเห็นหลวงตาคำเดินเข้ามาช้าๆ ชลันตีถามอย่างร้อนรน
“ทำยังไงดีคะ ลินจะไม่ไหวแล้ว”
“ยังไม่ถึงเวลาของเขาหรอกโยม”
ชลันตีมองหลวงตาคำแล้วมีสีหน้าตกใจ นวลเห็นท่าทีก็แปลกใจมองตามสายตาไปแล้วต้องตกใจอีกราย
“คุณ...”
ตฤณฤทธิ์มองไปที่ประตู ในแสงจ้าตรงช่องประตูโบสถ์ใครคนหนึ่งก้าวเข้ามาในโบสถ์ ใครคนนั้นนุ่งห่มด้วยชุดขาว แม่ชีท่านนั้นยืนสงบนิ่งมองมายังนลิน
ชลันตีกับนวลมองหน้ากันอย่างคาดไม่ถึง
อีกฟาก ฉัตรฉายเดินหน้าหงิกหิ้วถุงขยะมาทิ้งพลางบ่น
“พ่อนะพ่อ ใช้ลูกอย่างกับคนใช้ รอฉันได้เป็นคุณนายก่อนเถอะ”
ตรงกองขยะเห็นหมากำลังกัดถุงขยะอยู่ ฉัตรฉายตะโกนไล่
“ไป...ไป๊...มารื้ออยู่ได้ เดี๋ยวฉันก็ต้องเก็บอีก”
หมาวิ่งหนีไป ฉัตรฉายมองไปเจอเสื้อตัวเองกองอยู่ จึงเดินเข้าไปดู
“ตายแล้ว ใครเอาเสื้อฉันมาทิ้งตรงนี้ ยังใหม่อยู่เลย”
ฉัตรฉายมองหาไปรอบๆ ก่อนจะยกเสื้อขึ้นดูเห็นลิปสติกตกลงที่พื้น เธอหยิบลิปสติกขึ้นมาดู ด้วยสีหน้าครุ่นคิด เหมือนเคยเจอใครใช้ลิปสติกสีนี้
ฉัตรฉายนึกได้ว่าเธอทักปัณรีเรื่องสีลิปสติก และทำให้นึกไปถึงเมื่อคืนตอนเห็นเงาผู้หญิงตะคุ่มๆ อยู่ที่ราวตากผ้ารูปร่างคล้ายปัณรีอีก
ฉัตรฉายครุ่นคิด ยกเสื้อขึ้นดูเห็นคราบเลือด ก็ตกใจรีบโยนเสื้อลงพื้นอย่างขยะแขยง
“อี๋...มีแต่คราบเลือด มิน่าหมาถึงคุ้ยใหญ่เลย”
ฉัตรฉายรีบเดินออกไป แล้วต้องหยุดชะงักเหมือนคิดอะไรออก
“หรือว่าคุณปัณ...”
ฉัตรฉายเดินกลับมาหยิบเสื้อและลิปสติกด้วยท่าทีขยะแขยงใส่ถุง ยิ้มร้ายมีแผนการ
เย็นวันนั้น เจี๊ยบเดินนำสารวัตรวิทยาและผู้กองไพฑูรย์ตำรวจลูกน้องอีกนาย เข้ามาในบ้าน พลเพิ่มนั่งรออยู่ที่โซฟาห้องรับแขกแล้ว
สองท่านทักทายอย่างมักคุ้นกัน “สวัสดีครับคุณพลเพิ่ม”
“เชิญนั่งก่อนครับ มาถึงที่นี่มีอะไรให้ผมรับใช้เหรอครับ”
เจี๊ยบแยกไปนำเอาน้ำมาเสิร์ฟ คอยเอียงหูฟังไปด้วย
“ผมอยากจะขอเชิญตัวคุณปัณรี ไปให้ปากคำที่ สน.หน่อยครับ” วิทยาบอก
พลเพิ่มมีสีหน้าตกใจ หันไปมองเจี๊ยบเชิงบอก เจี๊ยบรู้งานรีบออกไป
“ข้อหาอะไรครับ”
“ทางเราแค่อยากจะขอเชิญตัวคุณปัณรี ไปให้ปากคำในฐานะพยานที่อยู่ในที่เกิดเหตุครับ
พลเพิ่มครุ่นคิดมองไปทางห้องปัณรีอย่างสงสัยและไม่สบายใจ
ยามเย็นตะวันโพล้เพล้ บรรยากาศภายในวัดป่าเงียบสงบวังเวง
ส่วนในโบสถ์เห็นแม่ชีนรา กำลังพยุงตัวนลินให้นั่งพนมมือ โดยมีสายสิญจน์โยงไปที่หลวงตาคำ จากนั้นหลวงตาคำกับแม่ชีนราช่วยกันสวดมนต์รักษานลิน
ไม่นานนักนลินก็เหงื่อแตกสีหน้าเต็มไปด้วยความเจ็บปวด แล้วสุดท้ายกระอักเลือดออกมา ตฤณฤทธิ์ตกใจจะเข้าช่วย แต่ชลันตีกันไว้
ทุกคนพนมมือไหว้ต่อด้วยสีหน้าเป็นห่วงนลิน
นราหลับตาสวดมนต์ทำปากขมุบขมิบ เหตุการณ์เมื่อ 22 ปีก่อน ผุดเข้ามาในห้วงคิด
ธาตรีถือกระเป๋าเข้ามาภายในโถงรับแขก นราจูงเด็กหญิงนลินวัยราว 4 ขวบ ตามเข้ามาด้วย เพียรรอต้อนรับอยู่แล้ว นลินวิ่งเข้าไปกอดคุณยายเพียรด้วยความดีใจ
“คุณยายขา หนูคิดถึงคุณยายจนนอนไม่หลับเลยค่ะ”
เพียรกอดหอมนลิน “ยายก็นอนไม่หลับเหมือนกัน คิดถึงหนูทั้งคืนเลย
ธาตรียกมือไหว้ “สวัสดีครับ”
เพียรรับไหว้ นราเข้ามาไหว้แม่ โผกอดกันด้วยความคิดถึง
“คุณแม่ คิดถึงจัง ขอกอดนานๆ หน่อยนะ”
ทุกคนพากันมานั่งลงที่โซฟา นวลเอาน้ำใบเตยเข้ามาเสิร์ฟให้ทุกคน
“น้ำใบเตย ของโปรดคุณหนูค่ะ”
“ขอบคุณค่ะพี่นวล” นรายิ้มขอบคุณ
“ขอบคุณค่ะป้านวล”
เพียรหันไปถามนลิน
“ลินรู้ไหม น้ำใบเตยใส่อะไรถึงจะอร่อย”
นลินยกมือ “หนูรู้ๆ ใส่น้ำตาลค่ะ”
“ผิด ใส่ปากสิ ถึงจะอร่อย” เพียรขำคิกคัก
ทุกคนมองหน้ากันไปมา แล้วหลุดขำออกมาอย่างมีความสุข
ธาตรีนั่งอ่านหนังสือ ฟังเพลงจากวิทยุ อยู่ในสวนกับนรา เด็กหญิงนลินวัย 4 ขวบ ถือตุ๊กตาวิ่งเข้ามาหา ธาตรีปรับหาคลื่นวิทยุมาเจอเพลงชาลาลาล่า ของปุ๊กกี้
“คุณพ่อขา หนูจะฟังเพลงนี้ค่ะ”
“ได้สิครับ” ธาตรีหันมายิ้มให้ “เดี๋ยวดีเจจัดให้”
นลินร้องคลอไปกับเพลง แล้วเต้นตามอย่างมีความสุข
“my heart goes shalala lala Shalala lala in the morning.oh oh oh Shalala lala Shalala in the sunshine.”
“คุณแม่เต้นเหมือนลินสิคะ”
นราตบมือให้ดูเหมือนในเพลงและเต้นตามจังหวะ ทั้งสามคนร้องคลอตามเพลงอย่างมีความสุข
นราในชุดนอนเดินสีหน้ากังวล ตรงมาที่หน้าห้องนอนแม่จะเคาะประตู แต่มีเสียงทักขึ้น
“มีอะไรเหรอนรา”
นราหันไปมอง เห็นชลันตีเดินเข้ามา
“อ้าว! น้าตี พอดียัยลินตัวร้อน สงสัยเมื่อเย็นจะเล่นมากไปหน่อย หนูเลยจะมาเอายากับคุณแม่ค่ะ”
“เดี๋ยวน้าไปเอามาให้ ไปรอที่ห้องเถอะ”
“ขอบคุณค่ะ”
นรากับชลันตีเดินแยกกันไปคนละทาง ชลันตีกำลังจะลงบันได นราเดินกลับห้อง แต่ได้ยินเสียงของตกในห้องยายเพียร จึงชะงักหันไปมอง
นราเปิดประเข้ามาในห้องแม่ด้วยสีหน้าตื่นตกใจ พบว่าที่พื้นกรอบรูปตกลงมาคว่ำอยู่ และหน้าต่างห้องเปิดออก
นราเดินไปหยิบกรอบรูปหงายขึ้นดู เห็นกระจกแตกร้าว ข้างในเป็นรูปตัวเองตอนเด็กถ่ายกับแม่เพียรและพ่อคำ นรามองรูปอย่างเศร้าใจ ลมพัดมุ้งปลิวไสว นราเหลือบไปเห็นเท้ายายเพียรไม่ห่มผ้า
“คุณแม่นี่ หน้าต่างไม่ปิด ผ้าก็ไม่ห่ม เดี๋ยวก็ไม่สบายไปอีกคน”
นราเดินบ่นอ้อมไปจะห่มผ้าให้ แต่แล้วก็ต้องผงะ ช็อกกับภาพที่เห็นตรงหน้าเมื่อเห็นเพียรนอนอยู่โดยไม่มีหัว นรากรีดร้องออกมาสุดเสียง
“แม่”
นรากำลังจะเข้าไปจับขายายเพียรดู แต่มีเสียงหน้าต่างกระทบกับลมดังขึ้น
นรามองไปยังนอกหน้าต่าง ผ้าม่านพริ้วไหวเพราะแรงลม ฉับพลันทันใดนั้นเองกระสือเพียรปากเต็มไปด้วยเลือดก็ลอยเข้ามาทางหน้าต่าง
นราผงะถอยหลัง ตกใจสุดขีด วิ่งหนีออกไปทันที
ชลันตีวิ่งขึ้นมาตามเสียงร้องของนรา ทันเห็นแต่ด้านหลังนราวิ่งกลับห้องไปไวๆ ชลันตีอึ้งทำยาหลุดมือ นวลวิ่งมาสมทบ
“เกิดอะไรขึ้นคะคุณตี”
“รีบไปดูคุณท่านก่อนเถอะ”
สองคนรีบวิ่งเข้าห้องเพียรไป
พระจันทร์เต็มดวงลอยเด่นเหนือบ้านเพียร เงาเมฆสีดำทะมึนค่อยๆ ลอยเข้ามาบดบัง
นราวิ่งร้องไห้หิ้วกระเป๋าตรงมาที่รถ โดยมีธาตรีอุ้มนลินตามมาด้วยท่าทีงุนงงสีหน้าสงสัย
“มันเกิดอะไรขึ้น ทำไมต้องรีบขนาดนี้”
“พี่รีบขึ้นรถเถอะ”
“นี่มันก็ดึกแล้วนะ ทำไมไม่รอให้เช้าก่อนแล้วค่อยกลับ จู่ๆหนีออกมาแบบนี้คุณแม่จะรู้สึกยังไง”
นราวางกระเป๋าไว้ด้านหลัง แล้วเดินมาอุ้มนลินที่หลับอยู่ ธาตรีมองนราอย่างสงสัย
“รีบขึ้นรถก่อนพี่ แล้วฉันจะเล่าให้ฟัง”
ธาตรีรีบวิ่งขึ้นรถสตาร์ตเครื่อง พอเหลือบมองที่กระจกมองข้างก็ต้องชะงักเมื่อเห็น เพียร ชลันตีและนวลยืนอยู่ที่ระเบียงชั้นสองในความมืดสลัว ทั้งสามคนจ้องมองมาทางรถของธาตรีด้วยแววตาเจ็บปวดเศร้าสร้อย
นราเห็นธาตรีจ้องมองที่กระจกนิ่งนานเลยสงสัย หันไปมองจากกระจกอีกข้าง เห็นทั้งสามคนยืนมองอยู่ นราหลับตาลง ปล่อยให้น้ำตาค่อยๆ ไหลออกมา เอามือปาดน้ำตาอย่างตัดใจ
“ออกรถสิคะ”
“พี่เห็นคุณแม่ยืนอยู่ที่ระเบียง เราไม่ไปลาท่านหน่อยเหรอ”
“ไม่! รีบออกรถเลย”
เพียรมองตามรถที่ขับห่างออกไปเรื่องๆ น้ำตาร่วงรินออกมา เงยหน้ามองพระจันทร์บนฟ้าทั้งน้ำตา
“ฉันชดใช้ให้แล้ว ความเจ็บปวดทั้งหมดนี้ ฉันขอรับไว้คนเดียวจะได้ไหม อย่าให้ลูกกับหลานฉันต้องมาเจอเรื่องแบบนี้เลย”
“มันเป็นความผิดของตีเองค่ะ ที่ปล่อยให้นราเข้าไปในห้อง”
“นวลก็ผิดที่ไม่ได้ดูแลคุณท่าน” นวลโทษตัวเอง
เพียรส่ายหน้า “มันเป็นชะตากรรมที่ฉันหนีไม่พ้นต่างหาก”
ชลันตีร้องไห้ “สักวันมันต้องมีทางแก้ไขได้”
“มันไม่มีทางเป็นไปได้ ตระกูลเราถูกสาปให้ทุกข์ทรมานมากี่รุ่นแล้ว ถึงจะยอมแลกมาด้วยชีวิตก็ไม่อาจลบล้างคำสาปนี้ลงได้”
ทั้งสามคนกอดปลอบกัน ร้องไห้ไปด้วยกัน
หลายวันต่อ นรายืนล้างจานอยู่ในครัว สีหน้าอิดโรยและเหม่อลอยมองไปที่นอกหน้าต่าง
เด็กหญิงนลินในชุดนอนนั่งเล่นตุ๊กตา ผมรุงรังไม่ได้ถักเปีย
นรายังคงยืนเหม่อลอยหน้าตาหมองคล้ำเหมือนไม่ได้นอนติดกันมาหลายคืน
นลินดึงหัวตุ๊กตาหลุด แล้วเอาไม้ตะเกียบเสียบ ไปยื่นหลอกนรา
“คุณแม่ ดูสิค่ะ นี่ผี มีแต่หัว”
นราหันมาเห็นเข้าก็ตกใจทำจานหลุดมือตกแตก ธาตรีเดินมาได้ยินนราดุนลินเสียงดังลั่น
“ใครสอนให้เล่นพิเรนทร์แบบนี้”
นลินตกใจไม่เคยเจอแม่ดุขนาดนี้ ร้องไห้โฮออกมา
“หยุด จะร้องทำไม”
ธาตรีรีบเข้ามาอุ้มนลิน พลางเช็ดน้ำตาให้
“ไม่เป็นไรนะลูก คุณแม่เขาคงตกใจ ทีหลังลูกอย่าเล่นแบบนี้อีกนะคะ”
นลินซบลงที่ไหล่พ่อร้องไห้ นราได้สติจะเข้าไปจับตัวลูก ถูกนลินสะบัดมือออกร้องไห้จ้า
“หนูกลัวคุณแม่ ฮือ...”
“งั้นไปรอคุณพ่อที่ห้องรับแขกนะครับ”
นลินพยักหน้าแล้วรีบวิ่งออกไป นรามองตามลูกด้วยความเสียใจ
“ทำไมต้องใส่อารมณ์กับลูกขนาดนั้น ดูสิลูกกลัวเธอขนาดไหน” ธาตรีเอ็ดเอา
นราก้มหน้ารู้สึกผิด “ฉันขอโทษ”
“ตั้งแต่กลับมา เธอก็เอาแต่เหม่อลอยไม่พูดไม่จากับใคร มีอะไรก็พูดกับพี่สิ จะได้หาทางแก้”
นรามองเหมือนจะพูดอะไร แต่มีเสียงกริ่งหน้าบ้านดังขึ้นก่อน
“เดี๋ยวฉันไปดูเองค่ะ”
นราวิ่งมาที่ประตูแล้วเปิดออก เมื่อเห็นหลวงตาคำยิ้มบางๆ มาให้ ในท่าทีสำรวม ถึงกับมองตาค้าง
“พ่อ...หลวงพ่อ”
นราก้มลงกราบ3ครั้ง ตรงหน้า
ทั้งคู่อยู่ที่ศาลาในสวน หลวงตาคำนั่งอยู่บนเก้าอี้ นรานั่งพนมมืออยู่กับพื้น
“ที่แท้หลวงพ่อก็ไม่เคยทิ้งแม่ไปไหน หนูขอโทษที่เข้าใจหลวงพ่อผิดมาตลอด”
“อาตมาเข้าใจ เป็นใครก็เข้าใจว่าอาตมาทิ้งโยมเพียรอยู่แล้ว”
“หนูเองต่างหาก ที่ทิ้งแม่ให้เผชิญกับปัญหาอยู่คนเดียว”
นราร้องไห้ออกมาอย่างสุดจะกลั้น หลวงตาคำมองเห็นใจ
“กรรมที่เกิดจากความอาฆาตพยาบาท ไม่ว่าจะกี่ภพกี่ชาติ ความอาฆาตนั้นก็ยังอยู่ จะทำได้ก็แค่ผ่อนหนักให้เป็นเบาเท่านั้น”
“อย่างนี้...หนูก็ต้องเป็นกระสือคนต่อไปใช่ไหมคะหลวงพ่อ”
หลวงตาคำไม่ตอบ ถอนใจยาวสีหน้าครุ่นคิดหนัก
“มันไม่มีทางแก้ไขได้เลยเหรอคะ แล้วลิน....ก็ต้อง”
“มันมีเรื่องแบบนี้จริงๆ เหรอครับหลวงพ่อ”
ธาตรีเดินเข้ามาก้มกราบหลวงตา นรามองธาตรีด้วยความตกใจ
“พี่ตรี”
“พี่ได้ยินหมดแล้ว เธอไม่ต้องปิดพี่หรอก ผมจะทำอะไรให้ลูกเมียได้บ้างไหมครับหลวงพ่อ”
หลวงตาคำยิ้มบางๆ “กรรมของผู้ไดนั้น ต้องชดใช้ด้วยตัวของเขาเอง เราแบ่งบุญได้ แต่กรรมแบ่งกันไม่ได้นะโยม”
“ถ้าผมจะขอไปบวชกับหลวงพ่อ กรรมจะลดลงไหมครับ”
“อาตมาก็บวช แต่โยมเพียรก็ยังต้องชดใช้กรรม”
ธาตรีเข้าใจสิ่งที่หลวงตากำลังจะบอก ได้แต่มองหน้านราอย่างสงสารจับใจ
นราเดินถือกระเป๋าออกมาหน้าบ้าน ธาตรีจูงนลินเดินตามมา นรามองนลินอย่างอาลัยอาวรณ์
“แม่ขอกอดหนูหน่อยนะลูก”
นราคุกเข่ากอดนลินร้องไห้ พูดสั่งลาครั้งสุดท้าย
“ขอให้หนูจดจำไว้นะลูก ว่าแม่รักลูก และจะทำทุกทางเพื่อปกป้องลูกของแม่ อย่าดื้อกับคุณพ่อนะลูก”
นลินยิ้มรับเอาคำ แม้ไม่เข้าใจที่แม่พูด ธาตรีสุดจะกลั้นน้ำตาไว้ได้ปล่อยโฮออกมา นราเดินเข้ามากอดสามี
“เราคงต้องจากกันไปชั่วนิรันดร์แล้ว ฉันขอบคุณในความเข้มแข็งของพี่นะคะ ฉันเชื่อว่าสักวันทุกอย่างมันจะต้องดีขึ้น”
ธาตรีกอดนราร้องไห้อยู่อย่างนั้น “ไม่ต้องห่วงอะไรทั้งนั้น พี่จะดูแลลูกให้ดีที่สุด”
“ฉันขอโทษ...ที่เป็นทั้งแม่และภรรยาที่ดีต่อไปไม่ได้”
ธาตรีน้ำตาไหล ก้มมองนลินด้วยความสงสาร
“ห้ามพาลินไปที่บ้านคุณแม่อีกเป็นอันเด็ดขาด ขอให้พี่ขายบ้านหลังนี้แล้วไปเช่าที่อื่นอยู่ไกลๆ แม่จะได้ตามหาไม่เจอ”
ธาตรีพยักหน้ารับ นลินดึงชายเสื้อนรา ยื่นตุ๊กตาในมือให้แม่
“คุณแม่ไปเที่ยวให้สนุกนะคะ เอาน้องไปด้วยจะได้มีเพื่อน”
นราทรุดตัวลงกอดนลินร้องไห้โฮ สงสารในความไร้เดียงสาของลูกสาว ธาตรียืนมองน้ำตาคลอ หลวงตาคำเดินเข้ามายื่นเบี้ยแก้ให้ธาตรี
“เก็บไว้ให้นลินใส่ติดตัวไว้ตลอด เพื่อป้องกันภัยสิ่งไม่ดีทั้งหลายนะโยม”
ธาตรีรับมาพลางยกมือไหว้ นรามองนลินกับธาตรีเป็นครั้งสุดท้าย ตัดใจเดินออกไป
เดินไปไม่กี่ก้าวนราก็หันกลับมองไปยังหน้าบ้าน เห็นธาตรีอุ้มลูกโบกมือลาหยอยๆ นลินยิ้มไร้เดียงสาโดยไม่รู้ว่าจะไม่ได้เจอแม่อีกแล้ว
นราตัดใจหันหลังหลับ น้ำตาไหลรินเป็นสาย
นลินตื่นแล้วมองไปรอบๆ ห้องพักเล็กๆ ในกุฏิแม่ชีนรา จนสายตาไปสะดุดตาเข้ากับตุ๊กตาตัวเดิมที่วางอยู่ นลินมองอย่างครุ่นคิดเหมือนคุ้นๆ
“ตื่นแล้วเหรอลูก”
นลินรีบลุกขึ้นนั่งหันไปมองตามเสียง ด้วยสีหน้าตกใจ แล้วอึ้งๆ ไป เมื่อเห็นนราเดินถือกะละมังใส่น้ำและผ้าเช็ดตัวเข้ามา ถามออกไปเสียงสั่น
“แม่ นั่นใช่แม่จริงๆใช่ไหม
นราเดินยิ้มเข้ามาใกล้ๆ นั่งลงแล้วเอามือลูบหัวลูกนลินก้มลงกราบแม่ แล้วสวมกอดร้องไห้โฮ
“แม่จริงๆ ด้วย หนูไม่ได้ฝันไปใช่ไหมคะ”
นราลูบหัวลูก “หนูไม่ได้ฝันหรอกลูก นี่แม่เอง”
นลินจับมือนราเอามาซุกที่แก้ม พูดตัดพ้ออย่างน้อยใจ
“ทำไมแม่ถึงทิ้งให้หนูอยู่คนเดียว รู้ไหมคะ พอพ่อเสีย หนูก็ต้องไปอยู่ที่บ้านเด็กกำพร้า”
นราน้ำตาคลอ “แม่ขอโทษ...”
ชลันตีเดินเข้ามา มองทั้งสองอย่างซาบซึ้งไปด้วย
“แม่เขาทำทุกอย่างเพื่อลินนะลูก ที่ต้องบำเพ็ญเพียรอยู่อย่างนี้ มันก็ทรมานไม่ต่างจากตายทั้งเป็น ต่อให้คิดถึงลินแค่ไหนแต่จะไปเจอก็ไม่ได้ คิดดูสิลูกว่ามันเจ็บปวดมากขนาดไหน”
นลินกับนราร้องไห้กอดกันด้วยความรักและคิดถึง
อ่านต่อตอนที่ 21