สาปกระสือ ตอนที่19 โหดกว่า!กระสือปัณรีฆ่าอชินีกินไส้
บทประพันธ์และบทโทรทัศน์โดย อาณาจินต์
อชินีแพ้ท้องหนัก เข้าห้องน้ำอ้วกเป็นระยะตั้งแต่เช้าแล้ว เวลานี้เดินหน้าซีดเซียว สโลสเลไปที่โต๊ะเครื่องแป้ง หายาดมขึ้นมาดม นั่งหมดแรงลงตรงนั้น พลางมองที่ท้องบ่นบ้าด้วยสีหน้าหงุดหงิด
“เมื่อไหร่จะหยุดอ้วกซักที ฉันจะบ้าตายแล้วรู้ไหม”
อชินีเอามือกุมขมับคิดหนัก สักพักมีเสียงกริ่งหน้าบ้านดังขึ้น ดังย้ำๆ รัวๆ จนอชินีแปลกใจ
“โอ๊ย ไม่ต้องกดย้ำ มาแล้ว! ใครวะ”
อชินีลุกเดินลงบันไดไปเปิดประตูอย่างรำคาญ
พอประตูบ้านเปิดออก เผยให้เห็นนักเลงทวงหนี้เจ้าเก่า 2 คนเดิมที่ตามทวงเงินกับพนิชยืนอยู่หน้าประตู มองเขม็งมาอย่างเอาเรื่อง อชินีเหวอไป
“พ...พวกแกเป็นใคร เข้ามาได้ยังไง”
นักเลง ชาย1 หัวหน้า ผลักอชินีออกพ้นทางแล้วเดินเข้าไปดูในบ้าน อชินีงงมากโวยวายใส่พวกมัน
“ถ้าไม่ตอบฉันเรียกคนมาช่วยแน่ ช่วยด้วยค่า ช่วย...”
อชินีตะโกนได้คำเดียวก็ถูกชาย2 จับล็อคคอแล้วปิดปากหมับ อชินีอึ้งๆ ชาย1 พยักหน้าให้ลูกน้องเปิดปากอชินี แล้วเข้าไปถามท่าทีคุกคามข่มขู่
“ไอ้พนิชอยู่ไหน”
“ถามหามันทำไม มันไม่ได้อยู่ที่นี่ นี่บ้านฉัน”
อชินีชักเริ่มใจคอไม่ดี มองนักเลง 2 คน ด้วยท่าทีหวาดๆ ชาย 1 นิ่วหน้าแปลกใจ
ชาย2 บอกลูกพี่ว่า “จากที่อยู่ที่มันให้ไว้บอกว่าบ้านนี้นะพี่”
“ถ้ามันไม่ได้อยู่ที่นี่” ชาย1หันมองคาดคั้นอชินี “แล้วมันอยู่ไหน”
อชินีกลัวจนเสียงสั่น “ฉ...ฉันไม่รู้ มันจะอยู่จะตายเกี่ยวอะไรกับฉันล่ะ”
“เกี่ยว มึงเป็นเมียมัน มึงไม่รู้เหรอว่าผัวมึงติดหนี้บ่อนนายกูเป็นสิบล้าน” ชาย2บอก
อชินีตกใจ “ส...สิบล้าน”
“ยังไงวันนี้กูต้องได้เงินไปคืนนาย ถ้ามึงไม่บอกว่าผัวมึงอยู่ไหน มึงนั่นแหละต้องจ่ายแทน” ชาย1 ขู่
“ไม่ กูไม่จ่าย ทำไมกูต้องจ่ายด้วย เล่นกูก็ไม่ได้เล่น ถ้าอยากได้ก็ไปทวงมันในนรกโน่น ไอ้พนิชมันตายไปอยู่ขุมไหนแล้วก็ไม่รู้”
ชาย1 บันดาลโทสะ พุ่งเข้ามาบีบคออชินีเต็มแรง อชินีพยายามดิ้นจะสะบัดออกแต่สู้แรงไม่ได้
“ตอแหลทั้งผัวทั้งเมีย บอกมาว่าไอ้พนิชอยู่ไหน”
“ฮือ...เชื่อฉันเถอะ ไอ้พนิชมันตายแล้วจริงๆ ไม่เชื่อดูข่าวก็ได้”
อชินีโดนบีบคอจนแทบหายใจไม่ออก บอกเสียงอู้อี้ๆ นักเลงทวงหนี้มองหน้ากันงงๆ
ชาย1 ปล่อยมือออกจากคอ อชินีโล่งใจคิดว่ารอดแล้ว แต่กลับถูกตบหน้าอย่างแรง จนร่างปลิวลงไปกองกับพื้น ชาย1ตามยังไปจิกหัวอชินีขึ้นมาตบซ้ำ แล้วเตะซ้ำจนอชินีจุกไปหมด เอามือกุมท้อง นอนตัวงอน้ำตาร่วง ชาย2 เดินมาใกล้ๆ อชินี พูดขู่ทิ้งท้าย
“กูให้เวลามึงหนึ่งอาทิตย์ไปหาเงินมาคืน ไม่งั้นมึงได้ตายตามผัวมึงแน่ จำไว้”
ไม่เท่านั้นมันยังทิ้งทวนด้วยการเตะอชินีซ้ำอีกอย่างโหดเหี้ยม อชินีร้องไห้ เจ็บระบมไปทั้งตัว
ที่บ้านยายเพียรเช้าวันเดียวกัน นลินยังคงนอนซมด้วยพิษไข้อยู่บนเตียงในห้องนอน มีกวิตาคอยเฝ้าอยู่ข้างๆ เตียง สักครู่หนึ่งชลันตีกับนวลก็เปิดประตูเข้าห้องมา มีตฤณฤทธิ์ตามมาด้วย
ชลันตีหันมาพยักพเยิดให้ตฤณฤทธิ์เข้าไปใกล้ๆ เตียง ตฤณฤทธิ์มองนลินด้วยความสงสาร ชลันตีแตะตัวกวิตาเชิงบอก กวิตาลุกขึ้นแล้วถอยออกมา
จากนั้นสามคนออกจากห้องไปเงียบๆ ปล่อยให้ตฤณฤทธิ์อยู่กับนลินตามลำพัง
พอทุกคนออกไป ห้องทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ ตฤณฤทธิ์เดินไปนั่งข้างๆ เตียง มองสภาพดูออกว่านลินทุกข์ทรมานหนักก็ถึงกับน้ำตาซึม ทั้งสงสารและเสียใจที่ช่วยอะไรนลินแทบไม่ได้
ตฤณฤทธิ์จับมือนลินขึ้นมากุมไว้ลูบเบาๆ นลินลืมตาตื่นขึ้นมามองด้วยสีหน้าแปลกใจ
“คุณ...”
“เป็นไงบ้าง เจ็บมากไหม”
“ทำไมคุณถึงอยู่ที่นี่”
“ผมอยากเจอคุณ
นลินน้ำตาคลอ “ทั้งๆที่คุณรู้ว่าฉันเป็นอะไร แล้วฉันอาจจะทำร้ายคุณอีกก็ได้น่ะเหรอ”
ตฤณฤทธิ์กุมมือนลินแน่นขึ้นอีก พยายามกลั้นน้ำตาไว้
“ผมไม่กลัว ถ้ากลัว ผมคงไม่มาที่นี่”
“ทำไม...”
“ผมกลัวจะไม่ได้เจอคุณมากกว่า”
นลินน้ำตารื้นขึ้นมา เต็มตื้นพูดอะไรไม่ออก ตฤณฤทธิ์มองหน้านลิน สบตาลึกซึ้ง
“ผมน่าจะรู้เร็วกว่านี้...ผมอยาก...อยู่ข้างๆ คุณนะลิน”
ตฤณฤทธิ์ยกเอามือนลินมาแนบกับแก้มตัวเอง กลั้นน้ำตาไม่อยู่อีกต่อไป
นลินได้แต่มองนิ่งน้ำตาร่วงตามเขา ไม่มีแรงแม้กระทั่งจะลุกขึ้นมา
อีกฟากหนึ่ง ตอนสายๆ พลเพิ่มลากปัณรีออกมาจากห้องนอนจะพาน้องสาวไปโรงพยาบาล แต่ปัณรีขัดขืนตะโกนโวยวายลั่นบ้านไม่ยอมไป
“ปล่อยนะพี่พล ปัณไม่ไป ปล่อยปัณ ปล่อย”
“ไม่ได้ ปัณต้องไปหาหมอเดี๋ยวนี้ ไม่สบายแล้วมาอุดอู้อยู่แต่ในบ้านแบบนี้มันจะหายไหม”
“ปัณไม่ได้เป็นอะไร พี่พลอย่ามาบังคับปัณนะ ปัณไม่ไป”
ปัณรีขืนตัวไว้เต็มแรง พลเพิ่มไม่ฟังยิ่งดึงก็ยิ่งลาก พร้อมกับตะโกนสั่งเจี๊ยบสาวใช้
“ช่วยจับคุณปัณสิ”
เจี๊ยบเข้ามาช่วยจับ แต่ปัณรีสลัดพลเพิ่มจนหลุดแล้ววิ่งหนีลงบันไดไป พลเพิ่มวิ่งตามมากับเจี๊ยบ ปัณรีวิ่งหนีโดยไม่คิดชีวิตพุ่งไปที่ประตู แต่พอพ้นประตูไปได้ก็เจอแสงแดดสาดเข้าใส่เต็มๆ เธอแสบตาถึงกับผงะหยุดกึกอย่างเร็วจนแทบจะหงายหลัง
ปัณรีกรี๊ดสุดเสียงทรุดลงกับพื้น ยกแขนเอามือปิดตาตัวเองร้องไห้มือไม้สั่น
พลเพิ่มอึ้งกับอาการของน้องสาว ค่อยๆ เดินเข้ามานั่งดูเอามือแตะแขนเป็นเชิงปลอบ
“ปัณเป็นอะไรกันแน่ ถ้าปัณไม่บอกพี่ช่วยปัณไม่ได้นะ”
ปัณรีส่ายหัว “ปัณไม่รู้...แต่ปัณไม่ไปหาหมอ ไม่ไป”
“แล้วจะให้พี่ทำยังไง นี่พี่ต้องไปคุยธุระในหมู่บ้านอีก”
ปัณรีชะงักไป เงยหน้าขึ้นมองพลเพิ่ม
“พี่พลจะเข้าหมู่บ้านเหรอ”
“ใช่ ถ้าอยากให้พี่สบายใจ ปัณไปหาหมอซะ แล้ว...”
ปัณรีสวนขึ้นมาทันที “ปัณจะไปกับพี่พล”
พลเพิ่มแปลกใจมองเป็นห่วง “จะบ้าเหรอ...ดูสภาพตัวเองสิจะไปได้ยังไง”
“ปัณไปได้ แต่ปัณจะไม่ไปหาหมอเด็ดขาด เลือกมาว่าจะทิ้งปัณให้นอนอยู่นี่ หรือจะพาปัณไปด้วย”
ปัณรีพูดกึ่งบังคับตามนิสัยเอาแต่ใจ พลเพิ่มกลุ้มใจ
ทางด้านอชินีนั่งกอดตัวเองอยู่มุมหนึ่งในบ้าน หน้าตาเต็มไปด้วยคราบน้ำตา มีร่องรอยฟกช้ำจากการถูกเตะตบตีให้เห็น แถมร่างกายยังเจ็บร้าวไปทั้งตัว
อชินีเอาหัวพิงกำแพง ยกมืออันสั่นเทาขึ้นมาแตะตรงท้องน้อย จิกที่เสื้ออย่างเจ็บแค้น
“ไอ้พีท...ไอ้ชั่ว ตายแล้วยังสร้างแต่เรื่องไม่จบไม่สิ้น แถมยังทิ้งไอ้มารหัวขนนี่ไว้ด้วย...แกจะมาเกิดทำไม จะอึดอะไรนักหนาวะ น่าจะตายๆ ตามพ่อแกไปซะให้รู้แล้วรู้รอด”
อชินีทุบตีที่ท้องตัวเอง น้ำตาไหลรินออกมาด้วยความเจ็บแค้นผัวชั่วที่ชิงตายห่าไป
“ฉันจะทำยังไง จะหาเงินมาจากไหนเป็นสิบล้าน ไอ้พีท”
อชินีกรีดร้องอย่างเจ็บใจ น้ำตาไหลพราก สักครู่หนึ่งเหมือนจะนึกอะไรออก เธอยันกายลุกขึ้นมามองหาโทรศัพท์มือถือ
พอเจอก็กดไล่หาเบอร์โทรศัพท์ของคนที่พอจะหยิบยืมเงินได้ อชินีกดเบอร์ไปเรื่อยๆ จู่ๆ ก็มีเสียงเตือนข้อความไลน์เข้ามาจากเบอร์พนิช
อชินีแปลกใจกดดูไลน์ มีคลิปวิดีโอส่งมาจากเบอร์พนิชจริงๆ เธอกดเล่นทันที แล้วต้องชะงัก เมื่อพบว่าเป็นคลิปที่พลเพิ่มคุยกับกำนันสินเรื่องขโมยของจากปราสาท อชินีอึ้งไป
ที่บ้านกำนันสินเวลาเดียวกัน มธุรสกับบุรัณย์คุยกันเรื่องตฤณฤทธิ์อยู่ตรงสวนหน้าบ้าน หน้าเครียดทั้งคู่
“เห็นวัตบอกว่ายังไม่กลับ น่าจะอยู่ที่นั่นทั้งคืนล่ะมั้ง”
“ตัวเองบาดเจ็บแทนที่จะพัก เราไปตามพี่ตฤณกันไหม...”
บุรัณย์กำลังจะตอบ แต่สายตามองไปเห็นตฤณฤทธิ์เดินเข้ามาพอดี มธุรสมองตาม ยิ้มดีใจที่เห็นตฤณฤทธิ์กลับมา รีบเข้าไปหา
“พี่ตฤณกลับมาแล้วเหรอคะ หายไปไหนมาทั้งคืน”
“พี่ไปเฝ้าไข้คุณลินที่บ้าน เธอไม่สบายน่ะ”
มธุรสหน้าเศร้าไป บุรัณย์แทรกขึ้น
“ไม่สบาย เป็นอะไรเหรอครับ”
“แค่ไข้หวัดธรรมดา”
“พี่แน่ใจนะครับ ว่าไม่ได้เป็นโรคอื่น...”
บุรัณย์มองอย่างจับผิด ตฤณฤทธิ์นิ่งงันไป ก่อนจะสวนกลับมา
“นายสงสัยเรื่องนี้นี่เอง เลยต้องแอบตามฉันไปบ้านคุณลิน ใช่ไหม”
บุรัณย์อึ้งไปที่ถูกจับได้ จะปฏิเสธ
“ผมไม่ได้...”
ตฤณฤทธิ์ไม่เชื่อ “ฉันจำได้ว่าเสียงโทรศัพท์เมื่อวานเป็นของนาย จะปฏิเสธว่าไม่ใช่งั้นเหรอ”
บุรัณย์เงียบไป เถียงไม่ออก มธุรสก็พลอยหน้าเจื่อนไปด้วย
“จำไว้นะ ไม่ว่าคุณลินจะเป็นอะไร นายก็ไม่ควรล่วงเกินความเป็นส่วนตัวของเขา อย่าพยายามหาความจริงเรื่องนี้อีก ไม่งั้นอย่าหาว่าฉันไม่เตือน”
ตฤณฤทธิ์พูดจบก็เดินเลี่ยงไปขึ้นห้องพักไปเลย บุรัณย์กับมธุรสมองตามสีหน้าไม่ยอมง่ายๆ
ที่ห้องรับแขก กำนันสินกำลังให้การต้อนรับพลเพิ่มและปัณรีอยู่ในนั้น ปัณรีดูแต่งตัวแปลกจนผิดปกติ สวมเสื้อปิดคอทั้งที่อากาศร้อนมาก และใส่แว่นดำทรงโต
“ตั้งแต่ผมจัดงานทำบุญหมู่บ้านไปคราวก่อน ข่าวเรื่องคุณนลินเป็นกระสือก็เงียบไปแล้วล่ะครับ คุณพลเพิ่มสบายใจได้” กำนันพูดเอาใจ
“ได้เช็คให้แน่ใจแล้วใช่ไหมว่าเงียบจริงๆ”
“แน่ครับ ผมกำชับเมียผมไปแล้วด้วยว่าอย่าพูดเรื่องนี้อีก”
พลเพิ่มพยักหน้ารับ ปัณรีมองหาใครตั้งแต่มาถึงแล้ว ถามกำนันสินขึ้น
“พี่ตฤณอยู่ที่นี่ใช่ไหมกำนัน”
“อยู่ครับ คุณปัณอยากพบด็อกเตอร์ตฤณเหรอครับ”
ปัณรีกำลังจะตอบแต่มีเสียงฉัตรฉายแหลมเข้ามาเสียก่อน
“ของว่างมาแล้วค่าคุณพลเพิ่ม คุณปัณรี”
ฉัตรฉายเดินเอาน้ำและขนมมารับรอง วางขนมให้พลเพิ่มก็แอบช้อนตาแอ่นตัวยั่วยวนสุดฤทธิ์ พอเดินไปวางขนมให้ปัณรีเห็นเธอแต่งตัวจัดเต็มก็ทักเย้าๆ
“อุ๊ย คุณปัณขา แต่งตัวไฮแฟชั่นจังค่ะ แบบนี้กำลังฮิตเหรอคะ”
ปัณรีเบือนหน้าหนีเหมือนไม่อยากเสวนาด้วย กำนันสินปรามลูกสาว
“ฉาย เสียมารยาทอีกแล้วนะ”
“เสียตรงไหน แค่ถามเรื่องผู้หญิงๆ” ฉัตรฉายชวนปัณรีคุยอีก “ดูสิลิปสติกคุณปัณก็ซ้วยสวย สีแน่นมาก ช่าอยากได้บ้าง”
ตอนท้ายฉัตรฉายไม่วายส่งสายตาออดอ้อนพลเพิ่ม แต่เขาไม่สนใจหันไปบอกปัณรี
“เดี๋ยวพี่จะไปข้างนอก ถ้าปัณอยากเจอคุณตฤณจะรออยู่ที่นี่ก็ได้”
“พี่พลไปเถอะค่ะ แดดมันร้อน ปัณรออยู่ที่นี่แล้วกัน”
“งั้นผมขอตัวเลยนะครับ ฝากยัยปัณด้วย”
พลเพิ่มพูดจบก็ลุกเดินออกไปเลย ฉัตรฉายหน้าเสีย กำนันสินทำหน้าดุใส่ลูกสาว
ส่วนปัณรีเอามือจับคอตัวเอง เพ่งสายตามองไปยังด้านนอกแสงยังแผดจ้าแสบตาอยู่
ตฤณฤทธิ์อยู่ในห้องเตรียมจะอาบน้ำ แต่บุรัณย์ตามมาเคาะห้องเรียก ชวนคุยก่อน
“พี่ตฤณ ผมต้องคุยกับพี่ให้รู้เรื่อง”
ตฤณฤทธิ์เหลือบมองบุรัณย์นิดหนึ่งใบหน้าบึ้งตึง พูดโดยไม่ได้หันไปหา
“ฉันว่าฉันอธิบายชัดเจนแล้ว มีอะไรต้องคุยอีก”
“มีสิพี่ ไหนๆ พี่ก็รู้แล้วว่าผมไปบ้านนั้น เราก็เปิดใจคุยกันแมนๆไปเลย”
ตฤณฤทธิ์หันไปหาบุรัณย์ “ยอมรับแล้วใช่ไหมว่าไปบ้านคุณลินจริงๆ”
“ใช่ ผมไป แล้วที่ผมทำแบบนี้ก็เพราะพี่ทำเหมือนมีความลับกับพวกเราอยู่”
ตฤณฤทธิ์ชะงักนิดๆ รีบปรับท่าทีให้เป็นปกติ
“อย่าเอาฉันมาอ้าง เหตุผลที่แท้จริงคือนายอยากได้ข่าวกระสือนั่นมาก เลยจ้องจับผิดเขาต่างหาก”
บุรัณย์ไม่ยอมแพ้ จ้องหน้าตฤณฤทธิ์อย่างจับผิด
“แล้วแผลที่พี่โกหกทุกคนว่าหมากัด กับไฟล์วิดีโอผมที่หายเหมือนมีคนแอบลบ พี่จะบอกว่าเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติรึไง”
ตฤณฤทธิ์เอ็ดเสียงขุ่น “นายชักจะลามปามใหญ่แล้วนะ
“ผมแค่พูดสิ่งที่สงสัย ถ้าไม่มีอะไร พี่ก็บอกมาสิว่าที่คุณลินป่วยเป็นอะไรแน่”
ตฤณฤทธิ์เริ่มโกรธ “ฉันบอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าอย่ายุ่งเรื่องนี้ ทำไม่ไม่ฟังกันบ้าง อยากได้ข่าวจนหน้ามืดตามัวไปแล้วรึไง”
“ผมเป็นนักข่าว ผมต้องทำทุกอย่างให้ได้ข่าว ผมทำอะไรผิด” บุรัณย์ย้อน
“พยายามต่อไปเถอะ นายไม่มีวันรู้อะไรจากปากฉันแน่”
“ก็ได้...งั้นเรามาลองดูกันซักตั้ง พี่คอยดูเลย ผมนี่แหละจะตามติดจนกว่าจะจับกระสือได้ตัวเป็นๆ”
บุรัณย์เดินฉุนเฉียวออกห้องไปปิดประตูลง ตฤณฤทธิ์กำมือแน่นพยามยามข่มความโกรธไว้
ปัณรีแอบอยู่ตรงหัวมุมหน้าห้อง ได้ยินที่ตฤณฤทธิ์ทะเลาะกับบุรัณย์ทั้งหมด
ตรงประตูรั้วบ้านยายเพียร พลเพิ่มยืนคุยอยู่กับนวลที่นั่น รู้ว่านลินไม่สบายก็แปลกใจ
“คุณลินไม่สบายเหรอครับ”
“ค่ะ ตอนนี้คุณหนูมีไข้ ต้องนอนพัก คงไม่สะดวกมาเจอคุณ”
“ไม่ได้เป็นอะไรร้ายแรงใช่ไหมครับ ถ้าอย่างนั้นผมขอไปเยี่ยมแค่เดี๋ยวเดียวได้หรือเปล่า”
“ไม่ได้จริงๆค่ะ คุณหนูสั่งฉันไว้ ฉันคงต้องขอให้คุณมาใหม่วันหลัง ต้องขอโทษด้วยนะคะ”
พลเพิ่มมีท่าทีหงุดหงิดนิดๆ ที่ไม่ได้เจอนลิน พยักหน้ารับแกนๆ แล้วเดินกลับไปขึ้นรถซึ่งจอดอยู่ริมถนนอีกฝั่ง เตรียมสตาร์ตรถ แต่แล้วก็ต้องชะงักเพ่งมองเมื่อเห็นว่าตฤณฤทธิ์มายืนรอที่หน้ารั้ว สักพักนวลก็ออกมารับ แล้วให้เข้าบ้านไปง่ายๆ
พลเพิ่มมองตามทั้งสองคนจนกระทั่งประตูรั้วปิดลง สงสัยว่าทำไมถึงให้ตฤณฤทธิ์เข้าไปได้
ฝ่ายปัณรีเดินหน้าเครียดกลับมาที่ห้องรับแขก นึกถึงเรื่องที่ตฤณกับบุรัณย์ทะเลาะกัน ปัณรีเอนหลังพิงเก้าอี้ ทำใจให้สงบ เห็นพลเพิ่มเดินกลับมาก็มองอย่างแปลกใจ
“ทำไมกลับเร็วจังคะ ไหนบอกจะอยู่คุยกับคุณลินพักใหญ่ๆ ไง”
“คุณลินไม่สบาย เข้าไปเยี่ยมไม่ได้เลยกลับมาก่อน”
“มิน่าเดินหน้าบูดมาแต่ไกล อดเจอสาวนี่เอง”
“แล้วเราล่ะ บอกจะไปหาด็อกเตอร์ตฤณ รู้รึเปล่าว่าเขาอยู่ที่ไหน”
“เขาก็อยู่ที่ห้องพักไงคะ”
พลเพิ่มแค่นหัวเราะ
“สนใจอีท่าไหนถึงไม่รู้ว่าเขาอยู่บ้านคุณลิน”
ปัณรีแปลกใจระคนตกใจ “บ้านคุณลิน พี่ตฤณไปที่นั่นตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้ว...ไปทำไม”
“เห็นแม่บ้านบอกว่าคุณลินป่วย แต่ก็แปลก...พอพี่จะขอเยี่ยมกลับกันท่าไม่ให้เข้า แต่เป็นด็อกเตอร์ตฤณกลับปล่อยผ่านง่ายๆ”
ปัณรีนิ่งคิดถึงตอนที่ตฤณฤทธิ์ทะเลาะกับบุรัณย์ขึ้นมาอีก
“คุณลินป่วยจริงๆ เหรอเนี่ย”
พลเพิ่มสงสัย “เรารู้เรื่องนี้ด้วยเหรอ ไปได้ยินมาจากไหน”
“ปัณได้ยินพี่ตฤณคุยกับพี่รัณเรื่องนี้ แต่พี่ตฤณไม่ยอมบอกว่าคุณลินเป็นอะไร”
พลเพิ่มนิ่งคิด “หรือว่าเขาจะรู้อะไรที่เราสองคนไม่รู้”
ปัณรีมองพี่ชาย ด้วยสีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิดอย่างหนัก
ฝั่งตฤณฤทธิ์ประคองนลินลุกขึ้นนั่งเอนบนเตียง หันไปเอาผ้าชุบน้ำมาเช็ดเนื้อตัวให้
“เช็ดตัวก่อนนะลิน เดี๋ยวค่อยกินยา”
นลินพยักหน้า ยิ้มให้ตฤณฤทธิ์อย่างอ่อนแรง
ตฤณฤทธิ์เอาผ้าชุบน้ำค่อยๆบรรจงเช็ดที่หน้านลิน เอามืออีกข้างประคองหน้านลินไว้
นลินมองหน้าตฤณฤทธิ์ในระยะประชิด ตฤณชะงักไปนิดหนึ่งแล้วมองตอบไป
ทั้งสองสบตากันลึกซึ้ง ค่อยๆ เคลื่อนหน้าเข้าใกล้กันเหมือนจะจูบ แต่แล้วก็มีเสียงคนเปิดประตูเสียก่อน
ตฤณฤทธิ์กับนลินผละออกจากกัน เป็นกวิตาเดินเข้ามา เดินถือถาดข้าวต้มเข้ามาให้นลิน
“ข้าวต้มมาแล้วค่า”
กวิตาวางถาดข้าวต้มเห็นตฤณฤทธิ์กับนลิน ทำเหมือนหลบหน้ากันก็แปลกใจ
“ทะเลาะอะไรรึเปล่าคะ ทำไมไม่มองหน้ากันเลย”
“ไม่มีอะไรครับ ขอบคุณมากนะครับคุณต้า”
ตฤณฤทธิ์บ่ายเบี่ยงเฉไฉไปเรื่องอื่น กวิตาพยักหน้างงๆ
“เอ้อ ด็อกเตอร์คะ ฉันจะมาบอกว่าฉันต้องกลับกรุงเทพฯ แล้วนะคะ”
“จริงเหรอครับคุณต้า”
นลินมองกวิตาหน้าเศร้าลง
“ทำไมเร็วขนาดนี้ล่ะต้า”
“ไม่เร็วหรอก มันก็ครบกำหนดแล้ว ขอโทษนะที่ฉันอยู่ช่วยแกได้แค่นี้”
“ไม่เป็นไร แค่นี้ฉันก็ขอบใจมากแล้ว”
กวิตาจับมือนลินให้กำลังใจ พลางหันไปบอกกับตฤณฤทธิ์
“ต้าฝากลินด้วยนะคะ ต้าเชื่อว่ามีแต่ด็อกเตอร์คนเดียวที่จะดูแลลินได้ในสถานการณ์แบบนี้”
“ผมจะดูแลคุณลินให้ดีที่สุด ไม่ต้องห่วงนะครับ”
กวิตาพยักหน้ารับ หันมามองนลินน้ำตาซึม
ตฤณฤทธิ์จับมือนลินกุมไว้แน่น แววตามุ่งมั่นมาดหมาย
“นังนลิน แกอยู่ในนั้นใช่ไหม ออกมาเดี๋ยวนี้นะ”
เสียงอชินีตะโกนโหวกเหวกโวยวายอยู่หน้ารั้วบ้าน
“นังปีศาจ แกฆ่าผัวฉัน ฉันต้องคุยกับแกให้รู้เรื่อง ได้ยินไหม ออกมา”
ชลันตียืนมองจากหน้าต่างเรือนชั้นบน นวลกำลังยกถาดยาไปให้นลินได้ยินเสียงก็ทักถาม
“ใครมาตะโกนอะไรแต่เช้าเลยคะคุณ”
ชลันตีไม่ตอบ มองออกไปข้างนอกเงียบๆ
เมื่อไม่เห็นมีใครออกมาสักทีอชินีก็เกาะรั้วเขย่าๆ ตะโกนด่าทอไม่เลิก
“ออกมาสิ อย่ามัวหดหัวอยู่แต่ในบ้าน ถ้าแกไม่ออกมาฉันจะประจานให้หมดว่าแกเป็นตัวอะไร นังนลินออกมาเดี๋ยวนี้”
สีหน้าอชินีเต็มไปด้วยความโกรธแค้น
ตฤณฤทธิ์ยังเฝ้าอยู่ข้างเตียงไม่ห่าง
เสียงตะโกนของอชินีดังเข้ามา นลินได้ยินไม่ถนัดนัก จึงยันตัวลุกขึ้น ตฤณฤทธิ์ช่วยพยุง นลินชะเง้อคอมองไปที่นอกหน้าต่าง
“ลินมีอะไรรึเปล่าครับ หิวน้ำเหรอ”
“เปล่าค่ะ...ฉันได้ยินเสียงด้านนอกนั่น”
นลินชี้ไปที่ด้านนอก ท่าทียังอ่อนแรงอยู่ ตฤณฤทธิ์มองตาม เสียงด่าทองของอชินียังดังอยู่
“นังลิน อีปีศาจ ออกมา”
ตฤณฤทธิ์เดินไปดูที่หน้าต่างให้ เห็นอชินีอยู่ตรงรั้วไกลๆ
“นั่นใช่...คุณอุ้มรึเปล่า”
“อุ้มเหรอคะ”
นลินตกใจลุกพรวดขึ้นจากเตียง แต่ลุกเร็วไปเลยเวียนหัวจนตฤณฤทธิ์ต้องมาช่วยประคองไว้
“ทำไมรีบลุก คุณยังไม่หายดีเลยนะ”
“อุ้มจริงๆ ใช่ไหมคะ คุณช่วยฉันที พาฉันออกไปหาอุ้ม ฉันต้องคุยกับเขา”
“ไม่ได้ คุณต้องนอนพักอยู่ที่นี่จนกว่าอาการจะดีขึ้น”
“ฉันต้องไปค่ะ ฉันรู้ว่าอุ้มมาทำไม ฉันต้องบอกเขาว่าฉันไม่ได้ฆ่าพีท”
“บอกไปตอนนี้จะได้อะไร เขาไม่เชื่อคุณหรอก”
“ยังไงฉันก็ต้องไป ขอร้องล่ะนะคะ”
นลินดื้อจะลุกไปให้ได้ ตฤณฤทธิ์ก็ไม่ยอมรั้งตัวนลินมากอดไว้
“ผมไม่ให้ไป ถ้าคุณยังดื้อผมก็จะกอดไว้แบบนี้นั่นแหละ”
นลินหันไปมองหน้าตฤณฤทธิ์อย่างตัดพ้อ แล้วมองออกไปนอกหน้าต่างด้วยสีหน้าเป็นกังวล
อชินีตะโกนอยู่ครู่ใหญ่แต่ก็ยังไม่มีใครออกมาก็ยิ่งโมโห เลยหันไปตะโกนเรียกชาวบ้านที่เดินผ่านไปมา
“ไอ้พวกขี้ขลาด ดีแต่หดหัวอยู่ในรู ทุกคนคะ ออกมาดูความหน้าด้านของอีพวกบ้านนี้ มันฆ่าผัวฉันแล้วไม่รับผิด ออกมากันเร้ว ออกมา
อชินีจะเขย่าประตูอีกแต่ประตูรั้วเปิดออกเสียก่อน เห็นชลันตีกับนวลยืนอยู่ตรงประตู ก่อนจะเดินออกมาเผชิญหน้ากับอชินี
“มาได้ซักที” อชินีมองหานลิน “หลานรักไปมุดหัวอยู่ที่ไหนล่ะ”
“ลินไม่สบาย ไม่สะดวกมาพบคุณ” ชลันตีบอก
อชินีเหยียดยิ้มไม่เชื่อ “หึ ป่วยการเมืองสิไม่ว่า พอรู้ว่าฉันมาก็ไม่กล้าเผชิญความจริง แน่จริงให้ฉันเข้าไปคุยกับนังลินสิ”
“คุณไม่เชื่อก็ตามใจ แต่ที่นี่บ้านเรา เราจะให้ใครเข้าหรือไม่เข้าไปก็ได้” นวลว่า
“แล้วถ้าคุณยังไม่ฟัง ฉันจะแจ้งตำรวจ”
ชลันตีเชิดหน้า อชินีเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความโกรธ
“ขู่เก่งนักนะ จะเล่นไม้นี้ใช่ไหม”
อชินีพุ่งเข้าไปผลักชลันตีให้พ้นทาง จะบุกเข้าไปในบ้าน นวลรีบไปคว้าตัวไว้ ชลันตีทรงตัวได้ก็รีบมาช่วยจับอีกคน อชินีพยายามดิ้นแต่โดนรุมเลยสู้ไม่ได้
“ปล่อยฉันนะ อีพวกปีศาจ ปล่อย”
ชลันตีกับนวลผลักอชินีออกไปพ้นรั้ว กำลังจะปิดประตู มีเสียงฉัตรฉายดังขัดขึ้น
“ทำอะไรกันน่ะ เสียงดังเอะอะไปสามบ้านแปดบ้าน”
ฉัตรฉายยืนหน้าตาสู่รู้อยู่หน้ารั้วบ้านยายเพียร อชินีสบโอกาสแสร้งทำเป็นน่าสงสาร นั่งลงร้องไห้ขอร้องให้ฉัตรฉายช่วย
“น้องชาช่า ช่วยพี่ด้วย พี่แค่อยากคุยกับนลินว่าอยู่กับแฟนพี่ก่อนตายหรือเปล่า แต่พวกนี้ไม่ให้พี่เข้าไป”
“ต๊าย! ใจยักษ์ใจมารที่สุด สมแล้วที่เป็นพวกเดียวกับผี”
ฉัตรฉายจิกตาใส่สองคน ชลันตีไม่กลัว เดินเข้าไปหาฉัตรฉายอย่างรำคาญ
“จะช่วยคนอื่นงั้นเหรอ ท่าทางจะยังไม่เข็ดสินะ ลืมแล้วเหรอว่าฉันเคยฟ้องแม่เธอข้อหาบุกรุก ฉันยังไม่ได้ถอนฟ้องนะ คราวนี้ ทั้งเธอและแม่เธอได้เข้าไปนอนคุกแน่”
“ทำเป็นขู่ คิดว่าฉันกลัวเหรอ แน่จริงโทร.หาตำรวจเล้ย” ฉัตรฉายท้า
ชลันตีหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา กดโทร.จริงๆ
“คุณตำรวจคะ มีคนบุกรุกบ้านฉันค่ะ มาจับไปเลย”
ฉัตรฉายหน้าเสียแต่ยังทำปากเก่ง
“คิดว่าฉันกลัวเหรอ! ฉันไม่อยากมีเรื่องหรอกนะ คุยกับหล่อนก็เปลืองน้ำลายเปล่าๆ คุณอุ้มไปบ้านชาช่าก่อนค่ะ”
ฉัตรฉายเข้าไปดึงอชินีให้ลุกขึ้นพากลับบ้าน อชินีโวยวาย
“ฉันไม่ไป ฉันไม่ไป”
สุดท้ายฉัตรฉายลากอชินีกลับไปจนได้ ชลันตีเหนื่อยใจแทบหมดแรง นวลเข้าไปประคองไว้
อชินีอยู่ที่บ้านกำนันสินแล้ว นั่งร้องห่มร้องไห้โวยวายที่เข้าไปบ้านนลินไม่ได้
“ฉันจะคุยกับนังลิน ฉันจะให้มันยอมรับให้ได้ว่ามันฆ่าพีท ปล่อยฉัน”
ฉัตรฉายกอดอกมองอชินีเซ็งๆ
“ทำไงได้ ฉันไม่อยากนอนคุกนี่ ฉันกับแม่บุกไปบ้านนั้นจนมันแจ้งตำรวจไม่รู้กี่รอบแล้ว ถ้ายังขืนหน้ามืดบุกเข้าไป คราวนี้เธอจะไม่เหลือตัวช่วยเลยนะ”
“กลัวอะไร เธอก็รู้นี่ว่านังลินมันเป็นกระสือจริงๆ”
“รู้แล้วทำอะไรได้ หลักฐานไม่มี แถมไม่เคยจับได้ตัวเป็นๆ ด้วย”
อชินีอึ้งไป ฉัตรฉายทำท่าฮึดฮัดหงุดหงิดใส่
“ไม่รู้ล่ะ ฉันจะเอาเรื่องนังกระสือนลินให้ได้ ไม่ฉันก็มันต้องตายกันไปข้าง”
เสียงพลเพิ่มดังแทรกเข้ามา “เมื่อกี้คุณพูดว่ากระสือ...ใช่ไหม”
ฉัตรฉายได้ยินเสียงพลเพิ่มถึงกับสะดุ้ง
สองสาวมองไปเห็นพลเพิ่มกับปัณรีเดินเข้ามา พลเพิ่มจ้องหน้าฉัตรฉายอย่างไม่พอใจ
“ผมจำได้ว่ากำนันสินไม่ให้คุณพูดเรื่องนี้อีกไม่ใช่เหรอ”
ฉัตรฉายอ้ำอึ้งอึกอัก “คือชาช่า..ไม่เกี่ยวนะคะ ยัยคนนี้หาเรื่องเองต่างหาก”
ฉัตรฉายโบ้ยไปที่อชินีเฉย พลเพิ่มหันมองอชินีอย่างเอาเรื่อง อชินีจ้องหน้าอย่างไม่เกรงกลัว
“โกรธที่ฉันพูดเรื่องจริงเหรอ ฉันไม่ได้รู้แค่เรื่องกระสือนะ แต่ฉันรู้ด้วยว่าคุณชอบนังลินถึงได้พูดปกป้องมัน”
อชินีพูดท้าทาย พลเพิ่มหน้ากระตุกนิดๆ เริ่มโกรธ
“ไม่จริง คุณพลไม่ได้ชอบนังลิน”
ฉัตรฉายตะโกนขึ้นมาอย่างไม่พอใจ
พลเพิ่มจ้องหน้าอชินี “ผมจะชอบใครก็เรื่องของผม แต่อย่าใส่ร้ายใครโดยไม่มีหลักฐาน”
“แต่ฉันมี” อชินีโพล่งขึ้น
ปัณรีมองอชินีอย่างสนใจ
“ไหนล่ะหลักฐาน”
“ให้ฉันได้เจอมันก่อน รับรองมีหลักฐานมาแฉมันเพียบ”
“เหลวไหล เลิกสนใจเรื่องไร้สาระซะที” พลเพิ่มเอ็ดปัณรีแล้วหันมาคาดโทษ อชินีและฉัตรฉาย “ผมขอเตือนว่า ขืนพวกคุณยังพูดเรื่องนี้ต่อไปอาจจะถูกฟ้องหมิ่นประมาทได้
พลเพิ่มเดินออกไปเลย ฉัตรฉายดึงอชินีพาขึ้นห้องพักไป ปัณรีมองตามอชินีอย่างสนใจ
ด้านบุรัณย์เอากล้องออกมาเช็คความเรียบร้อยอีกรอบ มธุรสนั่งทำงานอยู่ข้างๆ เห็นบุรัณย์หน้าตาขึงขังจริงจังก็ถามขึ้น
“รัณย์คิดดีแล้วเหรอที่จะไปตั้งกล้องอีกรอบ”
บุรัณย์ตอบอย่างมั่นใจ “คิดดีแล้วรส”
มธุรสมีท่าทีกังวล “รัณย์ทำแบบนี้พี่ตฤณรู้ต้องโกรธชัวร์”
“ดูหน้าก็รู้ แต่ความจริงก็คือความจริง เดี๋ยวได้รู้ว่าใครหมู่ใครจ่า”
บุรัณย์สีหน้ามุ่งมั่นมาดหมาย มธุรสมองไม่สบายใจ
อชินีนั่งหน้าเครียดอยู่ในห้องพัก จนมีเสียงเคาะประตูดังขึ้น จึงลุกเดินไปเปิด พบว่าเป็นปัณรีนั่นเอง
“คุณนี่เอง มีธุระอะไรกับฉันไม่ทราบ”
ปัณรีผลักอชินีเข้าไปแล้วปิดประตูห้อง อชินีมองฉงน
“ยังโมโหเรื่องเมื่อกี้อยู่เหรอ ฉันก็อยู่สงบๆแล้วจะอะไรอีก”
“ฉันไม่ได้จะมาหาเรื่อง แต่อยากคุยกับเธอเรื่องนลิน”
อชินีหน้าเบ้ “นังนี่อีกแล้ว มันสำคัญอะไรนัก ถึงมีแต่คนถามถึงมัน”
“อย่าเพิ่งโวยวาย ฟังฉันก่อน ถ้าอยากให้ฉันช่วยเธอล่ะก็”
อชินีมองระแวง “คุณจะช่วยอะไรฉัน”
“จำที่คุยกันเรื่องแผลที่คอคุณลินได้ไหม ฉันพิสูจน์มาแล้ว มันมีอยู่จริงๆ”
อชินีตาวาว อยากรู้อยากเห็นขึ้นมา
“คุณเห็นมันเหรอ คุณเชื่อฉันแล้วใช่ไหมว่านังลินมันเป็นกระสือ”
“ฉันยังไม่ปักใจเชื่อร้อยเปอร์เซ็นต์ ฉันเลยมาหาเธอ เธอต้องบอกฉันให้หมดว่ากระสือมันมีอาการอะไรอีกบ้าง”
อชินีนิ่งคิด “ฉันก็รู้เท่าที่บอกคุณนั่นแหละ จะมีอีกเรื่องก็...ฉันเคยลองนับวันที่กระสืออาละวาด มันจะออกหากิน...ทุกคืนวันโกนก่อนวันพระใหญ่”
“เธอไม่ได้มั่วนะ”
ปัณรีพุ่งเข้ามาจับไหล่อชินีบีบต้นแขนแน่นจนอชินีตกใจ
“ไม่มั่ว...ถ้าจะให้นับ อีกไม่กี่วันมันต้องถอดหัวออกหากินแน่ๆ”
ปัณรีนิ่งไป แล้วรู้สึกเหมือนได้กลิ่นบางอย่างออกมาจากตัวอชินี
ปัณรีกลืนน้ำลายและเลียริมฝีปาก รู้สึกกระหายขึ้นมาอย่างประหลาด จ้องไปที่ท้องอชินีเขม็ง
“มีอะไรเหรอ”
อชินีสัมผัสได้ว่าปัณรีมีท่าทีผิดปกติเลยผลักออกปัณรีรู้สึกตัว
“ฉัน...ไม่มีอะไรแล้ว ขอตัวก่อนนะ”
ปัณรีตัดบทแล้วออกจากห้องไปเลย อชินีมองตามรู้สึกทะแม่งๆ
ปัณรีรีบร้อนลงมาชั้นล่าง ไปหลบพิงเสาต้นหนึ่ง หอบหายใจแววตาสับสนไม่รู้ตัวเองกำลังเป็นอะไร
ปัณรียืนนิ่งอยู่สักพัก พยายามทำใจให้สงบลง แต่แล้วได้กลิ่นบางอย่างโชยมาแตะจมูก ปัณรีทำจมูดฟุดฟิด กลืนน้ำลายลงคออย่างหิวกระหาย แววตาวาววับมองหาที่มาของกลิ่น
ปัณรีเดินตามกลิ่นนั้นไปราวกับคนไม่มีสติ จนมาหยุดที่แคร่ตรงใต้ถุนบ้าน
บนแคร่มีจานลาบเลือดสดๆ วางอยู่พร้อมอาหารอย่างอื่น ปัณรีแลบลิ้นเลียริมฝีปากอย่างหิวกระหาย เดินไปที่แคร่นั้นแล้วหยิบจานลาบเลือดขึ้นมา มองซ้ายขวาจนแน่ใจว่าไม่มีใครเห็น ถือจานลาบแล้วเดินหลบหายไป
ไม่นานหลังจากนั้น บางก็เดินมาตรงแคร่ประจำของตัวเอง พอเห็นว่ามีบางอย่างหายไปก็โวยขึ้น
“ไอ้บาง ลาบเลือดกูอยู่ไหนวะ”
บางเดินตามออกมา ตอบงงๆ
“จะอยู่ไหนได้ ก็บนแคร่นั่นแหละพี่”
เบาเดินไปจิกกบาลบางให้มาดู
“ไหนลาบเลือดมึง แม้แต่เงายังไม่มี หมาคาบไปเรอะ”
บางเห็นลาบเลือดไม่อยู่จริงก็เกาหัวงงๆ
“หรือว่าจะเป็นหมาจริงๆพี่ ฉันมั่นใจว่าซื้อมาแล้วนะ”
“เหรอ ซื้อมาแล้วเหรอ นี่แน่ะ ไอ้หัวขโมย”
เบาตบหัวบางอย่างแรง จนบางเซไป เอามือกุมหัว งงหนัก
“ทำอะไรวะ ไอ้พี่เบา”
“อย่ามาตีหน้าเซ่อ มึงนั่นแหละแอบกินก่อนกูแล้วทำเนียนบอกหมาเอาไป วันนี้กูจะเอาเลือดหัวมึงมาทำลาบแทน ไอ้บาง”
“เฮ้ย อะไรวะ ข้าไม่ได้ทำ ฟังข้าก่อน”
เบาไม่ฟังไล่เตะบางไปรอบใต้ถุนบ้านบางกระโดดหนีเป็นที่วุ่นวาย
ขณะนั้น พลเพิ่มเดินมาหยุดที่หน้าห้องพักรับรองห้องหนึ่งที่กำนันสินเปิดให้ปัณรี กำลังจะเคาะประตูเรียก แต่พบว่าประตูแง้มอยู่ก่อนแล้ว พลเพิ่มแปลกใจว่าห้องไม่ได้ล็อก เลยลองเคาะเรียกดู
“ปัณ อยู่ในห้องรึเปล่า”
ปัณรีไม่ตอบกลับมา พลเพิ่มเรียกซ้ำ
“ปัณได้ยินพี่ไหม”
ทุกอย่างยังเงียบ
“เห็นเด็กบอกว่าปัณมาพักในห้อง ไม่สบายรึเปล่า พี่เข้าไปนะ”
พลเพิ่มค่อยๆ ผลักประตูเข้าไปดู แปลกที่ที่พบว่าในห้องปิดทึบเห็นแค่แสงสลัวจากภายนอกลอดเข้ามาทางหน้าต่าง
พลเพิ่มเดินเข้าไป จนได้ยินเสียงจ๊อบแจ๊บๆ ดังจากมุมหนึ่ง และมีกลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งไปทั้งห้อง
พลเพิ่มก้าวเข้าไปในห้องช้าๆ สายตาไปหยุดอยู่ที่มุมหนึ่งของห้อง
ที่มุมนั้น มีร่างของใครคนหนึ่งกำลังใช้มือจกกินลาบเลือดสดๆ อย่างตะกละตะกลาม
พลเพิ่มหยิบโทรศัพท์มาเปิดไฟฉาย แต่กลับทำร่วงลงพื้น แสงไฟจากมือถือสาดส่องไปตรงมุมห้อง
พลเพิ่มมองตามถึงกับอึ้งไป เมื่อเห็นปัณรีในสภาพมีเลือดเลอะรอบปาก และกำลังจ้องมาที่ตนด้วยแววตาแข็งกร้าวราวกับไม่ใช่คน!
สักครู่หนึ่งปัณรีก็ได้สติแววตาอ่อนลง มองมือตัวเองตกใจมาก
“ปัณ...”
พลเพิ่มจะแตะตัวปัณรี แต่ปัณรีปัดมืออกอย่างแรง
พลเพิ่มจะจับตัวน้องสาวไว้แต่ไม่ทัน ปัณรีวิ่งหนีเข้าไปในห้องน้ำแล้วล็อคประตูทันที
ปัณรีล็อคประตูมือไม้สั่น ก่อนจะหันไปทางกระจกพบว่าใบหน้าเลอะเลือดเต็มไปหมด ปัณรีมองมืองงๆ เอามือนั้นจับหน้าโดยไม่อยากเชื่อ
ปัณรีเดินไปหน้ากระจกช้าๆ ยื่นมือไปแตะที่กระจก น้ำตาไหลรินเป็นสาย
“น...นี่มันอะไรกัน เกิดอะไรขึ้น”
เสียงเคาะประตูดังขึ้น ตามด้วยเสียงพลเพิ่มตะโกนเข้ามา
“ปัณ เป็นอะไร ออกมาคุยกับพี่ก่อน ปัณ”
ปัณรีหันไปมองที่ประตู สลับกับมองเงาในกระจก รับไม่ได้กับสภาพตัวเอง
“ปัณอยากอยู่คนเดียว ไม่ต้องมายุ่งกับปัณ”
ปัณรีตะโกนเสียงดังลั่น หันหลังพิงประตู สะอื้นไห้ ค่อยๆ ยกมือเลื่อนไปที่คอแล้วเขี่ยผมออก
ที่คอปรากฏรอยสีแดงเป็นเส้นยาวรอบคอแบบเดียวกับที่เคยเห็นบนคอนลิน
ปัณรีทนไม่ได้วิ่งไปล้วงคอให้อาเจียนออกมาจนแทบหมดแรงแล้วทรุดลงกับพื้นร้องไห้โฮ เสียงเคาะประตูยังดังต่อเนื่อง แต่ปัณรีไม่สนใจอีกต่อไปแล้ว
ที่โถงรับแขกชั้นล่างบ้านยายเพียร ตฤณฤทธิ์หารืออยู่กับชลันตีและนวล ท่าทีแต่ละคนเคร่งเครียดมาก
“ใกล้จะถึงวันโกนถัดไปแล้ว คราวนี้เราต้องทำให้ลินได้กินตามกำหนด ไม่อย่างนั้นอาการจะทรุดลงอีก” ชลันตีเอ่ยขึ้น
“ถ้าเป็นเมื่อก่อนคงง่ายกว่านี้มาก แต่ตอนนี้มีคนพยายามจับผิดลิน เราคงต้องระวังตัวมากขึ้น”
“คุณรู้ใช่ไหมว่าคนนั้นเป็นใคร”
“รู้ครับ ผมจะคอยจับตาดูเขาเอง คุณป้าตีกับป้านวลอยู่ที่นี่กันได้ใช่ไหมครับ”
“ได้ค่ะ ไม่ต้องห่วงทางนี้ ฉันกับคุณชลันตีจะดูแลคุณหนูเอง” นวลว่า
“ฉันฝากคุณด้วยนะคะ ขอบคุณมากที่ช่วยพวกเราปกป้องลิน” ชลันตีบอก
ตฤณฤทธิ์พยักหน้ารับด้วยสีหน้ามุ่งมั่นท่าทีจริงจัง
ในห้องพักปัณรี หน้าต่างห้องถูกปิดจนหมด ปัณรีนอนซมอยู่บนเตียงท่ามกลางแสงสลัว สายตาว่างเปล่า ดูเหม่อลอยและอ่อนแรงอย่างมาก
ประตูห้องถูกเปิดเข้ามา พลเพิ่มมองเข้าไป เห็นสภาพน้องสาวตัวเองแล้วรับไม่ได้ เดินเข้ามาในห้องเพื่อคุยกับปัณรี ปัณรีหันหลังให้พลเพิ่ม
“ปัณ หันมาคุยกับพี่หน่อย”
ปัณรีไม่ยอมหันมา พลเพิ่มแตะตัวเรียก ปัณรีก็เบี่ยงตัวหลบ
“จะทำตัวแบบนี้ไปถึงเมื่อไหร่ เป็นอะไรก็ไม่บอก ไปหาหมอก็ไม่ไป พี่ไม่รู้จะทำยังไงกับปัณแล้วนะ”
ปัณรีไม่ตอบอีก พลเพิ่มจนปัญญา จะแตะตัวปัณรีอีกรอบแต่ปัณรีตอบขึ้นก่อน
“ไม่รู้ก็ช่างปัณเถอะ ปล่อยปัณไว้แบบนี้แหละ”
“ช่างได้ยังไง ฉันมีน้องสาวคนเดียว ไม่ห่วงเธอแล้วจะห่วงใคร”
“ไม่ต้องมาห่วง ไม่ต้องยุ่งกับปัณซักเรื่องได้ไหม”
พลเพิ่มหงุดหงิด “อะไรอีก ทีเมื่อก่อนเรียกร้องความสนใจ ไม่สนก็โวยวาย แต่พอพี่ห่วงจริงเข้าหน่อยก็ไล่ จะเอายังไงแน่”
“ปัณไม่รู้ อย่าถามมากได้ไหม รำคาญ”
พลเพิ่มชักไม่พอใจ “เดี๋ยวนี้กล้าพูดกับพี่แบบนี้แล้วเหรอ”
ปัณรีหันหน้าหนีจะล้มตัวลงนอนต่อ แต่พลเพิ่มคว้าแขนไว้ เธอหันมาถามเสียงขุ่น
“พี่พล ทำอะไร”
“ก็เราอยากดื้อเอง วันนี้เธอต้องไปหาหมอ ไป”
พลเพิ่มดึงแขนปัณรีจะกระชากตัวให้ลุกขึ้น ปัณรีร้องกรี๊ด ยื้อตัวไว้
“ไม่ไป บอกแล้วไงว่าไม่ไป”
พลเพิ่มไม่ฟัง จะลากปัณรีออกไปให้ได้ ปัณรีดิ้นหนีขืนตัวไม่ยอมไปคว้าอะไรได้ก็เหนี่ยวไว้ แต่พลเพิ่มออกแรงกระชากแรงขึ้นอีก ปัณรีเกร็งตัวไว้พลเพิ่มเลยล็อคคอแล้วลากออกมา
โดยที่พลเพิ่มไม่ทันเห็นดวงตาปัณรีเปลี่ยนเป็นสีแดงวาบ แยกเขี้ยวออกผลักพลเพิ่มจนกระเด็นออกไป ร่างพลเพิ่มกระแทกเข้ากับประตูอย่างแรง มองปัณรีอย่างตกตะลึง
พอปัณรีได้สติก็ถอยไปชิดมุมห้อง เอามือกุมศีรษะงงๆ ไม่อยากเชื่อตัวเอง
ระหว่างนี้เบาเดินมาตามพลเพิ่มพอดี
“คุณพลเพิ่มครับ ตำรวจกับทีมด็อกเตอร์ตฤณพร้อมแล้วครับ”
พลเพิ่มหันไปหาเบา พยักหน้าให้ ตั้งสติแล้วลุกเดินออกไป
ที่ห้องรับแขกบ้านกำนันสิน ตฤณฤทธิ์ มธุรส บุรัณย์ คุยอยู่กับสารวัตรวิทยาเรื่องคดีลักลอบขุดของเก่าจากปราสาท
“ด็อกเตอร์จะไม่ไปกับพวกผมรอบนี้เหรอครับ”
“ครับ พอดีผมมีงานต้องจัดการด่วน”
“น่าเสียดายนะครับ แล้วนี่จะมีใครไปบ้างครับ” สารวัตรหันมาหาบุรัณย์ “คุณนักข่าวด้วยไหม”
“รอบนี้ผมก็ไม่เข้าไปครับ”
ตฤณฤทธิ์มองบุรัณย์อย่างแปลกใจ บุรัณย์รีบพูดอธิบาย
“คือผมมีฟุตเยอะแล้วน่ะครับ ทำสกู๊ปได้ยันเดือนหน้า เลยขอตัดงานส่งดีกว่า”
“งั้นเหรอ ถ้าตัดได้ขนาดนั้นทำไมไม่กลับออฟฟิศไปซะล่ะ”
ตฤณฤทธิ์ประชดขึ้นมา บุรัณย์สะอึกอึ้ง เหลือบมองมธุรส รายนั้นยิ้มเจื่อนๆ
“เดี๋ยวผมค่อยตามไปถ่ายเพิ่มก็ได้ รสก็เห็นว่าเรางานเยอะใช่ไหม”
มธุรสช่วยบุรัณย์ “ค่ะ ใช่ค่ะ ไม่ต้องให้รัณเข้าไปหรอกพี่ตฤณ อยู่ทำงานกับเราที่นี่ดีกว่า”
ระหว่างนี้เบาเดินมาส่งแล้วแยกไปนอกบ้าน พลเพิ่มเดินเข้ามาสมทบด้วยสีหน้าเครียดๆ
“ขอโทษที่มาช้านะครับ ผมพร้อมแล้ว ออกเดินทางได้เลย”
สารวัตรวิทยาพยักหน้า พร้อมกับลุกขึ้น เตรียมตัวออกไปที่ปราสาท
บุรัณย์โล่งอก ตฤณฤทธิ์แอบสังเกตท่าทางบุรัณย์ตลอดเวลา
คืนนั้น ตฤณฤทธิ์ มธุรส บุรัณย์ มานั่งรวมกันทำงานที่ห้องโถงใหญ่เรือนรับรองทีมสำรวจตฤณฤทธิ์กำลังก้มดูเอกสารอยู่ บุรัณย์แสร้งทำเป็นตัดต่องานในโน้ตบุ๊คแต่ลอบมองตฤณฤทธิ์ สลับกับมธุรสที่นั่งอยู่อีกฝั่ง
บุรัณย์มองไปด้านนอก เห็นพระจันทร์วันโกนที่ใกล้จะเต็มดวงแล้วก็ดูนาฬิกา ทำท่าจะลุก
“จะไปไหนรัณ”
บุรัณย์สะดุ้ง นั่งลงแทบไม่ทัน หันไปบอกตฤณฤทธิ์
“ผม...ตัดงานเสร็จแล้วพี่ เลยว่าจะไปนอน...”
“อ้าว จะรีบนอนไปไหน พี่มีเรื่องจะให้นายช่วยหน่อย”
“เอ่อ...เรื่องอะไรพี่ ด่วนรึเปล่า”
“ด่วน นายจะให้พี่เลือกรูปไปลงข่าวไม่ใช่เหรอ เห็นรีบๆ นึกว่าจะใช้แล้ว”
“ใช่พี่ แต่ผมว่าผมเอารูปที่มีก็ได้ครับ ไม่อยากกวนพี่น่ะ แล้วผมก็...ฮ้าว” บุรัณย์ทำเป็นหาว “ง่วงแล้วด้วย”
บุรัณย์ลอบยิ้ม คิดว่าตฤณต้องปล่อยตนแน่ แต่ตฤณตอบยิ้มๆ
“ไม่เป็นไร พี่ชงกาแฟให้ รออยู่นี่ก่อน แป๊บนึง”
ตฤณฤทธิ์ลุกขึ้นเดินไปที่มุมกาแฟ บุรัณย์ตบโต๊ะเซ็งๆ หันไปมองมธุรสกะพริบตาปริบๆ เชิงขอความช่วยเหลือ มธุรสคิดปราดเดียว ทำมือโอเคบอก
สักพักตฤณฤทธิ์ก็กลับเข้ามาพร้อมแก้วกาแฟ เดินไปนั่งประกบบุรัณย์อีก
มธุรสเอ่ยขึ้น “พี่ตฤณคะ ช่วยอะไรรสหน่อยได้ไหมคะ”
ตฤณฤทธิ์เงยหน้ามอง “ว่าไงรส”
“คือรสอยากหาเอกสารเรื่องวัสดุในปราสาทอนันตาปุระน่ะค่ะ เหมือนจะอยู่ที่ห้องพี่ตฤณ แต่จำไม่ได้ว่าอยู่ไหน พี่ตฤณช่วยรสหาหน่อยได้ไหมคะ”
ตฤณฤทธิ์นิ่งคิด บุรัณย์มองลุ้น มธุรสก็พลอยลุ้นด้วย สุดท้ายตฤณฤทธิ์ก็พยักหน้า
“ได้ เดี๋ยวพี่ลองหาให้ นายเลือกไปก่อนนะ เดี๋ยวมา”
ตฤณฤทธิ์ลุกขึ้นเดินไปกลับที่ห้องเขา มธุรสลุกตาม ชูนิ้วโป้งส่งซิกให้บุรัณย์
บุรัณย์ยิ้มดีใจที่เป็นไปตามแผน
พระจันทร์บนฟ้าใกล้จะเต็มดวงรอมร่อ ที่ริมรั้วบ้ายยายเพียร อชินีซุ่มอยู่ตรงต้นไม้ต้นหนึ่งริมรั้วนั้น มองไปที่บ้านยายเพียรอย่างมาดมั่น หยิบโทรศัพท์มากดดูเวลา เห็นว่าดึกมากแล้วแต่ปัณรียังไม่มาก็ชักหงุดหงิด
“นัดไม่เป็นนัดเลย ป่านนี้แล้วยังไม่มาอีก ถอดใจแล้วหรือไง”
อชินีกระสับกระส่าย เริ่มร้อนใจเลยหยิบกล้องวิดีโอเตรียมถ่าย
“ถ่ายเองคนเดียวก็ได้วะ”
อชินีก้มหน้าดูที่กล้องวิดีโอ ง่วนหาวิธีเปิดอยู่สักพัก แล้วยกขึ้นจะถ่ายทางบ้านยายเพียร แต่เกือบช็อกเมื่อเห็นใครบางคนมายืนอยู่ตรงหน้ากล้องตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้
“ว้าย”
อชินีตกใจเกือบทำกล้องหลุดมือ แต่พอเห็นเป็นปัณรีก็โล่งอก
“ค...คุณปัณ ทำไมโผล่มามืดๆล่ะคะ ใจหายหมด”
“ให้ฉันยืนตรงไหน”
อชินีรู้สึกว่าท่าทางปัณรีแปลกๆ ไป หน้าตาซีดเซียวผิดปกติ แต่ไม่กล้าถาม ชี้ไปยังจุดจุดหนึ่งแถวนั้น
“ตรงนั้นแล้วกัน ฉันจะรอถ่ายวิดีโอตรงนี้”
ปัณรีพยักหน้า เดินไปตรงจุดที่อชินีบอก ส่วนอชินีหันไปตั้งกล้องบ่นบ้าว่าปัณรี
“วันหลังอย่าเล่นแบบนี้อีกนะ ฉันกลัว นึกว่าผีกระสือโผล่มาซะอีก”
“กลัวทำไม ถ้าฉันเป็นกระสือจริง ป่านนี้เธอคงไม่รอดแล้ว”
อชินีหันไปมองปัณรี รู้สึกเย็นวาบขึ้นมาผิดปกติ แต่ทำเป็นไม่สนใจตั้งกล้องต่อไป
ภายในห้องนลินยามนี้ นลินนอนอยู่บนเตียงใกล้เวลาถอดหัวแล้ว ร่างกายกระตุกเกร็งขึ้นมาอย่างแรง นลินเอามือจับคอ ร่างสั่นสะท้าน เหงื่อโทรมไปทั้งตัว
นลินเกร็งมือจิกลำคอไว้ แต่กลับยิ่งทรมาน ต้องกรีดร้องออกมาอย่างเจ็บปวดมากกว่าทุกครั้ง
ตรงประตูห้องที่เปิดแง้มอยู่ ชลันตีกับนวลมองลอดช่องนั้นเข้าไป เป็นห่วงนลินมาก
“นวล เธอเฝ้าหน้าห้องไว้เหมือนทุกครั้งนะ รอจนกว่าลินจะกลับมา”
นวลพยักหน้า ถามออกไปอย่างกังวล
“คุณคะ อย่าหาว่านวลคิดในแง่ร้ายเลยนะคะ แต่ถ้าเกิดคุณหนูไม่ได้กินตามกำหนดขึ้นมา นวลกลัวว่าคุณหนูจะแย่ลงกว่าเดิม”
“ทำไมพูดแบบนี้ มันไม่มีทางเป็นไปได้หรอกนวล”
“แต่นวลกลัวนี่คะ ทั้งกลัวทั้งห่วงคุณหนู”
“อย่ากลัว คราวนี้เรามีคุณตฤณฤทธิ์มาช่วยด้วย ทุกอย่างจะราบรื่น”
ชลันตีพูดเสียงหนักแน่น ทั้งที่ในใจแอบหวั่นกลัวอยู่ไม่น้อย
ตฤณฤทธิ์กับมธุรสถืองานกลับมาที่โต๊ะ ไม่เห็นบุรัณย์อยู่แล้ว ตฤณฤทธิ์แปลกใจ
“อ้าว รัณย์ไปไหนแล้ว”
มธุรสเอาเอกสารวางบนโต๊ะ สังเกตเห็นกระดาษโน้ตแปะอยู่ตรงที่นั่งบุรัณย์เลยเดินเข้าไปดูหยิบกระดาษขึ้นมาอ่าน
“ผมง่วงแล้ว ไปนอนก่อนนะครับ รัณย์”
ตฤณฤทธิ์ตามมาดูกระดาษโน้ต ทำหน้ามุ่ย
“อะไรกัน หนีไปนอนแล้ว จริงๆ เล้ย”
มธุรสลอบยิ้มดีใจที่บุรัณย์แยกตัวออกไปได้ ทำเป็นดูนาฬิกาแล้วบอกตฤณฤทธิ์
“รสว่ามันก็เริ่มดึกแล้วนะคะ แถมพี่ตฤณก็ทำงานมาทั้งวันแล้ว เราแยกย้ายกันไปพักผ่อนดีไหมคะ”
ตฤณฤทธิ์ชูเอกสารท้วง “แล้วงานพวกนี้ล่ะรส”
“ไว้พรุ่งนี้เช้าก็ได้ค่ะ รสว่ารส...” มธุรสยกมือปิดปากแกล้งหาว “ก็ง่วงแล้วล่ะค่ะ”
ตฤณฤทธิ์อ่านออกว่ามธุรสดูแปลกๆ ไป แต่แสร้งทำเป็นไม่ติดใจอะไร
“งั้นรสไปนอนเถอะ เอกสารกองไว้นี่แหละ พี่เก็บเอง”
“ค่ะ อย่าอยู่ดึกนักนะคะ ฝันดีค่ะพี่ตฤณ”
มธุรสทำเป็นหาวแล้วเดินแยกออกไป ตฤณฤทธิ์มองตามด้วยสีหน้าสงสัย
โจ๊กนั่งพิมพ์ข่าวกับโน้ตบุ๊คอยู่ที่โต๊ะ จนมีเสียงเคาะประตูดังขึ้น โจ๊กลุกไปเปิดประตูแล้วอึ้งนิดๆ เมื่อเห็นตฤณฤทธิ์ยืนอยู่หน้าประตู โจ๊กตัวแข็งทื่อ ตฤณฤทธิ์กวาดตามองเข้าไปในห้อง
“ม...มาหาใครครับ ดึกดื่นป่านนี้”
“ถามแปลก ห้องนี้มีเรากับนายรัณย์แค่สองคน ก็ต้องมาหาคนใดคนนึงสิ”
“อ้อ ครับ แล้วมาหาผมมีธุระอะไรเหรอครับ”
“ไม่ใช่เรา รัณย์นอนแล้วเหรอ”
“ครับ มาถึงก็หลับปุ๋ยเลย”
โจ๊กชี้ไปที่อีกเตียงในห้อง เห็นมีผ้าห่มคลุมเหมือนคนนอนอยู่ ตฤณฤทธิ์ทำหน้าเหมือนไม่เชื่อ โจ๊กเลยพยายามบ่ายเบี่ยงไปเรื่องอื่น
“ด็อกเตอร์มีอะไรฝากผมไว้ได้นะครับ เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมบอกพี่รัณย์ให้”
ตฤณฤทธิ์มองไปยังโต๊ะทำงานในห้อง สังเกตเห็นบางอย่างผิดปกติ ตัดบทบอกโจ๊กไปว่า
“ไม่เป็นไร ไว้ผมบอกเองพรุ่งนี้ พักผ่อนเถอะ”
โจ๊กพยักหน้ารัวๆ แล้วรีบปิดประตูห้องไป ตฤณฤทธิ์ยืนครุ่นคิดบางอย่าง
“กล้องไม่อยู่ในห้อง”
ตฤณฤทธิ์มองไปที่รองเท้าหน้าห้อง เห็นรองเท้าโจ๊กอยู่คู่เดียว
“รองเท้าก็ไม่อยู่”
ตฤณฤทธิ์ตาโต คิดออก รีบวิ่งออกจากตรงนั้นไปทันที
ที่ริมรั้วบ้านกำนันสินติดกับบ้านยายเพียรอีกฝั่งหนึ่ง บุรัณย์แยกตัวจากตฤณฤทธิ์มาได้ก็รีบตั้งกล้องรอจับกระสือทันที ระหว่างนี้ยินเสียงสวบสาบเหมือนมีคนเดินมาทางด้านหลัง
บุรัณย์หยิบไฟฉายสาดไปดูทางเสียงนั้น สีหน้าเคร่งเมื่อครู่เปลี่ยนเป็นโล่งใจ
“โถ่...นึกว่าใคร”
บุรัณย์ลดไฟฉายลง ถอนหายใจโล่งอก มธุรสเข้ามานั่งข้างๆ
“โทษที รัณย์กลัวเป็นคนอื่นตามมาน่ะ แล้วนี่พี่ตฤณเป็นไง หลับหรือยัง”
“รสเห็นพี่ตฤณไปที่ห้องแล้ว แต่ไม่แน่ใจเหมือนกันว่านอนหรือยัง”
“พี่ตฤณแกฉลาด แผนแค่นี้คงหลอกได้ไม่นาน เราต้องรีบแล้ว”
“รัณตั้งกล้องไว้แล้วใช่ไหม รสจะช่วยดูต้นทางให้”
บุรัณย์พยักหน้าพลางดูนาฬิกา “ตกลงตามนี้ อีกไม่นานหรอก เราจะได้รู้กันสักทีว่ากระสือมีจริงหรือเปล่า”
บุรัณย์พูดอย่างมุ่งมั่นว่าต้องจับกระสือให้จงได้
หน้าต่างห้องนลินเวลากลางคืน ก่อนจะค่อยๆซูมออกเห็นเป็นรูปวิดีโอในกล้อง
อชินีตั้งกล้องรออยู่สักพัก ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น อชินีชักร้อนใจขึ้นทุกที
“ทำไมเงียบแบบนี้นะ...มันต้องออกมาอย่างที่ฉันคิดสิ”
อชินีก้มไปดูกล้องต่อ โดยมีปัณรียืนนิ่งอยู่ข้างหลัง
ปัณรีเงยหน้ามองพระจันทร์บนฟ้า ร่างกายกระสับกระส่ายผิดปกติ ยกมือตัวเองขึ้นมาดู พบว่ามันเริ่มสั่นเหมือนควบคุมตัวเองไม่ได้
บนท้องฟ้าเมฆเคลื่อนตัวออกจนเห็นพระจันทร์เต็มดวงลอยเด่น ส่องแสงลอดต้นไม้ลงมาตรงที่ปัณรียืน
ร่างของปัณรีเริ่มกระตุกอย่างรุนแรง ต้องเอามือจิกต้นไม้พยุงตัว ดวงตาเปลี่ยนเป็นสีแดง ปัณรีเอามือจับคอตัวเองพยายามไม่ร้องออกมา
อชินีหงุดหงิดที่ยังไม่มีอะไรเคลื่อนไหวสักที แต่สักพักต่อมาสายตาก็แลเห็นดวงไฟสีแดงลอยออกมาจากหน้าต่างห้องนอนนลิน
“มาแล้ว นังกระสือ ใช่แน่ๆ”
อชินีพูดอย่างตื่นเต้น หันไปบอกปัณรี แต่ต้องตกใจที่เห็นร่างปัณรีลงไปนั่งกับพื้นแล้ว
“คุณปัณ เป็นอะไรไป”
อชินีทิ้งกล้องเข้าไปดูปัณรี ในขณะที่ดวงไฟลอยออกไปทางที่บุรัณย์อยู่
ฝั่งบุรัณย์กับมธุรสสองคนก็เห็นดวงไฟพร้อมกันพอดี
“รัณ...นี่มัน”
บุรัณย์ตาลุกวาว ดีดนิ้ว ยิ้มพอใจ
“ใช่ ต้องใช่อย่างที่เราคิดแน่ๆ”
บุรัณย์ก้มลงไปดูวิดีโอต่อ เสียงขุ่นเขียวของตฤณฤทธิ์ดังขึ้น
“รัณ”
บุรัณย์กับมธุรสชะงักหันไปเจอตฤณฤทธิ์ยืนตาขวางมองมา
มธุรสตกใจ “พี่ตฤณ”
ตฤณฤทธิ์เดินจ้ำเข้ามาหาทั้งสองคน ถามด้วยความไม่พอใจ
“ทำอะไรกัน”
ไวเท่าความคิดบุรัณย์รีบยืนบังกล้องวิดีโอไว้ มองหน้ามธุรส สองคนพยักหน้าให้กัน
ทันใดนั้นบุรัณย์ก็หันไปถอดกล้องวิดีโอออกจากขาตั้ง แล้ววิ่งตามดวงไฟไปโดยเร็ว ตฤณฤทธิ์พุ่งขวางแต่มธุรสคว้าตัวเขาไว้
“อย่าค่ะ พี่ตฤณ”
“รส ปล่อยพี่”
“ขอโทษนะคะ รสจำเป็นต้องทำ”
มธุรสดึงตัวตฤณฤทธิ์ไว้ไม่ยอมปล่อย บุรัณย์วิ่งห่างออกไปเรื่อยๆ และยังถือกล้องถ่ายวิดีโอตามดวงไฟสีแดงไปตลอดทาง
ตฤณฤทธิ์ยื้อยุดกับมธุรสอยู่สักพัก จนมธุรสหมดแรงปล่อยตฤณฤทธิ์หลุดออกมาได้ เขารีบวิ่งตามบุรัณย์กับดวงไฟไป
ด้านอชินีประคองปัณรีที่ล้มให้ลุกขึ้นมา พลางมองหาดวงไฟแต่มันหายไปแล้ว
“ไฟนั่นหายไปไหนแล้วเนี่ย คุณปัณ เป็นอะไรไปอีก ลุกขึ้นมาก่อน นังกระสือมันออกมาแล้วนะ”
อชินีเขย่าตัวเรียกแต่ปัณรีไม่ยอมตอบอะไรเลย
“ลุกขึ้นเดี๋ยวนี้ มาช่วยฉันก่อน คุณปัณ”
ปัณรีนั่งนิ่งคอตก อชินีเริ่มลุกลี้ลุกลน ผลักปัณรีออกแล้วตะโกนใส่อย่างเหลืออด
“เป็นอะไรอีกวะ ถ้าเกิดตายตรงนี้ขึ้นมาฉันไม่ช่วยนะ”
ปัณรีเงียบไปเฉยๆ อชินีมองอย่างหวาดระแวง
“งั้นฉันไปก่อนละ”
อชินีหันหลังจะลุกออกไป แต่ทันใดนั้นก็มีแสงสีแดงสว่างวาบขึ้นจากด้านหลังจึงหันไปมอง แล้วต้องผงะเงยหน้ามองตามแสงนั้น อ้าปากค้างด้วยสีหน้าตกตะลึงพรึงเพริด
เป็นกระสือปัณรีลอยอยู่ตรงหน้า ผมสยายตาแรงลม ดวงตาแดงก่ำจ้องมองมาอย่างน่ากลัว
อชินีจะร้องให้คนช่วยแต่ไม่ทัน กระสือปัณรีเลียปากแยกเขี้ยวแล้วพุ่งเข้ากัดคออชินีทันที
อ่านต่อตอนที่20