สาปกระสือ ตอนที่17 กระสือนลินเผชิญหน้าหลวงตาคำ
บทประพันธ์และบทโทรทัศน์โดย อาณาจินต์
เช้าแล้ว ชาวดอนป่าหวายเริ่มต้นชีวิตวันใหม่ตามครรลองและหน้าที่ใครมัน บรรดาแม่บ้านจับจ่ายซื้อข้าวของอยู่ในตลาดหมู่บ้าน
ขณะที่เจ๊หวีกับกะเทยลูกมือช่วยกันเปิดร้านเตรียมให้บริการความสวยความงามนั้น เสียงชมพู่ตะโกนเรียกเสียงดังเข้ามา
“เจ๊...เจ๊หวี...”
ทุกคนหันไปมอง เห็นชมพู่วิ่งหน้าตาตื่นมาหยุดหอบหายใจ แฮ่กๆ ที่หน้าร้าน เจ๊หวีกะเจ๊หวันเดินออกมาดูมองสงสัย
“อะไรนังชมพู่ แกไปเจอผีมาหรือไง แหกปากซะดังลั่นเลย” เจ๊หวีถาม
“ก็ใช่สิเจ๊! ผีตายโหงด้วย ถึงได้รีบมาบอกเจ๊นี่ไง”
ชาวบ้านแถวนั้นพากันมามุงดู ทุกคนฟังแล้วต่างตกใจ
“แกจะให้ฉันไปเก็บศพเหรอ ไม่ไปบอกผัวคุณนายโน่น” เจ๊หวีว่า
“บอกแล้ว กำนันกำลังจะพานักข่าวไปที่เกิดเหตุ ฉันเลยมาบอกเจ๊ไง”
โฉมศรีกับฉัตรฉายเดินผ่านมาได้ยินพอดี
“ใครตายที่ไหนวะนังชมพู่” โฉมศรีแปลกใจ
“ก็ไอ้คนกรุงเทพฯ ที่อยู่บ้านคุณนายไง นอนตายที่ชายป่าโน่น อึ๋ย...สยอง” ชมพู่ทำท่าขนลุกขนพอง “ตับไตไส้พุงหายไปหมดเลย”
ฉัตรฉายตกใจ “แฟนเก่านลินแน่เลย”
ขาเม้าท์ชาวบ้าน1 ทำท่ากลัว “คงเป็นกระสือกินไส้เหมือนหมูไอ้เบามันแน่ๆ”
โฉมศรีเออออเห็นด้วยทันควัน “ใช่มันต้องเป็นกระสือแน่ เราปล่อยเรื่องนี้ไว้ไม่ได้แล้วนะ นี่มันถึงขนาดกินไส้คน แล้วต่อไปจะเป็นใครอีกล่ะ”
“กระสืออีกแล้ว ไม่มีมุกอื่นเหรอคุณนาย อะไรตายก็กระสือ” เจ๊หวีมองหมั่นไส้
เจ๊หวันเห็นด้วย “ใช่ๆ มุกเก่าน่าเบื่อมาก”
โฉมศรีไม่ใส่ใจชวนฉัตรฉายกลับบ้านพร้อมกับนัดแนะชาวบ้านแถวนั้นไปด้วย
“ไปลูกรีบกลับบ้าน ป่านนี้พ่อแกคงวุ่นวายใหญ่แล้ว เดี๋ยวยังไงค่อยประชุมกันนะ ว่าจะจัดการยังไง”
ทุกคนต่างเมาท์กันด้วยสีหน้าตื่นตกใจ เพราะไม่เคยเกิดเรื่องร้ายแรงขนาดนี้มาก่อน
ชาวบ้านที่เดินผ่านมาได้ยินต่างให้ความสนใจ หยุดถามไถ่และถกประเด็นกันยกใหญ่
บุรัณย์ ยืนรายงานข่าวสดส่งสัญญาณ4Gไปยังช่อง8 ที่กรุงเทพฯ ด้านหลังเขาเป็นทีมงานมูลนิธิช่วยกันเก็บศพพนิชห่อผ้าขาว นำส่งโรงพยาบาล เจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังถ่ายภาพเก็บหลักฐานรอบๆ ที่เกิดเหตุ รวมทั้งไทยมุงชาวบ้านจับกลุ่มสุมหัวเม้าท์มอยกันเซ็งแซ่
“เช้านี้ได้มีชาวบ้านพบศพชายหนุ่มตายปริศนาที่ชายป่าหมู่บ้านดอนป่าหวาย คาดว่าน่าจะเสียชีวิตมาแล้วไม่ต่ำกว่า 7 ชั่วโมง ทราบชื่อคือ นายพนิช สถิตภาวัน ขณะนี้ตำรวจกำลังส่งศพไปชันสูตรและสืบหาสาเหตุเพราะเป็นการเสียชีวิตแบบผิดธรรมชาติ”
สารวัตรวิทยายืนคุยอยู่กับกำนันสินและตฤณฤทธิ์
“ดูจากสภาพศพแล้ว มันผิดธรรมชาตินะสารวัตร มันต้องเกี่ยวข้องกับกระสือแน่ๆ เพราะไม่นานมานี้เพิ่งมีหมูในหมู่บ้านถูกกินไส้ไปแบบนี้เหมือนกัน” กำนันสินชี้นำ
“ดูจากรอยบาดแผลแล้วอาจจะถูกทำร้ายก็ได้ครับ แต่ยังไงต้องรอส่งศพไปชันสูตรก่อน” สารวัตรบอก
“ผมว่าน่าจะเป็นฝีมือคนหรือไม่ก็สัตว์ป่ามากกว่านะครับ” ตฤณฤทธิ์
ระหว่างนี้เอง เบาวิ่งตาแตกตื่นผ่าเข้ามากลางวง ท่าทีกลัวจนตัวสั่น
“ตำรวจๆ ครับ มีอีกศพ...อยู่ริมธารโน่น” มันชี้ไปทางริมลำธาร
กำนันสินหน้าตาตาตื่น “ศพอะไร! ศพใคร ไอ้เบา”
ในกลุ่มชาวบ้าน พรเมียของนายธรรม ทรุดตัวลงกับพื้นร้องไห้โฮ
“ฮือ...ต้องเป็นตาธรรมผัวฉันแน่ๆ เขาไปด้วยกัน”
พรพูดเท่านั้นก็สลบล้มพับไป ทีมพยาบาลรีบเข้าช่วยดูอาการพร
ตำรวจแยกไปดูอีกศพ บุรัณย์ และ โจ๊ก วิ่งตามไปทำข่าว ชาวบ้านแตกตื่นกระจายกันวิ่งไปดูเดี๋ยวคุยไม่รู้เรื่อง
ตฤณฤทธิ์กลับเข้าหมู่บ้าน รีบพาตัวเองมานั่งรอที่เก้าอี้สนามหน้าเรือนไทยบ้านยายเพียร ท่าทางกระวนกระวายใจหนัก สักครู่หนึ่ง จึงเห็นนลินเดินมาหามองตฤณฤทธิ์ด้วยสีหน้าแปลกใจ
“คุณตฤณมีอะไรหรือเปล่าคะ เห็นป้านวลบอกมีธุระสำคัญจะคุยกับฉัน”
ตฤณฤทธิ์มีสีหน้าไม่ค่อยดี พูดกระอึกกระอัก “คุณลินทำใจดีๆนะครับ คือคุณ...พีทเขา...”
นลินยิ่งสงสัย “เขาเป็นอะไรคะ”
“เขาเสียแล้วครับ”
นลินตกใจ “อะไรนะคะ”
“ตอนนี้ตำรวจกำลังจะส่งศพไปชันสูตร”
นลินใจหายใจหล่น ร่างทรุดลงกับเก้าอี้อย่างอ่อนแรง ถึงจะโกรธเกลียดแค่ไหน ก็เคยรักกันมาก่อน ตฤณฤทธิ์โผเข้าช่วยพยุงมองห่วงใย
“คุณไหวไหม
นลินตั้งสติพยักหน้าบอก “เขาเสียที่ไหนคะ”
“ผันกับชมพู่ไปเจอศพที่ชายป่าเมื่อเช้านี้”
“ป่าเหรอคะ”
นลินมีสีหน้าครุ่นคิด สงสัยว่าพนิชเข้าไปทำอะไรในป่า
อีกฝั่ง เบาช่วยพยุงพรมานั่งที่แคร่บ้านกำนัน สภาพพรร้องไห้อย่างหนักจนอ่อนแรง เจ๊หวี ชมพู่ ช่วยกันพัดวีให้ โฉมศรียื่นแก้วยาหอมให้พรดื่ม
“แข็งใจกินหน่อยนะพร”
ฉัตรฉายวิ่งตาแตกตื่นเข้ามาสมทบ
“แม่ ตกลงตาธรรมก็ตายอีกศพเหรอ”
พรได้ยินยิ่งเสียใจร้องไห้โฮขึ้นมาอีก
เจ๊หวีต้องคอยปลอบใจ “ทำใจดีๆ นะพี่พร พี่ธรรมเขาไปสบายแล้วละ”
“ใช่ เหลือแต่พวกเรานี่แหละที่ต้องดิ้นรนกันต่อไป” ชมพู่ว่า
ฉัตรฉายฮึดฮัดขึ้นมา “เหลือแต่พวกเราที่ต้องลุ้นว่าจะโดนกินไส้วันไหนมากกว่า”
“โอ๊ย...ชาช่าเอ๊ย...หนูก็คิดได้เนอะ” เจ๊หวีประชดอย่างหมั่นไส้ปนรำคาญ “เกิดมาในท้องกระสือเหรอลูก เห็นพูดเป็นอยู่แค่นี้ กระสือ...กระสือ”
“หนูฉายก็พูดถูก ถ้าไม่ใช่กระสือจะเป็นใคร” ยิ่งคิดก็ยิ่งแค้น พรถลาเข้าไปหากำนันสินร้องไห้โฮๆ “กำนัน...กำนันต้องช่วยฉันนะ จับกระสือให้ได้ ผัวฉันจะได้ตายตาหลับ”
กำนันสินบอกปลอบอย่างมาดมั่น “แกไม่ต้องคิดมากนังพร ยังไงข้าต้องช่วยให้ความเป็นธรรมกับแกอยู่แล้ว”
“กำนันต้องรีบไปจับมันเลยนะ ก่อนที่มันจะกินใครอีก” พรขอร้องน้ำตานองหน้า
“พวกเราต้องรวมตัวกันไปไล่กระสือ” ฉัตรฉายผสมโรง
เจ๊หวีกับชมพู่มองหน้ากันนึกเป็นห่วงนลิน
“พวกแกเชื่อใจข้าเถอะ ข้ามีวิธี” กำนันสินมองไปรอบๆ ยิ้มเจ้าเล่ห์
เจ๊หวีเซ็งกำนัน “แทนที่จะห้าม ก็เป็นไปกับเขาอีกคนเหรอเนี่ย”
ชมพู่ถามส่งๆ น้ำเสียงประชด “แล้วคราวนี้ใครจะเป็นกระสืออีกล่ะ”
“ยังจะถามอีกนังพู่ ระวังเถอะมันหาใครกินไม่ได้มันจะลากไส้แกกับไอ้ผันมากินแทน” โฉมศรีว่า
เจ๊หวีโต้ “ถ้าคุณลินเป็นกระสือ คงกินคุณนายคนแรกนั่นแหละ เห็นจ้องจับผิดอยู่ได้”
ชมพู่เห็นด้วย “ใช่ๆและถ้าจะกินฉันคงกินไปนานแล้วมั้งคุณนาย ฉันคงไม่ได้มานั่งอยู่ตรงนี้หรอก”
“พวกแกไม่สูญเสียบ้างก็ไม่รู้หรอก” เบาโพล่งแทรกขึ้นพูดถึงลูกหมูด้วยทำท่าเจ็บปวด “ดูอย่างแกแล็คซี่ลูกข้าสิ น่ารักขนาดนั้นมันก็ยังกินได้เลย”
ชมพู่กับเจ๊หวีมองหน้ากันไม่กล้าเถียงอะไรอีก
ตฤณฤทธิ์กับนลินยังคงนั่งคุยกันอยู่หน้าเรือนบ้านยายเพียร
“ผมว่าตอนนี้คุณไม่ปลอดภัยนะ ไปหลบที่อื่นก่อนดีไหม” ตฤณฤทธิ์บอกสีหน้าซีเรียส
นลินมองฉงน
“ทำไมต้องหลบไปอยู่ที่อื่นด้วย”
“มีชาวบ้านบางคนโยงเรื่องนี้ให้เกี่ยวกับกระสือ”
นลินมองหน้าเขา ถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง “คุณคิดว่าฉันเป็นกระสือเหรอ”
ตฤณฤทธิ์ส่ายหน้า “ไม่ใช่ ผมไม่เคยคิดแบบนั้น”
นลินบอกเสียงแข็ง “ฉันไม่หนีไปไหนทั้งนั้น ฉันไม่ได้ทำ”
ตฤณฤทธิ์มองอย่างเป็นห่วง “ผมเป็นห่วงคุณนะลิน”
ไม่ทันขาดคำดี ก็มีเสียงชาวบ้านตะโกนโหวกเหวกโวยวายอยู่หน้าประตูบ้าน ดังเข้ามาในบ้าน
“ออกมานะนังผีกระสือ”
ตฤณฤทธิ์กับนลินหันมามองหน้ากันด้วยความตกใจ
ขณะเดียวกัน พลเพิ่มอยู่ที่บ้าน กำลังคุยสายอยู่กับใครบางคน ปัณรีวิ่งหน้าตื่นเข้ามาหาท่าทางร้อนรนใจ
“พี่พล!...รีบไปช่วยคุณลินก่อนเร็ว เดี๋ยวไม่ทัน”
ท่าทีของปัณรีทำเอาพลเพิ่มตกใจ จนรีบวางสาย
“แค่นี้ก่อนนะครับ พอดีผมติดธุระ ครับ...ขอบคุณครับ”
พลเพิ่มถามปัณรีอย่างร้อนใจ “แกว่าอะไรนะ คุณลินเป็นอะไร”
“ก็ชาวบ้านหาว่าคุณลินเป็นกระสือ ตอนนี้กำลังรวมตัวกันจะไปจับคุณลิน”
“อะไรฉันงงไปหมดแล้ว คุณลินจะเป็นกระสือได้ไง”
“ตอนนี้ในหมู่บ้านมีคนตายตั้งสองศพ แล้วไส้ก็หาย ชาวบ้านเลยคิดว่าเป็นฝีมือกระสือ”
พลเพิ่มเข้าใจทันที เพราะทั้งสองศพเขาเป็นคนสั่งให้จัดฉากเอง
“พี่...ยืนคิดอะไรอยู่ รีบไปช่วยคุณลินสิ เดี๋ยวฉันจะเล่าให้ฟังในรถอีกที”
“งั้นรีบไปเลย”
พลเพิ่ม และ ปัณรี รีบวิ่งออกไปขึ้นรถขับออกไปโดยเร็ว
ฝ่ายมธุรสนั่งไม่ติดที่ เดินไปเดินมาอยู่ในศาลากลางสวนบ้านกำนันสิน ชะเง้อมองหาตฤณฤทธิ์อย่างกระวนกระวายใจ
“ทำไมพี่ตฤณไปนานจัง
มีเสียงรถแล่นเข้ามาจอด มธุรสรีบวิ่งออกไปดู เห็นบุรัณย์กับโจ๊กถืออุปกรณ์กล้องพะรุงพะรังเดินตรงเข้ามา มธุรสมองข้ามไหล่บุรัณย์ไป
“รัน พี่ตฤณล่ะ”
“พี่ตฤณกลับมาก่อนเราตั้งนานแล้วนี่ ยังมาไม่ถึงอีกเหรอ” บุรัณย์ขมวดคิ้วครุ่นคิด หันไปถามโจ๊ก “แต่ทางผ่านตะกี้ก็ไม่เห็นนะ แกเห็นไหม”
โจ๊กส่ายหน้า “ไม่เห็นนะพี่ หรือว่าจะออกไปตามล่ากระสือ”
มธุรสแปลกใจ “กระสืออะไร”
“ก็ชาวบ้านเขาบอกมีคนโดนกระสือกินไส้ เพราะทั้งสองศพตับไตไส้พุงหายไปหมดเลย” บุรัณย์บอก
มธุรสไม่เชื่อ “นี่สมัยไหนแล้วรัน”
“ไม่เชื่อดูสิ” เขาเปิดกล้องเลื่อนภาพที่ถ่าย ยื่นให้มธุรสดู เล่นเอาเธออึ้งไป “รสมาอยู่ที่นี่ก่อนเรา เคยได้ยินเรื่องกระสือไหม”
“ก็มีบ้าง แต่คงไม่ใช่เรื่องจริงหรอก”
“ชาวบ้านลือกันว่ากระสือคือคุณนลิน แล้ววันนี้เขาจะไปพิสูจน์กันด้วย”
มธุรสมองหน้าบุรัณย์แล้วอึ้งไป ไม่อยากเชื่ออยู่ดี
เหตุการณ์ที่หน้าบ้านยายเพียรวุ่นวายได้ที่ ชาวบ้านตะโกนร้องโวยวายเรียกให้นลินออกมา
“ออกมานะนังผีกระสือ”
“แกฆ่าผัวฉันทำไม” พรตะโกนเข้าไป
ไม่นานนัก ตฤณฤทธิ์ นลิน ชลันตี นวล รีบออกมาหน้าบ้าน
ชลันตีมองไปยังกำนันสินถามอย่างไม่พอใจ “นี่มันอะไรกันคะกำนัน”
“ตอนนี้มีคนตายในหมู่บ้าน ชาวบ้านเขาเลยสงสัยนลิน”
“มีคนตายมันจะเกี่ยวอะไรกับลินล่ะ” ชลันตีโกรธ
“นั่นสิ ผมว่าเรื่องไปกันใหญ่แล้วนะครับ” ตฤณฤทธิ์ว่า
“ก็เกี่ยวสิ เพราะศพไส้หายหมดเลย ถ้าไม่ใช่กระสือกินจะเป็นใคร” โฉมศรีแหวขึ้น
ฉัตรฉายผสมโรงทันที “ใช่ๆ ไหนจะหมูไส้หาย ไก่ชาวบ้านตายแล้วก็รกลูกพี่ชุมอีก”
ชลันตีโกรธจัด “อย่ามาพูดจาโยงใส่ความกันแบบนี้ มีหลักฐานอะไรมากล่าวหาลิน”
โฉมศรีแดกดัน “คำก็หลักฐาน สองคำก็หลักฐาน ถ้าไม่ได้เป็นก็พิสูจน์มาสิ”
“ถ้าบอกลินเป็นกระสือไหนล่ะหลักฐาน คุณนายมีหรือเปล่า อย่าเอาศาลเตี้ยมาตัดสินสิ”
โฉมศรีเห็นชลันตีเอาจริงก็อึกอัก พูดไม่ออก ฉัตรฉายบอกแทนว่า
“ก็หลักฐานที่มีคนตายนี่ไง ยังไม่พออีกเหรอคะ หรือต้องรอให้มีคนตายอีก”
“ตำรวจเขายังไม่ได้พิสูจน์อะไรเลย มากล่าวหากันแบบนี้ฟ้องหมิ่นประมาทได้นะครับ” ตฤณฤทธิ์เสียงขุ่น
กำนันสินรีบออกตัว “ผมว่าด็อกเตอร์ใจเย็นๆ ก่อนนะ ผมเองก็ทำตามหน้าที่ ตอนนี้ชาวบ้านอกสั่นขวัญหายกันไปหมด ถ้าผมไม่ทำอะไรเลยผมจะปกป้องลูกบ้านของผมได้ยังไง”
ตฤณฤทธิ์เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“งั้นผมจะพิสูจน์เอง”
ทุกคนมองตฤณฤทธิ์เป็นตาเดียวกัน จู่ๆ ตฤณฤทธิ์ก็วิ่งเข้าไปในบ้านยายเพียร นวลรีบวิ่งตาม
ตฤณฤทธิ์วิ่งมาหยิบแก้วน้ำตรงโต๊ะสนามเมื่อครู่นี้
นวลประหลาดใจ “คุณจะทำอะไรคะ”
“ผมก็กำลังหาทางช่วยคุณลินไง”
นวลมองสงสัย “ช่วย...จะช่วยยังไง”
ตฤณฤทธิ์เทน้ำใส่แก้วแล้วถือแก้วใบนั้นเดินออกไป นวลสงสัยหนัก ตามออกไปงงๆ
ชาวบ้านทุกคน เว้นนลินกับชลันตี จับกลุ่มคุยกันเซ็งแซ่ สงสัยว่าตฤณฤทธิ์วิ่งเข้าไปทำอะไรในบ้าน
“แกว่าคุณด็อกเตอร์จะพิสูจน์ยังไงวะนังชมพู่” เจ๊หวีเอ่ยขึ้น
ชมพู่ทำหน้างง “จะไปรู้เหรอเจ๊”
โฉมศรีเบะปาก “เดี๋ยวได้รู้กัน พวกแกจะได้ตาสว่างเสียที”
ตฤณฤทธิ์ถือแก้วน้ำเดินกลับมา ทุกคนมองจ้องด้วยสีหน้าสงสัย ตฤณฤทธิ์ยื่นแก้วน้ำให้นลิน
“คุณดื่มน้ำนี่ให้เหลือครึ่งแก้วนะ”
นลินรับมา สีหน้างงๆ “นี่....น้ำอะไรคะ”
“น้ำเปล่าธรรมดานี่แหละ ดื่มเถอะ ทุกคนจะได้รู้กันสักที”
นลินดื่มน้ำเหลือครึ่งแก้ว
โฉมศรียิ้มเยาะ “แค่กินน้ำมันจะไปพิสูจน์อะไรได้”
ตฤณฤทธิ์หยิบแก้วขึ้นมาดื่มต่อจนน้ำหมดแก้ว ทุกคนมองตกใจปนงง
มธุรสมาถึงพร้อมบุรัณย์ ทันเห็นเหตการณ์มองอึ้งๆ ไป
“พี่ตฤณ”
“นี่ไง! ผมดื่มน้ำต่อจากคุณลินแล้ว ถ้าคุณลินเป็นกระสือจริงๆ ผมก็ต้องเป็นด้วย”
นลินมองตฤณฤทธิ์อย่างซาบซึ้งใจ
มธุรสมองตฤณฤทธิ์ด้วยแววตาเศร้า บุรัณย์มองมธุรสอย่างเห็นใจ
“เดี๋ยวก็ได้เป็นกระสือไปอีกคนหรอก” โฉมศรีฮึดฮัด
ฉัตรฉายถามแม่งงๆ “แค่กินน้ำก็ติดเชื้อกระสือแล้วเหรอแม่”
“โบราณเขาเชื่ออย่างนั้นแหละ”
ฉัตรฉายเอามือปิดปาก มองด็อกเตอร์ ทำท่ากลัวเวอร์ๆ “อย่างนี้คุณตฤณก็ต้องเป็นสิ ตายแล้วแม่ เขานอนบ้านเราด้วย จะถอดไส้ในบ้านไหมเนี่ย หรือจะเป็นกระหัง”
กำนันสินเอ่ยขึ้นว่า “เอาล่ะ แค่นี้มันยังพิสูจน์อะไรไม่ได้หรอก”
โฉมศรีมองหน้านลิน “ถ้าบริสุทธิ์ใจก็บอกมาสิว่าเมื่อคืนออกไปไหนมาหรือเปล่า”
เสียงปัณรีดังเข้ามา “อยู่กับปัณเองค่ะ ปัณเป็นพยานได้”
ทุกคนมองไปเห็นปัณรีกับพลเพิ่มเดินเข้ามาสมทบ
นลิน ชลันตี และ นวล มองสงสัยว่าปัณรีช่วยพูดให้นลินทำไม เช่นเดียวกับกำนันสินกับโฉมศรีมองสงสัย แต่ไม่กล้าโต้เถียงปัณรี เพราะเกรงใจพลเพิ่ม
ทันทีที่กลับมาถึงบ้านกำนันสิน พลเพิ่มหลบมุมมาคุยกับกำนันด้วยสีหน้าจริงจัง
“ทำไมคุณปัณถึงเข้ามาช่วยนลิน ผมไม่เข้าใจ”
“ผมเป็นคนสั่งเอง”
กำนันสินมองฉงน “แต่เรื่องมันกำลังจะลงตัวอยู่แล้ว คุณเองก็เป็นคนบอกให้ผมปั่นเรื่องกระสือ แล้วนี่...”
“ใช่ปั่นเรื่องกระสือ แต่ต้องไม่ใช่คุณลิน” พลเพิ่มบอกเสียงเข้ม
“นลินเป็นกระสือจริงๆนะคุณ เป็นมาทั้งตระกูล คนเก่าคนแก่แถวนี้ก็รู้ดี”
พลเพิ่มบอกเชิงสั่งด้วยเสียงแข็งกระด้างสีหน้าดุดัน “แต่ผมไม่เชื่อเรื่องกระสือ แล้วกำนันก็รู้ไว้ด้วยว่า อย่าให้ใครแตะต้องผู้หญิงคนนี้อีกเด็ดขาด” สีหน้าจริงจัง
กำนันสินมองพลเพิ่มอย่างไม่เข้าใจ
อีกฝ่าย นลิน ตฤณฤทธิ์ ปัณรี มธุรส บุรัณย์ ชลันตี และ นวล ทุกคนนั่งคุยกันที่โถงรับแขกชั้นล่างบ้านยายเพียร ปัณรีนั่งติดกับนลิน ถามอย่างเป็นห่วงเป็นใย
“ชาวบ้านทำอะไรคุณลินหรือเปล่าคะ”
“ไม่หรอกค่ะ”
“ดีนะคะที่ปันกับพี่พลกลับมาทัน ไม่งั้นคงวุ่นวายกันไปใหญ่”
“ขอบคุณนะคะคุณปัน”
“ยังไงปันก็ต้องช่วยอยู่แล้ว” ปัณรีจับมือนลินมากุมเชิงปลอบ “แต่ถ้าจะขอบคุณต้องขอบคุณพี่พลมากกว่าค่ะ พอรู้เรื่องก็รีบมาเลย ปันไม่เคยเห็นพี่พลเป็นห่วงใครมากขนาดนี้เลยนะคะ”
นลินเพียงยิ้มรับน้ำใจ ไม่ตอบอะไร ตฤณฤทธิ์มองนลินเศร้าใจ
บุรัณย์ถามนลินแทรกขึ้น “เรื่องเป็นมายังไงเหรอครับ ทำไมชาวบ้านถึงได้เข้าใจว่าคุณลินเป็นกระสือ”
ตฤณฤทธิ์มองปราม “อย่าเพิ่งถามอะไรตอนนี้เลย”
“สมัยนี้แล้วกระสือที่ไหนจะมีล่ะ” ปัณรีมองหน้าบุรัณย์เชิงตำหนิ
นลินนึกได้ หันมาทางปัณรี “คุณปันคะ เรื่องวันนี้ลินไม่ค่อยสบายใจเลย กลัวคุณปันจะเดือดร้อนถ้าชาวบ้านรู้เข้าว่าเมื่อคืนคุณปันไม่ได้อยู่ที่นี่จริง”
“อย่าไปสนใจเลยค่ะ เรื่องไม่จริงเดี๋ยวก็เลิกพูดกันไปเอง อีกอย่างปันรู้คุณลินไม่ได้เป็นอย่างที่ชาวบ้านพูด”
บุรัณย์หูผึ่ง ท่าทางอยากรู้ขึ้นมาอีก “อ้าว คุณปันไม่ได้อยู่ที่นี่กับคุณลินเหรอครับ”
ชลันตีตัดบทแทรกขึ้น “ลินคงเหนื่อยแย่แล้วใช่ไหมลูก ขอตัวให้ลินไปพักก่อนนะจ๊ะ”
“งั้นลินขอตัวก่อนนะ” นลินยิ้มให้ปัณรี “ลินฝากขอบคุณ คุณพลเพิ่มด้วยนะคะคุณปัน”
ปัณรีพยักหน้ารับยิ้มแย้มแสนดี
บุรัณย์มองนลินอย่างจับสังเกต ชลันตีเห็นมองบุรัณย์อย่างไม่สบายใจ
ประตูห้องนอนเปิดออก นลินเดินเข้ามาในนั้น สีหน้าเหม่อลอย ตรงไปนั่งที่ริมเตียง ชลันตีกับนวลตามหลังมาด้วยความเป็นห่วง ชลันตีเดินไปนั่งข้างๆ หลานพลางเอามือแตะไหล่ปลอบใจ
“ลิน”
นลินโผตัวกอดชลันตีอย่างคนหมดหวัง น้ำตาค่อยๆไหลออกมาด้วยความอัดอั้น ชลันตีกอดประคองนลินปลอบใจ
นวลยืนมองทั้งคู่น้ำตาคลอด้วยความสงสาร เห็นใจ
“ป้าตีคะ ลินจะทำยังไงดี คุณตฤณจะเป็นเหมือนลินไหม” นลินร้องไห้
ชลันตีมือลูบหัวปลอบ “เรื่องนั้นลินไม่ต้องคิดมากหรอกลูก”
นลินมองชลันตีอย่างมีหวัง “คุณตฤณจะไม่เป็นอะไรใช่ไหมคะ”
“เรื่องคุณตฤณลินอย่าไปคิดมากเลย” ชลันตีครุ่นคิด “ห่วงเรื่องที่มีคนพยายามจะใส่ร้ายลินดีกว่า ทำไมต้องกุเรื่องแบบนี้”
“นั่นสิคะ ถึงขนาดต้องฆ่าคนแล้วโยนความผิดให้คุณหนู มันไม่ใช่เรื่องธรรมดาแล้วล่ะ” นวลตั้งข้อสังเกต
“เขาคงเกลียดลินมากเลยใช่ไหมคะ ถึงได้ทำแบบนี้”
ชลันตีถอนหายใจสีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิด “ใครจะทำเรื่องแบบนี้ได้ ลินก็ไม่เคยเป็นศัตรูกับใครนี่”
นวลคิดตาม “คุณนายโฉมศรีถึงจะพยายามหาเรื่องคุณหนู แต่ก็ไม่น่าจะกล้าฆ่าคน มันต้องมีอะไรสักอย่าง”
ชลันตีนึกถึงสายตาบุรัณย์ “ลินต้องระวังนักข่าวคนนั้นด้วยนะลูก ป้าว่าเขากำลังพยายามหาข้อมูลอะไรบางอย่างเกี่ยวกับลินอยู่”
นลินพยักหน้ารับเอาคำ ถอนหายใจมองเหม่อออกไปนอกหน้าต่าง
ระหว่างทางกลับบ้านกำนันสิน มธุรสเดินตามหลังตฤณฤทธิ์มาติดๆ ด้วยท่าทางร้อนใจ เข้ามาดึงแขนตฤณฤทธิ์ให้หยุดเดิน บุรัณย์ตามหลังมาหยุดมองมธุรสอย่างเห็นใจ
“พี่ตฤณทำไมต้องเอาตัวเองเข้าไปเสี่ยงขนาดนั้น”
“รสเชื่อเรื่องเหลวไหลนั่นด้วยเหรอ”
“เชื่อไม่เชื่อก็ระวังไว้ก่อนดีกว่า”
ตฤณฤทธิ์หงุดหงิดประชดส่ง “ถ้าขนาดนั้น ก็ตั้งกล้องไปเลยดีไหม จะได้พิสูจน์กันชัดๆว่าจริงหรือไม่จริง”
บุรัณย์มองตฤณฤทธิ์ปิ๊งไอเดียคิดแผนออก
บ้านยายเพียรตกอยู่ท่ามกลางบรรยากาศโพล้เพล้ในแสงอาทิตย์อัสดง ดูลึกลับและน่ากลัว
ที่โถงรับแขก นลินกำลังให้การต้อนรับพลเพิ่มยู่ในนั้น สองคนคุยกัน สีหน้าพลเพิ่มเป็นห่วงนลินชัดแจ้ง
“ผมตกใจแทบแย่ตอนที่ยัยปันไปบอกว่าคุณลินกำลังเกิดเรื่อง”
“ลินต้องขอโทษด้วยนะคะ ที่ทำให้วุ่นวายกันไปหมด”
“คุณลินอย่าโทษตัวเองนะครับ คนที่ผิดก็คือไอ้คนที่ใส่ร้ายคุณลินมากกว่า”
นลินถอนหายใจ “ลินไม่เคยไปทำอะไรให้ใคร ทำไมเขาถึงได้ใส่ร้ายลินแบบนี้ก็ไม่รู้
“คุณลินอย่าไปใส่ใจเลย ต่อจากนี้ผมจะไม่ยอมให้ใครหน้าไหนมันมาใส่ร้ายคุณลินอีก ผมจะปกป้องคุณลินเอง”
พลเพิ่มยื่นมือไปจับมือนลินมากุม มองมาด้วยสีหน้าจริงจัง นลินตกใจรีบดึงมือออก
“ผมขอโทษ...ผมแค่อยากให้คุณลินรู้ว่าผมจริงใจกับคุณลินจริงๆ”
นลินเริ่มอึดอัด “ค่ะ แต่ลินไม่อยากให้คุณพลเพิ่มต้องมาเสียชื่อเพราะเรื่องของลิน”
“จะเสียชื่ออะไรกันครับ ผมเต็มใจอยู่แล้ว”
“ลินขอแก้ปัญหาด้วยตัวลินเองนะคะ เพื่อความสบายใจของลิน ลินเชื่อว่าสักวันทุกอย่างมันต้องดีขึ้น”
“ผมจะคอยดูแลคุณลินอยู่ห่างๆ เพื่อคุณลินจะได้สบายใจ แต่ถ้าเกิดต้องการอะไรให้นึกถึงผมเป็นคนแรกนะครับ”
นลินยิ้มรับเบาๆ แล้วเปลี่ยนเรื่องคุย
“คุณพลเพิ่มคะ แล้วเรื่องคดีเมื่อเช้าเป็นยังไงบ้าง ลินรู้ข่าวก็ตกใจเหมือนกัน ไม่นึกเลยว่าจะเกิดเรื่องร้ายแรงแบบนี้ขึ้นที่หมู่บ้าน”
พลเพิ่มลอบมองนลิน รับรู้ความรู้สึกที่นลินไม่มีใจให้ตน
“เรื่องนั้นคุณลินไม่ต้องห่วงนะ ผมให้กำนันไปคุยปรับความเข้าใจกับลูกบ้านแล้วจะได้ไม่เข้าใจคุณลินผิดๆ”
นลินครุ่นคิด สงสัยไม่หายนึกถึงหนี้สิน “คนอย่างพีทไม่น่าจะเข้าไปในป่า แล้วทำไมต้องโดนฆ่า หรือจะเป็นเจ้าหนี้”
พลเพิ่มมองสงสัย “อะไรนะครับคุณลิน นายพนิชนั่นถูกเจ้าหนี้ตามตัวอยู่เหรอ”
“เปล่าค่ะ ลินแค่สงสัยว่าทำไมพีทถึงถูกฆ่า มันต้องมีอะไรแน่ๆ”
พลเพิ่มนิ่งนึก เหมือนคิดแผน
ที่กรมตอนเช้าวันต่อมา เจ้าหน้าที่ทยอยเดินเข้าไปนั่งโต๊ะ เริ่มต้นการทำงานในหน้าที่ใครมัน พิมพ์พลอยยืนคุยกับแคทเรื่องพนิชที่โต๊ะทำงาน
“น่าสงสารลินเนอะว่าไหม”
“ใช่แก ฉันดูข่าวแล้วใจหายเลย คนเคยเห็นหน้ากัน ไม่น่าตายอย่างนั้นเลย”
กวิตาเดินเข้ามามองสงสัย ก่อนจะเดินไปที่โต๊ะนั่งทำงาน
“เม้าท์มอยอะไรกันแต่เช้า ดูเครียดเชียว”
“นี่แกไม่รู้เรื่องนายพีทเลยเหรอ” พิมพ์พลอยถาม
“รู้สิ อยู่ในเหตุการณ์ด้วย” กวิตาบอก คิดไปคนละเรื่อง
แคทตกใจ “แกไม่กลัวเลยเหรอต้า”
“กลัวทำไม ฉันอยากจะฆ่ามันเลยด้วยซ้ำ คนอย่างไอ้พาซวยอยู่ไปก็เปลืองอากาศเปล่าๆ”
แคทกับพิมพ์พลอยมองหน้ากันกลัวๆ
“พวกแกเป็นอะไร ทำไมมองฉันแปลกๆ”
พิมพ์พลอยสงสัย “แล้วใครฆ่านายพีทล่ะ แปลว่าแกก็รู้สิ”
กวิตาตกใจทำปากกาหลุดมือ “ไอ้...ไอ้...พีท มันเป็นอะไรนะ”
“ก็ตายเมื่อวานไง ไหนแกบอกแกรู้”
กวิตาตาโตตื่นตกใจ “จะ..จริง...จริงเหรอ พวกแกไปเอาข่าวมาจากไหน”
“ข่าวเมื่อวานนี้ แล้วที่แกบอกอยู่ในเหตุการณ์ เหตุการณ์อะไรของแก” พิมพ์พลอยซัก
“ฉันนึกว่าเรื่องที่มันทะเลาะกับลินน่ะ”
“สงสารลินเนอะแฟนตายอย่างงั้นคงทำใจไม่ได้หรอก” แคทบอก
“มันไม่ใช่แฟนลินแล้ว มันเป็นผัวนังอุ้มต่างหาก”
แคทกะพิมพ์พลอยตกใจกว่าเดิม “หา...อะไรนะ”
เสียงอชินีดังเข้ามา “พิมพ์ วันนี้ไปกินส้มตำกัน ไปเปล่าแคท”
คนถูกชวนมองหน้ากันตกใจไม่หาย
กวิตามองงงๆ “ผัวเพิ่งตาย จะชวนเพื่อนไปกินส้มตำนี่นะ จิตใจทำด้วยอะไรน่ะอุ้ม”
อชินีตกข่าว ตรงไปหากวิตาท่าทางเอาเรื่อง “เธอพูดอะไรต้า”
พิมพ์พลอยเอามือถือให้อชินีอ่านข่าว อชินีอ่านปราดเดียวแล้วช็อกทรุดตัวลงเหมือนจะเป็นลม ทุกคนรีบเข้ามาพยุง
อชินีนอนให้น้ำเกลืออยู่บนเตียงคนไข้ของโรงพยาบาลแล้ว มีพิมพ์พลอยคอยดูแล และนั่งเล่นมือถืออยู่ข้างๆ เตียง คุยไลน์กลุ่มสาวกรมศิลป์ พิมพ์พลอยส่งรูปอชินีนอนบนเตียงลงไลน์กลุ่มพร้อมข้อความว่า
“ยังไม่ได้สติเลย”
แคทตอบมาว่า “น่าสงสารจังแฟนตายตัวเองก็ป่วย”
มีคนชื่อหยกส่งสติ๊กเกอร์ตกใจมา
“น่าสงสารนะ แต่อุ้มไม่น่าแย่งแฟนลินเลย #ทีมนลิน เพราะกรรมมีจริง”
มีคนส่งสติ๊กเกอร์ถูกใจข้อความนี้มารัวๆ
สักครู่หมอกับพยาบาลเดินเข้ามาดูอาการอชินี พิมพ์พลอยหยุดเล่นมือถือแล้วเดินเข้ามาถาม
“คนไข้เป็นไงบ้างคะ”
หมอหยิบแฟ้มบันทึกอาการคนไข้มาเปิดดู “ไม่เป็นอะไรมากหรอกครับ ให้น้ำเกลือเดี๋ยวก็ดีขึ้น คนท้องก็จะมีอาการแบบนี้เป็นเรื่องธรรมดา”
พิมพ์พลอยตกใจร้องลั่น “ท้องเหรอคะ”
อชินีตกใจเสียงพิมพ์พลอย ค่อยๆ ลืมตาขึ้น พิมพ์พลอยมองอชินีอึ้งๆ เอามือปิดปาก
“ฉันเป็นอะไรนะคะหมอ ช่วงนี้ฉันเพลียง่ายจัง” อชินีถามหมอ
หมอยิ้มใจดีให้ “ตามที่ผมตรวจดูอย่างละเอียดคุณน่าจะท้องได้ประมาณ4เดือนแล้ว”
อชินีหน้าเสีย “ฉันท้อง เป็นไปได้ไง”
“ครับ ผมสั่งยาบำรุงให้ แล้วเดี๋ยวนัดมาคุยเรื่องฝากท้องกันอีกที”
อชินีจุก พูดไม่ออก
“งั้นเดี๋ยวผมขอตัวนะครับ” หมอเสียบแฟ้มคืนที่ แล้วเดินออกไปพร้อมพยาบาล
พิมพ์พลอยสงสัยนับนิ้วงงๆ “4เดือน ลินยังไม่ได้เลิกกับพีทเลยนี่ แปลว่าแก...แอบคบกันนี่”
อชีนีมองตาขุ่น “แกออกไปได้แล้ว ฉันอยากอยู่คนเดียว”
พิมพ์พลอยมองอชินีอย่างไม่พอใจสะบัดหน้าเดินออกไป
อชินีกำมือแน่นยกขึ้นมาเหมือนจะทุบที่ท้อง แล้วก็ชะงักไป
ที่บ้านดอนป่าหวาย บุรัณย์กับโจ๊กกำลังเดินสำรวจอยู่ตรงริมรั้วบ้านกำนันสินฝั่งติดกับบ้านยายเพียร หาจุดที่จะตั้งวางกล้องพิสูจน์กระสือ
“แกไปเดินดูทางโน้น เดี๋ยวพี่ดูแถวนี้เอง”
“ครับพี่”
โจ๊กเดินออกไปอีกทาง บุรัณย์หันไปง่วนกับการวางหามุมกล้อง จนมีเสียงคุ้นหูดังขึ้น
“ทำอะไรรัน”
บุรัณย์ตกใจค่อยๆ หันไปดู “รส...มาทำอะไรแถวนี้”
มธุรสเดินเข้ามาใกล้
“รสต้องถามรันมากกว่า ว่ามาทำอะไรแถวนี้”
บุรัณย์อึกอัก “เรา...”
เสียงของโจ๊กดังขึ้น “พี่รัน...มาทางนี้พี่ ชัดเลย ไม่ว่าจะลอยออกมามุมไหน ก็เก็บได้สบาย”
โจ๊กวิ่งกลับมาเจอมธุรสก็ตกใจ บุรัณย์หลับตาลง ถอนหายใจเหมือนโดนจับได้
มธุรสอ่านออกมองไปทางบ้านนลิน “อย่าบอกนะว่าจะตั้งกล้องดูคุณลิน”
บุรัณย์อึกอัก “เราแค่อยากพิสูจน์ว่ามันเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า จะได้รู้กันไปเลย”
“งั้นขอมาดูด้วยได้ไหม” มธุรสบอก
บุรัณย์กับโจ๊กมองหน้ากันอึ้งๆ
“จะดีเหรอรส”
“รสก็อยากรู้เหมือนกัน ว่ามันเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า”
บุรัณย์ลังเลแต่สุดท้ายก็ตกลง “อืม...งั้นเย็นนี้ เราค่อยทยอยมาที่นี่แล้วกัน เดี๋ยวผิดสังเกตจะโดนจับได้ แกมาตั้งกล้องรอพี่เลยนะ เดี๋ยวพี่กับรสตามมา”
โจ๊กพยักหน้ารับ
“ก็ดีนะ เย็นนี้กำนันจะทำบุญเอาพระมาสวดที่บ้าน ทุกคนคงไปรวมตัวกันหมด จะได้ไม่มีคนสงสัยเราไง”
บุรัณย์ มธุรส โจ๊ก มองหน้ากัน รับรู้ว่าเอาตามแผนนี้
ทางด้านกวิตาเดินลิ่วออกไปที่หน้ากรมหลังเลิกงานแล้ว และกำลังพยายามโทร.หานลินด้วยท่าทางร้อนใจ บ่นบ้าอยู่คนเดียว
“โอ๊ย...อะไรเนี่ย โทรยังไงก็ไม่ติด”
กวิตาโทร.หานลินอยู่อย่างนั้นแต่ไม่มีท่าทีว่าจะติด ได้แต่ทำหน้าหงุดหงิดถอนหายใจเซ็งๆ
“นี่แกอยู่นอกโลกหรือไงวะลิน เออ...พรุ่งนี้วันเสาร์นี่...”
กวิตามีสีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิด
ที่โถงชั้นล่างบ้านกำนันสินเย็นนั้น พระเณรจากวัดบ้านดอนป่าหวาย 5 รูป ถูกนิมนต์มาปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายที่เกิดขึ้นในหมู่บ้าน และเวลานี้ท่านกำลังสวดมนต์อยู่ จนใกล้จะแล้วเสร็จ จู่ๆ เบาก็ตัวสั่นลงไปนอนชักที่พื้นเหมือนผีเข้า ทุกคนมองตกใจ
“แกเป็นอะไรไอ้เบา”
เบาลุกขึ้นนั่งหลับตา “ข้าไม่ใช่ไอ้เบา ข้าคือธรรมผัวนังพร”
พรได้ยินดังนั้นก็รีบโผเข้ากอดเบาร้องไห้โฮๆ ทุกคนต่างพากันตกใจวุ่นวายกันไปหมด
“แกเป็นไงบ้าง ฉันคิดถึงแกนะ”
“ข้าแค่มาบอกว่าข้าไม่ได้ตายเพราะนลิน แต่ข้าตายเพราะผีตัวอื่น” เบาบอก
“ใครทำพี่ บอกฉันสิ ผีตัวไหนมันทำ...”
เบาล้มลงเหมือนผีออกจากร่าง แล้วลุกขึ้นมานั่งมองทุกคน มองพรที่กอดอยู่ทำหน้างงๆ
“มากอดฉันทำไมเนี่ย ฉันเป็นอะไรเหรอ”
“ก็ผีไอ้ธรรมมันเข้าแกไงล่ะ” กำนันว่า พลางบอกกับหลวงลุง “นิมนต์ทางนี้ครับ พรมน้ำมนต์ให้ไอ้เบามันหน่อยครับหลวงลุง”
ทุกคนต่างแตกตื่นตกใจคุยกันเซ็งแซ่
กำนันสินต้องส่งเสียงปราม “เงียบๆหน่อย วันนี้ข้าเชิญหลวงลุงมาก็เพื่อความสบายใจของทุกคน แล้วจะได้กระจ่างเรื่องนลินด้วย เพราะคุณตฤณเองก็ไม่ได้มีอาการอะไร รวมทั้งผีไอ้ธรรมมันก็มาบอกอีกด้วยว่ามันตายเพราะผีตัวอื่น”
“ผมเป็นพยานอีกคน พี่ตฤณไม่ได้ถอดหัวจริงๆ” บุรัณย์บอก
“ปกติกินน้ำลายยังไงก็ต้องเป็นกระสือนะพ่อ หนูเสิร์ชเน็ตมา” ฉัตรฉายเสริม
เจ๊หวีสะใจ “ว้ายตั่ยแล้ว โรคที่ติดทางน้ำลายคือไวรัสตับอักเสบบีกับโรคมือเท้าปากนะลูกไม่ใช่กระสือ”
“อาจจะถอดวันนี้ก็ได้ใครจะไปรู้ หรือไม่ผู้ชายก็ต้องกลายเป็นกระหัง” โฉมศรีโต้อย่างไม่ยอมแพ้
“ผีตาธรรมก็บอกอยู่ว่าผีตัวอื่น คุณนายยังจะแถอีก ดูสิสีข้างถลอกหมดแล้ว”
โฉมศรีโมโห “แกว่าฉันเป็นควายเหรอนังหวี”
กำนันสินขึงตาปรามเมียกับเจ๊หวี
ขณะที่ทุกคนกำลังวุ่นวายอยู่นั้น ตฤณฤทธิ์หันไปเห็นจังหวะที่บุรัณย์ โจ๊กและมธุรสมองหน้ากันแล้วพยักหน้าเหมือนส่งซิกอะไรบางอย่างพอดี ก่อนที่โจ๊กจะลุกเดินออกไป ตฤณฤทธิ์มองตามอย่างสงสัย
หลวงลุงเดินพรมน้ำมนต์ให้ชาวบ้านทุกคไปเรื่อยๆ มีเบาถือขันน้ำมนต์ให้
ระหว่างนี้มีใครบางคนไม่ใส่รองเท้าก้าวเดินไปตามทางอย่างช้าๆ ทว่ามั่นคง
ท้องฟ้าเหนือบ้านดอนป่าหวายถูกเมฆสีดำลอยตัวปกคลุมแผ่ขยายตัวอย่างรวดเร็ว จนผืนฟ้ามืดครึ้มลงอย่างน่าตกใจ ไม่เท่านั้นยังเกิดฟ้าร้องฟ้าผ่าเป็นระยะๆ โดยไม่มีเค้าลมฝนแต่อย่างใด
ชาวบ้านพากันหวาดกลัวเหตุอาเพทประเหลาดที่เกิดขึ้น เบาตกใจกระโดดกอดเจ๊หวี
กำนันสินประหลาดใจมาก “ทำไมอยู่ๆ เป็นแบบนี้นี่”
หลวงลุงมองออกไปด้านนอก “ลมแบบนี้ เหมือนกำลังจะบอกเหตุ”
เสียงฟ้าผ่าดังเปรี้ยง ทุกคนตกใจร้องกรี๊ดๆ กอดกันกลม
เท้าเปล่าคู่นั้นดุ่มเดินไปเรื่อยๆ ท่ามกลางเสียงฟ้าร้องฟ้าผ่าสะเทือนเลื่อนลั่น ชายผ้าเหลืองปลิวไสว
หลวงลุงมองออกไปหน้าบ้านกำนันสินเหมือนรับรู้ถึงอะไรบางอย่าง ทุกคนมองออกไปแล้วอึ้งๆ
ที่แท้เป็นหลวงตาคำเดินถือกลดตรงเข้ามา ลมพัดแรงขึ้นเรื่อยๆเหมือนพัดไล่ ข้าวของลมระเนราด
หลวงตาคำหยุดแล้วสวดพึมพำบางอย่าง พลันข้าวของที่ลอยอยู่ก็ร่วงลงมากองที่พื้น ทุกอย่างสงบลงอย่างน่าอัศจรรย์
หลวงลุงรีบเดินเข้าไปกราบที่เท้าหลวงตาคำอย่างเลื่อมใส บรรดาชาวดอนป่าหวายพากันมองตาค้างตกใจ ก้มลงกราบตามกัน
ฝ่ายโจ๊กกำลังปรับตั้งกล้องหันไปทางหน้าต่างบ้านยายเพียร ตากล้องช่อง8 เซ็ตกล้องเป็นโหมดถ่ายวิดีโอให้พร้อมใช้งาน ขณะที่กำลังส่องกล้องอยู่นั้น โจ๊กก็ชะงักกึก สีหน้าตกใจรับรู้ว่ามีอะไรมาจับที่หลัง
บรรยากาศก็ช่างอึมครึมเป็นใจ โจ๊กกล้าๆ กลัวๆ ค่อยๆ หันกลับไปดูพบว่าเป็นแค่กิ่งไม้แตะอยู่ที่หลัง โจ๊กถอนหายใจโล่งอก
“นึกว่าเจอดีเข้าเสียแล้ว ไอ้โจ๊กเอ๊ย”
โจ๊กตั้งกล้องต่อ จนหน้าจอขึ้นเป็นภาพบ้านยายเพียร โจ๊กกดบันทึกแล้วถอยมานั่งที่เก้าอี้ หยิบมือถือขึ้นมาดูฆ่าเวลา เห็นว่ามีสัญญาณ เลยรีบโทร.ออกหาแฟน คุยสายอย่างดีใจ
“ตัวเองทำอะไรอยู่...”
อยู่ๆ กล้องวิดีโอ ก็หันไปทางอื่นเหมือนมีคนจับหมุนไป โจ๊กคุยๆ อยู่ หางตาเหลือบไปเห็นบางอย่าง รีบลุกไปดูด้วยสีหน้าตกใจ
“เฮ้ย...อะไรวะ หันมาทางนี้ได้ไงเนี่ย” โจ๊กคุยมือถือต่อ “คุยเป็นเพื่อนเค้าก่อนนะ เค้ากลัว”
โจ๊กมองไปรอบๆ อย่างงุนงงสงสัย แล้วปรับกล้องใหม่หันไปทางเดิม
พระจันทร์เต็มดวงลอยเด่นอยู่เหนือหมู่บ้าน ยินเสียงมาหอนดังมาแต่ไกล ประสมกับเสียงลมพัดหวีดหวิว ต้นไม้ไหวเอนตามแรงลม
ตะเกียงถูกจุดให้แสงสว่าง เปลวไฟวูบไหวตามแรงลม แสงไฟก็ดับไป หลวงตาคำซึ่งเวลานี้ปักกลดนั่งสมาธิอยู่ในป่าหลังบ้านยายเพียร ค่อยๆลืมตาขึ้น
หลวงตามองไปยังหน้าต่างบ้านยายเพียร ซึ่งบ้านทั้งหลังปิดไฟมืดมิดแลดูน่ากลัว เสียงหมาหอนรับกันเป็นทอดๆ ดังประสมกับเสียงลมเป็นระลอก
หลวงตาคำนั่งสมาธิอยู่ในกลด มีเพียงแสงจากพระจันทร์ที่สาดส่องในความมืด ลมพัดกลดอย่างรุนแรงแต่หลวงตายังคงนั่งนิ่งทำสมาธิปากขมุบขมิบคล้ายสวดมนต์ สุดท้ายลมค่อยๆ อ่อนตัวลง จนหยุด กลดไม่สะบัดไหว ทุกอย่างดูสงบนิ่ง หลวงตาคำลืมตาขึ้นอีกครั้ง พูดออกมาช้าๆ
“ถึงเวลาแล้วสินะ”
ตฤณฤทธิ์ยืนอยู่ในเงามืดหน้าเรือนที่พัก แหงนมองพระจันทร์บนท้องฟ้า ด้วยสีหน้าครุ่นคิด
สักครู่หนึ่ง เห็นมธุรสเปิดประตูเดินออกมาจากห้องพัก ไม่นานบุรัณย์ก็เดินตามมาสมทบ ทั้งคู่คุยกันท่าทางมีพิรุธ ตฤณฤทธิ์แอบฟังอยู่หลังต้นไม้
“รสนอนพักเลยก็ได้นะ กลางคืนยุงมันเยอะ ถ้าเราเจออะไรเดี๋ยวจะเล่าให้ฟัง”
“รันพูดเหมือนไม่รู้จักรสเลยนะ ถ้าจะเจออะไรรสขอเจอด้วยตาตัวเองดีกว่า”
“งั้นไปดูกัน ว่าไอ้โจ๊กมันถ่ายไปถึงไหนแล้ว ไม่ใช่แอบหลับลืมถ่าย อดรู้กันพอดีว่าคุณลินเป็นอะไรกันแน่”
ตฤณฤทธิ์ครุ่นคิดสงสัย
ขณะเดียวกัน นลินกับชลันตีเดินคุยกันมาหยุดที่หน้าห้องนอนนลิน ชลันตีจับไหล่หลานให้แรงใจ
“ลินไม่ต้องเก็บเรื่องทุกอย่างมาคิดนะลูก
นวลเดินถือผ้าปูที่นอนและผ้าห่มเข้ามา เตรียมไว้เปลี่ยนตอนนลินกลับจากหากิน ยิ้มให้สองคน
“พวกกำนันคงเลิกหาเรื่องแล้ว เห็นตอนเย็นทำบุญกันใหญ่ นังชมพู่มาบอกว่าผีไอ้ธรรมมันสิงไอ้เบา มันมาบอกว่ามันตายเพราะผีตัวอื่น”
ชลันตีกับนลินหันมองหน้ากันอย่างสงสัย
“คนอย่างกำนันไม่น่าจะเชื่อแค่เรื่องผีเข้า ฉันว่ามันต้องมีอะไรแน่ๆ”
“ลินก็ว่ามันแปลกๆค่ะ พีทโดนฆ่ามันต้องเป็นฝีมือคนมากกว่า”
“ไปเตรียมตัวเถอะลิน อย่าเพิ่งคิดเรื่องนี้เลย” ชลันตีว่า
“ใช่ค่ะ คุณหนู ใกล้ถึงเวลาแล้ว” นวลบอก
นลินพยักหน้ารับสีหน้าเศร้าลง
ตรงริมรั้วบ้านกำนันสินติดกับบ้านยายเพียร โจ๊กนั่งมองกล้องอยู่ที่นั่น บุรัณย์กับมธุรสเดินเข้ามาสมทบ
“เจออะไรหรือยัง”
“เจอ...เจอแต่ยุงไงพี่” โจ๊กอำขำๆ
บุรัณย์ตบหัวดังโป๊ก “ยังจะมาเล่นอีก”
โจ๊กหาวหวอดๆ “ก็มันง่วงนี่พี่ มาก็ดีแล้วช่วยมาเฝ้าแทนผมก่อน ผมขอตัวไปอาบน้ำแล้วงีบเอาแรงหน่อย”
“เออๆ งั้นไปพักเถอะ”
โจ๊กเดินออกไปสวนกับตฤณฤทธิ์ที่เดินดิ่งเข้ามาถามเสียงขุ่น โจ๊กหลบแทบไม่ทัน
“ทำอะไรกัน”
ตฤณฤทธิ์เดินตรงมาที่กล้อง เห็นภาพในจอเป็นบ้านยายเพียร ก็ไม่พอใจเอามือปัดกล้องให้หันไปทางอื่น มธุรส กับบุรัณย์ตกใจ
“นี่มันอะไรกันรส รัน”
ตฤณฤทธิ์มองหน้าบุรัณย์กับมธุรส อย่างต้องการคำตอบ ทั้งคู่อึกอัก
มธุรสน้อยใจ และมันได้เปลี่ยนแปรเป็นความโกรธ
“ทำไมพี่ตฤณต้องใส่อารมณ์ขนาดนี้คะ แตะต้องอะไรไม่ได้เลยเหรอ”
“ก็สิ่งที่รสกำลังจะทำมันละเมิดความเป็นส่วนตัวคนอื่นเขา”
“จริงเหรอคะพี่ตฤณ พี่หมายความอย่างงั้นจริงๆ เหรอ หรือแค่อยากปกป้องคุณลินจนไม่ลืมหูลืมตากันแน่” มธุรสย้อนอย่างมีอารมณ์
ตฤณฤทธิ์โมโห “อะไรทำให้รสคิดแบบนี้ รสดูไม่เหมือนเดิมเลยนะ”
“การกระทำของพี่ตฤณมันฟ้องทุกอย่างอยู่แล้ว พี่ไม่รู้ตัวเองเลยเหรอ”
“แต่รสกำลังทำผิดอยู่นะ พวกเธอก็เหมือนกัน” ตฤณฤทธิ์มองสามคนอย่างไม่พอใจ
“ถ้ารสจะผิด ก็ผิดที่รสทำร้ายความรู้สึกตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าแบบที่เป็นอยู่ต่างหาก”
มธุรสน้ำตาคลอๆ ตัดพ้ออย่างน้อยใจ ก่อนจะวิ่งออกไป
บุรัณย์มองตามตาละห้อย จะวิ่งตาม “รส...รส...”
ตฤณฤทธิ์อึ้ง ตะโกนเรียกไว้ “รส...เดี๋ยวก่อน...”
“ถ้าบริสุทธิ์ใจจริงทำไมต้องกลัวด้วยล่ะพี่” บุรัณย์โกรธกรุ่นๆ ใช้สายตาต่อว่าตฤณ
“ได้ งั้นพี่จะเป็นคนพิสูจน์เอง”
บุรัณย์อึ้งไป วิ่งตามมธุรสไป
ถึงเวลาล่าเหยื่อ กระสือนลินถอดไส้แล้วจะลอยออกไปข้างนอก เธอหยุดตรงช่องหน้าต่าง ผินหน้ามามองร่างไร้หัวและไส้ของตัวเองที่นอนนิ่งอยู่บนเตียงน้ำตาซึม อนาถกับชะตากรรม ก่อนจะลอยออกไปช้าๆ
ฝั่งบุรัณย์วิ่งตามมธุรสมาจนทัน มธุรสปาดน้ำตาทิ้งอย่างแรงเร็วหายใจเข้าตั้งสติ บุรัณย์ยืนมองมธุรสจากด้านหลังด้วยความสงสารจับใจ
“รส...วิ่งออกมาแบบนี้มันอันตรายนะ”
“รสคงอ่อนแอเกินไปใช่ไหมรัน ถึงต้องเป็นแบบนี้”
“บางครั้งคนเราก็ไม่ได้แข็งแกร่งไปชะทุกเรื่องหรอกนะรส อ่อนแอบ้างก็ได้”
“ทำไมเราต้องเจ็บปวดกับเรื่องเดิมๆ คนเดิมๆ แบบนี้ด้วยนะ”
บุรัณย์มองมธุรสด้วยความสงสาร
“ก็รสปิดตัวเองไว้กับประตูแค่บานเดียว จนลืมนึกไปว่าในโลกนี้มันมีประตูตั้งหลายบาน”
มธุรสเงยหน้าขึ้นมองตรงไปข้างหน้า
“รสมองแต่สิ่งที่อยู่ตรงหน้า ทำไมไม่หันกลับมามองสิ่งที่อยู่ด้านหลังบ้าง”
มธุรสอึ้ง เข้าใจสิ่งที่อีกฝ่ายพูด ค่อยๆ หันหน้ากลับมามองบุรัณย์
“รส...”
ยังไม่ทันที่บุรัณย์จะพูดอะไร มธุรสก็ขัดขึ้น
“รัน เรารู้นะว่า...”
มธุรสกำลังจะพูดบอก แต่สายตาเหลือบไปเห็นแสงไฟสีแดงลอยอยู่ทางบ้านยายเพียร จึงชี้ไป
“รัน ดูโน่นสิแสงอะไร”
บุรัณย์เหลียวไปมองตาม ตาโตอย่างตื่นเต้น
“หรือว่าจะเป็น....รีบไปดูที่กล้องกันเถอะ เผื่อเก็บภาพไว้ได้”
มธุรสและบุรัณย์วิ่งตาตื่นออกไปด้วยกัน
ฟากตฤณฤทธิ์นั่งครุ่นคิด หันหน้าไปมองทางฝั่งบ้านยายเพียร และเห็นแสงไฟลอยออกมาจากหน้าต่างห้องไกลๆ ตฤณฤทธิ์เพ่งมอง แล้วรีบขยับไปมองที่จอกล้อง
พบว่าจอกล้องกำลังบันทึกภาพดังกล่าวไว้ เวลาวิ่งไปเรื่อยๆ ตฤณฤทธิ์กดซูมดูภาพ เข้าไปเรื่อยๆ
กระสือสาวลอยมาเห็นเพียงด้านข้างมีผมปิดใบหน้าอยู่ ตฤณฤทธิ์ซูมดูภาพอีก
คราวนี้เห็นกระสือนลินเต็มหน้าจอกล้อง ตฤณฤทธิ์ผงะตกใจแทบไม่เชื่อสายตา
เหตุการณ์ที่เขาเคยเห็นกระสือผุดขึ้นมาในห้วงคิดเป็นฉากๆ
นับตั้งแต่ครั้งแรกที่เขาเห็นแสงไฟสีแดงลอยอยู่เหนือทุ่งนา ตามด้วยภาพนลินมีมีรอยแผลที่คอต้องใช้ผ้าพันคอปิดเอาไว้ จนถึงวันที่เขาเจอกระสือนลินกินรกเด็กใต้บันไดเรือน หันหน้ามามองในสภาพเลือดสีแดงเต็มหน้า ก่อนจะลอยผ่านช่องรั้วหนามไผ่หนีไปอย่างรวดเร็ว
ตฤณฤทธิ์ปะติดปะต่อเรื่องราวแล้วถึงกับช็อก!
ส่วนที่ป่าข้างบ้านยายเพียร หลวงตาคำยังนั่งหลับตาทำสมาธิอยู่ สักครู่หนึ่งเหมือนมีลมตีเข้าหน้าหลวงตาอย่างแรง จนหลวงตาคำค่อยๆ ลืมตาขึ้น
กระสือนลินมองจ้องมาอย่างไม่พอใจ แยกเขี้ยวใส่หลวงตาคำแล้วพุ่งเข้าใส่อย่างรวดเร็ว
อ่านต่อตอนที่18