สาปกระสือ ตอนที่15 กวิตาเจอกระสือนลินเปิบไส้หมูคาตา
บทประพันธ์และบทโทรทัศน์โดย อาณาจินต์
ตฤณฤทธิ์นัดประชุมทีมสำรวจทุกฝ่ายก่อนออกเดินทางไปยังปราสาทอนันตาปุระ ทั้งมธุรส วิศวัต พรานหนุ่ม ซึ่งมาพร้อมกับสามลูกหาบ ก่ำ ปาด เทือก ทุกคนพร้อมอยู่ที่ศาลาในลานบ้านกำนันสิน
“เอาล่ะครับ ทุกคนแยกย้ายกันไปจัดเตรียมทุกอย่างให้พร้อม พรุ่งนี้เราจะออกเดินทางกันแต่เช้า”
พรานหนุ่มกับลูกหาบ เดินแยกย้ายออกไป
ตฤณฤทธิ์บอกกับสองคนว่า “ก็อปปี้ไฟล์ภาพอยู่ในห้องใช่ไหม งั้นเราไปเอาพร้อมกันเลย”
ทั้งสามจะเดินออกไป ศันสนีย์เดินเข้ามาเรียกมธุรสไว้
“หนูรสจ๊ะ ป้าขอคุยอะไรด้วยหน่อย”
ทั้ง 3 หยุดหันมาทางศันสนีย์
มธุรสบอกกับตฤณฤทธิ์ว่า “เดี๋ยวรสตามไปนะคะพี่ตฤณ”
ตฤณฤทธิ์และวิศวัตเดินออกไป
“มีอะไรหรือคะคุณป้า”
“หนูรสช่วยพูดให้ตาตฤณเลิกทำงานนี้ทีสิลูก”
“แต่งานนี้สำคัญมากนะคะ โครงการนี้พี่ตฤณเป็นคนริเริ่ม ถ้าขาดพี่ตฤณไปสักคนก็คงหาคนสานต่อยาก”
ศันสนีย์พูดแทงใจดำ “แล้วหนูไม่อยากแต่งงานกับพี่ตฤณเหรอลูก”
มธุรสตกใจ “เอ่อ...คุณป้า...”
“ถ้าอยากแต่งก็บอกให้ตาตฤณออกจากงาน แล้วกลับกรุงเทพฯ ป้ากับแม่ของหนูหาฤกษ์เอาไว้แล้ว พร้อมเมื่อไหร่เราจะใช้ฤกษ์แต่งที่เร็วที่สุด”
มธุรสเริ่มสับสน ก่อนจะหันมามองศันสนีย์ด้วยสีหน้าจริงจัง
“คุณป้าคะ ใช่ว่ารสไม่อยากแต่งงานกับพี่ตฤณนะคะ แต่ถ้าโครงการนี้ต้องมาพังเพราะรส ถึงแต่งงานไปรสก็คงไม่มีความสุข”
ศันสนีย์ฟังแล้วขัดใจ “แล้วหนูจะปล่อยไปอย่างนี้เหรอ”
มธุรสเดินเข้ามาอ้อนศันสนีย์อย่างเอาใจ
“คุณป้าอย่าใจร้อนสิคะ ขนาดรสเองยังไม่รีบเลย เอาไว้งานนี้จบเมื่อไหร่เราค่อยมาคุยกันอีกทีนะคะ”
“หนูนี่นา...เป็นอย่างนี้ทุกทีเลย”
ศันสนีย์อมยิ้มมองมธุรสค้อนๆ แต่ก็ชื่นชมอยู่ในที
อีกฟาก พลเพิ่มยืนสั่งการให้ลูกน้องยกลังไม้ลงจากรถ เอาไปเก็บในห้องเก็บของในบ้าน
“นั่นแหละๆ ค่อยๆ ยก เอาไปเก็บไว้ในห้องเก็บของเลย แล้วอย่าลืมทำเครื่องหมาย แยกไว้ต่างหากด้วยนะ”
ปัณรีเดินออกมาจากในบ้าน มองพลเพิ่มคุมลูกน้องขนของด้วยสีหน้าสงสัย ก่อนจะเดินเข้ามาถามพี่ชาย
“ขนอะไรมาเยอะแยะน่ะพี่พล ไม่เห็นหลายวันแอบไปซื้อของมานี่เอง...”
ไม่ทันที่ปัณรีจะพูดจบคำดี ดำลูกน้องคนสนิทซึ่งยกลังเดินผ่านปัณรี ก็ดันทำลังหล่นจากมือข้าวของในลังหล่นกระจาย
ปัณรีตกใจหยุดกึก พลเพิ่มหันมองด้วยความตกใจ ด่าเกี้ยวกราด
“เฮ้ย! ยกดีๆ หน่อยสิวะ รู้ไหมว่าของในนั้นราคาตั้งเท่าไหร่”
ดำลนลานเก็บของใส่ลังตามเดิม
“ขอโทษครับนาย”
กำไลข้อมือทองคำที่พลเพิ่มได้มาจากปราสาทวันก่อน กลิ้งตรงมาหยุดที่เท้าปัณรี เธอก้มมองอย่างสนใจ ค่อยๆ หยิบมันขึ้นมาอย่างหลงใหล แล้วสวมเข้าไปที่ข้อมือ ปัณรีนิ่งมองกำไลที่ข้อมือเธออย่างถูกใจเป็นที่สุด
“สวยจัง”
พลเพิ่มเดินเข้ามาหาปัณรี ยื่นมือไปขอกำไลคืน
“ถอดคืนพี่มาปัณ”
“ปัณขอนะพี่พล ดูสิมันเข้ากับแขนปัณมากเลย”
ปัณรียื่นแขนออกไปอวดพลเพิ่ม
“ไม่ได้ นี่มันเป็นของเก่า ต้องส่งไปตรวจสอบก่อน”
ปัณรีหดมือไปซ่อนไว้ข้างหลังอย่างเอาแต่ใจ
“ไม่เอา... ปัณอยากได้ ให้ปัณนะพี่พล ปัณไม่ได้เอาไปขาย ไม่ต้องส่งไปตรวจสอบหรอก”
พลเพิ่มขึ้นเสียง สีหน้าจริงจัง “บอกว่าไม่ได้ก็ไม่ได้สิ ถอดออกมาเดี๋ยวนี้ ถ้าเราอยากได้กำไลแบบนี้พี่จะสั่งทำให้ใหม่”
“ก็ปัณจะเอาอันนี้”
พลเพิ่มดุปัณรีเสียงดัง
“ปัณ”
ปัณรีตกใจที่พี่ชายเกรี้ยวกราดขนาดนั้น ถอดกำไลออกจากแขนส่งคืนให้พลเพิ่ม ตัดพ้อด้วยความน้อยใจ
“ถ้าเป็นคุณลินขอ พี่พลจะคงรีบให้เลยสินะ
พลเพิ่มรับกำไลกลับมา
“พูดอะไรไร้สาระ”
“ถ้าไร้สาระ งั้นพี่พลคงไม่สนใจ ว่าตอนที่พี่พลไม่อยู่ คุณลินเกิดเรื่อง”
พลเพิ่มหันมองปัณรีด้วยสีหน้าตกใจ และเป็นห่วงนลิน
ที่บ้านกำนันสิน ขณะที่ฉัตรฉายกำลังนั่งทาเล็บอยู่ที่โต๊ะรับแขกในโถงบ้าน เห็นบางเพิ่งกลับจากตลาด เดินถือตะกร้าผักพะรุงพะรังมาวางลง
“ซื้ออะไรมาเยอะแยะเลย”
“ก็เอาไว้ทำเลี้ยงพวกคุณหญิงกับทีมสำรวจตั้งหลายคนครับ” บางบอก
ฉัตรฉายเบ้ปาก “มากินฟรีอยู่ฟรีตั้งนาน ไม่เห็นจับกระสือได้สักทีเลย”
พนิชกับอชินีเดินเข้ามาหา ฉัตรฉายเห็นก็ร้องทักขึ้น
“อ้าว คุณ จะมาจ่ายค่าห้องเหรอคะ”
“เปล่าครับ ผมจะมาขอคืนห้อง” พนิชบอก
ฉัตรฉายแปลกใจ “ทำไมจะกลับแล้วล่ะคะ”
“ยังไม่กลับครับ ผมแค่จะเช็คเอาท์ห้องผมแล้วไปพักกับเพื่อนแทน”
ฉัตรฉายหันมามองอชินีแล้วนึกได้
“โห...ฉลาด พักกับเจ้าหน้าที่ จะได้ไม่ต้องจ่ายค่าห้อง”
พนิชยิ้มเก้อๆ ยื่นกุญแจห้องส่งให้ ฉัตรฉายรับคืนมา
“เมื่อกี้เหมือนได้ยินว่าจะจับกระสือ ที่นี่มีกระสือจริงเหรอคะ”
“จริงค่ะ มันเพิ่งกินรกเด็กในหมู่บ้านเราไปไม่กี่วันนี่เอง”
อชินีแกล้งแอ๊บตกใจ “รกเด็ก”
ฉัตรฉายงง “แฟนคุณไม่ได้เล่าให้ฟังเหรอ”
“ยังค่ะ ก่อนหน้านี้ที่กรุงเทพฯ ก็มีข่าวกระสือกินไส้แมว ไม่น่าเชื่อว่าที่นี่จะมีข่าวทำนองนี้เหมือนกัน”
ฉัตรฉายคุยเว่อร์ๆ “ที่นี่ไม่ใช่แค่รกเด็กนะคุณ หมู หมา กา ไก่ ในหมู่บ้านมันก็กินมาหมดแล้ว”
อชินีแกล้งทำเป็นตื่นเต้นตาโต “โห... น่ากลัวนะคะ แล้วนี่มันกินตัวอะไร ไปเมื่อไหร่บ้างคะเนี่ย”
ฉัตรฉายนึก บางชิงตอบว่า
“ก็มีวันที่เราต้มผ้าล่ากระสือกันไงครับ”
ฉัตรฉายนึกตาม “อ๋อ...ใช่ วันที่กระสือเอาชุดนังพัดไปเช็ดปาก”
อชินีตื่นเต้น “วันนั้น วันที่เท่าไหร่เดือนอะไร พอจะจำได้ไหมคะ”
“วันที่ 22 เดือนที่แล้วนี่เอง ฉันจำได้ วันนั้นเป็นวันที่แม่ฉันได้ออกทีวี”
“น้องมีปฏิทินหรือเปล่าคะ”
ทุกคนมองแปลกใจว่าอชินีขอปฏิทินไปทำไม
อชินีหันมองหน้าพนิชด้วยสายตาเจ้าเล่ห์เพทุบาย
ทันทีที่สองคนเข้ามาในห้องพัก อชินีขึ้นนั่งบนเตียงนอนฉีกปฏิทินเดือนพฤษภาคม มิถุนายน กรกฎาคม ในปี 2561 ออกมาวางเรียงกันบนเตียง พนิชมองการกระทำของอชินีอย่างสงสัย
“นี่คุณทำอะไร”
“ฉันก็กำลังจะดูวันที่นังกระสือมันถอดหัวน่ะสิ”
“ดูยังไงเหรอ”
อชินีชี้ปฏิทิน “คุณดูนะ วันนี้คือวันที่ฉันเห็นรอยที่คอของนังลิน ส่วนวันนี้ก็คือวันที่แมวแถวบ้านมันถูกกระสือกินไส้”
อชินีใช้ปากกาแดงวงกลมที่วันที่ 31 พฤษภาคม และกากบาทวันที่ 30 พฤษภาคม
“จำได้ไหม วันที่รกเด็กหายวันที่เท่าไหร่”
พนิชหยิบปากกามาจากมืออชินี กากบาทวันที่ 28 กรกฎาคม และวงกลมวันที่ 29
“คืนวันที่ 28 กรกฎา เด็กคลอดแล้วรกก็หายไป ส่วนวันที่ 29 ผมก็เห็น...”
พนิชนึกถึงวันที่เขาบุกไปปล้ำนลินแล้วเห็นรอยที่คอนลิน แล้วอึ้งไป
“รอยที่คอของนลิน”
อชินีคว้าปากกาคืนมาจากพนิชแล้ววาดวงกลมตรงวันที่ 22 มิถุนายน และกากบาทวันที่ 21 มิถุนายน
“ส่วนวันที่ 22 มิถุนา พวกชาวบ้านต้มผ้าเปื้อนเลือดที่กระสือมันเช็ดปาก แสดงว่า วันที่ 21 ต้องเป็นวันที่กระสือมันออกล่า”
สองคนไล่ดูปฏิทิน เดือนพฤษภา/มิถุนา/กรกฎา ทีละเดือนๆ และใช้ความคิดกันอยู่ชั่วครู่ ก่อนที่ทั้งคู่จะเงยหน้าขึ้นมามองหน้ากัน อุทานออกมาพร้อมๆ กัน
“วันโกน”
หญิงชั่วและชายโฉดยิ้มให้กันอย่างมีแผน รู้แล้วว่ากระสือออกหากินวันไหน
“นังลิน แกเสร็จฉันแน่”
รอบบ้านบ้านยายเพียรยามค่ำคืนบรรยากาศเงียบสงัด นลินนั่งอยู่ตรงระเบียงชั้นบน คิดถึงเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้น
ตอนตฤณฤทธิ์เข้ามาช่วยเธอจากการถูกอชินีตบตี และมองมาด้วยสายตาเป็นห่วง คิดเรื่องนี้แล้วนลินยิ้มชื่นออกมาโดยไม่รู้ตัว
แต่พอนึกถึงตอนถูกศันสนีย์มองอย่างดูถูก ถึงขนาดโยนกระเป๋าใส่ สีหน้านลินก็เศร้าลง
“ลิน...มานั่งเหม่ออะไรอยู่ตรงนี้คนเดียวจ๊ะ”
นลินตื่นจากภวังค์หันมองไปตามเสียง
กวิตาเดินเข้ามาหานลินแล้วนั่งลงใกล้ๆ
“ว่าไงจ๊ะ แอบมานั่งคิดถึงใครอยู่หรือเปล่า”
นลินตอบไม่เต็มเสียงนัก “เปล่าซะหน่อย”
“ทำหน้าแบบนี้ คิดเรื่องแม่ด็อกเตอร์ตฤณอยู่ใช่ไหม”
นลินนิ่งไป กวิตามองขาดประเมินเหตุการณ์ทุกอย่างออก
“แกจะไปคิดมากทำไม แม่ก็ส่วนแม่ ลูกก็ส่วนลูก คนเป็นแม่น่ะ ถ้าลูกรักใคร สุดท้ายแล้วเขาก็ต้องยอมรับ”
นลินอดนึกเปรียบเทียบกับปัณรีไม่ได้ “แต่ฉันไม่สวย ไม่รวย ไม่ไฮโซเหมือนคนอื่น”
“โอ๊ย จะบ้า แกน่ะทั้งสวยทั้งรวย ถึงจะไม่ไฮโซแต่ก็เศรษฐินีนะยะ ไม่เอาอย่าไปคิดให้ปวดหัว ฉันว่าด็อกเตอร์เขาชอบแก แล้วก็ชอบทุกอย่างที่เป็นตัวแก เรื่องแม่เขา เขาจัดการได้แน่ เชื่อฉัน”
นลินใจชื้นขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด พอกวิตาเห็นเพื่อนสีหน้าดีขึ้นก็ยิ้มดีใจ
“อารมณ์ดีขึ้นแล้วสิ ทีนี้มาว่าเรื่องของฉันบ้าง”
นลินยิ้ม “อื่ม...ว่าไง”
“สมุดโน้ตของแก ตอนที่เราเข้าไปปราสาทเมื่อคราวที่แล้วน่ะ”
นลินนึกขึ้นได้ “อ๋อ... ต้าจะเอาเหรอ”
“จะขอยืมไปอ่านหน่อย พอดีอยากได้รายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องเล่าของปราสาทเพิ่มเติมน่ะ แกจดไว้ใช่ไหม”
“จดไว้ รอแป๊บนะเดี๋ยวไปเอามาให้”
นลินลุกเดินเข้าบ้านไป กวิตามองตามเพื่อนไปอย่างอารมณ์ดี
นลินเดินเข้ามาค้นหาสมุดที่โต๊ะทำงานในห้องนอนจนกระทั่งเจอ
“อยู่นี่เอง”
เธอหยิบขึ้นมาดู หมุนตัวกลับเดินออกไปจากห้อง พลันสมุดก็หล่นจากมือ
“อุ๊ย” นลินตกใจ
สมุดบันทึกหล่นลงพื้น หน้าสมุดเปิดอ้าออก นลินก้มลงไปเก็บ มองหน้าที่เปิดอยู่อย่างสงสัย
ตรงมุมหนึ่งของกระดาษเป็นภาพวาดชายหญิงคู่หนึ่งกำลังนั่งหลับซบไหล่กัน อยู่ภายในปราสาทด้วยสีหน้ามีความสุข
นลินนิ่งนึกถึงเหตุการณ์วันที่เธอติดอยู่ในปราสาทอนันตาปุระกับตฤณฤทธิ์
หัวของนลินเอนซบลงที่ไหล่ตฤณฤทธิ์ เขาหันมองยิ้มและหลับตาลงอย่างมีความสุข
นึกถึงเรื่องนี้นลินยิ้มออกมาอย่างตื้นตันใจ จนมีเสียงแซวของกวิตาดังเข้ามาในห้วงคิด
“ฉันว่าด็อกเตอร์เขาชอบแก แล้วก็ชอบทุกอย่างที่เป็นตัวแก” เสียงกวิตาดังก้องไปมาซ้ำ “ชอบทุกอย่างที่เป็นตัวแก”
“ชอบทุกอย่างที่เป็นเรา”
นลินทวนคำพูดนั้นแล้วอึ้งนิ่งงันไป สีหน้าเศร้าลง ค่อยๆ ยกมือขึ้นจับที่คอนึกเรื่องที่ตนเป็นกระสือด้วยสายตาอันเจ็บปวด
“เขาจะชอบทุกอย่างที่เป็นเราได้ยังไง เขาจะรับได้ยังไง”
นลินทรุดลงนั่งกับพื้นด้วยความเสียใจ
คำพูดซึ้งๆ ของตฤณฤทธิ์ในวันที่แวะมาหาที่บ้านเช่า และช่วยเธอไว้จากการถูกพนิชข่มเหง เขามองตาซึ้งๆ พร้อมกับบอกว่า “ผมมีความสุขทุกครั้งที่ได้ทำงานร่วมกับคุณนะ”
ยิ่งคิด นลินยิ่งเสียใจ ก้มหน้าร้องไห้อย่างเจ็บปวด หัวใจสลายกับความรักที่เป็นไปไม่ได้
ที่บ้านพลเพิ่มคืนเดียวกัน พลเพิ่มนอนหลับอยู่บนเตียง หันหลังให้ประตูห้อง
สักครู่ประตูห้องนอนดังกล่าวค่อยๆ เปิดออกช้าๆ แสงไฟจากด้านนอกสาดเข้ามาส่งให้ห้องแลดูลึกลับ
ตรงประตูที่เปิดแง้มออกนั้น แลเห็นปัณรีค่อยๆ เร้นกายย่องเข้ามาภายในห้อง เธอมองพลเพิ่มอย่างระแวงว่าเขาจะตื่นหรือเปล่า จนเมื่อแน่ใจว่าพี่ชายหลับสนิท เธอจึงรีบย่องไปที่ตู้เซฟข้างเตียง
ปัณรีนิ่งคิดความเป็นไปได้ของเลขรหัส ลองกดหมายเลข 8 หลักเปิดตู้ มีเสียงสัญญาณดังขึ้น 3 ครั้ง ปัณรีตกใจรีบหันมองพลเพิ่มว่าตื่นหรือเปล่า ทว่าพลเพิ่มยังนิ่งอยู่ ปัณรีถอนหายใจโล่งอก
“ไม่ใช่วันเกิดพี่พล หรือว่า....วันเกิดแม่”
ปัณรีกดรหัส 8 หลักอีกครั้ง เสียงสัญญาณดังขึ้นอีก 3 ครั้ง ปัณรีคิดหนัก
พลเพิ่มพลิกตัวหันมาทางปัณรีพร้อมกับป้ายมือมาโดนตู้เซฟ
ปัณรีตกใจกระเด้งตัวหนีแทบร้องกรี๊ดออกมา รีบเอามือปิดปากตัวเองแล้วเพ่งมองพลเพิ่ม พบว่าพี่ชายยังคงหลับสนิทอยู่ ปัณรีค่อยๆ ย่องเข้ามาใกล้ๆ เรียกพลเพิ่มเบาๆ
“พี่พล พี่พล...”
พลเพิ่มหลับสนิทไม่มีท่าทีจะตื่น ปัณรีถอนหายใจอย่างโล่งอก ก่อนจะค่อยๆ หยิบมือพลเพิ่มไปวางไว้บนที่นอนตามเดิมแล้วหันไปสนใจตู้เชฟต่อ
“เฮ้อ...หัวใจแทบวาย วันเกิดแม่ก็ไม่ใช่ งั้นลอง…”
ปัณรีกดรหัส 8 หลักใหม่อีกครั้ง คราวนี้เสียงสัญญาณดังขึ้น 2 ครั้ง ประตูเชฟเปิดออก เธอมองอึ้งๆ
ปัณรีรีบหยิบกุญแจในตู้เชฟออกมาแล้วปิดมันลง ก่อนจะลุกเดินออกจากห้องไป
พลเพิ่มยังหลับสนิทอยู่บนเตียง
ภายในห้องเก็บของ มีลังจำนวนมากกองรวมกันไว้ในแต่ละมุมของห้อง ปัณรีเปิดประตูห้องเก็บของเข้ามา มองกุญแจยิ้มกริ่ม
“ที่แท้ก็ใช้วันเกิดเราเป็นรหัสตู้เซฟ”
ปัณรีเปิดไฟในห้อง แล้วพยายามมองหาลังไม้ที่ไส่กำไลวงนั้น แต่เมื่อมองเห็นลังจำนวนมากแล้วก็ท้อใจ
“ลังเยอะขนาดนี้ จะหายังไงเจอ เอาวะ ลองดู”
ปัณรีลงมือเปิดหาไปที่ละลังๆ จากลังที่ 1 ไปลังที่ 2
ปัณรีเดินไปที่ลังอีกใบหนึ่งไม่ห่างกันนัก มีแสงเปล่งประกายออกมา ปัณรีรับรู้ได้ เธอหันไปมองและเดินตรงเข้าไปหาลังใบนั้น
แสงด้านในยังคงเปล่งแสงเรืองรองอยู่ตลอดเวลา ปัณรีเปิดลังนั้นออกดู เห็นกำไลเปล่งประกายอยู่ในนั้น ปัณรียิ้มกว้างหยิบมันขึ้นมามองอย่างหลงใหล
มีเสียงประตูเปิดดังขึ้น ปัณรีหันไปมองอย่างตกใจ เห็นพลเพิ่มเดินตรงเข้ามาหาปัณรี บอกเสียงขุ่นด้วยสีหน้าขึ้งโกรธไม่พอใจ
“วางมันลงที่เดิมเดี๋ยวนี้”
ปัณรีเอากำไลแอบไว้ข้างหลัง
“ไม่”
“พี่บอกให้วางมันลง”
“ไม่ ยังไงปัณก็ไม่วาง” ปัณรีน้ำตาร่วงร้องไห้ออกมาด้วยความน้อยใจ “พี่พลใจร้าย ทีคนอื่นอยากได้อะไรพี่พลก็ให้ แต่กับน้อง แค่กำไลอันเดียวกลับไม่ยอม ก่อนพ่อกับแม่จะตาย พวกท่านเคยสั่งเสียไว้ยังไง พี่พลลืมแล้วเหรอ”
พลเพิ่มเสียงอ่อนลง “ไม่ใช่พี่จะไม่ให้ แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้”
“ตั้งแต่เล็กจนโต ปัณไม่เคยขอของพวกนี้จากพี่พลเลย กับแค่กำไลชิ้นนี้ชิ้นเดียวทำไมพี่พลถึงไม่ยอมให้ปัณ พี่พลไม่รักปัณ ปัณเกลียดพี่พล”
ปัณรีวางกำไลกลับลงไปในลังแล้ววิ่งร้องไห้ออกไปอย่างน้อยใจ
พลเพิ่มมองตามปัณรีอย่างรู้สึกผิด
เช้านี้ ที่บริเวณลานหน้าเรือนพักแขกบ้านกำนัน มธุรส วิศวัต พรานหนุ่ม ก่ำ ปาด เทือก อยู่ในชุดเตรียมพร้อมเข้าป่า มีเพียงตฤณฤทธิ์เท่านั้นที่อยู่ในชุดปกติ
“มาพร้อมกันทุกคนแล้วนะครับ”
“ผมสั่งลูกน้องเอาไว้แล้ว อีก 2 วันเขาจะมาพาด็อกเตอร์ตามไปที่ปราสาท”
“ขอบคุณครับพราน และต้องขอโทษด้วยที่ทำให้ต้องยุ่งยาก”
“ไม่เป็นไรครับ ผมเข้าใจ” พรานบอก
ศันสนีย์และดิษย์ เดินเข้ามาสมทบ
วิศวัตหันมาถามตฤณฤทธิ์ “แล้วพวกคุณต้าล่ะครับอาจารย์”
“รอบนี้ ทีมของกรมไม่ได้เข้าป่าไปกับพวกเรา เพราะต้องอยู่ประชาสัมพันธ์กับคนในหมู่บ้าน”
“ถ้าอย่างนั้นทั้งทีมก็มีแต่หนูรสที่เป็นผู้หญิงน่ะสิ”
“ไม่มีปัญหาหรอกค่ะคุณแม่ หนูดูแลตัวเองได้”
“ได้ยังไงล่ะหนูรส เราเป็นผู้หญิงนะ แล้วอีกอย่างตาตฤณก็ไม่ได้เข้าไปด้วย”
“เห็นไหม ขนาดคุณพ่อยังไม่เห็นด้วยเลย” ศันสนีย์ว่า
“ถ้างั้น รสก็ยังไม่ต้องเข้าไป อีก 2 วันค่อยตามไปพร้อมกับผม”
“อ้าว อาจารย์ทำไมทิ้งกันดื้อๆ แบบนี้ล่ะครับ”
“แกเข้าไปกับทีมตั้งหลายครั้งแล้วจะกลัวอะไร”
“โถ่... อาจารย์...ก็รู้ๆ กันอยู่” เขานึกถึงเรื่องราวอาถรรพ์ต่างๆ ของปราสาทที่เจอมา
“ถ้าแกนำทีมเข้าไป แล้วงานผ่านไปได้ด้วยดี ฉันจะถือว่าแกทำธีสิสผ่าน เสร็จงานนี้แกก็จบได้เลย”
สีหน้าวิศวัตเปลี่ยนไป ดวงตาเป็นประกายเจิดจ้า
นลินกำลังนั่งซึมอยู่ที่ระเบียงบ้าน กวิตาเดินเข้ามามอง
“ป้านวลบอกว่าช่วงนี้แกไม่ค่อยกินอะไรเลย ผอมไปเดี๋ยวสวยสู้ฉันไม่ได้นะ
นลินหันมาฝืนยิ้มให้
“เราไปเดินเล่นที่ตลาดกันดีไหม เผื่อจะกระตุ้นต่อมอยากอาหารขึ้นมาบ้าง”
นลินยิ้มจางๆ ให้กวิตาเป็นการตอบรับ
ที่หน้าประตูรั้วบ้านยายเพียร อชินีกำลังยื้อยุดฉุดกระชากพนิชไว้ ไม่ให้เดินไปที่บ้านยายเพียร
“ไม่นะพีท คุณอย่ากลับไปหามันนะ”
“ปล่อยอุ้ม ผมรักลินผมจะไปหาลิน”
ทั้งคู่ยื้อยุดฉุดกระชากกันจนกระทั่งรถของนลินขับออกมา พนิชพุ่งเข้าไปขวางหน้ารถ รถหยุดกึก นลินและกวิตาลงจากรถมองพนิชด้วยสีหน้าตกใจและโมโห
“พีท ทำไมทำอย่างนี้”
กวิตาโวยวาย “แกอยากตายหรือไงไอ้พีท”
พนิชรีบวิ่งเข้ามาหานลิน
“ลิน ลินต้องเข้าใจผมนะ เรื่องทุกอย่างผมไม่ได้ตั้งใจให้มันเกิดขึ้น”
อชินีพุ่งเข้ามาดึงพนิช แยกออกจากนลินอย่างหึงหวงร้องกรี๊ด
“อ๊าย แกพูดบ้าอะไรน่ะ แกจะบอกว่าเรื่องของฉัน แกก็ไม่ตั้งใจอย่างนั้นเหรอ”
“ใช่ ผมไม่ได้รักคุณเลย ผมรักลินคนเดียว”
อชินีโกรธจัดร้องกรี๊ดๆๆ ทุบตีพนิชพัลวัน
“แอร๊ย ไอ้บ้า ไอ้คนโกหก ไอ้คนหลอกลวง”
พนิชยกมือขึ้นป้องพัลวัน ก่อนจะออกแรงผลักอชินีออกไปเต็มแรง จนอชินีล้มลง
นลินทนไม่ได้จะเข้าไปช่วย กวิตารีบเข้ามาดึงนลินไว้
“อย่าไปยุ่ง ไม่ใช่เรื่องของเรา”
“แต่ว่า...”
กวิตาจับตัวนลินไว้แน่น ไม่ยอมปล่อยให้นลินไปยุ่ง
“อุ้ม เราเลิกกันเถอะ ผมไม่เคยรักคุณเลย ผมรักลิน”
อชินีกรี๊ดๆๆ “อ๊ายๆๆ ไม่นะ แกจะมาทิ้งฉันแบบนี้ไม่ได้นะ อ๊ายยยย”
อชินีตีพนิชจนเป็นลมไป นลินสลัดมือออกจากกวิตาวิ่งเข้าไปดูอชินี กวิตาวิ่งตามมา
“ทำไงดี อุ้มเขาเป็นลมไปแล้วต้า”
กวิตาก็ทำอะไรไม่ถูกเหมือนกัน พนิชมองอชินีอย่างตกใจไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะเป็นลม แต่ก็ต้องแสดงต่อเพราะคิดว่าเป็นแผนของอชินี
“ลิน พีทขอโทษ เรามาเริ่มต้นกันใหม่นะ”
“พอแล้วพีท เลิกเพ้อซะที เรื่องของฉันกับคุณมันจบไปนานแล้ว”
“ลิน ทำไมคุณถึงใจร้ายกับผมนัก”
พนิชตีสีหน้าน้อยใจรับไม่ได้ แล้ววิ่งหนีไป
นลินและกวิตามองตามงงๆ แล้วรีบหันมาช่วยอชินีที่เป็นลมอยู่ พาเข้าบ้านไป
อชินียังคงนอนสลบอยู่บนโซฟา โดยมีนลินคอยอังยาดมให้ และมองดูอาการด้วยสีหน้ากังวล
“อย่ากังวลไปเลย ที่เขาเป็นแบบนี้ไม่ใช่เพราะแก” กวิตาปลอบ
“แต่ยังไงฉันก็มีส่วน”
อชินีเริ่มฟื้นตื่นขึ้นมา ด้วยสีหน้างงๆ
นลินโล่งใจ “เป็นไงบ้างอุ้ม รู้สึกดีขึ้นแล้วใช่ไหม”
“นี่ฉันเป็นอะไร”
“เมื่อกี้เธอเป็นลมหมดสติไป”
อชินีมีสีหน้าแปลกใจ ก่อนที่จะปรับสีหน้าเปลี่ยนเป็นโศกเศร้าเสียใจ
“ทำไมฉันถึงได้โชคร้ายขนาดนี้นะ พอจะมีความรักกับเขาก็เจอคนไม่ดี เจอผู้ชายหลอกลวง”
“แย่งผู้ชายแบบไหนไป ก็ได้ผู้ชายแบบนั้นแหละ” กวิตาเหน็บ
นลินถามอชินีอย่างเป็นห่วง “ในเมื่อเธอรู้แล้วว่าเขาเป็นคนไม่ดี เธอจะทำยังไงต่อไป”
อชินีส่ายหน้า “ไม่รู้เหมือนกัน ตอนนี้ฉันคิดอะไรไม่ออก รู้แค่ว่าฉันไม่อยากจะเห็นหน้าเขา ลิน...ฉันของพักกับเธอที่นี่ได้ไหม ฉันไม่อยากกลับไปเห็นหน้าไอ้ผู้ชายหลายใจคนนั้นอีกแล้ว”
นลินอึกอัก
“บ้านลินไม่ใช่ศาลาพักใจที่ใครๆ ก็จะมานอนได้นะ” กวิตาตอบแทน
อชินีมองหน้านลิน ตีหน้าเศร้า “ก็เราเป็นเพื่อนกันไม่ใช่เหรอลิน”
“เพื่อนปลายแถวอย่างเธอเนี่ยนะ” กวิตาเหน็บอีกดอก
นลินใจอ่อนจนได้ “แต่ถ้าอุ้มลำบากใจที่จะพักบ้านกำนัน ก็...”
กวิตาแทรกขึ้นกับอชินี “ถ้าพักที่บ้านกำนันไม่ได้จริงๆ ไปพักบ้านพี่ชมพู่ก็ได้”
“แต่ฉันไม่รู้จักพวกเขานี่”
“พวกเราช่วยได้เท่านี้แหละ”
อชินีจ๋อยสนิทที่แผนผิดพลาด กวิตาลอบยิ้มสะใจ
เสียงกรีดร้องของอชินีดังลั่นชานบ้านชมพู่
“อร๊ายย”
อชินีตกใจสุดจะประมาณกับสิ่งที่เห็น กวิตายิ้มสะใจ ส่วนนลินตกใจ ชมพู่ก็มองอชินีตาขุ่นนึกเคืองๆ
“จะให้ฉันนอนอย่างกับค่ายพักแรม แบบนี้เหรอ”
อชินีมองจ้อง ที่นอน หมอนและมุ้งที่วางกองอยู่ตรงมุมหนึ่งของชานบ้าน กวิตาพูดจิกกัดอย่างสะใจ
“เธอไม่ชอบเหรออุ้ม โอเพ่นแอร์เชียวนะ นอนกินลม ห่มฟ้ามองดูดาว สัมผัสธรรมชาติ บรรยากาศสุดๆ”
นลินปลอบอชินี “ทนเอาหน่อยนะอุ้ม ใจจริงฉันก็อยากให้พักที่บ้านฉัน แต่ถ้าป้าตีไม่อนุญาตฉันก็ทำอะไรไม่ได้”
อชินีหันไปถามชมพู่ “ที่นี่ไม่มีห้องนอนเลยเหรอ”
“ห้องน่ะมีค่ะ แต่เป็นห้องนอนของฉันกับผัว จะให้คุณไปนอนด้วยอีกคนก็คงจะไม่ดีมั้งคะ ที่จริงบ้านฉันไม่เหมาะจะรับแขกหรอก แต่นี่เห็นว่าคุณตีกับคุณลินขอหรอกนะถึงยอม”
อชินีมองไปรอบๆ อย่างเหยียดๆ ก่อนจะพยายามทำใจ
“โอเค...นอนก็นอน แล้วห้องน้ำล่ะ”
ชมพู่ยื่นไฟฉายส่งให้ อชินีรับไปอย่างงงๆ
“ห้องน้ำน่ะอยู่ข้างนอกนู้น” ชมพู่ชี้มือลงไปข้างๆ บ้าน “จะไปอาบน้ำ ถ่ายหนักถ่ายเบาก็ไปใช้ได้เลย”
“อะไรนะ ยุคนี้ยังมีห้องน้ำอยู่นอกบ้านอีกเหรอ แล้วถ้าเกิดฉันอยากเข้าห้องน้ำตอนกลางคืนจะทำยังไง”
“ก็เอาไฟฉายในมือเธอส่องทางไปสิจ๊ะถามได้” กวิตาหัวเราะเยาะเบาๆ
“ทีคุณด็อกเตอร์ยังนอนได้ตั้งหลายคืน ไม่เห็นจะบ่นสักคำ” ชมพู่ว่า
อชินีหน้าเหี่ยว รู้สึกรันทดกับชีวิตตัวเอง ชมพู่เหล่มองอชินีอย่างไม่พอใจ กวิตามองสะใจ
ส่วนนลินมองอชินีด้วยความสงสาร
สองสาวเดินมาถึงหน้าบ้านยายเพียร กวิตาหัวเราะอารมณ์ดีมาตลอดทาง ในขณะที่นลินกลับมีสีหน้าเป็นกังวล
“วุ้ย สะใจจริงๆ สมน้ำหน้า”
“ต้าน่ะ ไปหัวเราะเยาะอุ้มเขาทำไม เขาน่าสงสารออก”
“ไม่เห็นน่าสงสารเลย คนแบบนั้น แย่งได้แม้แต่แฟนเพื่อน สุดท้ายได้ของไม่ดีไปก็ถือว่ากรรมตามสนองแล้ว”
“จะยังไงเขาก็ถือว่ามาช่วยให้เราหลุดพ้นจากคนไม่ดีนะต้า”
“ใช่สิ เสียแฟนเก่าเลวๆ ไป เพื่อที่จะเจอคนใหม่ที่ดีกว่า”
กวิตาพูดพร้อมกับพยักพเยิดให้นลินมองใครบางคนที่กำลังเดินตรงเข้ามาหาพวกเธอ นลินมองตามเห็นตฤณฤทธิ์เดินยิ้มหล่อเข้ามา
นลินหยุดเดิน อึ้งไปนิดๆ กวิตาหยุดตาม ตฤณฤทธิ์เดินเข้ามาหาถามทั้งคู่ แต่สายตามองมายังนลิน
“ไปไหนกันมาเหรอครับ”
นลินนิ่งไม่พูด กวิตาจึงชิงพูดขึ้นมาก่อน
“ไปส่งยัยเพื่อนตัวแสบที่บ้านพี่ชมพู่มาค่ะ”
ตฤณฤทธิ์มีสีหน้าสงสัย กวิตาจึงถือโอกาสชิ่ง
“สงสัยอะไรก็ถามลินเอาเองนะคะ ต้าขอตัวก่อน”
กวิตามองนลินอย่างล้อเลียนก่อนที่จะรีบวิ่งเข้าบ้านไป นลินจะเรียกกวิตาไว้แต่ไม่ทันแล้ว
“เพื่อนตัวแสบ ใครกันครับคุณลิน” ตฤณฤทธิ์ถาม
“อ๋อ...อุ้มน่ะค่ะ พอดีเขามีเรื่องทะเลาะกันกับพีท แล้วอยากหาที่พักใหม่ ป้าตีเลยให้ไปพักบ้านพี่ชมพู่”
ตฤณฤทธิ์พยักหน้ารับรู้ นลินนิ่งเงียบไป ทั้งคู่เหมือนอยากจะพูดอะไรแต่ไม่กล้าพูด ได้แต่มองหน้ากันไปมา
“เอ่อ...”
ทั้งคู่เอ่ยขึ้นพร้อมกัน ตฤณฤทธิ์หยุดให้นลินพูดก่อน
“ฉันขอตัวเข้าบ้านก่อนนะคะ”
นลินจะเข้าบ้านแต่ตฤณฤทธิ์รีบเรียกเอาไว้
“เดี๋ยวสิครับ ผมอยากจะขอโทษคุณเรื่องคุณแม่”
นลินหันมามองตฤณฤทธิ์ด้วยสีหน้าหนักใจ
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ฉันก็ผิดที่ไปทำให้ท่านโกรธ”
ตฤณฤทธิ์เดินเข้ามาหานลินและจับมือเธอขึ้นมากุม พูดปลอบใจ
“ผมเชื่อว่าอีกหน่อย ถ้าคุณแม่ได้รู้จักคุณมากขึ้นกว่านี้ ท่านจะชอบคุณ” เขาพูดเสียงเบาลง “...เหมือนผม”
นลินนิ่งอึ้งไป ก่อนจะค่อยๆ ดึงมือออก บอกเขาในสภาพน้ำตาคลอ
“เรื่องของเรามันคงเป็นไปไม่ได้หรอกค่ะ”
“คุณยังโกรธเรื่องแม่ผมอยู่สินะ คุณไม่ต้องห่วงนะผมจะพูดให้ท่านเข้าใจ”
“มันไม่เกี่ยวกับแม่ของคุณเลยค่ะคุณตฤณ มันเป็นเรื่องของเราสองคนต่างหาก ฉันกับคุณคงไปด้วยกันไม่ได้”
นลินพูดด้วยสีหน้าจริงจังแล้วเดินเข้าบ้านไปเลย ทิ้งตฤณฤทธิ์ให้ยืนนิ่งเป็นเสาหินอยู่อย่างนั้น
รอบบ้านกำนันสินตอนกลางวันวันนี้ บรรยากาศแสนเงียบเหงา ตฤณฤทธิ์นั่งซึมเศร้าอยู่ที่ระเบียงหน้าห้องพัก นึกถึงคำพูดของนลิน
“มันไม่เกี่ยวกับแม่ของคุณเลยค่ะคุณตฤณ มันเป็นเรื่องของเราสองคนต่างหาก ฉันกับคุณคงไปด้วยกันไม่ได้”
มธุรสเดินเข้ามาหาตฤณฤทธิ์
“มานั่งทำอะไรอยู่นี่คนเดียวคะพี่ตฤณ”
ตฤณฤทธิ์หันมามอง มธุรสชะงักเมื่อเห็นสีหน้าอีกฝ่าย
“พี่ตฤณดูเครียดๆ นะคะ”
“พี่เป็นห่วงว่าป่านนี้ไม่รู้เจ้าวัตทำงานไปถึงไหนแล้ว”
มธุรสฟังแล้วใจชื้นขึ้นมาหน่อย
“ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะพี่ตฤณ วัตเขาเป็นคนเก่งรู้ว่าต้องทำอะไร ส่วนเรื่องคุณป้ารสจะค่อยๆ เกลี้ยกล่อมให้อีกที”
“ขอบคุณมากนะรส”
ตฤณฤทธิ์เงียบไปดื้อๆ
“พี่ตฤณคะ รสอยากจะขอดูภาพปราสาทที่พี่ตฤณถ่ายมาน่ะค่ะ”
“ได้สิ อยู่ในกล้องบนโต๊ะทำงาน เดี๋ยวพี่ไปหยิบให้”
“ไม่เป็นไรค่ะพี่ตฤณ เดี๋ยวรสไปหยิบเอง”
มธุรสเดินเข้าห้องไป
ตฤณฤทธิ์มองตาม ก่อนที่จะหันกลับมาเหลียวมองไปทางบ้านนลินสีหน้าซึมเศร้าอย่างเก่า
มธุรสเปิดประตูเดินเข้าห้องมา เห็นกล้องวางอยู่บนโต๊ะทำงานมุมห้อง
“อยู่นี่เอง”
มธุรสเข้ามาหยิบกล้องขึ้นมา เปิดเช็คดูภาพปราสาทในกล้อง จนเห็นภาพของเธอและกลุ่มนักสำรวจ มธุรสยิ้มดีใจ
“พี่ตฤณถ่ายรูปพวกเราไว้ด้วย”
มธุรสกดเลื่อนดูอีก เห็นภาพตัวเองและทีมงานอีก 2-3 ภาพ เธอยิ้มอย่างมีความสุข
ภาพต่อมาเป็นภาพของนลินในระยะไกล มธุรสกดภาพดูไปเรื่อยๆ เป็นภาพนลินในอิริยาบถต่างๆ และภาพโคลสอัพใบหน้านลินใกล้ๆ มากมาย
สีหน้ามธุรสเปลี่ยนไปทีละนิด จากที่รู้สึกแปลกๆ จนกลายเป็นเริ่มสงสัย กระทั่งมือที่กดเลื่อนภาพหน้าจอหยุดลงที่ภาพนลินกำลังหลับอยู่ในซุ้มประสาท
ดวงตาของมธุรสเริ่มมีน้ำตาเอ่อคลอเบ้าตา และร่วงหล่นลงรดสองแก้ม
จนกระทั่งตฤณฤทธิ์เปิดประตูห้องเข้ามา
“เป็นไง เจอไหม”
มธุรสเงยหน้าทั้งน้ำตาขึ้น มองมายังตฤณฤทธิ์ ทำเอาเขาถึงกับอึ้งไป
มธุรสวางกล้องลงบนโต๊ะ แล้วเดินออกจากห้องไปโดยไม่พูดไม่จาสักคำ
ตฤณฤทธิ์ยังรู้สึกงงๆ ในเบื้องแรก ก่อนจะเดินมาที่โต๊ะ หยิบกล้องขึ้นดูแล้วจึงเข้าใจ เขาเงยหน้าขึ้นมองทางประตูที่มธุรสเพิ่งเดินออกไปอย่างรู้สึกเห็นใจ
ตอนค่ำวันนั้นตฤณฤทธิ์ มธุรส ศันสนีย์และดิษย์ นั่งกินข้าวเย็นที่โต๊ะอาหารบ้านกำนัน บรรยากาศดูอึมครึมตึงเครียดพิกล คุณหญิงศันสนีย์ทำลายความเงียบขึ้น
“พวกทีมสำรวจเขาก็เข้าป่าไปหมดแล้ว ตฤณก็เก็บของกลับบ้านกับแม่ได้แล้วนะลูก”
“ไม่ได้หรอกครับแม่ นี่ผมรอให้แม่กับพ่อกลับกันก่อน ผมก็จะตามทุกคนเข้าไป”
“ตามไปทำไม คำสั่งย้ายลูกออกมาแล้วลูกก็หมดหน้าที่กับทางนี้” คุณหญิงตัดบท “เชื่อแม่ กลับบ้านแล้วไปหาฤกษ์แต่งงานกับหนูรสซะ”
ตฤณฤทธิ์นิ่งมองศันสนีย์หน้าเครียด มธุรสหันมองตฤณฤทธิ์ก่อนจะพูดแทรกขึ้น
“รสยังไม่ค่อยพร้อมเท่าไหร่ค่ะคุณป้า”
ศันสนีย์งง “อ้าว...เมื่อกลางวันหนูรสยังบอกป้าว่าอยากแต่งไงลูก”
“รสมาคิดอีกที รสอยากจะไปเรียนต่ออีกสักหน่อยค่ะ”
ดิษย์เห็นด้วย “ก็ดีนะ อายุยังน้อยอยากจะเรียนก็รีบเรียน แล้วจะเรียนที่ไหนล่ะ”
“อเมริกาค่ะ”
ศันสนีย์ขัดขึ้น “พอแล้วๆ จะเรียนอะไรกันนักกันหนา ไปไกลถึงอเมริกากว่าจะจบก็อีกตั้งหลายปี แต่งแล้วค่อยไปเรียนก็ได้”
“คุณก็ขวางไปซะทุกเรื่อง พวกเขาอยากทำอะไรก็ปล่อยให้เขาทำไปสิ”
ศันสนีย์มองดิษย์อย่างไม่พอใจ
“นี่คุณ”
มธุรสแทรกขึ้น “ขอโทษนะคะคุณป้า ตอนนี้รสคิดว่ารสยังไม่พร้อม ขอเวลาให้รสอีกหน่อยนะคะ
พร้อมกับว่ามธุรสมองหน้าศันสนีย์และดิษย์ด้วยท่าทีจริงจัง
ตอนสายวันต่อมา วิศวัต พรานหนุ่ม เดินตรงมาที่บ้านกำนันด้วยสีหน้าท่าทางร้อนรน วิศวัตตะโกนเรียกขึ้นไปบนเรือน
“อาจารย์ครับ อาจารย์”
ตฤณฤทธิ์ มธุรส ศันสนีย์ ดิษย์ เดินออกจากห้องพักมาหยุดตรงระเบียง มองลงมาเห็นวิศวัตกับพรานหนุ่ม ตฤณฤทธิ์ร้องถามไปอย่างแปลกใจ
“เกิดอะไรขึ้นนายวัต เพิ่งจะเข้าป่าไปทำไมรีบออกมา”
วิศวัตร้องบอกไป “เกิดเรื่องใหญ่แล้วครับอาจารย์”
ตฤณฤทธิ์รีบลงเรือนมาหา โดยมีมธุรส ศันสนีย์ ดิษย์ ตามลงมาด้วย
ขณะที่กำนันสินก็กำลังเดินลงเรือนใหญ่มา หยุดมองเหมือนรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ก่อนจะเดินตามลงมา
“เรื่องอะไร” ตฤณฤทธิ์ถามอย่างร้อนใจ
“ของที่ปราสาทหายไปครับ”
ตฤณฤทธิ์ยังคงงงกับสิ่งที่วิศวัตพูด
วิศวัตควักกล้องออกมาเปิดรูปให้ดู พรานหนุ่มช่วยอธิบาย
“ที่ปราสาทมีร่องรอยเหมือนกับถูกขุดเพิ่มครับ”
ตฤณฤทธิ์รับกล้องจากวิศวัตมาดูด้วยสีหน้าตกใจ
“ไม่ใช่เหมือนครับอาจารย์ มันถูกขุดเพิ่มแน่ๆ โดยเฉพาะจุดที่เราขุดเจอของแล้วทิ้งค้างเอาไว้ ตอนนี้ของพวกนั้นมันหายไปหมดแล้วครับ” วิศวัตบอก
“แสดงว่าต้องมีโจร หรือพวกนักล่าสมบัติขุดเอาของออกไป” ท่านนายพลว่า
ศันสนีย์ตื่นตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น มธุรสจับมือศันสนีย์ปลอบใจ
กำนันสินสบช่อง รีบเข้ามาพูดอย่างเป็นเดือดเป็นแค้น
“จริงครับท่าน อย่างนี้เราต้องช่วยกันหาทางป้องกัน”
“ผมจะเข้าเมืองไปแจ้งความ” ตฤณฤทธิ์บอกเสียงเข้ม
กำนันสินหันมามองตฤณฤทธิ์ด้วยสีหน้าตกใจ
ไม่นานต่อมา ตฤณฤทธิ์ มธุรส และวิศวัต พากันมาอยู่บนโถงโรงพัก และกำลังแจ้งความกับจ่าไพฑูรย์ ตำรวจเวร
“ตอนนี้ที่ปราสาทเกิดความเสียหาย วัตถุโบราณสูญหายไปหลายชิ้น ทำไมทางตำรวจถึงไม่มีการเข้าไปตรวจสอบครับ”
“ใจเย็นๆ นะครับคุณ พอดีทางเราเพิ่งได้รับแจ้งความวันนี้”
ตฤณฤทธิ์ มธุรส และ วิศวัต มองหน้ากันด้วยสีหน้าตกใจ
“แต่เราเคยแจ้งกับคุณพลเพิ่มไปแล้ว และท่านก็บอกว่าจะมาแจ้งความให้” วิศวัตบอก
“แต่ผมไม่ได้รับแจ้งจากท่านนะครับ ในบันทึกก็ไม่มี” จ่ายืนยัน
ระหว่างนี้พลเพิ่มและกำนันสินเดินเข้ามาพอดี
“พอดีผมไม่ค่อยว่างน่ะครับ ก็เลยไม่ได้มา”
จ่าไพฑูรย์รีบลุกขึ้นยืนทำความเคารพพลเพิ่ม
“สวัสดีครับท่าน”
“ครับ สวัสดีครับ” นักการเมืองคนดังของท้องถิ่นรับไหว้แล้วหันมาหาตฤณฤทธิ์ “ผมต้องขอโทษจริงๆ นะครับที่ไม่ว่างมาแจ้งความให้ตั้งแต่คราวที่แล้ว จนเกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้”
“ไม่เป็นไรครับ ผมเข้าใจ”
“งั้นผมขอแจ้งความวันนี้เลยแล้วกันนะครับ แล้วก็รบกวนให้ลงพื้นที่ตรวจสอบให้เร็วที่สุดด้วย”
พลเพิ่มบอกกับจ่าไพฑูรย์ว่าด้วยสีหน้าเคร่งขรึมจริงจัง
ที่ลานหน้าบ้านกำนันสินบ่ายวันเดียวกันนั้น บุรัณย์ยืนรอทุกคนอยู่อย่างกระวนกระวายใจ
จนรถของตฤณฤทธิ์วิ่งเข้ามาจอด สามคนลงรถมา เดินตรงเข้ามาหาบุรัณย์
“มาถึงแล้วเหรอนายรัน” ตฤณฤทธิ์ทักหน้าเครียด
“เพิ่งมาถึงสักพักนี่เองครับ ผมเพิ่งรู้จากคุณพ่อว่าที่ปราสาทเกิดเรื่อง”
“ใช่ มีของหายไป แถมกำแพงที่เราเคยดูกันเอาไว้ก็เสียหายมากขึ้นด้วย” มธุรสเสริม
“พี่ไปแจ้งความเอาไว้แล้ว ตำรวจจะส่งคนลงพื้นที่เร็วๆ นี้”
“อย่างนี้ต้องตีให้เป็นข่าวใหญ่ครับ พวกตำรวจจะได้เร่งมือจับตัวโจรมาให้ได้
ศันสนีย์และดิษย์เดินเข้าสมทบ ถามตฤณฤทธิ์ด้วยความเป็นห่วง
“เป็นไงบ้างลูก” คุณหญิงถาม
“ตำรวจได้ลงบันทึกประจำวันไว้แล้วครับ พรุ่งนี้ผมต้องเข้าไปที่ปราสาทเพื่อดูความเสียหาย”
ศันสนีย์ขัดใจ “จะเข้าไปทำไมกัน ประเดี๋ยวก็ไปเจอพวกโจรล่าสมบัติ ปล่อยให้ตำรวจเขาจัดการกันไปสิลูก”
“ไม่ได้หรอกครับ ตอนนี้วัตถุโบราณหายไป ตัวปราสาทก็เสียหาย มันเป็นความรับผิดชอบของผม”
ศันสนีย์จะแย้งขึ้นอีก แต่เห็นบุรัณย์เดินเข้ามาก่อน จึงเงียบไป
“ขอโทษนะครับคุณพ่อ คุณแม่” นักข่าวหัวเห็ดของช่อง8 ไหว้สองท่าน แล้วหันมาหาตฤณฤทธิ์ “พี่ตฤณขอคุยเรื่องทำสกู๊ปข่าวหน่อยสิพี่”
สองหนุ่มหันมาทางศันสนีย์และดิษย์ ดิษย์โบกมือเชิงอนุญาต ให้ทั้งคู่ออกไป
“ไป...ไปทำงานเถอะ ทางนี้พ่อดูแลเอง”
ตฤณฤทธิ์และบุรัณย์พากันเดินออกไปคุยกันที่มุมหนึ่ง ศันสนีย์ออกอาการฮึดฮัดขัดใจอยู่อย่างนั้น จนนายพลดิษย์เดินเข้ามาโอบไหล่เป็นเชิงปลอบ
“คุณเห็นไหมว่าตอนนี้มันเกิดเรื่องใหญ่แล้ว สมบัติของชาติสูญหาย มันเป็นความรับผิดชอบของลูกเราโดยตรง”
“แต่ฉันอดห่วงไม่ได้นี่”
“ลูกเราโตแล้ว ปล่อยเขาทำงานไปเถอะ เรากลับบ้านกันดีกว่า อยู่ที่นี่เราก็ช่วยอะไรลูกไม่ได้ มีแต่จะเป็นตัวถ่วงซะเปล่าๆ”
ศันสนีย์ไม่ยอม “ถ่วงอะไรกันคะ ฉันพยายามจะช่วยลูกอยู่นะ”
“วิธีที่เราจะช่วยลูกได้ดีที่สุด คือปล่อยให้เขาทำงานอย่างอิสระ ลูกเราเป็นคนมีความรับผิดชอบ คุณรู้ไหมว่าผมภูมิใจมากนะที่คุณเลี้ยงลูกให้เป็นคนดี มีความรับผิดชอบได้ขนาดนี้”
ศันสนีย์ตัวพองรู้สึกภูมิใจและเริ่มคล้อยตามดิษย์
“แหม...ลูกคนเดียวของฉัน ฉันก็ต้องเลี้ยงเขาให้ดีที่สุดสิคะ”
“ถูกแล้วคุณหญิง ตอนนี้ลูกมีหน้าที่ต้องทำ ส่วนผมก็ต้องกลับไปทำงาน ลางานมาหลายวันแล้ว ถ้าหากนานกว่านี้งานผมก็อาจจะมีปัญหาได้เหมือนกัน”
ศันสนีย์นิ่งคิดอย่างยอมจำนนเหตุผล
ขณะเดียวกันที่มุมลับตาบริเวณชายทุ่งท้ายหมู่บ้าน อชินีและพนิชต่างเดินลับๆ ล่อๆ ออกมาเจอกันตามที่นัดไว้ พนิชถามอย่างตื่นเต้น
“ได้เข้าไปค้างในบ้านของลินแล้วเป็นไงบ้าง”
“ค้าง เคิ้ง อะไรกันล่ะ นังป้ามันเฉดหัวฉันไปนอนบ้านนังชมพู่ โอ๊ย อนาถาสุดๆ”
“อ้าว ทำไมอย่างงั้นล่ะ ไม่น่าเป็นไปได้ นลินเป็นคนใจอ่อน เจอขนาดนี้น่าจะให้คุณนอนค้างที่บ้าน”
“เสียแรงจริงๆ อุตส่าห์ยอมลงทุนเจ็บตัวแต่ไม่ได้อะไรเลย” อชินีบ่นบ้าตามประสา
“เอาน่า ทนเอาหน่อย เมื่อไหร่ที่เราได้หลักฐานว่านลินเป็นกระสือจริงๆ ล่ะก็ เราจะได้สบายกันซะที”
“ถ้ามันเป็นไปตามที่เราคำนวณ คืนนี้นังลินมันจะต้องออกมาล่าเหยื่อแน่”
ชายโฉดหญิงชั่วมองสบตากันอย่างมีความหวัง
นลินอยู่ที่โถงบ้าน วางหนังสือในมือลงบนโต๊ะ ย้อนถามเพื่อนด้วยสีหน้าตกใจ
“อะไรนะ มีโจรเข้าไปในปราสาทเหรอ”
“ใช่ลิน ตอนนี้วุ่นวายกันใหญ่เลย”
นลินออกอาการกระวนกระวายชัดแจ้ง “แล้วคุณตฤณล่ะ เป็นยังไงบ้าง”
“จะเหลือเหรอ ด็อกเตอร์เป็นคนดูแลโครงการนี้ ต้องรับผิดชอบเต็มๆ อยู่แล้ว”
นลินได้ฟังก็ยิ่งร้อนใจ “มีใครแจ้งตำรวจหรือยัง ถ้าเรื่องนี้ถึงหูผู้ใหญ่ คุณตฤณจะโดนไล่ออกหรือเปล่า”
กวิตานิ่งมองนลินที่เป็นเดือดเป็นร้อนเป็นห่วงตฤณฤทธิ์แล้วถอนใจเฮือก เข้าใจเพื่อน
“ถ้าเป็นห่วงขนาดนี้ทำไมไม่เข้าไปที่ปราสาทด้วยกันล่ะลิน”
นลินอึ้งไปเมื่อนึกได้ “ไม่ได้หรอก ฉันออกจากงานแล้ว ฉันไม่ได้มีหน้าที่ข้องกับปราสาทอีกแล้ว”
“แต่ก็ยังห่วงว่าคุณตฤณจะเดือดร้อนใช่ไหมล่ะ”
นลินนิ่งเงียบไป กวิตามองเพื่อนแล้วก็ได้แต่อ่อนใจ ไม่รู้จะช่วยยังไง
“เอาอย่างนี้แล้วกัน เย็นนี้มีเรียกประชุมทีม ฉันจะแอบสืบมาให้ว่าคุณตฤณเจอปัญหาอะไรกับเรื่องนี้บ้าง”
“ขอบใจนะต้า”
นลินยิ้มออกมาได้แต่สายตาก็ยังมองไปทางบ้านกำนันอย่างรู้สึกเป็นห่วงด๊อกเตอร์ไม่คลาย
ส่วนที่บ้านกำนันสิน ตฤณฤทธิ์ มธุรส ศันสนีย์ ดิษย์ บุรัณย์และกำนันสิน เดินตามกันเป็นขบวนออกมายังรถตู้ที่จอดรออยู่
ศันสนีย์หยุดกึก ทุกคนหยุดตาม คุณหญิงหันมามองตฤณฤทธิ์ตาละห้อย ทั้งรักทั้งเป็นห่วง
“คุณพ่อคุณแม่เดินทางกลับดีๆ นะครับ”
“จัดการงานของเราให้เรียบร้อยแล้วค่อยกลับนะ” นายพลดิษย์บอกลูกชาย
ศันสนีย์เสริมว่า “ตฤณรับปากกับแม่นะว่าถ้าจบงานนี้ ตฤณจะลาออก”
ตฤณฤทธิ์อึกอัก มีท่าทีลำบากใจ แต่ก่อนที่ใครจะพูดอะไรอีก ก็มีเสียงรถแล่นเข้ามาจอด ทุกคนหันไปมอง
เห็นพลเพิ่มและปัณรีลงจากรถมา ทั้งคู่ตรงเข้าไปหาดิษย์และศันสนีย์พร้อมกับยกมือไหว้ทักสองท่าน
“สวัสดีครับ จะไปไหนกันครับท่าน”
ดิษย์รับไหว้พลางบอก “จะกลับกรุงเทพฯ มารบกวนบ้านกำนันหลายวันแล้ว”
“รบกง รบกวนอะไรกันครับท่าน” กำนันสินยิ้มเรี่ยราด
ปัณรีถือกล่องผ้าพันคอแบรนด์เนม มาส่งให้ศันสนีย์
“ของขวัญวันพบกันของเราค่ะคุณหญิงแม่”
ศันสนีย์รับไว้อย่างแปลกใจ ก่อนจะเปิดกล่องออกมาดู
“หวังว่าคุณหญิงแม่จะชอบนะคะ”
ศันสนีย์ถูกใจยิ้มเป็นปลื้ม “ขอบใจมากนะจ๊ะ มาขอแม่กอดที”
ปัณรีเข้าไปสวมกอดศันสนีย์อย่างชิดเชื้อและเอาใจ พร้อมกับส่งสายตามองไปยังมธุรส
แต่มธุรสมองตอบด้วยสายตาว่างเปล่า ไม่รู้สึกอะไร
ดิษย์บอกฝากลูกชายกับพลเพิ่ม “รบกวนฝากนายตฤณด้วยนะครับคุณพลเพิ่ม ปัญหาคราวนี้ท่าจะต้องแก้กันยาว”
“ได้ครับท่าน”
ปัณรียิ้มเอาใจดิษย์ “ไม่ต้องเป็นห่วงนะคะคุณพ่อ พี่พลรู้จักคนเยอะต้องช่วยพี่ตฤณได้แน่นอนค่ะ”
“ขอบใจหนูมากนะ ไปเถอะคุณประเดี๋ยวจะถึงกรุงเทพฯมืด”
ดิษย์และศันสนีย์เดินขึ้นรถตู้ไป ทุกคนยืนส่ง ปัณรีโบกไม้โบกมือให้ศันสนีย์อย่างสนิทสนม
หลังรถตู้แล่นออกถนน พ้นบ้านกำนันไปแล้ว ปัณรีหันมามองมธุรสอย่างเชือดเฉือนเป็นต่อ
มธุรสมองตอบแว่บเดียว เมินมองไปทางตฤณฤทธิ์แล้วหน้าเศร้าลงเห็นชัดแจ้ง
บุรัณย์ลอบสังเกตท่าทีสีหน้ามธุรส มองอีกฝ่ายอย่างเป็นกังวล
มธุรสเข้ามาในห้องพัก เก็บของใส่กระเป๋าอย่างใจลอย ก่อนจะหยุดนิ่งคิด
ภาพนลินจากกล้องตฤณฤทธิ์ผุดขึ้นมาหลอกหลอน โดยเฉพาะภาพสุดท้ายที่นลินกำลังนอนหลับอยู่ในซุ้มปราสาท บ่งบอกอารมณ์คนกดชัตเตอร์ได้อย่างดี
มธุรสพยายามสลัดความคิดนั้นออกไปแล้วเก็บของใส่กระเป๋าต่อ ในท่าทีเลื่อนลอยอย่างเก่า
บุรัณย์เดินผ่านมาเห็นประตูห้องเปิดแง้มอยู่ เขาหยุดมองมธุรสจัดกระเป๋าอย่างใจลอย เป็นห่วงแต่ไม่พูดอะไร
รอจนมธุรสปิดกระเป๋าลง โดยลืมหยิบกล่องยาและไฟฉายใส่กระเป๋า
บุรัณย์จึงเดินเข้ามาหา หยิบกล่องยาและไฟฉายส่งให้มธุรส
“กล่องยากับไฟฉายสำคัญมากนะ ถ้าไม่เอาติดตัวไปด้วยคงลำบากแน่”
มธุรสเหมือนคนตื่นจากภวังค์ รับของทั้งสองอย่างจากบุรัณย์ใส่กระเป๋า
“ขอบใจนะ”
“รสเป็นอะไร ทำไมดูซึมๆ ตั้งแต่บ่ายแล้ว”
มธุรสเงียบไม่ตอบ แต่กลับเงยหน้าขึ้นมาถามคำถามบุรัณย์แทน
“นายคิดว่า การที่ในกล้องหรือโทรศัพท์ของผู้ชายมีรูปของผู้หญิงคนหนึ่งอยู่เต็มไปหมด มันหมายความว่ายังไง”
บุรัณย์สันหลังหวะ ตกใจกับคำถาม และคิดไปว่ามธุรสแอบเห็นรูปของเธอในโทรศัพท์ของเขา
“เฮ้ย รสมาเห็นรูปในโทรศัพท์เราตั้งแต่เมื่อไหร่”
มธุรสมองบุรัณย์อย่างจ้องจับผิด
“แสดงว่านายก็มีรูปผู้หญิงเหมือนกันใช่ไหม”
บุรัณย์เสียววาบ หลบเลี่ยงสายตาจ้องจับผิดของมธุรสพัลวันปฏิเสธเสียงสูง
“เปล๊า มีที่ไหนกัน”
มธุรสมองฉงน “ทำไมต้องตกใจขนาดนั้นด้วย ฉันหมายถึงคนอื่น ไม่ใช่นาย”
บุรัณย์ถอนหายใจโล่งอก บอกไปว่า
“ถ้างั้นก็ไม่ยาก แสดงว่าผู้ชายคนนั้นต้องแอบชอบผู้หญิงในรูปอยู่แน่ๆ”
มธุรสได้ยินคำตอบถึงกับอึ้งไป สีหน้าหมองเศร้าลงอย่างเห็นได้ชัด
คืนนั้น บริเวณริมเขตรั้วบ้านกำนันติดกับบ้านยายเพียร ที่เดียวกับที่พนิชมาตั้งกล้องจับกระสือกับบางครั้งก่อน
อชินีกับพนิชนั่งตบยุง เฝ้ากล้องที่ตั้งรอเอาไว้จับภาพกระสือ
“โอ๊ย ยุงชุมเป็นบ้า ฉันต้องบริจาคเลือดเท่าไหร่ถึงจะได้เจอนังกระสือเนี่ย” อชินีบ่น
“จะบ่นอะไรนักหนา ในเมื่อไม่มีปัญญาไปจับผิดมันในบ้านก็ต้องมารอตากยุงกันอย่างนี้แหละ ขนาดอุ้มลงทุนแกล้งเป็นลมขนาดนั้น มันยังไม่ให้พักด้วย ก็ใจร้ายไม่เบาเหมือนกันนะ”
“แกล้งเป็นลมอะไรกันล่ะ ฉันเป็นลมจริงๆ”
พนิชตกใจ “อ้าว เป็นจริงเหรอ ไอ้เราก็นึกว่าเข้าถึงบทบาท กะจะให้ออสการ์แล้วนะเนี่ย”
“ยังจะมาล้อเล่นอีก นี่ไม่คิดจะห่วงกันเลยใช่ไหม”
อชินีโมโหเงื้อมือจะทุบเข้าให้ พนิชรีบหลบ ก่อนจะหันมองไปเห็นอะไรบางอย่าง
“เดี๋ยว นั่นๆ มีแสงอะไรลอยออกมาจากบ้านลินน่ะ”
อชินีหันไปมองตามด้วยสีหน้าตื่นเต้นดีใจ สองคนเห็นดวงไฟสีแดงลอยวูบวาบออกมาจากหน้าต่างห้องนลิน
“ใช่แล้ว ต้องเป็นนังกระสือมันออกหากินแน่ๆ ตามไปเร็ว”
อชินีวิ่งนำออกไป ขณะที่พนิชก็รีบคว้ากล้องตามออกไปเช่นกัน
ขณะเดียวกันวิศวัตเดินมาส่งกวิตาที่หน้าบ้านยายเพียร บ่น
“ไม่รู้จะรีบมาคุยอะไรกันดึกขนาดนี้”
“จะบ่นทำไม ก็บอกแล้วว่าไม่ต้องมาส่ง จากบ้านกำนันมาบ้านลินใกล้แค่นี้เอง ฉันเดินไปกลับเองได้ กลับไปได้แล้ว ขอบใจนะ”
วิศวัตโน้มตัวให้เหมือนรับคำชมก่อนจะเดินกลับ
กวิตามองตามยิ้มๆ ก่อนจะเปิดประตูรั้วเดินเข้าบ้านไป พลันสายตาของเธอก็เหมือนเห็นอะไรบางอย่าง
เป็นพนิชและอชินีกำลังเดินเลาะรั้วบ้านนลินไปทางท้ายทุ่งอย่างรีบร้อน กวิตามองสงสัยรีบเดินตามทั้งคู่ไปทันที
พนิชและอชินีวิ่งตามดวงไฟสีแดงที่ลอยอยู่แถวทุ่งติดกับหลังบ้านยายเพียรออกไป อชินีเริ่มเหนื่อยและมีอาการมึนหัว วิ่งไม่ค่อยไหว
“เดี๋ยวพีท รออุ้มก่อน”
พนิชหยุดหันมามองอชินีอย่างหงุดหงิด
“เร็วหน่อยสิอุ้ม เดี๋ยวมันก็หายไปหรอก”
“โอ๊ย”
อชินีหน้ามืดล้มลง พนิชตกใจรีบเข้ามาประคองกล้องหล่นจากมือพนิชตกพื้นโดยไม่ทันระวัง
“อุ้ม อุ้มเป็นอะไร”
“อุ้มหน้ามืดน่ะพีท”
พนิชเซ็ง “มาเป็นอะไรตอนนี้เนี่ย”
“เดี๋ยวนะ รอแป๊บนึง”
อชินีตั้งสติหายใจเข้าลึกๆ เพื่อให้คลายอาการหน้ามืด
ด้านกวิตาวิ่งตามมาติดๆ มองเห็นอชินีล้มลงก็ตกใจอยากจะเข้าไปช่วย แต่แล้วสายตาของเธอดันเหลือบไปเห็นดวงไฟสีแดงลอยออกไปอีกด้านหนึ่ง เหมือนกับมีอะไรดลใจ เกิดความสงสัยในแสงไฟนั้นโดยประหลาด กวิตาเลือกที่จะวิ่งตามดวงไฟนั้นไป
กวิตาวิ่งตามดวงไฟมากระทั่งแสงไฟหายไปในป่าละเมาะหลังบ้านยายเพียร
“หายไปไหนแล้วนะ เมื่อกี้ยังเห็นอยู่เลย”
กวิตาพยายามมองหาแต่ก็หาไม่เจอ จนกระทั่งได้ยินเสียงร้องบางอย่างถึงกับชะงัก เมื่อฟังชัดๆจึงรู้ว่าเป็นเสียงหมูร้องอย่างเจ็บปวด
กวิตาตกใจพยายามมองหาที่มา แล้วเดินไปตามเสียงนั้น จนกระทั่งเสียงหายไปดื้อๆ ตรงพุ่มไม้ตรงหน้า กวิตาค่อยๆ สืบเท้าเดินเข้าไป และเห็นเงาตะคุ่มๆ อยู่ไม่ไกลนัก เธอจึงหยิบโทรศัพท์ออกมาเปิดไฟฉายส่องดู
แสงไฟส่องไปเห็นร่างหมูนอนนิ่งอยู่และมีเงาตะคุ่มๆ สีดำซุกอยู่ที่บริเวณท้องของหมู
กวิตาตกใจกลัว แต่ด้วยความอยากรู้อยากเห็น เธอตัดสินใจใช้ไฟส่องไปดูที่หัวหมูตัวนั้น พบว่าตรงลำคอของมันถูกกัดจนเลือดไหลนองเต็มไปหมด
กวิตาส่องไฟกลับมาที่ท้องหมู กระสือนลินเงยหน้าที่เต็มไปด้วยเลือดขึ้นมาปะทะเข้ากับแสงไฟมือถือ
กวิตาและกระสือนลินสบตากันจังๆ กวิตากรีดร้องสุดเสียงด้วยความตกใจสุดขีด วิ่งเตลิดหนีไปอย่างไม่คิดชีวิต
“อ๊ายยย”
กวิตาวิ่งหนีออกมาด้วยความตกใจกลัวสุดขีด จนมาเจอกับพนิชและอชินีที่กำลังวิ่งตามมา อชินีเห็นรีบดึงตัวกวิตาที่มีท่าทางตื่นตระหนกเอาไว้ หันไปมองหน้าพนิชอย่างตื่นเต้น ขณะถามออกไป
“เกิดอะไรขึ้นต้า เธอไปเจออะไรมา”
พนิชซักกวิตาอีก “กระสือใช่ไหม เจอกระสือมาใช่ไหม”
“ตอนนี้มันอยู่ที่ไหน”
กวิตาช็อก กลัวจนตัวสั่น สองตาเอ่อนองไปด้วยน้ำตา ทั้งตกใจ เสียใจและสับสน
มองพนิชและอชินีนิ่งๆ ไม่พูดไม่จาใดๆ
อ่านต่อตอนที่ 16