สาปกระสือ ตอนที่13 พนิชบุกปล้ำนลินคาบ้านยายเพียร
บทประพันธ์และบทโทรทัศน์โดย อาณาจินต์
ตอนเช้าวันรุ่งขึ้น ที่ห้องเก็บของบ้านยายเพียร นวลวางมีดพร้าที่ใช้ฟันรั้วหนามไผ่ช่วยนลินเมื่อคืนเก็บลงในกล่อง แม่บ้านและผู้ช่วยกระสือปิดกล่องนั้นลง พร้อมๆ กับมีเสียงนลินดังขึ้น
“ป้านวลคิดว่าจะทำแบบนี้ไปได้อีกนานแค่ไหนคะ”
นวลหันไปเห็นนลินยืนมองอยู่ ด้วยสีหน้ากังวล มองเขม็งไปที่กล่องเก็บพร้า
“คราวนี้ป้านวลอาจจะช่วยลินได้ แต่ครั้งหน้าล่ะคะ”
นวลยิ้มรับอย่างเยือกเย็น
“ป้าเคยช่วยคุณท่านอย่างนี้มาก่อน ทุกอย่างก็ผ่านไปด้วยดีค่ะ”
“แต่เดี๋ยวนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อน ข่าวไปไวมาก มีทั้งอินเตอร์เน็ตทั้งโซเชียล เห็นไหมคะว่ามีนักท่องเที่ยวเข้ามาตามล่ากระสือที่นี่แล้ว”
เสียงชลันตีดังขึ้น “แต่พวกนั้นก็ออกไปแล้ว”
นลินหันไปเห็นชลันตีเดินเข้ามาสมทบ
“ถึงพวกนักท่องเที่ยวจะออกไป คนในหมู่บ้านก็อยากล่าตัวลินอยู่ดี ป้าตีก็รู้ ลินไม่เหมือนพวกเขา”
น้ำเสียงนลินเศร้าลง ชลันตีเอื้อมมือไปแตะแขนนลินเชิงปลอบใจ
“ลินอยากเป็นมนุษย์ธรรมดาแต่จิตใจต่ำตมยิ่งกว่าสัตว์เดรัจฉานเหมือนพวกนั้นงั้นเหรอ”
ชลันตีพูดด้วยสีหน้าจริงจัง นลินนิ่งไป สายตาว่างเปล่า
“แต่ก็ดีกว่าอยู่ไม่ได้ ตายก็ไม่ได้แบบนี้ไม่ใช่เหรอคะ”
ชลันตีชะงักไป เริ่มใจเย็นลง
“ป้าขอโทษ ลินอย่ากังวลเลย ป้าไม่ปล่อยให้ใครทำร้ายลินหรอก”
“ค่ะ...ลินรู้”
นลินตอบชลันตี แต่แววตากลับดูเศร้าและเครียด เธอนึกถึงวันที่เป็นกระสือเห็นตฤณฤทธิ์ที่บ้านใต้ถุนบ้านพัดและชุม
ชลันตีลอบสังเกตท่าทีของนลินเงียบๆ
เช้าวันเดียวกัน ตฤณฤทธิ์เอาเอกสารกับโน้ตบุ๊คมานั่งทำงานที่แคร่ตรงลานหน้าเรือน
ผันกับชมพู่เตรียมข้าวของจะออกไปสวน สักพักเสียงโวยวายของชุมก็ดังขึ้น
“พี่ผัน ช่วยด้วย ช่วยด้วย”
ผัน ชมพู่ รวมทั้งตฤณหันไปมองตามเสียง เห็มชุมวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามา
“ไอ้ชุม มีอะไรวะ”
ชุมมาหยุดยืนหอบ พูดอย่างรีบร้อน
“ช่วยยืมรถบ้านคุณชลันตีให้หน่อยได้ไหม ฉันต้องพาลูกไปโรงพยาบาล”
ชมพู่ตกใจ “ลูกเอ็งเป็นอะไรไอ้ชุม”
“ตั้งแต่เช้ามืดก็ร้องไห้ไม่หยุด แถมตัวร้อนจี๋อย่างกับโดนไฟรุมน่ะพี่”
“เมื่อวานฉันเห็นยังดีๆ เกิดป่วยขึ้นมาได้ยังไง” ชมพู่แปลกใจ
ชุมทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ พูดเสียงสั่น
“เป็นความผิดฉันเอง...ที่ปล่อยกระสือมาแอบกินรกลูกไป”
“กระสือ”
ผันอุทานมองหน้ากับเมีย ไม่อยากจะเชื่อ
“ใจเย็นๆ อาจจะไม่มีอะไรก็ได้ เดี๋ยวฉันไปยืมรถมาให้”
ชมพู่จะเดินออกไปบ้านยายเพียร แต่เจอตฤณฤทธิ์ยืนดักอยู่ก่อนแล้ว
“เอารถผมไปก็ได้นะครับ”
ชมพู่แปลกใจ “รถคุณเหรอคะ”
“ครับ ตอนนี้ผมยังไม่ได้ใช้รถ เดี๋ยวผมไปส่งโรงพยาบาลในเมืองเอง”
ชมพู่หันไปมองชุมเชิงบอก ชุมน้ำตาคลอ ยกมือไหว้ด๊อกเตอร์รูปงามปลกๆ
“ขอบคุณครับ ขอบคุณมากๆๆ”
ตฤณหยิบกุญแจรถจากกระเป๋าสะพาย เรียกชุมให้ไปที่รถตรงมุมบ้าน ผันกับชมพู่ตามไป
ด๊อกเตอร์ตฤณขับรถมาจอดด้านหน้าพัด ผันกับชมพู่ขับมอเตอร์ไซค์ตามมา ชุมลงรถไปเรียกเมียกับลูก พัดอุ้มลูกลงมาจากบ้านอย่างรีบร้อน
ยายจันทร์ตามมาช่วยดูด้วยแต่เช้า เห็นเด็กร้องไม่หยุดก็บ่นออกมาอีกยก
“ข้าเตือนแล้วเชียวว่าอย่าให้ผีมันมากินรกเด็ก เห็นไหมล่ะ ลูกเอ็งก็ป่วยจนได้”
ชุมหน้าเสีย ชมพู่เห็นแล้วสงสารพยายามช่วย
“ยายอย่าไปบ่นมันนักเลย อาจจะไม่ใช่ฝีมือผีก็ได้” ผันว่า
“นั่นสิ คงเป็นหมาแมวแถวนี้มาขโมยไป ไม่ก็เพราะเด็กคลอดหมอตำแย ใช่ว่าจะสะอาดเหมือนหมอในเมือง...”
ยายจันทร์โกรธด่าชมพู่ “เอ็งหาว่าวิธีโบร่ำโบราณข้าไม่สะอาดเรอะ ไอ้หัวหงอกหัวดำแถวนี้ก็คลอดวิธีนี้ทั้งนั้น ถ้ามันไม่ดี ป่านนี้เอ็งไม่ได้โผล่มายืนพูดหมาๆ งี้ร้อกก”
ไม่เท่านั้นหมอตำแยในตำนานตีเข้าที่แขนชมพู่ดังป้าบ ชมพู่โวยลั่น ผันดึงไว้
“อย่าเพิ่งเถียงกันยาย พาเด็กไปหาหมอก่อน”
ยายจันทร์ชี้หน้าคาดโทษผัน “ข้าเห็นแก่ลูกไอ้ชุมนะ หนอย...ไหน ลูกไอ้ชุมอยู่ไหน”
ผันกับชมพู่หลีกทางให้ยายจันทร์เข้าไปหาเด็ก ยายจันทร์หยิบเส้นฝ้ายออกมา
“ผูกฝ้ายนี่ไว้ มันจะช่วยกันผีร้ายไม่ให้ทำอะไรลูกเอ็งอีก”
ยายจันทร์ผูกฝ้ายที่ข้อมือเด็กทำปากงึมงำๆ ชมพู่บ่นเบาๆ ให้ผันฟัง
“มันจะเป็นกระสือได้ไง กระสือมันมีมือฟันรั้วที่ไหน”
ผันดึงแขนชมพู่ให้หยุดพูด ตฤณฤทธิ์ได้ยินเรื่องกระสือก็ฉุกคิดบางอย่างมองไปที่รั้ว พบว่าที่รั้ว มีรอยรั้วหนามถูกฟันให้เห็นอยู่ ตฤณนึกถึงเรื่องคืนวันก่อน เขาเห็นนวลเดินสวนกลับไปทางบ้านยายเพียร
ด๊อกเตอร์ตฤณมีสีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิด เริ่มสับสนว่าที่ตัวเองเห็นคืออะไรกันแน่
ขณะเดียวกัน พนิชโผล่หน้าออกมาจากพุ่มไม้ไม่ไกลจากรั้วบ้านยายเพียร กวาดตามองรอบๆ
ที่หน้าบ้านยังเงียบสนิทราวกับไม่มีคนอยู่ พนิชขมวดคิ้ว บ่นออกมา
“เงียบอย่างกับป่าช้า มีคนอยู่แน่เหรอวะ”
มีเสียงสตาร์ตรถยนต์ดังขึ้น พนิชสะดุ้ง รีบหาที่หลบไปซ่อนในพุ่มไม้แถวนั้น โผล่หน้าออกมาดูนิดหนึ่ง พบว่าสักพักประตูบ้านยายเพียรก็เปิดออก ให้รถของชลันตีแล่นออกมาหยุดรอที่หน้าบ้าน
นวลตามออกมาปิดประตู ก่อนจะขึ้นรถไปกับชลันตี
พนิชมองอยู่ตลอดเวลา จนกระทั่งรถแล่นออกไปพ้นสายตา สิงห์พนันตาลุกวาว รีบออกจากที่ซ่อนไปดูที่ประตูใหญ่หน้าบ้าน ปรากฏว่ามันถูกล็อกกุญแจไว้
พนิชปล่อยแม่กุญแจออกเซ็งๆ เตะรั้วระบายอารมณ์อย่างหงุดหงิด จะเดินออกไป จู่ๆ ก็มีเสียงดังแกร็กมาจากบริเวณรั้ว เขาชะงัก หันไปมองที่ประตูสลับกับรอบๆ รั้วบ้าน
พนิชรู้สึกว่ามีอะไรแปลกๆเลยกลับไปดูที่แม่กุญแจอีกครั้ง เอื้อมมือไปจับ เห็นแม่กุญแจคลายออก พนิชอึ้งๆ เช็กผู้คนรอบข้างอีกครั้ง เมื่อไม่เห็นใคร ก็ค่อยๆ เอาแม่กุญแจออกยิ้มเจ้าเล่ห์ โยนแม่กุญแจทิ้งไป
พนิชแง้มประตูบ้านยายเพียรออกแล้วย่องเข้าบ้านไป
ในเวลาเดียวกันที่บ้านกำนันสิน พลเพิ่มคุยธุระกับกำนันสินเสร็จกำลังจะกลับ กำนันสินออกมาส่ง
ฉัตรฉายถือถาดขนมตามออกมาเห็นเข้าพอดี รีบเร่งเดินมาดักพลเพิ่มไว้
“เดี๋ยวๆๆ คุณพลเพิ่มจะกลับแล้วเหรอคะ ช่าอุตส่าห์ทำขนมรอ กะจะให้คุณชิมสักหน่อย”
กำนันสินทำหน้าแปลกใจ
“แกน่ะเหรอทำขนม วันๆฉันเห็นเอาแต่เดินร่อนไปร่อนมา ไปซื้อมาจากตลาดสิไม่ว่า”
ฉัตรฉายกระแอมเสียงดัง จิกตาส่งซิกให้พ่อ พูดอ้อนพลเพิ่มต่อ
“คุณพลเดินทางมาตั้งไกล พักอีกสักหน่อยก็ได้นี่คะ เวลาว่างๆ เราก็คุยกันสัพเพเหระไป”
ฉัตรฉายส่งสายตาวิบวับให้พลเพิ่ม หว่านเสน่ห์สุดฤทธิ์ กำนันสินจะดุฉัตรฉาย แต่พลเพิ่มพูดขึ้นมาก่อน
“ผมไม่ค่อยสะดวกครับ พอดีมีธุระต่อ ต้องขอโทษด้วย ลานะครับ ไว้จะติดต่อไปเรื่องที่ตกลงกันไว้”
พลเพิ่มยกมือไหว้ลากำนันสินแล้วเดินออกไปเลย ฉัตรฉายหน้าจ๋อยสนิท กำนันสินหัวเราะขำ
“พ่อนะพ่อ ไม่ช่วยฉันบ้างเลย ไม่อยากมีลูกเป็นคุณนายรึไง”
“นังลูกคนนี้ ฝันสูง เขาเป็นใคร เอ็งเป็นใคร เอ็งไม่เหมาะกับเขาหรอกโว้ย”
“ฉันไม่เหมาะแล้วใครเหมาะ คนหล่อรวยมีหน้ามีตาแบบนั้นเหมาะกับลูกกำนันใหญ่โตอย่างฉันเท่านั้น พ่อควรจะสนับสนุนฉันสิ”
“เอ็งรู้จักคุณพลเพิ่มได้ไม่เท่าไหร่ อย่าทำเป็นรู้ดีหน่อยเลย”
“ฉันไม่รู้อะไรพ่อก็บอกสิ ฉันไม่ได้โง่นะ”
“ถ้าเอ็งฉลาดซักนิดคงไม่พาแม่เอ็งไปขุดศพชาวบ้านให้ข้าขายขี้หน้าหรอก คุณพลเพิ่มไม่มองคนอย่างเอ็งแน่ หยุดมโนได้แล้ว ข้าเหนื่อยจะเถียง”
กำนันสินตอกฝาโลงลูกสาวแรด แล้วเดินหนีขึ้นบ้านไป ทิ้งฉัตรฉายให้หน้าง้ำ สะบัดตัวฮึดฮัดไม่พอใจอยู่ลำพัง
ในโถงชั้นล่างบ้านยายเพียร พนิชแง้มประตูออกพาตัวเองเข้ามาในนั้น กวาดสายตามองไปรอบๆ อย่างตะลึงตะไล
ตู้โชว์วางข้าวของมากมาย ทั้งถ้วยชาม เครื่องลายคราม พระพุทธรูปของเก่าชนิดที่ประเมินค่าไม่ได้ ตั้งอยู่มากมาย พนิชเดินเข้าไปเดินสำรวจอย่างตื่นตาตื่นใจ
“นี่มัน...ของเก่าหมดเลยนี่นา มูลค่าเท่าไหร่เนี่ย”
พนิชเดินลึกเข้าไปในบ้านก็ยิ่งพบของน่าทึ่งมากขึ้นไปอีก เขาเดินดูไปเรื่อยๆ จนมาหยุดที่ตู้เก็บพระพุทธรูป ดูก็รู้ว่าเป็นของเก่าราคาดี
“มิน่า...ถึงต้องลาออกมารับมรดก มีของดีอยู่เต็มบ้านนี่เอง”
พนิชมองเข้าไปในตู้ พบว่าไม่มีอะไรล็อกไว้ก็ยิ้มเจ้าเล่ห์
“ขอชมเป็นบุญตาหน่อยแล้วกัน”
พนิชเปิดตู้นั้นออก เอื้อมมือเข้าไปแตะที่พระพุทธรูปอย่างตื่นเต้น
นลินอยู่ในห้องนอนชั้นบน กำลังทยอยเอาเสื้อผ้าข้าวของเครื่องใช้เก็บเข้าที่ เดินมานั่งบนที่นอนเอาของออกมาจัดบริเวณเตียง
เธอหยิบกรอบรูปขึ้นมา มองรูปในนั้น ซึมไป เป็นรูปแม่นรา กับนลินตอนเด็ก รูปนั้นทำให้นลินนึกถึงความฝันที่เห็นแม่มาเตือนเรื่องขโมยมรกต
นรายืนอยู่ในเงามืด มองนลินสีหน้าเศร้า ร้องไห้น้ำตาไหลพราก
“ลินอย่าทำแบบนี้ เอาของคืนเขาไปเถอะลูก ไม่อย่างนั้นจะผูกเวรผูกกรรมกันไม่จบไม่สิ้น”
นลินดึงความคิดกลับมา มองรูปน้ำตาซึม พยายามกลั้นเอาไว้ไม่ให้ไหลออกมา
นลินเอากรอบรูปกำลังจะวางบนหัวเตียง
มีเสียงดังเหมือนของตก มาจากชั้นล่าง นลินชะงักไป
“ใครน่ะ”
นลินวางกรอบรูปแม่ไว้ แล้วลุกลงเตียงออกห้องลงไปชั้นล่างทันที
ฝ่ายพนิชหันไปเห็นหนังสือเล่มใหญ่เล่มหนึ่งตกลงมาที่หน้าตู้เก็บของ เขาถอนหายใจโล่งอกเดินไปหยิบหนังสือ แต่หนังสือฝุ่นเกาะหนามากฟุ้งขึ้นมาโดนหน้าจนพนิชไอแทบสำลัก พนิชลุกขึ้นได้ เสียงนลินดังขึ้นในจังหวะนี้
“มาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”
พนิชตกใจ หันไปตามเสียงเจอนลินยืนจ้องอยู่อย่างเอาเรื่อง
“ไม่ได้ยินเหรอ ฉันถาม ว่ามาที่นี่ได้ยังไง”
“ดีใจจังที่เจอลิน ตอนแรกคิดว่าจะมาผิดบ้านซะแล้ว”
พนิชเดินเข้ามาหานลินพูดน้ำเสียงแสนดี เป็นมิตรมาก นลินมองพนิชอย่างไม่ไว้ใจ
“บ้านฉันไม่ต้อนรับแก ออกไปซะ”
พนิชสะดุดหู แปลกใจ “บ้านฉัน งั้นที่เขาพูดกันว่าลินได้รับมรดกจากยายที่เสียไปก็เรื่องจริงสินะ”
“ถ้าแกไม่ออกไปฉันจะเรียกตำรวจเดี๋ยวนี้”
นลินเดินหนีไปที่โทรศัพท์บ้าน พนิชดึงแขนไว้
“จะไปไหน มาคุยกับพีทก่อนสิลิน”
นลินสะบัดมือพนิชออกอย่างรังเกียจ
“ฉันไม่คุย ฉันรู้ว่าแกมาที่นี่ทำไม”
“พีทก็แค่อยากมาหาในฐานะเพื่อนเก่า พีทรู้ว่าทำลินไว้มาก แต่แค่จะขอให้ลิน อภัยก็ไม่ได้เลยเหรอ”
“คนไม่มีจิตสำนึกแบบแก ต่อให้ขอร้องแค่ไหน ฉันก็ไม่ให้อภัย”
นลินพูดเสียงเข้ม แววตาแข็งกร้าว แต่จู่ๆ พนิชกลับหัวเราะเยาะออกมา
“กล้าพูดขนาดนี้เพราะไอ้ผู้ชายคนใหม่มันคอยคุ้มกะลาหัวอยู่ใช่ไหม”
“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับคนอื่น”
“เกี่ยวสิ เดี๋ยวนี้หัดปากเก่ง ทำไม ไอ้แฟนใหม่มันสอนมาหรือไง”
นลินอึ้งไป พนิชเดินไล่ต้อนนลินมาเรื่อยๆ จนเกือบถึงผนังห้อง นลินยังเถียงเสียงดัง
“บอกแล้วไงว่าไม่เกี่ยวกับเขา”
“โห ปกป้องมันด้วย มันมีอะไรเด็ดหรือไง ลินถึงได้หลงมันนัก สงสัยต้องรื้อฟื้นความหลังกันหน่อยล่ะมั้ง”
พนิชโมโหหึงคว้าตัวนลินมากอดปล้ำ ซุกไซ้ตรงซอกคอ นลินกรีดร้องดังลั่นพยายามดิ้นหนี พนิชยังรวบตัวนลินไว้ ก้มลงจะจูบ
นลินเบือนหน้าหนีทั้งกลัวทั้งรังเกียจ พลันสายตาเหลือบไปเห็นแจกันโลหะแถวนั้น พยายามเอื้อมมือไปคว้าจะตีเข้าที่ศีรษะพนิช แต่พนิชรู้ตัวเสียก่อนจับแขนนลินบีบจนแจกันนั้นร่วงลงพื้น
“ถ้ายอมดีๆ แต่แรกก็จบเรื่องแล้ว อย่าให้มันยากนักเลยลิน”
พนิชจะปลุกปล้ำนลินอีกครั้ง ด้วยสัญชาตญาณการเอาตัวรอด เธอกัดเข้าที่แขนพนิชจนจมเขี้ยว
“โอ๊ย”
นลินหลุดรอดมาได้ พอพนิชตั้งหลักได้ก็ตามมาจับตัวนลินไว้ แต่มือกลับไปกระชากตรงคอเสื้อนลินจนขาดออก เผยให้เห็นรอยแผลบริเวณรอบคอนลิน
นลินโกรธจัดแยกเขี้ยวใส่มองพนิชตาแดงก่ำ พนิชช็อก ยืนเหวอ มองเศษเสื้อในมือ ทำอะไรไม่ถูก
“ป….ป…ปีศาจ”
พนิชตกใจร้องลั่น วิ่งเตลิดหนีออกไปทางหน้าบ้าน
แววตานลินกลับมาเป็นสีปกติ แต่รู้สึกอ่อนแรงจนแทบเซ โชคดีที่มีมือใครบางคนเข้ามาประคองไว้ทัน นลินมองใครคนนั้นด้วยสีหน้าประหลาดใจ
ตฤณฤทธิ์ขับรถมาเรื่อยๆ จนใกล้ถึงบ้านยายเพียร มองไปทางบ้านยายเพียรเหมือนจะมองหาใครบางคน แล้วก็สังเกตเห็นรถที่จอดอยู่หน้าบ้าน ตฤณชะลอรถ มองไป รู้สึกคุ้นกับรถคันนั้นมาก
ทันใดนั้นประตูรั้วบ้านยายเพียรก็เปิดผางออก ทำให้ตฤณต้องเหยียบเบรครถกะทันหัน
ตฤณฤทธิ์ตั้งสติเงยหน้าขึ้นมามองด้านหน้ารถแล้วก็อึ้ง เมื่อเห็นพนิชวิ่งออกมาหน้าตาตื่น
ตฤณฤทธิ์รีบจอดรถแล้วลงไปดู ตามพนิชไม่ทันแล้ว ขณะกำลังสับสนอยู่นั้น เขาหันไปมองที่ประตูเห็นมันเปิดค้างอยู่ นึกเป็นห่วงนลินขึ้นมา
“ลิน”
ตฤณฤทธิ์รีบพาตัวเองเข้าบ้านยายเพียรไปทันที
เวลาผ่านไปอีกเล็กน้อย ภายในโถงบ้านยายเพียร พลเพิ่มจับแขนนลินไว้มองอย่างเป็นห่วง อยู่ตรงโซฟา นลินมองอึ้งๆ พอได้สติก็รีบผละออก เอาเสื้อปิดคอตัวเองไม่ให้เขาเห็นรอยแผล
พลเพิ่มมองไปทางประตูที่พนิชวิ่งออกไป ถามด้วยความเป็นห่วง
“เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่าครับคุณลิน”
นลินไม่อยากให้เป็นเรื่องใหญ่ ตอบบ่ายเบี่ยงไป
“ไม่มีอะไรค่ะ แค่เรื่องเข้าใจผิดนิดหน่อย”
พลเพิ่มยังไม่เชื่อนัก มองไปเห็นรอยช้ำตรงแขนนลิน ถามย้ำ
“แน่ใจนะครับ แล้วรอยช้ำนั่นล่ะ”
“ฉันซุ่มซ่ามไปกระแทกตู้เองค่ะ ดีที่คุณพลเพิ่มมาเห็นก่อน”
พลเพิ่มสงสัยท่าทางนลิน แต่ไม่ได้ถามต่อ กลับคว้าแขนข้างที่ช้ำของเธอมาดู
“ผมขอดูหน่อยนะครับ”
นลินอึ้งไป พลเพิ่มดูรอยช้ำตรงนั้นอย่างพิจารณา มีเสียงตฤณดังขัดจังหวะขึ้นก่อน
“คุณลิน”
พลเพิ่มกับนลินชะงัก หันไปเจอตฤณฤทธิ์ยืนมองอยู่ตรงประตู
ด๊อกเตอร์ตฤณเองเห็นนลินอยู่กับพลเพิ่มก็ทำหน้าไม่ถูก พลเพิ่มเป็นฝ่ายทักขึ้นก่อน
“อ้าว ด็อกเตอร์ ไม่ยักรู้ว่าคุณกลับมาที่นี่แล้ว มาหาคุณลินเหรอครับ”
ตฤณฤทธิ์อึกอัก ตอบแก้เก้อออกไป
“พอดีผมเห็นแฟนเก่าคุณลินวิ่งออกจากที่นี่ไป เลยเข้ามาดู กลัวจะมีเรื่องกัน”
พลเพิ่มมีสีหน้าแปลกใจ มองไปทางนลินเชิงถาม นลินมีสีหน้าอึดอัดลำบากใจ
“ไม่มีอะไรจริงๆ ค่ะ คุณพลเพิ่มเขาจัดการให้แล้ว”
“ครับ ถ้าคุณลินไม่เป็นอะไรผมก็หายห่วง”
ตฤณฤทธิ์มีท่าทีหงุดหงิดอย่างไม่รู้ตัว
“ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ผมขอตัวล่ะครับ เชิญคุณตามสบาย”
ตฤณฤทธิ์ตัดบทแล้วเดินออกจากบ้านไปเลย
นลินมองตามรู้สึกใจหายแปลกๆ แต่ฝืนไว้ หันมาบอกกับพลเพิ่มว่า
“ลินขอตัวไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนนะคะ”
“ไม่เป็นไรครับ งั้นผมไม่รบกวนแล้ว แต่ถ้ามีอะไร โทร.เรียกผมได้ตลอดเวลาเลยนะครับ”
“ขอบคุณค่ะ”
พลเพิ่มเดินออกไป นลินมองตามอย่างไม่สบายใจ
ตฤณฤทธิ์เดินออกมาที่หน้าบ้านยายเพียร รู้สึกหงุดหงิดในใจ พยายามข่มไว้แต่ก็ดูจะปิดไม่มิด มีเสียงฝีเท้าคนตามออกมา ตฤณฤทธิ์หันไปเจอพลเพิ่ม
“ทำไมรีบกลับจังล่ะครับด็อกเตอร์ น่าจะอยู่คุยกันก่อน”
“ผมมีธุระ ไม่อยากอยู่รบกวนใคร”
พลเพิ่มทำหน้าแปลกใจอีก
“ด็อกเตอร์นี่ดูจะรู้อะไรเกี่ยวกับคุณลินเยอะดี เหมือนเรื่องแฟนเก่านั่นด้วย คุณรู้จักเขาเหรอ”
“ผมเคยบังเอิญช่วยคุณลินไว้ ตอนหมอนั่นไปหาลินที่บ้านเช่า แต่เขาเลิกกันไปนานแล้ว คุณไม่ต้องห่วงเรื่องนี้หรอกครับ”
“เขาทำอะไรคุณลิน” พลเพิ่มแปลกใจ
“เขาไม่ใช่คนดี เหมือนพยายามตามง้อคุณลินทุกวิธี แต่คุณลินไม่เล่นด้วย ผมฝากดูคุณลินด้วยแล้วกัน”
“ขอบคุณด็อกเตอร์มากที่เป็นห่วงคุณลิน ผมไม่มีวันยอมให้ใครทำอะไรคุณลินแน่ๆ ด็อกเตอร์สบายใจได้ กลับดีๆนะครับ”
พลเพิ่มตอบกลับนิ่งๆ ตฤณฤทธิ์หน้าตึงนิดๆ หันหลังแล้วออกจากบ้านไป
พลเพิ่มกลับถึงบ้านตอนเย็น เดินเข้าห้องรับแขกมา เห็นปัณรีนั่งเล่นโทรศัพท์อยู่ ฝ่ายน้องสาวทักแซวขึ้นว่า
“เป็นไงคะ เข้าหมู่บ้านครั้งนี้ ได้เจอสุดที่รักของพี่ไหม”
พลเพิ่มหยุดเดินหันมาคุยกับน้องสาว
“ห่วงแต่คนอื่น ไม่อยากรู้เหรอว่าพี่เจอใคร”
ปัณรีสงสัย “ปัณต้องรู้ด้วยเหรอ”
“สุดที่รักของเธอไง ไม่อยากรู้ก็แล้วแต่”
ปัณรีหูผึ่ง อยากรู้อยากเห็นขึ้นมาทันที ลุกขึ้นมาดึงพลเพิ่มไปนั่งคุยกัน
“เรื่องพี่ตฤณเหรอ มีอะไรพี่พล บอกปัณมาเร็ว”
“เปล่า ก็แค่บังเอิญเจอกันที่บ้านคุณลิน”
“เขาไปทำอะไรที่นั่น”
“พี่กับเขาไปเจอคุณลินตอนแฟนเก่าคุณลินมาหา เหมือนจะมีเรื่องกัน”
ปัณรีแปลกใจ “คุณลินเคยมีแฟนด้วยเหรอ แล้วมีเรื่องนี่ยังไงกัน”
“ไม่รู้ คุณลินไม่บอกอะไร”
ปัณรีเอนหลังพิงโซฟา มองพี่ชายเซ็งๆ
“พี่พลก็เป็นซะอย่างนี้ ไม่จริงจังซักที คุณลินเขาเลยไม่ไว้ใจที่จะเล่าให้ฟังน่ะสิ”
“พี่ไม่สนเรื่องหยุมหยิมหรอก ต้องจริงจังจนเจ็บตัวแบบเธอเหรอถึงจะดี”
“อย่าย้อนปัณนะ พี่พลนั่นแหละเอาตัวเองให้รอดดีกว่า มัดใจคุณลินให้ได้ซักที ปัณจะได้ไม่เหนื่อย เข้าป่าก็แล้วอะไรก็แล้วไม่เห็นจะคืบหน้าเลย”
ปัณรีกอดอกหน้ามุ่ย พลเพิ่มเห็นแล้วขำ
“คุณลินยังปิดตัวเองอยู่ มันต้องค่อยเป็นค่อยไป เดี๋ยวก็ใจอ่อนเอง รุกมากเขาจะกลัวซะเปล่าๆ ยิ่งผู้ชายน่ะถ้าไม่ชอบ ต่อให้พยายามแค่ไหนเขาก็ไม่สนหรอก”
ปัณรีมองค้อนหมั่นไส้พี่ชาย “มันก็ไม่แน่ ผู้ชายร้อยทั้งร้อย แพ้มารยาหญิงทั้งนั้น”
พลเพิ่มหัวเราะขำๆ คล้ายไม่เชื่อ ปัณรีหงุดหงิด ครุ่นคิดอยู่สักพักจนนึกอะไรออก
“พี่พล...ปัณว่าปัณมีวิธี”
ปัณรียิ้มเจ้าเล่ห์ พลเพิ่มมองสงสัยว่าน้องสาวจะทำอะไร
พนิชนั่งตัวสั่นอยู่บนเตียง ท่าทีกลัวจับจิต เอามือจิกขาตัวเอง หลังเจอเรื่องชวนช็อกของนลินที่บ้านยายเพียร
เขานึกไปถึงตอนไปหาที่กรมฯ นลินมีสีหน้าโกรธจัด ดวงตากลายเป็นสีแดงก่ำมองมาที่พนิชอย่างเคียดแค้น แล้วกัดเข้าที่คอ พนิชร้องลั่น
ประกอบกับคำพูดอชินีที่เห็นรอยแปลกๆ รอบคอนลิน
“ฉันเชื่อใจคุณ แต่ฉันไม่ไว้ใจนังลิน ช่วงนี้นังนั่นมันยิ่งดูแปลกๆ วันนี้ฉันเห็นมันมีรอยที่คอด้วย”
วันนี้เขาเห็นนลินตาแดงก่ำ มองเขาอย่างโกรธแค้น และยังเห็นรอยสีแดงรอบๆ คออดีตคนรักอีกด้วย
มันสอดรับกับคำพูดเบากะบางที่บอกเขาว่า นลินเป็นทายาทกระสือ
พนิชปะติดปะต่อเรื่องราว ด้วยสีหน้าตรึกตรอง ถามตัวเองอย่างคาดไม่ถึง
“กระสืองั้นเหรอ”
ที่บ้านกำนันสินตอนเช้าวันต่อมา เห็นรถยนต์ตู้หรูหราคันหนึ่งแล่นเข้ามาจอดที่ลานหน้าบ้านกำนันสิน
กำนันสินอยู่บนเรือนมองเห็นก็แปลกใจว่าใครมาอีก
พอรถจอดสนิท คนรถเปิดประตูให้ คุณหญิงศันสนีย์เดินลงรถมาก่อน พอเห็นแดดแรง ก็ทำหน้าเซ็งๆ
กำนันสินลงบันไดมาดู มองงงๆ ด้วยไม่คุ้นหน้า ศันสนีย์ทักขึ้นก่อน
“ที่นี่ใช่ไหม บ้านพักกำนันสิน”
กำนันสินคิดว่าเป็นพวกนักท่องเที่ยวล่ากระสือที่โดนโฉมศรีหลอกมา เลยโวยวายใส่
“ใช่ ข้าเองกำนันสิน ถ้าจะมาพักเพราะไอ้ข่าวบ้าบอนั่น ที่นี่ไม่ต้อนรับนะคุณ”
คุณหญิงศันสนีย์งง มองกำนันบ้านนอก บอกอย่างไว้ตัว “ข่าวอะไร พูดให้มันดีๆ นะ ไม่รู้รึไงว่าฉันเป็นใคร”
“จะไปรู้เรอะ” กำนันสินมองศันสนีย์หัวจรดเท้า นึกเคืองเลยไล่ตะเพิด “คุณนายตีกระบังเป็นหลังคามุงจากแบบนี้เคยเจอแต่ในละครน่ะแหละ พูดไม่รู้เรื่องก็กลับไป ข้าไม่เสียเวลาคุย”
“ว้าย พูดจาไร้มารยาท ฉันจะให้คุณดิษย์จัดการแก”
คุณหญิงกรี๊ด ตั้งท่าจะโวยต่อ แต่นายพลดิษย์กับมธุรสลงจากรถตามมาก่อน
มธุรสยกมือไหว้ทักกำนันสิน “สวัสดีค่ะกำนัน”
กำนันสินรับไหว้ มองมธุรสถามอย่างแปลกใจ
“สวัสดีคุณรส แล้วนี่…”
มธุรสนึกได้จึงแนะนำทั้งสองท่านและกำนันสินให้รู้จักกัน
“นายพลดิษย์ กับคุณหญิงศันสนีย์ พ่อแม่พี่ตฤณค่ะ คุณลุงคุณป้าคะ นี่กำนันสินเจ้าของบ้านที่ทีมเรามาพักเป็นประจำค่ะ”
พอรู้ว่าผู้มาเยือนเป็นใคร กำนันสินก็อึ้งๆ ศันสนีย์กอดอกเชิดหน้าใส่
กำนันสินเปลี่ยนท่าทีเป็นนอบน้อมขึ้นมาทันควัน รีบยกมือไหว้
“เชิญเข้าบ้านก่อนนะครับ เดี๋ยวผมหาน้ำท่าให้ดื่ม…”
ดิษย์พูดสวนขึ้น “ไม่รบกวนล่ะ ผมกับคุณหญิงอยากเจอตัวลูกชายก่อน เขาอยู่ที่นี่ใช่ไหม”
กำนันสินนิ่งคิด “ด็อกเตอร์ตฤณ…ไม่ได้อยู่ที่นี่นะครับ”
“ไหนหนูรสบอกว่าตฤณมาพักที่นี่ประจำไง แล้วลูกชายฉันไปไหน”
คุณหญิงศันสนีย์จะโวยวายอีกยก จนท่านนายพลดิษย์ต้องจับแขนไว้เป็นเชิงปราม
กำนันสินอึกอัก “ผมรู้…ผมรู้ครับว่าด็อกเตอร์อยู่ไหน เดี๋ยวผมจะให้ลูกน้องไปตามให้”
พร้อมกับว่ากำนันสินทำท่าจะไปตามลูกน้องสองบอ แต่ดิษย์ยกมือห้าม
“ไม่เป็นไร คุณแค่บอกว่าเขาอยู่ไหนก็พอ”
นายพลดิษย์พูดเสียงเรียบ แต่จริงจัง กำนันสินเงียบไป
พนิชเดินออกมาที่ลานหน้าบ้านกำนันสิน มองหาใครบางคน
พอเดินมาถึงหน้าห้องห้องหนึ่ง จู่ ๆ ประตูก็เปิดออกจนเกือบกระแทกหน้า
พนิชตกใจแต่เบี่ยงตัวหลบทัน เป็นฉัตรฉายเปิดประตูผัวะออกมาพอดี
และพอเห็นพนิชก็ชี้หน้าตะโกนด่าเสียงดัง เรียกแม่ซึ่งอยู่ในห้องออกมาดูด้วย
“กำลังหาตัวอยู่เลย แม่ ฉันเจอตัวไอ้คนที่ไม่จ่ายค่าห้องแม่แล้ว”
ขณะที่พนิชงงๆ อยู่นั้น โฉมศรีก็ออกจากห้องมามองพนิชอย่างไม่พอใจ
“อยู่นี่เอง คิดว่าหลบหน้าแล้วจะเบี้ยวฉันได้เหรอ”
“ไม่ใช่นะ ผมกำลังหาตัวคุณอยู่เหมือนกัน จะคุยเรื่องค่าห้องนี่ล่ะ”
โฉมศรีมองเหยียดพนิช ทำหยิ่งใส่
“พูดแบบนี้จะขอลดสิท่า ฉันไม่ใจดีลดให้หรอกนะบอกให้ ไม่เก็บเพิ่มที่พวกนักท่องเที่ยวมาทำห้องฉันเยินก็บุญแล้ว”
“เปล่า ผมจะจ่ายเต็มราคาแต่ขอเลื่อนเวลาออกไปหน่อย”
ฉัตรฉายแทรกขึ้น “นั่นไงแม่ ไม่ลด แต่เลื่อน ต่างกันตรงไหน”
“จะจ่ายหรือไม่จ่าย ไม่จ่ายก็เก็บของออกไป”
พนิชหน้าเสีย พยายามพูดดีๆ ให้สองแม่ลูกใจเย็นๆ
“ผมมีเหตุจำเป็น ผมต้องอยู่ที่นี่จริงๆ ฟังผมก่อน”
“ไม่ฟัง” โฉมศรีบอกฉัตรฉายว่า “ฉายไปเอาปืนพ่อมา แม่จะจัดการเอง”
ฉัตรฉายจะไปตามคำสั่ง พนิชตกใจ ตาเหลือก ยกมือไหว้โฉมศรีปลกๆ รีบพูดอธิบายรัวๆ
“อย่าทำผมเลย ผมมาง้อนลินแฟนผม ตอนนี้ผมเดือดร้อนมาก เพิ่งออกจากงานเงินก็ไม่มี เห็นใจผมหน่อยเถอะนะ”
โฉมศรีชะงักกึก “แฟนเธอ...ชื่ออะไรนะ”
“นลิน ที่อยู่บ้านหลังใหญ่ๆ ข้างบ้านคุณไง ผมมาตามหาเขาที่นี่”
ฉัตรฉายไม่เชื่อนัก หันไปกระซิบกับแม่
“หมอนี่รู้จักยัยนลินจริงเหรอแม่”
“จริง พอดีผมมีปัญหากับเขา ผมเลยอยากเคลียร์” พนิชเอามือถือเปิดให้ดูรูป “นี่ไงรูปผมตอนเป็นแฟนกับเขา ผมไปหาเขามาแล้วเขาไม่พูดด้วยแถมมีอาการแปลกๆ อีก เลยอยากอยู่สืบต่อให้รู้เรื่อง”
โฉมศรีได้ยินก็หูผึ่งตาลุกวาว อยากรู้ขึ้นมา
“อาการแปลกๆ...เธอเห็นยัยนลินเป็นอะไร”
“ถ้าผมบอก คุณจะช่วยผมเหรอ” พนิชยักท่าอย่างเป็นต่อ
โฉมศรีพยักหน้าให้ ยิ้มร้ายสมใจออกมา
ในเวลาต่อมา ตฤณฤทธิ์พานายพลดิษย์ คุณหญิงศันสนีย์ และมธุรส มานั่งที่แคร่ใต้ถุนบ้านชมพู่ ศันสนีย์นั่งปั้นปึ่งหน้าบูดกอดอกมองลูกชายอย่างโกรธขึ้ง ตฤณทธิ์ได้แต่เงียบไม่พูดอะไรเลย ชมพู่กับผันเอาขันใส่น้ำฝนมารับรองสามคน
“น้ำเย็นๆ จ้ะ รับรองชื่นนนใจ”
ชมพู่ยื่นให้ศันสนีย์ แต่กลับถูกมองตาขวางวางท่าเจ้ายศเจ้าอย่างใส่
“น้ำอะไร ได้กรองรึเปล่า สะอาดไหมก็ไม่รู้”
“สะอาดสิจ๊ะ น้ำฝนจากธรรมชาติแท้ๆ ต้มแล้วด้วย คุณนายลองกินสิ”
พร้อมกับว่าผันยื่นอีกขันใส่หน้า ศันสนีย์เบี่ยงตัวหลบร้องโวยวาย หันไปต่อว่าตฤณฤทธิ์แทน
“ตฤณ ลูกหนีแม่มาที่แบบนี้น่ะเหรอ กินอยู่หลับนอนเข้าไปได้ยังไง”
“อยู่ได้สิครับ ที่นี่มีแต่ธรรมชาติ อากาศก็บริสุทธิ์ น้ำที่ผันบอกว่าสะอาดก็สะอาดจริงๆ ชาวบ้านเขาไม่โกหกหรอกครับ”
ศันสนีย์เบะปาก ไม่พอใจ ฝ่ายดิษย์แทนที่จะช่วยพูดอะไรบ้างกลับคว้าขันน้ำฝนมาดื่มชวนมธุรสคุย
“สดชื่นอย่างที่เขาว่านะคุณ หนูรสก็เคยดื่มใช่ไหม”
“ค่ะ ตอนรสอยู่ที่หมู่บ้านนี้ก็ได้ดื่มประจำ”
ศันสนีย์หน้าเหวอที่ไม่มีใครช่วย ผันกับชมพู่พากันยิ้มขำ คุณหญิงเลยเชิดคอใส่แล้วเปลี่ยนเรื่อง
“ยังไงฉันก็ไม่โอเค ตฤณจะต้องกลับบ้านกับแม่ วันนี้”
ตฤณฤทธิ์อึกอัก “ผม...ยังกลับไม่ได้หรอกครับ”
“ทำไมกลับไม่ได้”
“ผมรู้ครับว่าแอบหนีมามันทำให้แม่ไม่พอใจ แต่ผมอยากให้แม่รู้ว่าต่อให้แม่บังคับผมแค่ไหน ผมก็เลิกทำงานนี้ไม่ได้ เพราะมันเป็นงานที่ผมรัก”
ตฤณพยายามอธิบายเหตุผล ศันสนีย์หันไปขอให้ดิษย์ช่วย
“คุณพูดอะไรบ้างสิ เราอุตส่าห์มาถึงนี่แล้ว ลูกไม่เห็นใจเราเลย”
“ผมเข้าใจลูกนะ คุณก็ต้องเชื่อลูกบ้างยอมๆลูกไปก็จบแล้ว”
“คุณดิษย์”
“คุณลุงคุณป้าใจเย็นๆนะคะ รสว่ากลับไปก่อนดีกว่าค่ะ”
มธุรสพยายามปลอบ แต่ศันสนีย์โกรธจัด ยังไงก็ไม่ยอม
“ไม่หนูรส ในเมื่อเล่นไม้นี้ ป้าก็จะเอาบ้าง ถ้าตฤณไม่กลับ ป้าก็ไม่กลับเหมือนกัน”
ทุกคนหันไปมองศันสนีย์เป็นตาเดียวกัน ตฤณฤทธิ์มีสีหน้าลำบากใจสุดๆ
มีเสียงรถยนต์แล่นมาจอดริมรั้วหน้าบ้าน นวลได้ยินจึงเดินออกไปดู
พอเปิดประตูออกก็เจอพลเพิ่มกับปัณรีเดินเข้ามายิ้มทักทาย ปัณรีถามนวลด้วยน้ำเสียงเป็นมิตร
“สวัสดีค่ะ ฉันต้องการพบคุณลิน คุณลินอยู่ไหมคะ”
นวลไม่รู้จักปัณรีแต่จำพลเพิ่มที่มาร่วมงานศพยายเพียร ตอบกลับอย่างเย็นชาไม่เป็นมิตรและระวังตัว
“คุณหนูไม่อยู่”
“จริงเหรอคะ พี่พล แบบนี้เราก็มาเสียเที่ยวน่ะสิ”
ปัณรีหันไปถามพี่ชาย พลเพิ่มเข้ามาคุยเอง
“พวกผมเป็นเพื่อนคุณลินครับ เราอยากเจอเธอ ขอโทษที่ไม่ได้นัดก่อน แต่...”
นวลสวนออกมาเสียงแข็ง “คุณหนูไม่อยู่ เชิญคุณกลับไปเถอะค่ะ”
ปัณรีเริ่มหงุดหงิดกับท่าทางเย็นชาของนวล ตำหนิออกไป
“เอะอะก็ปฏิเสธท่าเดียว ไม่คิดจะฟังเหตุผลกันหน่อยหรือไง”
“คุณต่างหากที่ไม่ฟัง ฉันบอกเหตุผลของฉันไปแล้ว ฉันไม่สนว่าคุณเป็นใครมาจากไหน แต่ถ้าไม่นัดไว้ ฉันก็ไม่อนุญาตให้เข้าไป”
นวลโต้กลับเสียงขึงขังท่าทีจริงจัง ปัณรีไม่ยอมทำท่าจะเถียงอีก จนมีเสียงนลินดังขึ้น
“ไม่เป็นไรค่ะป้านวล”
นลินเดินออกมาหา นวลหันไปมองแล้วเงียบไป ปัณรีได้ทีแทรกขึ้นมาอย่างสะใจ
“ไหนว่าไม่อยู่ไง แล้วนี่ใครล่ะคะ”
พลเพิ่มดึงแขนปัณรีให้หยุดบ่น นลินหันมาหานวล
“เขาเป็นเพื่อนลินจริงๆ ค่ะ ให้เขาเข้าบ้านเถอะ”
นวลพยักหน้า แล้วถดตัวถอยเปิดทางให้พลเพิ่มกับปัณรีเดินเข้าบ้าน ปัณรียิ้มเยาะนวลสะใจนิดๆ
ปัณรีกับพลเพิ่มนั่งอยู่ในห้องรับแขกชั้นล่างบ้านยายเพียรแล้ว นวลเอาน้ำมาเสิร์ฟให้แล้วถอยออกไปคอยยืนมองอยู่ห่างๆ ปัณรีมองไปรอบๆ บ้าน เห็นของเก่ามากมาย
“ปัณรู้จากพี่พลว่าคุณลินชอบของเก่าใช่ไหมคะ”
“ค่ะ ฉันสนใจเกี่ยวกับของเก่า โบราณวัตถุ เลยพยายามสอบเข้าไปเรียนแล้วก็ทำงานด้านนี้ เสียดายที่ตอนนี้ไม่ได้ทำแล้ว”
สีหน้าแววตานลินเศร้าลงวูบหนึ่งเมื่อพูดเรื่องนี้ พลเพิ่มเอ่ยขึ้น
“ผมเสียดายความสามารถคุณลินนะครับ จะเป็นไปได้ไหมถ้าผมอยากให้คุณลินไปช่วยงาน”
พลเพิ่มถามหยั่งเชิงออกไป นลินมองฉงน ท่าทีลังเล
“ฉันคงช่วยคุณพลเพิ่มไม่ได้มากหรอกค่ะ”
“ช่วยได้สิครับ ผมเห็นแววตั้งแต่ตอนไปทำงานที่ปราสาทกับคุณลินแล้ว”
“ใช่ค่ะ ปัณก็เห็น คุณลินต้องช่วยงานพี่พลได้ดีแน่ๆ”
ปัณรีอวยช่วยพี่ชายเต็มที่ แต่นลินก็ยังดูลำบากใจอยู่อย่างเก่า
“หรือว่าคุณลินไม่อยากทำงานกับผม”
“เปล่าค่ะ แต่ฉันยังมีอะไรต้องทำ ไว้ถ้าสะดวกแล้วฉันจะติดต่อไปนะคะ”
พลเพิ่มเยื้อนยิ้มพอใจ ปัณรีจับมือลินแสร้งทำเป็นดีใจมาก
“ได้สิคะ แค่นี้พี่พลก็ดีใจแล้ว”
ปัณรีหันไปยิ้มให้พลเพิ่มเหมือนรู้กัน พลเพิ่มพูดต่อ
“งั้น...เพื่อโอกาสที่เราจะได้ทำงานด้วยกันในอนาคต วันนี้ผมขอชวนคุณลินไปกินข้าวนอกบ้านด้วยกันสักมื้อได้ไหมครับ”
นลินมีสีหน้าแปลกใจกับคำชวนดังกล่าว
ถัดมา นลินขึ้นมายังห้องนอนชั้นบน หยิบเสื้อผ้าออกมาจะเปลี่ยน มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น นลินเดินไปเปิดให้เจอชลันตียืนอยู่และเข้าห้องมาปิดประตูลง ผู้เป็นป้ารู้เรื่องจากนวลแล้วรีบถามนลิน ด้วยสีหน้าไม่สบายใจ
“ลินจะออกไปข้างนอกกับสองคนนั้นเหรอ”
นลินแปลกใจที่เจอคำถามนี้ ตอบไปโดยไม่คิดอะไร
“ค่ะ เขามาชวนไปกินข้าวแถวนี้เอง แป๊บเดียวเดี๋ยวก็กลับ”
“ป้าเพิ่งเตือนให้ลินระวัง แล้วนี่จะออกไปอีก ไม่ห่วงตัวเองเลยหรือไง” ชลันตีเสียงขุ่น
“ลินไม่ได้ไปไหนไกลนี่คะ”
“ใกล้หรือไกลลินก็ต้องระวัง คนที่มาชวนลินไว้ใจได้จริงหรือเปล่าก็ไม่รู้”
“แต่เขาเคยช่วยลินไว้นะคะ แถมเคยทำงานด้วยกันอีกต่างหาก”
“เคยช่วยไว้ ใช่ว่าจะเป็นคนดีจริงๆนะลิน”
สีหน้าอันเครียดเคร่งของชลันตี นลินมองอย่างเข้าใจ
“ป้าตีเป็นห่วงลินเรื่องที่ลินเป็น... ใช่ไหมคะ”
“รู้แล้วทำไมยังอยากไปอีก อยากกินข้าวชวนเขากินที่นี่ก็ได้”
นลินเข้าไปจับมือชลันตี พูดปลอบ
“เพราะลินอยากตอบแทนบุญคุณเขาค่ะ แล้วอีกอย่าง ยิ่งลินเก็บตัวมากเท่าไหร่ มันยิ่งทำให้ลินน่าสงสัยมากขึ้นเท่านั้น จริงไหมคะ”
ชลันตีถอนหายใจ “ทำไมลินดื้อแบบนี้นะ”
“ให้ลินใช้ชีวิตปกติเหมือนที่เคยเป็นเถอะค่ะ อย่างน้อยก็ทำให้ลินรู้สึกว่าตัวเองยังเป็นมนุษย์คนหนึ่งอยู่”
ชลันตีอึ้งไปพูดอะไรไม่ออกอีก ยอมจำนนในเหตุผลของนลิน
ร้านอาหารเล็กๆ แห่งนี้อยู่ไม่ไกลจากตลาดบ้านดอนป่าหวายมากนัก บรรยากาศเหมือนร้านอาหารตามต่างจังหวัดที่เปิดรับรองนักท่องเที่ยวทั่วไปและคนมีฐานะในพื้นถิ่น พลเพิ่มพาปัณรีกับนลินเข้ามานั่งในร้านนั้น พลเพิ่มชวนนลินคุย
“ร้านไม่ได้หรูหราอะไร คุณลินคงไม่ว่าอะไรนะครับ”
“ไม่เป็นไรค่ะ ลินกินที่ไหนก็ได้”
ถึงปัณรีไม่ชอบสภาพร้าน แต่อยากช่วยพลเพิ่มเลยต้องแอ๊บไว้
“เราสั่งอาหารกันดีกว่านะคะ เดี๋ยวจะรอนาน”
ปัณรีจะเรียกเด็กในร้านมาสั่งอาหาร ระหว่างนี้มีเสียงลูกต้าอีกกลุ่มใหญ่เดินเข้ามาในร้าน
“นี่ดีที่สุดในหมู่บ้านแล้วเหรอตาตฤณ” เสียงคุณหญิงศันย์สนีย์บ่นบ้าดังขึ้น
นลินได้ยินชื่อตฤณฤทธิ์ก็หันไปตามเสียง เห็นเขาพาศันสนีย์ ดิษย์และมธุรสเข้ามาในร้าน
“ครับ ปกติผมก็กินที่นี่ ถ้าคุณแม่ไม่ชอบ...”
ศันสนีย์ตัดบท “แม่กินได้ ตฤณกินอะไร แม่ก็กินได้ หาที่นั่งกันเถอะ”
ศันสนีย์เดินนำไป นลินอึ้งที่เจอตฤณฤทธิ์อย่างคาดไม่ถึง
ด๊อกเตอร์ตฤณเดินผ่านโต๊ะ เจอนลินอยู่กับพลเพิ่มก็ทำตัวไม่ถูก จึงเดินผ่านไปเงียบๆ โดยไม่พูดอะไร ปัณรีเห็นตฤณฤทธิ์ก็ตื่นเต้นกระดี๊กระด๊า
“พี่พล นั่นพี่ตฤณนี่ เขามากับพ่อแม่เขา เราไปทักเขาดีไหม”
พลเพิ่มลอบมองท่าทีนลินก่อนตอบ
“เอาสิ ทักทายผู้ใหญ่สักหน่อย”
ปัณรียิ้มกว้าง ขณะที่นลินมีท่าทีอึดอัด
ตฤณฤทธิ์พาสามคนมานั่งที่โต๊ะอีกมุมหนึ่งในร้าน ศันสนีย์มองโต๊ะที่นั่งแล้วไม่พอใจ หันไปบอกเด็กเสิร์ฟที่ยืนรอรับออเดอร์
“นี่เธอ โต๊ะตรงนี้ไม่สะอาดเลย ฉันแตะดูมีแต่ฝุ่น ย้ายได้ไหม”
มธุรสหันไปมองโต๊ะอื่นๆ พบว่าลูกค้านั่งเต็มหมด
“เกรงว่าจะไม่สะดวกนะคะคุณป้า เดี๋ยวรสบอกให้เขาเช็ดโต๊ะใหม่ก็ได้ค่ะ”
“หนูรสนั่งเฉยๆ จ้ะ ป้าคุยเอง” คุณหญิงไม่ยอมบอกเด็กเสิร์ฟ “เธอไปตามเจ้าของร้านมาคุยกับฉันหน่อย ทำร้านอาหารประสาอะไร ให้ลูกค้านั่งโต๊ะสกปรกแบบนี้”
นายพลดิษย์พูดปรามไม่อยากให้วุ่นวาย
“คุณอย่าทำให้เป็นเรื่องใหญ่ได้ไหม มันก็ไม่ได้เลอะอะไรนักหนา”
“อะไรไม่ดีมันต้องปรับปรุงสิ จะปล่อยไปแบบนี้ไม่ได้หรอก” คุณหญิงไม่ยอมท่าเดียวแหวใส่เด็กเสิร์ฟ “เฉยทำไมล่ะจ๊ะ ทำตามที่ฉันบอกสิ”
เด็กเสิร์ฟอึ้งๆ พยักหน้าจะไปตามให้ มีเสียงพลเพิ่มดังขัดขึ้นก่อน
“ถ้าคุณหญิงไม่สะดวก ไปนั่งรวมโต๊ะเดียวกับพวกเราได้นะครับ”
ศันสนีย์หันไปตามเสียง เจอพลเพิ่ม ปัณรี และนลินเดินเข้ามา ศันสนีย์วางท่า มองสามคนหัวจรดเท้า
“พวกคุณเป็นใคร”
ตฤณฤทธิ์แนะนำทั้งสามคนให้พ่อแม่รู้จัก
“แม่ครับ นี่คุณพลเพิ่มเป็นนักการเมืองที่นี่ กับคุณปัณรีน้องสาว ส่วนนี่คุณนลิน อดีตเจ้าหน้าที่กรมฯ ทุกคนเคยช่วยงานสำรวจปราสาทกับผมครับ”
ทั้งสามยกมือไหว้ดิษย์และศันสนีย์ ตฤณฤทธิ์มองหน้านลิน แต่เธอหลบสายตา ตฤณฤทธิ์จะแนะนำพ่อแม่ต่อ แต่พลเพิ่มพูดก่อน
“ผมรู้จักท่านทั้งสองแล้วครับ เคยแต่ได้ยินชื่อท่านนายพลดิษย์กับคุณหญิงศันสนีย์ตามสื่อ ไม่คิดว่าจะได้เจอตัวจริงที่นี่”
ศันสนีย์เห็นพลเพิ่มรู้จักตนก็ยิ้มยืดอย่างพึงพอใจ
“ยินดีที่รู้จักเช่นกันนะ เมื่อกี้คุณบอกให้เราไปนั่งด้วยใช่ไหม”
ปัณรีแทรกขึ้นเพื่อเอาใจทั้งดิษย์และศันสนีย์
“ใช่ค่ะ เห็นว่าคุณหญิงป้าไม่สะดวก ปัณเลยเสนอพี่พลให้ลองชวนดู ปัณให้เด็กเขาทำความสะอาดไว้แล้ว รับรองไม่มีปัญหาค่ะ”
ปัณรีจิกสายตามองเย้ยไปทางศัตรูหัวใจ มธุรสไม่พอใจ แต่ศันสนีย์ยิ้มแต้ยินดีมาก
“เอาสิจ๊ะ ตกลงตามนี้”
ศันสนีย์ลุกเดินนำคนอื่นไป ตฤณลุกตามแต่แอบมองนลินไปด้วย
ตฤณฤทธิ์ ศันสนีย์ ดิษย์ และมธุรสมานั่งรวมโต๊ะเดียวกับพลเพิ่ม ปัณรีและนลิน ปัณรีไปนั่งข้างด๊อกเตอร์ตฤณขนาบข้างด้วยมธุรสที่อยู่อีกฝั่ง สองสาวสวยคอยมองจิกใส่กันเป็นระยะ
ดิษย์และศันสนีย์นั่งตรงข้าม มีพลเพิ่มนั่งข้างดิษย์คุยกันสัพเพเหระ นลินนั่งติดพลเพิ่ม ตฤณฤทธิ์คอยลอบมองนลินอยู่ตลอดเวลา
ไม่นานนัก อาหารที่สั่งเริ่มถูกนำมาเสิร์ฟโต๊ะวีไอพี มธุรสเอาใจศันสนีย์
“ของโปรดคุณป้ามาแล้วค่ะ รสตักให้นะคะ”
“อุ๊ย ไม่ต้องจ้ะ ป้าตักเองได้ หนูรสไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น” คุณหญิงเรียกลูกชาย “ตฤณ”
“ครับแม่”
“ตักยำตรงนั้นให้น้องหน่อยสิลูก หนูรสชอบทานยำ ใช่ไหมจ๊ะ”
ตฤณทำตามที่มารดาบอก มธุรสรู้ว่าศันสนีย์สนใจตนมากว่าก็ยิ้มเยาะปัณรีบ้าง ปัณรีได้แต่เจ็บใจ
นายพลดิษย์เห็นท่าทางศันสนีย์ก็ถอนหายใจหน่ายๆ หันไปทางพลเพิ่ม
“ถ้ารู้สึกอึดอัดไม่ชอบใจอะไร ก็ปล่อยผ่านไปบ้างนะ อย่าถือสาเลย”
“ไม่เป็นไรครับ ผมยังไงก็ได้”
นลินนั่งเงียบๆ มองศันสนีย์ที่คอยบอกให้ลูกชายเอาใจมธุรส ส่วนปัณรีก็แย่งตักอาหารให้ตฤณฤทธิ์ไม่ปล่อย นลินเริ่มอึดอัดมากขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดก็ลุกขึ้น
“ขอตัวไปห้องน้ำนะคะ”
นลินพูดจบก็เดินออกไปเลย ทุกคนงงๆ ศันสนีย์ไม่ได้สนใจ ตฤณฤทธิ์มองตามนลินอย่างเป็นห่วง
พอล้างหน้าล้างตาทำจิตใจให้สงบลง นลินเดินออกจากห้องน้ำมาเจอตฤณฤทธิ์ดักรออยู่ เธอไม่อยากคุยด้วย จึงเดินเลี่ยงหนี แต่ตฤณฤทธิ์ไม่ให้ไป ยืนขวางทางอยู่แบบนั้น
“ขอทางหน่อยค่ะ”
“ผมมีเรื่องอยากคุยกับคุณ”
นลินชะงักมองหน้าตฤณฤทธิ์ กลัวจะถูกเขาถามเรื่องเหตุการณ์ที่บ้านชุมกับพัดคืนก่อน
“ฉันไม่ค่อยสะดวก ไว้ค่อยคุยทีหลัง”
“ที่บ่ายเบี่ยง ไม่ใช่เพราะอยากรีบกลับไปหาคุณพลเพิ่มหรอกเหรอ”
นลินแปลกใจ ไม่คิดว่าตฤณฤทธิ์จะพูดแบบนี้
“คุณพูดเรื่องอะไร ทำไมต้องฉันอยากกลับไปหาเขาด้วย”
“ผมเห็นคุณยอมออกมากินข้าวกับเขา แต่กับผมคุณกลับหลบหน้า กลัวคุณพลเพิ่มจะเข้าใจผิดงั้นเหรอ” น้ำเสียงประชดประชันของด๊อกเตอร์รูปงามที่วี่แววหึงหวงปนอยู่ด้วย
“ฉันไม่ได้เป็นอะไรกับคุณพล ทำไมต้องกลัว”
“คุณพล คุณสนิทขนาดเรียกชื่อเล่นกันได้ตั้งแต่เมื่อไหร่”
นลินชักโมโหประชดกลับ “ฉันจะเรียกใครยังไงมันก็เรื่องของฉัน ว่าแต่...คุณก็ไม่เบานี่ มีแต่คนแย่งกันเอาใจ ระวังสำลักกับข้าวนะคะ”
นลินเดินเลี่ยงตฤณฤทธิ์กลับไปที่โต๊ะจนได้
ตฤณฤทธิ์โมโหตัวเองที่พูดออกไปโดยไม่คิด จะขอโทษแต่นลินเดินหายไปแล้ว
อีกฝั่ง ที่บริเวณริมรั้วบ้านยายเพียร เวลาเดียวกันนี้ เห็นพนิชกับเบาเดินย่องเข้ามาราวกับนักสืบก็ไม่ปาน
เบาหิ้วกระเป๋าใส่ของใบใหญ่มาด้วย พนิชชะเง้อมองเข้าไปในบ้านยายเพียร
เบาก้มลงเปิดกระเป๋าออก เผยให้เห็นอุปกรณ์พวกกล้องส่องทางไกล กล้องวิดีโอ ชุดใหญ่
“คุณนี่เจ๋งจริงๆ ไม่รู้พูดยังไง คุณนายจอมเค็มถึงยอมขุดกรุให้คุณเอาของพวกนี้ออกมาใช้ได้”
เบาเอาของออกมาใช้ผ้าเช็ดมองอย่างชื่นชม พนิชมองรำคาญ
“รีบเตรียมของกับหาที่ซ่อนตัวได้แล้ว”
เบาทำเสียงจิ๊จ๊ะในลำคอ ท่าทีหงุดหงิดแล้วหยิบกล้องออกมา
“จะซ่อนตรงไหนล่ะคุณ”
พนิชสอดส่องมองดูรอบๆ หาที่ซุ่ม
“เราแอบเอากล้องเข้าไปตั้งในบ้านนั้นเลยไม่ได้รึไง”
พนิชชี้ไปทางบ้านยายเพียร เบาทำหน้าเหยเก แหยงๆ
“ไม่มีทาง ผมไม่เข้าไปในบ้านนั้นเด็ดขาด”
“นายแกสั่งให้มาช่วยดูบ้านนั้นกับฉัน แกจะขัดคำสั่งงั้นเหรอ” พนิชวางอำนาจใส่
“ผมไม่อยากขัดหรอก แต่คุณเชื่อผม อย่ายุ่งกับบ้านนั้นถ้าไม่จำเป็น จะทำอะไรรอดูอยู่ข้างนอกนี่ดีกว่า เดี๋ยวจะซวยไม่รู้ตัว”
พนิชทำหน้างงๆ แต่พอนึกถึงเรื่องที่เคยเจอในบ้านก็ยอม มองหาที่ซ่อนต่อ
“ก็ได้ แล้วมันมีที่ไหนพอให้ซ่อนได้บ้าง”
“ถ้าตั้งกล้องโต้งๆ ตรงนี้ไม่ดีแน่ผมว่า...ตรงนั้น”
เบาชี้ขึ้นไปบนต้นไม้ พนิชแปลกใจ
ส่วนที่ร้านอาหาร ศันสนีย์คุยกับปัณรีอย่างออกรส จนกระทั่งนลินเดินกลับมานั่งข้างพลเพิ่ม ตฤณฤทธิ์ตามมานั่งที่เดิม แต่สายตามองแต่นลิน
ศันสนีย์มองปราดเดียว เห็นท่าทีผิดปกติของลูกชาย คิดบางอย่างได้ เรียกนลิน
“หนูจ๊ะ”
นลินมองไปทางตฤณฤทธิ์ ไม่ได้ยินที่ศันสนีย์เรียก จนศันสนีย์เรียกย้ำอีก
“หนูที่นั่งข้างคุณพลเพิ่มน่ะจ้ะ ฉันวานหน่อยสิ”
นลินรู้ตัว หันไปทางศันสนีย์ มธุรสเอ่ยขึ้น
“คุณป้าคะ คุณลินมากับคุณพลเพิ่ม ไม่ใช่เด็กในร้านนะคะ”
“ป้ารู้จ้ะ แต่เห็นเด็กในร้านยุ่ง นี่หนู ฉันวานเติมน้ำให้หน่อยได้ไหม” ศันสนีย์ถามหยั่งเชิง
“ได้ค่ะ”
นลินลุกเดินไปหยิบเหยือกน้ำจะเอาไปเติมให้ศันสนีย์ /ศันสนีย์ลอบมองนลินแล้วถามขึ้น
“ฉันเห็นหนูเงียบๆ เลยไม่ได้ถาม หนูเป็นแฟนของคุณพลเพิ่มเหรอจ๊ะ”
นลินชะงัก เสียสมาธิจนเผลอทำน้ำหกลงไปเลอะกระเป๋าหรูของศันสนีย์บนโต๊ะ คุณหญิงตกใจร้องลั่น
“ว้าย กระเป๋าฉัน”
“ขอโทษค่ะ”
นลินวางเหยือกรีบหยิบทิชชู่มาเช็ดกระเป๋าให้ คนในร้านเริ่มหันมามองจากเสียงคุณหญิง
ศันสนีย์ดึงกระเป๋ากลับมาแล้วตวาดใส่นลินเสียงดังลั่นร้าน
“นี่เธอ ไม่มีตาหรือไง ทำไมไม่ระวัง รู้ไหมกระเป๋าใบนี้ราคาเท่าไหร่”
“น...หนู ขอโทษค่ะ”
ตฤณฤทธิ์เห็นสถานการณ์ไม่ดี ลุกขึ้นไปห้ามศันสนีย์
“คุณแม่ครับ มันเป็นอุบัติเหตุ อย่าว่าคุณลินเลย”
“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับลูก” คุณหญิงมองนลินตาเขียว “ทำอะไรหัดมีสติซะบ้าง ฉันเรียกเมื่อกี้ก็ไม่ฟังทีนึงแล้วนะ”
ปัณรีมองสถานการณ์อยู่ แต่ไม่ได้คิดจะเข้าไปช่วย กลับเป็นพลเพิ่มที่เข้าไปคุยแทน
“เดี๋ยวผมจะรับผิดชอบแทนคุณลินเอง คุณหญิงใจเย็นๆก่อนนะครับ”
“ไม่ต้องจ้ะ ฉันไม่เย็นแล้วก็ไม่มีอารมณ์จะกินข้าวต่อแล้วด้วย ใครอยากอยู่ก็อยู่ไปนะ ฉันจะกลับ”
ศันสนีย์ลุกเดินกระแทกเท้าปึงปังออกจากร้านไปเลย ดิษย์กับมธุรสลุกตามออกไป นลินหน้าเสีย
ตฤณฤทธิ์มองนลินเหมือนจะพูดอะไรสักอย่าง แต่พอเห็นพลเพิ่มเข้าไปแตะแขนนลินอย่างเป็นห่วง ก็หน้าเศร้าลง เดินตามสามคนออกไป
รถพลเพิ่มแล่นมาจอดตรงริมถนนหน้าประตูบ้านยายเพียร พลเพิ่มเดินลงมาส่งนลินพร้อมปัณรี นลินยังดูซึมๆ จากเรื่องที่ร้าน ปัณรีสังเกตเห็น สะกิดแขนพลเพิ่มพยักพเยิดไปทางนลิน
“คุณลิน...ขอบคุณมากนะครับที่ไปกับพวกเราวันนี้”
นลินยิ้มตอบพลเพิ่มตามมารยาท
“ลินก็ต้องขอบคุณคุณสองคนเหมือนกันค่ะที่ชวน ปกติไม่ค่อยได้ออกไปไหนมาไหนในหมู่บ้านเลย”
“วันหลังถ้าคุณลินอยากไปไหนอีกบอกพี่พลได้นะคะ”
พลเพิ่มมองปัณรีดุ แต่ไม่ได้ปฏเสธ ปัณรียิ้มลอยหน้าลอยตา
“ฉันคงไม่ค่อยได้ไปไหนหรอกค่ะ ต้องช่วยป้าตีดูแลที่นี่”
“คนเคยทำงานทุกวัน อยู่แต่บ้านจะสนุกเหรอครับ”
นลินหน้าเจื่อนไปนึดหนึ่ง แต่รีบเก็บอาการ
“เดี๋ยวคงปรับตัวได้ค่ะ ออกไปก็สร้างปัญหาเปล่าๆ”
“ถ้าคุณลินหมายถึงวันนี้ล่ะก็ มันสุดวิสัยนะคะ ปัณเชื่อค่ะว่าถ้าใครรู้จักตัวตนคุณลินเขาต้องชอบแน่ๆ จริงไหมพี่พล”
พลเพิ่มมองหน้านลิน อึกอักนิดๆ
“ครับ”
“แต่ฉันว่าถ้าพวกคุณรู้ว่า จริงๆ แล้วฉันเป็นยังไง คุณอาจจะเสียใจก็ได้นะคะ”
ปัณรีแปลกใจ “คุณลินพูดอะไรอย่างนั้นคะ ไม่จริงหรอก
นลินยิ้มกลบเกลื่อน พลเพิ่มชวนปัณรีกลับ
“พอได้แล้วปัณ รบกวนคุณลินมามากแล้ว เรากลับกันเถอะ”
“โอเคค่ะ ไว้ปัณกับพี่พลมาใหม่นะคะ”
พลเพิ่มกับปัณรีเดินไปขึ้นรถขับออกไป นลินมองตามเอามือจับที่คอตัวเอง หน้าเศร้าลง
กล้องส่องทางไกล ยังคงส่องไปที่บ้านยายเพียรแต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เบานั่งอยู่บนกิ่งไม้ ขยับตัวอย่างยากลำบาก แถมต้องคอยเอามือตบป้าบเข้าไปที่แขนตัวเอง บ่นบ้าออกมา
“จะกัดไปถึงชาติหน้าเลยไหม ยุงพวกนี้ ปั๊ดโธ่”
พนิชรำคาญ “เงียบๆ หน่อยได้ไหม เดี๋ยวใครผ่านมาก็ได้ยินหรอก”
เบาฮึดฮัดๆ แล้วเงียบเสียงลง พนิชยกกล้องวิดีโอถ่ายอยู่อีกฝั่ง
“ใครที่คุณว่านั่นใคร หมาซักตัวยังไม่เห็น”
“หรือจะให้คนเห็นก่อนแล้วค่อยโวยวาย ส่องต่อไป อย่าพูดมาก”
พนิชยกกล้องวิดีโอขึ้นชะเง้อมองไปที่ตัวบ้าน แต่รอบข้างยังเงียบสนิท สักพักก็มีแสงไฟลักษณะเป็นดวงวาบๆ ออกมาจากทางตัวบ้าน พนิชทะลึ่งตัวขึ้นชี้ไปอย่างตื่นเต้น
“เฮ้ย นั่น”
เบาสะดุ้งท่าทางเลิ่กลั่กมองตาม
“อะไรๆๆ ไหน อะไร”
เบาลุกขึ้นส่องกล้องไป มือจะคว้ากิ่งไม้พยุงตัว แต่ดันวืดเสียหลัก
“เฮ้ยๆๆ อ๊าก!”
พนิชหันไปมองจะจับตัวเบาไว้ แต่ไม่ทันแล้ว ร่างเบาร่วงตกต้นไม้ลงไปที่พื้น พนิชอึ้งจะตามลงไป แต่ได้ยินเสียงคนเดินมาทางต้นไม้ก่อนจึงรีบหลบซ่อนตัว
บริเวณไม่ไกลจากต้นไม้นั้น นลินเดินหาสัญญาณโทรศัพท์มาบริเวณนั้น เธอโทร.หากวิตาที่กรุงเทพฯ
“ฮัลโหล ต้าเหรอ…พอดีตอนนี้มีเรื่องนิดหน่อย อยากให้แกช่วย”
นลินคุยสายกับกวิตาต่ออีกสักพัก
บนต้นไม้เห็นพนิชซุ่มอยู่ ส่วนใต้ต้นไม้เบานอนตัวเกร็งทำตัวลีบเล็กกลัวนลินเห็น แต่นลินไม่ได้มองมา นลินคุยโทรศัพท์เสร็จก็เดินกลับเข้าบ้านยายเพียร
พนิชรอจนแน่ใจว่านลินไปแน่แล้วจึงมองหาเบา แต่เบาลุกพรวดขึ้นมาก่อน จับเอวตัวเองหน้าเหยเก หอบข้าวของเดินออกไป พนิชตกใจว่าเบาจะไปไหน ตะโกนเรียกไว้จากบนต้นไม้
“เฮ้ย แกจะไปไหน จะทิ้งฉันไว้ที่นี่เหรอ”
เบาตะโกนตอบโดยไม่หันมา “ยุงก็เยอะ มืดก็มืด เฝ้ามาสามชาติยังไม่เจออะไรเลย แถมพามาซวยอีก อยากอยู่ก็อยู่ไปเองเหอะคุณ ลาล่ะ”
เบาเดินจ้ำหนีไปเลย พนิชเซ็งจัด
จวบจนรุ่งสาง พนิชยังนั่งสัปหงกอยู่บนต้นไม้ที่เดิม แต่ยังไม่มีความเคลื่อนไหวจากบ้านยายเพียร
สักพักหัวของพนิชก็ค่อยๆ เอียงไหลออกจากต้นไม้ที่พิงอยู่ กล้องวิดีโอกำลังจะร่วง พนิชสะดุ้ง รู้สึกตัวขึ้นมารีบคว้ากล้องวิดีโอไว้
“เกือบไปแล้วไหมล่ะ”
พนิชหยิบกล้องมาดู ถอนหายใจโล่งอก มองไปยังท้องฟ้าพลางดูนาฬิกาข้อมือ
“เช้าแล้ว ยังไม่ได้อะไรสักอย่าง”
พนิชหน้าเครียด คิดจะถอดใจ
มีเสียงสวบสาบดังขึ้นอีกครั้ง พนิชตัวแข็งไม่ยอมขยับกลัวจะเป็นคนจากบ้านยายเพียร เสียงคนเดินคุยกันดังแว่วมา เป็นเสียงที่พนิชคุ้นหูมาก
“ผมให้ลูกน้องจัดการทุกอย่างไว้แล้ว คุณพลเพิ่มสบายใจได้ครับ”
เป็นพลเพิ่มกับกำนันสินพร้อมลูกน้อง 2 คนเดินมาบริเวณริมรั้วที่เชื่อมไปบ้านกำนัน
พลเพิ่มกำลังดูเอกสารอะไรบางอย่าง ตอบกำนันสินไป
“ได้ของแล้วผมจะให้ลูกน้องขนไปที่โกดัง คุณให้คนสแตนด์บายไว้แล้วกัน”
“ครับ คุณพลเพิ่มมาเองทั้งที ไม่มีพลาดแน่”
“ผมคงไม่ต้องลงทุนขนาดนี้หรอก ถ้าคราวที่แล้วคนของคุณไม่พลาด”
“ผมไม่นึกว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น มันแปลกมาก”
“แปลกสิ พวกนักวิชาการมันขุดเจอของที่เราควรจะได้ แถมทีมคุณยังทิ้งหลักฐานไว้ที่ปราสาทนั่นอีก ถ้าเกิดอะไรขึ้นกำนันรับผิดชอบได้ไหม”
พลเพิ่มมองดุกำนันสินด้วยแววตาอันน่ากลัว กำนันเงียบไป
“ผมไม่เสี่ยงให้เกิดเรื่องแบบนี้อีกแน่”
พลเพิ่มกับกำนันสินเดินออกไป มีลูกน้องเดินตาม
พนิชตั้งกล้องวิดีโอบันทึกที่สองคนคุยกันไว้ได้ทั้งหมด เขายิ้มเจ้าเล่ห์ออกมา ดวงตาวาววับ
อ่านต่อตอนที่14