สาปกระสือ ตอนที่12 ตฤณฤทธิ์เจอกระสือตัวเป็นๆ
บทประพันธ์และบทโทรทัศน์โดย อาณาจินต์
นลินเดินเข้าบ้านมา เห็นชลันตีและนวลนั่งคุยกันอยู่ที่โถงชั้นล่างด้วยสีหน้าเคร่งเครียด นวลเองก็หันมาเห็นนลินเข้าพอดี
“นั่นไงคะ คุณลินมาพอดี”
นลินลงนั่งคุยด้วย มองสงสัย “คุยอะไรกันอยู่คะ ทำไมดูเครียดกันจัง”
“ลินรู้หรือยังว่ามีนักท่องเที่ยวเข้ามาในหมู่บ้านเรา” ชลันตีปรารภขึ้น
“เห็นแล้วค่ะ ที่บ้านกำนันสินคนเต็มไปหมดเลย”
“ผู้คนเข้ามามากขนาดนี้ต้องเกิดเรื่องแน่” นวลว่า
“แต่ลินว่าดีซะอีก เศรษฐกิจในหมู่บ้านเราจะได้ดีขึ้น”
“ถ้าพวกเขาแค่เข้ามาเที่ยวก็ดีน่ะสิ” ชลันตีบอก น้ำเสียงไม่สบายใจเอาใจ
นลินมองชลันตีอย่างไม่เข้าใจ นวลเลยช่วยอธิบาย
“นังพู่มันเพิ่งมาเล่าให้ฟังว่าพวกนักท่องเที่ยวตั้งใจเข้ามาเพื่อล่ากระสือ”
นลินตกใจ “อะไรนะคะ”
“คงเป็นเพราะข่าวที่ออกไป ทำให้ผู้คนแตกตื่นอยากมาพิสูจน์ว่ากระสือมีจริงตามข่าวหรือเปล่า”
“แล้วเราจะทำยังไงกันดีคะ”
ชลินตีกับนวลคิดหนัก นลินเหมือนนึกอะไรออก
“เอาอย่างนี้ดีไหมคะ เราเอาหมู เอาไก่มาเลี้ยงไว้ที่บ้าน แล้วถ้าลินเป็นกระสือเมื่อไหร่ก็ขังลินไว้ ให้ลินกินหมูกินไก่ของบ้านเรา”
ชลันตีและนวลอึ้งไป ก่อนจะส่ายหน้ากับความคิดดังกล่าว
“ไม่มีประโยชน์หรอกลิน กระสือทุกตนจะมีสัญชาตญาณของนักล่า”
“สมัยคุณท่าน เราก็เคยใช้วิธีนี้ แต่ไม่ได้ผลค่ะ” นวลบอก
นลินมองชลันตีและนวลสีหน้าเครียด
ที่บ้านด๊อกเตอร์ตฤณฤทธิ์ คุณหญิงศันสนีย์ยืนเคาะประตูห้องนอนลูกชายร้องเรียกให้ไปทานอาหาร
“ตฤณ ลงไปกินข้าวได้แล้ว มีแต่ของอร่อยๆ ที่ลูกชอบทั้งนั้นเลย”
เรียกอยู่นาน แต่ทุกอย่างเงียบไม่มีเสียงตอบจนศันสนีย์แปลกใจ
“ตฤณ คุณพ่อรอกินข้าวอยู่นะลูก”
ไม่มีเสียงตอบอีกเช่นเคย ศันสนีย์ลองบิดลูกบิดประตู พบว่าห้องไม่ได้ล็อคจึงเปิดประตูเข้าไป มองหาตฤณฤทธิ์แต่ไม่เห็น
“อาบน้ำอยู่หรือเปล่าลูก”
ศันสนีย์เดินไปที่ห้องน้ำ เห็นประตูห้องน้ำเปิดค้างอยู่ แต่ไม่มีตฤณฤทธิ์ในนั้น คุณหญิงเอะใจ รีบไปดูกระเป๋าเดินทางที่หลังตู้
“กระเป๋าไม่อยู่ ตฤณ”
ศันสนีย์รีบหยิบโทรศัพท์ออกมากดโทร.หาตฤณฤทธิ์ ยินเสียงปลายสายตอบกลับมาว่า
“หมายเลขที่ท่านเรียกไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้”
“ตาตฤณนะ ตาตฤณ ทำไมถึงได้ดื้อแบบนี้”
ศันสนีย์วางสาย บ่นบ้าโวยวายอย่างเจ็บใจ ก่อนจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นได้
พนิชพาตัวเองมาหยุดยืนอยู่ริมรั้วบ้านยายเพียร มองความใหญ่โตของเรือนไม้หลังงาม บนพื้นที่กว้างขวางอย่างตื่นตาตื่นใจจากนอกรั้ว
“หาไม่ยากจริงๆ ด้วย โห...แบบนี้นี่เองถึงได้กล้าออกจากงานมาเสวยสุขบนกองมรดก”
พนิชพยายามชะเง้อมองหานลิน
จู่ๆ นวลโผล่หน้าขึ้นมาจากริมรั้วด้านใน มือถือไม้กวาด พนิชตกใจกระโดดหนี
“เฮ้ย”
นวลจ้องมองพนิชอย่างจับผิด
“คุณเป็นใคร มาทำอะไรลับๆ ล่อๆ แถวนี้”
“ป้า โผล่มาไม่ให้สุ้มให้เสียง”
“คุณคงเป็นนักท่องเที่ยวที่จะมาจับกระสือใช่ไหม”
“เปล่าป้า ผมมาหานลิน นี่บ้านนลินหรือเปล่าครับ”
นวลนึกสงสัย เลยปฏิเสธไปทันที “ไม่ใช่”
พนิชแปลกใจ “ใช่สิป้า ผมถามชาวบ้านมาหมดแล้ว เขาบอกว่าบ้านหลังนี้ล่ะ”
“ไม่ใช่ ไม่มี ไปๆ จะไปไหนก็ไป อย่ามายุ่มย่ามแถวนี้ ไม่งั้นฉันจะแจ้งความข้อหาบุกรุก”
พนิชหน้าเสีย พยายามชะเง้อมองเข้าไปในบ้านเพื่อหานลิน
“บอกให้ไปไงล่ะ”
นวลทำท่าเงื้อไม้กวาด พนิชจึงยอมเดินออกไปอย่างรู้สึกเสียดาย
เวลาโพล้เพล้ใกล้ค่ำเต็มที
เบานั่งดูดเหล้าอุจากไหอยู่กับบาง บนแคร่หน้าเรือน อย่างดื่มด่ำถูกใจรสชาติ
“อึ้ม...ชื่นใจที่ซู้ด.... สมกับที่จะเป็นสุดยอดสินค้าโอท็อปของหมู่บ้านเรา”
“ใช่เลยพี่” บางผสมโรง
“ถ้าเราเอามาขายให้พวกนักท่องเที่ยว รับรองรวยเละแน่”
เบากะบางหัวเราะชอบอกชอบใจ ยกอุชนกันดูดกินอย่างสบายใจเฉิบ
พนิชเดินเซ็งๆ ผ่านมา เบามองไปเห็น ตะโกนเรียกอย่างตื่นเต้น
“อ้าว...คุณนักท่องเที่ยว มาครับ มาลองชิมของดีประจำหมู่บ้านเราหน่อยครับ”
พนิชเดินเข้ามานั่งสมทบกับบางและเบา
เบายกอุในมือส่งให้ พนิชรับมาดูดแก้เซ็ง สองคนมองลุ้นๆ
พนิชมีสีหน้าพึงใจในรสชาติไม่น้อย ส่งไหกลับคืนให้เบา
“ถ้าถูกใจ ก่อนกลับอย่าลืมซื้อติดไม้ติดมือไปด้วยนะครับ” เบาว่ายิ้มๆ
“แน่นอนครับ” พนิชนึกได้ “เอ้อ พี่พอจะรู้จักผู้หญิงชื่อนลิน ที่เพิ่งย้ายมาอยู่ในหมู่บ้านนี้ไหมครับ”
“รู้สิ ก็หลานสาวยายเพียรข้างบ้านกำนันนี่ไง” เบาบอก
“แต่เมื่อกี้ผมไป เห็นป้าที่อยู่ที่บ้านนั้นบอกว่าไม่มีคนชื่อนี้”
บางเริ่มมึนๆ “โอ๊ย คนบ้านนั้นเขาไม่ค่อยสุงสิงกับใครหรอกครับ”
พนิชแปลกใจ “ทำไมเหรอครับ”
เบาโพล่งขึ้น “ก็บ้านนั้นเขาเป็นกระสือ”
พนิชตกใจ “อะไรนะครับ กระสือเหรอ”
“แน่ะๆๆ หูผึ่งอยากล่ากระสือขึ้นมาเลยล่ะซิ” เบายิ้มชอบใจ
“เปล่าครับ ผมแค่แปลกใจ ผมรู้จักลินมาก่อน ไม่น่าเชื่อว่าจะกลายเป็นผีกระสือไปแล้ว”
“ก็ยายเพียรเป็นกระสือ พอแกตาย แล้วใครล่ะจะมาเป็นกระสือต่อ นอกจากหลานที่อยู่ดีๆ ก็โผล่ขึ้นมารับมรดก ใช่ไหมวะไอ้บาง”
บางเมาได้ที่ผสมโรงตามกันไป “ใช่จ้ะ พี่เบาพูดถูก พี่เบาของบางฉลาดที่ซู้ด”
พนิชมีสีหน้าเครียดขึ้นมาทันที
เขานึกคำพูดอชินีที่พูดกับเขาอย่างเจ็บใจว่า “ฉันแน่ใจนะว่าเคยเห็นรอยแผลที่รอบคอมัน วันนี้ฉันกะจะแฉให้ทุกคนรู้ว่ามันเป็นกระสือ แต่ไม่รู้ทำไมรอยมันหายไปได้”
ไหนจะคำพูดเจ๊ปริกเพื่อนบ้านนลิน “ผีค่ะคุณพนิช ผีกระสือ มันกินการ์ฟิลด์ลูกสาวของฉัน”
รวมถึงเจ๊ตุ่ม “เขาเห็นมันลอยป้วนเปี้ยนอยู่บนหลังคาบ้านน้องลินด้วยนะคะ”
พนิชนึกถึงวันที่เขาแอบไปเจอนลินที่ล่นจอดรถของกรม และนลินโกรธจนพุ่งกัดคอเขา
พนิชดึงความคิดกลับมาจับที่คออย่างรู้สึกเสียวๆ ก่อนจะยิ้มชั่วออกมา
ดวงอาทิตย์โผล่พ้นขอบฟ้าสาดแสงระเรื่อในยามเช้า เสียงไก่ขันแว่วดังขึ้น
รถของตฤณฤทธิ์วิ่งเข้ามาในหมู่บ้าน จวนจะถึงหน้าบ้านกำนัน เขาเพ่งมองไปที่ถนนด้านหน้าด้วยความสนใจ รถของตฤณฤทธิ์ค่อยเคลื่อนช้าๆ ผ่านหน้าบ้านกำนัน ตรงไปที่หน้าบ้านยายเพียร ตฤณฤทธิ์มองตะลึงกับภาพที่เห็น
นลินในชุดสาวชาวบ้านนุ่งผ้าซิ่นไทย กำลังยืนรอใส่บาตรอยู่กับชลันตี ซึ่งแต่งผ้าไทยคล้ายๆ กัน นวล ชมพู่ และผันรอใส่บาตรอยู่ด้วย
ตฤณฤทธิ์จ้องมองนลินด้วยแววตาชื่นชม ก่อนที่จะรีบเบรกรถด้วยความตกใจ เมื่อเห็นเจ๊หวียืนโบกรถให้จอด แล้วรีบเดินมาที่ฝั่งคนขับ
“คุณด็อกเตอร์ ลงมาใส่บาตรด้วยกันสิคะ”
ตฤณฤทธิ์เปิดประตูรถลงมา เจ๊หวีดีใจรีบคล้องแขนหมับพาตฤณฤทธิ์เดินมาสมทบกับทุกคนทันที
“มาทำบุญร่วมชาติ ตักบาตรร่วมขันกันนะคะ คุณด็อกเตอร์”
“อยากจะเป็นเนื้อคู่หนังคู่กับคนหล่อ ถามคุณด็อกเตอร์เขาหรือยังจ๊ะเจ๊” ชมพู่แววขำๆ
“ไม่ต้องถามก็รู้ว่าคุณด็อกเตอร์เต็มใจ”
เจ๊หวีเล่นเองชงเอง เอาหน้าซบลงที่ไหล่อย่างสุดปลื้ม
ตฤณฤทธิ์มองยิ้มๆ ก่อนจะหันไปไหว้ชลันตีกับนวล
“สวัสดีครับป้าตี ป้านวล วันนี้ทำบุญเนื่องในโอกาสอะไรกันครับ”
“ครบรอบ 100 วันของคุณยายน่ะค่ะ” ชลันตีบอก
ตฤณฤทธิ์อึ้งไป ก่อนจะหันไปมองยิ้มให้นลินด้วยความเป็นห่วง
นลินยิ้มตอบเชิงบอกว่าเธอไม่เป็นไร
“ใส่บาตร ทำบุญให้คุณยายด้วยกันไหมคะ”
“ขอบคุณครับ”
ตฤณฤทธิ์ยิ้มดีใจ รีบเดินไปยืนข้างนลิน
ชลันตีและนวลมองตาม เจ๊หวีไม่ยอมแพ้รีบเดินตามไปยืนขนาบตฤณฤทธิ์อีกข้าง
เห็นหลวงพ่อ วัดในหมู่บ้านกำลังเดินมาถึง ทุกคนรีบถอดรองเท้ายืนกับพื้นถนน แต่นลินและตฤณฤทธิ์ถอดแล้วยืนบนรองเท้าเตรียมใส่บาตร ชลันตีหันมาเห็นจึงบอกนลิน
“อย่ายืนบนรองเท้าจ้ะลิน”
“ขอโทษค่ะป้าตี”
นลินรีบเอาเท้าออกจากรองเท้า ตฤณฤทธิ์ทำตาม นลินและตฤณฤทธิ์หันมองสบตากันยิ้มๆ
ทุกคนร่วมกันใส่บาตรจนเสร็จสิ้น พากันลงนั่งเตรียมรับศีลรับพร นวลส่งชุดกรวดน้ำให้นลิน
“กรวดน้ำให้คุณยายด้วยนะคะ”
นลินรับชุดกรวดน้ำจากนวลมา หลวงพี่สวดบทกรวดน้ำ
ตฤณฤทธิ์พนมมือข้างเดียวและใช้มืออีกข้างแตะที่ข้อศอกนลินเบาๆ
หลวงพ่อให้พรจบ ทุกคนยกมือไหว้สาธุพร้อมๆ กัน
จังหวะที่นลินเงยหน้าขึ้นนั้น หลวงพ่อนิ่งมองนลินเหมือนเห็นบางอย่าง แต่ท่านไม่พูดอะไร เดินออกไปอย่างสงบ ทุกคนลุกขึ้น นวลหันไปเก็บข้าวของใส่บาตร
ส่วนเจ๊หวีจัดผมม้าและเสื้อผ้าของตนให้เรียบร้อย ก่อนจะหันมาคุยกับตฤณฤทธิ์ดัดเสียงออกสำเนียงฝรั่ง แต่ฟังดูน่าขัน
“คุณด็อกเธอร์ มาทำอะไรที่หมู่บ้านแต่เช้าคะ หรือว่า คิดถึงวีวี่ อยากเจอวีวี่”
ตฤณฤทธิ์ยิ้มให้ตามมารยาท “ผมมาเตรียมงานก่อนที่ทีมสำรวจจะเข้ามากันอีกรอบน่ะครับ”
ชมพู่หัวเราะชอบใจ “เป็นไงล่ะเจ๊ คุณด็อกเตอร์เขามาเรื่องงาน หน้าแตกไปเลย”
“นังพู่ คนโสดเขาจะจีบกัน คนมีผัวแล้วอย่างแกช่วยอยู่เงียบๆ หน่อยได้ไหม” แหวใส่ชมพู่เสร็จ เจ๊หวีก็หันมาถามตฤณฤทธิ์ “แล้วที่บ้านกำนันจะมีที่พักให้ด็อกเธอร์เหรอคะ”
“ทำไมล่ะครับ”
“ที่บ้านกำนันมีนักท่องเที่ยวเข้ามาพักน่ะครับ แล้วดูเหมือนห้องพักจะเต็มหมดแล้วด้วย”
ตฤณฤทธิ์ฟังแล้วอึ้งไป
“ถ้าไม่รังเกียจ...บ้านวีวี่ว่างนะฮะ” เจ๊หวีเสนอตัว
“บ้านเจ๊มีแค่สองห้อง ห้องนึงของเจ๊หวัน อีกห้องก็ของเจ๊ อย่าบอกนะว่าจะให้ด็อกเตอร์ไปนอนกับ...” ชมพู่มองตกใจ
“แหม....นังพู่ แต่ถ้าคุณด็อกเธอร์โอ เจ๊ก็...”
เจ๊หวียกนิ้วทำท่า OK ส่งให้ตฤณฤทธิ์อย่างเขินอาย ตฤณฤทธิ์ยิ้มแห้งๆ หันมองนลินอย่างขอความช่วยเหลือ
ชลันตีซึ่งมองอยู่แล้วรีบพูดขึ้น
“บ้านผันกับชมพู่พอจะมีห้องว่างให้คุณตฤณพักหรือเปล่าล่ะ”
“ถ้าจะพักก็พักได้ค่ะคุณตี” ชมพู่บอกกับตฤณฤทธิ์ว่า “แต่ชาวบ้านอย่างพวกเราอยู่กันง่ายๆ คุณด็อกเตอร์จะนอนได้หรือเปล่าล่ะคะ”
“ผมเป็นคนง่ายๆ ครับ ที่ไหนผมก็พักได้ทั้งนั้น”
ตฤณฤทธิ์ยิ้มดีใจ เจ๊หวีเซ็ง
ส่วนที่บ้านพลเพิ่มในตัวเมือง พลเพิ่มกำลังต่อว่าลูกน้องราว 4 คน ต่อหน้ากำนันสินด้วยความโกรธ
“คราวที่แล้วพวกแกพากันเข้าไปหาสมบัติประสาอะไร ทำไมไม่ได้อะไรติดมือมาสักอย่าง ฉันเข้าไปกับทีมสำรวจ เห็นพวกมันขุดตรงไหนก็เจอแต่ของ”
“ท่านอย่าโมโหไปเลยครับ บางทีพวกเด็กๆ มันอาจจะไม่รู้” กำนันว่า
“ไม่รู้ได้ยังไง ทำงานมาตั้งเท่าไหร่แล้ว พวกนี้มันเลี้ยงเสียข้าวสุก”
บรรดาลูกน้อง ต่างกุมไข่ก้มหน้าไม่กล้าสู้ตาพลเพิ่ม
ฌาณอยู่ด้วยเอ่ยขึ้นว่า “ที่หาไม่เจอเป็นเพราะผีบังตา ไม่ใช่ความผิดของพวกมันหรอกครับ”
“คราวนี้พวกแกต้องกลับเข้าไปหาใหม่”
“ปราสาทเฮี้ยนขนาดนั้น พวกเราไม่กล้าเข้าไปแล้วล่ะครับท่าน” ดำ หนึ่งในลูกน้องว่า
พลเพิ่มหงุดหงิด “จะกลัวทำไมวะ กับอีแค่ผีบังตา คราวนี้ฉันกับอาจารย์ฌานจะเข้าไปด้วย”
“ผมจะเข้าไปทำพิธีล้างอาถรรพ์ในปราสาทนั้นให้หมด คุณพลเพิ่มจะได้ มองเห็นสมบัติที่มีอยู่ในนั้นทั้งหมด”
“เราจะได้ขุดสมบัติออกมาซะที”
พลเพิ่มยิ้มลำพองใจ กำนันตกใจเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้
“เอ่อ...ผมว่าช่วงนี้เราคงทำอะไรมากไม่ได้”
พลเพิ่มหันมาตวาดกำนันอย่างไม่พอใจ “ทำไม”
“เพราะตอนนี้ที่หมู่บ้านมีนักท่องเที่ยวเข้ามารอจับกระสือกันเต็มไปหมด”
“กำนันรีบไปจัดการ ให้พวกนั้นออกไปจากหมู่บ้านให้หมด เข้าใจไหม”
“ครับๆ”
กำนันสินรับเอาคำด้วยความตกใจที่เห็นพลเพิ่มโกรธจัด
ส่วนที่โฮมสเตย์บ้านกำนันเวลานั้น ฉัตรฉายกำลังส่งกุญแจห้องพักให้กับนักท่องเที่ยวชายที่มาด้วยกัน 2 คน
“ห้องพักพวกคุณหมายเลข 8 นะคะ เดินไปทางนี้สักพักก็จะเห็นเลย”
นักท่องเที่ยวชายรับกุญแจมา แล้วพากันเดินไปตามทางที่ฉัตรฉายชี้บอก
ตฤณฤทธิ์เดินเข้ามาหา ฉัตรฉายมองเห็นก็แปลกใจ
“อ้าว ด็อกเตอร์ นี่ยังไม่ถึงวันที่ต้องเข้าป่าไม่ใช่เหรอคะ”
“ผมเข้ามาเตรียมงานก่อนน่ะครับ”
“โอ๊ย จะทำยังไงละทีนี้ คุณไม่แจ้งล่วงหน้ามาก่อน เราไม่มีห้องพักให้คุณหรอกนะคะ”
“ไม่เป็นไรครับ ผมหาที่พักได้แล้ว”
ฉัตรฉายโล่งอกยิ้มดีใจ “เหรอคะ ต้องขอโทษนะคะ ก็อย่างที่ด็อกเตอร์เห็น ตอนนี้หมู่บ้านเรามีนักท่องเที่ยวเข้ามาเยอะมาก แล้วนี่ด็อกเตอร์จะมาหาพ่อหรือเปล่าคะ”
“ครับ”
“พ่อไม่อยู่หรอกค่ะ เข้าไปในเมืองตั้งแต่เช้า กว่าจะกลับก็คงค่ำๆ”
“งั้นเดี๋ยวผมค่อยแวะมาหากำนันใหม่อีกที”
อีกฝั่งหนึ่ง พนิชเดินมาเห็นตฤณฤทธิ์กำลังยืนคุยกับฉัตรฉายอยู่ รีบฉากหลบหลังต้นไม้ทันที กระทั่งเห็นตฤณฤทธิ์เดินออกไปเขาจึงออกมาจากที่ซ่อน มองตามตฤณฤทธิ์อย่างโกรธแค้น
ตฤณฤทธิ์เดินกลับมาถึงบ้านชมพู่ตอนค่ำแล้ว สองผัวเมียเดินออกมาจากบ้านพอดี
“อาจารย์มาพอดี ฉันทำข้าวเย็นไว้ให้แล้วนะคะ เดี๋ยวเข้าไปกินพร้อมพี่ผันได้เลย”
“แล้วเอ็งจะไม่กินด้วยกันก่อนเหรอพู่” ผันถาม
“ไม่ล่ะพี่ ฉันเป็นห่วงนังพัดมัน เห็นบ่นๆ ว่าปวดท้องเหมือนจะคลอด ไปดูมันหน่อยเผื่อมีอะไรให้ช่วย”
“ให้ผมขับรถไปส่งที่โรงพยาบาลไหมครับ” ตฤณฤทธิ์แสดงความมีน้ำใจ
“ไม่เป็นไรค่ะ แค่คลอดลูก คนแถวนี้เขาคลอดหมอตำแยกัน”
“แต่คลอดกับหมอที่โรงพยาบาลน่าจะปลอดภัยกว่านะครับ”
“โรงพยาบาลอยู่ไกลค่ะ กว่าจะไปถึงมีหวังคลอดกลางทางกันพอดี แถวนี้เขาคลอดหมอตำแยกันทั้งนั้น ฉันไปนะพี่ผัน”
ชมพู่บอกผัวในตอนท้ายแล้วรีบลงเรือนไป
“ไปครับ เข้าบ้านไปกินข้าวกัน”
“ครับ”
ตฤณฤทธิ์ยิ้มรับเดินตามผันไป
ที่ลานหน้าบ้านกำนันในเวลาเดียวกัน โฉมศรีและฉัตรฉาย เรียกประชุมนัดแนะกับบรรดานักล่ากระสือ
“วันนี้ในหมู่บ้านจะมีคนคลอดลูก ชาวบ้านเชื่อว่ากระสือมันชอบกินรกเด็ก” โฉมศรีบอก
ฉัตรฉายเสริมว่า “ใครอยากจะไปดูก็ขอให้เตรียมกล้อง และอุปกรณ์ต่างๆ ให้พร้อมนะคะ”
บรรดานักท่องเที่ยวต่างฮือฮากับข่าวใหม่ที่ได้ยิน พนิชอยู่ในนั้นด้วยเขาหันมองผู้คนรอบๆ ประเมินสถานการณ์
“คืนนี้ ตำนานกระสือของหมู่บ้านดอนป่าหวายจะได้รับการเปิดเผยซะที”
“แล้วบ้านคนคลอดลูกอยู่ที่ไหน ใครจะพาเราไปล่ะครับ” ชาย1 ถามขึ้น
“ฉันเอง ถ้าพวกคุณเตรียมทุกอย่างพร้อมแล้วก็ตามฉันมาได้เลย” ฉัตรฉายบอก
เหล่านักท่องเที่ยวหันไปมองหน้ากันอย่างตื่นเต้น
ที่บ้านชุม ยินเสียงพัดร้องโอดโอยครวญครางปวดท้องจะคลอดลูกดังระงม
“โอ๊ย!... ไม่ไหว ฉันจะคลอดแล้วจ้ะยาย โอ๊ย...”
ยายจันทร์หมอตำแยในตำนาน กำลังคลำท้องของพัดดูว่าเด็กกลับหัวหรือยัง มีชมพู่เป็นลูกมือ ส่วนชุมยืนมองลุ้นอยู่หน้าประตูห้องอยู่ด้วย ทำหน้าตาเจ็บปวดไปกะเมีย
“เด็กยังไม่กลับหัว นังพู่เอ็งเข้ามาช่วยพยุงหลังให้นังพัดมันหน่อย”
“จ้ะยาย”
ชมพู่รีบเข้ามาพยุงพัดขึ้นแล้วนั่งซ้อนด้านหลังพยุงพัดเอาไว้
“ไอ้ชุม เอ็งออกไปต้มน้ำรอข้างนอกไป”
“ต้มน้ำ ได้จ้ะ ได้...”
ชุมออกไปตามคำสั่งแทบทันที ยายจันทร์หันกลับมาปลอบพัด พลางใช้นิ้วกดที่ท้องเบาๆ ประเมินอาการอย่างชำนาญ
“เอาล่ะทีนี้ เอ็งใจเย็นๆ หายใจเข้าลึกๆ แล้วผ่อนลมหายใจช้า ข้าจะค่อยๆ ช่วยเองกลับหัวเด็กนะ”
สีหน้าพัดเจ็บปวดสุดจะประมาณ พยายามหายใจเข้าและค่อยๆ ผ่อนลมหายใจตามที่หมอตำแยบอก
ขณะที่นลินนั่งทานข้าวอยู่กับชลันตีและนวล จู่ๆ เหมือนนึกบางอย่างได้ ถึงกับอึ้งนิ่งงันไป ปล่อยช้อนหลุดจากมือหล่นดังเคล้ง ชลันตีและนวลหันไปมองพร้อมกัน นลินหันมามองทั้งคู่ด้วยสีหน้าตื่นตกใจ
“วันนี้...”
ชลันตีพยักหน้าอย่างรู้สึกเห็นใจนลิน
“ลินขึ้นไปพักเถอะ ไม่ต้องห่วงนะ ป้าเตรียมทุกอย่างไว้แล้ว”
นลินนิ่งมองชลันตี ด้วยสีหน้าเจ็บปวด
พระจันทร์เต็มดวงลอยเด่นอยู่เหนือหลังคาบ้านชุม
ที่ริมทางเดินด้านนอกริมรั้วหน้าบ้านชุม เหล่านักล่าต่างนั่งหลบมุมเฝ้ารอจ้องจับกระสือ บ้างก็ใช้กล้องส่องหา บ้างก็เดินมองหาไปรอบๆ อย่างตื่นเต้น
นักล่ากระสือชาย1 เตรียมกล้องต่อเลนส์ซูมยาวเวอร์อยู่ใกล้ๆ พนิช
“แค่อยากเห็นกระสือต้องใช้กล้องตัวขนาดนี้เลยเหรอครับ”
“จะเอาไปขายให้พวกสำนักข่าว ก็ต้องเอาภาพให้ชัดที่สุดสิครับ ถึงจะได้ราคาดี” ชาย1คุยฟุ้ง
ยินเสียงร้องเจ็บปวดของพัดดังแว่วออกมาจากบ้าน
ชาย1 ใช้กล้องส่องไปรอบๆ มองหากระสือ
สีหน้าพนิชตาเป็นประกาย เต็มไปด้วยความหวัง
ที่บ้านชมพู่ เห็นตฤณฤทธิ์กำลังง่วนอยู่กับการกางมุ้งที่นอกชาน ผันเข้ามาช่วยตฤณฤทธิ์กางมุ้ง
“ต้องขอโทษอาจารย์จริงๆ นะครับ บ้านเรามีห้องแค่ห้องเดียว”
“ไม่เป็นไรครับ นอนโอเพ่นแอร์แบบนี้ผมชอบ ใกล้ชิดธรรมชาติดี ลืมตาขึ้นมาก็เห็นเดือน เห็นดาวเต็มท้องฟ้า”
“ใกล้บ้านคุณนลินด้วยนะครับ” ผันยิ้มเป็นนัย
ตฤณฤทธิ์หันมองไปทางบ้านยายเพียร แล้วก็หันมามองผันยิ้มๆ
“เสร็จแล้วครับ นอนพักให้สบายนะครับ”
“ขอบคุณครับ”
ผันเดินเข้าห้องนอนไป
ตฤณฤทธิ์เดินมานั่งที่นอกชานหันมองไปทางบ้านยายเพียรแล้วก็นึกไปถึงนลิน
นลินในชุดทำบุญกำลังยืนรอใส่บาตร
นึกแล้วตฤณฤทธิ์ยิ้มขึ้นมาอย่างมีความสุข พลันสายตาของตฤณฤทธิ์ก็มองเห็นอะไรบางอย่าง
มีแสงไฟสีแดงลอยอยู่บนท้องฟ้า ทางบ้านยายเพียร ตฤณฤทธิ์มองอย่างสงสัย
พนิชออกเดินมองหากระสือด้วยรู้สึกตื่นเต้น อยากจับกระสือเหมือนกับคนอื่นๆ บ้าง
“ถ้าแค่รูปถ่ายยังหาเงินได้ขนาดนั้น แล้วตัวเป็นๆ ไม่รวยเละเลยเหรอ”
พนิชคิดถึงเงินขึ้นมาเขาก็ยิ่งหันมองหากระสืออย่างเอาเป็นเอาตาย กระทั่งเขามองเห็นอะไรบางอย่างลอยอยู่ไกลๆ
“นั่นใช่กระสือหรือเปล่า”
ชาย1ที่อยู่ใกล้ๆ ได้ยินรีบหันมองตาม
“ไหนๆ คุณเห็นตรงไหน อะ! นั่น! ต้องใช่แน่ๆ”
พนิชไม่รอช้ารีบออกวิ่งตามไป เหล่านักล่ากระสือร้องเอะอะกันอย่างตื่นเต้น แล้วรีบออกวิ่งตามกันเป็นพรวน
นวลในสภาพใช้ผ้าสีดำคลุมหัวพรางหน้าก้าวฉับๆ มาตามทางอย่างรีบร้อน ในมือถือพร้าตรงดิ่งมาที่รั้วหนามไม้ไผ่ข้างบ้านชุมด้วยสีหน้ามุ่งมัน เมื่อเดินมาถึงก็เงื้อมีดขึ้นสูงฟันฉับลงมาที่รั้วหนามเปิดทางให้กระสือลอยออกได้โดยสะดวก เสียงฟันฉับๆ ประสานกับเสียงร้องโอดโอยจวนคลอดเต็มแก่ของพัด
พนิชและเหล่านักล่ากระสือวิ่งกรูตามกระสือกันออกมาจนถึงป่าละเมาะนอกหมู่บ้าน
“หายไปไหนแล้ว”
“นั่นสิ เราวิ่งตามมาติดๆ เลยนะ ทำไมอยู่ดีๆ ถึงหายไปได้” ชาย1บ่น
ทุกคนช่วยกันมองหาอย่างไม่ยอมลดละ
จู่ๆ มีเสียงนักล่ากระสือชะนีร้องกรี๊ดขึ้นมาอย่างตกใจ คนอื่นๆ รวมทั้งพนิช รีบหันไปมองตามเสียง เห็นชะนีนางนั้นชี้ไปที่อะไรบางอย่างข้างหน้า ทุกคนมองตามทั้งแถบ
นักล่ากระสือตะโกนออกมาอย่างตื่นเต้นตกใจระคนกัน “กระสือ”
กระสือผมยาวปิดหน้า ลอยอยู่ในพุ่มไม้ไม่ห่างจากกลุ่มนักท่องเที่ยวนัก ไม่ใครรู้ว่าเป็นกระสือปลอม!
ไวเท่าความคิด พนิชกระโจนเข้าใส่กระสือ พวกนักท่องเที่ยวคนอื่นๆ เห็นก็กระโจนตามกันไปเป็นที่ชุลมุนวุ่นวาย
ด้านพัดยังนอนร้องครวญครางอย่างเจ็บปวด โดยมีชมพู่คอยประคองหลังอยู่
“โอ๊ยยาย ฉันไม่ไหวแล้ว”
“เด็กกลับหัวแล้ว ทีนี้ข้าจะนัก 1 ถึง 3 แล้วเบ่งนะ”
ชมพู่คอยปลอบ “ใจเย็นๆ พัด หายใจเข้าลึกๆ แล้วค่อยเบ่ง”
ยายจันทร์บิ้วท์ให้เบ่ง “เอานะ 1/2/3 เบ่ง”
พัดหายใจเข้าปอดเต็มๆ แล้วออกแรงเบ่งตามคำสั่งยายจันทร์เต็มกำลัง
“อึ๊บ”
พลันมีเสียงเด็กร้องจ้าดังขึ้น ยายจันทร์อุ้มเด็กชูขึ้นมาด้วยความดีใจ
“ได้ผู้ชายว่ะ แข็งแรงอ้วนท้วนเชียว”
พัดมองลูกในอ้อมแขนยายจันทร์แล้วยิ้มเต็มตื้น
“ดีใจด้วยนะ แกได้ลูกชาย แกนอนพักก่อนนะ ฉันจะไปช่วยยายจันทร์”
ชมพู่วางพัดให้นอนลง แล้ววิ่งออกไปบอกชุม
“พี่ชุม ได้ลูกชาย น้ำร้อนได้ยังพี่”
ชุมรีบวิ่งยกกาน้ำร้อนมาให้ด้วยความดีใจ
“เอ้า ได้แล้ว” ชุมชะเง้อคอมองดูลูกชายดีใจเหลือแสน “ลูกชาย ลูกชาย ข้าได้ลูกชาย”
ชมพู่รีบเอาน้ำไปเทใส่กะละมัง ยายจันทร์ส่งทารกให้ชมพู่รับไปล้างเนื้อตัว
เห็นเลือดและสายสะดือที่กองอยู่บนพื้นห้อง มันไหลลงไปตามร่องแผ่นไม้กระดานของบ้าน หยดรินลงไปที่ใต้ถุนเรือน
ที่ป่าละเมาะนอกหมู่บ้านดอนป่าหวาย กลุ่มนักล่ากระสือพากันวิ่งไล่จับกระสือกันอย่างชุลมุน พนิชคว้าตัวกระสือมาได้ แต่ถูกคนอื่นแย่งไป
ทุกคนแย่งรุมทึ้งกระสือ จนมันถูกแยกชิ้นส่วนออกมา เห็นเป็นกระสือปลอมที่เบาและบางเป็นคนทำขึ้นมาตามคำสั่งสองแม่ลูก โฉมศรี ฉัตรฉาย นั่นเอง
เบามุดลอดใต้ขากลุ่มนักท่องเที่ยวออกมาในสภาพสะบักสบอม โดยมีบางมุดตามมา แต่สุดท้ายก็ติดออกไม่ได้
เบาหันไปมองกลุ่มนักล่ากระสืออย่างขยาด ตั้งท่าจะวิ่งหนีแต่บางเรียกเอาไว้
“พี่เบาช่วยด้วย อย่าทิ้งฉัน”
เบาหยุดกึกหันมามองบาง ก่อนจะรีบเข้าไปดึงบางออกมา
“เร็วสิ ประเดี๋ยวก็ได้ตายคาตีนอยู่ตรงนี้หรอก เอ้า...อึ๊บ!”
เบาช่วยจนบางหลุดออกมาได้อย่างทุลักทุเล ทั้งคู่พยุงกันออกวิ่งอย่างไม่คิดชีวิต
ในขณะที่นักล่ากระสือยังคงรุมทึ้งซากกระสือปลอมกันอยู่อย่างเมามัน
ฝ่ายตฤณฤทธิ์เดินตามดวงไฟออกมาจนกระทั่งมันหายไป เขากวาดตามองหาไปรอบๆ อีกครั้ง
อีกด้านหนึ่งของทุ่ง นวลถือพร้าเดินอาดๆ สวนทางกับตฤณฤทธิ์ไปในความมืด ตฤณฤทธิ์หันไปมอง
“นั่นใครน่ะ”
นวลหยุดกึก ตฤณฤทธิ์สาดไฟฉายส่องเห็นด้านหลังของนวล ร้องถามให้แน่ใจ
“นั่นป้านวลหรือเปล่าครับ”
นวลไม่ตอบรีบเดินหนีไปเลย ตฤณฤทธิ์มองตามงงๆ
ยินเสียงเด็กร้องดังมาจากบ้านของชุม ตฤณฤทธิ์หันไปมองตามเสียง เขาเห็นแสงไฟสีแดงวาบๆอยู่ที่ใต้ถุนบ้านหลังนั้น ด้วยความสงสัยตฤณฤทธิ์จึงเดินไปดู
ชมพู่อุ้มทารกในห่อผ้ามานอนข้างๆ พัด พัดยิ้มชื่นมองหน้าลูกอย่างมีความสุข
“น่าเกลียดน่าชังจริงๆ เลยนะ เด็กคนนี้” ชมพู่ว่า
ยายจันทร์ร้องเรียกหาชุม “ไอ้ชุม เข้ามาได้แล้ว”
ชุมรีบโผล่พรวดออกมาเหมือนรออยู่แล้ว
“เรียบร้อยแล้วเหรอจ้ะ”
“ยัง เอ็งเอารกลูกแกไปฝังไว้ใต้บันไดบ้านก่อน ขุดหลุมให้ลึกๆ ล่ะ กลบดินเสร็จก็ให้ก่อไฟทับ ไม่ให้ผีหรือตัวอะไรมาคุ้ยกิน ลูกเอ็งจะได้แข็งแรง อยู่ติดบ้านติดช่อง”
พูดจบยายจันทร์ก็ยื่นถังใส่รกส่งให้ ชุมรับถังมาแต่ไม่วายคอยชะเง้อมองลูกอยู่ตลอดเวลา
ยายจันทร์เอ็ดเอา “รีบไปทำให้เสร็จแล้วค่อยมาดูลูก”
“จ้ะๆ ได้จ้ะ”
ชุมรีบถือถังวิ่งออกไป
“ดูท่าพี่ชุมจะเห่อลูกไม่เบาเลยนะพัด” ชมพู่ยิ้มขำ
“ก็ลูกชายคนแรกนี่พี่พู่” พัดยิ้มสุขใจ
ทุกคนหัวเราะขำท่าทางเห่อลูกชายของชุม ทารกน้อยนอนหลับปุ๋ยอยู่ในห่อผ้า
ชุมถือถังวิ่งลงบันไดมาด้วยความรีบร้อน เขามองหาพื้นที่ใต้บันไดเพื่อฝังรกตามที่ยายจันทร์บอก
“เอาตรงนี้ล่ะ”
ชุมวางถังลง เหลียวมองหาจอบรอบๆ บริเวณนั้น แต่ไม่เจอ
ระหว่างนี้ มีใครกำลังแอบมองชุมอยู่หลังเสาจากมุมมืดมุมหนึ่งบริเวณใต้ถุน
“จอบอยู่ไหนวะ”
ชุมเดินไปหาจอบที่หลังบ้าน
คล้อยหลังชุมไม่นาน กระสือนลินค่อยๆ โผล่ออกมาจากที่ซ่อน สายตาจ้องเขม็งไปที่ถังใส่รก
กระสือนลินลอยมาหยุดอยู่ที่ถังใส่รก จ้องรกเด็กในถังเขม็ง เลียริมฝีปากอย่างหิวกระหาย
ตฤณฤทธิ์เดินตามดวงไฟสีแดงที่มองเห็นไกลๆ มาจนถึงเขตรั้วบ้านชุม เขาฉายไฟไปตามแนวเขตรั้วหนามไผ่ที่กั้นอยู่ จนมาหยุดอยู่ตรงจุดที่ถูกตัดจนเป็นช่องขนาดกว้าง
ตฤณฤทธิ์มองด้วยความสงสัย แล้วมองเลยเข้าไปในบ้านชุม จนสะดุดตากับอะไรบางอย่าง เขาพยายามเพ่งมอง
ที่ใต้บันไดเรือนเห็นเป็นเงาตะคุ่มๆ และมีแสงไฟสีแดงวาบๆ เป็นจังหวะ
“อะไรน่ะ”
ตฤณฤทธิ์เพ่งมองอยู่อย่างนั้น ก่อนจะใช้ไฟฉายในมือส่องไปที่เงาตะคุ่มนั้น
กระสือนลินถูกไฟส่องจนเริ่มรู้ตัว เธอหยุดกินรกที่อยู่ในถังแล้วหันหน้าที่เต็มไปด้วยเลือดมองมาที่แสงไฟ ด้วยสีหน้าตกใจ
ตฤณฤทธิ์อึ้งไปกับภาพที่เห็น
กระสือนลินตกใจมากลอยวูบผ่านช่องรั้วหนามไผ่หนีไปอย่างรวดเร็ว
คล้อยหลังกระสือนลินลอยออกมาไม่นาน ชุมเดินออกมาจากหลังบ้านพร้อมจอบ ตรงมาที่ถังใส่รก พอเห็นรกหายไปหมดก็ตกใจสุดขีด ตะโกนเสียงดังลั่น
“เฮ้ย!!! รกหาย รกลูกกูหาย ช่วยด้วย รกลูกกูหาย”
ส่วนตฤณฤทธิ์ช็อกทิ้งไฟฉายหล่นจากมือ
บรรดานักล่ากระสือพากันทยอยเดินกลับมาที่ลานบ้านกำนันเพื่อกลับห้องพัก โวยวาย บ่นบ้า ระงมด้วยความผิดหวังและความโกรธ
“หลอกกันนี่หว่า” / “เสียเวลานั่งเฝ้าทั้งคืน ง่วงก็ง่วง” / “ฟ้อง สคบ.เลยดีไหม”
โฉมศรีและฉัตรฉายยืนมองเหล่านักล่ากระสืออยู่บนชานเรือนอย่างแปลกใจ
“เกิดอะไรขึ้นน่ะแม่ ทำไมพวกนั้นกลับมาเหมือนไม่อารมณ์ไม่ดีเลย”
“นั่นน่ะสิ”
พนิชเดินถือกระสือปลอมรั้งท้ายมา สองแม่ลูกรีบวิ่งลงบันไดมาหา โฉมศรีถามพนิชทันที
“เจอกระสือหรือเปล่าคะ”
“เจอกับผีอะไร แหกตากันชัดๆ หลอกให้คนมาเที่ยวในหมู่บ้านด้วยวิธีนี้ ปัญญาอ่อนที่สุด”
พร้อมกับว่าพนิชโยนกระสือปลอมทิ้งลงพื้นต่อหน้าสองแม่ลูก ทั้งคู่ตกใจ ชาย1 เดินเข้ามาสมทบ
“ไม่เอาแล้ว พรุ่งนี้ผมขอเช็คเอาท์นะครับ กลับบ้านดีกว่า เสียเวลา”
ทั้งพนิชและชาย1 จะเดินออกไป โฉมศรีและฉัตรฉายตกใจรีบกระโจนไปดึงตัวทั้งคู่ไว้
“อย่าเพิ่งถอดใจเลยนะคะ หมู่บ้านเรามีกระสือจริงๆ”
“กระสือตัวเป็นๆ มีจริงๆ อยู่ต่อกันก่อนนะคะ รับรองว่าคราวนี้ไม่พลาดแน่” ฉัตรฉายบอก
กำนันสินเดินออกมาจากในบ้านด้วยสีหน้าไม่พอใจ
“ทำอะไรกันน่ะ”
โฉมศรีและฉัตรฉายรีบปล่อยมือจากพนิชและชาย1ปล่อยให้ทั้ง 2 คนเดินกลับห้องไป
“หมดแล้วพี่กำนัน เงิน...เงินฉัน...”
“ไอโฟนXของหนูก็หายวับไปกับตา”
กำนันส่ายหน้าเอือมระอาเหลือ “งามหน้ากันจริงๆ ลูกเมียฉัน”
โฉมศรีไม่สนใจท่าทีหงุดหงิดของกำนันสิน หันไปวางแผนกับฉัตรฉายต่อ
“ไม่ได้การล่ะ เราต้องทำอะไรสักอย่างให้พวกนั้นอยู่ต่อแล้วลูก”
“โปรโมชั่น จองห้องหนึ่งแถมหนึ่งดีไหมแม่”
กำนันดุลั่น “พอได้แล้ว ทั้งคู่เลย จะก่อเรื่องให้มันวุ่นวายกันไปถึงไหน รู้ไหมว่ามันทำให้ฉันเดือดร้อน”
“แต่พี่กำนัน” โฉมศรีเสียดาย
“หยุดเลยนะ ปล่อยพวกนักท่องเที่ยวให้ออกไปจากหมู่บ้านกันให้หมด”
ฉัตรฉายพยายามทักท้วง “แต่พ่อ...”
“เงียบ ห้ามทำอะไรเด็ดขาด พรุ่งนี้คนพวกนี้ต้องออกไปจากหมู่บ้าน”
กำนันตวาดเสียงเด็ดขาด สำทับสองแม่ลูกด้วยสายตาขุ่นเขียว โฉมศรีกะฉัตรฉายจ๋อยสนิท
นลินกลับเข้าร่างแล้ว เธอนั่งตัวสั่นซุกหน้าขดตัวอยู่ที่มุมห้องด้วยความหวาดกลัว กระทั่งได้ยินเสียงประตูห้องเปิดออก เป็นชลันตีและนวลเดินเข้ามาเห็นรู้สึกแปลกใจ ทั้งคู่เดินเข้าไปหานลิน
“ลินเป็นอะไร ทำไมถึงได้กลัวจนตัวสั่นขนาดนี้”
นลินค่อยๆ หันหน้าที่เต็มไปด้วยเลือดตรงปาก มองชลันตีอย่างหวั่นกลัว
“ป้าตีคะ มีคน... มีคนเห็นลิน”
ชลันตีและนวลตกใจ
“ใคร!...ใครเห็นลิน”
นลินมองชลันตีที่จ้องเธอด้วยสีหน้าจริงจัง ก็เริ่มรู้สึกหวั่นใจ
“บอกมาเถอะค่ะ คุณหนูจำได้ใช่ไหมว่าเป็นใคร เราจะได้ช่วยกันหาทางแก้ปัญหา”
นลินมองชลันตีและนวลสลับกันอย่างลังเล
เมื่อนึกถึงตอนเธอลอยผ่านช่องรั้วหนามหนีไปอย่างรวดเร็วต่อหน้าต่อตาตฤณฤทธิ์ ไม่นานมานี้
นลินนิ่งงันไปอีกครู่หนึ่ง หลบตาทั้งสองคน พูดบอกออกมาเบาๆ
“ลิน...ลินจำไม่ได้ค่ะ”
นลินรู้ว่าเป็นตฤณฤทธิ์แต่ไม่ยอมบอกความจริง เพราะกลัวจะกระทบเขา ชลันตีและนวลมองหน้ากันอย่างรู้สึกหนักใจ
“ไม่เป็นไรลิน เรื่องนี้เอาไว้ค่อยว่ากัน”
นวลเดินเข้าไปพยุงนลินให้ลุกขึ้น
“คุณลิน ไปค่ะ ไปล้างหน้าล้างตาแล้วพักผ่อนเถอะนะคะ ไม่แน่คนที่เห็นอาจจะจำคุณลินไม่ได้เหมือนกัน”
นวลพยุงนลินเดินเข้าห้องน้ำไป ชลันตีมองตามด้วยสีหน้าเป็นกังวลสุดจะประมาณ
ทางด้านตฤณฤทธิ์เดินเหม่อมาตามทาง ไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เพิ่งเห็นมา
เขานึกทบทวนเรื่องราวที่ผ่านมา เขาวิ่งตามดวงไฟสีแดงเข้าไปในป่า เห็นภาพลางๆ ของกระสือติดอยู่กับพุ่มไม้
เขายังนึกไปถึงตอนเจอนลินตกใจกลัววิ่งชนเขา แล้วร้องให้ช่วย
“ช่วยด้วย ช่วยด้วย กระสือ....กระสือ”
เมื่อไปดูก็เจอซากไก่ตายเกลื่อนพื้น
คุณหญิงศันสนีย์ก็เคยบอกกับตฤณฤทธิ์ว่าท่านเชื่อเรื่องกระสือ
“สมัยแม่ยังเด็กเรื่องพวกนี้มันมีจริงๆ ยายยังเคยเจอและเล่าให้แม่ฟัง สมัยยายเด็กๆ ตาทวดของลูกยังเคยออกไปไล่กระสือในหมู่บ้านอยู่เลย”
ล่าสุดนี้เอง กระสือนลินลอยผ่านช่องรั้วหนามหนีไปอย่างรวดเร็ว
ตฤณฤทธิ์ถอนหายใจอย่างแรง สีหน้าไม่อยากเชื่อ
“เป็นไปไม่ได้”
ตฤณฤทธิ์เดินเหม่อขึ้นมาบนเรือน เจอผันกำลังเดินออกมาจากห้องพอดี
“อ้าว...อาจารย์ยังไม่นอนอีกเหรอครับ”
“ยังครับ พอดีผมนอนไม่หลับก็เลยออกไปเดินเล่น แล้วนี่จะออกไปไหนเหรอครับ”
“ผมจะออกไปรับนังพู่ อาจารย์พักตามสบายเลยนะครับ”
ผันจะเดินออกไป แต่ตฤณฤทธิ์เรียกเอาไว้ก่อน
“เดี๋ยวครับ”
ผันหันมาหา “ครับ”
“เอ่อ...หมู่บ้านนี้มีกระสือจริงๆ หรือครับ”
“ได้ยินมาจากพวกนักท่องเที่ยวสินะครับ เรื่องนี้ผมไม่แน่ใจหรอกครับว่ามีจริงหรือเปล่า ชาวบ้านแถวนี้เขาก็พูดต่อๆ กันมา มีอยู่ครั้งผมกับเมียเคยเห็น แต่พอมาคิดดูอีกทีก็ไม่แน่ใจอีกนั่นแหละว่าใช่ของจริงหรือเปล่า เพราะไม่เคยเห็นจังๆ สักที”
ตฤณฤทธิ์ฟังแล้วงง “แล้ว”
“สรุปก็คือไม่แน่ใจครับ”
ผันยิ้มแห้งๆ ให้ แล้วเดินลงเรือนไปรับเมีย ทิ้งให้ตฤณฤทธิ์เครียดอยู่อย่างนั้น
เช้าวันต่อมา ที่หน้าบ้านกำนันสิน พวกนักท่องเที่ยวล่ากระสือทยอยมาคืนกุญแจห้องให้โฉมศรีและฉัตรฉาย
“โอกาสหน้ามาใช้บริการใหม่นะคะ” โฉมศรีบอก
“รับรองว่าคราวหน้า ทุกท่านจะไม่ผิดหวังแน่ค่ะ” ฉัตรฉายว่า
เหล่านักท่องเที่ยวที่ยิ้มให้โฉมศรีและฉัตรฉายอย่างแบ่งรับแบ่งสู้ บางคนหน้าบึ้งตึงเดินจากไป
กำนันสินยืนมองโฉมศรีและฉัตรฉายอยู่บนระเบียงเรือนใหญ่
พนิชเดินเข้ามาหาโฉมศรีและฉัตรฉาย พร้อมกับยื่นเงินค่าเช่าห้องให้ โฉมศรีรีบรับเงินยิ้มดีใจ
“ต๊าย นี่คุณพักต่อหรือคะ”
“ครับผมจะอยู่ต่อ”
ฉัตรฉายยิ้มดีใจ “ตามสบายเลยนะคะ ถ้าต้องการความช่วยเหลืออะไรก็บอกเราได้”
พนิชยิ้มให้แม่ลูก แล้วเดินกลับห้องพักไป โฉมศรีและฉัตรฉายจับมือกันด้วยความดีใจ กำนันสินนิ่งมองพนิชอย่างสงสัยและไม่ไว้ใจ
กระทั่งรถคันหนึ่งวิ่งเข้ามาจอดที่หน้าบ้าน พอเห็นพลเพิ่มเปิดประตูก้าวลงมาจากรถคันดังกล่าว กำนันสินรีบปรี่ออกไปรับทันที
กำนันสินนั่งคุยอยู่กับพลเพิ่มสองคน ตรงมุมรับรองแขกบนเรือน
“พวกนักท่องเที่ยวออกไปกันหมดแล้วนี่ ทำดีมากกำนัน”
“ขอบคุณครับท่าน”
“ฉันจะเข้าไปขนของออกมาก่อนที่พวกนักสำรวจจะกลับมาอีก”
“แต่ผมว่า งานของเราดูท่าจะไม่ง่ายอย่างที่คิดแล้วล่ะครับ” กำนันสินบอกสีหน้าดูเป็นกังวลเอาการ
พลเพิ่มมองฉงน “ทำไม มีปัญหาอะไรอีก”
“ก็ไอ้ด็อกเตอร์ตฤณน่ะสิครับ มันกลับเข้ามาในหมู่บ้านก่อนกำหนด”
“มาพร้อมกับทีมหรือเปล่า”
“มันมาคนเดียวครับ แล้วตอนนี้ก็พักอยู่ที่บ้านไอ้ผันกับนังพู่”
พลเพิ่มนิ่งคิด “หรือว่ามันเกิดสงสัยพวกเรา”
“ไม่น่าใช่นะครับ”
“แต่เราก็ประมาทไม่ได้ ให้คนตามจับตาดูมันเอาไว้”
“ไม่ต้องห่วงครับ ผมจะสั่งให้ไอ้เบา ไอ้บางจับตาดูมันไม่ให้คลาดสายตาเลย”
“งานคราวนี้เราจะให้เกิดความผิดพลาดไม่ได้เด็ดขาด”
พลเพิ่มบอกกำนันสินด้วยสีหน้าจริงจัง สองคนไม่รู้ตัวว่าพนิชแอบฟังอยู่ที่ใต้ถุนเรือน
อ่านต่อตอนที่13