xs
xsm
sm
md
lg

สาปกระสือ ตอนที่10 อนาถ! นลินถอดหัวกลางป่ากินเครื่องในงู

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


สาปกระสือ ตอนที่10 อนาถ! นลินถอดหัวกลางป่ากินเครื่องในงู

บทประพันธ์และบทโทรทัศน์โดย อาณาจินต์

ท้องฟ้าเหนือปราสาทอนันตาปุระมืดครึ้ม เมฆทะมึนลอยเกลื่อนฟ้าคล้ายฝนกำลังจะตกในเวลาไม่นานนี้ พลเพิ่มอุ้มนลินเข้ามาหลบในปราสาท ตฤณฤทธิ์กับคนอื่นๆ ตามมาติดๆ

พลเพิ่มพานลินมานั่งพิงที่กำแพงมุมหนึ่ง พยายามเรียกนลินให้ได้สติ
"คุณลินครับ คุณลิน"
นลินยังไม่ฟื้นสักที พลเพิ่มคอยแตะตัวดูอาการตลอด ท่าทางเป็นห่วงมาก ปัณรีเห็นก็เหน็บแนมนลินเอาว่า
"ไปสาบานอะไรไว้หรือเปล่าเนี่ย"
พลเพิ่มส่งสายตาปราม ปัณรีลอยหน้าลอยตาไม่ยี่หระ
ตฤณฤทธิ์เหลือบมองพลเพิ่มที่คอยดูแลนลินอยู่ แอบหึงนิดๆแต่ไม่แสดงออก
มธุรสเข้าไปช่วยดู แตะหน้าผากนลินวัดไข้
"ไม่มีไข้นะคะ สงสัยจะสลบจากที่ฟ้าผ่าเมื่อกี้"
มธุรสเอายาดมจ่อจมูกนลิน กวิตาหน้าตื่นๆ เป็นห่วงเพื่อนมาก
"ลินจะเป็นอะไรมากหรือเปล่าคะ" กวิตาถาม
พลเพิ่มบอก "ไม่มีร่องรอยบาดเจ็บ อาจจะแค่ช็อกไป"
นลินเริ่มขยับตัว
"ลิน!" ตฤณฤทธิ์เรียกอย่างดีใจ
พลเพิ่มก็เรียกอาการไม่ต่างกัน "คุณลิน!"
นลินค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา เห็นหน้าพลเพิ่ม แววตาดำดิ่งสู่เหตุการณ์ในอดีตกาล

เป็นตอนที่เจ้าหญิงสาวิตราณีรำถวายตัว กษัตริย์อนันตราชนั่งมองอยู่อย่างพึงพอใจ เสียงกรีดร้องด้วยความตกใจของนลินดังก้องไปทั่วบริเวณ
และเกิดฟ้าผ่าเปรี้ยงลงมาที่ปราสาทอย่างรุนแรงอีกครั้ง ลมพัดโหมกระหน่ำรุนแรงเช่นกัน
ตฤณฤทธิ์เป็นห่วงนลิน เสนอขึ้น
"ดูท่าฝนน่าจะตกแบบนี้คงทำงานต่อไม่ได้แล้ว"
"งั้นพวกเรากลับแคมป์กันก่อน" พลเพิ่มบอก
พูดจบพลเพิ่มถอดเสื้อคลุมของตนไปคลุมห่มให้นลิน แล้วช่วยพยุงเธอออกไป
ตฤณฤทธิ์ได้แต่มองนลิน แล้วพยักพเยิดเป็นเชิงให้พวกที่เหลือตามไป
มีเพียงฌาณที่ยังไม่ตามไปในทันที แต่เพ่งมองไปที่บริเวณคอของนลินอย่างจับสังเกต

พลเพิ่มพยุงนลินกลับมาที่แคมป์ใหญ่ นลินได้รับการปฐมพยาบาลแล้ว มีพลเพิ่มนั่งเฝ้าไม่ห่าง
"เกิดอะไรขึ้นเนี่ย จู่ๆฟ้าก็ผ่า งานพี่ตฤณไม่คืบหน้า คุณลินก็บาดเจ็บ ปัณชักจะใจคอไม่ดีแล้วนะพี่พล" ปัณรีว่า
"อย่าเพิ่งตื่นตูม ตอนนี้เราต้องดูแลคนเจ็บก่อน"
"ปัณรู้ แต่ปัณว่ามันผิดปกติจริงๆนะ ตั้งแต่มาก็เกิดเรื่องกับพวกเราตลอด ไม่รู้อยู่ต่อจะเกิดอะไรขึ้น ปัณว่าออกไปจากที่นี่เร็วๆ ดีกว่า"
มธุรสแอบยิ้มเยาะ ทำเป็นพูดลอยๆ
"ฉันเตือนแล้วว่ามันลำบาก"
ปัณรีหันขวับไปทางมธุรสทันที มธุรสทำเป็นโบ้ยให้วิศวัตกลบเกลื่อน
"แย่จริงเลยนายวัต บ่นอยู่ได้ ตั้งแต่เมื่อกี้แล้วนะ"
วิศวัตชี้ตัวเอง ทำหน้างงๆ ปัณรีแอบเจ็บใจ
นลินจับที่คอตัวเอง นึกภาพที่เห็นแล้วรู้สึกใจคอไม่ดี ตฤณฤทธิ์ลอบมองนลินอย่างเป็นห่วง
สักพักปาดก็วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาในเตนท์
"ทุกคน แย่แล้วครับ แย่แล้ว!"
พรานหนุ่มที่นั่งอยู่ในเตนท์ด้วยเห็นปาดเข้ามาก็ลุกไปถาม
"มีอะไรวะ?"
"เมื่อกี้พวกผมออกไปเก็บฟืนในป่าได้ยินเสียงเหมือนดินถล่มครับ"
พรานหนุ่มตกใจ "เรื่องจริงเรอะ เอ็งไม่ได้หูฝาดใช่ไหม"
"ไม่ครับต้องใช่แน่"
ตฤณฤทธิ์กับพลเพิ่มได้ยินก็เข้ามาสมทบ
พรานหนุ่มหันไปมองหน้าคนในเตนท์ ปัณรีโวยอีก
"เราต้องติดอยู่ที่นี่อีกนานเหรอเนี่ย"
ทุกคนหน้าเสีย ตฤณฤทธิ์พยายามปลอบให้ทุกคนสงบลง
"นี่มันก็ใกล้มืดแล้ว เดี๋ยวพรุ่งนี้เราค่อยไปดูอีกที มันอาจจะไม่แย่อย่างที่คิด"
"หรือบางทีเราอาจจะต้องอ้อมไปทางอื่น" พลเพิ่มบอก
พลเพิ่มหน้าเครียด ทุกคนในเตนท์ก็เครียดตามกันหมด
นลินสีหน้ากังวลหนักกลัวกลับออกไปไม่ทันเวลา

คืนเดียวกันที่บ้านยายเพียร พระจันทร์ใกล้เต็มดวง
ชลันตียืนอยู่ตรงหน้าต่างริมทางเดิน มองออกไป สีหน้าเต็มไปด้วยความกังวล
นวลเดินเข้ามา เรียกชลันตี
"คุณจะเข้านอนหรือยังคะ อิฉันจะได้จัดที่นอนให้" นวลถาม
"ยังหรอก คืนนี้ฉันคงไม่หลับง่ายๆ"
นวลมองตามชลันตีไปด้านนอก พอเห็นพระจันทร์ก็รู้ทันที
"คุณหนูรับปากแล้วว่าจะดูแลตัวเอง ไม่มีอะไรหรอกค่ะ"
"หวังว่าอย่างนั้น ฉันอาจจะคิดมากไป"
"ความกังวลเล็กน้อยจะทำให้เราไม่ประมาทนะคะ"
"แต่ถ้าจะให้ดีไม่เกิดเรื่องเลยน่าจะดีกว่านะนวล"
นวลเงียบไป ก้มหน้าแล้วถอนหายใจนิดหนึ่ง ลึกๆก็กลัวเหมือนกัน
"ขอให้งานของลินราบรื่นทีเถอะ"
ชลันตีมองไปที่พระจันทร์อีกครั้ง พยายามข่มความกังวลลงไป

พระอาทิตย์ขึ้นเหนือยอดไม้ เข้าสู่เช้าวันใหม่แล้ว
ทีมสำรวจของตฤณฤทธิ์กับกลุ่มของพลเพิ่มรอพวกพรานหนุ่มอยู่ในเต็นท์
นลินอยู่ในกลุ่มนั้นด้วย เธอแอบกังวลเรื่องดินถล่มทางขาดแต่ยังเก็บอาการไว้

ผ่านไปสักพักกลุ่มของพรานหนุ่มกับลูกหาบที่ไปดูทางก็กลับมารวมกับทุกคน
"เป็นยังไงบ้างครับพราน" ตฤณฤทธิ์ถาม
พรานหนุ่มส่ายหัว หน้าเครียดเคร่ง
"ข่าวร้ายครับ เป็นอย่างที่ลูกหาบว่า ดินถล่มปิดเส้นที่เราใช้กลับหมู่บ้านหมดเลย"
นลินตกใจมากพอได้ยินเรื่องนี้
"หมายความว่าเรากลับตามกำหนดเดิมไม่ได้เหรอคะ"
ทุกคนหันไปมองนลินเป็นตาเดียว
สักพักนลินก็รู้ตัว ทำเป็นถามน้ำเสียงปกติ
"คือ...ฉันมีงานรออยู่ ยังไงก็ต้องกลับให้ทัน พอจะมีทางช่วยได้หรือเปล่าคะ"
พลเพิ่มรู้สึกว่านลินดูลนลานกว่าปกติ แต่ก็ช่วยพรานตอบ
"ทางเดียวที่จะกลับหมู่บ้านได้ตอนนี้ คือใช้อีกเส้นที่อ้อมเขาลูกนี้ไป"
ปัณรีถาม "ไกลแค่ไหนคะ ลำบากรึเปล่า"
"ไกลกว่ามากแต่คงไม่มีทางอื่น"
"ถ้าออกเดินทางวันนี้เลยใช้เวลากี่วันเหรอครับ"
พรานหนุ่มบอก
"ถ้าไม่หยุดพักเลยก็ประมาณ 2 วันครับ"
นลินคิดหนัก
"แล้วถ้าฉันล่วงหน้าไปก่อนล่ะคะ? ถ้าออกเดินทางตอนนี้ ฉันอาจจะ..."
พรานหนุ่มตกใจ โวยขึ้นทันที
"ไม่ได้! มันอันตราย ยังไงก็ให้แยกไปไม่ได้"
ตฤณฤทธิ์บอกนลิน
"ถ้าเป็นงานของกรมฯ คุณไม่ต้องห่วงนะ ผู้ใหญ่น่าจะเข้าใจ"
นลินอึกอักไม่กล้าตอบ ปัณรีแทรกขึ้น
"ฉันเห็นด้วยกับคุณลิน ยิ่งออกไปได้เร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดีเท่านั้น"
ปัณรีบ่นอย่างหงุดหงิด มธุรสอดไม่ได้
"แต่พรานบอกอยู่ว่ามันอันตรายนะ"
ปัณรีเชิดใส่มธุรส วิศวัตหันไปถามตฤณฤทธิ์
"เอาไงดีครับอาจารย์?"
ตฤณฤทธิ์หันไปสบตานลินที่มองมาเหมือนจะขอร้อง แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจ
"เราจะออกเดินทางบ่ายนี้พร้อมกันตามเส้นทางที่พรานบอกไว้ ทุกคนแยกย้ายไปเก็บของได้"
ตฤณฤทธิ์สบตานลินอีกครั้ง แต่เธอหลบตาเขา
ส่วนฌาณมองไปบนท้องฟ้า แล้วคอยสังเกตอาการทุกคน

ถัดมา ทุกคนทยอยออกไปจากเต็นท์ นลินเข้าไปถามพรานหนุ่ม
"พรานคะ ฉันมีเรื่องอยากถาม"
"ครับคุณ?"
"เรื่องทางที่ว่าต้องอ้อมไป มันลำบากมากไหมคะ"
"พอสมควรครับ"
"แล้ว...เราจะถึงหมู่บ้านตามกำหนดที่พรานบอกไว้แน่รึเปล่าคะ"
"ถ้าไม่เกิดอะไรขึ้นระหว่างทางก็จะเป็นตามที่ผมบอก...คุณคงไม่ได้คิดจะแอบออกไปก่อนหรอกนะ?"
พรานหนุ่มมองนลินเหมือนจับผิด นลินตอบกลบเกลื่อน
"ไม่หรอกค่ะ ถึงฉันจะรีบ แต่ก็ไม่รู้ทางดีเท่าพราน คงไม่เสี่ยงหรอกค่ะ"
พรานหนุ่มมองนลินอย่างพิจารณาแต่ก็เหมือนจะพอใจในคำตอบของนลิน
"นั่นแหละ ในป่าแบบนี้ต่อให้เรารู้ทางดี ก็ไม่ได้รับรองว่าจะไม่เกิดเรื่อง อยู่ในที่ที่ควรอยู่น่ะถูกแล้ว"
นลินยิ้มตอบพรานหนุ่ม ไม่ได้ถามต่อ
ข้างเต็นท์ ฌาณลอบสังเกตนลินอยู่เงียบๆ

ต่อมา นลินเดินออกจากเต็นท์มา สีหน้าเครียดๆ แต่จู่ๆฌาณก็โผล่มาดักหน้าไว้
"เป็นยังไงบ้าง คุณนลิน"
นลินสะดุ้ง ตกใจที่เจอฌาณ
"อาจารย์...มีอะไรกับฉันหรือเปล่าคะ?"
"ผมรู้สึกว่าคุณ...กำลังกังวล"
ฌาณยิ้มแต่กลับดูลึกลับน่ากลัวอย่างประหลาด นลินตอบแบบระวังตัว
"ฉันไม่ได้กังวลอะไรหรอกค่ะ"
"แต่ผมเห็นว่าคุณถามเรื่องเส้นทางจากพรานตลอด ดูคุณกลัวที่จะต้องอยู่ในป่านี้นาน...เป็นพิเศษ"
นลินอึกอัก "ฉัน...แค่อยากกลับไปทำงาน"
"คุณเข้ามาที่นี่ก็คืองานไม่ใช่เหรอ หรือ...มันจะเกี่ยวกับปัญหาสุขภาพ เหมือนที่คุณเป็นลมที่ปราสาท"
ฌาณมองหน้านลิน ไม่แสดงอารมณ์อะไร แต่นลินรู้สึกเย็นเยือก
"ฉันไม่เป็นอะไรแล้วค่ะ"
"ดีแล้ว แต่คุณควรระวังตัวไว้ เพราะในป่านี่ไม่ได้มีแค่โรคภัย แต่มีอะไรที่จะทำให้เราเจ็บป่วยได้อย่างคาดไม่ถึงเลยทีเดียว"
ฌาณเดินเข้ามาใกล้นลิน มองไปที่คอ
นลินเอามือจับที่คอ รู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา เดินเลี่ยงออกไป

ด้านกวิตากำลังทยอยเก็บของอยู่ในเต็นท์ สักพักนลินก็กลับเข้ามา
"ฉันเก็บของให้เกือบหมดแล้วนะลิน แกลองเช็คดูแล้วกันว่าขาดเหลืออะไรอีกหรือเปล่า"
นลินนั่งลงช่วยเช็คของ ตอบกวิตา น้ำเสียงดูเครียดๆ เหนื่อยๆ
"ขอบใจมากต้า เดี๋ยวฉันดูเอง"
กวิตาหันมามองนลิน สังเกตได้ว่านลินดูแปลกๆ
"ลิน ถามจริง เครียดอะไรอยู่ ดูแกแปลกๆมาสักพักแล้วนะ"
"เปล่า...ก็แค่เรื่องงาน"
"แต่เท่าที่ฉันรู้ แกไม่มีงานต้องกลับไปเคลียร์ แล้วแกเป็นห่วงงานอะไร"
กวิตาจ้องหน้านลิน เต็มไปด้วยความสงสัย นลินคิดหาข้ออ้าง
"ที่จริง...ฉัน...กลัวป้าตีเป็นห่วงต่างหาก"
"แค่นี้เองเหรอ?"
"แกก็รู้ว่าครอบครัวฉันเหลือแค่ป้าตี ฉันสัญญาไว้ว่าจะรีบกลับ แต่ตอนนี้ทางก็ขาดติดต่อก็ไม่ได้ เขาต้องห่วงฉันมากแน่ๆ"
นลินตอบไปนิ่งๆ กวิตายังไม่ค่อยเชื่อ แต่ไม่อยากเซ้าซี้
"เดี๋ยวก็ได้กลับแล้วล่ะ แต่อย่าลืมนะ มีอะไรแกเล่าให้ฉันฟังได้ อย่าเก็บไว้คนเดียว"
นลินพยักหน้ารับกวิตายิ้มให้แล้วกลับไปเก็บของต่อ นลินแอบเครียด

เมื่อทุกคนพร้อม คณะของตฤณฤทธิ์ออกเดินทางมาจากแคมป์ เริ่มออกเดินทางแล้ว
รอบข้างเห็นเป็นป่าทึบ ต้นไม้ขึ้นสลับ แต่ยังพอมีแสงลอดออกมาได้
พรานหนุ่มเป็นคนนำทาง ตามด้วยพวกตฤณฤทธิ์ มธุรส วิศวัต กวิตา นลิน พลเพิ่มกับปัณรี บุรัณย์ โจ๊ก และลูกหาบทั้งสาม
นลินพยายามเร่งฝีเท้าเต็มที่ จนขึ้นนำตฤณฤทธิ์ได้ ตฤณฤทธิ์มองนลินอย่างแปลกใจ
ปัณรีตามมาได้ช้ากว่าคนอื่น ดูเหนื่อยล้าและหงุดหงิดมาก ตัดสินใจเร่งตามเพื่อไปหาพราน
"นี่พราน หยุดก่อนได้ไหม เดินเป็นชั่วโมง ขาฉันจะแหลกอยู่แล้ว ฉันเหนื่อย อยากพัก"
พรานหนุ่มอึกอัก หันไปมองหน้าพลเพิ่มกับตฤณฤทธิ์เป็นเชิงขอความเห็น
"เป็นอะไรอีกปัณ นี่ยังไปไม่ถึงไหนเลย"
"ปัณไม่ค่อยได้เข้าป่านี่คะ ให้พักหน่อยไม่ได้รึไง"
ตฤณฤทธิ์พยายามพูดกับปัณรีอย่างใจเย็น
"แต่เราต้องเร่งให้ถึงที่ตั้งแคมป์ก่อนพระอาทิตย์ตกถ้าพักบ่อยจะไม่ทันนะครับ"
"ปัณเจ็บขานี่คะเดินไม่ไหวจริงๆ แต่ถ้าพี่ตฤณจะให้ปัณขี่หลังหรืออุ้มปัณ ก็อาจจะไปต่อได้"
ตฤณฤทธิ์กับพลเพิ่มมองหน้ากัน กลุ้ม มธุรสมองอยู่จะเข้าไปเถียง
เสียงนลินดังขึ้นก่อน
"อดทนอีกหน่อยเถอะค่ะคุณปัณ"
นลินเดินแทรกเข้ามา ทุกคนมองนลินอย่างแปลกใจ
นลินบอกกับปัณรี น้ำเสียงจริงจัง ไม่เหมือนทุกที
"ฉันคิดว่าทุกคนก็เหนื่อยเหมือนกัน แต่เราต้องออกจากป่านี้ให้เร็วที่สุด"
ปัณรีชักสีหน้า เริ่มไม่พอใจนลิน
"ที่พูดเนี่ย เพื่อตัวเองใช่ไหม"
"หมายความว่ายังไงคะ"
"เธอไม่ใช่เหรอที่ร้องอยากกลับออกจากป่าก่อนคนอื่น ฉันก็อยากออกไปจากที่นี่เร็วๆเหมือนกัน แต่ในเมื่อฉันไม่ไหวก็เห็นใจกันบ้างสิ"
พลเพิ่มเห็นสถานการณ์ไม่ดี พูดปรามปัณรี
"ปัณก็ต้องเห็นใจคนอื่นบ้างเหมือนกัน"
ฌาณเงยหน้ามองท้องฟ้า แล้วเดินแทรกเข้ามากลางวง บอกกับทุกคน
"ขอโทษที่ต้องเข้ามาแทรก แต่ถ้าให้ผมแนะนำ เราไม่ควรหยุดที่นี่นาน ในป่า มันมีแต่อันตราย"
ฌาณมองหน้าปัณรีสีหน้าเย็นชา ปัณรีรู้สึกขนลุกแปลกๆ หันไปสั่งพราน
"ฉันเห็นแก่ส่วนรวมหรอกนะ"
"มา...คุณปัณเกาะแขนพี่ไปก็ได้ครับ"
ปัณรีเดินเข้าไปเกาะแขนตฤณฤทธิ์ ยิ้มกริ่ม

ตอนเย็นใกล้ค่ำ พระอาทิตย์กำลังตกดิน
เสียงชลันตีดังขึ้นในบ้านยายเพียร น้ำเสียงตกใจมาก
"ว่าไงนะ!"
นวลสีหน้าไม่ดีนัก ขณะเข้ามารายงานชลันตี
"ตอนนวลไปตลาด เจอนังชมพู่มันเล่าเรื่องไปหาของป่าวันก่อน มันบอกว่าดินถล่มทางขาดค่ะ"
"ใช่ทางเดียวกับที่พวกลินไปรึเปล่า"
"ค่ะ"
ชลันตีสีหน้าเครียดหนักกว่าเดิม
"ตอนนี้มีคนเข้าไปตามหาพวกคณะสำรวจหรือยัง"
"ยังค่ะถามแล้วมีแต่บอกว่าไปกับพรานไม่มีอะไรน่ากลัว ยังมีอีกเส้นที่ออกจากป่าได้ แค่ต้องอ้อมไปเท่านั้น"
"ใช้เวลานานแค่ไหน แล้วลินจะกลับมาทันรึเปล่า"
นวลก้มหน้า ตอบเสียงเบา สีหน้าหวั่นใจ
"ถ้าไม่มีอะไรพลาดคุณหนูจะกลับมาก่อนพระอาทิตย์ตกดินวันนั้นพอดีค่ะ"
"แล้วถ้ามันพลาดล่ะ?"
นวลเงียบไป ชลันตีมองออกไปนอกหน้าต่าง ครุ่นคิดว่าควรทำยังไงต่อ

เช้าวันใหม่ พรานหนุ่มกางแผนที่ออกมาให้ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นดู
พรานหนุ่มชี้ไปบนแผนที่ตรงจุดที่กลุ่มของตฤณฤทธิ์อยู่พลางอธิบาย
"นี่คือจุดที่พวกเราอยู่ จากนี้ไม่เกินครึ่งวันน่าจะถึงทางเชื่อมกับท้ายหมู่บ้าน"
"งั้นเราน่าจะถึงก่อนพระอาทิตย์ตกตินสินะครับ" พลเพิ่มว่า
"ถ้าทำความเร็วได้เท่าเมื่อวานก็ใช่ครับ"
ปัณรีโพล่งออกมาว่า "จะได้ออกจากป่านี่ซักที"
นลินได้ยินก็ดีใจขึ้นมาทันที ตฤณฤทธิ์แอบสังเกตเห็นหันไปบอกกับนลิน
"ไม่ต้องห่วงนะ ยังไงคุณกลับไปทันกำหนดแน่นอน"
ตฤณฤทธิ์ยิ้มให้นลิน นลินชะงักนิดหนึ่ง
"เป็นห่วงเพื่อนฉันขนาดนี้ต้องตามไปส่งถึงหน้าบ้านเลยนะคะด็อกเตอร์"
กวิตาพูดแซวขึ้น ถูกนลินตีแขนเผียะ ทำเป็นพูดเปลี่ยนเรื่อง
"ไปล้างหน้าล้างตาแล้วเตรียมเก็บของได้แล้ว"
"จ้า...จ้า ไปก็ไปจ้า ...ขอบคุณอีกรอบนะคะด็อกเตอร์"
นลินลากกวิตาออกไป ตฤณฤทธิ์ไม่พูดอะไรแต่แอบยิ้ม
ปัณรีลอบสังเกตตฤณฤทธิ์กับนลินอยู่ รู้สึกว่าสองคนนี้มีอะไรแปลกๆ

นลินแยกจากกวิตาที่เก็บของอยู่ในเต็นท์ออกมาคนเดียว กำลังจะเดินไปล้างหน้าริมน้ำ
ตฤณฤทธิ์กำลังจะไปเหมือนกันเห็นนลินก็ทำทีเข้าไปทัก
"คุณ"
นลินหันไปตามเสียงเรียก
"ว่าไงคะ?"
"อาการคุณเป็นไงบ้าง"
"ดีขึ้นแล้วค่ะ ฉันเดินทางได้สบายมาก ขอบคุณนะคะ...ที่เป็นห่วง"
นลินยิ้มให้ ตฤณฤทธิ์แอบเขิน ทำตอบเฉไฉไป
"มันเป็นหน้าที่ผมที่ต้องทำให้ทุกคนกลับบ้านอย่างปลอดภัยครับ...ถ้าคุณมีอะไรให้ช่วยอีกบอกผมได้นะ"
"คุณช่วยฉันมาเยอะแล้วล่ะค่ะ"
"ไม่เป็นไร ผมเต็มใจ"
ตฤณฤทธิ์สบตากับนลิน นัยน์ตาสื่อความหมายบางอย่าง นลินยิ้มเขินๆ
"คุณเป็นหัวหน้าทีมที่ดีนะคะ"
"ผมแค่อยากทำให้ทุกคนสบายใจ"
นลินยิ้มให้ตฤณฤทธิ์
ปัณรีมองอยู่อีกมุมเห็นตฤณฤทธิ์กับนลินเดินคู่กันไปที่ลำธาร

ที่ริมลำธาร นลินเตรียมข้าวของมาล้างหน้าล้างตา พอเท้าลงแตะน้ำที่เย็นเจี๊ยบเธอถึงกับสะดุ้ง
ตฤณฤทธิ์ตามมาล้างหน้าอยู่ใกล้ๆ คอยลอบมองนลินยิ้มเพลิน จนมีเสียงคนเรียก
"พี่ตฤณก็มาตรงนี้เหมือนกันเหรอคะ"
ตฤณฤทธิ์หันไป เจอปัณรีกับพลเพิ่มยืนมองอยู่ ปัณรีเดินลุยน้ำเข้ามาทักทายอย่างร่าเริง
"ขอปัณนั่งด้วยนะคะ"
ปัณรีมองไปตรงโขดหินข้างๆตฤณฤทธิ์ เขายิ้มตอบรับเอาคำตามมารยาท
"ได้สิครับ"
ปัณรีลงนั่งที่โขดหินข้างๆ ตฤณฤทธิ์ กวักน้ำล้างแขนขณะชวนเขาคุย
"น้ำที่นี่ทั้งใสทั้งเย็นเลยนะคะ ปัณไม่เคยเห็นลำธารธรรมชาติที่ใสขนาดนี้มาก่อนเลย"
"แถมสะอาดกินได้ด้วยนะครับ"
"จริงเหรอคะ?"
"ครับ"
ปัณรีเอามือไปแตะน้ำ จะชวนตฤณฤทธิ์คุยต่อ
แต่จู่ๆนลินที่ล้างหน้าเสร็จ กำลังจะขึ้นจากลำธารเกิดเซจะเสียหลัก ตฤณฤทธิ์เห็นเข้าก็ตกใจ
"คุณลิน!"
ตฤณฤทธิ์ลุกขึ้นรีบเข้าไปช่วยประคองนลินไว้ทัน
ปัณรีมองตามไป รู้สึกเสียหน้ามาก
ปัณรีลุกขึ้น เดินไปหาพลเพิ่ม พลางมองไปที่ทั้งคู่ที่ดูเป็นห่วงเป็นใยกันมาก
ปัณรีกระซิบบอกกับพลเพิ่ม "ทำเป็นใจเย็นไปเถอะ"
"จะรบให้ชนะต้องวางแผนรอบคอบ ใจร้อนไปก็ไม่ได้อะไร"
"สมัยนี้ช้าก็ได้แต่มอง ปัณไม่ชอบรอซะด้วย"
ปัณรีมองนลินเหมือนกำลังคิดแผนอะไรอยู่ พลเพิ่มรู้สึกได้
"คิดจะทำอะไร?"
ปัณรียิ้มเยาะใส่พลเพิ่ม แล้วเดินออกไป พลเพิ่มมองตามรู้สึกไม่สบายใจ

นลินแยกจากตฤณฤทธิ์มาเก็บของที่ริมน้ำอีกด้านหนึ่ง ปัณรีเดินมาด้านหลังแล้วทำเป็นลงไปนั่งใกล้ๆ ชวนคุย
"คุณลินคะ ขอปัณคุยด้วยหน่อยได้ไหมคะ เรื่องเมื่อวาน"
นลินหันไปหา เห็นปัณรีส่งยิ้มมาให้
"เรื่องไหนคะ"
"ที่ปัณเสียมารยาทใส่คุณระหว่างเดินทางมาที่นี่ ปัณอยากเคลียร์ค่ะ"
"ฉันไม่ติดใจอะไรหรอกค่ะ เดินทางไกล ใครก็เหนื่อยทั้งนั้น"
"นึกแล้วเชียวว่าคุณลินต้องเข้าใจ ขอบคุณมากนะคะ"
"ไม่เป็นไรค่ะ"
"แล้วคราวหน้าคุณลินจะมาด้วยไหมคะ?"
นลินชะงักไป นึกเรื่องที่ชลันตีขอให้ลาออกแล้วหน้าเศร้าลง
"ฉันอาจจะไม่ได้มาแล้วล่ะค่ะ"
ปัณรีแปลกใจ "ทำไมล่ะคะ"
"ฉันอาจจะต้องกลับมาดูแลบ้านคุณยายเร็วๆนี้"
"งานคุณลินออกจะมั่นคง ไม่เสียดายโอกาสเหรอคะ"
ปัณรีทำหน้าสงสัยแล้วทำเป็นเดินเข้าไปใกล้นลิน มองเหมือนจะคาดคั้น
"หรือว่า...คุณลินมีปัญหาอะไร"
นลินอึกอักไม่กล้าตอบ
ปัณรีขยับเข้ามาใกล้นลินอีก ทำเป็นวักน้ำและอาศัยจังหวะนั้นจะแกล้งเซไปชนนลินแต่กลับเสียหลักลื่นลงไปในลำธารเสียเอง
"ว้าย!"
นลินตกใจ "คุณปัณ!"
"โอ๊ย!"
นลินรีบลุกขึ้นไปดูปัณรีสีหน้าตื่นตระหนก ที่ขาปัณรีเห็นแผลถลอกเลือดไหลเป็นทาง
พลเพิ่มกับตฤณฤทธิ์ได้ยินเสียงก็ตามเข้ามาดู ปัณรีเห็นแผลก็กรี๊ดลั่น
"แอร๊ย! ขาฉัน! ช่วยด้วย"
ปัณรีร้องโวยวายดังลั่น พลเพิ่มกับตฤณฤทธิ์เข้าไปช่วยพยุงขึ้นมา
"คุณปัณเป็นไงบ้างครับ"
"ช่วยกันพากลับแคมป์ก่อนเถอะครับ"
พลเพิ่มกับตฤณฤทธิ์พาปัณรีออกไป นลินหน้าเสีย

ที่เต็นท์ใหญ่ในแคมป์ ปัณรีถูกพามาพักในนั้น คนที่เหลือตามออกมาดู
นลินดูนาฬิกาข้อมือ ท่าทางร้อนรนกลัวจะออกเดินทางไม่ได้
มธุรสมาช่วยทำแผลให้ปัณรี แต่ปัณรีเจ็บเลยงอแงโวยวายใส่
"โอ๊ย! ค่อยๆได้ไหม เจ็บนะ"
"ก็ค่อยๆอยู่เนี่ยค่ะ"
มธุรสทำหน้าเอือมแล้วจิ้มสำลีชุบยาฆ่าเชื้อลงไปแรงๆ ปัณรีร้องดังลั่น
"แอร๊ย! เจ็บเป็นบ้าเลย"
มธุรสช่วยพันแผลกระแทกปิดกล่องปฐมพยาบาลเซ็งๆ วิศวัตกับบุรัณย์เข้ามาดู
"โห ทั้งช้ำทั้งถลอก หนักเหมือนกันนะครับ" วิศวัตว่า
"ไม่เท่าไหร่หรอก แค่นี้ยังเดินไหวน่า"
ปัณรีหันขวับไปหาบุรัณย์
"ไม่ไหวหรอก เจ็บจะตาย ปัณเดินต่อไม่ได้แน่ๆ"
"แผลแค่นิดเดียวเดี๋ยวก็หายเจ็บ"
"คราวก่อนปัณอาจจะแค่เหนื่อย แต่ตอนนี้ปัณเจ็บ ปัณอยากพัก พี่ตฤณช่วยพูดกับพรานให้เลื่อนการเดินทางไปพรุ่งนี้ได้ไหมคะ"
ตฤณฤทธิ์ลังเล หันไปมองนลิน กลัวจะพานลินไปส่งไม่ทัน
"พี่คงต้องปรึกษาทุกคนก่อน"
ปัณรีตีหน้าเศร้า
"ไม่เป็นไรค่ะ ถ้าทุกคนอยากกลับเร็วๆ ทิ้งปัณไว้ที่นี่ก่อนก็ได้แล้วค่อยมารับปัณทีหลัง"
ปัณรีเสแสร้งทำเป็นจะร้องไห้ นลินหน้าเจื่อน
นลินสวนขึ้นมา "ฉันก็มีส่วนผิด"
"คุณลินไม่ต้องรับผิดชอบแทนยัยปัณหรอกครับ น้องผมซุ่มซ่ามเอง"
"พี่พลทำไมพูดแบบนี้ ไม่ลองมาโดนเองบ้างล่ะ!"
นลินหน้าเครียด มองหน้าทุกคน แล้วตัดสินใจ
"ให้คุณปัณพักเถอะค่ะ ตอนฉันไม่สบายทุกคนยังให้พักได้ กลับช้าหน่อยคงไม่เป็นไร"
ปัณรียิ้มมุมปากชอบใจ นลินกำมือแน่น ทั้งกลัวทั้งกังวลแต่พยายามไม่แสดงอาการออกไป

พระอาทิตย์กำลังตกดิน
ชลันตีออกไปธุระเพิ่งกลับเข้ามาในบ้าน เจอนวลยืนรอรับอยู่ แต่ท่าทางกระสับกระส่ายพิกล
ชลันตีเข้าไปถามนวลเรื่องนลินทันที
"นวลลินมาถึงแล้วหรือยัง?"
นวลอึกอัก ไม่กล้าบอก ชลันตีถามย้ำ
"ว่ายังไง ลินกลับมาหรือยัง?"
"ค...คุณหนูยังไม่กลับมาเลยค่ะ"
ชลันตีตกใจ "ยังไม่มาเหรอ ไหนว่าวันนี้ควรจะถึงแล้วไง"
"อาจจะมีอะไรผิดพลาด"
ชลันตีมองท้องฟ้า
ชลันตีพูดกับนวล "ลินต้องกลับมาให้ทันคืนนี้!"
นวลพยักหน้า สีหน้าเครียด วิตกกังวล
"ถ้าคุณหนูมาไม่ทัน...เราจะทำยังไงดีคะ"
ชลันตีกระแทกกระเป๋าลงบนที่นั่งในห้องรับแขก ครุ่นคิดหาวิธีช่วยนลิน
"ถ้าพวกเขาออกเดินทางแล้ว เราอาจจะตามทันไปเจอกัน"
นวลแปลกใจ "คุณคะ!"
ชลันตีมองหน้านวล พูดน้ำเสียงจริงจัง
"เราต้องเสี่ยงแล้ว"
นวลอึ้งนิ่งงันไป

ตอนกลางคืนพระจันทร์ใกล้เต็มดวง
ในเต็นท์ของนลินกับกวิตา นลินกระสับกระส่ายพลิกตัวไปมา ไม่กล้าหลับ เพราะรู้ว่าจะถอดหัวคืนนี้
กวิตาหลับสนิทไปแล้ว รอบข้างได้ยินแต่เสียงหรีดหริ่งเรไร กับเสียงฝีเท้าลูกหาบที่เดินเฝ้ายาม
เหงื่อเริ่มผุดพรายบนใบหน้านลิน เธอคิดหาวิธีเอาตัวรอด
นลินมองไปเห็นกวิตาหลับสนิทจึงผุดลุกขึ้น แต่ทันใดนั้นร่างก็กระตุกรุนแรงจนล้มลงไป
นลินเบิกตาโพลงจับคอตัวเอง ร่างกายสั่นอย่างควบคุมไม่ได้
นลินเอื้อมมือไปกำลังจะเปิดประตูเตนท์
เสียงกวิตาดังขึ้น
"ลิน...จะไปไหน"
นลินหันไปเจอกวิตาลืมตาขึ้นมามองอยู่ นลินจิกมือที่คอตัวเกร็งพยายามเก็บอาการไว้
"เปล่า...ไม่มีอะไรต้า"
กวิตาตอบแบบงัวเงีย กึ่งหลับกึ่งตื่น
"รีบนอนได้แล้ว พรุ่งนี้ต้องเดินทางแต่เช้า"
กวิตาพูดจบก็พลิกตัวกลับไปอีกทาง
นลินรอดูอาการของกวิตา แต่ในที่สุดก็ทนไม่ไหว
นลินตัดสินใจเปิดเต็นท์ออกแล้วพรวดพราดออกไป
นลินวิ่งพรวดพราดออกมาบริเวณหน้าเต็นท์ ไม่ทันระวังจนล้มลงไปกองกับพื้น
นลินรีบดันตัวเองขึ้นแต่กลับเซไปกระแทกข้าวของหน้าเต็นท์หล่นดังโครม
ตฤณฤทธิ์และฌาณยังนั่งคุยกันที่รอบกองไฟในแคมป์ได้ยินเสียงก็หันมามองทางนลิน
นลินหันไปสบตาตฤณฤทธิ์พอดี นลินเอามือปิดคอตัวเองเริ่มลนลาน มองหาทางหนี
พวกตฤณกับพลเพิ่มจะลุกมาหานลิน นลินตัดสินใจลุกขึ้นแล้ววิ่งออกไปในป่าทันที
พลเพิ่มสังเกตว่านลินดูแปลกๆ หันไปถามตฤณฤทธิ์
"นั่นคุณลินนี่ครับ"
"ทำไมออกมาตอนนี้"
"รีบตามคุณลินไปดีกว่า"
พลเพิ่มหันไปคว้าไฟฉาย กับอุปกรณ์เดินป่าติดตัวแล้วรีบตามนลินไป
ตฤณฤทธิ์รีบไปหยิบของตัวเองแล้วตามพลเพิ่มไปติดๆ
มีแต่ฌานที่ยังคงยืนนิ่ง สัมผัสได้ถึงกลิ่นแปลกๆ จึงรีบตามพวกพลเพิ่มไป

เสียงฝีเท้าคนย่ำมาตามทางในป่าดังสวบสาบติดๆ กัน
ในขณะที่นลินวิ่งมาตามทางในป่า มือปัดกิ่งไม้ที่ขวางทางออก สีหน้าตื่นตระหนกและหวาดกลัว
ทางด้านพลเพิ่มกับตฤณฤทธิ์วิ่งตามนลินมาติดๆ ทั้งคู่ต่างตะโกนเรียกนลิน
"ลิน คุณอยู่ที่ไหน ลิน!"
"คุณลิน ตอบพวกผมด้วย คุณลิน!" พลเพิ่มตะโกน
ไม่มีใครตอบรับกลับมา เสียงฝีเท้าของนลินค่อยๆเงียบหายไป
ตฤณฤทธิ์กับพลเพิ่มหยุดวิ่งหันมาปรึกษากัน
"ผมว่าเราตามต่อทั้งมืดๆแบบนี้ไม่ดีแน่"
พลเพิ่มบอก "ผมเห็นด้วย ดีไม่ดีเราจะหลงไปอีก เราคงต้องให้พรานช่วย"
เสียงฌาณดังขึ้น
"ผมอาสาไปเอง"
ตฤณฤทธิ์กับพลเพิ่มหันไป ฌาณเดินเข้ามา
"คุณทั้งคู่รออยู่ที่นี่ หาบริเวณรอบๆไปก่อน อย่าเพิ่งไปไหน ผมจะกลับไปเอาของแล้วตามพรานให้เอง"
ตฤณฤทธิ์มองหน้าฌานรู้สึกสงสัยตะหงิดๆ แต่ไม่มีวิธีดีกว่านี้เลยตกลง
"ก็ได้ครับ"
"ฝากด้วยนะอาจารย์"
พลเพิ่มมองหน้าฌาณเหมือนรู้กัน ฌาณแยกตัวออกไป

ลึกเข้าไปในป่า เห็นต้นไม้เริ่มขึ้นรกครึ้มจนมองแทบไม่เห็นทาง
นลินวิ่งไปน้ำตาคลอ มือจับที่คอไปด้วย พยายามฝืนไม่ให้ร่างแยกออกจากกัน
เสียงฝีเท้าดังถี่ขึ้น นลินหายใจหอบ ตาหันไปมองด้านหลังอย่างหวาดระแวง
นลินกัดฟันไม่ให้ร้องออกมา เธอวิ่งต่อไม่ไหวล้มลงกับพื้น แล้วจู่ๆก็ๆ เธอก็ส่งเสียงกรีดร้องโหยหวนทรมาน ...

เสียงกรีดร้องโหยหวนดังขึ้นพร้อมกับเสียงนกที่บินแตกรัง
ตฤณฤทธิ์กับพลเพิ่มที่อยู่คนละมุม ทั้งคู่หยุดชะงัก มองไปรอบๆ ระแวดระวัง ต่างเรียก
"ลิน.../คุณลิน!"
ตฤณฤทธิ์ตกใจ กลัวนลินจะเป็นอันตรายรีบวิ่งออกไปตามหา
พลเพิ่มรู้สึกแปลกๆ แต่สุดท้ายก็สาดไฟฉายไปอีกมุม แล้วค่อยๆเดินออกตามหาต่อ

บริเวณชายป่า ในบรรยากาศป่ามืดทืบ ท้องฟ้ากลายเป็นสีแดงคล้ายพายุจะเข้า
เสียงนกแตกรังดังมาจากที่ไกลๆ ลมพัดแรงเป็นระยะ
ชลันตีกับนวล ทั้งคู่มาถึงบริเวณชายป่าแล้ว
ชลันตีมองไปบนท้องฟ้า รู้สึกถึงบางอย่างที่ผิดปกติ
"ไม่นะ"
ชลันตีหันไปบอกกับนวล
"รีบเข้าเถอะนวล ไป!"
ชลันตีพูดจบก็หยิบไฟฉายของตนขึ้นมาฉายไปด้านหน้าแล้วเร่งฝีเท้าเร็วขึ้น

บริเวณแคมป์เวลากลางคืน เมฆเริ่มลอยบดบังพระจันทร์เห็นเป็นแสงสลัว
ฌาณกลับเข้ามาที่เต็นท์ รีบส่องไฟฉายรื้อของขลังที่ตัวเองพกมาด้วย สักพักก็เจอบางอย่าง
ฌาณค่อยหยิบมีดหมอเก่าคร่ำคร่าแต่ยังคมกริบสะท้อนกับแสงไฟฉาย
ฌาณมองมีดหมอยิ้มกระหยิ่ม
ประตูเต็นท์เปิดออก ฌาณหันไป พรานหนุ่มเปิดเต็นท์เข้ามา
"พร้อมแล้วอาจารย์ ไปกันเถอะ"
ฌาณพยักหน้า รีบเก็บมีดหมอใส่ย่ามตัวเองแล้วออกไปทันที

ฌานกับพรานหนุ่มออกมาจากเต็นท์ กำลังจะออกเดินทาง
บุรัณย์ที่ออกไปทำธุระในป่ากลับมาเห็นพอดีก็ทักขึ้น
"คุณสองคน จะไปไหนกัน?"
ฌานกับพรานหนุ่มหยุดชะงัก
บุรัณย์เดินเข้ามาสังเกตเห็นข้าวของก็สงสัย
"แล้วทำไม ต้องเอาอาวุธ...กับของพวกนี้ไปด้วย"
ฌาณหงุดหงิดไม่อยากให้บุรัณย์เซ้าซี้ พยายามตัดบท
"ไม่เกี่ยวกับคุณหรอก"
บุรัณย์มองไปรอบเต็นท์ เห็นแค่พวกลูกหาบเฝ้ายามก็ยิ่งอยากรู้
"ถ้ามีเรื่องอะไรไม่ปรกติ ผมก็เกี่ยวด้วยทั้งนั้น"
พรานหนุ่มบอก"ไม่มีอะไรหรอก คุณไปนอนเถอะ"
"ไม่มีแล้วคุณจะรีบร้อนกันทำไม พวกพี่ตฤณก็หายไปด้วยเกิดอะไรขึ้นกันแน่?"
บุรัณย์ย้อนกลับไป ฌาณยิ่งไม่พอใจ พูดขู่บุรัณย์
"อย่าพยายามรู้ในเรื่องที่ไม่ควรรู้จะปลอดภัยกว่า"
บุรัณย์แทนที่จะกลัวกลับถามอย่างตื่นเต้นแทน
"แบบนี้แสดงว่า มีเรื่องน่าสนใจใช่ไหม?"
ฌาณมองหน้าพรานหนุ่มเป็นเชิงถามว่าจะเอายังไง พรานหนุ่มตอบบุรัณย์
"กลับเข้าที่พักคุณซะ เชื่อผม"
พรานหนุ่มตัดบทแล้วรีบออกไปกับฌาณ
บุรัณย์ยืนนิ่ง แต่พอพวกฌาณลับตาก็พุ่งเข้าเต็นท์ไปคว้ากล้องแล้วแอบตามออกไป

ในป่าตอนกลางคืน รอบข้างมืดสนิท ดูวังเวงน่ากลัว
ป่ามุมหนึ่งเห็นดวงไฟค่อยๆลอยมาตามทาง
ทุกอย่างเงียบสนิทไม่มีแม้แต่เสียงแมลงหรือสัตว์อื่นร้อง เห็นแค่แสงของดวงไฟกะพริบลอยอย่างไร้จุดหมาย แล้วค่อยๆปรากฏชัดเป็นนลินในร่างกระสือ
พลันนลินได้ยินเสียงบางอย่างดังกรอบแกรบบริเวณต้นไม้ นลินหันไป
นลินเห็นงูตัวหนึ่งเลื้อยผ่านไปมา กระสือนลินพุ่งเข้าใส่ในทันที

ต้นไม้ขึ้นรกทึบแทบมองไม่เห็นทาง
เสียงฝีเท้าคนย่ำไปตามพื้นอย่างต่อเนื่อง เห็นแสงไฟสาดเป็นระยะลอดผ่านเงาต้นไม้มา
ชลันตีกับนวลกำลังตามหานลินคนละมุม แต่หาเท่าไรก็ยังไม่เจอ
สักพักชลันตีหยุดตั้งสติ กวาดตามองไปรอบๆ สีหน้าเครียดมาก
"อยู่ไหนนะลิน"
นวลที่ไปหานลินอีกมุมหนึ่งตามมาสมทบ รีบรายงานชลันตี
"อิฉันหาอีกฝั่งจนทั่วแล้ว ไม่เจอคุณหนูค่ะ"
"ตรงนี้ไม่เจอก็ต้องเข้าไปให้ลึกอีก ยังไงก็ต้องหาให้เจอ ฉันสังหรณ์ว่าลินกำลังตกอยู่ในอันตราย"
ชลันตีเดินลึกเข้าไปในป่าอีก นวลรีบย่ำตามไปติดๆ

ในป่า ฌาณกับพรานหนุ่มเดินตามรอยตฤณฤทธิ์กับพลเพิ่มเข้ามาหยุดที่มุมหนึ่ง
ฌาณเงยหน้ามองท้องฟ้า สัมผัสได้ถึงพลังแปลกๆ
พรานหนุ่มถาม"มีอะไรหรือเปล่าอาจารย์"
ฌาณกวาดตามองไปรอบๆ
"กลิ่นอมนุษย์ ภูตผี...ข้ารู้สึกถึงมันได้"
"ภูตผีงั้นเรอะ?"
"เหมือนที่ปราสาทนั่น ไม่ผิดแน่ ไอ้ผีร้ายมันออกมาแล้ว"
พรานหนุ่มได้ยินก็เริ่มกลัวขึ้นมา
"ม...มันอยู่แถวนี้หรือเปล่า เราจะจัดการมันได้ไหม"
"เงียบก่อน ข้าต้องใช้สมาธิ"
พรานหนุ่มเงียบไป ฌาณเดินย่ำไปตามทางเดิน รอบข้างเงียบเชียบ ได้ยินแต่เสียงฝีเท้าทั้งสองคน
ฌาณเอามือล้วงเข้าไปในย่าม เตรียมหยิบมีดหมอออกมาใช้ตลอดเวลา
ฌาณเดินผ่านบริเวณหนึ่ง ผ่านพุ่มไม้ที่มีร่างนลินนอนอยู่ในนั้น แต่ฌาณยังไม่เห็น
ฌาณหันไปทิศที่ร่างนลินอยู่ สัมผัสถึงพลังได้มากขึ้น กำลังจะเข้าไปใกล้ร่างนลิน
ทันใดนั้นก็มีเสียงเหยียบกิ่งไม้ดังขึ้นด้านหลัง ฌาณรู้ตัวรีบหยิบมีดหมอตวัดไปด้านหลังทันที
บุรัณย์ถูกมีดหมอจ่ออยู่ที่คอ บุรัณย์หน้าเหวอ
พรานหนุ่มตามเข้ามาดู แปลกใจที่เจอบุรัณย์
"นายนักข่าวนี่?"
ฌาณลดมีดหมอลง ตวาดใส่บุรัณย์ด้วยความโกรธ
"ตามมาทำไม ผมบอกให้คุณอยู่ในที่พักไม่ใช่รึไง!"
บุรัณย์หน้าเจื่อนๆ รีบแก้ตัว
"ขอโทษครับ...แต่ผมเป็นนักข่าวจะให้อยู่เฉยๆรอข่าวอย่างเดียวไม่ได้หรอกครับ"
"คุณไม่ได้ฟังที่พวกผมเตือนเลยสินะหรืออยากจะตายในป่านี่จริงๆ?"
"ถ้าต้องตายเพื่อให้ได้ข่าวผมก็ยอม"
บุรัณย์แววตามุ่งมั่น ฌาณยิ่งหงุดหงิด แต่ก็ทำอะไรไม่ได้
พรานหนุ่มหันไปถามฌาณ
"เอาไงดี ปล่อยกลับไปที่พักคนเดียวก็ไม่ได้ด้วย"
"อยากตามนักก็ให้ตาม แต่เกิดอะไรขึ้น ข้าไม่รับรู้ด้วย"
ฌาณหันไปอย่างหัวเสียสุดขีด เดินออกไปอีกทาง บุรัณย์ตามไปด้วย
ในพุ่มไม้ลึกเข้าไป ร่างนลินยังคงอยู่ที่เดิม โดยไม่มีใครเห็น

ฝ่ายตฤณฤทธิ์วิ่งมาหยุดที่มุมหนึ่งในป่า มองหาร้องเรียกนลิน
"ลิน..คุณอยู่ที่ไหน"
ตฤณฤทธิ์มองหานลิน ทั้งเป็นห่วงทั้งกังวล ลดไฟฉายลงอย่างหมดแรง
ทันใดนั้นอากาศก็เย็นลงจนเขารู้สึกผิดปกติ
จู่ๆก็มีดวงไฟดวงหนึ่งส่องแสงกะพริบลอยอยู่ไกลๆ เหมือนที่เขาเคยเห็น
ตฤณฤทธิ์นึกถึงครั้งแรกที่เขาเข้ามาสำรวจ

ตอนนั้น ... ตฤณฤทธิ์วิ่งตามดวงไฟเข้ามาติดๆ จนเกือบจะไล่ทัน เห็นภาพลางๆ ว่ามีหัวกับไส้ เขาเพ่งมองแต่ไม่แน่ใจว่าอะไรกันแน่ จึงรีบหยิบมือถือมาถ่ายคลิปดวงไฟนั้นไว้ไปด้วย
พรานบุญบอก"มันคือ....กระสือ"

ดวงไฟนั้นลอยห่างออกไป ตฤณฤทธิ์สีหน้าครุ่นคิดว่าควรทำอย่างไร จะตามดวงไฟไปหรือตามหานลินต่อ
"นลิน!"
ตฤณฤทธิ์ค่อยๆถอยออกห่างจากดวงไฟ แล้วหันหลังกลับไปอีกทาง เพื่อตามหานลิน

บริเวณทางเดินในป่า พลเพิ่มย่องไปตามทาง เสียงใบไม้ดังกรอบแกรบเป็นระยะ
พลเพิ่มฉายไฟฉายไปด้านหน้า สายตาคอยระวังโดยรอบ
พอฉายไฟแล้วไม่เห็นอะไรด้านหน้า พลเพิ่มก็ค่อยๆถอยจะหันไปมองอีกทาง
ทันใดนั้น กิ่งไม้กิ่งหนึ่งก็ตกลงมาด้านหลัง พลเพิ่มถอยหลบได้ทัน
พลเพิ่มถอนหายใจโล่งอก สาดไฟฉายไปด้านหน้า แล้วก็สังเกตเห็นบางอย่างบนต้นไม้
พลเพิ่มค่อยๆเดินเข้าไป เพ่งมองว่ามันคืออะไร ตาเบิกโพลงด้วยความตกใจ
ที่ต้นไม้เห็นซากงูเหมือนถูกสัตว์ร้ายกัดกินห้อยอยู่ ลำตัวแหวกออกเห็นรอยเลือดแต่ไม่มีเครื่องใน
"นี่มันอะไรกัน..."
ขณะที่พลเพิ่มกำลังอึ้ง เสียงก็อกแก็กก็ดังขึ้นด้านหลัง
พลเพิ่มชักปืนออกมาจะยิง แต่มีเสียงเรียกเสียก่อน เขาจึงลดปืนลง
"นาย ผมเอง"
แสงนั้นลดลง พลเพิ่มมองไปเห็นฌาณกับพรานหนุ่มและบุรัณย์เดินเข้ามา
"เกือบไปแล้วอาจารย์"
"อยู่ที่นี่เอง ผมคิดว่าหลงกันแล้วซะอีก"
"ผมก็นึกว่าเป็นคนอื่น แต่เป็นอาจารย์ก็ดี ผมมีอะไรจะให้ช่วยดู"
พลเพิ่มเดินเข้าไปใกล้ซากงู ฉายไฟให้ทุกคนเห็น ฌาณตาวาววับ
บุรัณย์อึ้งไป ถามน้ำเสียงตื่นๆ
"ซากงูนี่ครับ โดนอะไรกินมา"
ฌาณบอก "เป็นอย่างที่คิดจริงๆ"
"มันเกิดจากอะไร อาจารย์พอจะบอกได้ไหม"
"ฝีมือของผีร้าย...มันออกอาละวาดคืนนี้ ต้องเป็นมันแน่"
"หมายความว่ายังไง ผีร้าย?"
ฌาณมองไปที่พระจันทร์ ยิ่มกระหยิ่ม
"เดี๋ยวก็รู้...ผมจะจัดการมันเอง"

ฌาณพูดจบก็พนมมือตั้งสมาธิ แล้วเริ่มสวดมนต์ทันที

อ่านต่อตอนที่ 11


กำลังโหลดความคิดเห็น