สาปกระสือ ตอนที่9 นลินกับตฤณฤทธิ์ออกจากปราสาทไม่ได้
บทประพันธ์และบทโทรทัศน์โดย อาณาจินต์
นลินและตฤณฤทธิ์นั่งคุดคู้อยู่ใต้ซุ้มปราสาทอนันตาปุระ มองดูลมที่กำลังโหมพัดรุนแรงอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุด ทั้งคู่มองหน้ากันไปมาสักพัก แต่แล้วจู่ๆ ลมก็หยุดพัด ฟ้าสว่างจ้า อย่างฉับพลัน นลินมองฉงนฉงาย
“อ้าว! นึกจะหยุดก็หยุดซะงั้น”
ตฤณฤทธิ์ลุกขึ้นยืนอย่างดีใจ
“ไปเถอะครับ ออกไปรวมกลุ่ม จะได้เริ่มทำงานกันซะที”
นลินจะลุกขึ้นยืน ขากลับเป็นตะคริวลุกไม่ขึ้น
“โอ๊ย!”
ตฤณฤทธิ์รีบพุ่งเข้ามาช่วยพยุง
“เป็นอะไรไปคุณ”
นลินรู้สึกเจ็บขา “สงสัยจะนั่งนานไปหน่อย ขาเลยเป็นตะคริวค่ะ”
“งั้นค่อยๆ เดินครับ ผมจะช่วยพยุง”
ตฤณฤทธิ์พยุงนลินประคับประคองเดินออกไป
เวลาต่อเนื่องมา ขานลินค่อยยังชั่วขึ้นแล้ว ทั้งคู่ลงมายืนรออยู่ที่ลานหน้าปราสาท
ทั้งสองมองไปรอบๆ ไม่เห็นมีใคร เริ่มแปลกใจ
“ทำไมยังไม่มีใครออกมาเลย”
ตฤณฤทธิ์เรียก “วัต รัณย์ อยู่ไหน? ออกมาได้แล้ว”
เงียบ... ไม่มีเสียงตอบใดๆ
“หรือว่ากลับที่พักกันไปแล้ว”
ตฤณฤทธิ์แปลกใจ “ไม่น่าเป็นไปได้ ถ้าจะกลับก็ต้องกลับพร้อมกันสิ”
ตฤณฤทธิ์และนลินมองที่ฟ้า แสงแดดแรงจ้า ดวงอาทิตย์ส่องตรงเหนือหัวพอดี
“ฟ้าสว่างต่างกับเมื่อกี้เลย”
ตฤณฤทธิ์ยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดู แต่นาฬิกาไม่เดิน เข็มหยุดอยู่ที่เวลา 12.00 ตรง เขาจึงหันไปถามนลิน
“ตอนนี้กี่โมงแล้วครับ”
นลินยกนาฬิกาข้อมือตนเองขึ้นมาดู
“นาฬิกาฉันพังแล้วค่ะ สงสัยไปชนอะไรเข้าเมื่อกี้ มันหยุดเดินตอนเที่ยงตรงพอดี”
“นาฬิกาผมก็ตายเหมือนกัน”
ตฤณฤทธิ์มองไปรอบๆด้วยความสงสัย
เสียงดนตรีนำขบวนแห่เจ้าหญิง
ตฤณฤทธิ์และนลินได้ยินเสียง ต่างชะงักหันหลังมองไปอย่างประหลาดใจและไม่อยากเชื่อสายตากับภาพตรงหน้า
ทั้งคู่เห็นขบวนแห่มีเหล่านางกำนัลถือพานเดินนำหน้าขบวน 2 คน และปิดท้ายขบวนอีก 2 คน โดยตรงกลางขบวนจะมีลูกหาบชายอีก 4 คนคอยแบกเสลี่ยงให้กับหญิงสูงศักดิ์นั่ง ตัวเสลี่ยงขึ้นเสาสี่เสามีหลังคาครอบ มีม่านสีขาวบางๆ คลุมอยู่โดยรอบ ที่สำคัญด้านข้างเสลี่ยงจะมีทหารองครักษ์คอยเดินประกบอยู่ด้วย
ตฤณฤทธิ์และนลินตะลึงกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า
บนเสลี่ยง ผืนผ้าม่านสีขาวปลิวไสวไปตามลม เห็นจากด้านข้างเป็นหญิงสาวใส่ชุดโบราณนั่งอยู่ด้านใน
ทั้งตฤณฤทธิ์และนลินต่างเพ่งมองหญิงที่นั่งอยู่บนเสลี่ยงนั้น
หญิงบนเสลี่ยงยื่นมือในลักษณะหงายมือออกมานอกผ้าม่าน ทิ้งดอกจำปีออกจากมือและหล่นลงมาที่พื้น
ตฤณฤทธิ์ร้องถาม
“คุณครับ... มีโชว์ที่นี่วันนี้เหรอครับ”
ขบวนแห่ค่อยๆ เดินไป โดยไม่มีใครสนใจเสียงเรียกของตฤณฤทธิ์เลย
ตฤณฤทธิ์วิ่งเข้าไปหาองครักษ์ที่ยืนอยู่ข้างเสลี่ยง พร้อมกับสะกิดถาม
“คุณครับ”
ชายคนนั้นหันมา เหมือนกวาดสายตาไปทั่วแต่ไม่ได้มองที่ตฤณฤทธิ์ ใบหน้าขององครักษ์นั้นเป็นหน้าสิงหล พิมพ์เดียวกับฤณฤทธิ์ไม่ผิดเพี้ยน
ตฤณฤทธิ์ผวาตกใจอึ้งไป
นลินเดินเข้ามาเรียกตฤณฤทธิ์แต่นลินไม่เห็นหน้าสิงหลเพราะตฤณฤทธิ์บังอยู่
“คุณตฤณคะ คุณตฤณ!”
ตฤณฤทธิ์รู้สึกตัวหันกลับมามองนลิน
“ครับ?”
“เป็นอะไรไปคะ” นลินถาม
“ผมเห็น...”
ตฤณฤทธิ์หันกลับไปมองที่ขบวนอีกครั้ง นลินมองตาม
ตฤณฤทธิ์และนลินมองไป แต่ทุกอย่างเมื่อครู่หายไป
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น?” ตฤณฤทธิ์สงสัย
“คุณเห็นขบวนแห่อย่างที่ฉันเห็นใช่ไหม?” นลินถาม
ตฤณฤทธิ์ไม่อยากเชื่อ “สงสัยเราอยู่ในที่แคบนานเกินไปถึงได้อุปทานหมู่”
นลินรู้สึกขัดใจจึงเดินไปหยิบดอกจำปีที่พื้น มาให้ตฤณฤทธิ์ดู
“แถวนี้ไม่มีต้นจำปีเลยนะคุณ”
ตฤณฤทธิ์มองดอกจำปีอึ้งไป
ตกตอนกลางคืน พลเพิ่มยืนอยู่บริเวณหน้าแคมป์ ทุกคนยืนล้อมวงกันอยู่ สีหน้าเครียดและเป็นกังวลกันมาก พลเพิ่มบอกขึ้นว่า
"ขอให้ทุกคนอยู่ในความสงบกันก่อนนะครับ ตอนนี้ผมได้ให้ลูกหาบของเราไปตามอาจารย์ฌาณมาแล้ว พรุ่งนี้เราจะกลับไปที่ปราสาทกันอีกครั้ง"
"ทำไมต้องรอให้ถึงพรุ่งนี้ด้วยล่ะคะ เรามีกันตั้งหลายคน ทำไมถึงไม่ออก ตามหาจนกว่าจะเจอ" กวิตาถาม
ปัณรีเห็นด้วยกับกวิตา ด้วยเหตุผลส่วนตัว
"นั่นสิคะพี่พล ยิ่งหายไปกันสองคนแบบนี้ด้วย เรารีบกลับไปตามหาให้เจอดีกว่า"
เสียงพลเพิ่มเด็ดขาด "ไม่ได้! ตอนนี้มันมืดแล้ว ออกไปก็อันตราย คืนนี้ทุกคนต้องพักเอาแรงก่อน"
พรานหนุ่มย้ำ "ในป่าเวลากลางคืนมันน่ากลัวนะครับ แล้วยิ่งเป็นที่ปราสาทอนันตาปุระด้วยแล้วยิ่งต้องระวัง"
บุรัณย์ถาม "เกี่ยวกับอาถรรพ์ของปราสาทที่เขาร่ำลือกันหรือเปล่าครับ"
"มันก็ไม่แน่ เรื่องที่เราไม่รู้หรือมองไม่เห็นอาจจะมีอยู่จริงก็ได้" พลเพิ่มว่า
"งั้นอาจารย์ฌาณที่ให้คนไปตามนี่คงเป็นหมอผีแน่เลยใช่ไหมครับ" บุรัณย์ถาม
"ใช่ครับ"
บุรัณย์ตาลุกวาวอย่างสนใจ
"แล้วจะทำยังไงล่ะคะ ถ้าเพื่อนฉันเป็นอะไรไป" กวิตาถาม
กวิตาเริ่มกลัวและเป็นห่วงเพื่อน น้ำตาคลอ วิศวัตที่ยืนอยู่ใกล้ๆ มองเห็น
"ผมเชื่อว่าคนดีๆ อย่างคุณลินต้องปลอดภัย เอาล่ะครับแยกย้ายกันไปพักผ่อน พรุ่งนี้เราจะออกเดินทางไปตามหาคุณลินกับด็อกเตอร์กันแต่เช้า"
ทุกคนเริ่มแยกย้ายกันไป
ปัณรียื้อแขนพลเพิ่มเอาไว้ไม่ยอมให้เดินกลับไปที่เต็นท์
"พี่พลพาคนออกไปตามหาพี่ตฤณคืนนี้เลยได้ไหม ปัณเป็นห่วง เขาจะอยู่กันยังไงทั้งคืน"
"พี่บอกแล้วไงว่าที่นั่นมีอาถรรพ์ ถ้าพี่เข้าไปตามหาผู้ชายให้แกตอนนี้แล้วหายไปอีกคน แกถึงจะพอใจใช่ไหม!"
พลเพิ่มดุปัณรีหน้าเครียด แล้วเดินกลับเต็นท์ ปัณรีหน้ามุ่ยไม่สบอารมณ์
มธุรสที่เดินออกมาพร้อมบุรัณย์และโจ๊ก
"กว่าจะถึงตอนเช้าก็อีกตั้งหลายชั่วโมง ไม่รู้ป่านนี้พี่ตฤณเป็นยังไงบ้าง"
"พี่ตฤณเป็นคนเก่ง ยังไงก็ต้องเอาตัวรอดได้แน่" บุรัณย์ว่า
มธุรสยังรู้สึกกระวนกระวายใจ
ขณะที่บุรัณย์สีหน้าครุ่นคิดอะไรบางอย่าง เกี่ยวกับอาถรรพ์ของปราสาท
ตฤณฤทธิ์เดินนำนลินวนกลับมาที่หน้าปราสาท
"ทำไมเราวนกลับมาที่เดิมอีก ไหนคุณบอกว่าจำทางกลับที่พักได้ไงคะ"
ตฤณฤทธิ์มองที่ตัวปราสาทสลับกับทางเดินที่ตนเพิ่งเดินผ่านไปอย่างรู้สึกแปลกใจ ชายหนุ่มหยิบเข็มทิศออกมาจากกระเป๋าเสื้อแล้วมองดู
ปรากฏว่า เข็มทิศเสียอีก
ตฤณฤทธิ์เขย่าเข็มทิศเบาๆ แต่มันก็ยังไม่ดีขึ้น
"เข็มทิศเสียเหรอคะ"
ตฤณฤทธิ์พยักหน้าพลางเงยหน้าขึ้นมองดวงอาทิตย์ เห็นดวงอาทิตย์ยังอยู่ตรงหัวเหมือนเดิม
"เราเดินกันมาตั้งนานแล้ว ทำไมดวงอาทิตย์ยังไม่ตกซะที"
"ฉันว่าสิ่งที่เราเจอไม่ใช่เรื่องธรรมดา บางทีเราอาจเผลอไปลบหลู่สิ่งศักดิ์สิทธิ์โดยที่เราไม่รู้ตัวก็ได้"
นลินพูดจบก็ลงนั่งคุกเข่าพนมมือ
"สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย เจ้าที่ เจ้าทาง เจ้าป่า เจ้าเขา"
นลินหันมองตฤณฤทธิ์ให้ลงนั่งด้วยกัน
"พูดตามสิคะ"
"ผมว่าเราหาทางอื่นที่มันมีเหตุมีผล มากกว่านี้ดีไหม"
นลินเริ่มหงุดหงิด
"นี่คุณอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ คุณช่วยเก็บความเป็นนักวิทยาศาสตร์ของคุณไว้สักครู่ได้ไหมคะ"
ตฤณฤทธิ์หันมองนลินอย่างรู้สึกเหนื่อยใจ ก่อนจะยอมพูดตาม
"สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย เจ้าที่ เจ้าทาง เจ้าป่า เจ้าเขา"
นลินพูดต่อ
"ลูกช้าง เข้ามาในปราสาทนี้เพื่อมารักษาและบูรณะปราสาท ไม่มีเจตนาทำลาย หรือมาดูหมิ่นสถานที่ หากว่าลูกได้บังเอิญทำสิ่งใดที่เป็นการลบหลู่ ลูกก็กราบขอขมาท่านด้วยนะเจ้าคะ"
ตฤณฤทธิ์พูดตาม พูดจบนลินและตฤณฤทธิ์ก็ก้มลงกราบพื้นดิน
ทางเดินในป่าเวลากลางคืน บรรยากาศดูวังเวง เงียบสงัด มีแสงไฟวิบวับสว่างขึ้นจากมุมหนึ่ง
บุรัณย์ถือไฟฉายไปตามทาง โดยมีโจ๊กถือกล้องตามมาอย่างรู้สึกกล้าๆ กลัวๆ
"เอ้า! ถ่ายเลยโจ๊ก"
โจ๊กรีบจัดการตั้งกล้องตามคำสั่งของบุรัณย์
บุรัณย์ยืนหน้ากล้อง จัดแต่งเสื้อผ้าและทรงผมของตนเองให้เข้าที่เข้าทาง
โจ๊กตั้งกล้องเสร็จและเริ่มให้สัญญาณกับบุรัณย์
"5 4 3 2 แอ็คชั่น"
บุรัณย์ยกไมค์ขึ้นพูดในความมืดสลัว
"สวัสดีครับท่านผู้ชม ตอนนี้เรากำลังจะเดินทางเข้าไปที่ปราสาทอนันตาปุระ ปราสาทร้างโบราณที่นักโบราณคดีเพิ่งจะเข้ามาสำรวจ วันนี้ตอนบ่ายที่นั่นได้มีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้น นักโบราณคดีและเจ้าหน้าที่กรมรวมสองคนได้หายตัวไปอย่างลึกลับ ซึ่งคนในพื้นที่เชื่อว่าน่าจะเป็นเพราะผีบังตา ทำให้เราไม่สามารถหาพวกเขาพบ ตอนนี้เราจะมาพิสูจน์กันนะครับว่าที่ปราสาทแห่งนี้จะมีเรื่องลี้ลับอย่างที่ชาวบ้านเชื่อกันหรือไม่ ตามผมมาเลยครับ"
ที่ปราสาทอนันตาปุระ ยังคงแดดยามเที่ยงวัน ตฤณฤทธิ์เดินนำนลินวนกลับมาที่หน้าปราสาทเหมือนเดิม
นลินหอบเหนื่อย "กลับมาที่นี่อีกแล้ว!"
นลินทรุดตัวลงนั่งกับพื้นด้วยความเหนื่อยอ่อนและร้อน
"ไม่ว่าเราจะเดินกี่รอบๆ ก็ยังวนกลับมาที่เดิม"
ตฤณฤทธิ์ยืนมองนลินบ่นด้วยอาการหอบเหนื่อยไม่แพ้กัน
นลินมองดูดวงอาทิตย์
"นี่มันไม่ธรรมดาแล้วนะคุณ เราเดินกันมาตั้งนานดวงอาทิตย์ก็ยังอยู่ที่เดิม"
"ทนหน่อยน่ะคุณ ถ้าเราไม่หาทางแล้วเราจะออกจากที่นี่กันได้ยังไง"
"ฉันเจ็บเท้ามาก ขอพักแป๊บเดียวนะคะ"
นลินค่อยๆ ถอดรองเท้าและถุงเท้าออก
เท้านลินเป็นแผลและมีอาการบวมแดงอย่างเห็นได้ชัด
"เท้าคุณเลือดออก"
"แค่นิดหน่อยค่ะ ฉันไม่เป็นไร พักนิดเดียวก็คงดีขึ้น"
ตฤณฤทธิ์นิ่งมองนลินที่มีอาการอ่อนล้าอย่างเห็นได้ชัด ด้วยความสงสาร
ในป่า ตอนกลางคืน บุรัณย์เดินไปพูดไป
"ท่านผู้ชมตามผมมาเลยนะครับ มาพิสูจน์กันว่า...อาถรรพณ์ของปราสาทมีจริงหรือไม่...อีกไม่นานก็ถึงแล้วครับ"
จู่ๆ ภาพในกล้องก็มืดเป็นจอดำ
โจ๊กที่กำลังมองภาพอยู่ตกใจ
"เฮ้ย! พี่รัน ภาพดับพี่"
บุรัณย์รีบเข้ามาดู
"ก่อนออกมาแกเช็คกล้องดีหรือเปล่าวะ"
"ผมเช็คมาดีแล้วพี่ กล้องเราไม่มีปัญหาแน่นอน" โจ๊กว่า
โจ๊กพูดอย่างกลัวๆ พร้อมกับมองไปรอบๆ
บุรัณย์ทำโวยวายกลบเกลื่อนความกลัว
"ไอ้โจ๊ก! เราเป็นนักข่าวนะโว้ย ปอดแหกแบบนี้แกจะได้ข่าวไหม"
ยังไม่ทันจะพูดจบประโยค บุรัณย์ก็ร้องลั่นขึ้นมาด้วยความตกใจ
"โอ๊ยยยย!"
โจ๊กตกใจหันมองบุรัณย์
"เฮ้ย! พี่รัน เป็นไรอ่ะ"
บุรัณย์ทรุดนั่งลงกับพื้น มือกุมที่ขาสีหน้าเจ็บปวด
ต่อมา โจ๊กพยุงบุรัณย์เดินเข้ามาหน้าเต็นท์
โจ๊กตะโกน "ช่วยด้วยครับ! ช่วยด้วย! พี่รันถูกงูกัด"
ปาด ก่ำ เทือกและพรานหนุ่มที่กำลังนั่งอยู่ในเต็นท์ใหญ่รีบวิ่งออกมาช่วยพยุงบุรัณย์เข้ามาด้วยความตกใจ
ทุกคนรีบเข้ามาในเต็นท์ใหญ่หน้าตาตื่นตกใจ
พรานหนุ่มถาม "ไหนๆ ใคร ใครโดนงูกัด"
มธุรสกับวิศวัตเรียกพร้อมๆ กัน "รัน!" / "คุณรัน"
พรานหนุ่มนั่งลงมองแผลงูกัดที่ขาบุรัณย์อย่างพิจารณา ที่หน้าแข้งด้านขวาของบุรัณย์มีรอยถูกกัด มีเลือดออกกลบรอยแผล ด้านบนแผลมีผ้ามัดไว้เหนือแผล
พลเพิ่มถาม "ดึกดื่นป่านนี้พวกคุณออกไปไหนกันถึงได้โดนงูกัด"
โจ๊กมองหน้าบุรัณย์ ด้วยไม่รู้จะตอบพลเพิ่มอย่างไรดี
พรานเอาน้ำเปล่าราดที่แผลเพื่อล้างแผลให้บุรัณย์ บุรัณย์ร้องเสียงหลง
"โอ๊ยยยย!"
พรานมองที่แผล รอยฟันกัดถลอก ถากๆเท่านั้น ก่อนจะมองหน้าบุรัณย์
"โชคไม่ดีเลยนะคุณ ผมว่าคงไม่เกิน 2 ชั่วโมง ระหว่างนี้อยากจะสั่งเสียหรือทำอะไรก็ทำซะ"
พูดจบพรานก็ลุกเดินออกไปคุยกับพลเพิ่มและปัณรี และพากันเดินออกไปจากเต็นท์
บุรัณย์ตกใจหน้าซีดเผือด กวิตาร้องไห้โฮ
มธุรสถาม "อีกตั้ง 2ชั่วโมง จะทิ้งคนเจ็บไว้โดยไม่ทำอะไรบ้างเลยเหรอ"
มธุรสพูดเสร็จก็รีบวิ่งไปค้นหากล่องยาที่อยู่ภายในเต็นท์
"คุณต้องไม่ตายนะคะคุณรัน คุณต้องเข้มแข็งเอาไว้ ฉันบอกคุณหรือยังว่าฉันรักคุณ คุณต้องอยู่เพื่อฉันนะคะคุณรัน"
กวิตาพูดไปร้องไห้ไป บุรัณย์อึ้ง
มธุรสวิ่งเข้ามานั่งลงข้างบุรัณย์พร้อมกล่องปฐมพยาบาล และไม้กระดานอีก 1 แผ่น หญิงสาวจัดการกรีดขากางเกงของบุรัณย์ให้กว้างออกพร้อมกับใช้สองมือบีบที่รอบๆ บาดแผลให้เลือดไหลออกให้มากที่สุด ก่อนจะหยิบเอาไม้กระดานมารองที่ขาด้านล่างแล้วใช้ผ้าพันดามขาและไม้กระดานให้ติดกัน
"เอาล่ะทีนี้ก็ห้ามขยับไปไหน รอจนกว่าจะเช้า เราจะกลับเข้าเมืองไปหาหมอกัน"
"แต่พรานบอกว่าคุณรัณอยู่ได้แค่ 2 ชั่วโมงนะครับ" วิศวัตว่า
"ไม่มีทาง! " มธุรสว่า พลางพูดต่อ "นายจะต้องไม่ตาย รัน...นายจะต้องรอด"
บุรัณย์น้ำตาคลอ มองมธุรสอย่างรู้สึกซาบซึ้งใจ
มธุรสหยิบกล่องยาจะลุกขึ้น แต่บุรัณย์รีบคว้าแขนมธุรสเอาไว้ มธุรสมองแปลกใจ
"ทุกคนครับ ขอผมคุยกับรสสองคนได้ไหมครับ"
ทุกคนเริ่มแยกตัวออกไปตามคำขอของบุรัณย์
นลินนั่งพิงกำแพงหลับอยู่ด้วยความเหนื่อยล้า แต่ในมือยังกอดสมุดที่จดบันทึกงานไว้
ตฤณฤทธิ์มองดูเท้าที่เป็นแผลของนลิน เหมือนคิดอะไรขึ้นมาได้ เขาคว้าเป้มาเปิดเอากระเป๋าใส่ยาขนาดเล็ก ออกมา ตฤณฤทธิ์ขยับเข้าไปเอาสำลีชุบน้ำล้างแผลที่เท้าของนลินเบาๆ และเอาพลาสเตอร์ปิดแผลให้
นลินขยับตัว สมุดที่กอดไว้หล่น ตฤณฤทธิ์ตกใจนึกว่านลินตื่น รีบคว้าสมุดไว้ทัน แต่นลินหดขาเข้าหาตัวและเริ่มกอดอก เธอมีอาการหนาวสั่นอย่างเห็นได้ชัด
ตฤณฤทธิ์มองเห็น เขารีบถอดเสื้อแจ็คเก็ตออกแล้วห่มให้นลิน
สีหน้านลินเริ่มดีขึ้น อุ่นขึ้น เธอเริ่มหลับลึกจนกระทั่งหัวค่อยๆ เริ่มเอียง
ตฤณฤทธิ์ยิ้มนิ่งมอง ก่อนจะขยับตัวเองเข้ามานั่งข้างๆ นลิน หัวของนลินเอนลงมาซบที่ไหล่ของตฤณฤทธิ์ เขาหันมองยิ้ม
ตฤณฤทธิ์มองสมุดของนลินที่อยู่ในมือ เขาเปิดออกหาหน้าที่ว่างอยู่ แล้ววาดอะไรบางอย่างลงไป
บุรัณย์มองมธุรสสีหน้าซาบซึ้งใจ
"ขอบคุณมากนะรส"
"นึกว่าจะพูดอะไร แค่นี้ทำไมถึงต้องคุยกันแค่สองคน"
"เรามีเรื่องสำคัญที่ต้องบอกรสอีก ต้องพูดก่อนที่จะไม่มีโอกาส"
บุรัณย์จับมือมธุรสขึ้นมาจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของเธอ มธุรสตกใจเล็กน้อย
"เฮ้ยรัน!"
"ฝากดูแลพ่อกับแม่เราด้วยนะรส พวกท่านมีเราแค่คนเดียว ถ้าเราไม่อยู่แล้ว ท่านคงจะเสียใจมาก"
"ไม่เอาน่ะรัน อย่าพูดแบบนี้"
"เราซื้อประกันชีวิตทิ้งเอาไว้ 2 เล่ม อยู่ในลิ้นชักโต๊ะทำงานในห้องนอน"
มธุรสหน้าเริ่มเสีย ใจคอไม่ดี
บุรัณย์นิ่งมองมธุรสน้ำตาคลอ พร้อมกับหายใจเข้าปอดลึกๆ เพื่อรวบรวมความกล้า
"ส่วนเรื่องสุดท้าย... ความจริงเรากะจะเก็บมันไว้เป็นความลับตลอดไป แต่เราคิดว่าต้องบอกรสซะที เรา...."
พรานที่กำลังบดยาสมุนไพรเดินเข้ามา เขานั่งลงเอายาที่บดแล้วโปะลงไปที่แผล
บุรัณย์ร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด
"โอ๊ย! ทำอะไรอีกพราน ผมกำลังจะตายอยู่แล้ว ขอเวลาให้ผมหน่อยได้ไหม"
"ไม่ต้องสั่งเสียอะไรมาก อีกไม่เกิน 2 ชั่วโมงก็หายแล้ว ทีหลังใครเตือนอะไรก็ให้ฟังบ้าง ไม่ใช่ดื้อรั้น อยากจะทำอะไรก็ทำ นี่ดีนะที่งูไม่มีพิษ ถ้าเจองูพิษกัดจริง คุณกลับมาไม่ถึงที่พักหรอก"
บุรัณย์หน้าเหวอ
"อ้าว...พราน..."
มธุรสยิ้มดีใจ ก่อนจะถอนหายใจอย่างโล่งอก
"เฮ้อ! โล่งอกไปทีนะรัน เออ! แล้วเมื่อกี้จะบอกความลับอะไรนะ"
บุรัณย์อึกอัก "เอ่อ....คือ....เรา...เราอยากจะบอกขอบคุณรสสำหรับทุกสิ่งทุกอย่างน่ะ"
"โธ่เอ๊ย ไอ้เราก็นึกว่าอะไร เรื่องแค่นี้เอง เพื่อนกันไม่ต้องคิดมา"
มธุรสตบไหล่บุรัณย์เบาๆ
ในอดีตเนิ่นนาน ....
ในห้องนอน นลินในร่างสาวิตราณีลืมตาขึ้นมา รู้สึกตัวเหมือนเพิ่งตื่นจากความฝัน เธอนั่งอยู่หน้ากระจกโต๊ะเครื่องแป้ง มีนางกำนัลคอยดูแลอยู่ใกล้ๆ
นลินมองตนเองในชุดโบราณอย่างประหลาดใจ
"นี่มันอะไรกัน? ที่นี่ที่ไหน?"
นลินมองไปทั่วบริเวณ กระทั่งเสียงประตูห้องถูกเปิดออก นลินหันไปมองตามเสียง
รุจิเทวียิ้มเดินเข้ามาหานลิน พร้อมกับมองเธอด้วยรอยยิ้ม
นลินในร่างสาวิตราณีลุกขึ้นเดินตรงเข้าไปหารุจิเทวี เธอมีสีหน้าแปลกใจและจำได้ว่าเป็นปัณรี
"เกิดอะไรขึ้นคะคุณปัณรี ที่นี่ที่ไหน"
"คืนนี้เป็นคืนที่สำคัญมาก น้องจะต้องทำให้ดีที่สุด รู้ไหม" รุจิเทวีบอก
นลินยิ่งงงหนัก "ทำอะไร? ฉันต้องทำอะไรคะ?"
"ไปเปลี่ยนชุดเถอะ ใกล้จะได้เวลาแล้ว"
"ไปไหน? เราจะไปไหนกันคะ? นี่มันเกิดอะไรขึ้น?"
รุจิเทวีจับมือนลินในร่างสาวิตราณีให้เดินไปเปลี่ยนชุด เหมือนไม่ได้ยินที่นลินพูด
ที่วังหลวงปราสาทอนันตาปุระในอดีต คืนนั้น
กษัตริย์อนันตราชกำลังนั่งดื่มเหล้าอย่างมีความสุขอยู่บนบัลลังก์ทอง
รุจิเทวี กับฉายาวตีนั่งขนาบข้าง แต่ต่ำกว่าอนันตราช จนกระทั่งเห็นพราหมณ์และเหล่าขุนนาง รวมถึงนางกำนัลที่คอยรับใช้
นลินในร่างสาวิตราณีที่อยู่ในชุดนางรำโบราณเดินเข้ามารวมกลุ่มกับเหล่านางรำอีก 4 คน เธอมองซ้ายมองขวาอย่างงุนงง
"จะให้ฉันรำกับนางรำพวกนี้น่ะเหรอ ฉันรำไม่เป็น"
นลินหันไปมองที่กลุ่มคนด้านหน้าอย่างตกใจ เธอเพ่งมองชายที่อยู่บนบัลลังก์
อนันตราชยิ้มและมองสาวิตาณีอยู่ก่อนแล้ว
นลินแปลกใจ "คุณพลเพิ่ม!"
เสียงดนตรีโบราณดังขึ้น
นลินในร่างสาวิตราณีรำออกไปอย่างอ่อนช้อยสวยงาม นลินประหลาดใจที่ตัวเองรำออกมาได้อย่างอัตโนมัติ
สาวิตราณีกำลังร่ายรำอยู่หน้าพระพักตร์อนันตราชอย่างสวยงาม พร้อมกับนางรำอีก 4 คน ขณะที่รำสายตาของเธอก็หันไปสะดุดกับสายตาของใครบางคน
สิงหลยืนมองสาวิตราณีด้วยดวงตาเศร้าสร้อยอยู่มุมหนึ่งของงาน
บรรยากาศที่มืดครึ้มอยู่ พลันเปลี่ยนมาเป็นท้องฟ้าโปร่งใสโดยฉับพลัน
วิศวัตเดินออกมาจากเต็นท์ เขาบิดขี้เกียจเงยหน้ารับท้องฟ้าสดใสในยามเช้า แต่แล้วเขาก็ต้องสะดุ้งตกใจเมื่อมีน้ำกระเด็นเข้ามาโดนหน้าเขาเต็มๆ
"โอ๊ยยยย!"
ฌาณเดินพรมน้ำมนต์ไปตามเต็นท์ต่างๆ โดยมีพรานคอยถือขันน้ำมนต์ให้ เหล่าลูกหาบเดินตามและมีกวิตาเดินรั้งท้าย
วิศวัตรีบวิ่งตามเข้ามายืนข้างกวิตา
วิศวัตกระซิบถาม "นี่ใช่หมอผีที่ไปตามมาหรือเปล่าคุณ"
"อืม" กวิตาพยักหน้ารับ "ดูท่าจะเก่งน่าดู มาถึงปุ๊บก็บอกว่าแคมป์เรามีอะไรไม่ปกติทันทีเลย"
"หา..."
วิศวัตสยองเริ่มกลัวขึ้นมาอีก เขาหันมองซ้ายมองขวาแล้วเดินเข้าไปหลบข้างหลังกวิตา
กวิตามองวิศวัตแล้วส่ายหน้าอย่างระอา ก่อนจะหันไปมองมธุรส บุรัณย์ และโจ๊กที่กำลังเดินเข้ามาสมทบ
"คุณรัน เป็นยังไงบ้างคะ"
บุรัณย์ยิ้มเก้อๆ "หายแล้วครับ"
มธุรสล้อบุรัณย์ "แค่งูเขียวกัดไม่ตายหรอกค่ะ"
บุรัณย์มองมธุรสหน้าม้วนด้วยความอาย
อีกด้าน พลเพิ่มและปัณรีเดินเข้ามาหาฌาณ
ทั้งสองยกมือไหว้ "สวัสดีครับ/ค่ะ อาจารย์"
ฌาณยกมือไหว้ "สวัสดีครับท่าน"
"ต้องรบกวนอาจารย์อีกแล้วนะครับ"
"ไม่ต้องห่วงครับ ผมจัดการเอง"
พลเพิ่มบอกกับทุกคน
"ทุกคนครับ นี่อาจารย์ฌาณ ผู้เชี่ยวชาญด้านไสยเวทและสิ่งลี้ลับ ท่านจะพาเราไปตามหาคุณลินและด็อกเตอร์ตฤณฤทธิ์"
ฌาณยิ้มอย่างมั่นใจ
ดวงอาทิตย์ในเวลากลางวันเหนือปราสาทอนันตาปุระ
นลินที่กำลังหลับสบาย เธอค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้นจนเห็นว่าตนเองห่มเสื้อและกำลังนอนพิงใครบางคนอยู่ เธอรีบเงยหน้าขึ้นมามองอย่างตกใจ
ตฤณฤทธิ์ที่กำลังหลับ
นลินตกใจดีดตัวออกมานั่งที่ฝั่งตรงข้ามทันที
นลินโกรธ เธอคว้าเสื้อที่ห่มอยู่ขึ้นมาจะโยนใส่ตฤณฤทธิ์ แต่ก็เหมือนเอะใจขึ้นมา เธอมองเห็นว่าตัวเองใส่แจ็คเก็ตอยู่ และที่ในมือก็เป็นแจ็คเก็ตอีกตัว
"เสื้อนี่ไม่ใช่ของฉันนี่?"
นลินหันมองตฤณฤทธิ์ ตฤณฤทธิ์หลับและกอดอกอยู่
นลินวางแจ็คเก็ตลงข้างตัวและมองเห็นที่เท้าของตนเองที่มีพลาสเตอร์ติดอยู่
นลินหันมองตฤณฤทธิ์อีกครั้ง เธอเริ่มมองตฤณฤทธิ์อย่างสำรวจ ตั้งแต่ใบหน้าที่กำลังหลับ เรื่อยมาถึงคอและหัวไหล่ เห็นแขนที่กำลังกอดอกอยู่
นลินแอบยิ้ม
ตฤณฤทธิ์ที่กำลังหลับอยู่ สักพักหัวตฤณฤทธิ์ที่พิงผนังอยู่ก็ค่อยๆ เอียงจะหล่น
นลินตกใจรีบพุ่งเข้าไป เธอใช้สองมือประคองหัวของตฤณฤทธิ์ไว้
ตฤณฤทธิ์ลืมตาขึ้น
นลินตกใจ ทั้งคู่นิ่งมองหน้ากันและเริ่มรู้สึกเขินขึ้นมา
นลินปล่อยมือออกและกลับไปนั่งประจำที่ของตัวเอง ตฤณฤทธิ์ขยับตัวเองให้นั่งเป็นปกติ
"เอ่อ...เมื่อกี้...หัวคุณเอนจะล้ม"
"อ้อ...ขอบคุณครับ"
นลินและตฤณฤทธิ์ ยิ้มให้กันอย่างเขินๆ
เสียงฌาณดังเข้ามา "ด็อกเตอร์ตฤณฤทธิ์ คุณนลิน ออกมาได้แล้วครับ"
นลินและตฤณฤทธิ์รีบหันไปตามเสียง
ฌานกำลังทำพิธีสวดมนต์อยู่ตรงบริเวณลานหน้าปราสาทอนันตาปุระ มีโต๊ะตั้งเครื่องเซ่นไหว้บูชาอยู่เป็นจำนวนมาก
ทุกคนส่งเสียงฮือฮาเมื่อมองไปที่ประตูทางเข้าหน้าปราสาท
เห็นตฤณฤทธิ์และนลินเดินออกมาจากปราสาทด้วยกัน
ตฤณฤทธิ์เดินลงบันไดและเอื้อมมือไปช่วยประคองนลินให้ลงบันไดตามมา
วิศวัตมองเห็นก่อนจะตะโกนขึ้นด้วยความดีใจ
"นั่น! อาจารย์กับคุณลินออกมาแล้ว"
ทุกคนมองเห็นทั้งคู่เดินออกมาต่างโห่ร้องด้วยความตื่นเต้นดีใจ
กวิตารีบวิ่งเข้าไปกอดนลินด้วยความดีใจ
"ลิน" กวิตาเริ่มร้องไห้ "ฉันนึกว่าจะไม่ได้เจอหน้าแกแล้ว"
พลเพิ่มเดินยิ้มเข้ามาหาด้วย
"ปลอดภัยแล้วนะครับคุณลิน"
ส่วนอีกด้าน ปัณรี วิ่งเข้ามากอดตฤณฤทธิ์ ด้วยความดีใจ ตฤณฤทธิ์อึ้ง
"พี่ตฤณ! พี่ตฤณกลับมาแล้ว"
มธุรสมองปัณรีอย่างหมั่นไส้
"พี่ตฤณหายใจออกหรือเปล่าคะเนี่ย" มธุรสถาม
ปัณรีต้องคลายอ้อมกอดออกด้วยความขัดใจ บุรัณย์/วิศวัต เดินเข้าสมทบด้วยความดีใจ
นลินและตฤณฤทธิ์ ปล่อยมือออกจากกัน
ตอนเย็น ทุกคนกำลังนั่งกินอาหารที่โต๊ะอาหารในเต็นท์ใหญ่
"สิ่งที่ทุกคนได้เห็นและได้เจอในวันนี้ มันเป็นอาถรรพ์ของปราสาทอนันตาปุระ ก่อนหน้าพวกคุณเคยมีคนโดนหนักกว่านี้ ถึงไม่มีใครกล้าเข้ามาอีก นี่อาจเป็นแค่การเตือนเท่านั้น"
ทุกคนตั้งใจฟัง ฌาณบอกด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
พลเพิ่มถาม "เจอแบบนี้แล้ว ด็อกเตอร์จะเอายังไงต่อ"
ตฤณฤทธิ์ตัดสินใจ "ผมจะสำรวจต่อครับ"
วิศวัตตกใจ "อาจารย์!"
"เป้าหมายในการสำรวจของเราเพื่อต้องการจะบูรณะสมบัติของชาติให้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง ผมเชื่อว่าถ้าเราคิดดีทำดี แม้แต่ผีก็ต้องเห็น"
วิศวัตชักกลัว "ปราสาทกลับมามีชีวิต แต่พวกเราจะไม่มีชีวิตน่ะสิครับอาจารย์"
"นั่นซิคะพี่ตฤณ ปัณว่าเรากลับกันดีกว่า เรื่องสมบัติชาติเอาไว้ให้เป็นหน้าที่คนอื่นเถอะค่ะ" ปัณรีว่า
"รสเห็นด้วยกับพี่ตฤณนะคะ พวกเรามาดี ไม่ได้คิดจะลักขโมยหรือมาทำลาย"
ตฤณฤทธิ์มองมธุรสด้วยความประทับใจ ปัณรีแอบหมั่นไส้
"แล้วคุณนลินล่ะครับ" พลเพิ่มถาม
"ฉันก็ขออยู่ทำงานให้เสร็จค่ะ"
กวิตากลัวเหมือนกัน " เฮ้ย! พูดจริงเหรอแก"
" งานเราทำไม่เกิน 2 วันก็เสร็จแล้ว"
กวิตาเซ็ง "เอ้า! เอาไงก็เอากัน"
"สรุป ทีมสำรวจและเจ้าหน้าที่กรมอยู่ต่อ แล้วทีมนักข่าวล่ะครับ"
บุรัณย์กระตือรือร้น "ผมก็อยู่ต่อครับ!"
โจ๊กตกใจ อุทาน "พี่!"
บุรัณย์พูดให้ดูดี
"ช่วยงานบุญงานกุศล สนับสนุนการบูรณะสมบัติชาติ เจอแค่เนี้ยทำเป็นปอดแหกไปได้ มีข่าวดีๆขนาดนี้ถ้าไม่ทำก็เลิกเป็นนักข่าวไปเลย"
ขณะเดียวกัน บุรัณย์ก็ครุ่นคิดสนใจเรื่องอาถรรพณ์ของปราสาท
ในเวลาต่อมา นลินและกวิตากำลังช่วยกันถ่ายภาพพร้อมกับจดรายละเอียดงานลงในสมุดบันทึก
พรานหนุ่มและเหล่าลูกหาบกำลังขุดไปตามพื้นที่สำรวจ ตามคำบอกของตฤณฤทธิ์ ขณะที่วิศวัตก็กำลังใช้แท็บเล็ตถ่ายภาพไปเรื่อยๆ โดยมีมธุรสคอยอธิบายอยู่ใกล้ๆ
บุรัณย์และโจ๊กกำลังตั้งกล้องถ่ายวีดีโอ
ส่วนปัณรีใส่แว่นดำนั่งหลบแดดอยู่ใต้ร่มคันใหญ่ เล่นมือถือไปด้วย
ห่างออกมาพลเพิ่มและฌาณกำลังยืนมองทุกคนทำงานอยู่
สายตาของพลเพิ่มจ้องมองไปที่ตฤณฤทธิ์
"อาจารย์คิดว่าแปลกไหม ที่ไม่มีใครหาของมีค่าในปราสาทนี้พบ นอกจากคณะสำรวจของด็อกเตอร์ตฤณ"
"ทุกคำถามล้วนมีคำตอบอยู่ในตัวของมัน ผมเชื่อว่าอีกไม่นานเราจะได้รู้"
ฌาณพูดพร้อมกับสายตาจ้องมองไปที่นลินที่กำลังจดงานลงบนสมุดบันทึก กวิตาผละจากนลินไปหาบุรัณย์
ตฤณฤทธิ์เดินไปที่ซุ้มกำแพงปราสาท
พลเพิ่มมองตามตฤณฤทธิ์
ตฤณฤทธิ์เดินสำรวจไปตามแนวหินที่ปิดซุ้มกำแพงอยู่ ตฤณฤทธิ์ตกใจ
ตฤณฤทธิ์กำแพงถูกทุบเสียหาย
"วัต! วัตมาดูนี่เร็ววัต"
วิศวัตรีบเดินเข้ามาหาตฤณฤทธิ์
"มีอะไรครับอาจารย์"
"ทำไมกำแพงมีรอยร้าว ก่อนหน้านี้ไม่มีนี่"
วิศวัตรีบเปิดหาภาพที่เคยถ่ายเก็บไว้ในแท็บเล็ต ก่อนจะส่งมันให้ตฤณฤทธิ์ดู
"ผมว่าไม่ใช่รอยร้าวธรรมดา น่าจะเกิดจากการถูกทุบมากกว่า" วิศวัตว่า
"นายก็คิดเหมือนกันใช่ไหม แสดงว่าต้องมีคนอื่นเข้ามา เราต้องรีบแจ้งความ"
ตฤณฤทธิ์จะเดินออกไป แต่พลเพิ่มเดินเข้ามาก่อน
"เกิดอะไรขึ้นหรือครับ"
" ผมคิดว่ามีคนเข้ามาบุกรุก ทำลายปราสาท"
"ด็อกเตอร์รู้ได้ยังไง"
"ดูนี่สิครับ มีคนทุบกำแพงจนเกิดรอยร้าว"
พลเพิ่มมองดูจุดที่ตฤณฤทธิ์ชี้บอก ชะงักไปเพราะรู้ว่าเป็นฝีมือของลูกน้องตนเอง
"ผมฝากคุณพลเพิ่มแจ้งความด้วยนะครับ"
พลเพิ่มรีบรับปาก
"ไม่มีปัญหา ผมจัดการให้เอง" ก่อนจะหลอกถาม "กำแพงนี้มันมีอะไรพิเศษหรือครับ ทำไมด็อกเตอร์ถึงดูเป็นกังวลมากกว่าพื้นที่จุดอื่น"
"ผมสงสัยว่ามันน่าจะมีอะไรอยู่ในนั้น"
พลเพิ่มมองสำรวจอย่างมีแผนบางอย่างในใจ
ขณะที่ตฤณฤทธิ์คิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
ก่อนหน้านี้ ตฤณฤทธิ์ยื่นรูปภาพให้นลินดู
นลินเหมือนตกอยู่ในภวังค์ พูดออกมาลอยๆ ว่า ห้องนั้น ห้องมืดมาก
ตฤณฤทธิ์ดีใจ เหมือนพบทางออกให้กับปริศนาภายในกำแพง
นลินเดินผ่านมาพอดี ตฤณฤทธิ์รีบเดินเข้าไปหา
"คุณลิน คุณยังจำภาพกำแพงปราสาทที่ผมเคยให้คุณดูที่กรมได้ไหม"
"กำแพงตรงไหนคะ"
บุรัณย์สีหน้าสนใจ
ตฤณฤทธิ์พานลินเดินเข้ามาดูที่ซุ้มกำแพงปราสาท
บุรัณย์ช่วยโจ๊กตั้งกล้องถ่ายภาพอย่างสนใจอยู่อีกมุมหนึ่ง
"กำแพงนี้ คือกำแพงที่อยู่ในภาพ"
"ฉันจำได้ค่ะ"
"คุณลองมองดูสิครับ เห็นอะไรหรือเปล่า"
นลินเอามือลูบและเพ่งมองไปที่กำแพง เหมือนพยายามใช้พลังจิตเพ่งมอง
ปัณรีเดินเข้ามาสมทบอย่างสนใจ
บุรัณย์สีหน้าตื่นเต้น บอกโจ๊กที่กำลังถ่ายภาพ
"นั่นๆ แกจับภาพที่หน้าคุณลินเลย ซูมเข้าไป ค่อยๆ ซูมเข้าไป"
นลินบอกตฤณฤทธิ์ "ฉันไม่เห็นอะไรเลย"
บุรัณย์หน้าเหวอ
บุรัณย์พูดกับโจ๊ก "เฮ้อ! ผิดหวังจริงๆ นึกว่าจะได้อะไรเด็ดๆ ไปไอ้โจ๊กไปตั้งกล้องถ่ายทีอื่นต่อ"
บุรัณย์และโจ๊กยกกล้องออกไป
"มันจะมีอะไรข้างในได้ไงกันคะพี่ตฤณ ดูก็รู้ว่ามันเป็นกำแพงทึบ มีแต่แผ่นหินชัดๆ"
ปัณรีใช้หลังมือเคาะไปที่แผ่นหินเสียงดัง
"โอ๊ย! เจ็บ โอ๊ย! พี่ตฤณ หลังมือปัณแตกหรือเปล่าคะ"
ปัณรีโอดครวญเข้าไปหาตฤณฤทธิ์ ตฤณฤทธิ์ช่วยดู
นลินและกวิตามองเห็นก็รู้สึกเอือมระอา
"กลับไปทำงานของเราต่อเถอะต้า"
"เออ...ฉันก็ว่างั้น"
นลินและกวิตาหันหลังเดินออกไป พลันนลินก็เหมือนได้ยินเสียงร้องไห้อย่างเจ็บปวดของชายคนหนึ่ง
เสียงสิงหลเครือด้วยความเสียใจ
"อภัยข้าเถิดสาวิตราณี ทั้งหมดเป็นความผิดของข้าเอง รอข้าด้วย ข้ากำลังจะไปหาเจ้"
นลินหยุดเดินแล้วอึ้งหันไปมองหาต้นเสียงรอบๆ กวิตาตกใจ
"ลิน...เป็นอะไร?"
นลินมองไปไม่เห็นอะไร
"ไม่...ฉันไม่เป็นอะไร ไปกันเถอะ"
นลินเดินออกไปด้วยความสงสัย
เวลาล่วงเลยเข้าสู่ยามเย็น พลเพิ่มและฌาณกำลังยืนคุยกันอยู่มุมหนึ่ง
"ด็อกเตอร์บอกผมว่าน่าจะมีอะไรอยู่หลังกำแพงนั่น อาจารย์เห็นหรือเปล่า"
ฌาณพูดนิ่งๆ
"ในนั้นมีบางอย่าง"
"เป็นห้องลับ เก็บสมบัติใช่ไหม"
"ผมไม่แน่ใจ ผมมองไม่ออกว่ามันคืออะไรกันแน่ แต่ที่ผมเห็นแน่ๆ ก็คือคุณนลิน"
พลเพิ่มเริ่มสนใจขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด
"คุณนลิน? มีอะไรหรืออาจารย์"
"จับตาดูผู้หญิงคนนี้ไว้ให้ดี ผมว่าเธอมีอะไรที่ไม่ธรรมดา"
ฌาณนิ่งมองไปที่เต็นท์นลิน พลเพิ่มมองตามสีหน้าเป็นกังวล
ต่อมา นลินและกวิตานอนคุยกันอยู่ภายในเต็นท์
"ทำไมเมื่อกลางวันแกดูไม่อยากพูดถึงเรื่องที่แกหายตัวไปเลยล่ะ"
"ฉันรู้สึกกลัว"
"อาถรรพณ์ของปราสาทใช่ไหม"
นลินพยักหน้า "ตอนนั้นมันมีอะไรแปลกๆ ตั้งหลายอย่าง ตั้งแต่เดินหลง หาทางกลับแคมป์ไม่ได้ จนเห็นขบวนแห่..."
ภาพขบวนแห่ บนเสลี่ยง ผืนผ้าม่านสีขาวปลิวไสวไปตามลม หญิงบนเสลี่ยงยื่นหงายมือออกมานอกผ้าม่าน ทิ้งดอกจำปีออกจากมือและหล่นลงพื้น
กวิตาฟังนลินเล่าจบอ้าปากค้าง ด้วยความตกใจ มองไปรอบๆ อย่างหวาดกลัว
"แกเจอดีเข้าแล้วลิน ฉันว่าเรากลับกันพรุ่งนี้เลยเถอะ"
"อีกแค่วันเดียวเองต้า เสร็จงานพรุ่งนี้เราจะกลับกันทันที"
นลินสีหน้าจริงจัง
เช้าวันใหม่ รอบๆ ปราสาทอนันตาปุระ เกิดลมพัดรุนแรงประสานกับเสียงฟ้าร้องฟ้าคำรณ
ทีมสำรวจแหงนมองดูท้องฟ้าด้วยความรู้สึกท้อแท้กับอุปสรรคทางธรรมชาติ นลินหน้าเครียด
"เหมือนจะพายุหนักเลยนะครับอาจารย์" วิศวัตว่า
"งั้นพวกเรารีบกลับแคมป์ก่อนที่ฝนจะตกเถอะครับ"
"ฉันขออยู่ต่ออีกหน่อยค่ะ งานส่วนของฉันจะต้องเสร็จวันนี้" นลินบอก
"คงอีกสักพักกว่าฝนจะตก ขอพวกเราทำงานอีกเดี๋ยวเดียวนะคะ" กวิตาเสริม
"งั้นใครจะอยู่ต่อก็อยู่ไป แต่พวกเรากลับก่อน" ปัณรีบอก
"ไม่ได้นะครับ ถ้าจะทำงานที่นี่เราต้องรวมกลุ่มกันไว้ ห้ามแยกกันเด็ดขาด" ฌาณทักท้วง
"ฉันเข้าใจคุณนลินนะคะ ฉันว่ารอทำงานให้เสร็จแล้วค่อยกลับก็ยังทัน" มธุรสว่า
"ใช่ครับ พรุ่งนี้พวกคุณลินต้องกลับแล้วด้วย"
บุรัณย์บอก "ส่วนผมก็เก็บภาพด้านในปราสาทรอได้ครับ"
ทุกคนเห็นด้วย ปัณรีหน้ามุ่ยอย่างรู้สึกขัดใจ
ตฤณฤทธิ์ถามนลิน "คุณเหลือส่วนไหนที่ต้องไปดูครับ"
"ด้านหลังปราสาทที่เดียวค่ะ"
"โอเคงั้นผมจะพาคุณไปดูเอง"
"ผมไปด้วย ส่วนคนที่เหลือก็พักในปราสาทก่อนนะครับ"
ทุกคนแยกย้ายกันเข้าไปในปราสาท ส่วนพลเพิ่มเดินนำนลิน กวิตาและตฤณฤทธิ์ไปที่หลังปราสาท
ท้องฟ้าเหนือปราสาทยามนี้ เห็นหมู่เมฆสีดำทะมึนลอยเข้ามาปิดบังแสงอาทิตย์
พลเพิ่มพานลิน กวิตาและตฤณฤทธิ์ เดินเข้ามาในบริเวณด้านหลังปราสาท
กวิตาเดินกดชัตเตอร์ถ่ายภาพบริเวณต่างๆ โดยรอบ
นลินจดรายละเอียดต่างๆ ลงสมุดบันทึกประจำตัว
พลเพิ่มบอกข้อมูลเสริมว่า "พื้นที่ด้านหลังปราสาทนี้ ในอดีตเคยใช้เป็นที่ประหารเหล่าเจ้านายและชนชั้นสูงที่ทำผิดมากมาย"
นลินหันไปเห็นพื้นที่ยกสูงตรงกลางลานโล่ง เธอเดินตรงเข้าไปเหมือนโดนมนต์สะกดและยกมือขึ้นลูบไปตามขอบพื้นลานประหาร
ตฤณฤทธิ์มองนลินอย่างรู้สึกผิดสังเกต
"แท่นที่คุณลินจับอยู่นั่นก็คือ แท่นประหาร" พลเพิ่มบอก
นลินมองแท่นประหารแววตาด่ำดิ่งสู่อดีตกาล
ยินเสียงพราหมณ์สวดสะกดวิญญาณ...โอมโกโน มหาโกโน มหาโส...กระแทกเข้าหน้านลินอย่างรวดเร็ว ตึง! ตึง! ตึง! เธอยังเห็นช่วงเข่าไปถึงปลายเท้าของผู้หญิงใส่ผ้าถุงโบราณ ถูกลากไปตามพื้น
หญิงสาวถูกมัดมือ มัดเท้าติดกับแท่นหิน
ณ แม่น้ำกว้าง มีสิ่งของขนาดใหญ่ถูกโยนลงไปในน้ำ และกำลังจมลงไป
หญิงถูกผู้ชายชุดโบราณ แต่งกายคล้ายเพชฌฆาต เข้ามาใช้ดาบฟันคอจากด้านหลัง
ภาพสุดท้าย ทำให้นลินกรีดร้องเสียงดังไปทั่วบริเวณ
นลินเอามือปิดหู หลับตาทรุดตัวลงกับพื้น ตฤณฤทธิ์ พลเพิ่ม และกวิตา หันมามองพร้อมกันด้วยความตกใจ
สายฟ้าฟาดเปรี้ยงลงมาที่ลานประหาร เสียงดังสนั่นหวั่นไหว
นลินเป็นลมล้มฟุบแน่นิ่งไปกับพื้น
อ่านต่อตอนที่10