สาปกระสือ ตอนที่8 นลินกับตฤณฤทธิ์ติดอยู่ในปราสาทร้าง
บทประพันธ์และบทโทรทัศน์โดย อาณาจินต์
ไม่นานต่อมา นลินถูกพาไปนอนอยู่บนเตียงในสภาพไม่ได้สติ เห็นผิวบริเวณที่โผล่พ้นเสื้อผ้าและออกมาแดงก่ำไปทั่วตัว เหมือนคนถูกน้ำร้อนลวกกระนั้น นวลปลดเสื้อผ้าให้หลวมๆ แล้วเช็ดเนื้อตัวหน้าตาให้นลินด้วยสีหน้าเป็นกังวล
เช่นเดียวกับกวิตาหน้าเครียดจัด หันไปหาชลันตีบอกด้วยน้ำเสียงร้อนรน
"ต้าว่าพาลินไปหาหมอดีกว่านะคะ"
ชลันตีนิ่งมองอย่างครุ่นคิด
"นวลให้กินยาแล้ว นอนสักพักเดี๋ยวคงดีขึ้น"
"แต่ลินเป็นหนักขนาดนี้ ถ้าให้นอนพักเฉยๆ อาจทรุดหนักได้นะคะ ต้าพาลินไปเองค่ะ"
กวิตาจะเดินเข้าไปจับนลิน ชลันตีจับไหล่ปรามไว้ บอกเสียงเข้ม
"เธอออกไปก่อนดีกว่า"
กวิตามองชลันตีด้วยสีหน้างุนงง
"แต่ป้าตีคะ ลิน..."
เสียงนวลดังขัดขึ้น "ดีขึ้นแล้วค่ะ"
ชลันตีกับกวิตาหันไปมอง นวลเช็ดหน้านลินเบาๆ ผิวที่แดงค่อยๆ หายไปจนกลายเป็นปกติ
นวลยิ้มดีใจบอกกับชลันตีว่า "ตัวคุณหนูเย็นขึ้นแล้วค่ะ"
กวิตาดีใจ โผเข้าไปจับตัวนลินดู
"จริงๆด้วย"
กวิตายิ้มให้ชลันตี อีกฝ่ายยิ้มรับ
นลินได้สติค่อยๆ ลืมตาขึ้น
"ลินๆ เป็นไงบ้าง" กวิตาถาม
นลินมีท่าทีสะลึมสะลืออยู่
"ปวดหัวนิดหน่อย" นลินค่อยๆลุกขึ้นนั่ง หันมาขอบคุณนวล "ขอบคุณนะคะป้านวล"
นวลยิ้มรับ ชลันตีถอนหายใจอย่างโล่งอก
ส่วนที่ลานหลังบ้านพัด เบาเอาที่คีบ คีบชุดคลุมท้องขึ้นจากหม้อที่ต้มวางในกาละมัง มองชุดอย่างสงสัยถามบางว่า
"แกว่ามันจริงไหมวะไอ้บาง ต้มผ้าล่ากระสือ"
"พี่จะไปสงสัยทำไม ถ้าไม่จริงเขาจะทำกันเหรอ" บางบอก
"แล้วไหนกระสือ ไม่เห็นมีใครเป็นอะไรสักคน"
พัดก้าวฉับๆ เข้ามา โดยมีชุมคอยประคองเมียอย่างระแวดระวัง
"เดินช้าๆ สิพัด ท้องแก่แล้วระวังๆ หน่อย"
แต่พัดไม่สน เข้ามาหยุดเท้าสะเอวมองหน้าบางกับเบาอย่างหัวเสีย
"พี่ต้มผ้ายังไง ไม่เห็นจับกระสือได้เลย"
"ข้าต้มจนเดือดทุกคนก็เห็น เหลือแต่เผาให้ไหม้แกจะเอาไหมล่ะ เอาชุดแกไปตากเถอะนังพัด""ใครจะกล้าล่ะพี่ เลือดอะไรก็ไม่รู้ พี่เอาไปใส่เถอะ"
เบาโมโห "อ้าว นังนี่ก็พูดไม่คิด กูแค่อ้วนไม่ได้ท้องนะโว้ย"
"พี่ชุมว่าน้องพัดเข้าบ้านไปนอนพักก่อนดีกว่า เห็นไหมพี่บอกแล้วว่าไม่มีอะไรก็ไม่เชื่อ" ชุมปลอบเมีย
พัดเสียงอ่อนลง
"ก็พัดตกใจนี่พี่ชุม หมู่บ้านเรายิ่งมีอะไรแปลกๆ อยู่ช่วงนี้"
"แต่พัดมันก็ทำถูกแล้ว มีอะไรต้องรีบมาบอกพ่อกำนันเขา จะได้ช่วยกันหาว่าใครเป็นกระสือกันแน่ แค่นึกถึงข้ายังขนลุกไม่หายเลย" เบาว่า
เบามองผ้าทำหน้าสะอิดสะเอียน
เวลาโพล้เพล้ใกล้มืดลงทุกขณะ
ที่วงประชุมบ้านกำนันสิน ทุกคนคุยกันเรื่องจะเข้าไปสำรวจปราสาทอนันตาปุระ ใกล้จะจบ กำนันสินบอกกับทีมสำรวจว่า
"มะรืนนี้พรานกับลูกหาบจะมารับพวกคุณที่นี่แต่เช้า"
"ขอบคุณกำนันมากนะครับที่ช่วยเป็นธุระให้" ตฤณฤทธิ์ว่า
กำนันสินหัวเราะพลางบอก "ฮ่าๆผมทำด้วยใจอยู่แล้ว อะไรที่ทำเพื่อชาวบ้านผมเต็มที่"
กวิตาเดินเข้ามาในบ้านกำนัน ทุกคนหันไปมอง
กวิตาตรงเข้าไปหาบุรัณย์ที่นั่งติดกับตฤณฤทธิ์
กวิตาหน้าหงอยพูดกับบุรัณย์
"ประชุมกันเสร็จแล้วเหรอคะ ขอโทษนะคะที่มาช้าพอดีลินไม่ค่อยสบาย"
ตฤณฤทธิ์รีบถามกวิตาด้วยความเป็นห่วง "คุณลินเป็นอะไรครับ"
มธุรสหันมองตฤณอย่างสงสัย
"อ้อตอนนี้ดีขึ้นแล้วค่ะ แต่ไม่รู้ว่าถึงวันเข้าไปสำรวจปราสาทจะไหวไหม"
มธุรสบอกว่า "ไม่ไหวก็พักเถอะค่ะ เดี๋ยวเข้าไปป่วยขึ้นมาอีกจะลำบากเปล่าๆ"
"ไม่ต้องห่วงนะคะ ถ้าลินไม่ไหวต้าลุยเดี่ยวได้ค่ะ"
ฉัตรฉายยืนแอบฟังอยู่หลังเสากลอกตาไปมาอย่างครุ่นคิด
ขณะที่โฉมศรีในชุดนอนบ้านๆ นอนมาสก์หน้าหน้าขาววอกหลับอยู่บนเตียง เสียงเรียกแปดหลอดของลูกสาวแผดดังขึ้น
"แม่ แม่"
โฉมศรีตกใจกระเด้งตัวลุกขึ้นจากเตียง แต่พูดไม่ค่อยถนัด เนื่องจากมาสก์แห้งปิดหน้าตึงไปหมด
"อะไรของแกนังฉาย"
ฉัตรฉายเปิดประตูเข้ามาในห้องนอนแม่ ท่าทางรีบร้อน
"แกมีอะไร วิ่งตาหูตาแหกมาเนี่ย"
"หนูได้ยินเพื่อนนังลินมันบอกนังลินไม่สบาย"
"ไม่สบายแล้วมันเกี่ยวอะไรกับฉันล่ะ"
ฉัตรฉายทำหน้ารำคาญ
"แม่ ก็แปลว่าที่เราเอาผ้าไปต้มมันต้องได้ผลไม่มากก็น้อยนะแม่"
โฉมศรีตาลุกวาว
"เออ...ว่ะ เดี๋ยวพรุ่งนี้แกต้องช่วยแม่สังเกตดูมันหน่อยนะว่าผิวมันพองไหม แล้วอย่าเพิ่งบอกพ่อแกล่ะ แค่เรื่องขุดศพยายเพียรพ่อแกก็เสียหน้าไปเยอะแล้ว"
"ได้เลยแม่ เราต้องหาให้ได้ว่าใครเป็นกระสือกันแน่ จะได้แก้ตัวให้พ่อด้วย"
สองแม่ลูกมองหน้ากันอย่างมีแผนร้าย
ส่วนในที่โต๊ะประชุม ทุกคนคุยกันเรียบร้อยแล้ว กวิตายกมือไหว้ลากำนันสิน
"ฉันขอตัวกลับไปเตรียมของก่อนนะคะ"
"จะกลับยังไงล่ะหนู ให้เบามันไปส่งไหม" กำนันบอก
กวิตามองหน้าเบา เบาทำหน้าหวาดๆ ไม่กล้าตอบ รีบหันไปหาบุรัณย์
"คุณรันว่างไหมคะ"
บุรัณย์ยิ้มไม่กล้าปฎิเสธตรงๆ
"เอ่อ..คือผมต้องรีบส่งไฟล์ภาพข่าวน่ะครับ เดี๋ยวไม่ทัน"
ตฤณฤทธิ์รีบเสนอตัวไปส่งกวิตา เพราะอยากเจอนลิน
"เดี๋ยวผมเดินไปเป็นเพื่อนเอง"
มธุรสมองตฤณฤทธิ์เป็นห่วง นึกถึงเรื่องเขาถูกทำร้ายคราวนั้น
"ให้วัตไปด้วยดีกว่านะคะ ขากลับจะได้มีเพื่อนเดินกลับ" มธุรสว่า
กวิตามองวิศวัตเซ็งๆ
"ให้นายนี่ไปด้วย ฉันยอมเดินกลับคนเดียวเปลี่ยวๆ ดีกว่า"
ตฤณฤทธิ์มองกวิตากับวิศวัตแล้วยิ้มขำ
ขณะเดียวกัน นลินยืนน้ำตาคลอมองรูปยายเพียรในกรอบบนฝาผนัง
"คุณยายขา...คุณยายคงทนทุกข์ทรมานมานานมากแล้วใช่ไหมคะ ทำไมเรื่องแบบนี้ต้องเกิดขึ้นกับตระกูลของเราด้วย"
นลินทรุดตัวลงนั่งร้องไห้อย่างคนสิ้นหวัง
ด้านนอกรอบบ้านยายเพียรตอนกลางคืน บรรยากาศดูเงียบเหงา แสงไฟสลัวๆ
ภายในห้องรับแขกบ้านยายเพียร ตฤณกับวิศวัตนั่งที่โซฟา
"พวกคุณนั่งรออยู่ตรงนี้ก่อนนะคะ เดี๋ยวฉันไปดูลินให้"
ตฤณฤทธิ์พยักหน้ารับแล้วยิ้ม วิศวัตพยักหน้ารับแต่สายตาสนใจกับของที่โชว์ในบ้าน
กวิตาเดินหันหลังออกไป วิศวัตรีบลุกขึ้นเดินมองของโบราณที่โชว์อย่างสนใจตาลุกวาว
"กลับมานั่งที่เดิมเลยวัต" ตฤณฤทธิ์บอก
วิศวัตพูดไปเดินดูไป "อาจารย์ ของพวกนี้มันเป็นของจริงหรือเปล่า"
"จริง... ถึงได้บอกให้กลับมานั่งที่เดิมไง"
วิศวัตกลับมานั่งที่โซฟา
ตฤณฤทธิ์มองปราม
"อย่าไปยุ่มย่ามบ้านคนอื่น เจ้าของบ้านเขายังไม่ได้เชิญเราเข้ามาเลยนะ"
"ครับอาจารย์"
วิศวัตทำหน้าจ๋อยๆ
กวิตายืนเคาะประตูเรียกนลินอยู่หน้าห้อง
"ลิน...ลิน...เราเข้าไปนะ"
เรียกอยู่นานก็ไม่มีเสียงตอบกลับ กวิตาเปิดประตูเดินเข้าไปในห้อง เห็นเตียงนอนว่างเปล่า ไม่เจอนลิน
"อ้าว...ไปไหนเนี่ย"
กวิตาเปิดประตูจะเดินออกไปแล้วก็ตกใจจนต้องผงะตัวถอยหลัง เมื่อเห็นชลันตียืนอยู่หน้าประตูด้วยสีหน้าไม่พอใจ
"หนูตกใจหมดเลยค่ะคุณป้า มาเงียบๆ"
"แล้วเธอมาทำอะไรที่ห้องลิน"
"ต้ามาดูลินค่ะว่าเป็นไงบ้าง แต่ลินไม่อยู่ในห้อง คุณป้าเห็นลินบ้างไหมคะ"
ชลันตีหน้าเข้มไม่ตอบอะไร จนกวิตาเริ่มอึดอัด
"งั้นหนูขอตัวก่อนนะคะ"
ชลันตีบอกเสียงแข็งเชิงตำหนิว่า "เธอไม่ควรพาใครเข้ามาในบ้าน"
กวิตาหน้าจ๋อย "พอดีคุณตฤณเขาอยากมาเยี่ยมลินค่ะ"
"บอกให้พวกเขากลับไปเถอะลินไม่สะดวกจะเจอใครทั้งนั้น"
กวิตาก้มหน้ารู้สึกผิด
ที่โถงรับแขกชั่นล่าง ตฤณฤทธิ์ดูข้อมูลในมือถือ วิศวัตนั่งมองไปรอบๆ ห้อง มาหยุดมองตฤณฤทธิ์เหมือนมีแผนอะไรสักอย่าง แล้วลุกขึ้นยืนทำท่าทางปวดท้อง
"อาจารย์ครับผมขอไปเข้าห้องน้ำก่อนนะครับ"
วิศวัตรีบวิ่งออกไปโดยไม่รอฟังคำตอบ ตฤณฤทธิ์ถอนหายใจแล้วนั่งดูมือถือต่อ
เสียงฝีเท้าดังขึ้นเหมือนมีคนเดินเข้ามา
"คุณเข้ามาได้ไงคะ"
ตฤณฤทธิ์จำเสียงได้ รีบหันไปมองนลินอย่างดีใจ
"ผมมาส่งคุณต้า เลย...."
"เลยอะไรคะ เลยถือวิสาสะมานั่งในบ้านคนอื่นหรือไง"
"เห็นคุณต้าบอกคุณไม่ค่อยสบาย ผมเป็นห่วงเลยอยากมาเยี่ยม"
นลินอึ้งๆไปเมื่อได้ยินว่าเขาเป็นห่วง ลึกๆ รู้สึกดีกับตฤณฤทธิ์เช่นกัน
หน้าบ้านกำนันสิน มธุรสใส่ชุดนอน ยืนชะเง้อมองหาตฤณฤทธิ์ด้วยความเป็นห่วง
บุรัณย์มองตามแล้วเดินเข้าไปหามธุรส
"ดึกแล้วยังไม่นอนอีกเหรอรส"
"นอนไม่หลับ พี่ตฤณยังไม่กลับมาเลย"
"เดี๋ยวก็มา รสไปนอนเถอะพรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้านะ" บุรัณย์บอก
"แต่รสเป็นห่วงพี่ตฤณ ทำไมไปนานจัง เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่าก็ไม่รู้"
"ไม่มีอะไรหรอกรส คนแถวนี้ใจดีจะตายไป"
"รันไม่รู้อะไร พี่ตฤณเคยโดนทำร้ายไปแล้วในหมู่บ้านนี้แหละ รสจะไม่ยอมให้เกิดขึ้นอีกแน่ๆ"
"อยากให้มีคนเป็นห่วงเราแบบนี้บ้างจัง"
มธุรสขำ
"ก็มีคุณกวิตาไง ไม่ลองเปิดใจดูล่ะรัน ดูเขาออกจะปลื้มรันนะ"
"ไม่หรอก เขาก็แค่ปลื้มผลงานของเรามากกว่า"
บุรัณย์มองมธุรสเหมือนมีความในใจ
มธุรสเริ่มทำตัวไม่ถูก
"งั้นเรา...ไปนอนก่อนนะพรุ่งนี้ตื่นแต่เช้า" มธุรสเหมือนจะตัดบท
บุรัณย์มองตามหลังมธุรสอย่างเศร้าใจ
นลินนั่งลงที่โซฟา ตรงข้ามด็อกเตอร์ตฤณ
"ฉันดีขึ้นแล้วค่ะ ขอบคุณที่เป็นห่วงนะคะ"
ตฤณฤทธิ์ยิ้มอ่อนโยนให้
"ครับ แล้วรอยที่คอคุณ..."
ตฤณฤทธิ์มองที่คอนลินอย่างสำรวจ นลินรีบขยับคอเสื้อปิด
"ไม่มีอะไรนี่คะ คุณคงตาฝาดไปเอง" นลินรีบเปลี่ยนเรื่องคุย "แล้ววันนี้ประชุมกันได้ข้อสรุปยังไงบ้างคะ ลินต้องขอโทษด้วยนะคะที่ไม่ได้ไปประชุมด้วย"
"มะรืนนี้จะออกเดินทางไปสำรวจปราสาทกันแต่เช้า คุณลินเพิ่งหายป่วยยังไม่ต้องไปก็ได้นะ เอาไว้รอบหน้าดีกว่า"
นลินตอบอย่างมั่นใจ "ลินตั้งใจจะไปค่ะ"
ตฤณฤทธิ์มองนลินด้วยความห่วงใย
โถงทางเดินบ้านยายเพียร วิศวัตเดินชมวัตถุโบราณอย่างเพลิดเพลิน
วิศวัตกำลังจะยื่นมือไปจับรูปปั้นโบราณ อยู่ๆไฟก็ดับพรึ่บ ! วิศวัตตกใจ
ไฟติดก็มีมือเข้ามาดึงที่มือวิศวัต
มือวิศวัตถูกมือนั่นดึงออกเหมือนไม่ให้จับรูปปั้น
วิศวัตหันไปมองด้วยความตกใจอย่างสุดขีด
นวลจ้องมองวิศวัตตาถลน
วิศวัตตาค้างร้องสุดเสียง
วิศวัตร้องตกใจ เสียงดังลั่น "อ๊ากกก...."
กวิตากับชลันตี นลินกับตฤณฤทธิ์ ต่างได้ยินเสียงกรี๊ดตกใจหันมองตามเสียงพร้อมกัน
วิศวัตทรุดตัวลงไปกองที่พื้นด้วยความกลัว ตาค้างร้องเสียงดังลั่น
"ผะ...ผี...ผีหลอก"
ทุกคนวิ่งเข้ามาดู
ตฤณฤทธิ์รีบเข้าไปพยุงวิศวัตขึ้น
วิศวัตชี้ไปที่นวลว่า
"ผี..ผี"
ตฤณฤทธิ์เสียงดัง "ผีที่ไหน นั่นป้านวลไม่ใช่ผี"
กวิตาต่อว่าวิศวัต
"คุณมาทำอะไรที่นี่ ฉันบอกให้รออยู่ที่ห้องรับแขกไม่ใช่เหรอ"
วิศวัตเริ่มได้สติแล้วกลัวจะเสียหน้า
วิศวัตบอกกับทุกคน "ผมเดินหาห้องน้ำไม่เจอครับ"
นลินชี้บอกทาง "ห้องน้ำอยู่ด้านโน้นค่ะ"
"ไม่เป็นไรครับ ไม่เข้าแล้วดีกว่า"
ตฤณฤทธิ์มองวิศวัตเหมือนรู้ทัน มองคนอื่นที่เหลือด้วยความเกรงใจ
"งั้นพวกผมขอตัวกลับก่อนนะครับ"
ชลันตีมองวิศวัตกับตฤณฤทธิ์ไม่พอใจ
ชลันตีพูดเสียงแข็ง "ไม่ส่งนะคะ ที่นี่มีแต่ผู้หญิง"
ตฤณฤทธิ์มองชลันตีอย่างรู้สึกผิด
ตฤณฤทธิ์ยกมือไหว้ชลันตีกับนวล
"ต้องขอโทษด้วยนะครับ"
ชลันตีกับนวลพยักหน้ารับแบบไม่ค่อยพอใจ เขาหันไปพูดกับนลินและกวิตา "ขอตัวนะครับ"
วิศวัตยกมือไหว้ชลันตีกับนวล "ขอโทษจริงๆนะครับ" ตามด้วยนลินกับกวิตา "ขอโทษครับ"
กวิตาถอนหายใจทำหน้าเบื่อใส่วิศวัต ชลันตีมองตามด้วยความไม่พอใจ
ตกกลางคืน นลินในชุดนอนกำลังจะเตรียมเก็บของใส่กระเป๋าเดินป่า ยินเสียงเคาะประตูดังขึ้น
"ลินนี่ป้าเอง"
นลินวิ่งไปเปิดประตูให้ชลันตี
"เข้ามาก่อนสิคะป้าตี"
ชลันตีเดินเข้ามาแล้วปิดประตูลง มองที่กระเป๋าเดินป่า
"อย่าบอกนะว่าลินจะไปที่ปราสาทนั่น"
นลินเก็บของไปพูดไป "มันเป็นงานที่ลินต้องรับผิดชอบค่ะป้าตี ลินเองก็อยากเข้าไปเห็นปราสาทนั้นด้วยตัวเองสักครั้ง"
"แต่ป้าว่าลินอย่าเข้าไปเลย"
"คงไม่มีอะไรหรอกค่ะ ต้าก็ไปด้วย"
ชลันตีพูดสีหน้าจริงจัง "มีสิ! ทำไมจะไม่มี"
นลินหยุดชะงักแล้วหันมองชลันตี
"อะไรเหรอคะ"
"ป้า..แค่ไม่อยากให้ลินไป"
นลินจับมือชลันตี "ป้าตีไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ ลินสัญญาว่าจะดูแลตัวเองให้ดี"
ชลันตีมองนลินอย่างเป็นกังวล
เช้ามืดวันต่อมา ขณะที่พลเพิ่มจัดเตรียมกระเป๋าขึ้นใส่หลังรถ อยู่ที่หน้าบ้าน อยู่ๆ ก็มีมือยื่นกระเป๋าอีกใบเข้ามาหลังรถ
พลเพิ่มหันไป เห็นปัณรียืนโพสท่าถือแผนที่ในชุดจัดเต็ม เป็นชุดเดินป่าสีครีมเหมือนในหนังอินเดียน่าโจนส์ กางเกงขาสั้นสวมรองเท้าบูทใส่หมวกเต็มยศ
"จะไปไหน แต่งตัวอย่างกับจะไปล่าขุมทรัพย์เลยนะ" พลเพิ่มเย้า
"ก็ไปสำรวจปราสาทกับพี่ไง" ปัณรีบอก
พลเพิ่มมองปราม "ไม่ได้ กลับเข้าบ้านไป มันไม่ใช่ที่จะไปเดินเล่นสนุกๆนะ"
ปัณรีเกาะแขนพลเพิ่มอ้อน "นะ...นะ...ให้น้องไปด้วยนะ"
พลเพิ่มเอากระเป๋ายื่นคืนให้ปัณรีแล้วปิดหลังรถ บอกเสียงแข็ง
"ไม่ได้!หัดฟังพี่บ้างนะปัน"
พลเพิ่มขึ้นรถเตรียมออกเดินทาง ปัณรีเปิดประตูหลังข้างคนขับโยนกระเป๋าเข้าไป แล้วเปิดประตูเข้ามานั่งข้างพี่ชายหน้าตาเฉย พลเพิ่มถอนหายใจ ส่ายหน้า
"แกนี่มันไม่เคยฟังพี่เลย แล้วอย่ามาบ่นให้ได้ยินนะ"
ปัณรียิ้มกว้างดีใจ
"ก็พี่พลบ่นแทนแล้วไง"
พลเพิ่มสีหน้าไม่พอใจ ถอนหายใจแล้วออกรถ
ต่อมา พระอาทิตย์กำลังขึ้น
บริเวณลานหน้าบ้านกำนันสิน ทุกคนกำลังขนของขึ้นรถกระบะสองแถว
มธุรสบอกกับทุกคน
"เรียบร้อยแล้วขึ้นรถกันเถอะ เดี๋ยวจะถึงที่ปราสาทค่ำ"
ทุกคนขึ้นไปนั่งบนรถ
ตฤณฤทธิ์มองหาใครสักคน "คนยังมาไม่ครบเลย"
มธุรสบ่นๆ "อยู่แค่นี้เอง น่าจะตรงเวลา"
เสียงกวิตาดังเข้ามา "รอด้วยค่า"
ทุกคนหันไปมอง สีหน้าตฤณฤทธิ์ดีใจ
นลินกับกวิตาสะพายเป้เดินป่ารีบวิ่งเข้ามา
ตฤณฤทธิ์มองนลินแล้วยิ้ม เขาขยับที่ให้นลินนั่งข้างๆ
นลินเดินขึ้นรถ กวิตารีบแทรกตัวจะไปนั่งกับบุรัณย์จนชนนลินล้มใส่ตฤณฤทธิ์
ตฤณฤทธิ์รีบคว้าตัวนลินเข้ามากอดไม่ให้ล้ม ทั้งคู่มองหน้ากันเขินๆ เสียงแซวจากวิศวัตดังขึ้น
"มีล้มกันแต่เช้าเลย"
ตฤณฤทธิ์มองปรามวิศวัต
มธุรสที่นั่งอีกข้างของตฤณฤทธิ์มองทั้งคู่อย่างตกใจ เริ่มรับรู้ว่าตฤณฤทธิ์ชอบนลิน
นลินรีบผละออกจากตฤณฤทธิ์แล้วนั่งลงทำหน้าไม่ถูก
"ลินฉันขอโทษนะ"
กวิตารีบนั่งแทรกตัวข้างบุรัณย์ บุรัณย์ยิ้มมารยาทเบาๆ
กำนันสินกับฉัตรฉายเดินมาส่งทุกคนที่รถ
กำนันสินบอกกับทุกคน "เดินทางปลอดภัยนะครับ"
ทุกคนยิ้มรับ พลางตอบ "ขอบคุณครับ/ค่ะ"
เสียงรถสตาร์ตเครื่อง เตรียมจะออกเดินทาง
แต่พอออกตัวไปได้นิดเดียว ก็ต้องเบรกกะทันหัน
ปัณรีตะโกนไล่หลังมา "หยุด...เดี๋ยวนี้นะ รอฉันด้วย"
ทุกคนเห็นปัณรีวิ่งตรงมาที่รถ พลเพิ่มถือกระเป๋ารีบก้าวตามหลังปัณรีมา
ฉัตรฉายมองพลเพิ่มอย่างดีใจ หันมาบอกกับกำนันว่า
"พ่อ บอกรถรอหนูหน่อยนะ เดี๋ยวมา"
ฉัตรฉายวิ่งจู๊ดขึ้นบ้านไป กำนันสินมองตามอย่างสงสัย
ปัณรีเดินขึ้นรถแทรกตัวนั่งข้างตฤณฤทธิ์จนนลินต้องขยับให้ มธุรสมองปัณรีอย่างไม่ชอบใจ
กำนันสินบอกกับพลเพิ่มว่า
"ผมนึกว่าท่านจะไม่ไป งั้นออกเดินทางเลยนะครับท่านเดี๋ยวจะสาย"
พลเพิ่มยิ้มให้ แล้วเดินขึ้นไปนั่งบนรถตรงข้ามนลินยิ้มทักทาย อีกฝ่ายยิ้มรับตามมารยาท
รถแล่นออกไปช้าๆ ตามทาง มุ่งหน้าสู่ปราสาทโบราณ
ด้านฉัตรฉายอยู่ในห้องนอน ง่วนกับการเก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋าอย่างรีบเร่ง มีโฉมศรีช่วยเก็บ กำนันสินเดินเข้ามาในนั้นถามลูกสาวงงๆ
"แกจะไปไหนนังฉาย"
"พ่อ แล้วรถล่ะ เขารอหนูอยู่หรือเปล่า"
"ไปแล้ว"
ฉัตรฉายชักสีหน้าไม่พอใจ "พ่อ"
โฉมศรีพลอยหงุดหงิดไปด้วย "อ้าว!พี่กำนัน ทำไมไม่บอกให้เขารอลูกเราล่ะพี่"
"พวกแกจะบ้าเหรอ แกจะให้นังฉายมันไปทำไม"
ฉัตรฉายมองกำนันงอนๆ "พ่อ ไม่รู้อะไร ฉันกับแม่กำลังมีแผนกู้หน้าให้พ่ออยู่นะ"
"แผนขายหน้าข้าสิไม่ว่า"
"ฉันอุตส่าห์จะไปจับผิดนังนลินให้พ่อนะ ว่ามันเป็นกระสือจริงหรือเปล่า"
"อย่ามาพูดเลยนังฉาย อย่างแกจะไปจับผู้ชายมากกว่า" กำนันสินรู้ทัน
"พี่พูดแบบนี้กับลูกได้ไงพี่กำนัน แทนที่พี่จะสนับสนุน ผู้ชายที่ลูกมันชอบ คุณพลเพิ่มทั้งรวยทั้งเก่งไม่ดีตรงไหนฮะ"
"แกไม่รู้จักคุณพลเพิ่มดีพออย่ามาพูด... แกก็เหมือนกันเรื่องเรียนไม่เคยสนใจ สนใจแต่ผู้ชาย แกนี่มัน...เหมือน"
โฉมศรีมองสงสัย "เหมือนอะไรพี่กำนัน พูดดีๆนะ"
กำนันสินไม่ตอบ เดินหน้าหน่ายออกไป
โฉมศรีปลอบฉัตรฉาย
"ไม่เป็นไรนะลูก สักวันโอกาสต้องเป็นของเรา ถึงวันนั้นพ่อแกต้องภูมิใจในตัวลูกที่สุด เชื่อแม่" โฉมศรีให้ท้ายลูกสาว
ฉัตรฉายกอดโฉมศรี
"พ่อพูดไม่ให้กำลังใจหนูเลยแม่ พ่อยังจะมาว่าหนูสนใจแต่ผู้ชายอีก หนูเสียใจนะแม่"
"ไม่เป็นไรลูก เดี๋ยวเดือนนี้แม่จ่ายค่าขนมเพิ่มให้ห้าพัน ปลอบใจนะลูก"
ฉัตรฉายกอดโฉมศรียิ้มดีใจ
เที่ยงวันแล้ว พระอาทิตย์ส่องแสงจ้าทั่วราวป่าซึ่งอุดมไปด้วยต้นไม้เขียวขจี ทุกคนเดินเรียงแถวกันมาตามทางในป่านั้นโดยมีพรานหนุ่มนำหน้า และลูกหายสามคนปิดท้าย พากันมุ่งหน้าสู่ปราสาท
จนมาถึงลานกว้างริมริมธาร พรานหนุ่มหยุดเดิน แล้วหันมาบอกทุกคน
"เดี๋ยวเราจะหยุดพักกินข้าวกันที่นี่นะครับ ทุกคนหาที่นั่งกันตามสบายได้เลย"
ทุกคนกระจายตัววางสัมภาระลงนั่งพักเหนื่อยใต้ต้นไม้ตามมุมต่างๆ
ตฤณฤทธิ์กับพลเพิ่มมองหานลิน
นลินแยกไปนั่งกับกวิตา
ปาดเดินมาแจกข้าวห่อใบตองให้ทุกคน
มธุรสเดินมานั่งข้างๆตฤณฤทธิ์ แล้วยื่นห่อข้าวส่งต่อให้เขา
"ข้าวค่ะพี่ตฤณ"
"ขอบใจนะรส"
ปัณรีรับห่อข้าวแล้วรีบเดินมานั่งข้างๆตฤณฤทธิ์
"ปันขอนั่งด้วยนะคะ พี่ตฤณ"
มธุรสมองปัณรีไม่ชอบใจ ปัณรีมองมธุรสแบบไม่สนใจ
"เชิญครับ"
ปัณรีอ้อนตฤณฤทธิ์
"พี่ตฤณคะ วันนี้อากาศร้อนจังเลยนะคะ" แล้วขยับคอเสื้อให้ลมเข้าดูเซ็กซี่แล้วเอามือพัดไปมา
มธุรสมองแล้วส่ายหน้าไม่ชอบใจ
"พี่ตฤณช่วยแปะพลาสเตอร์ให้ปัณหน่อยได้ไหมคะ ปัณโดนกิ่งไม้เกี่ยวน่ะค่ะ"
ปัณรียื่นแขนให้ตฤณฤทธิ์ดูแผลโดนกิ่งไม้เกี่ยว แผลนิดเดียวแทบมองไม่เห็น
ตฤณฤทธิ์มองอึกอัก
มธุรสรีบตัดบทกับปัณรี "คงไม่เหมาะมั้งเดี๋ยวรสติดให้เองค่ะ"
ปัณรีมองมธุรสขัดใจ "ไม่เหมาะตรงไหนคะคุณรส แค่ติดพลาสเตอร์เอง"
"คุณเป็นผู้หญิงมันดูไม่ดีนะคะ เดี๋ยวพี่ชายคุณจะว่าพี่ตฤณได้"
วิศวิตพูดกับปัณรี "ผมติดให้ได้นะครับ"
ปัณรีมองมธุรสแบบขัดใจ
ปัณรีสะบัดหน้าใส่วิศวัต "ไม่ต้อง!"
ตฤณฤทธิ์รำคาญความวุ่นวายตรงหน้า ถอนหายใจ ก่อนเดินออกไป
"ผมขอตัวนะครับ"
มธุรสมองตามสายตาเศร้า
บุรัณย์มองมธุรสอย่างเห็นใจ
บริเวณอีกมุมหนึ่ง ลำธารสวยงามไหลเป็นทาง
นลินนั่งกินข้าว พลางมองสายน้ำอย่างมีความสุข
"สวยจังเนอะต้า"
"มากแก" กวิตาทำท่าสูดหายใจเข้าลึกๆ "ปอดฉันพูดได้คงขอบคุณที่ฉันพามาที่นี่"
นลินพูดติดตลก ขำ "ทุกวันนี้แกคุยกับปอดได้แล้วเหรอ"
"จะบ้าเหรอ ฉันไม่ใช่กระสือนะ ที่จะถอดปอดออกมาคุยด้วย"
นลินอึ้งไปที่กวิตาพูดแทงใจดำ เผลอทำช้อนกินข้าวตกพื้น
"ลิน...ลิน...แกเป็นอะไร"
นลินตื่นจากภวังค์ เดินลงไปที่ริมลำธารแล้วเอาน้ำในลำธารมาล้างช้อน
ขณะที่นลินกำลังเดินกลับมานั่งนั้นก็มีเสียงเด็กทารกร้องดังขึ้น
นลินชะงัก เงี่ยหูฟัง มองไปรอบๆ
กวิตาแปลกใจ "มีอะไรเหรอลิน"
"แกได้ยินเสียงอะไรไหมต้า"
"ได้ยินสิ เสียงน้ำตกออกจะดัง"
นลินสีหน้าจริงจัง "ไม่ใช่ เสียงเด็กร้องน่ะ แกไม่ได้ยินเหรอ"
กวิตามองรอบๆทำท่ากลัว "แกจะบ้าเหรอลิน ในป่าลึกขนาดนี้จะมีเด็กที่ไหนมาร้อง แกห้ามทักสุ่มสี่สุ่มห้าโบราณเขาถือนะ"
นลินพยักหน้ารับ "เออๆฉันคงหูฝาดไปเอง เสียงเงียบไปแล้ว"
"เออๆงั้นฉันไปเอาน้ำก่อนนะเดี๋ยวมา"
นลินพยักหน้ารับกวิตาเดินออกไป
เสียงเด็กทารกร้องดังก้องขึ้นอีก นลินชะงักมองรอบๆอย่างสงสัย
สายน้ำไหลเรื่อยไปตามโขดหิน ยินเสียงนกร้อง เสียงสายน้ำไหล ประสมกับเสียงลมพัดใบไม้
นลินเดินมองหาอะไรบางอย่าง
เสียงเด็กทารกยังคงร้อง อุแว้...อุแว้ ดังมาเข้าหู
นลินเดินตามเสียงไป เสียงดังชัดขึ้นเรื่อยๆ แต่อยู่ๆ เสียงเด็กร้องก็หายไป นลินหยุดชะงักมองหาด้วยสีหน้าสับสน เสียงฝีเท้าคนวิ่งดังขึ้นสลับกับเสียงเด็กร้องดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
ขณะที่นลินยืนงงอยู่นั้น อยู่ๆก็เหมือนมีอะไรวิ่งชนตัวนลินจนล้มลงกับพื้น
นลินหันไปเจอผู้หญิงในชุดโบราณ กำลังอุ้มลูกวิ่งหนีอะไรบางอย่างไป
นลินตาโตช็อกกับภาพตรงหน้า
จู่ๆ มีมือใครบางคนยื่นเข้ามาจับไหล่เธอหมับ นลินตกใจ ไม่กล้าหันไป แล้วหลับตาลงอย่างหวาดกลัว
"คุณลิน...เป็นอะไรหรือเปล่าทำไมมานั่งตรงนี้"
นลินคุ้นเสียงจึงหันไปมอง
"คุณพลเพิ่ม...ลินเห็น..." นลินไม่กล้าพูด
พลเพิ่มพยุงตัวนลินลุกขึ้นอย่างห่วงใย มองสงสัย
"เห็นอะไรครับคุณลิน"
"ไม่มีอะไรค่ะ เรากลับกันดีกว่า"
พลเพิ่มเหลือบไปเห็นมือนลินมีเลือดออกเป็นแผลตอนที่ล้มโดนหินบาด พลเพิ่มจับมือนลินขึ้นมาดู
ตฤณฤทธิ์ยืนมองทั้งคู่อยู่มุมหนึ่ง รู้สึกหงุดหงิดแล้วเดินออกไปเงียบๆ
ท่ามกลางบรรยากาศร่มรื่นรอบๆ ริมธารน้ำ กวิตานั่งกินข้าวข้างๆบุรัณย์ ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อย่างมีความสุข ลูกหาบและพรานหนุ่มนั่งรวมกลุ่มกันกินข้าว
ตฤณฤทธิ์เดินกลับมา มธุรสกับปัณรีต่างยื่นน้ำให้พร้อมกัน
"ขอบคุณครับ"
ตฤณฤทธิ์หยิบขวดน้ำของตัวเองออกมาให้สองสาวเห็นว่ามีแล้ว
นลินเดินกลับมาพร้อมพลเพิ่ม ตฤณฤทธิ์มองตาขุ่นไม่ชอบใจ
กวิตายื่นขวดน้ำให้นลิน "ลิน แกหายไปไหนมา ฉันกลับไปก็ไม่เจอแกแล้ว"
นลินนั่งลงข้างกวิตา
"ฉันไปล้างมือมา"
"ล้างที่ไหน นึกว่าแกหลงป่าไปแล้ว"
พลเพิ่มหยิบพลาสเตอร์ยาในกระเป๋าเป้มาปิดแผลให้นลิน ทุกคนหันมามองทั้งคู่
นลินตกใจถอยมือออก "ไม่เป็นไรค่ะ ลินติดเองได้"
แต่พลเพิ่มจับมือไว้ "เดี๋ยวผมติดให้"
กวิตามองสงสัย "แกไปโดนอะไรมาลิน"
"ไม่มีอะไรแก แค่ล้มโดนหินนิดหน่อย"
ปัณรีแซวพลเพิ่ม "สงสัยงานนี้ปัณจะได้พี่สะใภ้ตัวจริงแล้วล่ะมั้ง"
ปัณรียิ้มให้นลิน นลินยิ้มแห้งๆทำตัวไม่ถูก
ตฤณฤทธิ์มองนลินรู้สึกเสียใจ ดื่มน้ำเข้าไปอึกใหญ่
มธุรสมองตฤณฤทธิ์อย่างจับสังเกต
ผ่านเวลา เท้าของแต่ละคนในคณะเหยียบทางเดินที่เต็มไปด้วยหินและรากไม้ ไปตามทางในป่าที่รกครึ้ม
ปัณรีสีหน้าอ่อนแรง ยืนหอบ พลางตะโกนถามพราน
"ใกล้จะถึงหรือยังพรานเดินจนเหนื่อยแล้วนะเนี่ย"
พลเพิ่มมองปราม "พี่บอกแล้วใช่ไหมว่าให้อยู่บ้าน ถ้ามาก็ไม่ต้องบ่น"
ปัณรีมองพลเพิ่มขัดใจ แต่ไม่กล้าเถียงได้แต่ปั้นปึงใส่ ก่อนจะหันไปอ้อนตฤณฤทธิ์
"พี่ตฤณคะ พักก่อนไม่ได้เหรอ ปันเดินไม่ไหวแล้ว"
"อีกนิดเดียวก็จะถึงแล้วครับเดินอีกหน่อยเดี๋ยวก็ได้พักแล้ว"
ทุกคนเห็นยอดปราสาทอนันตาปุระไกลๆ
นลินได้ยินเสียงดนตรีโบราณดังขึ้นไกลๆเริ่มทำหน้าสงสัย
ต่อมา บริเวณหน้าปราสาทบรรยากาศปลอดโปร่ง ทุกคนยืนรวมกันมองอย่างตื่นตาตื่นใจ
นลินมองปราสาทที่อยู่ตรงหน้าด้วยความรู้สึกผูกพันอย่างบอกไม่ถูก เช่นเดียวกับปัณรี
พลเพิ่มขึ้นไปยืนที่บันไดหน้าปราสาทกางแขนออกด้วยมาดอย่างเจ้าเมือง
"ยินดีต้อนรับทุกท่านสู่ปราสาทอนันตาปุระ"
พลเพิ่มยื่นมือมารับนลินที่ยื่นอยู่ข้างล่างให้ขึ้นไปยืนด้วยกัน นลินมองไม่กล้าขึ้นไป
"มาสิครับคุณลิน ผมจะเล่าประวัติที่นี่ให้ฟัง"
นลินเงยหน้ามองพลเพิ่มแล้วยื่นมือออกไปเหมือนโดนสะกด
นลินเหมือนโดนสะกดยื่นมือให้พลเพิ่ม พอทั้งคู่จับมือกัน ฟ้าก็แล่บเป็นเส้นลงตรงยอดปราสาทเหมือนกำลังส่งสัญญาณอะไรบางอย่าง
นลินยื่นคู่กับพลเพิ่มบนปราสาทดูสง่างามราวกับเจ้าเมืองและเจ้าหญิงมเหสีกระนั้น
แต่แล้วลมก็พัดแรงเหมือนเกิดอาเพศ
พรานหนุ่มบอก"ทุกคนเข้าไปหลบข้างในก่อนเร็ว"
ทุกคนวิ่งกรูขึ้นมาชั้นบนปราสาท พอตฤณฤทธิ์ขึ้นมาชั้นบนปราสาท ฟ้าก็ผ่าเปรี้ยงลงใกล้ๆที่ตฤณฤทธิ์กับนลินยืนอยู่ ทุกคนต่างกระจัดกระจายวิ่งหนีตายไปคนละทิศคนละทาง ลมพัดแรงขึ้น
พรานหนุ่มรีบคว้าแขนพลเพิ่มดึงเข้าไปในปราสาท
พลเพิ่มมองหานลิน แต่ลมพัดอย่างหนักจนมองไม่เห็นใครเลย
ตฤณฤทธิ์คว้าแขนนลินดึงเข้าไปหลบมุมหนึ่งของปราสาท
ตรงบริเวณซุ้มประตูด้านในปราสาทอนันตาปุระ มีเพียงแสงสลัวๆ เสียงลมพัด ฟ้าร้องฟ้าคำรณดังน่ากลัว ตฤณฤทธิ์ลืมตัวนั่งกอดนลินไว้ในอ้อมอก หลบในซุ้มปราสาทนั้น ท่ามกลางฟ้าร้องฟ้าผ่าดัง เปรี้ยงๆ ติดๆ กัน
ตฤณฤทธิ์มองนลินด้วยความเป็นห่วง นลินเผลอกอดตฤณฤทธิ์ด้วยความกลัว
"ไม่ต้องกลัวนะครับ"
นลินเริ่มได้สติ ค่อยๆ ปล่อยมือออกจากตฤณฤทธิ์ด้วยความเกรงใจ หลบตาวูบ
"ขอโทษนะคะ"
ตฤณฤทธิ์ยิ้มให้ "ไม่ต้องขอโทษหรอกคุณ คุณเป็นอะไรหรือเปล่าเมื่อกี้ฟ้าผ่าลงใกล้มาก"
นลินมองแขนขาตัวเอง "ไม่นี่คะ แล้วคุณล่ะ"
"ผม"
เสียงบทสวดแทรกขึ้นมาสลับกับเสียงดนตรีโบราณ
นลินเงี่ยหูฟังด้วยสีหน้าสงสัย "คุณ" ก่อนยกมือให้ตฤณหยุดพูดก่อน "คุณ ได้ยินเสียงอะไรไหม"
ตฤณฤทธิ์ทำหน้างง "เสียงลมพัดน่ะเหรอ"
"ไม่ใช่ คุณฟังดีๆสิ"
ตฤณฤทธิ์พยายามตั้งใจฟัง
นลินทำหน้าสงสัย "ฉันได้ยิน...เสียงเหมือนบทสวดอะไรสักอย่างสลับกับเสียงดนตรีโบราณ"
ตฤณฤทธิ์ส่ายหน้า "ผมไม่ได้ยิน"
จู่ๆ ฟ้าผ่าดังเปรี้ยง นลินตกใจโผเข้ากอดตฤณฤทธิ์อีก
ส่วนที่ซุ้มประตูด้านข้างปราสาท กวิตามองหน้าวิศวัตเซ็งๆ
"ตามฉันมาทำไม"
"คุณนี่หลงตัวเองจริงๆ ผมสิต้องถามว่าคุณตามผมมาทำไมไม่ทราบ"
"ตลกแล้ว ใครตามนายกันย่ะ"
สองคนทะเลาะ เถียงกันไม่หยุดจนปัณรีอารมณ์เสีย
"โอ๊ย...จะเถียงอะไรกันนักหนาน่ารำคาญ เงียบๆหน่อย"
ทั้งคู่ชะงัก เงียบเสียงลงทันที
"นี่มันเกิดอะไรกันเนี้ย อยู่ดีๆ ลมก็พัดอย่างกับจะมีพายุ แต่ก็ไม่เห็นมีฝนสักเม็ด"
กวิตาชะเง้อออกไปมองด้านนอก
"เห้ย ไม่มีลมแล้วนี่ ออกไปหาคนอื่นกัน"
ฟ้าเปิดแล้ว กวิตา ปัณรี วิศวัต ออกมายืนมองหาคนอื่นๆ ตรงลานหน้าซุ้มประตูทางเข้าปราสาท
ท้องฟ้าเหนือปราสาทแจ่มใส
ทั้งสามคนยืนรอคนอื่นๆ อยู่ตรงบริเวณหน้าปราสาทอนันตาปุระอย่างร้อนใจ สักพักจึงเห็น พลเพิ่ม พรานหนุ่ม ปาด ก่ำ เทือก เดินออกมาสมทบที่หน้าปราสาท
พลเพิ่มมองน้องสาวอย่างเป็นห่วง
"เป็นอะไรหรือเปล่าปัน"
"ปันไม่เป็นอะไรหรอกพี่" ปัณรีว่า พลางมองหาตฤณ "คุณตฤณล่ะ"
พลเพิ่มไม่สน มองหานลินจนทั่วแต่ไม่เจอ จึงหันมาทางถามกวิตา "แล้วคุณลินล่ะ"
"ฉันก็นึกว่าลินอยู่กับคุณชะอีก"
บุรัญย์ โจ๊ก มธุรส เดินออกมารวมกับทุกคนที่หน้าปราสาท
มธุรสมองหาตฤณฤทธิ์แต่ไม่เจอ ถามกับวิศวัตอย่างเป็นห่วง
"อาจารย์เธอล่ะวัต"
"ยังไม่เห็นเลยครับ"
กวิตาวิ่งเข้าหาบุรัณย์ "คุณเห็นลินไหมคะ"
บุรัณย์ส่ายหน้า
"อย่าเพิ่งกังวลไป คุณลินอาจจะอยู่ในปราสาทแถวนี้แหละ" พลเพิ่มว่า
"พวกเราแยกกันไปตามดีกว่า เดี๋ยวจะมืดเสียก่อน" พรานหนุ่มเสนอความเห็น
"ก็ดี งั้นเราแยกกันตามหากันเลย ผู้หญิงรออยู่ตรงนี้ไม่ต้องไป เดี๋ยวผู้ชายมากับผม"
พลเพิ่ม วิศวัต บุรัณย์ โจ๊ก พรานหนุ่ม และ 3 ลูกหาบ ปาด ก่ำ เทือก เดินกลับเข้าไปในปราสาท
นลินกอดตฤณฤทธิ์ไว้แน่น หน้าซุกอกเขาด้วยความกล้ว จนเริ่มตั้งสติได้ ก็ผลักตฤณฤทธิ์ออกไปอย่างตกใจ
ตฤณฤทธิ์ประชด "อย่างว่าล่ะผมมันก็แค่ครูจนๆ"
นลินมองไม่พอใจ "คุณหมายความว่ายังไง"
"เห็นคุณทำท่ารังเกียจผมจัง ไม่เหมือนกับท่านนักการเมืองนั้น"
"คุณไม่มีสิทธิ์มาตัดสินฉันนะคะ"
"ผมก็พูดตามที่ผมเห็นแหละคุณ"
นลินเสียงไม่พอใจ "เห็นอะไรคะ"
ตฤณฤทธิ์ถอนหายใจ "ไม่มีอะไรหรอก เอาเป็นว่าผมขอโทษแล้วกันที่ไปก้าวก่ายคุณ"
นลินมองตฤณฤทธิ์ไม่พอใจแล้วจะเดินออกไปข้างนอก
ตฤณฤทธิ์มองอย่างเป็นห่วง
"คุณจะออกไปไหน ลมยังพัดแรงอยู่เลย ฝนก็ทำท่าเหมือนจะตกด้วยยิ่งไม่ค่อยสบายอยู่เดี๋ยวก็ป่วยไปอีกหรอก"
"ขอบคุณนะคะที่เป็นห่วง แต่อยู่ในนี้แล้วมันอึดอัด" นลินมองประชด
"ถ้าเปลี่ยนผมเป็นคนอื่น บรรยากาศคงจะน่าอยู่กว่านี้ใช่ไหมล่ะ"
นลินประชดกลับ "ใช่ค่ะ ถ้าเปลี่ยนได้คงจะดีกว่านี้เยอะ"
นลินจะออกไป แต่แล้วเกิดฟ้าผ่าเปรี้ยง! จนนลินทรุดตัวลงนั่งกับพื้นเอามือปิดหูด้วยความตกใจกลัว
ตฤณฤทธิ์รีบวิ่งเข้ามาประคองนลินไว้ด้วยความเป็นห่วง
"คุณเป็นยังไงบ้าง"
อีกฝั่ง ทุกคนทยอยเดินออกมารวมตัวกันที่ลานหน้าปราสาทอนันตาปุระ มธุรสถามพลเพิ่ม
"ไม่เจอใครเลยเหรอคะ"
"ผมว่ามันแปลกนะ นี่ก็หากันจนทั่วแล้ว ไม่เห็นใครสักคน" พลเพิ่มบอกกับทุกคน
"ไม่แปลกหรอกท่าน ถ้าผีบังตาหายังไงก็หาไม่เจอหรอก" พรานหนุ่มบอกเสริม
ทุกคนตกใจ วิศวัตมองไปรอบๆ ด้วยสีหน้าหวั่นกลัว ถามเชิงหารือขึ้นว่า
"แล้วเราจะทำยังไงครับ ต้องกลับไปตั้งหลักก่อนไหม"
"ตั้งหลักอะไรล่ะ เราต้องรีบหาลินกับคุณตฤณให้เจอสิ ฉันไม่ปล่อยให้เพื่อนฉันอยู่ตรงนี้หรอก" กวิตาว่า
มธุรสเห็นด้วยกับกวิตา
"งั้นเราไปหากันอีกรอบก่อนดีกว่า เดี๋ยวรสจะไปเอง"
"ผมว่ารสรออยู่ตรงนี้แหละ เดี๋ยวผมไปเอง" บุรัณย์บอก
"จะไปก็รีบไปสิ มัวคุยกันอยู่ได้ เดี๋ยวก็มืดกันพอดี" ปัณรีว่า
"ไม่ต้องเถียงกัน จะไม่มีใครเข้าไปหาใครทั้งนั้น ทุกคนต้องรีบกลับไปที่พักก่อน" พรานหนุ่มว่า
"งั้นให้ผู้หญิงกลับไปก่อนแล้วเราตามหากันอีกรอบ" พลเพิ่มว่า
พรานหนุ่มตอบเสียงแข็ง
"ไม่ได้ครับ! ถ้าไม่รีบออกไปตอนนี้ก็จะไม่ได้ออกกันหมด"
ทุกคนตกใจมองหน้ากันไปมา แต่ละคนเริ่มกลัวและกังวล วิศวัตตัวสั่นควักพระที่คอออกมาไหว้ปลกๆ พลเพิ่มหน้าเครียดไม่น้อย
"เกิดอะไรขึ้นกันแน่พราน"
พรานหนุ่มมองหน้าพลเพิ่มอย่างไม่สบายใจ พลางถอนหายใจเฮือกใหญ่
"เราต้องส่งคนออกไปตามคนมาช่วยให้เร็วที่สุด!"
พลเพิ่มมองพรานหนุ่มด้วยสีหน้าตกใจ รับรู้ว่าสถานการณ์ไม่ดีแน่
อ่านต่อตอนที่ 9