สกู๊ปพิเศษ
เฉลยแล้ว "คนดี" ฆ่าประเสริฐ !?
จู่ๆ เสียงของไลน์จากใครคนหนึ่งก็ดังบนโทรศัพท์ของพีท("เจเจ" กฤษณภูมิ พิบูลสงคราม) เขาตะลึง คาดไม่ถึงกับภาพที่เห็น ... แม่ของเขา ...คริส (โสภิตนภา ชุมภาณี) อยู่ในบ้านของนิภา (อาภาศิริ จันทรัศมี) คริสถือปืนจ่อไปที่ประเสริฐ ที่บังปกป้องนิภาอยู่ !
"เลือดข้น คนจาง" (InFamilyWeTrust2018) ตอนที่ 6 เมื่อวันเสาร์ที่ 29 กันยายน ทิ้งปมเพื่อให้ลุ้นกันต่อว่า ใครฆ่าประเสริฐ ! "ผู้ชม" ต้องช่วยกัน "ค้นหา" จับให้ถูกว่า ใครฆ่า และฆ่าทำไม !
เค้าโครงจากเรื่องจริง น่าสนใจกว่าเยอะ
แม้ว่าจะมีนวนิยายไทย รวมถึงเรื่องแปลจากต่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับแนวฆาตกรรม สืบสวน สอบสวนมากมายหลายเรื่องแต่งานเหล่านี้ ส่วนใหญ่เกิดจากจินตนาการของนักประพันธ์ สร้างพล็อต ตั้งผัง ผูกโยงไว้ให้สมจริง และเป็นเรื่องน่าสนุก ชวนติดตาม
ถ้าเมื่อใดนวนิยาย หรือละครระบุว่า มี "เค้าโครงจากเรื่องจริง" เชื่อกันว่า จะกระตุกต่อมสาระแน ความอยากรู้ของผู้ชมได้มากกว่าแนวจินตนาการโดยทันที และถ้าเสริมคำว่า “ตระกูลดัง” ด้วยแล้ว ความน่าสนใจจะ “ปัง” มากขึ้นเป็นทวีคูณ
ณ วันนี้... คำกล่าวอ้างว่า “เค้าโครงเรื่องจริงจากตระกูลดัง” ถูกกล่าวถึงมากในโลกโชเชียลมีเดียในหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา
"นักเขียน" ศิลปินแห่งชาติเคยอยากเขียน
ข่าวหน้าหนังสือพิมพ์เมื่อต้นเดือนกันยายน 2542 ทุกฉบับเล่นข่าว “ตระกูลดัง” อย่างต่อเนื่อง (ความจริงเรื่องราวในตระกูลดังนี้ มีมาตั้งแต่ปี 2509 เป็นต้นมา : ดูตัวอย่างข่าวประกอบเกี่ยวข้องท้ายเรื่อง) ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนั้นเหมือนคำพูดของผู้ชมในวันนี้ว่า “ใครฆ่าประเสริฐ !?” ต่างพยายามไขว่คว้าหาคำตอบ …
“คนขายฝัน” นักเขียนนวนิยายผู้ปั้นจินตนาการให้เป็นเรื่องราว ต่างมีความสนใจกับข่าวนี้ โดยเฉพาะผู้มีพื้นความรู้เรื่อง “จีนวิทยา” ย่อมสนใจเป็นพิเศษ เพราะนวนิยายในแนว “คนจีน” ที่เขียนโดยนักเขียนไทยและประสบความสำเร็จอยู่ก่อนแล้วมีหลายเรื่องที่ถูกแปรรูปเป็นละครโทรทัศน์ ด้วยเรื่องที่มีเนื้อหา-มุมมองอันหลากหลาย เช่นเสน่ห์นางงิ้ว, โบตั๋น, ลอดลายมังกร, กนกลายโบตั๋น, ไข่มุกมังกรไฟ, หงส์เหนือมังกร, มาเฟียเลือดมังกร (เสือ สิงห์ กระทิง แรด หงส์) เป็นต้น
ครั้งนั้น ศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ท่านหนึ่ง ถึงขนาดซื้อหนังสือพิมพ์ทุกฉบับเก็บและอ่านข่าวอย่างวิเคราะห์ทุกตัวละครในตระกูลนี้จากตัวอักษรทุกบรรทัดบนหน้าหนังสือพิมพ์ทุกเล่ม วางพล็อต ตั้งโจทย์ และพยายามมองให้ทะลุม่านหมอกของแรงจูงใจและทุกซอกมุมของคฤหาสน์หลังนั้นว่า ใครฆ่า !
เมื่อคิดทบทวนหลายชั้น ดูแนวโน้ม ก็พบว่า “ถึงทางตัน” คดีตระกูลดัง ! ไม่มีข้อสรุป
ถ้าเขียนจากเรื่องจริงของตระกูลดัง เส้นทางของละครที่เรียกว่า Subplot หรือประเด็นย่อยอาจจินตนาการได้ แต่บทสรุปยังไงก็ต้องไปสัมพันธ์กับข้อสรุปทางกฎหมาย
ถ้าไม่มีข้อสรุป จะไปทึกทัก ใช้มโนสำนึก จินตนาการไปเองแบบนวนิยายทั่วไปไม่ได้ “เสี่ยง” เกินไป โอกาสจะโดนฟ้องร้องมีสูง ไม่คุ้ม ! ดังนั้น ... จึงต้องม้วนเสื่อเก็บข้อมูลมัดตราสังเข้าลิ้นชัก และไม่คิดทำอีกเลย
เปิดฉาก... คดีฆาตกรรม!
เลือดข้นคนจาง ปูความขัดแย้งในกองมรดก พูดถึงความสัมพันธ์ในครอบครัว ที่ไม่เท่าเทียมกันตามลำดับชั้นของคนในครอบครัว โดยยึดหลัก “ชายเป็นใหญ่” ในประเพณีและวัฒนธรรมของจีน โดยผ่านประธานของบ้าน คือ อากงสุกิจ (นพพล โกมารชุน)
ประเสริฐ จิระอนันต์ ถูกยิงที่ “ท้อง” เสียชีวิตในบ้านพัก ภัสสร (คัทลียา แมคอินทอช) น้องสาวคนที่ 3 คู่ขัดแย้งกับเฮียเป็นคนพบศพคนแรก !
ระหว่างที่เธอขึ้นไปที่ห้องพักของประเสริฐ จังหวะหนึ่ง เธอได้ยินเสียงปิดประตูจากชั้นล่าง เธอหันหลังกลับและเดินตามเสียงนั้น ด้วยคิดว่าเป็นพี่ชายของเธอ พบเพียงความว่างเปล่า! ใครก็ไม่รู้ ... และไม่มีเสียงตอบรับจากพี่ชาย เมื่อเธอตะโกนเรียกซ้ำ ... เธอจึงมุ่งหน้าไปที่ห้องนอนของพี่ชายตามเดิม จนพบ...”
... ย้อนหลังไป ก่อนหน้าที่อากงจะเสียชีวิต วันหนึ่ง เมธ (ศักดิ์สิทธิ์ แท่งทอง) ลูกชายคนที่ 2 ขึ้นไปเยี่ยมอากงที่นอนอยู่บนเตียง สุกิจกล่าวขอโทษลูกชายตรงหน้า และบอกว่า “อั๊วผิดเอง ที่เอาผู้หญิงคนนี้เข้าบ้าน”!?
และอื่นๆ ที่ถูกสร้างประเด็น ให้มีแรงจูงใจ เพื่อให้ผู้ชมได้ตามลุ้นว่า “ใครฆ่าประเสริฐ !?”
บทโทรทัศน์เรื่องนี้มีความแข็งแรงมาก ณ วันนี้ ยังคงเอกภาพเดียวกัน แม้จะทำงานร่วมกันหลายคน ผ่านการประชุมหลายรอบ มีไลน์กลุ่มที่จะตามงาน การทำงานแบบนี้ใช้กันทั่วโลกในปัจจุบัน แต่การมีนักเขียนบทหลายคน จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมี “ผู้ตรวจบท” หรือ “คนควบคุมบท” เพื่อร้อย ปรับแก้ให้ผลงานของทุกคนเป็นแนวเดียวกัน
คนเขียนบทในละครเรื่องนี้มีถึง 7 คน ได้แก่ฤทัยวรรณ วงศ์สิรสวัสดิ์, ชลลดา เตียวสุวรรณ, ทรงยศ สุขมากอนันต์, เกรียงไกร วชิรธรรมพร, ศุภกฤษ์ นิงสานนท์, ทศพร เหรียญทอง, วสุธร ปิยารมณ์
"คนดี" ฆ่าประเสริฐ !
Mystery Fiction หรือนวนิยายในแนวลึกลับ อาจจะมีหลายประเภท และเรื่องฆาตกรรม สืบสวน สอบสวน โดยมีนักสืบค้นหา “แรงจูงใจ” เพื่อนำไปสู่การคลายปมในตอนจบ
นวนิยายสืบสวนสอบสวน มักจะเชื่อมโยงเกี่ยวข้องกับปม “เงิน ความรัก และการแก้แค้น”
เรื่องนี้ก็เช่นกัน ละครเปิดประเด็นที่กองมรดกไปสู่ความขัดแย้งทางธุรกิจ ตามด้วยเรื่องชู้สาว และจะจบลงด้วยความแค้น !
สาเหตุใด ! ทำให้คนๆนี้มีความแค้นฝังหุ่นกับประเสริฐ !?
สูตรที่ใช้กันในนวนิยายประเภทนี้ จะเกิดขึ้นบน “เนื้อที่จำกัด” !
ห้องนอนในบ้านพักของประเสริฐ ในซอยจิระอนันต์
สร้างสิ่งแวดล้อมเพื่อให้ทุกคนดูเป็น “ผู้ต้องสงสัย” จากขอบเขตนี้ เริ่มจาก มรดกและความขัดแย้งทางธุรกิจ ที่มี "ประเสริฐกับภัสสร" เป็นคู่ปรับ
ภัสสร คู่ขัดแย้งพบศพคนแรก ตกใจ กรีดร้องเสียงดัง วิ่งหนีออกจากบ้าน อาม่าปราณี (ภัทราวดี มีชูธน) กับก๋วยเตี๋ยว (ธีรดนย์ ศุภพันธุ์ภิญโญ) วิ่งออกมาพบภัสสรที่หน้าบ้านและรับรู้เรื่องประเสริฐ
ตอนหนึ่ง ... “ลื้อทำหรือเปล่า ! อาม่าเลี้ยงลูก ไม่ได้ให้ฆ่ากัน” อาม่าปราณี ร่ำไห้ถามภัสสสร ผู้เป็นลูกสาว
ตามด้วยเรื่อง “ชู้สาว” ให้ คริส และนิภา เป็นคู่ปรับ
ประเสริฐมีเมีย 2 คน คือ นิภา ซึ่งป่วยเป็นโรคลูคิเมีย จดทะเบียนสมรสกับประเสริฐก่อนตายได้ 2 วัน ซึ่งในทางกฎหมายแล้ว เธอและลูกคือ ฉี (พาริส อินทรโกมาลย์สุต) จะเป็นผู้ได้รับมรดก / แต่คริสและพีท เมียและลูกเป็นที่รับรู้ในตระกูล เรื่องดำเนินว่า คริส ตามสืบพฤติกรรมของประเสริฐมาร่วม 20 ปี จนถึงรูปล่าสุดที่ถือปืนจ่อประเสริฐที่บ้านนิภา ....
สาดสี ตีไข่ ขยี้เบาๆ กับบทสนทนาเสียดสีของภัสรกับคริสในงานศพ !
นอกจากการสืบสวนสอบสวนโดยสารวัตร (ปิติศักดิ์ เยาวนานนท์) แล้ว ยังมีรุ่นหลานที่พยายามหาหลักฐานบางอย่าง ซึ่งเป็น “ร่องรอย - เงื่อนงำ” ของเรื่อง
บรรดาลูกๆของภัสสร - เอิร์น (ชลธร คงยิ่งยง) พบว่าแม่เอากางเกงที่ใส่ในวันเกิดเหตุไปยัดทิ้งในถังขยะ , เต้ย (จักริน กังวานเกียรติชัย) เอากล้องแอบถ่ายยัดใส่ตัวตุ๊กตาหมีให้เหม่เหม (ศวรรยา ไพศาลพยัคฆ์) หวังจะแอบถ่าย แถมยังมี Body Language แสดงท่าทาง “เขย่าขวด” ขณะที่ดูคลิปแอบถ่าย โดยนัยยะ ต้องการสื่อถึง “การสำเร็จความใคร่” ด้วยตัวเอง และบางที !? ก็อาจะเป็นไปได้ว่า กล้องตัวนี้! ต่อไป... อาจจะเป็นอีก “ปม” หนึ่งในวันข้างหน้าก็ได้, วันเกิดเหตุ เต้ยได้รับไลน์จากพัทยา รู้ว่า อากู๋ประเสริฐ ไล่พนักงานทุกคนรวมทั้งแม่ของเขาออกจากโรงแรมจิรานันดา เขาบริภาษอากู๋ด้วยอารมณ์โกรธแค้น !?
เรื่องแวดล้อมด้วยประเด็นย่อยๆเหล่านี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อให้เนื้อเรื่องสามารถเดินต่อไปได้ และนวนิยายประเภทนี้ ต้องมี “นักสืบ” เพื่อให้ “คนดู” ได้ให้ติดตามเรื่องต่อๆไป
นักสืบคนสำคัญในเรื่องนี้ ไม่ใช่ “นักสืบมาดกวน” (ธเนศ วรากุลนุเคราะห์) เห็นแก่ประโยชน์ซึ่งคริสจ้างมากว่า 20 ปี แต่เป็น “อี้” (ธนภพ ลีรัตนขจร) ... นักสืบจำเป็นจะมองและไตร่ตรองทุกเรื่องราวจากการสังเกตและตั้งคำถาม - ทำไม ! ในงานศพ เมธ ถึงได้ทำหน้าราวโกรธแค้น เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันเมื่อเห็นหน้าคริส (หรือจะเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กับเรื่องที่อากงเคยกล่าวไว้ ... หรือเปล่า !?) , อี้ติดตามคริสที่ไปรับงานและจ่ายเงินครั้งสุดท้ายกับนักสืบ !
ไม่ได้ชี้นำ แต่ไม่ฟันธง !
Mystery Fiction ผู้ก่ออาชญากรรมมักจะเป็นคนใกล้ตัวของเหยื่อ! เช่น สามารถเข้านอกออกในในบ้านพักได้ หรือบางเรื่องอาจจะคุ้นเคยกับหมาชนิดไม่เห่า ไม่กัด ! แถมยังกระดิกหางเชื้อเชิญเข้ามาฆ่าอีกต่างหาก
ตัวละครไหนที่ถูกกล่าวถึงพาดพิงเยอะ หรือดูร้ายที่สุดฟันธงว่า ไม่ใช่คนร้ายตัวจริง !
แต่ “คนร้าย” ในนวนิยายหรือละครประเภทนี้ จะมีบุคลิกที่ไม่มีใครสงสัยเลย กล่าวถึงน้อย เป็นคนดีศรีสังคม ชอบช่วยเหลือคนอื่น หรือ สุภาพบุรุษที่สุดในโลกนั่นแหละคือ คนฆ่าตัวจริง !เป็นผู้ชาย ผู้หญิง เกย์เลสเบี้ยนได้หมด เพราะโลกใบนี้ คนดีไม่มีอยู่จริง ! ทุกคนล้วนมีข้อดี ข้อเสีย มุมมืด มุมสว่างทั้งสิ้น เพียงแต่จะเผยภาพด้านใดด้านหนึ่งด้วยเหตุผลใดเท่านั้นเอง
แล้วใครกันล่ะ! เป็นคนประเภท "มือถือสาก ปากถือศีล" ที่ฆ่าประเสริฐ.... ติ๊กต๊อก ๆๆ
คิดว่า สุดท้ายละครเรื่อง “เลือดข้นคนจาง” น่าจะมีข้อสรุป เพื่อ “ปิด”กับบทเฉลยว่า "ใครฆ่าประเสริฐ" คงจะไม่ใช่จบแบบทิ้งปม “ปิดแบบเปิด” !?
แต่อย่ามองค่าย “ดานาว บางกอก” แบบตายตัว เพราะค่ายนี้ มักจะมีความไม่ธรรมดาให้ถูกกล่าวถึง ตั้งแต่ “Hormones วัยว้าวุ่น” มาแล้ว ...
เนื่องจาก “ปม” ที่วางไว้ในเรื่องมีหลายทาง เพื่อสร้างความสับสนให้ผู้ชมด้วยการสร้างตัวละคร “หุ่น”อาจจะมีการหักมุม เปลี่ยนตัวคนร้าย ... ก็เป็นไปได้ทั้งนั้น หรืออาจจะจบแบบนี้กด 1 จบแบบนั้น กด 2ก็ได้
เข้าใจว่า ผู้ผลิตคงจะมีข้อตกลงเป็นวาจา หรือลายลักษณ์อักษรกับนักแสดง เรื่อง “ห้ามเปิดเผย” (ตอนจบ หรือตัวฆาตกร) ก็เป็นไปได้อีก เพราะถ้าปมนี้เปิดเมื่อไหร่ เป็นอันว่าปิดม่าน “จบ” แยกย้ายกลับบ้านนอนได้ทันที ดังนั้น จึงต้องอมพะนำไว้ จนถึงตอนสุดท้าย
หรือถ่ายจบ มีข้อสรุปไปแล้ว แล้วเรียกมา ถ่ายซ่อม ! เปลี่ยนจุดจบ ก็เป็นไปได้อีก
หรือบทสรุปว่า “คนนี้” เป็นคนฆ่า แต่มี “เงาดำ” หรือ “สายตา” ของใครก็ไม่รู้ !? ผ่านมาทางด้านหลัง ด้านข้าง เพื่อสื่อว่า ฆาตกรเป็นแค่ “ผู้ถูกจ้างวาน” ! .... ก็เป็นไปได้อีก เพราะบางที ... เรื่องบางเรื่องก็อาจจะมีคำตอบมากกว่าหนึ่งคำตอบ , หนึ่งคน ก็เป็นไปได้หมดหรือไม่มีคำตอบก็เป็นไปได้อีก !
พื้นฐานของละครต้องมีจุดจบ อยู่ที่ว่า จะเลือกจบแบบไหน ... ก. ข. ค. ง. หรือ ถูกทุกข้อ !!
ถ้าเป็นละครทั่วไป มีถลกหนังหัวแน่ !
คนดูละครวันนี้ จะเห็นว่า "ผู้ชม" ต้องการความแปลกใหม่ ซีรีส์ต่างประเทศที่ชมๆกัน นอกจากความสนุกแล้ว ยังเป็นข้อเปรียบเทียบกับละครไทยที่ผ่านมา พล็อตเดิมๆ พระ - นาง ฟันผ่าอุปสรรคจนได้ครองคู่กัน , ละครหลายเรื่อง ผลิตซ้ำแล้ว ซ้ำอีก
สังคมไทย เชื่อว่า สถาบันครอบครัวต้องรักกัน พี่น้อง (ควรจะ) เป็นน้ำหนึ่งใจเดียว มีความสมัครสมาน สามัคคี, พ่อ แม่ ลูก รักกัน , ผัวเมียค่อยพูดค่อยจากัน
พี่น้องท้องเดียวกันฆ่ากันตายเป็นไปได้อย่างไร ? เหลือเชื่อ !
แต่ความจริง .... เราอาจจะได้ยินการแผดเสียง ตบตีของผัว-เมียบ้านหลังที่ 3 ถัดจากบ้านเราไป หรือเห็นภาพชกต่อยได้ยินเสียงโต้เถียงของพี่น้องบ้านตรงข้ามแต่อีก 2 วัน คู่ทะเลาะกลับยิ้มแย้มให้กันราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น หรือกระทั่งไปงานศพของญาติคนหนึ่ง ที่ขึ้นกระดานไว้ว่า ตั้งศพบำเพ็ญกุศล 7 วัน แต่จู่ๆ คืนแรก เราก็ได้ยินเสียงโวยวายในหมู่วงศาคณาญาติของผู้ตาย คืนวันรุ่งขึ้น เมื่อไปวัด พบศาลาว่างเปล่า ! เนื่องจากญาติฝ่ายหนึ่งนำศพไปฝังที่ฮวงซุ้ยแล้ว แบบนี้ก็มี !
ความจริง ! ทุกบ้าน ทุกคน มีปัญหาหมด มาก - น้อย, รับได้ รับไม่ได้ต่างกันไป
มุมมองความขัดแย้งในครอบครัว ซึ่งเป็นอีกมิติหนึ่ง เมื่อถูกนำมาตีแผ่ในละครเรื่องนี้ จึงแปลกและแตกต่างจากละครทั่วๆไป
“เลือดข้นคนจาง” เห็นต่าง - ขัดแย้ง จนเป็นเหตุให้เกิดการฆาตกรรม ในครอบครัว , บุเพสันนิวาส ต่างในเรื่องการนำเสนอประวัติศาสตร์ในยุคสมเด็จพระนารายณ์ ซึ่งไม่ค่อยมีคนทำ จะสังเกตได้ว่าเรื่องข้ามภพ ข้ามชาติในบุพเพสันนิวาส สนุกยิ่งกว่าละครอิงประวัติศาสตร์ (เสียกรุง , คนไทยรบพม่า) ที่เคยสร้างมาแล้วทั้งหมด เรื่องนี้ต้องยกเครดิตให้กับ อาจารย์ ศัลยา สุขะนิวัตติ์ ผู้เขียนบทโทรทัศน์ ที่ขยายความจากเรื่องต้นฉบับของ “รอมแพง” จนประสบความสำเร็จ
ผู้ชมทุกวันนี้ ต้องการหลีกจากชุดความคิดแบบเดิมๆที่แสนจะซ้ำซากไปสู่ความแปลกใหม่ ! จนถูกกล่าวถึง
จะเห็นว่า เลือดข้นคนจาง มีเอกลักษณ์เฉพาะของตัวเอง ด้วยจังหวะก้าวในการดำเนินเรื่องแต่ละตอนค่อยๆขยับ ค่อยเป็น ค่อยไปอย่างเนิบช้า ทุกตัวละครเหมือนจะไตร่ตรองก่อนอ้าปากสักครั้ง ซึ่งความจริงแล้ว "ผิดวิสัยคนโดยปกติ"
ลองนึกภาพ ถ้าละครเรื่องนี้ ต้องเป็นละครทั่วไป จะเป็นอย่างไร !?
ภาพเดิมๆ ของละครฟรีทีวีแบบปกติ ไม่ว่าจะเป็นช่องน้อยสี , มากสี
1.ไตเติ้ลต้องมี “บทเพลง” จากนักร้อง แต่เรื่องนี้ ไม่มี ! ทั้งเรื่อง มีแต่เพลงบรรเลง ช้าบ้าง เร็วบ้าง ตามจังหวะและลีลาของเรื่อง
มีเพียงครั้งหนึ่งที่นิภาถ่ายคลิป ประเสริฐร้องเพลง ฉีลูกชายเกากีต้าร์ให้
“ก่อนเคยพะนอ ก่อความรักติด ตรึงใจ ไม่เสื่อมคลาย ... ” (เพลงนี้ คำร้อง : เรวัติ พุทธินันท์, ทำนอง : ศรายุทธสุปัญโญ วงดนตรี Oriental Funk , ต้นฉบับ : วินัย พันธุรักษ์ ประกอบภาพยนตร์เรื่อง “แก้ว” ในปี 2523 นำแสดงโดย ทูน หิรัญทรัพย์, ลินดา ค้าธัญเจริญ, ศรีไศล สุชาติวุฒิ กำกับการแสดงโดย เปี๊ยก โปสเตอร์)
2. ละครเรื่องนี้ มีแนวโน้มว่า “ไม่มีพระ - นาง” เพราะทุกคนคือ ผู้ต้องสงสัยในคดีฆาตกรรมหมด หรือ หักมุม อาจจะมีแต่ “พระกับพระ” เพราะคนเริ่มสงสัยกับการจ้องตาของ พีท กับ อี้ !หรือเป็นแค่ Subplot เล่นสนุกดูเป็นดรามาเท่านั้น เพราะเรื่องนี้ไม่มีบทหรือตัวตลกมาคั่นเบรกความซีเรียส จึงต้องเอาเรื่องพวกนี้เข้ามาให้เป็นที่กล่าวถึงจะได้มีกระแส
3. ภัสสรที่เหมือนจะเห็นตีนงู นมไก่ของคริส ไม่ปล่อยไว้แน่ เพราะโดยพื้นฐานของผู้บริหารหญิงจากโรงแรมจิรานันตา พัทยาหัวร้อนไม่ใช่เล่น ! งานศพของประเสริฐคงไม่นั่งหน้านิ่ง ขยับปากด้วยน้ำเสียงเบาพูดเสียดสีบนเก้าอี้แน่นอน เป็นละครทั่วไปน่ะเหรอ ! หล่อนต้องลุกขึ้นมาชี้หน้า ทิ้งน้ำหนักเสียงจนดังลั่นศาลา เผลอๆหางเสียงจะไปรอนางอยู่ที่หน้าวัดด้วยซ้ำ บทสนทนาของคู่ปรับนี้ต้องตอบโต้ทันควัน ถึงพริกถึงขิง เพราะต่างคิดว่า "เธอ (มึง) นั่นแหละ เป็นคนฆ่าเฮียประเสริฐ !" หลังโต้เถียงก่อนถลกหนังหัวคนที่จะเข้ามาบิณฑบาตยกมือทำท่าปางห้ามญาติแย่งศพ ก็คงจะเป็นพระเอก หรือนางเอก หรือไม่ก็เป็นอาม่า! - “พวกลื้อเห็นแก่หน้าอั๊วบ้างได้มั้ย ... เชอะ!?”
4. ช่องมากสี ต้องมีฉากโชว์ ใดๆจะโชว์ยิ่งกว่างานกงเต๊กของอากงสุกิจเป็นไม่มี มันต้องมีบทสนทนาแบบอีโล้ง โช้งเช้ง และถูกขยายให้เป็นฉากโชว์ .... ไม่ใช่ใส่ชุดปอ จัดหมวก จัดลำดับวงศาคณาญาติเท่านั้นต้องเป็นงานกงเต๊กระดับมิวสิคัลเท่านั้น นักแสดงทุกคนต้องเล่นใหญ่เหมือนรัชดาลัยเธียเตอร์ให้สนุกกันไปเลย การแสดงชุดใหญ่ไฟกระพริบพรั่งพร้อมการแสดงดนตรีสดด้วยเครื่องเป่า เครื่องเคาะ เครื่องสาย ข้ามสะพานโอฆสงสาร โยนเหรียญใส่กะละมังใต้สะพานซื้อทาง ส่งวิญญาณอากง , ส่วนชุดกระดาษกงเต๊กไม่ใช่แค่เผากิมจั้ว (กระดาษทอง) และแบงก์กงเต๊ก ที่มีตราเง็กเซียนฮ่องเต้เป็นสัญลักษณ์เท่านั้นมันต้องโชว์ชุดบ้านพร้อมที่ดิน ความยาวสัก 3 เมตร ภายในคฤหาสน์หรู ต้องสมบูรณ์ตามหลักฮวงจุ้ย มีภูเขา ต้นไม้ สระบัว เก๋งจีน โรงครัว รถยนต์ คนรับใช้ชาย - หญิง , มีอุยเซีย ซึ่งหมายถึง หีบใส่ข้าวของสารพัด เช่น เสื้อผ้า, รองเท้า, ชุดน้ำชา, ทองแท่ง, แบงก์, เหรียญ, ฮวงแซจี้ (ใบเบิกทาง) และต้องเพิ่มอะไรต่างๆ ที่อำนวยความสะดวกในปรภพเช่นชุดโฮมเธียเตอร์, โทรศัพท์มือถือ ฯลฯ เสร็จฉากนี้ก็เผา ให้เห็นเปลวไฟพวยพุ่ง... อยากจะให้ดูเฮี้ยนๆก็ให้วิญญาณอากงในปรโลกยิ้มดีใจที่เห็นความกตัญญูของลูกหลานและคนในครอบครัว (ฮา)
5. ละครทั่วไป ต้องมีนักแสดงรับเชิญ อาจจะหยิบคาแร็กเตอร์หรือเชิญท่านมาเป็นนักแสดงกิตติมศักดิ์ ... คุณหญิงหมอพรทิพย์มาสืบจากศพ!ทางนิติวิทยาศาสตร์เพื่อเป็นสีสัน เรื่องนี้ตัดประเด็นการสืบแบบนี้ออกไป
ละครเรื่องนี้จงใจคุมโทน และสร้างฉากให้ดูเป็นคนรวยสมถะที่ใช้ชีวิตแบบปกติ ซึ่งเราพบเห็นได้ตามท้องถนนและซอกซอยทั่วไป อยู่บ้านเดี่ยว ไม่ได้อยู่คฤหาสน์ โทนสีโดยรวม ไม่ฉูดฉาด สะดุดสายตาเพื่อให้ “อารมณ์ของเรื่อง”อยู่ในแนว “แสงไฟใยไม่ส่องฉัน” ทุกอย่างล้วน “เทา - ทึม” ไปหมด
6. ถ้าเป็นละครทั่วไป การเดินจะรวดเร็ว ตัดต่อฉับไว และเสียงดังกว่านี้แน่นอน ! อย่างน้อยๆ ทุก 3 นาทีต้องกระตุกขา หรือลากไส้ผู้ชมให้กลับมาสนใจการชมละครอีกครั้ง เพื่อไม่ให้ผู้ชมเปลี่ยนไปดูช่องอื่น แต่กลับเป็นว่า ...
"แปลกมั้ย" ภายใต้เรื่องที่เดินอย่างเนิบช้าแบบ สนทนาแบบคิดก่อนพูด ราวกับนางเอกพิกุลทอง ... ทุกคนเฝ้ารอลุ้น “เลือดข้นคนจาง” ที่จะคลี่ปมปริศนาในไม่ช้านี้ !
อ่านข่าวประกอบ “คุณนาย ตายตาไม่หลับ ทรัพย์สมบัติ "สุวพีร์ ธรรมวัฒนะ" ก่อเหตุศึกสายเลือด” >> https://mgronline.com/drama/detail/9610000098780