สาปกระสือ ตอนที่5 นลินตั้งกล้องอัดวิดีโอในห้องนอนพิสูจน์กระสือ
บทประพันธ์และบทโทรทัศน์โดย อาณาจินต์
นลินจ้ำเดินหนีมาตามทางโดยมีอชินีวิ่งตามมาติดๆ จนอชินีตามมาทันคว้าเสื้อนลินไว้ได้และพยายามจะดึงคอเสื้อนออกดู แต่นลินไม่ยอมพยายามยื้อไว้
“ก็บอกว่ามีอะไรเข้าไป มานี่ฉันดูให้”
“ไม่ต้อง ปล่อยนะ ฉันจัดการเองได้ ปล่อย”
นลินและอชินียื้อคอเสื้อกันไปมา ตฤณฤทธิ์เดินเข้ามาเห็นก็ตกใจ
“ทำอะไรกันน่ะ”
นลินและอชินีหันไปมองตฤณฤทธิ์ นลินตกใจ
อชินีเห็นนลินกำลังตกใจ จึงรีบกระตุกคอเสื้อนลินอย่างแรง กระดุมคอเสื้อกระเด็นขาดหลายเม็ดจนโป๊ นลินร้องด้วยความตกใจ
“ว้าย”
สีหน้าตกใจของอชินี สีหน้าตกใจของตฤณฤทธิ์
อชินีตกใจเพราะว่าที่คอของนลินไม่มีรอยใดๆ พึมพำอย่างคาดไม่ถึงปนผิดหวัง
“ไม่มี...”
ตฤณฤทธิ์รีบถอดเสื้อแจ็กเก็ตออกมาคลุมให้นลิน พลางถามด้วยความเป็นห่วง
“เป็นอะไรหรือเปล่า”
นลินส่ายหน้า
ตฤณฤทธิ์หันมาทางอชินี “คุณทำร้ายเขาทำไม”
อชินีรีบแก้ตัวพัลวัน
“ฉันเปล่านะ เมื่อกี้ฉันเห็นแมลงมันบินเข้าไปในเสื้อของลิน เลยอยากจะช่วยเอาออก”
ตฤณฤทธิ์ไม่เชื่อ “แต่ที่ผมเห็นไม่ใช่แค่นั้น”
นลินจับที่คอ กระชับเสื้อให้คลุมตัวและคอของเธอมากขึ้น บอกตฤณฤทธิ์ว่า
“ไม่เป็นไรค่ะคุณตฤณ”
“เห็นไหมล่ะ ลินยังรู้เลยว่าฉันทำเพราะหวังดี คุณเพิ่งเข้ามาเห็นไม่รู้เรื่องอะไร ยังจะมาต่อว่าฉันอีก”
อชินีทำเป็นโวยวายแล้วรีบเดินออกไปโดยไว เหมือนต้องการหนีความผิด
ตฤณฤทธิ์มองตามอชินีอย่างสงสัย ก่อนจะหันมามองนลินด้วยความเป็นห่วง
“คุณไม่เป็นไรแน่นะ”
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันไม่เป็นไรจริงๆ”
นลินเดินกลับไปที่โต๊ะทำงาน ไม่กล้าสู้หน้าตฤณฤทธิ์ โดยมีสายตายตฤณฤทธิ์มองตาม
นลินเดินมาที่โต๊ะทำงาน ขณะที่ตฤณฤทธิ์เดินตามมา อชินีแกล้งทำเป็นยุ่ง ง่วนอยู่กับงานที่โต๊ะ แต่คอยแอบมองมาที่คนทั้งคู่เป็นระยะ
นลินเดินมาถึงโต๊ะ ถอดเสื้อแจ็กเก็ตของตฤณฤทธิ์ออกแล้วหยิบเสื้อคลุมที่พาดอยู่บนพนักพิงเก้าอี้ ขึ้นมาสวมแทนเสื้อของเขา
ตฤณฤทธิ์เดินมาสมทบที่โต๊ะ นลินยื่นแจ็กเก็ตส่งคืนให้ ตฤณฤทธิ์รับเสื้อมาถือไว้
“ขอบคุณนะคะ”
กวิตาเดินเข้ามาเห็นพอดี
“เอ๊ะ...เสื้อไปโดนอะไรมาเหรอลิน ใครทำอะไรแก”
“ไม่มีอะไรหรอกต้า แค่กระดุมคอเสื้อขาด”
กวิตาเข้าไปดูเพื่อนด้วยความเป็นห่วง พอจะเดาเรื่องได้ จึงพูดออกมาเสียงดังเพื่อให้คนอื่นๆ ได้ยินด้วย
“สงสัยพวกขาเมาท์ปากยื่นปากยาว ชอบให้ร้ายชาวบ้าน อยากพิสูจน์ว่าลินเป็นปีศาจ ผีดิบ กระสือกระหังล่ะสิ” กวิตาเสียงดังมากขึ้น หันไปหาเพื่อนร่วมงาน “ดูสิมีที่ไหนแผลที่คอ”
บรรดาเพื่อนร่วมงานพากันเหลือบมองคอนลิน ก่อนจะรีบก้มหลบหน้าทำงานของตัวเองตามเดิม
“ต้า...ช่างเถอะ ฉันไม่เป็นไร”
ตฤณฤทธิ์หงุดหงิดขัดใจ “ถ้าใครทำร้าย คุณก็ควรจะสู้บ้างนะครับ อย่าปล่อยให้โดนรังแกอยู่ฝ่ายเดียว”
“จริงค่ะ คนเรานี่ก็ประหลาด ทำอะไรผิดก็ไม่รู้สึก ไม่มีสามัญสำนึก” กวิตาเห็นด้วยเต็มที่เจาะจงพูดใส่อชินีโดยเฉพาะ “แถมยังชอบสนใจอะไรแปลกๆ ไร้สาระ อย่างแมวไส้หาย”
พิมพ์พลอยกำลังเปิดอ่านข่าวแมวไส้หายในคอมพ์ พอได้ยินก็หน้าเสียรีบปิดคอมพ์ทันที
ตฤณฤทธิ์เอ่ยขึ้นว่า “ทีสมบัติของชาติไม่เห็นมีใครสนใจ”
นลินที่นิ่งฟังอยู่ถึงกับสะดุ้ง ประสาวัวสันหลังหวะเรื่องมรกต
กวิตามองตฤณฤทธิ์อย่างทึ่งๆ ก่อนจะกระซิบกับนลิน
“โห... ด็อกเตอร์นี่ ก็แรงใช่เล่นเหมือนกันนะแก”
นลินรีบเปลี่ยนเรื่อง “เอ่อ...คุณตฤณ...มาพบรองปราโมทย์เหรอคะ”
“ผมจะมาติดต่อให้ทางกรมช่วยส่งคนไปช่วยประชาสัมพันธ์และทำความเข้าใจกับชาวบ้านเรื่องการสำรวจปราสาทน่ะครับ”
นลินคิดตาม เข้าใจเรื่องทันที “คงเพราะที่คุณถูกทำร้าย”
“ผมว่าชาวบ้านน่าจะเข้าใจผิด เรื่องวัตถุประสงค์ในการสำรวจ ถ้าเป็นไปได้ผมก็อยากได้คนในพื้นที่มาช่วย”
กวิตาเชียร์นลิน “ก็แกไงลิน คนในพื้นที่”
ตฤณฤทธิ์มองนลินเหมือนรอลุ้นเอาคำตอบ
“ได้ค่ะ ถ้ามีอะไรที่ฉันช่วยได้ ฉันก็ยินดี”
นลินรีบรับปากด้วยดีเพราะต้องการเบนความสนใจตฤณฤทธิ์จากเรื่องมรกต
สิงห์พนันอย่างพนิช เมื่อไม่ได้เข้าบ่อนก็เล่นเกมพนันออนไลน์อยู่ที่ห้องโถงรับแขกบ้านอชินี ตั้งอกตั้งใจเล่นแต่สุดท้ายดวงซวยเล่นแพ้ พนิชเจ็บใจตัวเอง
“โว้ย! เสียอีกแล้ว...”
อชินีกลับจากออฟฟิศ เดินเข้ามาเห็นพนิชอยู่บ้านก็แปลกใจ
“วันนี้ไม่ได้ออกไปไหนเหรอคะพีท”
พนิชเซ็งสุดขีด “ไม่อะ สมัครงานไปหลายที่แล้ว อยู่ที่บ้านรอเขาติดต่อมาดีกว่า”
อชินีเดินมาทิ้งตัวลงนั่งที่โซฟาข้างพนิชอย่างหงุดหงิด พนิชขยับเข้ามาโอบกอดอชินีไว้ พูดเอาใจ
“คุณเป็นอะไร อารมณ์ไม่ดีเหรอ”
“ก็เพราะนังนลิน แฟนเก่าของคุณน่ะซิ”
“ทำไม? ลินทำอะไรคุณ?”
“ฉันแน่ใจนะว่าเคยเห็นรอยแผลที่คอมัน วันนี้เลยกะจะแฉให้ทุกคนรู้ว่ามันเป็นผีกระสือ แต่ไม่รู้ทำไมรอยมันหายไปได้ จะเมกอัพกลบก็ไม่น่าใช่”
อชินีพูดอย่างเจ็บใจ
“คุณก็คิดไปไกล ผีที่ไหนจะมาเดินกลางวันแสกๆ”
“พูดแบบนี้” อชินีมองระแวง “อย่าบอกนะว่ายังแอบไปกิ๊กกับมันอยู่”
พนิชปฏิเสธเสียงสูง “เปล๊า...”
“ต่อให้อยากกลับไปหามันก็คงไม่ทันแล้วหละ นังนั่นมันมีแฟนใหม่แล้ว เป็นถึงด็อกเตอร์เชียว วันนี้เห็นกางปีกปกป้องกันออกนอกหน้า”
“ผู้หญิงหัวโบราณอย่างนั้นไม่มีใครจริงจังด้วยหรอก ทำเป็นหวงตัว ไอ้นั่นคงแค่หวังสมบัติละมั้ง” พนิชออกอาการหวงก้างขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
“ให้มันจริงอย่างที่พูดเถอะ”
พนิชกระชับกอดอชินีให้แน่นขึ้นอย่างเอาใจ
“ผู้หญิงที่เวลาโกรธแล้วดุร้ายเหมือนปีศาจผมไม่เอาด้วยหรอก น่ากลัวจะตาย ไม่เหมือนคุณนะอุ้ม”
อชินียิ้มหน้าบาน พนิชลอบยิ้มเจ้าเล่ห์กลอกตาไปมา
วันต่อมา รูปน้องแมวการ์ฟิลด์ใส่ชุดฟรุ้งฟริ้งติดในกรอบสวยเป็นสง่าราศี ตั้งอยู่หน้าโลงศพขนาดเล็ก ที่วางอยู่ริมทางหน้าบ้านเจ๊ปริก เห็นทาสแมวกำลังร้องไห้ฟูมฟาย โดยมีเจ๊ตุ่มคอยปลอบอยู่ใกล้ๆ มีชาวบ้านที่มักคุ้นกันนั่งพนมมือไหว้ร่วมพิธีอยู่ โดยมีหมอผีสวดคาถาไล่ผี พร้อมกับทำน้ำมนต์ไปด้วย
“มะโทรัง อะตะระโร เวสะวะโน นะหากปิ ปิสาคะตาวาโหมิ มหายักขะ เทพะอนุตะรัง เทพะดา เทพะเอรักขัง ยังยังอิติ เวสะวะนัน ภูตัง มหาลักชามะนง มะภูอารักขะ นะพุททิมะมัตตะนัง กาลปะติทิศา สัพเพยักขา ปะลายัตตะนิ”
เจ๊ตุ่มปลอบเจ๊ปริก “อย่าร้องไห้ไปเลยค่ะ การ์ฟิลด์เขาไปสบายแล้ว”
“ฉันยังทำใจไม่ได้จริงๆ โธ่...การ์ฟิลด์ลูกแม่...ทำไมถึงด่วนจากแม่ไปเร็วขนาดนี้” เจ๊ปริกร้องไห้โฮอย่างน่าเวทนา
พนิชเดินมาที่หน้าบ้านนลินเห็นเหตุการณ์เข้าก็นึกสงสัยจึงเดินไปดู เจ๊ตุ่มเห็นพนิชก็จำได้ กวักมือเรียกให้เข้ามาหา
“อ้าว! คุณพีท ไม่เจอกันนานเลยนะ”
พนิชเดินเข้าไปนั่งรวมกลุ่มด้วย
“เกิดอะไรขึ้นครับ”
“ผีค่ะคุณพนิช ผีกระสือ มันกินการ์ฟิลด์ลูกสาวของฉัน” เจ๊ปริกว่า
พนิชมองไปที่รูปหน้าศพ
“อ๋อใช่ ที่ผมเห็นในข่าวว่ามีผีกระสือ จริงเหรอครับ”
“จริงสิ รปภ.ก็เคยเจอจังๆ มาแล้ว เขาเห็นมันลอยป้วนเปี้ยนอยู่บนหลังคาบ้านน้องลินด้วยนะคะ พีทต้องเตือนลินให้ระวังตัวหน่อย”
พนิชนึกตามอย่างตกใจ “หรือว่ามันจะเกี่ยวกับที่แฟนผมมีอาการแปลกๆ”
ขาเม้าท์ชาวบ้านที่นั่งอยู่หูผึ่ง หันมาให้ความสนใจ
เจ๊ปริกซักไซ้ “แปลกยังไงคะ”
“ก็ล่าสุดนี่เราเพิ่งทะเลาะกัน เขาโกรธรุนแรงมาก ถึงขนาดกระโดดกัดคอผมเลย”
ชาวบ้านต่างตื่นตกใจ หมอผียื่นขันน้ำมนต์ให้พนิช
“งั้นคุณต้องเอาน้ำมนต์นี่เข้าไปพรมให้ทั่วบ้าน”
พนิชนิ่งมองหมอผีและมองขันน้ำมนต์อย่างชั่งใจ
ไม่นานต่อมา เห็นหมอผีเดินพรมน้ำมนต์ไปตามถนนหนทาง จนกระทั่งมาถึงหน้าบ้านนลิน โดยมีเจ๊ปริกเจ๊ตุ่มและกลุ่มชาวบ้านเดินตามมาเป็นขบวน
ระหว่างนี้ รถของนลินแล่นเข้ามาจอดตรงริมถนนหน้าบ้าน นลินและกวิตาลงมาจากรถ
หมอผีมองไปยังนลินและกวิตาด้วยสายตาสงสัย ขณะที่กลุ่มชาวบ้านหันมามองที่สองสาวด้วยสีหน้าระแวงและหวาดกลัว
“เกิดอะไรขึ้นน่ะต้า” นลินมองแปลกใจ
“ไม่รู้สิ แต่ฉันว่าพวกเขามองเราแปลกๆ นะ”
สองสาวเดินตรงเข้าไปที่หน้าประตูบ้าน ชาวบ้านคนอื่นๆ เปิดทางให้นลินและกวิตาเดินผ่านไปที่ประตูรั้วโดยดี จนมาถึงจุดที่เจ๊ปริก เจ๊ตุ่มและหมอผียืนอยู่
หมอผีหลับตาพริ้มท่าทีเข้มขลังเหมือนสัมผัสถึงบางอย่าง
“ฉันสัมผัสได้ถึงพลังบางอย่าง”
ได้ยินเพียงเท่านั้นเจ๊ปริกก็บันดาลโทสะหันไปคว้าขันน้ำมนต์มาจากหมอผี มาสาดใส่หน้านลินและกวิตา
“นังผีร้าย! แกฆ่าลูกฉัน”
นลินและกวิตาตกใจร้องกรี๊ด “อ๊าย”
กลุ่มชาวบ้านตกใจผวากลัว ด้วยนึกว่าผีที่ตัวกวิตาและนลินโดนน้ำมนต์แล้วร้องเพราะความเจ็บปวด
เจ๊ตุ่มตกใจดึงแขนเจ๊ปริกปรามไว้
“เจ๊ปริก”
“นั่นไง มันโดนน้ำมนต์พ่อหมอเข้าไป ถึงกับทนไม่ได้แล้ว”
กวิตาโมโหแผดเสียงใส่ “ทำบ้าอะไรของเจ๊น่ะ”
นลินและกวิตารีบหยิบโทรศัพท์มือถือในกระเป๋าออกมาดู พบว่าเปียกน้ำกันทั้งคู่
“มือถือเปียกหมดเลย” นลินว่า
“ของฉันก็เปียก” กวิตาหันไปเอาเรื่องเจ๊ปริก “ถ้าเสียเจ๊ต้องรับผิดชอบเลยนะ”
เท่านั้นแหละกลุ่มชาวบ้านวงแตก กลับบ้านใครบ้านมันทันที เจ๊ปริกและเจ๊ตุ่มรีบเข้ามาดูด้วยความตกใจ
“ว้าย! ตายแล้วคุณน้อง คุณพี่ขอโทษค่ะ”
สองเจ๊รีบหยิบผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดมือถือของนลินและกวิตาเป็นการใหญ่
“เสร็จพิธีแล้ว ขอกลับไปทำกับข้าวก่อนนะคะ”
เจ๊ตุ่มเผ่นเข้าบ้านก่อนใคร เจ๊ปริกเผ่นตาม
“ฉันก็ต้องรีบไปกรวดน้ำให้การ์ฟิลด์”
กวิตากับนลินมองตามสองเจ๊ ส่ายหน้าระอาใจ
“ปะ...เข้าบ้านเถอะต้า”
“เฮ้อ...ซวยจริง ผีบ้า ผีบออะไรเนี่ย”
กวิตาบ่นบ้าถอนใจเซ็งๆ แล้วเดินนำเข้าบ้านไป
นลินจะตามไปแต่ต้องชะงัก เมื่อได้ยินเสียงหมอผีลอยมา
“ถ้าไม่เชื่อ คืนนี้...”
หมอผียังคงยืนมองจ้องนลินอยู่อย่างไม่วางตา เล่นเอานลินอึ้งไป
“ลองเอากระจกไปไว้ที่ปลายเตียง แล้วจ้องมองเงาในกระจกให้ดี คุณจะเห็นความจริงทั้งหมด”
นลินมองหมอผีอย่างแปลกใจ ก่อนจะเดินเข้าบ้านไป
สองสาวเดินเข้ามาในบ้าน กวิตาบ่นอุบ
“บ้ากันไปใหญ่แล้ว มองพวกเราเป็นผีได้ยังไงกัน สวยออกขนาดนี้ ดูซิเปียกไปหมดทั้งตัวเลย”
“พวกเขาคงเครียดจนหลอน อย่าไปถือสาเลย”
เมื่อเข้ามาในโถงรับแขก สองสาวก็ต้องชะงัก ตกใจเมื่อเห็นใครบางคนอยู่ในนั้น เป็นพนิชนั่นเองกำลังเดินพรมน้ำมนต์ออกมาจากด้านในบ้าน
พนิชยิ้มแย้มทักนลิน “กลับมาแล้วเหรอลิน”
“ไอ้ผู้ชายเฮงซวย แกยังมีหน้ากลับมาอีกเหรอ”
กวิตาโกรธจัดพุ่งเข้าไปทำร้ายพนิช นลินรีบดึงห้ามไว้
“ใจเย็นต้า”
“มันทำกับแกขนาดนี้ ยังจะให้ฉันเย็นได้อีกเหรอ” กวิตาขัดใจ
นลินถามพนิชเสียงขุ่น “คุณเข้ามาได้ยังไง”
พนิชล้วงกุญแจบ้านในกระเป๋าชูให้ดู กวิตารีบฉวยกุญแจบ้านออกมาจากมือพนิช
“เอาคืนมานี่เลย คนอย่างแกไม่ควรมีกุญแจบ้านหลังนี้”
กวิตายื่นกุญแจนั้นให้นลิน เธอรับมาใส่กระเป๋าไว้
“คุณมาที่นี่ทำไม”
“ผมก็มาช่วยรดน้ำมนต์” พนิชโชว์ขันน้ำมนต์ในมือ “ปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายในบ้านนี้ไงลิน”
กวิตาคุมแค้น “สิ่งชั่วร้ายที่สุดในบ้านหลังนี้ ก็มีแต่แกเท่านั้นแหละไอ้พีท”
พนิชแกล้งตีหน้าเศร้าให้ดูน่าสงสาร “ทำไมถึงพูดจาร้ายกาจกับผมขนาดนี้ล่ะครับ นี่ผมมาดีนะ”
“ยังจะมาแกล้งตีหน้าเศร้าอีก ไปให้พ้นนะ”
นลินห้าม “ไม่เป็นไรต้า เดี๋ยวฉันจัดการเอง”
กวิตาเป็นห่วง กลัวนลินใจอ่อนอีก “แต่ว่า...ลิน...”
“ไม่ต้องห่วง ตอนนี้ฉันตาสว่างแล้ว”
นลินหันไปจ้องมองพนิชอย่างโกรธแค้นชิงชัง
กวิตาขึ้นห้องไปแล้ว นลินจ้องมองอดีตคนรักด้วยสายตาเย็นชา พนิชออดอ้อน
“ทำไมลินจ้องผมน่ากลัวอย่างนั้นล่ะ ลินรู้ไหมว่าตอนนี้ลินเปลี่ยนไปมาก”
“แล้วไง”
“ลินพุ่งเข้ามาทำร้ายผมอย่างกับถูกผีเข้า”
“ถ้าเทียบกับสิ่งที่คุณทำกับฉัน ยังโดนน้อยไปด้วยซ้ำ”
พนิชทำหน้าสำนึกผิด
“ผมรู้ว่าผมผิด ที่ทิ้งลินให้เผชิญปัญหาอยู่คนเดียว แต่ที่ผมหายไปเพราะผมต้องหนีการตามล่า แล้วก็ไปวิ่งเต้นหาเงินมาใช้หนี้”
“เลิกแก้ตัว แล้วบอกมาตรงๆ ดีกว่า ว่าคุณกลับมาที่นี่อีกทำไม”
“ผมเป็นห่วงลิน...”
นลินพูดสวนขึ้นอย่างเหลืออด “โกหก! บอกจุดประสงค์ของคุณมา อย่าอ้อมค้อม เสียเวลา”
พนิชพูดตัดพ้อด้วยน้ำเสียงน้อยเนื้อต่ำใจ “ใช่สิ แฟนใหม่คุณรวยนี่ ผมมันแค่พนักงานกินเงินเดือนจนๆ อยากจะถีบหัวส่งเมื่อไหร่ก็ได้”
“พอละ เลิกแอ๊บซะทีฉันรำคาญ” นลินส่ายหน้าอย่างเอือมระอา แล้วเข้าโหมดจริงจัง “มรกตเม็ดนั้นคุณเอาไปจำนำไว้ที่ไหน”
พนิชแกล้งนึก ยิ้มอย่างเป็นต่อ “อ๋อ...มรกต... ผมเอาไปฝากไว้กับคนรู้จักน่ะ คุณอยากจะไถ่คืนเหรอลิน เอาเงินมาให้ผมก็ได้ เดี๋ยวผมไปไถ่คืนให้”
“ฉันไม่ไว้ใจคุณอีกแล้ว”
“โธ่ลิน ผมก็บอกแล้วไงว่าผมขอโทษ”
“คุณบอกมาดีกว่า ว่ามรกตเม็ดนั้นอยู่ที่ไหน”
พนิชชักเริ่มไม่พอใจที่อีกฝ่ายไม่ยอมอ่อนให้เลย “ถ้าคุณไม่ไว้ใจผม คุณก็เตรียมเงินไว้แล้วกัน ผมจะพาไป”
“5 แสนใช่ไหม”
“5 แสนน่ะเงินต้น รวมดอกเบี้ยด้วยตอนนี้น่าจะล้านแล้ว”
นลินคุมแค้นมองพนิชหน้าเครียดเคร่ง
คืนนั้น นลินอยู่ในชุดนอนเดินเช็ดผมออกมาจากห้องน้ำสีหน้าเป็นกังวล เธอเดินมานั่งลงที่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง มองดูคอตัวเองซ้ายขวา จับที่คอพลางขยับไปมา
“ทำไมอยู่ดีๆก็มีรอย แล้วก็หายไปเองนะ”
“ลินพุ่งเข้ามาทำร้ายผมอย่างกับถูกผีเข้า”
คำพูดพนิชดังก้องในหัวหู นลินนึกถึงตอนเธอพุ่งเข้ากัดคอพนิชตรงลานจอดรถของกรม
นลินยังนึกไปถึงตอนเจอกระสือผมสีขาวยาวรุงรัง กำลังก้มหน้าก้มตากัดกินซากไก่ที่นอนตายอยู่บนพื้นอย่างเอร็ดอร่อย แต่แล้วอยู่ๆ เหมือนกระสือจะรู้ตัวว่ามีคนมองอยู่ มันหยุดชะงัก และเงยหน้าที่เต็มไปด้วยเลือดขึ้นมามองนลินตาลุกวาวและแยกเขี้ยวใส่เธอ
นลินสลัดความคิดออก เดินไปที่ตู้เก็บของข้างเตียง หยิบกล้องวิดีโอออกมาเปิดกล้องเช็คเครื่อง แล้วเอาตั้งไว้ที่ตู้ปลายเตียงนอน เธอปรับจนแน่ใจแล้วว่ากล้องจับภาพที่เตียงนอนชัดเจน แล้วจึงเดินกลับไปที่เตียงนอน ถอนใจเฮือกใหญ่
“จะได้รู้กันซะที”
นลินล้มตัวลงนอนบนเตียง เห็นแสงไฟสีแดงวาบที่ตัวกล้อง แสดงให้รู้ว่ากล้องทำงานอยู่
สักพักมองจากกล้องเห็นนลินนอนกระสับกระส่ายเหมือนฝันร้ายเช่นหลายคืนก่อน
นลินตื่นขึ้นมาในตอนเช้า รีบลุกขึ้นจากเตียงจัดเก็บนอน แล้วนึกได้ เดินไปที่กล้องวิดีโอที่วางเอาไว้เห็นไฟยังติดอยู่ จึงหยิบมาเช็คภาพในนั้น
นลินหลับตาลงเหมือนทำใจ ก่อนจะลืมตาขึ้นมองภาพวิดีโอในกล้อง
ภาพในนั้นเห็นเป็นภาพของนลินนอนกระสับกระส่ายปกติ บางครั้งก็นิ่งไป ไม่มีอะไรที่น่าสยดสยองอย่างที่เธอกังวล
นลินถอนหายใจอย่างโล่งอก
“ไม่เห็นมีอะไรผิดปกติเลย”
นลินวางกล้องไว้ตามเดิม ปิดกล้อง แล้วเดินเข้าห้องน้ำไปอย่างสบายใจ
สองสาวกรมศิลป์มาถึงออฟฟิศในเวลาต่อมา เริ่มทำงานตามหน้าที่อยู่ที่โต๊ะของใครมัน อชินีหันมองไปที่นลินแว่บหนึ่ง ก่อนจะหยิบโทรศัพท์มาเปิดดูข่าว แล้วพูดขึ้นเสียงดัง
“อุ๊ย! ช่อง 8 ออกข่าวแมวไส้หายอีกแล้ว!”
อชินีชูโทรศัพท์ขึ้นพร้อมเปิดลำโพงเสียงดัง เพื่อนพนักงานต่างลุกเดินเข้ามามุงดูกันอย่างสนใจ
ในข่าว เป็นภาพเจ๊ปริกกอดรูปน้องแมวการ์ฟิลด์ ร้องห่มร้องไห้ปานจะขาดใจตาย
“การ์ฟิลด์เป็นเด็กดี ไม่เคยเห่า ไม่เคยขู่ใครเลย นังผีกระสือบ้า มันใจร้าย กินไส้ลูกสาวฉันได้ลงคอ ฮือๆๆ”
อชินีปิดมือถือก่อนจะพูดขึ้น
“เห็นไหมล่ะผีกระสือมันยังมีอยู่จริงๆ”
“เมื่อวันก่อนฉันก็เพิ่งอ่านข่าว ยามในหมู่บ้านเห็นผีกระสือลอยอยู่บนหลังคาบ้านคนด้วย” พิมพ์พลอยผสมโรง
อชินีได้ที “นี่มันหมู่บ้านเธอไม่ใช่เหรอลิน”
ทุกคนหันไปมองนลินเป็นตาเดียว นลินตอบอย่างไม่ใส่ใจนัก
“ใช่”
“ตอนนี้กระสือมันกินแค่แมว แต่ถ้าสัตว์เลี้ยงในหมู่บ้านโดนกินหมด ต่อไปมันก็คงหันมากินคนแทน พวกเธออยู่แถวนั้นน่ะ ระวังให้ดีเถอะไส้จะหายไม่รู้ตัว”
บรรดาเพื่อนพนักงานต่างเห็นด้วย กวิตานั่งฟังอยู่ตั้งแต่ต้น เริ่มทนฟังไม่ได้
“ขอบใจที่หวังดีนะ แต่เก็บความหวังดีของเธอไว้ให้อะไรที่มันสร้างสรรค์ ดีกว่ามาเชื่อเรื่องงมงายพวกนี้ ว่างมากก็เอาเวลาไปเช็คไส้ตัวเองก่อนเถอะ”
กวิตาหยิบกระเป๋าเดินไปหานลินที่โต๊ะ
“ไปเถอะลิน หาอะไรอร่อยๆ ที่ตลาดกินกันดีกว่า เบื่อพวกปากเน่าปากหนอน”
นลินหยิบกระเป๋าเดินตามกวิตาไป อชินีมองตามแค้นที่ทำอะไรนลินไม่สำเร็จ
ตลาดข้างๆ กรมศิลป์ คึกคักเช่นทุกวัน ด้านในเป็นแผงขายของสด ส่วนด้านหน้าเป็นแผงขายของกิน และผลไม้ ผู้คนเดินจับจ่ายซื้อของโปรดตามแผงต่างๆ อย่างคึกคัก
กวิตาเดินดูร้านอาหารไปเรื่อยๆ จนสายตาไปสะดุดอยู่ที่ร้านหนึ่ง
ส่วนนลินเดินเลยเข้าไปด้านในตรงไปที่เขียงหมู สายตาของเธอจับจ้องไปยังไส้หมูที่อาแปะกำลังสาวขึ้น ลง อย่างคล่องแคล่ว นลินเผลอเลียริมฝีปากตัวเองอย่างลืมตัว ค่อยๆ เดินเข้าไปราวต้องมนต์ ทำท่าเหมือนจะคว้าไส้หมูที่มืออาแปะ
มือของกวิตาคว้าต้นแขนของนลินไว้หมับ
“ลิน แกเข้ามาในตลาดสดทำไม?”
นลินรู้สึกตัว แล้วมองกวิตาอย่างอึ้งๆ งงๆ
“เอ่อ...”
“ร้านข้าวอยู่ข้างนอก ถ้าแกอยากจะซื้อของไปทำเอง รอให้เลิกงานก่อนค่อยมาก็ได้ ซื้อไปตอนนี้ของก็เสียหมดพอดี”
“ฉันว่า...เราไปกินก๋วยจั๊บกันเถอะ”
กวิตางง “แกชอบกินก๋วยจั๊บตั้งแต่เมื่อไหร่”
“ไม่รู้สิ วันนี้ฉันอยากกิน”
นลินเดินนำกวิตาออกไปเลย
กวิตามองฉงน หันไปเห็นไส้ที่อาแปะสับอยู่มองอย่างอิหลักอิเหลื่อ แล้วตามนลินออกไป
อีกฟาก ตฤณฤทธิ์ บุรัณย์และมธุรส กำลังนั่งคุยกันอยู่ในร้านกาแฟของห้างดัง
“สรุปว่าแกจะไม่ช่วยฉันทำข่าวโปรโมต”
บุรัณย์พูดทีเล่นทีจริง “ก็ทีพี่ยังไม่ช่วยผมเรื่องสัมภาษณ์สาวข้างบ้านเลย”
มธุรสสะดุดหู “สาวข้างบ้านที่ไหนเหรอ”
บุรัณย์ยิ้มเจ้าเล่ห์ “ก็สาวข้างบ้านเจ๊ปริก เจ้าของแมวไส้หายไง พี่ตฤณรู้จักแต่ไม่ยอมพาเราไปสัมภาษณ์ ทำเป็นหวง”
“ก็วันนั้นเขาเพิ่งมีเรื่องมา ถ้าฉันพาแกเข้าไปคุย เขาจะยอมคุยกับแกหรือไง” ตฤณฤทธิ์บอก
บุรัณย์ยังคงทำเป็นแกล้งงอนต่อ
“เอาน่า ฉันว่าคราวนี้แกคงได้สัมภาษณ์แน่ เพราะว่าคุณลินจะไปช่วยงานประชาสัมพันธ์ในหมู่บ้านด้วย”
“ใครเหรอคะ” มธุรสถาม
“คุณนลิน เขาเป็นเจ้าหน้าที่ของกรมน่ะ”
มธุรสทำทีพยักหน้าเข้าใจ แต่ลึกๆ นึกสงสัย
ตฤณฤทธิ์หันไปถามบุรัณย์ “ว่าไง แกจะไปด้วยไหม งานนี้แกได้ถึง 2 ข่าวเลยนะ”
บุรัณย์ชักสนใจ “อื่ม ก็น่าสนใจ แต่ขอคิดดูก่อน”
“แค่นั้นแหละทำเป็นท่ามากไม่เข้าเรื่อง”
ตฤณฤทธิ์ มธุรสและบุรัณย์ หัวเราะให้กัน บรรยากาศครื้นเครงขึ้นมาหน่อย
จังหวะนี้เห็นปัณรีเดินเปิดประตูร้านเข้ามา และตรงไปที่เคาน์เตอร์สั่งกาแฟกับพนักงาน บุรัณย์มองไปเห็นปัณรีจึงตะโกนเรียก
“ปัณ”
ปัณรีหันมองตามเสียง เห็นบุรัณย์ส่งยิ้มและโบกมือมาให้
“เอสเพรสโซ่เย็นได้แล้วค่ะ”
ปัณรีหันไปรับกาแฟมาจากพนักงาน แล้วเดินตรงมาหาบุรัณย์ที่โต๊ะ
“สวัสดีค่ะพี่รัน ไม่เจอกันนานเลยนะคะ”
“นั่นสิ ตั้งแต่ปัณกลับมาจากอเมริกาก็ยังไม่ได้เจอกันเลย ตอนนี้ปัณทำงานที่ไหน”
“ช่วงนี้ปัณพักผ่อนค่ะ ยังไม่อยากทำงาน แล้ว...”
ปัณรีค้างคำ หันไปมองหน้าตฤณฤทธิ์ แสดงออกว่าถูกใจเขาอย่างเปิดเผย
“ลืมแนะนำเลย นี่พี่ตฤณกับรส ส่วนนี่ปัณรี” บุรัณย์นึกได้ “เอ่อ..ปัณเป็นน้องสาวนักการเมืองในพื้นที่ที่พี่ตฤณสำรวจปราสาทอยู่ด้วย”
ปัณรียิ้มทักมธุรส “สวัสดีค่ะ”
“สวัสดีค่ะ” มธุรสยิ้มตอบ
ปัณรีหันไปทางตฤณฤทธิ์ พร้อมกับยื่นมือไปให้จับ ด๊อกเตอร์รูปงามยื่นมือไปจับตามมารยาท
ปัณรีส่งตาหวานฉ่ำ “ยินดีที่ได้รู้จักค่ะพี่ตฤณ”
“ยินดีที่ได้รู้จักครับ”
มธุรสลงนั่งข้างบุรัณย์ มธุรสมองอย่างไม่พอใจ
“พี่ตฤณไปสำรวจแถวบ้านปัณเหรอคะ”
“พอดีผมมีงานสำรวจปราสาทเก่าอายุหลายร้อยปีที่นั่นน่ะครับ”
ปัณรียิ้มกว้าง “น่าสนใจจังค่ะ ถ้ามีอะไรอยากให้ปัณช่วยก็บอกได้เลยนะคะ ปัณยินดี”
ปัณรีหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋า
“พี่ตฤณมีไลน์ใช่ไหมคะ เผื่อมีอะไรจะได้ติดต่อกัน”
ตฤณฤทธิ์ส่งมือถือให้ ปัณรีรับมาสแกนคิวอาร์โค้ดเป็นเพื่อน แล้วส่งคืนพร้อมยิ้มหวานให้ตฤณฤทธิ์
ตลอดเวลามธุรสมองปัณรีอย่างไม่พอใจ
ท้องฟ้าเหนือบ้านนลินค่ำคืนนี้มืดครึ้ม บรรยากาศวังเวงแลดูน่ากลัว
มองผ่านกล้องที่ตั้งบันทึกไว้ที่โต๊ะปลายเตียง เห็นนลินนอนกระสับกระส่ายเอามือจับที่คอดิ้นทุรนทุรายไปมา เท้าเหยียดเกร็งอย่างแรง
นลินยังไม่วางใจ ตั้งกล้องบันทึกวิดีโออีกครั้ง
ตื่นขึ้นมาตอนเช้านลินรับรู้ถึงความผิดปกติของร่างกาย รู้สึกคอแห้งมากจึงลุกขึ้นเดินไปที่หน้ากระจก หยิบขวดน้ำรินน้ำใส่แก้วดื่ม นลินดื่มน้ำจนหมดแก้วด้วยความกระหาย
“ค่อยยังชั่ว”
พลันสายตาของนลินก็หันไปเห็นเงาตัวเองในกระจก ตกใจสุดขีดถึงกับทำแก้วหล่นจากมือ
เงาในกระจกเห็นรอยสีแดงรอบคอนลิน
นลินรีบวิ่งไปที่โต๊ะปลายเตียงมองหากล้องด้วยความตกใจ และยิ่งตกใจเมื่อพบว่ากล้องหายไปไม่อยู่ในที่ตั้งไว้ นลินร้อนใจมองหาจนทั่ว กระทั่งเห็นมันหล่นอยู่ที่พื้น เธอรีบเก็บมันขึ้นมา เปิดดูภาพด้วยมืออันสั่นเทา
ภาพในกล้องเห็นเธอนอนกระสับกระส่าย เริ่มจับคอตัวเอง และดิ้นทุรนทุรายอย่างรุนแรงมากขึ้นๆ จนเท้าของเธอถีบกล้องหล่นพื้น ภาพดับวูบไป
นลินอึ้งนิ่งงันไป
ที่ออฟฟิศกรมศิลป์ นลินสะพายกระเป๋า ถือเอกสารเดินกลับมาที่โต๊ะ อชินีเดินสวนเข้ามาพอดี ทั้งคู่หยุดยืนประจันหน้ากัน นลินเอามือแตะคอตัวเองอย่างคนมีชนักติดหลัง อชินีมองสงสัย
“คอเป็นอะไรหรือเปล่า ไหนดูหน่อยซิ”
อชินีพุ่งเข้าไปแหวกคอเสื้อของนลินจะดูให้ได้ นลินตกใจ
แต่แล้วอชินีก็ต้องหยุดกึก เมื่อเห็นใครเดินมาในนี้ รีบกลับไปนั่งโต๊ะอย่างสงบทันที
เป็นตฤณฤทธิ์และรองปราโมทย์นั่นเอง เดินเข้ามาหานลินที่โต๊ะ
“คุณลิน”
นลินลุกขึ้นยืนรับ “ค่ะท่าน”
“สรุปว่าเรื่องงานสำรวจปราสาทของคุณตฤณให้คุณเป็นคนรับผิดชอบเรื่องงานประชาสัมพันธ์ข้อมูลกับชาวบ้านก็แล้วกันนะ”
นลินอึ้งๆ งงๆ “คะ”
“เห็นคุณตฤณบอกว่าคุณเป็นคนในพื้นที่ คุณมีบ้านอยู่ที่นั่นด้วยใช่ไหม”
“เอ่อ...ค่ะ”
นลินมองหน้าด๊อกเตอร์รูปงามเชิงถามว่าเขาคุยอะไรกับหัวหน้าเธอ ตฤณฤทธิ์ยิ้มกริ่มในหน้า
“ดี งั้นคุณก็ลงพื้นที่ไปพร้อมคุณตฤณได้เลย”
“ได้ค่ะท่าน”
ปราโมทย์หันมาหาตฤณ “ได้มือขวาผมไปช่วยงานอย่างนี้ รับรองงานฉลุย”
“ผมก็คิดอย่างนั้นครับท่าน”
ตฤณฤทธิ์ยิ้มมองนลินด้วยความดีใจ
ขณะที่นลินยิ้มตอบท่านรองปราโมทย์และตฤณฤทธิ์ กังวลอยู่ลึกๆ ในใจ
ไม่นานต่อมานลินเปิดตู้เก็บของ แล้วรับของจากตฤณฤทธิ์เข้ามาเก็บเพิ่ม
“เที่ยวนี้คุณจะออกเดินทางกันเมื่อไหร่คะ”
“ไม่น่าจะเกินอาทิตย์หน้าครับ”
นลินพยักหน้ารับเอาคำ ปิดตู้ลง แล้วเดินออกมาเหมือนต้องการจะจบการสนทนาเพียงเท่านี้ ตฤณฤทธิ์เดินตามมาคุยด้วย
“ของที่ส่งไปตรวจคราวที่แล้วเป็นไงบ้างครับ”
นลินหน้าเสียหยุดกึก จนตฤณฤทธิ์ที่รีบตามมาเกือบจะชนเอา
“ยังไม่มีอะไรเพิ่มเติมเลยค่ะ”
“แล้วมรกตเม็ดนั้นล่ะครับ”
“เอ่อ...”
นลินหน้าซีดลงอย่างเห็นได้ชัด จู่ๆ ก็รู้สึกเวียนหัวหน้ามืดขึ้นมา ร่างทรุดฮวบลงไป ตฤณฤทธิ์ตกใจเข้ามาประคองไว้ทัน
“คุณลิน!”
ตฤณฤทธิ์ประคองนลินพามานั่งที่โต๊ะทำงาน กวิตาเข้ามาเห็นก็ตกใจรีบเข้าช่วยประคองพานั่งแทน
“ลินแกเป็นอะไร นั่งก่อน นั่งก่อน”
ตฤณฤทธิ์ถามกวิตาว่า “คุณมียาดมไหม คุณลินเป็นลม”
“มีค่ะ ฉันมี”
กวิตาวิ่งกลับไปค้นยาดมที่โต๊ะ แล้ววิ่งกลับมาส่งให้นลิน ตฤณฤทธิ์ชิงรับไปเปิดมันออกแล้วไปอังที่จมูกของนลินอย่างรวดเร็ว นลินฉวยยาดมจากมือของตฤณฤทธิ์ไปดมเอง
“เหงื่อคุณออกเยอะมากเลย เอาน้ำเย็นๆ สักแก้วดีไหม”
กวิตาไม่รอให้นลินตอบรีบเสนอขึ้น
“ฉันไปเอามาให้”
กวิตารีบออกไป ตฤณฤทธิ์หยิบทิชชู่มาซับเหงื่อให้นลิน พร้อมกับหยิบกระดาษที่อยู่ใกล้ๆ มาพัดให้ อชินีนั่งมองอย่างหมั่นไส้ กระซิบกับพิมพ์พลอย
“ทำแอ๊บป่วยอ้อนผู้”
กวิตาวิ่งเอาน้ำเย็นมาส่งให้ นลินรับไปดื่ม
“ลินฉันว่าแกไปหาหมอเถอะ”
“ใช่ คุณเป็นลมบ่อยมากเลยนะ”
“ไม่ต้องหาหมอหรอกค่ะ สงสัยเมื่อคืนนอนน้อย ฉันว่าฉันกลับไปพักที่บ้านก็คงหาย”
“งั้นผมขับรถไปส่งเอง”
นลินสูดยาดมเข้าปอดลึกๆ ก่อนจะหลับตาลง แล้วลืมตาขึ้นตอบตฤณฤทธิ์
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันเอารถมา ฉันขับกลับเองได้”
“ให้คุณตฤณไปส่งดีแล้ว สภาพแกตอนนี้ขับรถไม่ไหวหรอก”
กวิตาจัดแจงเก็บของนลินใส่กระเป๋า แล้วหยิบขึ้นมาถือไว้เชิงบังคับ
“ไปลุกขึ้น”
นลินอิดออดไม่อยากไป
“รถแกเดี๋ยวฉันขับกลับไปให้เอง”
กวิตายื่นกระเป๋านลินส่งให้ตฤณฤทธิ์ ฝากเพื่อนเสร็จสรรพ
“ฝากยัยลินด้วยนะคะคุณตฤณ”
“ได้ครับ ไม่ต้องห่วง”
ตฤณฤทธิ์ช่วยพยุงนลินให้ลุกตามขึ้นมา นลินลุกขึ้น
“ขอบคุณค่ะ ฉันยังเดินเองไหว”
ตฤณฤทธิ์รีบปล่อยมือ นลินเดินนำออกไป ดร.ตฤณตามติดๆ
อชินีมองตามอย่างหมั่นไส้
รถที่ตฤณฤทธิ์ขับแล่นเข้ามาจอดที่หน้าบ้านนลิน ดร.ตฤณจอดรถเรียบร้อย หันมามองนลินที่นั่งอยู่ข้างๆ เห็นเธอหลับสนิท เขาเผลอมองอย่างเพลินตา อยู่ๆ หัวของนลินก็ค่อยๆ เอนหล่นจากเบาะรองหัว ตฤณฤทธิ์จึงรีบยื่นมือไปรองเอาไว้ด้วยความตกใจ
ตฤณฤทธิ์ไม่กล้าขยับมือเพราะกลัวนลินจะตื่น เขาค่อยๆ ขยับตัวเข้าไปใกล้และเอื้อมมืออีกข้างผ่านตัวนลินไป หมายจะปรับเบาะให้นอนลง ใบหน้าของทั้งสองอยู่ห่างกันไม่ถึงคืบ
นลินค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้น ตฤณฤทธิ์มองตกใจ ดึงที่ปรับเบาะอย่างลืมตัว
เบาะที่นลินนั่งอยู่ถูกเอนลงไปอย่างเร็ว จนตัวตฤณฤทธิ์เสียหลักหล่นตามลงไปด้วย
กลายเป็นร่างตฤณฤทธิ์หล่นทับมาบนตัวนลิน เธอร้อง “ว้าย” ตัวแข็งทื่อ ใบหน้าสองคนใกล้กันแค่คืบ ตฤณฤทธิ์อึ้งรีบลุกขึ้นโดยเร็ว
“ขอโทษ ผม...ผมกำลังปรับเบาะให้คุณ...”
นลินรีบลุกขึ้น รู้สึกเขินอายจนทำตัวไม่ถูก
“เอ่อ...ขอบคุณนะคะที่มาส่ง”
นลินคว้ากระเป๋าแล้วลงรถเข้าบ้านไปเลย ตฤณฤทธิ์มองตามเผลอยิ้มกับตัวเองอย่างสุขใจ
นลินเดินเข้ามาล้มตัวลงบนเตียง หลับตาลง ภาพเมื่อครู่ผุดซ้อนขึ้นมาให้ห้วงคิด ตอนตฤณฤทธิ์หล่นทับมาบนตัวนลิน ทั้งคู่จ้องหน้ากันด้วยความตกใจ
นลินกระเด้งตัวลุกขึ้น พยายามสลัดความคิดที่อยู่ในหัวออกไป ก่อนจะหยิบโทรศัพท์แล้วโทรออก
ที่โถงบ้านอชินี เสียงโทรศัพท์มือถือของพนิชดังขึ้น พนิชหยิบมันขึ้นมาดูแล้วยิ้มชั่วออกมา
“ว่าไงจ๊ะลิน วันนี้เลิกงานเร็วเหรอ กินข้าวเย็นกันไหม”
นลินเสียงแข็งใส่ “ฉันแค่อยากจะถามคุณเรื่องมรกต”
พนิชทำเล่นตัว “โธ่ลิน ขอเวลากันหน่อย ไอ้เพื่อนผมคนนี้มันหาตัวยากมาก วันๆ ผมก็ต้องทำงาน ไม่มีเวลาไปตามตัวมันทั้งวันหรอก”
พนิชนอนเอกเขนกอยู่บนโซฟาโถงรับแขก
“ต้องการเท่าไหร่”
พนิชเล่นลิ้น “นี่ลินพูดเรื่องอะไร ผมไม่เข้าใจ”
“ก็ค่าเสียเวลาไง ต้องการเท่าไหร่”
พนิชแกล้งทำเป็นโกรธ “ลินเห็นผมเป็นคนยังไง เห็นผมหน้าเงินขนาดนั้นเชียวเหรอ”
“แสนนึงพอไหม”
พนิชได้ฟังถึงกับตาลุกวาว
ที่บริเวณหน้าร้านขายของเก่า รถของนลินแล่นเข้ามาจอดที่นั่น สองคนลงรถเปิดประตูร้านเข้ามา พนิชพานลินเดินตรงมาที่เคาน์เตอร์
พนักงานดูแลร้านชายยิ้มทัก “สวัสดีครับ มีอะไรให้รับใช้ครับ”
“สวัสดีครับ ผมมาไถ่ของที่จำนำไว้ครับ” พนิชบอก
“ขอดูตั๋วจำนำด้วยครับ”
“ผมทำมันหายน่ะครับ ช่วยเช็คให้หน่อยได้ไหม มรกตสีเขียว ที่เคยเอามาจำนำ”
พนักงานชายนึกออก “อ๋อ...เม็ดใหญ่ๆ นั่นใช่ไหม”
“ใช่ๆ เม็ดเป้งเลย”
พนิชดีใจ หันกลับไปมองนลินยิ้มยืดอวดว่าตัวเองเก่ง แล้วหันไปทางพนักงานอีกครั้ง
“นึกออกแล้วใช่ไหมล่ะ
“มรกตเม็ดนั้นคุณขายขาดไม่ใช่เหรอครับ”
“ผมไม่ได้ขายนะ แค่มาจำนำไว้ นี่คุณอย่ามาเล่นลูกไม้นี้เลย เห็นผมทำตั๋วหายแล้วจะมาเหมาว่าผมขายขาดได้ไง จะโกงกันหรือไง”
พนิชโวยวายลั่นพนักงานโต้ “ร้านเราไม่โกงหรอกครับ เราค้าขายกับลูกค้าทุกคนด้วยความซื่อสัตย์และยุติธรรมเสมอ”
“คุณไปตามผู้จัดการมาคุยดีกว่า” พนิชขึ้นเสียงแทบเป็นตวาด “ไป”
“ผมนี่ละครับผู้จัดการ มีปัญหาอะไรคุยกับผมได้เลย”
พูดจบชายคนนั้นก็หยิบปืนจากลิ้นชักขึ้นมาวางไว้บนโต๊ะ มองพนิชอย่างไม่สบอารมณ์
พนิชเห็นปืนของจริง ก็ลนลานไปชวนนลินออกร้านทันที
“เรากลับกันก่อนเถอะลิน”
พนิชรีบร้อนออกไปก่อน
นลินมองท่าทางลนลานของพนิช จึงหันไปถามชายที่เคาน์เตอร์อีกครั้ง
“คุณแน่ใจนะคะว่าเขาขายขาด”
“แน่ใจครับ เพราะเจ้านายผมเอากลับบ้านไปด้วย”
นลินฟังแล้วหนักใจ “ฉันรบกวนขอเบอร์โทรศัพท์ของเจ้านายคุณได้ไหมคะ”
“ผมให้ไม่ได้หรอกครับ”
“งั้นเขาจะเข้ามาที่ร้านเมื่อไหร่คะ ฉันอยากขอซื้อมรกตเม็ดนั้นคืนจริงๆ ค่ะ”
“ผมก็ไม่ทราบเหมือนกันครับ ผมว่าคุณตัดใจซะเถอะ ดูเหมือนเจ้านายผมจะชอบมันมาก คุณคงไม่มีทางได้คืนแน่ๆ”
นลินหน้าเครียดจัดที่ปัญหามรกตไม่จบอย่างที่หวัง
พนิชเดินหงุดหงิดเข้าบ้านมา อชินีที่กำลังชื่นชมกระเป๋าแบรนด์เนมใบใหม่อยู่หันมาเห็น
“สัมภาษณ์งานมาเป็นไงบ้างคะ ทำไม่กลับมาเร็วจัง”
พนิชกลอกตาไปมานึกหาข้ออ้าง “ยังไปไม่ถึงเลยน่ะสิ ดันเจอพวกเจ้าหนี้ซะก่อน”
“อ้าว”
“เป็นเพราะนลินคนเดียวที่ทำให้ชีวิตผมเป็นอย่างนี้ วันๆ ต้องคอยวิ่งหลบพวกเจ้าหนี้หัวซุกหัวซุน ไม่น่าไปคบผู้หญิงเลวๆ อย่างนั้นเลย ซวยชะมัด”
อชินีเข้ามากอดอ้อนปลอบใจ “ช่างมันเถอะค่ะ ตอนนี้คุณก็ตาสว่างแล้วนี่”
พนิชมองกระเป๋าอย่างขวางตา “คุณซื้อกระเป๋าใหม่อีกแล้วเหรอ เงินก็ไม่ค่อยมีไม่รู้จักประหยัดบ้าง หรือถ้าคุณเหลือใช้มากก็เอามาให้ผมไปใช้หนี้บ้างดีกว่าไหม”
อชินีปล่อยพนิชแล้วถอยออกห่าง “โอ๊ย...เหลืออะไรกัน กระเป๋านี่ก็ผ่อนเขาตั้ง หลายเดือน คุณไม่ไปขอให้ยัยลินมันไปเคลียร์หนี้นอกระบบนั่นล่ะ มันรวยมรดกยายมาตั้งเท่าไหร่”
“ไม่มีทางหรอก คนแบบนั้นเหรอจะยอมจ่ายหนี้ที่โยนให้คนอื่นแล้ว มรดกที่ได้มาอีกไม่นานก็คงหมด”
อชินีสงสัย “ทำไมเหรอ”
“ก็ติดการพนันถึงขนาดขโมยมรกตที่กรมไปขาย แล้วคุณคิดว่าเงินมรดกยายจะอยู่ได้ซักกี่วัน”
“อะไรนะ”
อชินีตกใจ คาดไม่ถึง
ท้องฟ้าเหนือหมู่บ้านนลินกลางดึกบรรยากาศเงียบสงัด วังเวงและน่ากลัว เห็นกลุ่มวัยรุ่นเด็กแว๊นและสก๊อยขับมอเตอร์ไซค์เข้ามา ทั้งหมดมาจอดรถที่หน้าบ้านนลินแล้วพากันเดินไปที่ประตูรั้วพร้อมถุงใส่ของบางอย่างในมือ
เด็กผีแว๊นกะสก๊อยจับกลุ่มกันทำบางอย่างที่หน้าประตูบ้านนลินอย่างตั้งอกตั้งใจ
รุ่งเช้ากวิตาและนลินเปิดประตูบ้านออกมา แล้วต้องตกใจร้องกรี๊ดดังลั่น โดยเฉพาะกวิตาที่เห็นก่อน
“แอร๊ยยยย”
กวิตาและนลิน เห็นไส้หมู ไส้ไก่จำนวนมากห้อยโตงเตงที่หน้าประตูรั้วบ้านและมีเลือดแดงฉานเต็มไปหมด
กลุ่มชาวบ้านมุงดูและวิพากษ์วิจารณ์กันอยู่ด้านนอกประตูรั้วนานแล้ว
“ต้องมีผีกระสืออยู่ในบ้านนี้แน่ๆ ดูสิทั้งไส้ทั้งเลือดเหม็นคลุ้งไปหมดทั้งหมู่บ้านเลย” เจ๊ตุ่มเปิดประเด็น
รปภ.หมู่บ้าน เสริมว่า “ก็ผมบอกแล้วว่าผมเห็นผีกระสือลอยอยู่บนหลังคาบ้านหลังนี้ ผมเห็นจริงๆ ไม่ได้ตาฝาด เมื่อวันก่อนใครๆก็เห็นว่ามีนกตายเกลื่อนถนนเละเทะไปหมด”
เจ๊ปริกคร่ำครวญขึ้นมาอีก “โฮ... การ์ฟิลด์ลูกแม่ มิน่าล่ะเมื่อคืนหนูถึงมาหาแม่”
“หา! หนูการ์ฟิลด์มาหาเจ๊” เจ๊ตุ่มงง
ทุกคนหันมองเจ๊ปริกเป็นตาเดียว
เจ๊ปริกพยักหน้าหงึกๆ ตอนท้ายชี้นิ้วไปที่บ้านนลิน
“ใช่... ในฝันการ์ฟิลด์มาบอกฉันว่ากระสือที่กินไส้ลูกอยู่ในบ้านหลังนี้”
ชาวบ้านต่างฮือฮากันยกใหญ่
“การ์ฟิลด์คงอยู่อย่างไม่สงบถ้าคนที่ฆ่ามันยังอยู่ในหมู่บ้านนี้” เจ๊ปริกว่า
เจ๊ตุ่มตะโกนไล่ “ย้ายออกไปอยู่ที่อื่นเถอะ อย่าอยู่ที่นี่เลย”
“ออกไปเลย ชาวบ้านแถวนี้จะได้อยู่กันอย่างสงบซะที”
ชาวบ้านส่งเสียงไล่ดังเซ็งแซ่ “ไปๆๆๆออกไปๆ ออกไปจากหมู่บ้านเรา ออกไปๆ”
กวิตาและนลินตกใจหน้าเครียด
ตฤณฤทธิ์นั่งทำงานอยู่ที่ห้องทำงานในมหาวิทยาลัยที่เขาสอนอยู่ จนมีเสียงเคาะประตูดังขึ้น ตฤณฤทธิ์เงยหน้าขึ้นจากกองเอกสาร ร้องบอกไป
“เชิญครับ”
ประตูห้องเปิดออกเห็นบุรัณย์เดินเข้ามาโดยมีปัณรียิ้มหวานตามเข้ามาด้วย ตฤณฤทธิ์ลุกขึ้นยิ้มให้ เดินพากันไปนั่งที่มุมรับแขก
“อ้าวรัน คุณปัน มาได้ไงครับ”
“สวัสดีค่ะพี่ตฤณ”
“ปันไปรับผมที่โรงแรม แล้วก็รบเร้าให้ผมพามาหาพี่ นี่ผมยังไม่ได้พักเลย”
“ก็ปันมีเรื่องอยากคุยกับพี่ตฤณนี่คะ”
ตฤณฤทธิ์ยิ้มให้ “เชิญนั่งก่อนครับ”
บุรัณย์และปัณรีนั่งลงที่เก้าอี้รับแขกหน้าโต๊ะตฤณฤทธิ์
“ปันคุยเรื่องพี่ตฤณให้พี่ชายปันฟังแล้วนะคะ เขารับปากว่าจะช่วยเต็มที่”
“ขอบคุณมากครับ ผมคงต้องหาเวลาไปขอบคุณและทำความรู้จักท่านสักหน่อย”
“เมื่อไหร่ดีล่ะคะ” ปัณรีดีใจแล้วนึกขึ้นได้ “แต่ว่าช่วงนี้พี่ชายไม่อยู่ งั้นถือซะว่าไปเที่ยวบ้านปันก็ได้ พี่ตฤณเป็นนักโบราณคดีน่าจะชอบข้าวของเครื่องใช้เก่าๆ ที่บ้านปันมีเยอะแยะเลย พี่ตฤณสนใจอยากไปดูไหมคะ”
ตฤณฤทธิ์สนใจ “จริงเหรอครับ”
เสียงเคาะประตูดังขึ้น ประตูห้องทำงานเปิดออกให้มธุรสเดินเข้ามา
“ขอโทษค่ะ รสไม่รู้ว่าพี่ตฤณมีแขก” มธุรสเห็นบุรัณย์ก่อน “อ้าว! รัน...ทำไมมาถึงนี่ได้”
“ก็มาเตรียมตัวเข้าป่าพร้อมพี่ตฤณไง”
มธุรสพยักหน้ารับหันมามองปัณรี “อ๋อ...แล้ว”
“สวัสดีค่ะพี่รส ปันอยากเจอพี่ตฤณน่ะค่ะ ก็เลยขอให้พี่รันพามา”
มธุรสรู้สึกไม่พอใจ เธอเดินเข้าไปหาตฤณฤทธิ์อย่างแสดงความเป็นเจ้าของ
“คุยกันเสร็จแล้วใช่ไหมคะ เราจะได้ไปกินข้าวกัน”
ตฤณฤทธิ์ยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดู
“ไปรัน คุณปันไปกินข้าวเที่ยงด้วยกัน”
ปัณรีกระตือรือร้น “ปันมีร้านประจำใกล้ตลาด บรรยากาศดีแถมอาหารอร่อยด้วยนะคะ”
มธุรสพูดเสียงเรียบเป็นนัย “พี่ตฤณไม่ชอบของหรูของแพงหรอกค่ะ อาหารธรรมดาง่ายๆ ต่างหากที่ถูกใจพี่ตฤณ อย่างกะเพราไก่ไข่ดาวร้านประจำของเรา ใช่ไหมคะพี่ตฤณ”
มธุรสยิ้มให้ปัณรีแต่นัยน์ตามองเขม่น ปัณรียิ้มหยันกลับไป
ตฤณฤทธิ์ทำเป็นดูนาฬิกา หาทางออก
“พอดีตอนบ่ายผมมีสอน คงไม่สะดวกถ้าต้องออกไปกินข้างนอก”
มธุรสยิ้มเยาะใส่ปัณรี “ข้าวโรงอาหารเรานี่หละง่ายที่สุด ไปค่ะพี่ตฤณ”
ปัณรีไม่ยอมแพ้รีบลุกขึ้นสะพายกระเป๋าตาม
“ข้าวโรงอาหารก็ได้ค่ะ ถ้าพี่ตฤณชอบปันก็ชอบด้วย ไปค่ะพี่ตฤณ”
ปัณรีดึงตฤณฤทธิ์เดินออกประตูไปเลย มธุรสรีบเดินตาม
บุรัณย์เห็นแล้วอดนึกลำบากใจแทนด๊อกเตอร์ตฤณไม่ได้
อีกฝั่ง ที่ร้านขายหนังสือเก่าแห่งนั้น มีชั้นวางหนังสือสูงกว่า 2 เมตร วางเรียงรายอยู่เป็นแถวๆ หนังสือจำนวนมากถูกวางอยู่บนชั้นจนแน่น ถึงขนาดมีบางส่วนที่ต้องมาวางกองรวมอยู่กับพื้นเป็นตั้งๆ
นลินเดินเข้ามาในร้านนั้น ตรงเข้าไปหาชายเจ้าของร้านที่กำลังนั่งเล่นเกมโทรศัพท์มือถืออยู่หลังเคาน์เตอร์
“ขอโทษนะคะ ไม่ทราบว่ามีหนังสือเกี่ยวกับ..ผีไหมคะ”
เจ้าของร้านค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมอง
“จะเอาผีอะไร ร้านนี้มีหมดทุกผี”
“ผีกระสือไทยค่ะ”
เจ้าของร้านชี้ไปด้านในสุดของร้าน
“เดินตรงไปแถวสุดท้ายด้านในสุด”
นลินมองตามแล้วเดินเข้าไปด้านในสุดตามที่เจ้าของร้านชายบอก นลินหยุดเดินแล้วมองเข้าไปอย่างตกใจ
ที่ชั้นวางหนังสือทั้งสองฝั่งมีหนังสือวางอยู่ในชั้นมากมาย และมีกองหนังสืออีกจำนวนมากวางกองรวมกันอยู่ที่พื้นอีกเต็มไปหมด
“ทั้งหมดนี่เลยหรือคะ”
“ผีกระสืออยู่ในนั้นละ คุณหาเอาเองได้เลย”
พูดจบเจ้าของร้านก็ก้มหน้าก้มตาเล่นเกมมือถือต่อ
นลินเดินเข้าไปค่อยๆ หาหนังสือไปทีละชั้น แต่ก็ยังไม่เจอ บรรยากาศมุมนั้นเงียบมาก
ด้านหลังมุมบนของชั้นวางหนังสือเหมือนมีสายตาที่กำลังมองนลินอยู่ จู่ๆ ก็มีบางอย่างหล่นลงมาทางด้านหลังของเธอ ดังตุ๊บ!
นลินตกใจหันขวับไปมอง เห็นเป็นหนังสือเล่มหนึ่ง จึงหยิบมันขึ้นมาดู
อ่านที่ปกหนังสืออย่างสนใจ “กลวิกาล”
ตกกลางคืน บรรยากาศหน้าบ้านนลินขมุกขมัวดูลึกลับ ท้องฟ้าเหนือบ้านเห็นหมู่เมฆสีดำลอยตัวเข้าบังดวงจันทร์ ส่งให้บรรยากาศยิ่งดูน่ากลัวทบทวี
นลินนั่งอยู่หน้ากระจกเงาในห้อง พยายามทำใจตั้งสมาธิ สายตาเหลือบมองนาฬิกาที่ผนัง พบว่า เป็นเวลา 5 ทุ่ม 50 นาที
ข้างๆ ตัวนลินมีหนังสือกลวิกาล เปิดอยู่ที่หน้า หัวข้อ “วิธีเรียกผี” นลินอ่านวิธีเรียกผีในนั้น
“ก่อนเที่ยงคืน ปิดประตูหน้าต่าง ปิดไฟทั้งหมด และจุดเทียน นั่งอยู่หน้ากระจกและใช้หวี หวีผม มองดูตัวเองในกระจกเงา จนถึงเที่ยงคืนตรง สิ่งที่เห็นในกระจกอาจจะไม่ใช่ตัวคุณ”
นลินลุกไปปิดประตูหน้าต่างลงกลอนแน่นหนา แล้วเดินไปหยิบเทียนและไม้ขีดไฟบนหลังตู้ จุดเทียนแล้วเดินไปปิดไฟ
แสงไฟจากเทียนสว่างขึ้นสลัวๆ นลินเดินตรงมาที่หน้ากระจกเงา เธอตั้งเทียนไว้ที่หน้ากระจก แล้วหยิบแปรงหวีผมมาด้วย ตั้งจิตอธิษฐานและเริ่มหวีผม พร้อมกับท่องคาถาเรียกผีตามหนังสือ
“วิญญาณนัง จิ เจรุนิ จิตตัง เจตะสิกัง รูปัง นิพพานัง ทะพะนะมะเตโชธาตุ ทีฆังวา กะสะจะภะ อาคัจฉามิ”
เข็มนาฬิกาบนผนังกำลังเดินไปช้าๆ
เสียงนลินสวดคาถายังคงดังก้องไปเรื่อยๆ ดวงตานลินจ้องมองไปที่กระจกไม่วางตา
เข็มวินาทีของนาฬิกาเดินไปที่เวลาเที่ยงคืนตรงเป๊ะ
นลินที่กำลังหวีผม เหมือนโดนหยุดเวลาไว้
เงาของนลินในกระจกมีภาพซ้อนเคลื่อนออกจากตัวนลิน เป็นเงามืดจากด้านหลัง เห็นหัวและร่างของนลินที่เป็นกระสือ มีหัวกับไส้เป็นเงาดำๆ ไม่ชัดเจนนัก
นลินตกใจ มองตาค้าง หันขวับไปมองที่ข้างตัว แต่ไม่เห็นอะไร และพอหันกลับมาที่หน้ากระจกก็ไม่เห็นอะไรเช่นกัน
เข็มวินาทีขยับผ่านเลยเวลาเที่ยงคืนไปแล้ว
อ่านต่อ ตอนที่6