สาปกระสือ ตอนที่4 กระสืออาละวาดกินไส้แมวกลางกรุง
บทประพันธ์และบทโทรทัศน์โดย อาณาจินต์
บ้านเช่าของนลินถูกรื้อค้นข้าวของกระจัดกระจาย โดยฝีมือของนักเลงทวงหนี้ 2 คนเดิม กวิตาตกใจนึกว่าโจรปล้นบ้าน กลัวจับใจยกมือไหว้ปลกๆ รีบยื่นกระเป๋าที่มีให้พวกมัน
“อย่าทำอะไรฉันเลยนะ ฉันเป็นเสาหลักของบ้าน น้องก็เรียนพ่อก็ป่วยแม่ก็พิการ ถ้าอยากได้อะไรก็เอาไป”
ชาย1 เปิดกระเป๋าเงินดู แล้วโยนคืนกวิตา “เงินแค่นี้จะไปทำอะไรได้”
“เพื่อนแกไปไหน ไหนบอกจะหาเงินมาเคลียร์ นี่หายหัวไปทั้งผัวทั้งเมียเลยนะ” ชาย2ถาม
พอรู้ว่าอะไรเป็นอะไร กวิตาก็เสียงแข็งใส่ “อ้อ...เรื่องนี้นี่เอง ไปเคลียร์กับไอ้พนิชโน่น มันเป็นคนก่อเรื่อง เพื่อนฉันไม่เกี่ยวอะไรด้วย”
“ปากดีเดี๋ยวก็โดน” ชาย1 เงื้อมือจะตบกวิตาหัวหด
เสียงโทรศัพท์มือถือกวิตาดังขึ้นพอดี หน้าจอมือถือเป็นภาพและชื่อนลิน ชาย2 ยิ้มเหี้ยม รีบคว้ามากดรับ กรอกเสียงพูดสายกับนลินเอง
“โทร.มาได้จังหวะเลยนะ
นลินอยู่ที่บ้านยายเพียร มองมือถือด้วยสีหน้าสงสัย ก่อนจะถามกลับไป
“คุณเป็นใคร ต้าอยู่ไหน”
“เป็นคนที่ตามหาแกอยู่ไง” นลินตาโตตกใจนึกได้ ชาย2 ยิ้มชั่ว ขู่ทันที “หายหัวไปเลยนะ อยากให้เพื่อนแกเป็นศพแทนหรือไงวะ”
นลินเสียงสั่น “อย่าๆ อย่าทำอะไรเพื่อนฉันเลยนะ เพื่อนฉันไม่เกี่ยวอะไรด้วย เดี๋ยวฉันจะรีบเอาเงินไปเคลียร์ให้เร็วที่สุด”
“อย่างช้าภายในพรุ่งนี้ ไม่งั้นเพื่อนแกตายแน่”
ชาย2 หันไปมองหน้ากวิตาด้วยสายตาโหดเหี้ยม กวิตาหลบตาวูบ กลัวจนตัวสั่น
ส่วนนลินหน้าเครียดจัด
นลินเดินเข้ามาในห้องเก็บของ ตรงไปเปิดหีบสมบัติออกแล้วจ้องมองอย่างลังเล นลินถอนหายใจยืนมองของในกล่องสมบัติ
เสียงชลันตีดังก้องขึ้นมาในหัว จนทำให้นลินตกใจ หันไปทางบันไดด้วยสีหน้าลังเล
“นลิน เธอคือทายาทโดยชอบธรรมของยายเพียร เธอมีสิทธิ์อย่างถูกต้องทุกอย่างและจะทำอะไรกับมันก็ได้”
เสียงคนทวงหนี้ดังแทรกเข้ามาหลอกหลอน
“ไม่งั้นเพื่อนแกตายแน่”
เสียงนราดังแทรกเข้ามาติดๆ กัน
“ลินอย่าทำแบบนี้”
เสียงเหล่านั้นดังแทรกขึ้นมาพร้อมๆ กัน ฟังไม่ศัพท์ จนทำให้นลินสับสนหลับตาแล้วเอามือปิดหูเหมือนทนไม่ไหว เธอรีบปิดหีบสมบัติลง
นลินพยายามตั้งสติ แล้วสลัดตัวเองออกจากความคิดต่างๆ เธอเปิดหีบอีกครั้ง
นลินตัดสินใจหยิบทองคำแท่งขึ้นมา 2 ก้อนใหญ่ มองอย่างชั่งใจ
ไม่นานต่อมานลินเดินถือกระเป๋าลงมาชั้นล่าง เจอเข้ากับชลันตีก็ตกใจท่าทางมีพิรุธเหมือนคนทำความผิด
“เป็นอะไรหรือเปล่าลิน” ชลันตียิ้มทักมองที่กระเป๋าสัมภาระ “นี่จะกลับแล้วเหรอ ไม่อยู่ต่ออีกสักพักล่ะ”
นลินอึกอัก หลบตาวูบ “พอดีลินต้องรีบกลับไปเคลียร์งานค่ะป้าตี ทิ้งมาหลายวันแล้ว เดี๋ยวหัวหน้าจะว่าเอาได้”
“อ้อ งั้นก็ไปจัดการให้เรียบร้อยก่อนแล้วกันนะ ชลันตีเยื้อนยิ้ม ยื่นซองสีน้ำตาลในมือให้นลิน “นี่ของลินนะ กลับไปคงมีอะไรให้เคลียร์อีกเยอะ”
“นี่อะไรคะ”
นลินรับซองมาเปิดดูท่าทีงงๆ หยิบเช็คเงินสด 5 ล้าน ออกมาดู ยิ่งตกใจหนัก
“ป้าตีให้ลินทำไมคะ”
“เงินของลินนั่นแหละ เอาไปขึ้นเงินได้เลยนะป้าเตรียมทุกอย่างไว้แล้ว”
นลินยื่นซองคืนให้ชลันตี “ลินคงรับไว้ไม่ได้หรอกค่ะ เงินตั้งมากมายขนาดนี้”
“แค่นี้มันยังน้อยไป” ชลันตียิ้มเบาๆ มาให้มองนลินด้วยความรู้สึกผิด “รับไปเถอะมันเป็นความตั้งใจของคุณยายที่จะมอบให้ลินอยู่แล้ว”
“แต่...ลิน”
“ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว รับไปเถอะ อย่าทำให้ป้าไม่สบายใจเลย”
นลินมองอย่างซาบซึ้งใจ ยกมือไหว้ชลันตี “ขอบคุณค่ะป้าตี”
ชลันตียิ้มรับแล้วพูดขึ้น
“ไป รถพร้อมแล้ว”
นลินมีสีหน้าสงสัย ที่ชลันตีเหมือนรู้เรื่องทุกอย่าง ทั้งที่ตนยังไม่ได้บอก
ไม่นานต่อชลันตีเดินเข้ามาในห้องเก็บของ ตรงเข้าไปเปิดหีบสมบัติออกดู ด้วยสีหน้าลุ้นๆ
เมื่อพบว่าในหีบ ทองคำแท่งยังอยู่ครบเหมือนเดิม ชลันตีก็ยิ้มโล่งใจ
รถตฤณฤทธิ์แล่นเข้ามาในจอดหน้าบ้าน มธุรสลงรถมาพร้อมถุงของฝากมากมาย เดินตรงเข้าไปในโถงบ้าน
คุณหญิงศันสนีย์กับป้าเย็นแม่ครัวและแม่บ้าน พากันเดินออกมาต้อนรับ มธุรสวางข้าวของยกมือไหว้คุณหญิงแล้วโผเข้าไปกอด
“สวัสดีค่ะ คุณหญิงป้าสบายดีนะคะ”
“เดี๋ยวตีเลยหนูรส” คุณหญิงมองค้อนตีแขนเบาๆ ยิ้มให้ “บอกให้เรียกคุณแม่ คุณแม่ มาเรียกคุณป้งคุณป้าอยู่ได้”
มธุรสยิ้มเขิน “ก็รสยัง....” มีเสียงตฤณแทรกเข้ามาขัดพอดี
“คุยอะไรกันอยู่เหรอครับ”
ตฤณฤทธิ์สะพายเป้เอกสารคู่กาย ตรงเข้ามาหาคุณหญิงมารดา พอศันสนีย์เห็นหน้าตาลูกชายบวมเขียวช้ำก็ร้องขึ้นด้วยความตกใจ
“ตายแล้ว ตฤณไปโดนอะไรมาลูก” ศันสนีย์จับหน้าตาตฤณฤทธิ์มองซ้ายขวาดูแผลอย่างเป็นห่วง
“อุบัติเหตุนิดหน่อยครับแม่” ด๊อกเตอร์หนุ่มสวมกอดแม่รีบเบนเรื่องเปลี่ยนมาคุยกับป้าเย็น “ป้าเย็นวันนี้มีอะไรให้กินบ้างครับผมหิวแล้ว”
“มีไข่เจียวกุ้งที่คุณหนูชอบค่ะ”
ศันสนีย์รู้ทันมองค้อนลูกชาย “อย่ามาเปลี่ยนเรื่อง แม่บอกแล้วไงให้กลับมาอยู่ในเมือง ไปอยู่ทำไมในป่าให้ลำบาก จะให้แม่อกแตกตายก่อนหรือไงถึงจะกลับมาได้”
มธุรสเห็นท่าไม่ดี รีบเปลี่ยนเรื่องช่วยเบี่ยงความสนใจ ยื่นถุงของฝากให้ดู
“รสมีของฝากมาให้คุณหญิงป้าด้วยค่ะ ผ้าไหมยกดอกทอมืองานละเอียดมากนะคะ แล้วนี่ก็ขนมเจ้าอร่อยของจังหวัดค่ะ”
“เราก็อีกคนนึกว่าจะห้าม กลับเห็นดีเห็นงามไปด้วยอีกคน” คุณหญิงถอนหายใจ
“ไม่ต้องห่วงนะคะ ต่อไปนี้รสจะไม่ยอมให้พี่ตฤณไปซนที่ไหนจนต้องเจ็บตัวอีกแล้วค่ะ”
“แม่ว่ากลับมาเถอะนะลูก ไม่เห็นต้องออกไปลำบากเลย แม่ก็แก่แล้วอยากเห็นลูกเป็นฝั่งเป็นฝาสักที”
“ผมขอตัวไปอาบน้ำก่อนนะครับ” ตฤณฤทธิ์ยิ้มขำๆ เดินขึ้นห้องไปเลย
“ไอ้ลูกคนนี้นี่” ศันสนีย์มองตามลูกชายอย่างขัดใจแล้วหันมายิ้มให้มธุรส “ไหนแม่ดูซิหิ้วอะไรมาตั้งเยอะ ไม่น่าลำบากซื้อมาเลยหนูรส ครั้งหน้าห้ามหิ้วอะไรมาแล้วนะ แค่หนูมาแม่ก็ดีใจแล้ว”
ศันสนีย์กับมธุรสลงนั่งดูของฝาก คุยกันอย่างสนิทสนม
เช้าวันนี้ เงินสดกองโตวางอยู่บนโต๊ะกลางในห้องรับแขกบ้านเช่าของนลิน
นักเลงทวงหนี้ ชาย2 นับเงินเก็บใส่กระเป๋าจนเสร็จ จึงหันไปบอกลูกพี่ชาย 1 ว่า “ครบแล้วพี่”
“ถ้ามีปัญหาอะไรให้ช่วยครั้งต่อไปอย่าลืมใช้บริการอีกนะครับ ผมยินดีรับใช้”
ชาย2 หันมาทางนลิน ทำหน้ากวนตีนมาให้ นลินขึงตามองแรงไม่พอใจ กวิตายืนมองเหตุการณ์เงียบๆ ด้วยสีหน้าสงสัย
ชาย1 หันมาทางกวิตา เอ่ยขึ้นว่า “เรื่องวันนั้นต้องขอโทษนะครับที่ทำให้คุณผู้หญิงตกใจ” แล้วหันมาประชดนลิน “มีเงินมาเคลียร์ก็ไม่บอก ปล่อยให้ผมเข้าใจผิดไปได้ เกือบไปแล้วนะคนสวย”
ตอนท้ายมันยังหันมองกวิตาด้วยสายตาโลมเลีย ถูกกวิตาเชิดใส่
รอจนสองนักเลงทวงหนี้พ้นบ้านไปแล้ว นลินถอนหายใจโล่งอก หมดห่วง กวิตารีบเข้ามาถามข้อสงสัย
“แกไปเอาเงินมาจากไหนเยอะแยะ”
“เงินมรดกของยายฉันเอง”
“แกนี่มันพจมานชัดๆ สุดยอดไปเลยว่ะ ยายแกนี่เป็นยายในฝันเลยนะ” กวิตาตาลุกวาวจับมือนลินด้วยความยินดี สัพยอกเพื่อนว่า “ฉันขอไปเป็นทายาทอีกคนได้ไหม”
“คงไม่ทันแล้วล่ะ ยายฉันเพิ่งเสียไป”
กวิตาตกใจกอดปลอบเพื่อน “ลินฉันเสียใจด้วยนะ เพิ่งได้เจอกันแท้ๆ ไม่น่าเลย”
นลินยิ้มรับสีหน้าเศร้าๆ
“ไม่รู้ชีวิตฉันจะต้องเจอกับอะไรอีก อยู่ๆ ก็เจอยายเจอญาติ แต่ไม่ทันไรยายก็ตายทิ้งมรดกก้อนโตไว้ให้แบบไม่คาดคิด เรียกว่าทุกขลาภหรือเปล่าเนี่ย”
“ไม่เห็นต้องสนใจเลยแก รู้แค่ยายแกรวย แล้วก็ตามหาหลานที่พลัดพรากจากกัน เพื่อมอบเงินมรดกให้แค่นี้พอแล้ว รู้มากปวดหัวเปล่าๆ”
นลินยิ้มเศร้าเหมือนยังคาใจ
เคลียร์หนี้อดีตคนรักเสร็จ สองสาวเข้าทำงานที่กรมศิลป์ เวลานี้นลินกับกวิตานั่งคุยงานกันอยู่ที่โต๊ะนลิน สักครู่อชินีก็เดินนวยนาดจงใจถือกระเป๋าแบรนด์เนมมาอวดในออฟฟิศ
“เพิ่งถอยมาใหม่ เมืองไทยยังไม่มีขายเลย”
พิมพ์พลอยคู่หูวิ่งเข้ามาดูอย่างตื่นเต้น “ฉันอิจฉาแกจัง ใช้แต่ของดีๆ ว่างก็เที่ยว โปรไฟล์ดีเวอร์”
อชินีชูคอยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ก่อนจะหันมาถามทักนลิน “ไปอยู่บ้านนอกมาเป็นไงบ้างคงร้อนน่าดูใช่ไหมลิน ที่ฝรั่งเศสหนาวติดลบฉันก็ยังไม่ชินกับอากาศบ้านเราเลย”
ตอนท้ายอชินียังเอามือพัดไปมา ทำเป็นร้อน กวิตามองหมั่นไส้ เหน็บกลับ
“โอ๊ย...ฝรั่งเศส...ดูดีเนอะ เห็นรูปในเฟชยังกะภาพตัดต่อ โลเคชั่นดูแปลกๆ” กวิตาคุยกับนลินเสียงดัง จงใจให้อีกฝ่ายอิจฉา “ลินว่างๆ ก็ลาพักร้อนไปช็อปกระเป๋าสักโหลสิ ได้เงินมรดกมาตั้งหลายสิบล้าน”
อชินีหูผึ่งมองหมั่นไส้สาวคู่ปรับ
นลินปรามด้วยสายตา “ต้า”
พิมพ์พลอยเดินมาที่โต๊ะนลินอย่างสนใจ “จริงเหรอลิน ที่หายๆ ไปนี่อย่าบอกนะว่าไปรับมรดกมา โคตรโชคดีเลย ชีวิตดีเวอร์”
กวิตาปรายตามองอชินีแว่บเดียว พูดลอยหน้าลอยตาอวดเพื่อนรวย “ก็จริงอ่ะสิพิม ฉันเห็นเงินมากับตา ลินอะของแท้จ้าไม่ใช่เปลือก”
อชินีรู้สึกเสียหน้ารีบเดินไปยังโต๊ะทำงาน แล้วมองนลินกับกวิตาและพิมพ์พลอยไม่พอใจ
เสียงตฤณฤทธิ์ดังแทรกเข้ามา “ขอโทษนะครับ”
ทุกคนชะงักหันไปมองเห็น ด๊อกเตอร์รูปงามเดินเข้ามาในห้องอย่างมีมารยาท
“ขอโทษนะครับ” เขายิ้มทักทายสาวๆ จนมาหยุดที่นลิน “คุณลินวันนี้ผมมีเรื่องจะมารบกวนหน่อย”
ทุกคนแยกย้ายไปทำงาน นลินหลบสายตาวูบ ทำเป็นงานยุ่ง กลัวตฤณฤทธิ์ถามถึงมรกตเม็ดนั้น
ทั้งคู่อยู่ในห้องเก็บโบราณวัตถุด้วยกัน วันนี้ตฤณฤทธิ์นำเอาของชุดใหม่ที่ขุดเจอ คราวนี้เป็นลูกปัดโบราณ มาให้นลินทำเรื่องตรวจสอบ
“ลูกปัดพวกนี้ผมฝากคุณทำเรื่องตรวจสอบให้ทีนะครับ”
นลินรับไว้แล้วพยักหน้ารับ
“ค่ะ ไปคราวนี้เจออะไรน่าสนใจอีกหรือเปล่าคะ”
“เจอครับ...นี่ไง”
ตฤณยื่นภาพช่องที่กำแพงปราสาทในมือถือให้นลินดู
“ผมเจอช่องนี้ที่กำแพงปราสาทแต่ยังเข้าไปสำรวจไม่ได้ต้องใช้เครื่องมือและเวลาในการขุดเจาะพอสมควร”
นลินมองจ้องภาพ แววตาด่ำดิ่ง นึกถึงเรื่องราวในอดีตอย่างรวดเร็ว เธอเห็นภาพสิงหลถูกจองจำด้วยโซ่ตรวนนั่งอยู่ในคุกของวังหลวง และภาพหญิงสาวในชุดนางรำโบราณกำลังร่ายรำอยู่ตรงหน้าของเขา แต่เห็นหน้าไม่ชัด เสียงดนตรีโบราณค่อยๆ ดังขึ้นเรื่อยๆ
นลินเหมือนตกอยู่ในภวังค์ จู่ๆ เธอก็พูดออกมาลอยๆ
“ห้องนั้น มันมืดมาก”
ตฤณฤทธิ์มองสงสัย “ห้องอะไรครับ”
นลินไม่ตอบ รีบเอามือปิดหูแล้วหลับตา เสียงดนตรีดังมากจนทนฟังไม่ไหว ร่างนลินทรุดนั่งลงกับพื้น ด๊อกเตอร์ตฤณตกใจ
“โอ๊ย”
“คุณลิน...คุณ...เป็นอะไร” ตฤณฤทธิ์เอามือจับไหล่นลินเรียกสติ
ทว่านลินเหมือนกำลังจะหมดสติ ตฤณฤทธิ์รีบประคองนลินไหว้กับอ้อมอก
“คุณ...คุณ...” อาจารย์ตฤณยังเขย่าตัวเรียกสตินลินอยู่อย่างนั้น บางจังหวะเขาเอามือเกลี่ยไรผมที่ระปิดหน้าออกให้ สุดท้ายนลินหมดสติไปในอ้อมแขนตฤณฤทธิ์
ตฤณฤทธิ์อุ้มนลินมารับลมที่เก้าอี้นั่งพักหน้าห้องเก็บของ สักพักนลินก็ได้สติ ทำหน้าสะลึมสะลือมองตฤณฤทธิ์งงๆ
“คุณ...ไหวไหม นั่งตรงนี้ก่อน”
นลินหายใจเข้าลึกๆ เรียกสติ “ขอบคุณนะคะที่ช่วยฉัน”
“ไม่เป็นไรครับ ว่าแต่คุณเป็นอะไรหรือเปล่า อยู่ดีๆก็หมดสติไป”
นลินทำหน้างง “คุณไม่ได้ยินเสียงอะไรเลยเหรอ เสียงดนตรีดังจนแสบแก้วหูไปหมด”
ตฤณส่ายหน้า “ผมไม่เห็นได้ยินอะไรเลย”
นลินหน้าเครียด ตฤณฤทธิ์เห็นนลินอาการดีขึ้นก็โล่งใจ รีบปลอบ
“ผมว่าคุณคงพักผ่อนน้อยเลยหูแว่วหรือเปล่า”
“ไม่นะ ฉันได้ยินจริงๆเสียงเหมือนพวกเครื่องดนตรีโบราณอะไรสักอย่าง”
ตฤณแกล้งอำ “คุณมโนไปเองละมั้ง ครั้งก่อนก็บอกเจอผีกระสือ ครั้งนี้บอกได้ยินเสียงดนตรีโบราณ”
“ไม่เชื่อก็แล้วแต่คุณ” นลินขัดใจลุกขึ้นยืนแล้วจะเดินออกไป
“อย่าเพิ่งลุกสิคุณ นั่งพักให้อาการดีขึ้นก่อน เดี๋ยวไปเป็นลมให้คนอื่นตกใจอีกหรอก”
นลินงอนใส่ “ฉันดีขึ้นแล้ว”
“ผมล้อเล่น คุณจะได้ยินเสียงหรืออะไรก็แล้วแต่ ผมว่ามันคงเกิดจากพักผ่อนไม่พอมากกว่า สมองเลยสร้างภาพหลอนขึ้นมาเอง”
“คุณหาว่าฉันไม่ปกติเหรอ”
“ผมไม่ได้หมายถึงอย่างนั้น เอาละคุณไปพักก่อนดีกว่า ไว้ผมค่อยมาใหม่”
“ฉันไม่เป็นไรแล้ว”
“แต่หน้าคุณยังซีดอยู่เลย เดี๋ยวผมโดนหาว่าใช้งานคุณจนเป็นลม รองปราโมทย์จะต่อว่าผมได้ อ้อ...ผมแค่อยากจะถามเรื่องมรกตเม็ดนั้นด้วยว่าไปตรวจสอบไปถึงไหนแล้ว เมื่อกี้ผมมองในตู้ไม่เห็น”
ได้ยินคำว่า มรกต นลินเสียววาบ มีสีหน้าตกใจ ท่าทีอึกอัก
“ฉันส่งไปตรวจสอบทำทะเบียนอยู่ค่ะ อีกสักพักคงจะส่งกลับมา”
“งั้นผมฝากเรื่องด้วยนะครับ ผมกะจะขอไปจัดแสดงให้นักศึกษาได้ทำวิจัยเกี่ยวกับประวัติเครื่องแต่งกายในยุคโบราณ”
“ค่ะ เดี๋ยวจะรีบตามงานให้นะคะ”
นลินหน้าเครียดจัด
ที่บ้านอชินีคืนนั้น อชินีกำลังนอนซบไหล่พนิชอยู่บนเตียงในห้องนอน เล่าเรื่องนลินไปรับมรดกให้ฟัง
“วันนี้ยัยลินกลับมาทำงานแล้วนะ ทำเป็นอวดร่ำอวดรวยได้มรดกมาตั้งสิบล้าน ฉันไม่เชื่อหรอก”
พนิชได้ยินหูผึ่งตาลุกวาว
“เป็นไปได้ไง ลินไม่มีญาติที่ไหนนี่ ต้าอำคุณเล่นหรือเปล่า”
อชินีหมั่นไส้ ทำหน้างอนใส่ “ลืมไปว่าคุณรู้ทุกเรื่องของยัยลิน”
พนิชกอดเอาใจ “แต่ก่อนน่ะใช่ แต่ตอนนี้ผมมีแค่คุณคนเดียว อดีตก็คืออดีต ผมหมดเงินไปกับยัยนั่นตั้งเยอะ ไม่มีทางที่ผมจะกลับไปแน่นอน”
อชินียิ้มพอใจ “แล้วถ้ามันได้เงินมรดกมาจริงล่ะ คุณจะกลับไปไหม”
“ไม่มีทาง คุณเชื่อใจผมได้เลย ผมไม่มีวันเอาคุณไปแลกกับผู้หญิงหน้าโง่อย่างนั้นหรอก”
อชินียิ้มหวานมองพนิชอย่างหลงใหลมี โดยไม่ทันเห็นแววตาครุ่นคิดของอีกฝ่าย
ทางด้านนลินนอนกระสับกระส่ายอยู่บนเตียงนอน เสียงดนตรีโบราณประโคมดังขึ้นมาหลอกหลอน
นลินส่ายหน้าไปมาเหมือนกำลังฝันร้าย เหงื่อออกเต็มหน้า มือทั้งสองข้างจับที่คอ ดิ้นทุรนทุรายด้วยความเจ็บปวด ขาทั้งสองข้างเกร็งถีบผ้าห่มกระจัดกระจาย
เหมือนมีบางอย่างลอยออกไปนอกหน้าต่างอย่างรวดเร็ว
นลิน ฝันเห็นเจ้าหญิงสาวิตราณีกำลังร่ายรำอย่างอ่อนช้อยงดงาม ในคุกลับของปราสาทแห่งนั้น แสงไฟสลัวสาดส่องไปยังร่างสาวิตราณี ที่ร่ายรำไปตามท่วงทำนองดนตรีโบราณหวานเศร้าชวนขนลุก
สิงหลนั่งอยู่มุมห้องถูกจองจำด้วยโซ่ตรวนที่เท้า มองสาวิตราณีด้วยสายตาเศร้าสร้อย
นลินสะดุ้งตื่นขึ้นมาตอนเช้ามืด ในสภาพเหงื่อโทรมหน้า จู่ๆ รู้สึกเจ็บตึงที่คอ จึงรีบลุกขึ้นไปส่องกระจกห้องน้ำดู เห็นมีรอยเส้นสีแดงขึ้นที่รอบคอ นลินตกใจระคนงุนงงสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง
นลินเดินออกมาหน้าบ้าน มีผ้าผืนสวยเข้ากับชุดที่เธอใส่พันรอบคอ เห็นกวิตาตายืนมองรถคันใหม่อย่างตื่นเต้นอยู่หน้าบ้านแล้ว
“โห...สวยกิ๊งเลยลิน เป็นบุญของฉันจริงๆ ได้เจิมรถแก”
รถยนต์ป้ายแดงติดฟิล์มมืดทั้งคันจอดอยู่หน้าบ้าน
พอเดินออกไปถูกแสงแดด นลินก็รู้สึกแสบตาอย่างแรงจนต้องยกมือป้องตา และรู้สึกหน้ามืดเหมือนจะเป็นลม จนต้องเดินกลับเข้าบ้าน
“อ้าว ลินจะไปไหน ไม่ขึ้นรถล่ะ”
กวิตามองตามงงๆ
นลินกลับออกมา ใส่แว่นกันแดด ขึ้นรถไป
“อ๋อ รถสวยต้องคู่กับแว่นกันแดดเท่ๆ ล่ะสิ
กวิตาร้องอ๋อ วิ่งตามหลังนลินมาขึ้นรถด้วยท่าทางดีใจ
รถใหม่ป้ายแดงของนลินแล่นมาจอดในลานจอดรถของกรมฯ ข้างๆ รถเก่าๆ คันหนึ่ง เห็นความแตกต่างกันชัดแจ้ง อชินีลงจากรถคันเก่าคันนั้น มองไปที่รถนลินอย่างแปลกใจ
แต่พออชินีเห็นนลินกับกวิตาลงจากรถก็เบะปากใส่ นลินกางร่มใส่แว่นตาดำ รีบเดินเข้าที่ทำงานไม่สนใจอชินี
กวิตาลอยหน้าลอยตาเชิดใส่อชินี ยิ้มเยาะเบาๆ ก่อนจะรีบตามนลินไป รู้สึกแปลกใจจนอดทักถามเพื่อนไม่ได้
“ลินวันนี้แกดูแปลกๆ กางร่มแล้วยังต้องใส่แว่นดำอีกเหรอ”
“ฉันรู้สึกแสบตา แดดคงแรงมั้ง”
“ฉันก็นึกว่าแกรวยแล้วผิวบาง” กวิตาจงใจว่ากระทบอชินี “อย่างว่าแหละคนสวยและรวยมาก ทำอะไรก็ได้”
อชินีมองตามนลินกับกวิตาจากด้านหลังด้วยความหมั่นไส้สุดจะประมาณ
บรรยากาศของหมู่บ้านในตอนคืนเงียบสงบจนสงัดดูน่ากลัว
รปภ. ปั่นจักรยานออกตรวจความเรียบร้อยในหมู่บ้าน ฮัมเพลงไป ปั่นจักรยานไป อย่างอารมณ์ดี ไล่สายตาผ่านบ้านแต่ละหลังจนมาถึงบ้านนลิน เห็นมีดวงไฟสีเขียวลอยอยู่บนหลังคา รปภ. จึงหยุดจักรยาน ลงไปเพ่งมองชัดๆ ด้วยสีหน้าสงสัย
“โจรรูปแบบใหม่บ้อนี่ มึงๆ ตกหลังคาคอหักตายสาน้อ”
รปภ. รีบเอาไฟฉายส่องไปที่หลังคา เห็นเป็นผู้หญิงผมยาวปิดหน้า มีแต่ไส้และแสงวับๆ ค่อยๆ ลอยออกจากหลังคาออกไป
“ผะ...ผะ...ผะ...”
รปภ. ชะตาขาดตะโกนเป็นภาษาอีสานให้คนช่วยลั่นหมู่บ้าน
“ไผกะได้ซอยข่อยแหน่ ผีกระสือ...ผีกระสือ...”
รุ่งเช้า เสียงเจ๊ตุ่มกรีดร้องดังลั่น เมื่อตื่นขึ้นมาเดินออกไปเห็นผ้าขนหนูที่ตากไว้บนราวตากผ้าหลังบ้าน มีคราบเลือดสีแดงสดๆ ติดอยู่หลายผืน ร้องตะโกนเรียกผัว
“ตาหมายแกออกมาดูอะไรนี่เร็ว”
ตาหมายเดินออกมาตามเสียงเรียกด้วยความตกใจ พอเห็นผ้าขนหนูเปรอะเลือดก็ตกใจ
“ตอนฉันตากผ้าไม่มีรอยนะ นี่มันรอยเลือดใหม่ๆ อยู่เลย ใครมาเล่นพิเรนทร์อะไรแบบนี้”
สองผัวเมียมองหน้ากันด้วยความสงสัย
ขณะเดียวกันเจ๊ปริกเพื่อนบ้าน บ้านติดกับบ้านนลินและกวิตา เดินออกมาตามหาเจ้าการ์ฟิลด์ ลูกแมวแสนรัก
“การ์ฟิลด์ลูก...หนูอยู่ไหนคะ”
อีกมุมไม่ไกลนัก เห็นมีชาวบ้านกำลังมุงอะไรบางอย่างอยู่ เจ๊ปริกเดินแหวกผู้คนเข้าไปดู แล้วต้องยืนตาค้างตกใจสุดขีด เอามือปิดปากเหมือนจะร้องไห้
“การ์ฟิลด์”
เจ้าแมวการ์ฟิลด์ท้องโบ๋ไม่มีไส้ นอนเลือดท่วมตัวอยู่ข้างรั้วบ้านนั่นเอง เจ๊ปริกกรี๊ดเสียงดังอย่างคนเสียสติวิ่งถลาเข้าไปอุ้มแมวขึ้นมา ร้องไห้ฟูมฟายเสียงดังโดยไม่อายใคร
“การ์ฟิลด์ ใครมันทำกับลูกฉันได้ลงคอ การ์ฟิลด์ไม่เคยทำอะไรให้ใครเดือดร้อน ฮือๆ”
หมายวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาสมทบ “มันต้องเป็นผีกระสือแน่ๆเลย ตอนนี้ที่หน้าหมู่บ้านเขาลือกันใหญ่ว่า รปภ. เจอผีกระสือเมื่อคืนที่ข้างบ้านเจ๊” ชี้ไปที่บ้านนลิน
เจ๊ตุ่มเสริมว่า “ผ้าที่ฉันตากไว้ก็มีคราบเลือดสดๆ ด้วย”
ชาวบ้าน1 ในนั้น กำลังโพสต์ภาพแมวท้องโบ๋ลงในเฟซ #กระสืออาละวาดหนัก สังเวยไปหนึ่งชีวิต
ระหว่างนี้กวิตาในชุดวิ่งออกกำลังกายเดินเข้ามาดูว่าเกิดอะไรขึ้น พอมองเห็นว่าอะไรเป็นอะไร ก็เอามือปิดปากด้วยความตกใจระคนสยดสยอง
เจ๊ตุ่มหันมาถามกวิตา “น้อง...เมื่อคืน รปภ. เขาบอกเจอกระสือบนหลังคาบ้านน้องนะ เธอเห็นอะไรแปลกๆ บ้างไหม”
“กระสือ...เนี่ยนะ” กวิตาส่ายหน้าไม่เชื่อ “ไม่มีหรอกพี่ นี่มันกรุงเทพฯ ยุคไหนแล้ว จะมีกระสือได้ไง”
หมายทำหน้าไม่พอใจ “ไม่เชื่อก็ลองไปถาม รปภ. หน้าหมู่บ้านดูสิ ตอนนี้จับไข้หัวโกร๋นอยู่เลย”
เจ๊ปริกอุ้มแมวไว้กับอก “ไม่ว่ามันจะเป็นผีหรือคน ฉันก็จะแก้แค้นมันให้ได้ ถ้ามันเป็นกระสือ อีปริกนี่แหละจะฉีกไส้มันด้วยมือของตัวเอง ลูกฉันต้องไม่ตายฟรี”
สีหน้าเจ๊ปริกเต็มไปด้วยความอาฆาตแค้นสุดจะประมาณ
ที่ร้านกาแฟแห่งหนึ่ง มือถือของบุรัณย์ นักข่าวสายอาชญากรรมของช่อง8 มีโพสต์ข่าวมากมายเด้งขึ้นที่หน้าจอ บุรัณย์กดอ่านข่าวไปเรื่อยๆ ด้วยสีหน้าตาตื่นเต้น
“#แมวไส้หาย #กระสืออาละวาดหนัก สังเวยไปหนึ่งชีวิต”
บุรัณย์รีบกดโทร.หาโจ๊กน้องในทีมข่าวอาชญากรรมช่อง8 ให้หาข้อมูล
“แกช่วยหาข้อมูลเรื่องแมวไส้หายให้พี่หน่อยนะว่าเกิดขึ้นที่ไหนอะไรยังไง” บุรัณย์มองไปเห็นตฤณเดินเข้ามารีบยกมือไหว้ทักทายก่อนจะวางสายไป “อ้าวมาแล้วพี่ตฤณ แค่นี้ก่อนนะ พี่คุยงานก่อน”
ตฤณฤทธิ์นั่งลงที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้าม
“เป็นไงบ้าง ช่วงนี้ฮอตใหญ่นะ กว่าจะนัดคิวได้ ไอ้นักข่าวเนื้อหอม”
“ช่วงนี้งานเยอะสนุกดีครับ ว่าแต่พี่มีอะไรให้น้องรับใช้คร้าบ”
“งั้นเข้าเรื่องเลยแล้วกัน พี่อยากให้แกไปช่วยทำข่าวโปรโมทปราสาทให้หน่อย”
“ได้ครับพี่ แต่ขอเวลาผมหน่อยนะ พอดีช่วงนี้มีข่าวกระแสแรง”
“ข่าวอะไรวะ” ตฤณฤทธิ์ทำหน้าสงสัย
บุรัณย์ยื่นมือถือให้ดูรูปข่าวแมวไส้หาย ตฤณมองดูปราดเดียว
“หมากัดหรือเปล่า”
“หมากินไส้แมวเนี่ยนะพี่” บุรัณย์ขำ “มันมีคนเจอกระสือเข้ามาโยงด้วยสิ”
“นี่แกไม่มีข่าวอะไรทำแล้วเหรอ ถึงได้มายุ่งเรื่องหมาแมว”
“กำลังเป็นกระแสเลยนะพี่ คนตามกันเป็นแสน ตีเหล็กต้องตีตอนร้อน เดี๋ยวจบงานนี้ผมไปทำข่าวให้พี่เลยครับ”
ตฤณอมยิ้มขำ “ขอบใจมากนะไอ้นักข่าว”
บุรัณย์ยิ้มรับ “ด้วยความเต็มใจครับพี่ งั้นเดี๋ยวผมบอกวันพี่อีกทีนะว่าจะเข้าไปได้วันไหน”
“ตามสบายเลย” ตฤณแซวขำๆ ว่า “ไปหาไส้แมวให้เจอก่อนแล้วกัน”
ตฤณยิ้มขำพลางส่ายหน้าเห็นเป็นเรื่องไร้สาระ
ด้านกวิตากำลังจับกลุ่มเม้าท์เรื่องผีกระสือกับเรื่องแมวไส้หายในหมู่บ้านกับเพื่อนๆ สาวกรมศิลป์
“สยองมากเลยแก ฉันไม่น่าเดินผ่านไปเจอ ยังติดตาอยู่เลยเนี่ย วันนี้จะกินข้าวลงไหมอ่ะ”
“สงสารเจ้าของแมวเนอะ คงเสียใจน่าดู” แคทว่า
“โอ๊ย...ถึงขนาดจะตามแก้แค้นให้เลยล่ะ ถ้าเป็นกระสือจริงแกก็จะตามไปฉีกไส้กระสือเลยนะ”
นลินกำลังนั่งคอตก หาวเอาๆ อยู่ที่โต๊ะทำงาน ไม่ได้สนใจที่เพื่อนคุยเอาเลย จนกวิตาบุ้ยใบ้มาทางนลิน
“เมื่อคืนมีคนบอก รปภ. เจอผีกระสือบนหลังคาบ้านเราด้วยนะ ลินได้ยินหรือเห็นอะไรแปลกๆบ้างไหม”
นลินทำหน้างง “ก็ไม่นะ ฉันนอนหลับเป็นตายเลยไม่รู้เรื่องอะไรหรอก”
“แต่หน้าเหมือนไม่ได้หลับได้นอนมากกว่านะลิน”
“พูดจริงหรืออำต้า เจอกระสือบนหลังคาบ้านจริงๆ เหรอ”
“พูดจริงๆ จะมาล้อเล่นทำไมล่ะ พูดมาแล้วขนลุกเลย” กวิตาทำท่าขนลุกขนพอง
กวิตายื่นแขนให้หยกกับแคทดูว่าขนลุกจริงๆ แล้วยื่นแขนให้นลินดู ขณะที่นลินมองดูแขนอยู่ กวิตาสังเกตเห็นสายตานลินแปลกไป กวิตาจับคางนลินเงยขึ้นเพื่อมองดูหน้าชัดๆ
นลินงง “อะไรของเธอเนี่ยต้า”
กวิตาทำหน้าตกใจมาก “ลินตาแกไม่มีแววตาว่ะ”
“ต้าแกจะแกล้งอะไรอีกล่ะ ฉันไม่ขำด้วยหรอกนะ” นลินทำหน้าหน่าย “ไปๆ ทำงานโน้น”
กวิตาพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ฉันพูดจริงนะลิน ไม่เชื่อลองให้หยกกับแคทดูสิ”
“ไหนๆ ลิน” แคทจะดูให้
“ไม่เป็นไรแคทเราคงง่วงเลยดูตาลอยๆ มั้ง ขอไปล้างหน้าในห้องน้ำก่อน”
นลินหลบตาวูบ แล้วรีบลุกเดินออกไป
กวิตา หยก แคท มองตามอย่างแปลกใจ พิมพ์พลอยกับอชินีมองตามด้วยสายตาสงสัยเช่นกัน
หน้าจอโน้ตบุ๊คล้วนเป็นหัวข้อเกี่ยวกับเรื่องกระสือทั้งนั้น ตฤณฤทธิ์นั่งอยู่ที่โต๊ะสนามในสวนสวยหน้าบ้าน จ้องหน้าจอหาข้อมูลกระสืออยู่ ด้วยสีหน้าครุ่นคิด
เขานึกถึงตอนเห็นดวงไฟในป่าครั้งแรก จนเห็นดวงไฟในหมู่บ้านอีกเป็นครั้งที่สอง รวมทั้งตอนเจอกับนลิน และนลินบอกเจอกระสือกินไก่ ตฤณนั่งใช้ความคิดหนัก พึมพำกับตัวเอง
“ไม่น่าเป็นเรื่องจริง”
ศันสนีย์เดินถือจานผลไม้มาให้แล้วแอบมองหน้าจอ เห็นตฤณอ่านเรื่องกระสือเลยถามขึ้น
“ตฤณเชื่อเรื่องพวกนี้ด้วยเหรอลูก”
ตฤณตกใจ ปิดหน้าจอลงแล้วหันไปมอง
“ไม่หรอกครับแม่ ผมแค่ลองคลิกเข้าไปดูว่าเรื่องมันเป็นยังไง สมัยนี้แล้วไม่มีเรื่องแบบนี้หรอก”
“แต่สมัยแม่ยังเด็กเรื่องพวกนี้มันมีจริงๆ ยายยังเคยเจอและเล่าให้แม่ฟัง สมัยยายเด็กๆ ตาทวดของลูกยังเคยออกไปไล่กระสือในหมู่บ้านอยู่เลย”
ตฤณมองศันสนีย์ด้วยสีหน้าแปลกใจ และไม่อยากเชื่อ
ฟากนลินเปิดประตูเข้ามาในห้องน้ำออฟฟิศกรมศิลป์อย่างรีบร้อน ยืนจ้องมองดูเงาตัวเองในกระจกอย่างสงสัย แล้วต้องมีสีหน้าตกใจเมื่อพบว่าตัวเองไม่มีแววตาจริงๆ นลินวักน้ำล้างหน้าแล้วมองหน้าตัวเองในกระจกอีกครั้งเพื่อความมั่นใจ
แต่ดวงตานลินก็ไม่มีแววตาเหมือนเดิม นลินตกใจว่าเกิดอะขึ้นกับเธอกันแน่ ถอยหลังออกจากกระจกเหมือนไม่เชื่อในสิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้า
นลินเดินเข้ามาใกล้ๆ กระจกอีกครั้ง แล้วค่อยๆ ดึงคอเสื้อลงดูช้าๆ เห็นรอยรอบคอเป็นสีแดงอย่างชัดเจน
เสียงอชินีดังเข้ามา “รอยอะไรอ่ะ เธอเป็นอะไรหรือเปล่า”
นลินหันไปมอง ด้วยสีหน้าตกใจ
อชินีเปิดประตูห้องน้ำเดินเข้ามาหา นลินรีบดึงเสื้อปิดท่าทางอึกอัก
“ไม่มีอะไรหรอก แค่รอยเล็บข่วน”
“มันไม่น่าใช่รอยเล็บนะลิน ไหนฉันดูให้”
อชินีเดินเข้ามาจ้องที่คอนลินเหมือนไม่เชื่อ ยื่นมือจะไปจับคอเสื้อดูชัดๆ
นลินตกใจเอามือปัดมืออชินีอย่างแรงแล้วรีบเดินออกจากห้องน้ำไป
อชินียืนตกใจกับท่าทีดังกล่าวพลางตะโกนบ่นตามหลังนลินไป
“ฉันก็แค่เป็นห่วง ไม่เห็นต้องทำขนาดนี้เลย”
อชินีมองตามด้วยสีหน้าไม่พอใจเอามากๆ
สองสาวเดินมาตามทางเดินในกรม
นลินกดรับโทรศัพท์จากใครบางคน เอามือป้องปากคุย ไม่อยากให้กวิตาได้ยิน
“ได้ๆ แค่นี้ก่อนนะ”
กวิตามองสงสัย
“แก คุยกับใครทำไมดูลนๆ”
นลินหลบสายตามีพิรุธ “เปล่าๆ ไม่มีอะไร”
กวิตามองสงสัยเหมือนรู้ทัน “อย่าบอกนะว่าแกคุยกับไอ้พีทพาซวยนั่น”
นลินยอมจำนน พยักหน้ารับจ๋อยๆ “เรามีเรื่องต้องเคลียร์กับพีทนิดหน่อย”
กวิตามองหน่ายๆ “ผู้ชายห่วยๆอย่างไอ้พีท แกยังต้องมีอะไรไปเคลียร์กับมันอีกลิน... มันยังสร้างความเดือดร้อนให้แกไม่พอหรือไง”
นลินพูดอย่างมั่นใจว่า “ฉันไม่โง่เหมือนเดิมแล้ว”
ระหว่างนี้พนิชวิ่งเข้ามาหานลินกับกวิตา มองหน้านลินด้วยความดีใจ
“ลิน...ลินหายไปไหนมา พีทโทร.หาไม่ติดเลย พีทเป็นห่วงลินมากนะ”
นลินกับกวิตามองหน้ากัน ทำท่าทางสะอิดสะเอียน
“โอ๊ย...อยากจะอ้วกกกก”
พนิชทำหน้าไม่ถูก “อ้าว ต้าไม่เจอกันนานเป็นไงบ้าง”
กวิตาลอยหน้าไม่ตอบ ทำหน้าเหมือนเหม็นอะไรสักอย่าง
“เหม็นอะไรไหมลิน กลิ่นเหมือนแมงดาเลยอะ” กวิตาหันมามองเหน็บพนิช “ไปก่อนนะ หายใจไม่ออกแถวนี้มันเหม็น”
กวิตาเดินสะบัดออกไป พนิชมองตามอย่างเจ็บใจ
นลินยืนคุยกับพนิชที่ลานจอดรถของกรม พนิชนั้นคอยมองซ้ายมองขวากลัวอชินีมาเห็น
“ลินคิดถึงผมไหม” พนิชยิ้มให้จับมือนลินมากุมแต่ถูกเธอสะบัดมือออก “ลินยังโกรธผมอยู่ใช่ไหม ผมขอโทษที่ทำให้ลินเดือดร้อน”
นลินเสียงแข็งใส่ “เรื่องนั้นช่างมันเถอะ ถือว่าเป็นบทเรียน”
“ลินให้อภัยผมแล้วใช่ไหม” พนิชโผเข้าไปกอด ถูกนลินผลักออกด้วยท่าทีขยะแขยง
“ปล่อยฉันนะ! คุณไม่มีสิทธิ์มาแตะต้องตัวฉัน”
พนิชไม่ยอมตื๊อต่อ “ผมรักคุณนะ ที่ผมหายไป ผมพยายามไปหาเงินมาเคลียร์ปัญหาทุกอย่างนะลิน เราจะได้กลับมาเหมือนเดิม”
“เข้าใจอะไรผิดไปหรือเปล่าคุณพนิช ที่ฉันยอมเจอคุณ ฉันแค่อยากคุยเรื่องมรกตเม็ดนั้น”
“ผมเอาไปขายให้พ่อค้าของเก่า ถ้าลินอยากได้ เดี๋ยวผมจะไปไถ่ออกมาให้ แต่ตอนนี้ผมเอาเงินไปใช้หนี้หมดแล้ว”
นลินยิ้มเยาะ “ใช้หนี้เหรอ ไอ้คนโกหก! หยุดหลอกลวงสักที ฉันเห็นธาตุแท้ของแกหมดแล้ว”
พนิชเห็นนลินเสียงแข็ง รีบเข้าไปอ้อนกอดไว้แน่น นลินสะบัดตัวออก แต่พนิชไม่ยอมปล่อย
“ปล่อยนะ” นลินเสียงกร้าว “ปล่อยเดี๋ยวนี้ ปล่อย”
พนิชไม่ยอมปล่อย แถมยิ่งกอดรัดมากขึ้น เหมือนจะปลุกปล้ำ นลินผลักออกอย่างแรง
นลินสีหน้าโกรธมาก ดวงตากลายเป็นสีแดงก่ำฟันมีเขี้ยวงอกออกมา มองมาที่พนิชอย่างเคียดแค้น พนิชมัวแต่ตะลึง กระโดดกัดเข้าที่คอหมับ พนิชแหกปากร้องลั่น
พนิชสะบัดตัวนลินออก มองดูนลินด้วยความตกใจกลัว
พนิชคลำแผลดูพบว่าเลือดตัวเองไหลออกมา ก็ตกใจยิ่งขึ้นเอามือกดแผลไว้
“แกกัดฉันเหรอ อีปีศาจ”
พนิชตะโกนด่านลินแล้ววิ่งหนีไปที่รถ
ตฤณฤทธิ์เดินมาที่รถเห็นเหตุการณ์จากไกลๆ จึงรีบเข้าไปดู เห็นพนิชตกใจกลัววิ่งเตลิดหนีไป ส่วนนลินทั้งงงและตกใจที่เห็นตัวเองเป็นแบบนี้ วิ่งหนีไปทางสวนอีกทาง ตฤณร้องเรียกพร้อมกับตามนลินไปทันที
“คุณ...คุณเป็นอะไรหรือเปล่า”
นลินวิ่งมาหลบมุมนั่งตัวสั่นคุดคู้หลังพุ่มไม้ในสวนหย่อม ด้วยความกลัวและตกใจตัวเอง
ตฤณเดินเข้ามาทางด้านหลัง เอามือจับที่ไหล่เรียกนลิน “คุณ.. คุณลิน”
นลินเงยหน้าหันมาช้าๆ โดยไม่รู้ปากมีแต่รอยเลือด ตฤณผงะไปเล็กน้อยก่อนจะตั้งสติได้
“คุณเป็นอะไรไหม เขาทำอะไรคุณ...”
นลินทั้งตกใจทั้งกลัวจนตัวสั่น ปล่อยโฮออกมา แล้วโผเข้ากอดตฤณไว้แน่น
ตฤณฤทธิ์ทำอะไรไม่ถูก ได้แต่กอดนลินไว้เชิงปลอบขวัญ
“คุณเจ็บตรงไหนหรือเปล่า ไปหาหมอไหม”
นลินส่ายหน้า ร้องไห้โฮๆ ยังช็อกกับเรื่องที่เกิดขึ้นไม่หาย ทำอะไรไม่ถูก ได้แต่กอดตฤณไว้แน่นด้วยความกลัว
เย็นวันนั้น อชินีนั่งดูทีวีอยู่ในโถงบ้าน เห็นพนิชเดินเข้าบ้านมาด้วยสีหน้าเจ็บปวด ตรงคอมีผ้าก๊อซปิดแผลไว้ อชินีก็ตกใจลุกมาหา
“ พีท คุณไปโดนอะไรมา ทำไมเป็นแบบนี้”
“โดนนังลินทำร้ายมาสิ นังนั่นมันกลายร่างเป็นปีศาจ แล้วกระโดดกัดคอผม”
อชินีหน้าตึง ไม่พอใจขึ้นมาทันควัน “นี่อย่าบอกนะว่าไปหานังลินมา”
พนิชใส่ไฟนลิน “คุณฟังผมก่อนสิ วันนี้ผมกะจะไปรับคุณ แต่ดันไปเจอกับนังนั่นก่อน มันคงโกรธที่ผมไม่ยอมคืนดีด้วยเลยเข้ามาทำร้ายผม โอ๊ย...” พนิชทำท่าเจ็บแผล
อชินีสงสัย “จริงเหรอ ไม่ใช่คุณไปตามง้อมันนะ”
พนิชอ้อน “ผมมีคุณคนเดียวนะอุ้ม คุณเลิกดูถูกความจริงใจที่ผมมีให้คุณได้แล้ว”
อชินีหลงคำหวาน มองพนิชด้วยความซาบซึ้งใจ
“ฉันเชื่อใจคุณ แต่ฉันไม่ไว้ใจนังลิน ช่วนนี้ยิ่งดูนังนั่นมันแปลกๆ วันนี้ฉันเห็นมันมีรอยที่คอด้วย”
พนิชคิดตาม “ที่ผมเห็น..ดวงตามันเป็นสีแดงเหมือนผี น่ากลัวมากยังกับปีศาจเลย”
อชินีใคร่ครวญครุ่นคิด “ฉันต้องรู้ให้ได้ว่ามันเป็นอะไรกันแน่”
พนิชมองอชินีด้วยสายตาเจ้าเล่ห์
ตฤณฤทธิ์ขับรถมาส่งนลินที่บ้าน เวลานี้เขาช่วยประคองนลินเดินมาส่งถึงประตูบ้าน นลินมีสีหน้าอ่อนแรงเห็นชัด
“ขอบคุณมากนะคะคุณตฤณ ส่งฉันแค่นี้ก็ได้ค่ะ”
ตฤณมองเป็นห่วง “คุณไหวจริงๆ นะ”
นลินพยักหน้าให้ “ถึงบ้านแล้วได้นอนพักสักหน่อยคงดีขึ้นค่ะ”
ตฤณมองนลินด้วยความเป็นห่วงอยู่นั้น
นลินเปิดประตูเข้าบ้าน แต่ทำกุญแจหลุดมือ ตฤณรีบก้มลงเก็บให้
“ผมว่าคุณยังไม่ดีขึ้นนะ ให้ผมอยู่เป็นเพื่อนไหม”
นลินบอกดวยน้ำเสียงอ่อนแรง “ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวต้าก็กลับมาแล้ว”
“งั้นผมกลับก่อนครับ”
“ขอบคุณอีกครั้งนะคะ”
ตฤณมีสีหน้าลังเล แต่ไม่อยากเซ้าซี้ “คุณ..มีอะไรโทร.หาผมได้ตลอดเวลา ไม่ต้องเกรงใจนะครับ”
นลินยิ้มรับเอาคำ มองตฤณด้วยความรู้สึกขอบคุณ
ขณะที่ตฤณกำลังจะเดินไปขึ้นรถ เขาต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงคุ้นหูตะโกนเรียกมาแต่ไกล
“พี่ตฤณ...”
ตฤณหันไปมองตามเสียงเรียก เห็นเป็นบุรัณย์กับโจ๊ก เดินตรงมาหาก็แปลกใจ
“อ้าวรัน...มาทำอะไรแถวนี้”
โจ๊กแยกไปคุยกับเจ้าของบ้านใกล้ๆ บุรัณย์เดินเข้ามาหาตฤณฤทธิ์ ไหว้ทักทาย
“ผมมาทำข่าวแมวไส้หายครับ แล้วพี่ล่ะมาทำอะไรแถวนี้ อย่าบอกนะว่า...”
ตฤณตัดบท “ไม่มีอะไร แค่มาส่งคนรู้จัก”
บุรัณย์ยิ้มอำ “คนรู้จักหรือคนรู้ใจครับพี่”
ตฤณมองปรามด้วยสายตา บุรัณย์ยิ้มขำ
“อา...ไม่แซวแล้ว พี่รู้จักกับเจ้าของบ้านใช่ไหม”
“มีอะไรเหรอ”
บุรัณย์มองเข้าไปในบ้านนลิน “ผมอยากขอสัมภาษณ์เจ้าของบ้านหน่อย มีคนบอกเจอกระสือบนหลังคาบ้านบ้านหลังนี้”
ตฤณฟังแล้วอึ้งไปเล็กน้อย
“คงไม่สะดวกมั้ง พี่เพิ่งมาส่งเขาเพราะเขาไม่สบาย”
บุรัณย์เซ็ง “อ้าว...งั้นไม่เป็นไร ยังไงพี่ช่วยนัดเจ้าของบ้านให้ผมหน่อยนะครับ”
ตฤณพยักหน้ารับ “อืม...ไว้พี่จะลองถามให้ แต่ไม่รับปากนะว่าเขาจะยอมให้สัมภาษณ์หรือเปล่า”
โจ๊กวิ่งเข้ามาเรียกบุรัณย์
“เรียบร้อยแล้วพี่ เจ้าของบ้านพร้อมให้สัมภาษณ์แล้ว”
“โอเคเดี๋ยวพี่ตามไป งั้นผมขอตัวครับพี่ตฤณ ขอบคุณมากครับพี่”
บุรัณย์ไหว้ลา ตฤณพยักหน้ายิ้มให้แล้วเดินไปขึ้นรถขับออกไปทันที
เช้าวันใหม่ ที่แผนกจิตเวช ของโรงพยาบาล นลินพาตัวเองมาปรึกษากับจิตแพทย์เรื่องอาการแปลกๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างนี้
“ดิฉันไม่เคยเป็นแบบนี้เลยค่ะ มันเหมือนควบคุมตัวเองไม่ได้เลย”
“คงเกิดจากการพักผ่อนไม่เพียงพอ เลยส่งผลให้คุณมีอาการสภาวะอารมณ์ไม่สมดุลย์ แต่อย่าเพิ่งตกใจนะคะ เรามีวิธีรักษา”
“ดิฉันก็พักผ่อนปกตินะคะ นอนวันละ 8 ชั่วโมง แต่ตื่นมาก็ยังรู้สึกเพลียมาก”
“ผลตรวจความดันคุณต่ำค่ะ อาจจะเกิดจากการพักผ่อนไม่เพียงพอ หรือมีผลจากความเครียด เลยทำให้ฮอร์โมนผิดปกติ”
“ฉันควรทำอย่างไรดีคะคุณหมอ”
“หมอจะให้ยาคลายเครียดไปลองกินดูนะคะ และวิธีควบคุมอารมณ์ที่ดี่ที่สุดคือหลีกเลี่ยงการปะทะค่ะ เวลารู้สึกโกรธให้หายใจเข้าลึกๆ แล้วรีบออกมาจากสถานการณ์นั้นๆ”
“ต้องใช้เวลาในการรักษานานแค่ไหนคะ”
“ขึ้นอยู่กับตัวคุณเองค่ะ ต้องกินยาให้ครบตามที่หมอสั่ง และพักผ่อนให้เพียงพอ ฝึกการควบคุมอารมณ์ แค่นี้ก็หายแล้วค่ะ สบายใจได้” หมอยิ้มให้
นลินรู้สึกโล่งใจ
นลินเปิดประตูห้องน้ำออกมา เจอกับอชินีตรงทางเดิน สองสาวหลีกหลบทางกันอยู่สองสามรอบ อชินีหยุดมองนลินอย่างมีแผนตั้งใจล้วงความลับเรื่องแผลที่คอ นลินเดินหลีกออกไปจนได้
อชินีตะโกนตามหลัง “ลิน...เดี๋ยวอย่าเพิ่งไป”
นลินหันมามองงงๆ “มีอะไรเหรอ”
อชินีเพ่งมองที่คอเสื้อนลิน นลินรู้ตัวรีบเอามือดึงคอเสื้อขึ้นเหมือนต้องการปกปิดอะไรบางอย่าง
“ฉันเห็น...” อชินีบอก
นลินสงสัย “เห็นอะไร”
“แมลงเกาะอยู่ที่คอเสื้อเธออะลิน เดี๋ยวเอาออกให้”
พอสบโอกาสอชินีรีบเอามือดึงคอเสื้อนลินลง
“ไม่ต้อง”
นลินสะบัดมืออชินีเต็มแรงจนหลุด แล้วเดินแกมวิ่งหนีไป อชินีไม่ยอม ตามไปติดๆ
อ่านต่อ ตอนที่ 5