สาปกระสือ ตอนที่3 พิลึก!ยัยเพียรตาย สั่งเสียให้ฝังศพไว้หลังบ้าน
บทประพันธ์และบทโทรทัศน์โดย อาณาจินต์
ข่าวการเสียชีวิตของยายเพียรแพร่กระจายไปทั่วบ้านดอนป่าหวาย งานศพของคุณยายถูกจัดขึ้นที่บ้านนั่นเอง
เย็นวันนั้นนลินกับชลันตีอยู่ในชุดดำ ยืนต้อนรับแขกอยู่ตรงประตูหน้าบ้าน มีชาวบ้านทยอยมาร่วมงานไว้อาลัยยาเพียรมากมาย ในนั้น มีเจ๊หวี ผัน และชมพู่ เพิ่งมาถึง ทั้งสามรีบเข้าไปทักทาย เจ๊หวีแสดงความเสียใจกับชลันตี
“เสียใจด้วยนะคะคุณชลันตี”
“ยายเพียรแกออกจะแข็งแรง ไม่นึกเลยว่าจะจากไปกะทันหันแบบนี้” ชมพู่บอกสีหน้าเศร้า
ผันบอกกับชลันตีอย่างมีน้ำใจ “ถ้ามีอะไรให้ช่วยบอกได้เลยนะครับ พวกเรายินดี”
“ขอบคุณทุกคนมากนะที่มางาน” ชลันตีหันไปหานลิน “ลิน นี่เจ๊หวี พี่ชมพู่ พี่ผัน”
นลินยกมือไหว้ พวกเจ๊หวีเห็นนลิน รู้สึกไม่คุ้นหน้า ชมพู่จึงถามขึ้นแทนทุกคนว่า
“คนนี้คือ”
ชลันตีแนะนำนลินให้ทุกคนรู้จัก
“นี่นลิน หลานแท้ๆ ของคุณยายจ้ะ”
ทั้งสามคนมองหน้านลินอีกรอบ รู้สึกแปลกใจไม่คลาย
“เพิ่งรู้นะคะเนี่ย ว่าแกมีหลานด้วย ดูสวยคมขำเชียว”
เจ๊หวีจะชวนนลินคุย แต่เสียงโฉมศรีแหวดังขัดขึ้นก่อน
“แต่ไม่รู้หลานประเภทไหน ยายป่วยใกล้ตายถึงเพิ่งติดต่อมา”
ทุกคนหันไปมอง เห็นโฉมศรีกับฉัตรฉายเดินเข้ามา ชมพู่เบะปาก พูดประชดใส่โฉมศรีอย่างหมั่นไส้
“อ้าวคุณนาย สวัสดีค่า ตามมารยาทนี่ต้องแสดงความเสียใจ ไม่ใช่มาแขวะญาติเขานะคะ”
“ฉันก็มาแสดงความเสียใจนี่ไง เห็นยายเพียรรอลูกหลานกลับมาหาตั้งยี่สิบกว่าปีแล้ว กว่าจะโผล่มาก็ตายพอดี” ฉัตรฉายมองไปยังนลิน
นลินหน้าเจื่อนไปนิด ชลันตีปราดออกมายืนหน้านลิน
“ลินเพิ่งรู้ไม่นานว่าคุณยายป่วย พอรู้ก็รีบมาทันที แต่ที่จริงจะมาตอนไหนมันก็เป็นเรื่องของคนในครอบครัว “คนอื่น” ไม่เกี่ยว”
โฉมศรีชูคอขึ้นแบบไม่ยอมแพ้
“ยายเพียรแกสมบัติเยอะนี่ ถึงต้องรีบมาขอส่วนบุญ...เอ๊ย ส่วนแบ่ง ระวังนะจ๊ะ จะได้พ่วงตำแหน่ง “ทายาท” อย่างอื่นไปด้วย”
โฉมศรีกับฉัตรฉายหัวเราะเยาะนลิน พวกเจ๊หวีโมโหตัวสั่นจะเถียงกลับ แต่ชลันตียกมือห้ามไว้
“ทั้งที่ดินทั้งสมบัติต้องยกให้ทายาทที่ถูกต้องอยู่แล้ว ไม่เหมือนพวกที่ดิ้นอยากได้สมบัติคนอื่นแถวนี้ มองให้ตายก็เอาไปไม่ได้ น่าสมเพช”
ฉัตรฉายหน้าตึง เหวอไปเลย เจ๊หวีแอบเอามือแปะกับชมพู่ด้วยความสะใจ
“ขอตัวนะ ฉันจะพาแขกไปเคารพศพ”
ชลันตีดึงนลินเดินออกมาเลย พวกเจ๊หวี ผัน ชมพู่ทำหน้าเย้ยใส่คู่ปรับแล้วตามชลันตีกับนลินไป ทิ้งโฉมศรีกับฉัตรฉายให้ฮึดฮัดขัดใจกันอยู่ตรงนั้น
อีกฟาก ตฤณฤทธิ์เอาไฟฉายส่องแล้วมองเข้าไปในกำแพง แต่ก็ไม่เห็นอะไร นอกจากความมืด วิศวัตมองเข้าไปอย่างรู้สึกขัดใจ
“ไม่เห็นมีอะไรเลยนี่ครับ มืดตึ๊ดตื๋อเลย”
“ความมืดไม่ได้หมายถึงไม่มีอะไร แต่เรายังไม่เห็นอะไรมากกว่า” ตฤณฤทธิ์ว่า
“ทำไมคุณไม่ทุบให้รู้เรื่องรู้ราวไปเลยล่ะ” พรานหนุ่มเสนอ
“อุ๊ย ไม่ได้หรอกค่ะ ทุบแล้วเสียหายหมด อิฐแต่ละก้อนมีค่ายิ่งกว่าทองอีกนะคะเพราะเราสร้างขึ้นใหม่ยังไงก็ไม่เหมือนเดิม”
“เราต้องรอผู้เชี่ยวชาญจากกรมมาช่วยสกัดหินพวกนี้” ตฤณฤทธิ์ว่า
โดยไม่มีปี่มีขลุ่ย เกิดเสียงฟ้าร้องคำรณคำรามขึ้นมา ลมโหมพัดมาวูบใหญ่ ทุกคนเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า
“ฟ้าจะมืดแล้วครับ ยิ่งถ้าฝนตกเราจะกลับที่พักลำบาก” พรานหนุ่มบอก
“เรากลับก่อนดีกว่าค่ะ คุณพลเพิ่มก็เตือนว่าช่วงนี้พายุเข้า ยังไงเราก็คงยังทำอะไรไม่ได้มาก”
ตฤณฤทธิ์มองมธุรส ด้วยสีหน้าครุ่นคิดตรึกตรอง
กำนันสินยืนคุยกับแขกผู้ใหญ่ที่มาร่วมงานศพยายเพียร สักพักก็เห็นรถคันหนึ่งขับแล่นเข้ามาหยุดริมถนนหน้าบ้าน ทุกคนหันไปมอง เห็นพลเพิ่มลงจากรถ กำนันทั้งแปลกใจทั้งตกใจ รีบเข้าไปต้อนรับ
“สวัสดีครับ คุณพลเพิ่ม ออกจากป่ามาตั้งแต่เมื่อไรครับ”
พลเพิ่มเดินเข้ามาทักทายกำนัน
“ตั้งแต่เช้าแล้ว เห็นฝนตั้งเค้า กลัวจะออกมาลำบาก มีธุระจะคุยกับกำนันด้วย”
“โธ่ ไม่เห็นต้องมาถึงนี่เลยครับ รอผมอยู่ที่บ้านก็ได้”
“ไม่เป็นไร พอออกมาก็รู้ว่ายายเพียรเสียแล้ว เลยถือโอกาสมาร่วมงานด้วย”
กำนันสินจะเชิญพลเพิ่มเข้าไปข้างใน โฉมศรีกับฉัตรฉายเดินออกมาเจอพอดี
“สวัสดีค่ะคุณพลเพิ่ม”
ฉัตรฉายเห็นพลเพิ่มก็ดี๊ด๊า เข้าไปทักทายให้ท่าทันที
“คุณพลเพิ่ม! ชาช่าไม่คิดเลยค่ะว่าจะได้เจอคุณที่นี่ ดีใจจัง”
ฉัตรฉายส่งสายตาให้พลเพิ่ม แต่เขาไม่สนใจเมินมองเข้าไปในเรือนเห็นรูปยายเพียรตั้งอยู่ที่หน้าโลงศพ
“ผมขอเข้าไปเคารพศพก่อน แล้วเดี๋ยวเราค่อยคุยกัน”
“ครับๆ ได้ครับ เชิญเลย”
กำนันสินพาพลเพิ่มเข้าไป พลเพิ่มไม่สนใจฉัตรฉายเลยจนฉัตรฉายแอบเซ็ง
พลเพิ่มจุดธูปไหว้ศพยายเพียรพร้อมกำนันสิน พอเสร็จก็เดินออกมา
“เดี๋ยวผมพาคุณพลเพิ่มไปรู้จักกับหลานแกด้วย”
พลเพิ่มพยักหน้า กำนันสินมองหานลิน พลเพิ่มมองไปรอบๆ จนสะดุดตากับใครบางคนที่เดินมาทางตนพอดี เป็นนลินนั่นเองที่เดินเอาน้ำมาเสิร์ฟให้แขก
ทันทีที่เห็นหน้า พลเพิ่มก็ตะลึง นิ่งงันไป เหมือนอยู่ในภวังค์
“หนูลิน มาพอดีเลย ฉันมีคนอยากแนะนำให้รู้จัก”
กำนันสินเรียก นลินเดินเข้ามาหา
“นี่คุณพลเพิ่ม นักการเมืองของที่นี่ ส่วนนี่หนูนลิน...”
นลินหันไปมองหน้าพลเพิ่ม แต่ทันที่ที่เห็นหน้าเขาตรงๆ สีหน้าเธอก็ตื่นตกใจ ผวากลัว
ภาพในอดีตผุดซ้อนขึ้นมาให้ห้วงคิดอย่างรวดเร็ว
เป็นตอนที่อนันตราชเอาดาบจ่อคอสาวิตราณีจากด้านหลัง ตามมาด้วยตอนอนันตราชมองสาวิตราณีที่กำลังร่ายรำ ภาพสุดท้ายเป็นตอนอนันตราชชี้หน้าสาปแช่งสาวิตราณีอย่างเคียดแค้น
ภาพเหล่านั้นเลือนหายไป แต่จู่ๆ นลินก็เกิดอาการเจ็บจี๊ดที่หน้าอกอย่างรุนแรง มันพุ่งขึ้นมาจนนลินพยุงถาดน้ำไว้ไม่อยู่ เผลอปล่อยถาดร่วงลงพื้นเสียงดังเปรื่องปร่าง
ชลันตีซึ่งรับแขกอยู่ด้านหนึ่งหันมามองสีหน้าตกใจ
“ลิน”
นลินเอามือกุมอก หายใจไม่ออก ทรุดลงกับพื้น พลเพิ่มได้สติจะเข้าไปช่วย
“คุณ เป็นอะไรไปครับ”
ทันทีที่มือพลเพิ่มแตะโดนตัวนลิน อาการเจ็บปวดก็ยิ่งรุนแรงมากขึ้น
“อย่าเข้ามา!!”
นลินปัดมือพลเพิ่มออกอย่างแรง เล่นเอาพลเพิ่มอึ้งไป ชลันตีเห็นสถานการณ์ไม่ดี เข้าไปช่วยประคองนลินแทน
“ขอโทษนะคะ ฉันขอพาลินไปพักก่อน”
ชลันตีพยุงนลินออกไป พลเพิ่มมองตามอย่างงุนงง ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น กำนันสินเองก็งงๆ
ชลันตีพานลินมานั่งพักมุมหนึ่งในบ้าน เอาน้ำมาให้ดื่ม นลินจิบน้ำเข้าไป อาการดีขึ้นกว่าเมื่อครู่
“ขอบคุณค่ะป้าตี”
ชลันตีเข้ามาแตะเนื้อตัวนลินดู
“ลิน เป็นไงบ้าง”
“ดีขึ้นแล้วค่ะ ขอโทษนะคะที่ทำให้วุ่นวาย ไม่รู้ทำไมจู่ๆก็รู้สึกเจ็บที่คอกับหน้าอกขึ้นมา”
นลินหน้าเอามือแตะตรงหน้าอก ติดว่าตัวเองเป็นอะไร ชลันตีถามขึ้น
“เมื่อกี้เกิดอะไรขึ้น”
นลินนึกทบทวน นึกได้ว่าเธอเพิ่งเคยเห็นหน้าพลเพิ่มเป็นครั้งแรก
“ไม่รู้สิคะ พอเห็นหน้าคุณพลเพิ่ม ลินก็รู้สึกเจ็บปวด...ทรมานขึ้นมาทันที แต่ตอนนี้หายเป็นปลิดทิ้ง เหมือนไม่รู้สึกอะไรมาก่อนเลย”
ชลันตีมองนลินอย่างสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น พยายามจะพูดปลอบ
“ลินคงเหนื่อยเรื่องงานคุณยายล่ะมั้ง”
“อาจจะใช่ค่ะ”
“งั้นลินนอนพักก่อนเถอะ ไม่ต้องออกไปแล้ว ที่เหลือป้ากับนวลช่วยดูให้เอง”
นลินรับคำ ชลันตีแยกตัวออกมา แอบเหลือบมองนลิน ครุ่นคิดบางอย่าง
พลเพิ่มมานั่งคุยกับกำนันสิน แต่ไม่ยอมละสายตาไปจากนลินที่นั่งอยู่อีกมุมหนึ่ง
“ผมรู้สึกว่าที่ปราสาทนั่นมีอะไรที่น่าค้นหาอีกมาก”
“จะว่าไปก็แปลก ผมอยู่หมู่บ้านนี้มานาน แต่ไม่เคยมีใครที่เคยเจออะไรน่าสนใจในปราสาทที่ว่านี่เลย จนทีมด็อกเตอร์ตฤณเข้าไป”
พลเพิ่มคิดตามที่กำนันสินพูด
“เขาเป็นนักโบราณคดี รู้ดีอยู่แล้วว่าต้องหายังไงบ้าง”
“ผมหมายถึงเรื่อง...ที่ไม่มีใครเคยเจอของมีค่าในนั้น เหมือนผีมาบังตา”
“ผมไม่สนเรื่องพวกนั้น ผมสนแค่ว่าหลังจากนี้เราจะได้อะไรบ้าง”
พลเพิ่มถามหยั่งเชิงไป กำนันสินนิ่งลง แล้วพยักหน้ารับเอาคำ
“ครับ”
“เกาะติดทีมสำรวจไว้ ถ้ามีอะไร รายงานผมทันที”
“รับทราบครับคุณพลเพิ่ม”
สายตาพลเพิ่มยังคงจดจ้องมองนลินไม่วางตา กำนันสินสังเกตเห็น
“แล้วเธอคนนั้น...อยากให้ผมรายงานอย่างใกล้ชิดด้วยไหมครับ”
พลเพิ่มมองหน้ากำนันสิน กระตุกยิ้มมุมปากนิดๆ โดยไม่ได้พูดอะไร
รถแล่นเข้ามาจอดหน้าบ้านกลางดึก พลเพิ่มลงรถจะเดินเข้าบ้าน แต่สักพักก็มีรถหรูคันหนึ่งเข้ามาจอดข้างๆ พลเพิ่มมองสงสัย
ประตูรถคันนั้นเปิดออก ชายคนหนึ่งลงจากประตูฝั่งคนขับแล้วเปิดประตูรถอีกด้าน ให้ปัณรีก้าวลงมา ในชุดกระโปรงสั้นสุดเซ็กซี่ของเธอ
ปัณรีเซนิดๆ ท่าทีเหมือนคนเมา ชายชื่อเจรีบเข้าไปประคอง ปัณรีผลักไสเบาๆ แต่เจรวบเอวรั้งร่างปัณรีให้เข้ามาหาตัวเองกระซิบถาม
“ถึงบ้านแล้วครับปัณ ไหนล่ะรางวัลที่ตกลงไว้”
“รางวัลอะไรเหรอ”
“คุณบอกจะให้ไลน์ผมไง”
“หืม...ปัณบอกงั้นเหรอ”
“ขี้ลืมอย่างนี้ให้ผมเตือนความจำไหม”
เจจะจูบปัณรี เธอเบี่ยงหลบทันที เอากระเป๋าถือกั้นหน้าเขาไว้ พลางหัวเราะคิกคัก
เสียงพลเพิ่มกระแอม ดังแทรกเข้ามา
“ปัณ”
ปัณรีเหลือบตามองพลเพิ่มแว่บหนึ่ง ยิ้มนิดๆ ไม่ยี่หระ พลเพิ่มมองตาขวาง
“โอ๊ะ พี่พลมายืนทำอะไรมืดๆ”
เจยกมือไหว้ แต่เห็นพลเพิ่มรับไหว้แล้วมองเขม่นมาก็รู้สึกหวาดๆ
ปัณรีเห็นบรรยากาศมาคุ จึงบอกกับเจว่า “กลับไปก่อนนะ พรุ่งนี้เจอกันที่เดิม”
เจเดินไปขึ้นรถ สตาร์ตเครื่องแล้วขับออกไปเลย
ปัณรีทำเป็นโบกมือส่ง แล้วหันมาตีมึนใส่พลเพิ่ม ก่อนจะเปลี่ยนเป็นเชิดใส่ กระแทกเท้าเดินเข้าบ้าน พลเพิ่มถอนหายใจอย่างหงุดหงิด ตามไป
ปัณรีเดินเข้ามาในบ้าน ถอดรองเท้า โยนกระเป๋าลงบนโซฟาส่งๆ พลเพิ่มตามเข้ามา ต่อว่าปัณรีทันที
“ตั้งแต่จบกลับมาก็ออกเที่ยวทุกวัน”
“อยู่แต่บ้านเบื่อจะตาย มีเวลาก็ต้องสังสรรค์บ้างสิพี่พล”
“สังสรรค์แบบไหนถึงมีคนมาส่งบ้านได้ไม่ซ้ำหน้า”
“อ้าว ก็เห็นพี่พลไม่เคยชอบใครที่มาส่งปัณ ปัณก็เลยเปลี่ยนไปเรื่อยๆ เผื่อจะชอบซักคน”
พลเพิ่มเริ่มหงุดหงิด
“อย่ามาย้อนพี่! พี่กำลังเตือนเธอ”
พลเพิ่มพูดเสียงต่ำบอกให้รู้ว่ากำลังไม่พอใจมาก ปัณรียักไหล่ แล้วไง ไม่แคร์
“ถ้าจะบ่นเรื่องเดิมล่ะก็ ปันจะบอกให้ฟัง คุณค่าผู้หญิงเดี๋ยวนี้เขาไม่ได้วัดที่ควงผู้ชายกี่คนหรอกนะคะ มันอยู่ที่ความสามารถในการสับขาหลอกต่างหาก”
ปัณรีเดินไปเปิดกระเป๋าถือ วางกุญแจรถลงบนโต๊ะ
“ฝากบอกลูกน้องให้ไปเอารถที่ร้านด้วยนะคะ ปัณจะนอนพัก ง่วงมาก กู๊ดไนท์”
จากนั้นปัณรีก็เดินหนีขึ้นห้องไป พลเพิ่มกำกุญแจในมืออย่างสะกดกลั้นอารมณ์ไว้
เช้าวันนี้ ตรงบริเวณที่ดินเปล่าหลังบ้านยายเพียร นลิน ชลันตี และนวลทำพิธีฝังศพตามคำสั่งเสียของคุณยาย
ผันกับชายชาวบ้าน อีก 3 คน ได้ช่วยกันขุดหลุมรอไว้แล้ว ก่อนจะช่วยกันแบกยกโลงลงไปฝังในหลุม เอาดินกลบฝัง นลิน ชลันตี นวลและคนที่เหลือยืนสงบนิ่ง
ระหว่างนั้นชมพู่ที่มาช่วยผัน กระซิบถามนลินเบาๆ
“คุณลินคะ พี่ขอถามอะไรหน่อยสิคะ”
“เรื่องอะไรเหรอคะพี่ชมพู่”
“คือพี่อยากรู้ว่าทำไมถึงไม่ทำพิธีเผาเหมือนคนอื่นเขาล่ะคะ”
ได้ยินคำถามนี้ นวลเหลือบมองชมพู่แว่บหนึ่ง นลินตอบชมพู่ว่า
“คุณยายสั่งเสียไว้น่ะค่ะ”
“อ๋อ ค่ะ” ชมพู่หันไปกระซิบกับผันที่ยืนข้างๆ กัน “แปลกนะพี่ สั่งให้ฝังศพหลังบ้านตัวเอง”
นวลมองหน้าชมพู่เชิงตำหนิ พูดขึ้นมาเสียงเย็นเยือก
“ไม่แปลกหรอก ที่แปลกเพราะมีคนสงสัยมากกว่า”
ชมพู่หน้าเสีย รีบหลบตานวล
หลังจากฝังศพยายเพียรเรียบร้อย นลินเดินเข้ามาในบ้านพร้อมรูปยายเพียรใส่กรอบอย่างดี นลินเดินมาที่ผนังมุมหนึ่งของบ้านชั้นล่าง มองรูปยายเพียรที่ถือมาเงียบๆสักพัก
“คุณยายอยู่กับลินตรงนี้นะคะ”
นลินเตรียมจะเอากรอบรูปขึ้นแขวนบนผนังที่เตรียมไว้ จู่ๆ เกิดลมพัดเข้ามาวูบหนึ่ง นลินเผลอปล่อยกรอบรูปของยายเพียรตกลงพื้น นลินตกใจก้มลงเก็บกรอบรูปขึ้นมา พลันสายตาไปสะดุดกับอะไรบางอย่าง
ที่พื้นไม้กระดานใน มีไม้แผ่นหนึ่งเผยอขึ้นมาจากพื้นเพราะรูปตกลงไปกระแทก
นลินรู้สึกแปลกๆ มองดูบริเวณอื่นก็ไม่เป็นแบบนั้นเลยเข้าไปดู
นลินเอามือแตะที่ไม้กระดาน รู้สึกว่ามันขยับได้เลยลองงัดมันขึ้นมา พบว่าฝากระดานเปิดออกได้
นลินชะงัก พอสังเกตว่ารอบๆไม่มีใคร นลินเลยลองขยับไม้กระดานแผ่นอื่นแล้วพบว่ามันขยับได้เหมือนกัน พอเอาไม้ออกหมด ก็ปรากฏประตูบ้านเล็กๆ ใต้ไม้กระดานพวกนั้น
นลินลองจับที่ประตูบานนั้น พบว่ามันไม่ได้ถูกใส่กลอนไว้ นลินลังเลนิดหนึ่ง แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจเปิดมันออก นลินชะงักมองแปลกใจ มองเห็นเป็นช่องลงไปข้างล่าง
นลินเอาไฟจากมือถือส่องลงไปก็ถึงกับอึ้ง เพราะมันบันไดทอดลึกลงไปคล้ายเป็นห้องใต้ดิน
มีบันไดทอดยาวลงไปในห้องใต้ดิน แสงไฟจากโทรศัพท์มือถือของนลินสว่างขึ้น
แสงสาดไปจนสุดทางบันได แต่มืดจนไม่เห็นว่ามีอะไรอยู่ตรงนั้น นลินลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะก้าวลงบันไดไป
เสียงไม้ลั่นเอี๊ยดอ๊าดจากความเก่าดังขึ้นเป็นระยะ นลินก้าวครั้งสุดท้าย ทันทีที่ท้าวกระทบพื้น ฝุ่นก็ฟุ้งกระจายขึ้นมา นลินเบือนหน้าหนี พลางไอลำลัก
กลิ่นอับจากห้องก็พุ่งขึ้นมาทำให้นลินหน้าเหยเก แต่เธอก็ยังเดินเข้าไปต่อ
นลินสาดไฟไปรอบห้องพยายามสำรวจว่ามีอะไร จนเห็นรางๆว่ามีกำปั่น หีบใส่ของ ถ้วยชามสังคโลกเก่าจัดเรียงอยู่ในตู้ ถูกล้อมด้วยหยากไย่และฝุ่นเหมือนไม่มีใครเข้ามาหลายปี
นลินเดินเข้าไปดูใกล้ๆ แต่แล้วก็ต้องผงะตกใจ เมื่อเห็นแมงมุมตัวใหญ่ชักใยลงมาตรงหน้าพอดี
นลินสะดุ้งถอยหลังออกมา กระทบอะไรบางอย่าง พอหันไปมองสีหน้าก็สะดุ้งเฮือกอีกครั้ง
รูปปั้นหินแกะสลัก เป็นรูปผู้หญิงสวมชุดนางรำโบราณ ตั้งอยู่กลางห้อง สายตาจ้องมาที่เธอ
นลินผงะถอยหลังไปกระแทกหีบหรือตู้ใบหนึ่งดังโครม หีบนั้นเปิดออก
สีหน้านลินเต็มไปด้วยความสงสัยและประหลาดใจ
ด้านตฤณแวะมาหากำนันสินหลังกลับจากสำรวจปราสาท กำนันสินออกมาต้อนรับถามอย่างอยากรู้อยากเห็น
“เป็นไงครับอาจารย์ งานราบรื่นดีไหม”
กำนันสินเดินมานั่ง ตฤณตอบน้ำเสียงเรียบๆ
“ดีครับ แต่เสียดายเวลาน้อย เลยไม่ได้สำรวจละเอียดเท่าไหร่ ยังดีที่ได้อะไรน่าสนใจมาบ้าง”
กำนันสินตื่นเต้นขึ้นมา
“เจออะไรบ้างเหรอครับ ความลับราชการรึเปล่า”
ตฤณหัวเราะ ตอบไปสบายๆ
“ไม่ลับหรอกครับ เดี๋ยวผมเปิดรูปที่ถ่ายมาให้ดู”
ตฤณหยิบไอแพดของตัวเองออกมา เปิดรูปที่ถ่ายปราสาทหินให้กำนันสินดู
“รอบๆ ผมดูหมดแล้วยังไม่มีอะไรมาก แต่ที่น่าสนใจคือตรงนี้”
ที่จอไอแผดเป็นรูปช่องทางเข้าปราสาทที่ปกคลุมด้วยต้นไม้รกทึบ ตฤณฤทธิ์พูดต่อว่า
“ที่แรกผมคิดว่าเป็นกำแพงธรรมดา แต่ปรากฏว่ามันเปิดได้”
“ฮ่าๆ ฟังดูลึกลับดีนะครับ”
“ครับ กำแพงในนั้นไม่ได้ก่อปิดทึบ แต่มีช่องทะลุเข้าไปเป็นโพรงจนค้างคาวอาศัยอยู่ได้ และถ้าผมคิดไม่ผิด มันอาจจะเป็นห้องบูชาเทพ หรือไม่ก็...ที่เก็บสมบัติกษัตริย์โบราณ”
“สมบัติเหรอครับ”
กำนันสินหูผึ่ง ตาลุกวาวขึ้นมาทันที
“สันนิษฐานเอาน่ะครับ ต้องกลับไปสำรวจอีกที แต่ไม่ว่ามันคืออะไร มันต้องเป็นหลักฐานทางโบราณคดีชั้นยอดแน่นอน”
ตฤณฤทธิ์บอกอย่างตื่นเต้น กำนันสินลอบยิ้มเจ้าเล่ห์
ฝ่ายนลินเอามือถือส่องไฟไปดูถึงกับตะลึงตะไล เมื่อเห็นว่ามีอะไรอยู่ในหีบใบนั้น
มีทองคำแท่งและเครื่องประดับโบราณในหีบมากมาย นลินเอามือถือส่องสาดไปแถวนั้น เพื่อดูว่ามีอะไรอีกบ้าง แต่ก็เห็นอะไรแว้บๆ เหมือนกระจกโบราณบานหนึ่ง นลินไม่แน่ใจ ส่องกลับไปอีกที
นลินมองไปที่กระจกบานนั้น เงาสะท้อนภาพในกระจกเลือนรางเป็นเงาเห็นไม่ชัด
นลินค่อยๆเดินเข้าไปดูใกล้ๆ เอามือถือส่อง แล้วจ้องมองเข้าไป ภาพปรากฏชัดขึ้น
เงาสะท้อนในกระจกเป็นภาพนลินในชุดโบราณ กำลังมองตอบกลับมา
นลินไม่อยากจะเชื่อ ได้แต่ยืนจ้องเงาสะท้อนนั้นนิ่ง
นลินยกมือตัวเองขึ้นมา ยื่นไปแตะที่กระจก แต่ปรากฏว่าเงานั้นไม่ขยับตามมือเธอด้วย
ภาพที่สะท้อนค่อยๆ เปลี่ยนจากหญิงสาวสวยงามเป็นตาเหลือก เลือดค่อยๆไหลออกจากคอ ร่างกายกระตุกอย่างผิดปกติ นลินตกใจร้องกรี๊ด
“อ๊ายยยยย”
นลินหันหลังจะหาทางหนี แต่กลับไปกระแทกของในห้องจนมือถือตกลงพื้น
ทุกอย่างในห้องจึงมืดสนิท นลินคลำหามือถือ แต่แล้วจู่ๆ ไฟก็สว่างขึ้น มีมือใครบางคนมาจับบ่านลิน นลินกรีดร้องอีกครั้ง
“ลิน...ลิน...นี่ป้าเอง”
นลินชะงัก เงยหน้ามอง พอเห็นเป็นชลันตีก็โล่งใจ เธอถอนใจเฮือกออกมา
“ลินเป็นอะไรหรือเปล่า”
นลินหันไปมองที่กระจกบานนั้น ยังเห็นเงาตัวเองอยู่ เธอจับหน้าตัวเอง ปรากฏว่าเป็นเงาของเธอปกติ
นลินส่ายหน้ากับชลันตีแทนคำตอบว่าไม่เป็นอะไร
นวลกับชลันตีพานลินกลับขึ้นมาพักบนเรือน นวลเอาผ้ามาเช็ดฝุ่นตามเนื้อตัวให้นลินที่นั่งนิ่งเหมือนคิดอะไรอยู่ตลอด ชลันตีเข้ามาดูนลินอย่างเป็นห่วง
“ลินเจออะไรเหรอ ทำไมถึงตกใจขนาดนั้น”
นลินนิ่วหน้า ไม่แน่ใจ
“ลินเห็น....ตัวเองแต่งชุดโบราณอยู่ในกระจก”
ชลันตีกับนวลสบตากันแว่บหนึ่ง แล้วตอบนิ่งๆ
“ลินอาจจะตาฝาดไปก็ได้”
“ลินก็ไม่แน่ใจเหมือนกันค่ะ แต่...ลินสงสัยว่าทำไม” เธอหันมาจ้องหน้าชลันตีเชิงถาม “ทำไมคุณยายถึงมีสมบัติมากมายขนาดนี้”
ชลันตีมีสีหน้าเศร้าลงเหมือนมีอะไรบางอย่างในใจ “มันเป็นมรดกตกทอดมาตั้งแต่บรรพบุรุษ”
“บรรพบุรุษของเราเป็นใครเหรอคะ”
นวลลูบไหล่นลินเบาๆ เชิงปลอบ
“ไว้ป้าจะเล่าให้ฟัง แต่ตอนนี้รู้แค่ว่าของในนั้นทั้งหมด เป็นของลินคนเดียว”
นลินตกใจ “ลินรับไว้ไม่ได้หรอกค่ะ ป้าตีดูแลคุณยายมาตลอด มันควรเป็นของป้าตีต่างหาก”
“ไม่ มันไม่ใช่ของของฉัน”
นลินเงียบไป ไม่ทันเห็นว่าแววตาชลันตีแข็งกร้าวขึ้นมาชั่วครู่ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นปกติ เอามือแตะที่หน้าของนลิน พูดอย่างอ่อนโยนผิดกับเมื่อครู่
“นลิน เธอคือทายาทโดยชอบธรรมของคุณยายเพียร เธอมีสิทธิ์อย่างถูกต้องทุกอย่างและจะทำอะไรกับมันก็ได้”
นลินมองชลันตีอย่างแปลกใจ นึกไม่ถึง
ด้านตฤณตระเวนออกเก็บข้อมูลโดยการสัมภาษณ์ชาวบ้านดอนป่าหวายไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเดินมาถึงร้านขายของชำในหมู่บ้าน เจอพรานบุญเลยเข้าไปทักทาย
“มาซื้อของเหรอครับพราน”
พรานบุญเองก็จำตฤณได้ เดินเข้ามาหา
“คุณ...นี่คุณยังไม่ไปจากหมู่บ้านอีกเหรอ”
“มาเก็บข้อมูลนิดหน่อยน่ะครับ”
พรานบุญชะงักไป นึกถึงเรื่องที่ปราสาทโบราณคราวก่อนได้
“อย่าบอกนะว่าคุณกลับไปที่ปราสาทนั่นอีก”
“ใช่ครับ ผมไปรู้ตำนานเพิ่มเติมเกี่ยวปราสาทมาด้วย เลยมาลองถามชาวบ้านดู”
“ผมเตือนแล้วไม่ใช่เหรอว่าไม่คุ้มที่จะกลับไป”
พรานบุญมีน้ำเสียงจริงจังขึ้นมา แต่ตฤณฤทธิ์ตอบอย่างมีหลักการ
“แต่ผมกลับมองว่าคุ้มค่ามาก ปราสาทนั้นมีเรื่องราวที่น่าสนใจ ถ้าบูรณะให้ดี ทั้งชาวบ้าน ทั้งคนไทยทุกคนจะได้ประโยชน์ด้วยกันทั้งหมด”
“ที่ผมเตือนเพราะหวังดีนะ ไม่อยากให้คุณเป็นอันตราย”
“ผมมันพวกดื้อด้าน ไม่เป็นอะไรง่ายๆ หรอกครับ”
ตฤณฤทธิ์พูดติดตลก พรานบุญได้แต่ถอนใจ
“คุณนี่ดื้อขัดกับหน้าตาจริงๆ”
“ผมก็เป็นแบบนี้ล่ะครับ ถ้าตั้งใจจะทำอะไรแล้วก็ต้องทำให้ได้”
“งั้นคุณก็ต้องยอมรับผลที่เกิดขึ้น”
“ผมพร้อมจะยอมรับทุกอย่างที่เกิดจากความถูกต้อง พรานช่วยเล่าตำนานคำสาปที่ปราสาทนั่นให้ผมฟังหน่อยได้ไหม”
พรานบุญมีสีหน้าตกใจขึ้นมาทันที
ตรงบริเวณริมรั้วติดที่ดินยายเพียร โฉมศรีกับฉัตรฉายพาลูกน้องสองคน พร้อมไอ้เบากะไอ้บางเป็นหัวหน้าทีมมาช่วยกันขุดรื้อรั้วออก
“นั่นแหละ ตรงนั้นรื้อให้หมดเลย ดีๆ ยังง้าน...”
คนงานช่วยกันขุดตามคุณนายกำนันสั่งอย่างขันแข็ง พักเดียวก็รื้อรั้วออกมาได้
“เอาไงต่อครับคุณนาย” เบาหันมาถาม
โฉมศรีกับฉัตรฉายมองหน้ากัน ยิ้มกรุ้มกริ่มมีเลศนัย
“ขยับมันเข้าไปสิ” โฉมศรีบอก
เบางง “เข้าไปตรงไหนครับผม”
“แค่เมตรนึงก่อน วันหลังค่อยมาขยับใหม่”
โฉมศรีกับฉัตรฉายตฤณฤทธิสั่งงานลูกน้อง หัวเราะกันไปมาอย่างสบายอารมณ์
ระหว่างนี้ชมพู่กำลังจะไปยังที่นาตัวเอง เดินผ่านมาเห็นพอดีจึงฉากหลบแอบดู
“คุณนายโฉมศรี”
ชมพู่เห็นว่าไม่ชอบมาพากล จึงรีบวิ่งไปทางบ้านยายเพียรทันที
ระหว่างทางเดินกลับไปบ้านพักกำนันสิน ตฤณฤทธิ์ครุ่นคิดเรื่องที่พรานบุญบอก โดยเฉพาะท่าทีอันตกใจของพรานบุญเมื่อเขาถามเรื่องคำสาปปราสาทแห่งนั้น
“อย่าตามหาความจริงเรื่องนี้อีกเลยคุณมันเป็นเรื่องอาถรรพ์ คำสาปที่ไม่มีใครอยากพูดถึง ยิ่งถลำลึกเท่าไหร่ก็ยิ่งอันตรายเท่านั้น”
ตฤณฤทธิ์ถอนหายใจอย่างกลัดกลุ้ม จู่ๆ ก็มีกลุ่มชายฉกรรจ์สามคนเดินมาขวางทางไว้ พวกมันมองหน้าตฤณฤทธิ์อย่างเอาเรื่อง อาจารย์หนุ่มรับรู้ถึงความไม่ชอบมาพากล แต่ยังเฉยไว้ และเดินหลีกไป แต่ถูกชาย1 ในนั้น กระชากตัวไว้
“เฮ้ย เดี๋ยว”
ตฤณฤทธิ์เซ แต่ทรงตัวไว้ได้ ถามกลับไปอย่างใจเย็น
“พวกคุณมีอะไรจะคุยกับผมรึเปล่า”
“มีสิวะ มีเยอะเลย ไอ้ด็อก” ชาย2 พูดกวนตีน
“ผมว่าเราพูดกันดีๆ ได้นะ” เขาบอกพวกมัน
ชาย1 เดินมาผลักไหล่ตฤณ หัวเราะเยาะใส่หน้า
“กูแค่จะมาเตือนมึงไว้”
ตฤณฤทธิ์แปลกใจ “เรื่องอะไร”
“เลิกยุ่งกับปราสาทนั่นซะ ถ้ามึงไม่อยากเดือดร้อน”
ตฤณฤทธิ์ชะงัก พยายามอธิบายกับกลุ่มชายเหล่านั้น
“ถ้าพวกคุณไม่พอใจโครงการของผม ผมอธิบายได้นะ”
ชาย1สวนออกมา โดยไม่แยแส “กูไม่ฟัง มึงรีบไปให้พ้นจากที่นี่ แล้วไม่ต้องกลับมาอีก”
จากนั้นกลุ่มชายฉกรรจ์ตีวงล้อมกรอบเขาไว้ ตฤณฤทธิ์คั้งสติพยายามมองหาทางหนี
“แล้วถ้าผมไม่ไปล่ะ”
“มึงจะโดนแบบนี้”
พูดจบชาย2 ก็ซัดหมัดเข้าที่หน้าตฤณฤทธิ์จังๆ จนเขาเซถลาไปอีกทาง ชาย2คนที่เหลือเข้าไปล็อกตัวตฤณฤทธิ์ไว้ กดตัวให้นั่งลง แล้วก็ตามเข้าไปชกซ้ำ
จากนั้นกลุ่มชายฉกรรจ์ก็เริ่มรุมทำร้ายตฤณฤทธิ์อย่างมันตีน ทั้งเตะทั้งกระทืบ ตฤณฤทธิ์ไม่มีทางสู้ ทรุดลงไปกองตรงนั้น
ฝ่ายนลินกับชลันตีรีบร้อนเดินออกมาที่ริมรั้วที่นา เจอโฉมศรีกำลังให้ลูกน้องย้ายรั้วล้ำเข้ามาในที่ยายเพียรพอดี
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ”
โฉมศรีสะดุ้งโหยงที่ได้ยินเสียงชลันตี ลูกน้องทุกคนตรงนั้นหยุดทำงานทันที
“คุณนายจะทำอะไรคะ ตรงนี้มันรั้วที่ดินยายฉันนะ” นลินถามสียงขุ่น
โฉมศรีตีมึนใส่ ทำเป็นไม่รู้เรื่องอะไร
“โวยวายอะไรจ๊ะ ฉันแค่เห็นรั้วมันล้ม เลยจะกั้นใหม่แค่นั้นเอง”
“แต่ฉันว่าไม่ใช่ เห็นๆ อยู่ว่ารั้วนี่มันกำลังล้ำเข้ามาในที่คนอื่น”
“ล้ำเลิ้มอะไร ที่มันก็ติดกันมานานละ อย่ากล่าวหาคนอื่นลอยๆ ฉันฟ้องได้นะ”
โฉมศรีทำลอยหน้าลอยตา ไม่ยี่หระ ยิ้มเย้ยๆ นลินมองหน้าชลันตีเชิงถาม
“งั้นฉันฟ้องกลับแน่” ชลันตีบอกเสียงแข็ง
“จะฟ้องอะไรฉัน! ว้าย!”
ชลันตีกระชากแขนโฉมศรีเต็มแรงให้ตามมา พอถึงที่ก็เอาเท้าเขี่ยดินบริเวณนั้นให้ดู บนพื้นมีหมุดรังวัดที่ดินปักอยู่ เห็นว่ารั้วโฉมศรีล้ำเข้ามาชัดเจน
“เห็นชัดไหม คุณนาย”
โฉมศรีหน้าเสีย แต่กลัวเสียหน้ามากกว่า ทำเนียนบอกไม่รู้เรื่อง
“อ้าว หมุด อยู่ตรงนี้เองเหรอ”
นลินเดินตามมา
“คุณนายจะย้ายรั้วกลับไปได้หรือยัง”
โฉมศรีไม่พอใจ แต่ทำอะไรไม่ได้ ทำเป็นโวยวายด่าทอลูกน้อง
“พวกแกนี่ กั้นรั้วภาษาอะไรไปเลยเขตของเขา นี่ดูนี่ ปักตามหมุดเขตที่ดินสิยะ อย่ามั่ว เอ้าเร็วเข้า! รีบย้ายรั้วกลับมา ยืนเอ๋อยู่นั่นแหละ”
โฉมศรีทำเนียนไปสั่งลูกน้อง เบาทำหน้าเหวอๆ แล้วช่วยกันรื้อรั้วคืน
ชลันตีพานลินออกมาดูบริเวณที่ดินของยายเพียร ชี้ให้ดูจุดที่มีหมุดปักที่ดินไว้
“นี่เป็นจุดสุดท้ายของที่ดินที่เราถือครองอยู่ หมดตรงนี้ไปจะเป็นที่ดินบ้านกำนันสินทั้งหมด กับที่ที่คุณยายปล่อยเช่า”
นลินเดินตามชลันตีไป พยายามจำให้ได้ทั้งหมด ชลันตีหยุดเดิน หันมาพูดกับนลินน้ำเสียงจริงจัง
“จำไว้นะ พวกที่คิดจะเอาเปรียบมันคอยเล่นงานเราตลอด คุณยายให้ทุกอย่างกับลินแล้ว ลินจะต้องรักษามันไว้ให้ดีที่สุดเท่าที่ทำได้”
“ลิน...จะพยายามค่ะ”
นลินอึกอักหน้าเจื่อน รู้สึกไม่มั่นใจขึ้นมา ชลันตีถอนหายใจ พูดปลอบเสียงอ่อนลง
“อย่ากลัว...ลินไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว ป้าจะช่วยเอง”
นลินพยักหน้า ถึงลึกๆ ยังหวั่นใจอยู่มาก ชลันตีเดินนำนลินออกไป นลินจะก้าวตาม แต่สายตากลับเห็นบางอย่างเข้าเสียก่อน
“ป้าตีคะ”
ชลันตีหยุดหันมาหามองตามสายตานลินไปที่บริเวณพุ่มไม้
“ใครอยู่ตรงนั้น”
นลินกับชลันตีเดินไปดูด้วยท่าทีระแวดระวัง สีหน้าป้าหลานประหลาดใจพอกันทันทีที่เห็น
เป็นร่างของตฤณฤทธิ์มีแผลกับรอยฟกช้ำเต็มตัว นอนสลบไม่ได้สติอยู่บริเวณพุ่มไม้นั้น
ตฤณฤทธิ์นอนหลับอยู่บนเตียงในห้องนอนแขกบ้านยายเพียร สักพักจึงรู้สึกตัวค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้นมา นลินถือกล่องอุปกรณ์ทำแผลเข้ามา เห็นตฤณยันตัวลุกขึ้นอย่างลำบาก จึงรีบเข้าไปช่วยประคอง จับให้นอนเอนสบายๆ
“ระวัง”
ตฤณฤทธิ์เห็นเป็นนลินก็แปลกใจมาก
“อย่าเพิ่งขยับตัวค่ะ มา ขอฉันดูแผลหน่อย”
นลินดูแผลตรงศีรษะของตฤณฤทธิ์ ทำให้หน้าของทั้งคู่ใกล้กันแค่คืบ
ตฤณฤทธิ์หัวใจเต้นโครมคราม มองหน้านลินในระยะประชิดนิ่งนาน สักพักจึงได้สติ หลุดจากภวังค์ทำรีบผละออก แล้วถามขึ้น
“ผมไม่เป็นอะไรมากหรอก”
“แผลเต็มตัวขนาดนี้เนี่ยนะ ถามจริงเถอะ คุณไปทำอะไรมา หรือว่าปากเสียใส่ใครเข้า เขาถึงดักตีเอา”
ตฤณฤทธิ์นึกทบทวน จนจำได้ว่าเกิดอะไรก่อนหน้า
“ผมแค่กำลังจะกลับบ้านพัก แต่จู่ๆก็มีคนดักกลางทาง ขู่ให้ผมออกไปจากที่นี่แล้วก็...อย่างที่คุณเห็น”
นลินแปลกใจ “ทำไมเขาต้องขู่คุณด้วย คุณมาทำงานไม่ใช่เหรอ”
“ไม่รู้สิ...อาจจะเป็นเรื่องเข้าใจผิดกัน”
“เข้าใจผิดถึงขนาดต้องทำร้ายกันเลยเหรอ ไปแจ้งความดีกว่าไหม”
ตฤณฤทธิ์ส่ายหน้า “ผมไม่อยากมีเรื่องกับชาวบ้าน”
“ทั้งที่มีคนอยากหาเรื่องคุณงั้นเหรอ”
ตฤณฤทธิ์จ้องหน้านลิน ถามเย้าสาวเจ้าด้วยสีหน้ายิ้มๆ
“คุณเป็นห่วงผมเหรอ”
นลินชะงักไป เบือนหน้าหนีไปมองทางอื่น พูดเปลี่ยนเรื่อง
“เปล่านะ ฉันแค่แนะนำ อย่าสำคัญตัวผิด”
ตฤณฤทธิ์อมยิ้ม เสียงชลันตีดังขึ้น
“ฟื้นแล้วเหรอคะคุณ”
ชลันตีเดินเข้ามาในห้อง
“ลินทำให้แผลให้แล้ว กินยาคงจะดีขึ้น แต่คราวหลังต้องระวังหน่อย คนในหมู่บ้านมีทั้งหวังดีและหวังร้ายเหมือนคนในเมืองนั่นแหละ”
“ขอบคุณมากนะครับที่ช่วย”
นลินลอบมองตฤณฤทธิ์ด้วยความเป็นห่วงอย่างจริงใจ
ชลันตีเดินนำออกไปส่งตฤณฤทธิ์ที่หน้าบ้าน ระหว่างทางตฤณฤทธิ์เดินผ่านตู้โชว์วางของสะสมเก่าเอาไว้ในนั้น มองปราดเดียวเขาถึงกับพึมพำออกมา
“ไม่น่าเชื่อ”
อาจารย์รูปงามหยุดตรงตู้โชว์หลังหนึ่ง มองข้าวของในนั้นด้วยสีหน้าตื่นเต้น นลินหยุดหันมาเห็นก็แปลกใจ
“มีอะไรเหรอคุณ”
“ยายคุณนี่เป็นนักสะสมตัวยงเลยนะครับ พวกถ้วยชามในตู้นี่ของเก่าทั้งนั้น อย่างชั้นนี้เครื่องสังคโลกสมัยสุโขทัย คุณรู้ไหมว่าท่านได้มายังไง”
นลินเห็นตฤณฤทธิ์ดูอย่างสนใจจริงๆ ก็ยิ้มให้
“ฉันไม่ค่อยรู้อะไรมากหรอกค่ะ แต่ป้าตีบอกว่าคุณยายชอบของเก่า เลยสะสมมาเรื่อยๆ”
“คุณจะบอกว่ายังมีอีกงั้นเหรอ”
“ใช่ค่ะ มีวิทยุเก่า ตู้ หรือพวกหนังสือหายากด้วย”
“ยายคุณไม่ใช่คนธรรมดาแน่ ท่านมีเชื้อสายเป็นเจ้าหรืออยู่ในรั้วในวังมาก่อนหรือเปล่า”
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน ท่านไม่เคยเล่าให้ฟัง”
ตฤณมองนลินอย่างแปลกใจ แต่แล้วก็พูดออกมาขำๆ
“งั้นคงไม่ใช่แค่ยายคุณคนเดียวล่ะมั้งที่ไม่ธรรมดา”
“คุณก็ไม่ใช่ธรรมดาเหมือนกัน ถึงได้ถูกชกปากแตกแบบนี้ เชิญกลับไปได้แล้ว”
ตฤณฤทธิ์จับปากตัวเองยิ้มขำๆ หันไปยกมือไหว้ลาชลันตีก่อนจะเดินออกไปขึ้นรถมอเตอร์ไซค์ที่สตาร์ตเครื่องรออยู่หน้าบ้าน ชลันตีมองตามไปเงียบๆ
มธุรสกับวิศวัตนั่งรอตฤณอยู่ที่หน้าบ้านพัก ด้วยสีหน้ากระวนกระวาย เสียงมอเตอร์ไซค์มาจอดหน้าบ้านพัก มธุรสรีบลุกไปดู เห็นคนงานบ้านยายเพียรขับรถมาส่งตฤณก็ดีใจ
“พี่ตฤณ” / “อาจารย์”
มธุรสเห็นตฤณฤทธิ์กลับมามีแผลฟกช้ำเต็มตัวก็เข้าไปจับเนื้อตัวดูด้วยความเป็นห่วง
“พี่ตฤณ ทำไมเป็นแบบนี้ เกิดอะไรขึ้น”
“ไม่มีอะไรหรอกรส ไว้พี่เล่าให้ฟัง”
มธุรสเป็นห่วงตฤณฤทธิ์ไม่คลาย เสียงกำนันสินดังขึ้น
“อาจารย์ตฤณกลับมาแล้วเหรอครับ”
ทุกคนหันไปมอง เห็นกำนันสินเดินเข้ามา
“คุณรสเขาเห็นคุณหายไปทั้งวันเลยให้ผมช่วยตามหา ไม่คิดว่าจะกลับมาแล้ว”
“ใช่ค่ะกำนัน พวกฉันตกใจหมดเลย ถามว่าเกิดอะไรเขาก็ไม่บอก”
กำนันสินจ้องหน้าถามตฤณฤทธิ์ “มีเรื่องอะไรครับ ถ้าเป็นเรื่องในหมู่บ้านผมจัดการให้ได้นะ”
“แค่เรื่องเข้าใจผิดน่ะครับ ผมไม่เป็นไรแล้ว อย่าลำบากเลย”
กำนันสินทำเป็นพยักหน้า แต่แอบไม่ชอบใจที่เห็นตฤณฤทธิ์รอดกลับมา
“คุณคงไม่ได้มีปัญหากับชาวบ้านเรื่องงานสำรวจใช่ไหม”
ตฤณฤทธิ์เงียบไป กำนันสินได้ที แสร้งพูดแนะนำอย่างหวังดี
“ผมว่าแล้วว่างานแบบคุณนี่ ถ้าไม่คุยกับชาวบ้านดีๆมันจะมีปัญหา”
“ไหนตอนแรกกำนันบอกให้เราเข้ามาทำงานได้เลยไม่ใช่เหรอคะ”
“ก็ตอนนั้นผมไม่คิดว่ามันจะเกิดเรื่อง ผมว่านะ ถ้าปล่อยไว้แบบนี้ไม่ดีแน่ พวกคุณน่าจะออกจากหมู่บ้านไปก่อนดีกว่า”
“ไม่ได้นะครับ”
ตฤณฤทธิ์ตกใจจะคัดค้าน แต่มธุรสยกมือห้ามไว้
“รสเห็นด้วยกับกำนันนะคะ”
กำนันสินยิ้มกระหยิ่มทันที
“รสคิดว่าทีมเราควรจะออกไปก่อน เพื่อกลับไปเตรียมเรื่องประชาสัมพันธ์ทำความเข้าใจกับชาวบ้านให้เรียบร้อย ถ้ามีเอกสารทางการ กลับมารอบหน้าจะไม่มีปัญหาแน่นอน จริงไหมคะ กำนัน”
มธุรสพูดด้วยน้ำเสียงมั่นใจ กำนันสินหุบยิ้มแทบไม่ทัน ได้แต่เจ็บใจที่ผิดแผน
บ้านผันกับชมพู่ตั้งอยู่กลางทุ่งนา มองเข้าไปเห็นแสงไฟลอดออกมาจากหน้าต่างบ้าน ชมพู่กับผันกำลังจะเข้านอน ชมพู่จัดแจงปูที่นอนกางมุ้งเรียบร้อย ผันอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า เดินไปล้มตัวลงนอน ชมพู่ปิดหน้าต่างเสร็จก็ตามมา สองผัวเมียเข้านอนได้ซักพัก ชมพู่หลับตาอยู่แต่ดูออกว่าแต่ยังหลับไม่สนิท
บรรยากาศรอบบ้านเงียบสนิท ไม่มีแม้แต่เสียงแมลง มีแต่เสียงลมพัดไปมาอยู่ด้านนอก
ปั้ก! เสียงของบางอย่างกระแทกหน้าต่างด้านนอก ชมพู่สะดุ้งลืมตาขึ้น มีเสียงกระแทกดังขึ้นอีก 2-3 ครั้ง จนชมพู่ทนไม่ไหวรีบสะกิดปลุกผัว ผันงัวเงียลุกขึ้นมา ชมพู่ถามด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนก
“พี่ผัน ได้ยินเสียงอะไรกระแทกหน้าต่างไหม”
“เสียง เสียงอะไรไม่เห็นมี”
“เมื่อกี้ไง เสียงปั้กๆ เหมือนมีอะไรมาชนหน้าต่าง ไม่ได้ยินเหรอ”
“ใต้ถุนสูงขนาดนี้อะไรจะบินมากระแทกได้ ข้าบอกแล้วอย่าฟังนังหวีมันมาก เพ้อเจ้อตามมันแล้วเห็นไหม”
ชมพู่ขัดใจ “ฉันไม่ได้เพ้อนะพี่”
“แล้วไหน? มีอะไร ไม่เห็นมีเลย”
“โอ๊ย! ขยันขัดใจเมียจริงๆ ฉันดูเอง จะได้รู้ไปเลยว่ามีหรือไม่มี”
ชมพู่ทนไม่ได้ลุกไปที่หน้าต่าง ค่อยๆ แง้มหน้าต่างดู ผันลุกตามมา
สีหน้าชมพู่ตกตะลึงตอนมองออกไปนอกหน้าต่าง ผันที่ตามมาเห็นก็อึ้งไปเช่นกัน
ที่นอกหน้าต่างเห็นดวงไฟสีเขียวลอยออกไปกลางทุ่งนา ชมพู่กับผันกรีดร้องลั่นบ้าน
สองผัวเมียรีบกระโจนกลับมาคลุมโปงบนเตียง นอนกอดกันตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว
บ้านเบากะบางตั้งอยู่กลางทุ่งนา รอบข้างเป็นทุ่งนาโล่งๆ ที่แคร่หน้าบ้านยามนั้น พวก เบา บาง กับลูกน้องกำนันสิน 3 คน ตั้งวงกินเหล้ากันตั้งแต่หัวค่ำ กำลังกรึ่มได้ที่
ทุกคนในวงเหล้าชนแก้วแล้วหัวเราะกันสนุกสนาน บางรินเหล้าเพิ่มให้เบา เบาซัดเหล้าเข้าไปอึกใหญ่ แล้วนั่งนิ่ง มองตาปรือๆ เหมือนคิดอะไรอยู่ แล้วก็โวยขึ้นมา
“เซ็ง คิดแล้วมันเซ็ง เซ็งจริงโว้ย”
บางเง็ง “เซ็งอะไรพี่เบา”
“ก็ไอ้เรื่องรั้วบ้านยายเพียรนั่น คุณนายไม่รู้จะอะไรนักหนา เดี๋ยวย้ายเข้า เดี๋ยวย้ายออก ย้ายไป ย้ายมา สรุป กลับที่เดิมซะงั้น”
บางทำลูบคางครุ่นคิด แล้วก็พูดสนับสนุนเบาว่า
“ไอ้ที่ตรงนั้นตีกับบ้านยายเพียรมาสามชาติแล้ว ไม่เห็นซื้อได้”
ลูกน้อง1 เอ่ยขึ้นว่า “แกงกอยากได้ไปงั้นเอง รวยจนจะเอาเงินมาถมนาทำถนนได้แล้ว”
เบาฟังแล้วก็กำแก้วตัวเองแน่น
“คิดแล้วก็เจ็บใจ แถมปวดฉี่ด้วย ไปฉี่ก่อนดีกว่า”
บางทำหน้างง ส่ายหัว เบาลุกขึ้นบิดตัวแก้เมื่อย แล้วเดินออกไปกลางทุ่ง
เบาเดินออกมาแถวริมคันนา ตั้งท่าจะฉี่ แต่พอเงยหน้าขึ้นมองไปในทุ่งข้างหน้าก็เห็นอะไรบางอย่าง
“ใครมาปีนต้นไม้มืดๆ วะ”
เบาหรี่ตามองไปบนต้นไม้ เห็นลักษณะคล้ายหญิงสาวผมยาวห้อยอยู่บนกิ่งไม้ เบายืนฉี่ไปหัวเราะไปประสาคนเมา
พอเห็นหญิงสาวบนกิ่งไม้นั้นมีแสงสีเขียววูบวาบไปด้วย เบาเอียงคอสงสัย ฉี่เสร็จเรียบร้อย ดึงกางเกงให้เข้าที่ แล้วเพ่งมองไป ปรากฏว่าตรงแสงเริ่มชัดขึ้นเห็นเป็นผู้หญิงผมยาว
“อ้าวเฮ้ย น้องสาว...”
เบาเดินเข้าไปใกล้อีกนิด
“ดึกดื่นป่านนี้ไปปีนต้นไม้เล่นทำไมจ๊ะ เดี๋ยวงูเงี้ยวเขี้ยวขอมันก็ฉกเอาหรอก”
เบาหัวเราะคิกคักชอบใจที่ได้หยอกหญิงสาวเล่น แต่ผู้หญิงคนนั้นก็ไม่ตอบ
“โวะ หยิ่งเหรอ ถามก็ไม่ตอบ”
เบาเท้าเอว ตั้งท่าจะหาเรื่อง แต่พอเดินเข้าไปใกล้อีกหน่อย เบาก็ถึงกับขาสั่นกึกๆ เมื่อเห็นเป็นหญิงสาวผมยาวสยาย ไม่มีลำตัว มีแต่หัวกับไส้
เบาเบิกตาโพลงด้วยความตกใจ
“อ๊ากกกก”
เบาตะโกนลั่นทุ่ง แทบจะสร่างเมา วิ่งแจ้นกลับบ้านทันที
บางซดเหล้าเข้าไปอึกใหญ่ ยินเสียงเบาร้องโหวกเหวกโวยวายดังมาแต่ไกล
“ช่วยด้วยโว้ย! ช่วยด้วย”
บางแทบสำลัก ทุกคนหันไปเห็นเบาวิ่งหน้าตั้งกลับมา
“เป็นไรพี่ ฉี่ไม่ออกหรือไง” บางถาม
เบามองไปทางทุ่งนาด้วยสีหน้าหวาดกลัว พูดลิ้นรัวแทบฟังไม่เป็นคำ
“ม...ไม่ใช่โว้ย กูเห็น...เห็น...”
บางรำคาญ “ปั้ดโธ่ คายลิ้นออกมาก่อนแล้วค่อยพูดได้ไหมวะ”
“กูเห็น...เห็น...กระสือ!”
บางมองหน้าลูกน้องที่เหลือแล้วหัวเราะก๊าก
“บ้าเรอะ ยายเพียรตายแล้ว จะมีกระสือได้ยังไง”
เบาพุ่งเข้าไปกระชากคอเสื้อบาง โวยวายใส่
“กูเห็นจริงๆ นะโว้ย หรือว่า ยายเพียรมันยังไม่ตาย”
เบาพูดด้วยสีหน้าตื่นตระหนก บางอึ้งไป
เช้าวันต่อมา ที่เล้าไก่ของชาวบ้านคนหนึ่ง มีซากไก่ตายเหมือนถูกกัดจนเละ ไส้หลุดหายไป สภาพเป็นที่น่าสยดสยองของชาวบ้านที่มามุงดูอยู่ และต่างคนต่างซุบซิบกันไปต่างๆ นานา
โฉมศรีกับฉัตรฉายที่ดูอยู่ด้วย แหวกทางชาวบ้านเข้าไปดูใกล้ๆ พอเจอสภาพก็ทำหน้าเหยเก โฉมศรีเล่นใหญ่จัดเต็ม
“ตายเกือบหมด แถมเครื่องในหายไปด้วย นี่มันใช่แน่ๆ”
ฉัตรฉายถามผสมโรงทันที “ใช่อะไรเหรอแม่”
“ก็ใช่กระสือน่ะสิ”
ชาวบ้านได้ยินคำว่าผีกระสือก็ส่งเสียงฮือฮากันใหญ่ เจ๊หวีแหวกฝูงคนเข้ามา โวยลั่น
“ไหน อีตัวไหนมันพูดเรื่องกระสืออีก บอกกูมาซิ”
ผันกับชมพู่ตามมาดูด้วย พอโฉมศรีหันมาเห็นกลุ่มเจ๊หวีก็เบะปากใส่
“แหม นังหวี อะไรสะกิดถูกไม่ได้ ออกจากรูมาเลยนะยะ”
“ต้องออกสิคะ จะมาดูหน้าคนเมายากันยุง พูดได้เป็นตุเป็นตะ ตัวอะไรตายหน่อยบอกกระสือท่าเดียว ไม่เห็นมีหลักฐานซักอย่าง”
เจ๊หวีเท้าเอวหมับพร้อมมีเรื่อง เบากับบางเห็นท่าไม่ดีรีบออกมาขวางมวย โดยเบาพูดเวอร์ส่งๆ ว่า
“ข้ารู้ ข้านี่แหละเห็นจังๆ เลย ยายเพียรมันยังไม่ตายจริงๆ”
ผันไม่เชื่อ “ไม่มีทาง ข้าเป็นคนฝังยายเพียรเองกับมือ”
“ก็ฝังตบตาคนอื่นว่าตายไปแล้วไง พวกภูติผีมันตายแล้วไม่ตายอีกรอบหรอก” ฉัตรฉายยิ้มเยาะ
เบาพูดใส่หน้า เจ๊หวี ผัน ชมพู่ และชาวบ้านว่า “ผีกระสือมันจะออกอาละวาดมากินไส้พวกมึงทุกคน
“อ๋อ นี่จะไม่ยอมใช่แมะ ได้ เจอกันซักยก จะได้รู้ฤทธิ์แม่ มา”
เจ๊หวีทนไม่ได้จะพุ่งไปตบเบา พวกผันชมพู่ดึงรั้งห้ามไว้ เจ๊หวีตะโกนลั่น
“ไอ้ผัน นังพู่ อย่าห้าม ไม่ตบไม่จบแน่ค๊า...”
“เดี๋ยวก่อนเจ๊ ฉันก็เห็นเหมือนกัน”
เจ๊หวีหยุดกึก ผลักชมพู่ออก อึ้งๆไป
“เมื่อคืนข้าสองคนเห็นดวงไฟลอยกลางทุ่งเต็มสองตาเลย” ผันบอก
โฉมศรียิ้มเยาะใส่เจ๊หวี “ไง อึ้งเลยสินังหวี”
“ไม่จริง ยายเพียรแกตายไปแล้วทำไมต้องเอาแกมาพูดชั่วๆ แบบนี้ด้วย” เจ๊หวีไม่เชื่อ
“ไม่มีมูลหมามันไม่ขี้หรอกโว้ย ใจจริงเอ็งก็ไม่มั่นใจเหมือนกันนั่นแหละ” โฉมศรีพูดแทงใจดำ
“ฉันว่ามีผีกระสือ แต่ไม่ได้ว่ายายเพียรเป็นกระสือ” ชมพู่ว่า
“งั้นก็พิสูจน์สิ ให้มันรู้กันไปว่าตายหรือไม่ตาย งั้นเราไปพิสูจน์กันที่บ้านยายเพียรเลย”
โฉมศรีทำหน้ามั่นอกมั่นใจสุดๆ พวกเจ๊หวี ผัน ชมพู่หน้าเจื่อนไป
ที่หน้าบ้านยายเพียรในเวลาต่อมา คุณนายโฉมศรีเป็นแกนนำชาวบ้านร่วมสิบ มารวมตัวตะโกนเรียกพวกนลินออกมา
“ออกมา แน่จริงอย่าหดหัวอยู่ในนั้นสิโว้ย ออกมา”
ชาวบ้านร้องตะโกนเรียกอยู่สักพัก ชลันตีก็ออกมา ตรงไปหาโฉมศรี
“มีอะไรกับพวกฉันเหรอคะ”
“ออกมาได้ซักทีนะ นังตัวดี เลิกหลอกพวกฉันได้แล้ว ยอมรับมาซะว่าญาติแกมันเป็นกระสือ”
ฉัตรฉายผสมโรงว่า “ที่พวกแกจัดงานศพเพื่อจะปกปิดเรื่องนี้ใช่ไหม ความจริงยายเพียรยังไม่ตาย
ชาวบ้านส่งเสียงโห่ฮามาจากด้านหลังโฉมศรี ชลันตียื่นนิ่งอย่างใจเย็น ตอบกลับแม่ลูกเสียงเรียบ
“คุณไปร่วมงานอยู่น่าจะรู้ว่าอะไรเป็นอะไร แล้วจะถามฉันทำไม”
“หน็อย ยังมาตีหน้าซื่ออีก ถ้าไม่จริงแล้วแกจะฝังศพทำไม เผาไปเลยสิจะได้จบๆ หรือว่ากลัวอะไรอยู่”
“นี่มันเป็นสิทธิส่วนบุคคล พวกคุณไม่มีสิทธิ์มาสั่ง”
ชลันตีเริ่มเสียงแข็ง จ้องหน้าไม่ยอมแพ้ โฉมศรีจิกมือแน่น ไม่พอใจ
“ไม่ยอมใช่ไหม” โฉมศรีหันไปสั่งชาวบ้าน “งั้นก็ไม่ต้องรอแล้ว บุกเข้าไปขุดศพมันเลย”
ชาวบ้านส่งเสียงเฮ จะบุกเข้าไปตามคำสั่งโฉมศรี ชลันตีขวางไว้ ผลักโฉมศรีอย่างแรง ตะโกนลั่น
“หยุดนะ! ถ้าใครกล้าเข้าไป ฉันจะฟ้องให้หมด”
กลุ่มชาวบ้านได้ยินเรื่องฟ้องก็ถึงกับหยุดชะงัก ชลันตีมองทุกคนสายตาแข็งกร้าวเต็มไปด้วยความโกรธ
“บุกรุก หมิ่นประมาทให้ร้ายผู้อื่น ละเมิดสิทธิส่วนบุคคล ถ้าฉันส่งเรื่องฟ้อง ได้ขังยาวกันหมดแน่”
ชาวบ้านเริ่มถอย ส่งเสียงซุบซิบไปมา โฉมศรีทำเป็นใจกล้า เถียงกลับไป
“แหม เอากฏหมายมาอ้าง คิดว่าฉลาดนักเหรอ”
“ฉันทำได้หมดนั่นแหละ จะลองขุดดูก็ได้ แต่ถึงวันคุณนายตายเมื่อไหร่ฉันจะไปขุดศพขึ้นมาดูบ้าง”
ฉัตรฉายใจตกใจหน้าเหวอรีบฟ้องแม่
“แม่ มันขู่จะขุดศพแม่ มันไม่ให้เกียรติคุณแม่เลย”
“โอ๊ย อีลูกบ้า ฉันยังไม่ตาย”
ฉัตรฉายหุบปากหมับ ชลันตีเดินไปจ้องหน้าโฉมศรีมองเหยียดๆ
“ฉันไม่ให้เกียรติคนที่ไม่รู้จักให้เกียรติคนอื่นก่อน เลิกยุ่งกับพวกฉันได้แล้ว กลับไปซะ ก่อนฉันจะแจ้งตำรวจ”
โฉมศรีทำปากขมุบขมิบอย่างไม่ชอบใจ หันไปสั่งชาวบ้าน
“มองอะไรล่ะ กลับ”
โฉมศรีกับคนอื่นถอยทัพกลับไป ชลันตีแอบโล่งใจ
โฉมศรีกับฉัตรฉายเดินปึงปังเข้ามาในบ้าน ท่าทางไม่พอใจมาก โฉมศรีบ่นบ้าออกมาเสียงดังลั่น
“นังชลันตี ทำเป็นขู่ คิดว่าฉันจะหยุดแค่นี้รึไง”
“งั้นเราจะทำยังไงต่อดีแม่”
โฉมศรีครุ่นคิด จู่ๆ ก็มีของปาของลงตรงหน้าทั้งคู่ดังโครม ตามด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราดของกำนันสิน
“ไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น”
โฉมศรีกับฉัตรฉายหน้าเหวอไป เจอกำนันสินมองตาขวาง
“พี่กำนัน”
กำนันชี้โดรน วิกผม ไส้ปลอม ที่กองแหมะอยู่กับพื้น ยิ่งเห็นก็ยิ่งโมโห
“แผนตื้นๆ แค่นี้คิดว่าจะเล่นงานมันได้เหรอ”
โฉมศรีมองแล้วทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้
“อะไรกันเนี่ยพี่ ไปเอามาจากไหน”
“อย่าทำไก๋ ข้ารู้หมดแล้ว ข่าวกระสืออาละวาดเป็นแผนพวกเอ็งใช่ไหม”
ฉัตรฉายตะแบงต่อ “เปล่านะ ฉันกับแม่ซื้อมาจะเอาไปงานแฟนซีต่างหาก”
“แฟนซีบ้านเอ็งสิ บอกมานะว่าพวกเอ็งคิดจะทำอะไร”
โฉมศรีขัดใจโดนจับได้ ค้อนใส่ผัวกำนันปะหลับปะเหลือก
“พวกมันอยากเล่นแง่ไม่ขายที่ให้ ฉันก็ต้องทำแบบนี้นั่นแหละ” โฉมศรีเถียง
“เรอะ งั้นข้าจะบอกไว้ว่าลูกไม้พวกนี้ มันตื้นซะยิ่งกว่าน้ำในคันนาโน่นอีกทำอะไรไม่รู้จักปรึกษา” กำนันสินพูดใส่หน้าเมีย แล้วหันมาแดกดันลูกสาว “ขายควายส่งควายเรียนแท้ๆ”
ฉัตรฉายกรี๊ด “ว้าย! นี่พ่อด่าฉันด้วยงั้นเหรอ”
“ที่ข้าด่าเนี่ยเพราะบ้านยายเพียรมันไม่โง่ แผนหลอกผีกิ๊กก๊อกเล่นงานพวกมันไม่ได้หรอก แถมจะได้นอนคุกฟรีด้วย”
โฉมศรีฮึดฮัด เถียงกำนันสินกลับ
“แล้วถ้าปรึกษา พี่มีแผนดีกว่านี้รึไง”
กำนันสินไม่ตอบ เบือนหน้าหนีเมียกะลูก ใช้ความคิดหนัก
อ่านต่อ ตอนที่ 3