สาปกระสือ ตอนที่ 2 นลินกลายเป็นทายาทกระสือยายเพียร
บทประพันธ์และบทโทรทัศน์โดย อาณาจินต์
นลินยืนหลับตานิ่งอยู่บนราวสะพานคนข้ามถนน กำลังจะปล่อยมือและกระโดดลงไปในถนนเบื้องล่างที่มีรถวิ่งขวักไขว่ แต่แล้วมีมือใครบางคนมาคว้ามือนลินเอาไว้
“อย่าลิน”
นลินหันไปตามเสียงของกวิตาด้วยสีหน้าแปลกใจ เมื่อพบว่าคนที่จับมือนลินไว้คือ ชลันตี หญิงวัยป้า
“ความตายไม่ใช่การจบปัญหาทุกอย่างหรอกนะ” ชลันตีบอก
นลินยังงงไม่หาย กวิตาเข้ามาช่วยจับตัวนลินถ่ายทอดความห่วงใยไปให้เพื่อน
“อย่าคิดอะไรสั้นๆ นะลิน มีอะไรคุยกันได้”
นลินอัดอั้นจนร้องไห้ออกมาอีก “ฉันไม่มีทางออกแล้วต้า”
“มีสิ ป้าจะช่วยลินเอง”
ได้ยินสรรพนามแทนตัวว่าป้า นลินยิ่งงงหนัก กวิตารีบแนะนำ
“นี่ป้าตี เป็นป้าแท้ๆ ของแก”
นลินมองชลันตีอย่างประหลาดใจ กวิตากับชลันตีช่วยกันประคองนลินลงจากราวสะพาน นลินยกมือไหว้ชลันตี อีกฝ่ายรับไหว้และยิ้มให้อย่างเป็นมิตร
“ป้าตามหาลินมานานแล้ว”
“ลินไม่เคยรู้มาก่อนเลยค่ะว่าลินยังมีญาติ”
“ไป... กลับบ้านก่อน เดี๋ยวป้าตีกับฉันจะเล่าให้แกฟังเอง”
กวิตากึ่งประคองนลินไปขึ้นรถที่จอดอยู่ไม่ไกลนัก
“นี่โชคดีนะที่ถามเพื่อนบ้านแถวเรือนหอแก บอกว่าเห็นแกเดินมาทางนี้ถ้ามาช้าอีกนิดเดียว แกกับป้าตีคงคลาดกันไปตลอดชีวิต”
ชลันตีมองตามหลังนลินด้วยสีหน้าเรียบเฉย ซ่อนความสงสารหลานสาวไว้ลึกๆ ในใจ
เช้าวันรุ่งขึ้น นลินอยู่ที่ห้องรับแขกบ้านเช่า ชลันตีนั่งข้างๆ ยื่นนามบัตรให้ นลินรับไปดู พอเห็นตำแหน่งหน้าที่ก็ตกใจ
“คุณชลันตี” นลินมองจ้องชลันตีอย่างคาดไม่ถึง “ทนายหรือคะ”
“จ้ะ และยังเป็นลูกพี่ลูกน้องของคุณแม่หนูด้วย”
นลินถอนหายใจอย่างโล่งอก ด้วยเบื้องแรกนึกว่าอีกฝ่ายเป็นทนายที่ตามมาเอาเรื่อง
ชลันตีแปลกใจ “ทำไมลินดูตกใจขนาดนั้น”
“ปละ...เปล่าค่ะ...คือ... ลินแค่นึกไม่ถึงว่าจะมีญาติเป็นทนายด้วย”
“นอกจากป้าแล้วลินยังมีคุณยายด้วยนะ คุณยายของลินท่านคิดถึง และคอยตามหาลินกับแม่มาตลอด”
“คุณยาย” นลินมองฉงน สีหน้าประหลาดใจ
“ใช่จ้ะ ตอนนี้ท่านก็สุขภาพไม่ค่อยดี ความหวังสุดท้ายของท่านก็อยากจะเห็นหน้าลูก หน้าหลาน”
“แต่คุณแม่ของลิน” นลินหน้าเศร้าลง
“ท่านรู้เรื่องแม่ของลินแล้วจ้ะ ถึงได้สั่งให้ป้ามาตามหาลิน”
กวิตาซึ่งนั่งฟังอยู่ด้วยตั้งแต่แรกพูดเสริมขึ้นว่า
“ดีใจด้วยนะลิน ลินไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวแล้วนะ”
นลินมีสีหน้าลังเล และไม่แน่ใจ
ชลันตีหยิบรูปครอบครัว ใบหนึ่งเป็นรูปพ่อ แม่นรา และนลินสมัยเด็ก อีกใบเป็นรูปยายเพียร กับแม่นรา ยื่นให้นลินดู
“นี่รูปหนูตอนเด็กๆ”
นลินรับมาดู เห็นเป็นภาพเธอในวัย 3 ขวบ ที่แม่นราอุ้มอยู่
“และนี่สูติบัตรของหนู”
นลินดูรูปและเอกสาร สีหน้านึกไม่ถึง น้ำตาคลอ
“ใช่ลินจริงๆ ด้วย ขอบคุณค่ะป้าตี ขอบคุณที่ตามหาลิน ทำให้ลินรู้ว่าตัวเองไม่ได้อยู่คนเดียวบนโลก”
ป้าหลานโผเข้ากอดกัน นลินน้ำตาไหลรินออกมาอย่างตื้นตันใจ กวิตาน้ำตาซึม เช็ดน้ำตาป้อยๆ พลอยตื้นตันไปด้วย
สองสาวไม่ทันเห็นว่าสีหน้าชลันตีมีแววเศร้าสร้อยและเครียดเคร่งอย่างประหลาด
ที่วัดโบราณเก่าแก่แห่งนี้ เห็นกลุ่มของตฤณฤทธิ์พร้อมกับนักศึกษาชายหญิง ราว 7 - 8 เดินอยู่บริเวณวัด เป็นการพามาศึกษานอกสถานที่ ในนั้นมี คิตตี้ นักศึกษาสาวสวยอยู่ด้วย
ตฤณฤทธิ์กำลังอธิบายให้ความรู้กับบรรดาลูกศิษย์ ขณะที่นักศึกษาต่างถือสมุดจดอย่างตั้งใจ บางคนก็ใช้มือถือ แท็บเล็ตอัดเสียงไว้
“สถาปัตยกรรมในยุคนี้มักก่อด้วยอิฐเป็นส่วนใหญ่ อย่างเช่น วัดพระเมรุและเจดีย์จุลปะโทน จังหวัดนครปฐม ไม่ทราบว่าในห้องนี้มีใครเคยไปเที่ยวมาบ้างหรือยัง”
“ยังไม่เคยไปค่ะ รออยู่ว่าเมื่อไหร่อาจารย์จะชวน” คิตตี้สัพยอก
มีเสียงโห่ แซวจากเพื่อนๆ ดังตามมา
“งั้นก็รวมกลุ่มกันมาครับ แล้วนัดวันกับครูอีกที เราจะได้ไปดูของจริง” ตฤณฤทธิ์บอก
เสียงกรี๊ดกร๊าดกระดี๊กระด๊าของสาวๆ ดังขึ้นด้วยความตื่นเต้น
ตฤณฤทธิ์อธิบายต่อว่า “ต่อนะครับ บางแห่งมีการใช้ศิลาแลงบ้าง อย่างเช่นการก่อสร้างบริเวณฐานสถูป การก่อสร้างเจดีย์ในสมัยทวารวดี ซึ่งพบทั้งเจดีย์ฐานสี่เหลี่ยม เจดีย์ทรงระฆังคว่ำ มียอดแหลมอยู่ด้านบน อย่างที่เห็นอยู่ในสไลด์ เอาล่ะครับ มีใครสงสัยอะไรหรือเปล่า”
“อาจารย์คะ ถ้าตั้งกลุ่มแล้วมีแค่หนูไปคนเดียว อาจารย์จะพาไปหรือเปล่าคะ” คิตตี้แซวอีก
ตฤณฤทธิ์ยิ้มเบาบาง
เหล่านักศึกษากรี๊ดกันลั่นเมื่อเห็นรอยยิ้มของตฤณฤทธิ์ บ้างก็ทำท่าเหมือนจะเป็นลม บ้างก็กรี๊ดลั่นฟินจนทนไม่ได้
“ครูว่าไปกันหลายๆ คนน่าจะสนุกกว่านะครับ เหมือนวันนี้ไง เอ้า เดี๋ยวเราไปดูทางโน้นต่อนะครับ”
ตฤณฤทธิ์เดินนำไปยังบริเวณอื่น นักศึกษารีบตามไป
ตฤณฤทธิ์กลับจากสอนนอกสถานที่ สะพายกระเป๋าเอกสารคู่กายเดินมาตามทางในมหาวิทยาลัย เห็นนักศึกษาที่เดินสวนมายกมือไหว้เป็นระยะ
พอตฤณฤทธิ์เดินมาถึงหน้าประตูห้องทำงานส่วนตัวก็หยุดยิ้มทัก มธุรสที่ยืนพิงประตูส่งยิ้มมาให้
“หิวหรือยังคะ วันนี้ทานอะไรดี กะเพราไก่ของโปรดพี่ตฤณมั้ยคะ”
ตฤณฤทธิ์พยักหน้ายิ้มๆ
“ดูท่าออกภาคสนามก็คงไม่พ้นกะเพราไก่” มธุรสพูดล้อ
ตฤณฤทธิ์ยิ้มขำ “ก็อยากให้มีเหมือนกันล่ะครับ แต่คราวนี้เข้าป่า ของกินโดยมากก็จะเป็นเนื้อย่าง ไก่ย่าง กับอาหารกระป๋องมากกว่า”
“ได้ยินว่าเข้าไปเจอของสำคัญ”
“ยังไม่แน่ใจเหมือนกันว่าสำคัญจริงหรือเปล่า ส่วนมากจะเป็นพวกเครื่องประดับชิ้นเล็กๆ ตอนนี้กำลังส่งให้กรมตรวจสอบ”
“แล้วนี่พี่ตฤณต้องไปอีกหรือเปล่าคะ”
“ครับ ทางกรมส่งคนมาให้แล้ว คิดว่าน่าจะกลับเข้าไปเร็วๆ นี้”
มธุรสออกอาการตื่นเต้น “รสขอไปด้วยคนนะคะ”
ตฤณฤทธิ์หันมองมธุรสด้วยสีหน้าแปลกใจ
“พี่ว่าคงไม่เหมาะมั้งครับ ที่ที่จะไปมันเป็นป่าลึก”
“ไม่ใช่ปัญหาค่ะ พี่ตฤณก็รู้นี่คะว่ารสน่ะขาลุยขนาดไหน งานเข้าป่าค้นหาความลับทางโบราณคดี รสชอบอยู่แล้ว ยิ่งเรื่องลึกลับ ยิ่งดูมีเสน่ห์ ยิ่งยาก รสก็ยิ่งอยากค้นหา”
มธุรสพูดเป็นนัยแล้วมองจ้องตฤณนิ่งๆ เล่นเอาอีกฝ่ายอึ้งไป
ฝ่ายนลินยังคงนั่งคุยกับชลันตีอยู่ที่บ้าน ในมือยังถือรูปครอบครัวอยู่
“แล้วตอนนี้คุณยายเป็นยังไงบ้างคะ สบายดีหรือเปล่า”
“ตอนนี้คุณยายของลินป่วยหนัก แล้วก็อยากจะเจอลินมาก”
“อยากเจอลินเหรอคะ” นลินมีสีหน้าลังเลชัดแจ้ง
กวิตาบอกว่า “ไปเถอะลิน ยายของลินแท้ๆ จะมัวลังเลทำไม”
“แต่ว่างาน แล้วก็...”
กวิตามองหน้านลินเหมือนรู้ว่านลินกังวลอะไรอยู่
“ช่างมันเถอะลิน ปัญหาทางนี้ปล่อยมันไปก่อน ไปเยี่ยมคุณยายแล้วก็ไปพักผ่อน พักสมอง บางทีกลับมาเราอาจจะหาทางออกได้”
ชลันตีเยื้อนยิ้มมองสองสาวคุยกัน นลินคิดตามที่กวิตาพูด
เวลาต่อมานลินนั่งรถมากับชลันตีสองคน รถแล่นเข้ามาในหมู่บ้านโนนปุระ ที่เคยมีข่าวเกี่ยวกับกระสือนั่นเอง นลินมองผ่านกระจกรถออกไปอย่างตื่นตาตื่นใจ
บรรยากาศในหมู่บ้านทั่วบริเวณมีต้นไม้ขึ้นหนาครึ้มดูร่มรื่น สองข้างทางมีผู้คนเดินไปมา บ้างนั่งเล่นอยู่ใต้ถุนบ้าน บ้างก็กวาดลานบ้าน
บ้านแทบทุกหลังเป็นบ้านไม้ยกสูง ที่ใต้ถุนบ้านมีแคร่สำหรับให้คนในบ้านมานั่งเล่นรับลมและทำกิจกรรมร่วมกัน ห่างจากตัวบ้านจะเป็นลานอเนกประสงค์ ถัดออกมาจะเป็นรั้วไม้ที่กั้นระหว่างเขตบ้านและถนนด้านหน้า และที่เด่นที่สุดน่าจะเป็นซุ้มประตูรั้วบ้าน ที่ด้านหน้าจะมีโต๊ะไม้ยกสูงสำหรับวางโอ่งดินเผาขนาดเล็ก มีฝาปิดและกระบวยตักน้ำกะลามะพร้าวร้อยเชือกติดกับฝาโอ่งไว้ให้สำหรับคนเดินทางตักน้ำดื่ม
นลินยิ้มชื่นมองภาพเหล่านั้นอย่างเพลินตา “ร่มรื่นดีจังเลยนะคะป้าตี”
“หมู่บ้านที่ความเจริญยังเข้ามาไม่ถึงก็จะร่มรื่นแบบนี้แหละ”
นลินรู้สึกตื่นเต้น เธอเลื่อนกระจกลงเพื่อรับอากาศบริสุทธิ์ภายนอก พร้อมกับหายใจเข้าปอดลึก
“อืม...อากาศดี๊ดี ผู้คนก็บางตาดูไม่วุ่นวาย”
“ลินชอบเหรอ”
“ค่ะ น่าอิจฉาคนที่นี่นะคะที่ได้อยู่ในที่อากาศดีๆ ไม่ต้องวุ่นวาย ไม่ต้องทุกข์ร้อนเหมือนกับพวกคนเมือง”
นลินพูดโดยไม่หันมามองชลันตี สีหน้าของเธอเริ่มเศร้าลงเมื่อนึกไปถึงเรื่องตนเอง
นลินสังเกตเห็นว่าชาวบ้านบางคนเดินออกจากในบ้านยืนมองมาที่รถ บ้างก็ปั่นจักรยานผ่านมาแล้วหันมามองที่รถชลันตีอย่างสนใจ บางคนที่กำลังยืนจับกลุ่มคุยกันอยู่ก็หันมามองที่รถด้วยสายตาแปลกใจและสงสัยเหมือนกันแทบทุกคน
รถแล่นไปช้าๆ นลินยังคงมองออกมานอกรถ เห็น บาง และ เบา คู่แฝดของหมู่บ้านกำลังตักน้ำจากโอ่งดินเผาหน้าบ้านชาวบ้านดื่มอยู่ เบาสะกิดให้บางหันไปมองที่รถ บางหันมองตาม
นลินรู้สึกแปลกใจ
“ทำไมพวกชาวบ้านถึงมองมาที่รถเราทุกคนเลยคะ”
“เป็นเรื่องธรรมดาจ้ะลิน ในหมู่บ้านไม่ค่อยจะมีรถยนต์วิ่งเข้ามา”
“พวกเขาไม่ใช้รถกันเหรอคะ”
“ทั้งหมู่บ้านจะมีแค่รถของบ้านเรากับบ้านกำนัน อ๋อ...แล้วก็มีรถสองแถวที่วิ่งเข้ามาในหมู่บ้านวันละเที่ยวด้วย” ชลันตีอธิบาย
นลินเริ่มเข้าใจ พอหันออกไปมองนอกกระจก เห็นสายตาแปลกๆ ของชาวบ้านที่กำลังมองมา นลินจึงเลื่อนกระจกขึ้นปิด ชลันตีลอบมองนลินอย่างจับสังเกต
รถวิ่งเข้ามาจอดหน้าบ้านหลังหนึ่ง นลินและชลันตีลงจากรถ สีหน้าตกตะลึงของนลิน
“นี่เหรอคะบ้านคุณยาย”
นลินเห็นบ้านหลังใหญ่มีบริเวณโดยรอบเป็นพื้นที่กว้างขวาง เต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่ร่มครึ้ม แทบจะบังตัวบ้านจนมิด ทำให้บรรยากาศดูลึกลับ
ชลันตียิ้มเยือกเย็นมองนลิน
ชลันตีเดินนำขึ้นเรือนมา เปิดประตูบ้านเดินเข้าไป แล้วขยับถอยหลีก หันมาเรียกนลินด้วยน้ำเสียงเย็นเยือก
“เข้ามาสิจ๊ะลิน”
นลินเดินตามเข้ามา จู่ๆ ก็มีลมวูบหนึ่งตีเข้ามาที่ใบหน้าของเธอจังๆ จนถึงกับต้องถอยหลังไปเหยียบธรณีประตูโดยไม่ตั้งใจ นลินรู้ตัวก็ตกใจ รีบชักเท้าออก ก่อนจะเดินตรงเข้าไป
ซูมที่เท้านลินขณะเดินมีเสียงไม้กระดานลั่นตามจังหวะที่นลินกำลังเดิน (ช้าๆ)
เสียงนาฬิกาตีบอกเวลาดังขึ้นท่ามกลางความเงียบ นลินสะดุ้งตกใจ ก่อนจะมองไปเห็นที่มาของเสียง เป็นนาฬิกาโบราณเรือนใหญ่ที่ตั้งอยู่ตรงเสาเรือน
“นลิน”
นลินผ่อนลมหายใจเบาๆ เหลียวมองไปรอบๆ อย่างสำรวจตรวจตรา พบว่าเครื่องเรือนส่วนใหญ่ล้วนทำจากไม้สัก บรรดาข้าวของเครื่องใช้ที่ประดับตกแต่งอยู่ตามจุดต่างๆ จำนวนมาก
ภายในบ้านมืดสลัว ด้วยหน้าต่างถูกปิดเอาไว้ทุกบาน มีเพียงแค่แสงสว่างที่เล็ดลอดเข้ามาจากรอยแยกและร่องรูของฝาบ้านเท่านั้น ที่ทำให้สามารถมองเห็นสิ่งของต่างๆ ได้
จู่ๆ นลินก็รู้สึกขนลุกเกรียวขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
“ทำไมในบ้านมืดจังคะป้าตี”
นลินถามขึ้น แต่ได้ความเงียบมาแทน เมื่อหันไปมองก็ไม่เห็นชลันตีอยู่ข้างๆ แล้ว เหลียวหาจนทั่วแต่ไม่เจอ
“ป้าตีคะ ป้าตี...”
นลินแปลกใจจึงเดินกลับไปที่ประตู จังหวะนี้ลมพัดประตูเรือนปิดใส่หน้าอย่างแรง จนนลินผงะถอยด้วยความตกใจ
ความกลัวแล่นเข้ามาเป็นริ้วๆ เริ่มเกาะกุมจิตใจของนลินอย่างเห็นได้ชัด จู่ๆ มีมือใครคนหนึ่งเอื้อมมาจับที่ต้นแขนของนลินหมับ
นลินหันไปมองแขนนั้น แล้วหันขวับไปมองที่ด้านหลัง เห็นใบหน้าบึ้งตึงของ นวล มองมาอย่างไม่เป็นมิตร นลินตกใจสุดขีดกรี๊ดดังลั่น
“อ๊ายยยย”
ถัดจากนั้น นวล แม่บ้านและคนดูแลยายเพียร ก็เดินนำมาหยุดที่ประตูห้องนอนใหญ่บนเรือนเปิดเข้าไป แล้วเดินนำนลินเข้ามาในห้องนั้น นลินเดินตามมาและหยุดยืนอยู่ที่หน้าประตู ท่าทีกล้าๆ กลัวๆ
ชลันตีนั่งอยู่ข้างเตียงนอนของยายเพียร ที่มีมุ้งสีขาวบางๆ กางคลุมกันยุงเอาไว้ มองเข้าไปจะเห็นยายเพียรกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่ด้านใน ชลันตีหันมายิ้มให้นลินก่อนจะหันไปบอกกับผู้เป็นมารดาว่า
“นลินมาแล้วค่ะ”
เงาลางๆ ของยายเพียรในมุ้ง ส่งเสียงเรียกออกมา
“ลินเหรอลูก เข้ามาสิลูก มาหายายใกล้ๆ”
นลินยังคงยืนนิ่ง เธอเริ่มรู้สึกกลัวจนแทบจะก้าวขาไม่ออก
นวลเดินเข้ามาช่วยดึงแขนนลินให้เดินเข้าไป นลินตามไปอย่างกล้าๆ กลัวๆ
ชลันตีลุกขึ้นแหวกมุ้งเลิกขึ้น จนเห็นยายเพียรกึ่งนั่งกึ่งนอนพิงหัวเตียงมองมาที่นลิน พร้อมรอยยิ้มทักบางๆ ดูลึกลับลึกล้ำ
“นลิน...หลานยาย...”
นลินกลืนน้ำลายลงคออย่างยากเย็น
เบาและบาง รีบวิ่งขึ้นมาบนชานเรือนบ้านกำนันสินพร้อมกับตะโกนเสียงดังลั่น
“กำนันๆ พ่อกำนัน...”
กำนันสินและโฉมศรีเดินออกมาจากในตัวบ้าน
ด้วยความรีบเบาวิ่งเข้ามาจนเกือบจะชนพ่อกำนัน จึงรีบเบรคจนถูกบางวิ่งมาชนโครมจากทางด้านหลัง
“เฮ้ย อะไรวะ ตะโกนเสียงดังซะลั่นบ้าน”
“เมื่อตะกี้ มีคนแปลกหน้ามาบ้านยายเพียรจ้ะ เป็นผู้หญิง สาว สวยด้วยจ้ะ” เบารายงานข่าว
กำนันสินนิ่งนึก “เป็นไปได้ยังไง ปกติบ้านยายเพียรไม่เคยมีใครที่ไหนไปมาหาสู่นี่นา”
โฉมศรีที่นั่งฟังอยู่ใกล้ๆ ตกใจเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้
“หรือว่าจะเป็นคนมาซื้อที่ยายเพียร” จากนั้นก็โวยวายใส่ผัวทันที “ไม่ได้นะพี่สิน ที่ดินตรงนั้นฉันจะเอา มันติดกับที่ของเราจะให้ใครไปไม่ได้เด็ดขาด”
“ไอ้เบา ไอ้บาง พวกเอ็งไปสืบมาซิว่า ผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร ใช่คนที่จะมาซื้อที่ยายเพียรจริงหรือเปล่า”
“รับทราบครับ! พ่อกำนัน...”
เบากะบางประสานเสียง แล้วรีบลุกขึ้นอย่างกระตือรือร้น ทำวันทยาหัตถ์รับทราบ ก่อนจะรีบแย่งกันเดินออกไป
โฉมศรีบ่นเชิงปรารภขึ้นมาอีก “ถ้ามันเป็นคนมาซื้อที่จริงๆ เราจะทำยังไงดีพี่สิน”
“ยายเพียรนะยายเพียร ฉันขอซื้อที่ตรงนั้นมาตั้งนานสองนาน ไม่ยอมขาย ตอนนี้จะไปขายให้คนอื่น ยัยแก่นี่มันร้ายจริงๆ”
กำนันสินโมโห บ่นบ้านด้วยสีหน้าโกรธจัด
ฝ่ายนลินค่อยๆ เดินเข้าไปนั่งลงที่ปลายเตียง ยายเพียรยิ้มดีใจพิศมองใบหน้าของหลานสาวด้วยแววตาอันเศร้าสร้อยอย่างเห็นได้ชัด
“เข้ามาใกล้ยายอีกหน่อยสิลูก”
นลินขยับเข้าไปใกล้อีกนิด
“นรา... หนูช่างเหมือนนรา...แม่หนูจริงๆ”
ยายเพียรพูดไป น้ำตาร่วงรินลงสองข้างแก้ม นลินก้มลงกราบ
ยายเพียรนิ่งมองนลินด้วยสายตาที่เศร้าสร้อยมากยิ่งกว่าเดิม เอื้อมมือไปหมายจะลูบหัวหลานสาว
นลินเงยหน้าขึ้นมามอง จังหวะนี้สร้อยจี้เบี้ยแก้ที่นลินห้อยคอเป็นประจำโผล่ออกมานอกเสื้อ มีรัศมีวาบออกมา
ยายเพียรชะงักกึก หดมือกลับ รีบหลบตาทันทีที่มองเห็นเบี้ยแก้
ชลันตีมองดูอยู่ใกล้ๆ เห็นสร้อยจี้เบี้ยแก้จึงถามขึ้น
“ลินใส่สร้อยอะไรจ๊ะ ทำไมจี้มันหน้าตาแปลกๆ”
นลินหยิบจี้ที่คอขึ้นมาดู
“อ๋อ...เบี้ยแก้น่ะค่ะป้าตี แม่ให้ลินใส่ติดตัวไว้ตั้งแต่จำความได้”
“สวยดีนะ แปลกด้วย ขอป้าดูหน่อยได้ไหม”
นลินขยับยื่นจี้ให้ชลันตีดู โดยไม่ได้ถอดออกจากคอ
“ถอดออกมาให้ป้าดูได้ไหม จะได้ดูชัดๆ”
นลินอึกอัก “เอ่อ... แม่สั่งลินไว้ว่าให้สวมติดตัวตลอดเวลา ห้ามถอดออกเป็นอันขาด”
“ป้าขอดูเดี๋ยวเดียวเอง”
นลินมีท่าทีลำบากใจ “ขอโทษนะคะป้าตี ลิน...”
“ไม่เป็นไรหรอกตี” ยายเพียรบอก
“ค่ะ” ชลันตียิ้มบอกนลิน “ไม่เป็นไรจ๊ะป้าเข้าใจ”
รอยยิ้มที่ส่งมาให้นลินเหมือนเข้าใจ แต่แววตาที่มองจ้องจี้เบี้ยแก้กลับวาววับเหมือนคนใช้ความคิดหนัก
ขณะเดียวกันตฤณฤทธิ์ เดินทางมาถึงบ้านดอนป่าหวาย พร้อมมธุรส วิศวัต และลูกทีมในทีมวิจัยอีก 4 คน เวลานี้อาจารย์รูปงามยืนคุยกับกำนันสินที่ลานหน้าบ้านของกำนัน
“ต้องรบกวนกำนันสินด้วยนะครับ”
“ไม่ต้องเกรงใจครับ งานหลวงช่วยราชการอย่างนี้ มันหน้าที่ผมอยู่แล้ว”
“แล้วเรื่องพราน”
“เรื่องนั้นไม่ต้องกังวล ผมเตรียมไว้ให้พวกคุณแล้ว คนนี้เป็นพรานหนุ่ม ไม่ตื่นตูมเหมือนคนแก่ๆ แน่นอน ผมรับประกัน”
“ดีค่ะ ถ้าไม่มีปัญหาอะไร งานจะได้เสร็จเร็วขึ้น”
กำนันสินมองมธุรสด้วยสีหน้าสงสัย
“เอ่อ...ผมเพิ่งรู้ว่าจะมีผู้หญิงเข้าป่าไปด้วย”
“ผมลืมแนะนำ นี่คุณมธุรส นักวิจัยด้านโบราณคดี และสอนที่เดียวกับผม”
มธุรสยิ้มหวานยกมือไหว้กำนันสิน
“สวัสดีค่ะ รบกวนหน่อยนะคะกำนัน”
กำนันสินรับไหว้ “ครับสวัสดีครับ แหม...ผู้หญิงรุ่นใหม่นี่ เก่งๆ กันทุกคนนะครับ เป็นนักวิจัย เข้าป่าขึ้นเขาลุยไม่แพ้พวกผู้ชายเลย”
มธุรสยิ้มเขินรับคำชมของกำนัน พลางเหลือบมองหน้าดูท่าทีตฤณฤทธิ์
“แหม...กำนันก็ชมเกินไปค่ะ มันเป็นงานของรสนี่คะ”
“เอาล่ะครับ ผมจะพาทุกคนไปพักที่เรือนรับรอง”
กำนันสินหัวร่อร่าเดินนำไป ตฤณฤทธิ์ และทุกคนเดินตามไป
บ้านยายเพียรในตอนกลางคืนเงียบสงัด บรรยากาศยิ่งดูลึกลับ นลินถือโทรศัพท์เดินออกมานอกชานเพื่อหาสัญญาณ พยายามยกเครื่องขึ้นเพื่อหาสัญญาณโทรศัพท์มือถือ
“ทำไมไม่มีสัญญาณเลยนะ โทรศัพท์บ้านก็ไม่มี เฮ้อ...”
นลินลงเรือนมา และยังคงง่วนอยู่กับการยกมือถือขึ้นหาคลื่นสัญญาณจนเดินเลยออกนอกเขตรั้วบ้านโดยไม่รู้ตัว จังหวะหนึ่งสายตาของเธอแลเห็นดวงไฟดวงเล็กๆ กำลังลอยห่างออกไป
นลินรู้สึกแปลกใจ ลดมือถือลงพยายามเพ่งมองให้ถนัดตา เห็นดวงไฟลอยไปจนลับสายตา นลินนิ่วหน้าสงสัย แต่ก็ไม่ได้สนใจ เดินหาสัญญาณโทรศัพท์ต่อ
ฝั่งตฤณฤทธิ์นอนไม่หลับ เดินลงมาสูดอากาศตรงลานหน้าเรือนรับรองในบริเวณบ้านกำนันสิน พาตัวเองเดินไปนั่งบนม้าหินในลาน ชายหนุ่มแหงนมองดาวบนท้องฟ้าด้วยความรู้สึกชุ่มชื่นใจอย่างบอกไม่ถูก
ไม่นานนักก็มีใครคนหนึ่งเดินเข้ามาสมทบและนั่งลงข้างๆ
“ดาวเต็มท้องฟ้าเลย สวยจังนะคะ”
ตฤณฤทธิ์หันไปมองเห็นมธุรสยิ้มหวานมาให้
“อยู่ในเมืองไม่เคยเห็นดาวเยอะขนาดนี้”
“ดูท่าพี่ตฤณจะติดใจที่นี่นะคะ”
“ที่นี่อากาศสดชื่น กลางคืนก็เงียบสงบ ได้ยินแค่เสียงธรรมชาติ”
“อยู่คนเดียวเหงาแย่เลยนะคะ เดี๋ยวรสจะมาอยู่เป็นเพื่อน”
มธุรสมองอาจารย์รูปงามด้วยสายตาสื่อความหมายชัดแจ้ง
ตฤณฤทธิ์ยิ้มสุภาพให้ มธุรสยังคงยิ้มมองไม่วางตา จนตฤณฤทธิ์เริ่มรู้สึก และทำตัวไม่ถูก
“พี่ว่านี่มันดึกแล้ว รสน่าจะรีบไปนอนดีกว่านะครับ พรุ่งนี้เราต้องตื่นออกเดินทางกันแต่เช้ามืด”
ตฤณฤทธิ์ลุกขึ้น มธุรสลุกตาม
“ไป พี่จะเดินไปส่งที่ห้อง”
“ไม่ต้องหรอกค่ะ ห้องรสอยู่แค่นี้เอง รสเดินไปเองได้ พี่ตฤณก็เหมือนกันรีบพักผ่อนนะคะ”
ตฤณฤทธิ์ยิ้มรับ พอหันหลังให้สีหน้ามธุรสกลายเป็นปั้นปึ่งเดินกลับเข้าห้องไปอย่างผิดหวัง
ตฤณฤทธิ์ยืนมองกระทั่งแน่ใจว่ามธุรสเข้าห้องแล้ว ขณะจะเดินกลับห้องพักของตน พลันเสียงจิ้งหรีด จั๊กจั่นเรไรที่ร้องดังระงมอยู่ก็เงียบลงไปเฉยๆ ทำเอาตฤณฤทธิ์ถึงกับชะงัก
“ทำไมถึงเงียบไป”
ตฤณฤทธิ์มองผ่านความมืดออกไปด้านนอกรั้วบ้าน เขาเห็นอะไรบางอย่าง
แสงไฟกะพริบอยู่ไกลๆ และค่อยลอยห่างออกไป ตฤณฤทธิ์เขม้นตามองด้วยความสงสัย แล้วรีบเดินตามดวงไฟนั้นไป
ด้านนลินยังคงเดินหาสัญญาณโทรศัพท์มาเรื่อยๆ จนเริ่มยิ้มออกมาได้เมื่อเห็นสัญญาณในมือถือขึ้นมา 1 ขีด
“เจอแล้ว”
นลินกดเบอร์โทรออก รอสัญญาณกระทั่งปลายทางรับสาย
“ฮัลโหลต้า ฮัลโหลได้ยินไหม ฮัลโหล”
นลินพูดไปและพยายามเดินหาคลื่นไป
“ลินเองต้า ตอนนี้ลินอยู่ที่บ้านคุณยายแล้วนะ... ใช่... ทุกคนใจดีกับลินมาก” จู่ๆ สัญญาณเริ่มขาดๆ หายๆ ไป “ฮัลโหลต้า สัญญาณที่นี่ไม่ค่อยมีเลยอะต้า แค่นี้นะ แล้วเดี๋ยวลินหาทางโทรหาต้าใหม่...จ้า...”
นลินวางสาย มองจอมือถือเห็นไม่มีสัญญาณสักขีดก็ถอนหายใจ เก็บโทรศัพท์จะเดินกลับบ้านยายเพียร พลันหูก็ยินเสียงไก่ร้องแตกตื่นขึ้น และร้องอยู่สักพักแล้วก็เงียบไป ตามด้วยเสียงกุกกักๆ เหมือนคนกำลังกินอะไรอยู่
นลินสงสัยและแปลกใจ จึงค่อยๆ เดินตามเสียงที่ได้ยินไป กระทั่งรู้สึกเหมือนเท้าไปเหยียบอะไรแฉะๆ เข้า
นลินหยิบโทรศัพท์ออกมาเปิดไฟส่องดูที่เท้า เห็นเป็นเลือดและขนไก่ที่พื้น นลินส่องไฟดูไปตามทางเห็นขนไก่และเลือดที่เปื้อนอยู่ตามพื้น เป็นทางยาวไปข้างหน้า
นลินมองตามด้วยสีหน้าฉงนฉงาย
เมื่อแหวกพงหญ้าออกมาดู นลินต้องตกตะลึงสุดขีด เมื่อเห็นผีกระสือผมยาวรุงรังกำลังก้มหน้าก้มตากัดกินซากไก่ที่นอนตายอยู่บนพื้นอย่างเอร็ดอร่อย เหมือนกระสือจะรู้ตัวว่ามีคนมองอยู่ มันหยุดชะงัก และเงยหน้าที่เต็มไปด้วยเลือดขึ้นมามองนลินตาลุกวาวและแสยะยิ้มแยกเขี้ยวใส่เธอ
เป็นกระสือยายเพียรนั่นเองพุ่งเข้าใส่หน้านลินอย่างรวดเร็ว นลินตกใจสุดขีดปิดหน้าร้องกรี๊ดดังลั่น
นลินตกใจกลัววิ่งออกมา ชนเข้ากับใครคนหนึ่ง แต่ยังคงหลับหูหลับตาร้องกรี๊ดๆๆ ออกมาด้วยความตกใจ ใครคนนั้นจับตัวเอาไว้ นลินยิ่งร้องกรี๊ดหนักขึ้นและพยามสะบัดตัวดิ้นให้หลุดจากการเกาะกุม
ตฤณฤทธิ์เขย่าตัวเรียกสติ โดยไม่ทันเห็นว่าเป็นภัณฑรักษ์สาวคู่ปรับ
“คุณ!ๆ เป็นอะไร! เกิดอะไรขึ้น! คุณ”
นลินเริ่มได้สติ แต่ยังคงสั่นด้วยความกลัว ขวัญกระเจิง ตฤณฤทธิ์จับต้นแขนนลินเขย่าเพื่อเรียกสติ
“ช่วยด้วย ช่วยด้วย กระสือ....กระสือ”
“ผมไม่ใช่กระสือ ผมเป็นคน ดูให้ดีๆ ผม...เป็น...คน...ครับ”
นลินเริ่มรู้สึกตัว และลืมตาขึ้นมองหน้าตฤณฤทธิ์ ทั้งคู่ ต่างคนต่างอึ้งและแปลกใจ เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเป็นใคร
“คุณ”
ตฤณฤทธิ์ได้สติก่อน “นี่คุณมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”
“ฉันต่างหากที่ต้องเป็นคนถามว่าคุณมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”
“ผมมาทำงานครับ” ตฤณฤทธิ์มองหน้านลินเชิงถาม
“ฉันมาเยี่ยมคุณยายฉัน”
นลินมองหน้าตฤณฤทธิ์นิ่งนาน จนรู้สึกตัวว่าสองมือของตฤณฤทธิ์ที่ยังคงจับอยู่ที่หัวไหล่ของเธอไม่ยอมปล่อย ตฤณฤทธิ์มองตามสายตาของนลิน แล้วก็ต้องสะดุ้งตกใจ
“ขอโทษ...แล้วนี่คุณวิ่งหนีอะไรมา”
“กระสือค่ะ กระสือ ฉันเห็นมันอยู่ทางโน้น”
นลินชี้บอกไปทางป่าละเมาะที่วิ่งหนีมา ตฤณฤทธิ์มองหน้านลินงงๆ ออกไปทางไม่อยากเชื่อ
“นี่คุณคิดว่าฉันโกหกเหรอ”
นลินเริ่มโกรธเมื่อเห็นสายตานั้นของตฤณฤทธิ์
นลินพาตฤณฤทธิ์เดินกลับมาจนถึงพงหญ้าตรงจุดที่เธอเห็นกระสือ พูดบอกตฤณฤทธิ์เบาๆ
“ตรงนั้นน่ะค่ะ ฉันเห็นมันอยู่ตรงนั้น”
นลินชี้บอกทาง แต่ไม่กล้าขยับเข้าไปใกล้มากกว่านั้น
“หลังพงหญ้านี่นะ”
นลินพยักหน้าบอกอย่างกลัวๆ ตฤณฤทธิ์เดินเข้าไปจะแหวกพงหญ้าดู นลินรีบร้องบอกให้ระวัง
“ระวังนะคะ”
“ขอบคุณที่เป็นห่วงผม” ตฤณฤทธิ์ยิ้มกริ่ม
นลินมองค้อน ตฤณฤทธิ์เดินไปเปิดดูที่พงหญ้า เห็นซากไก่นอนตายเกลื่อนพื้น
“ไหน ไม่เห็นมีกระสือ อะไรสักตัว”
นลินรีบตามมาดูด้วยและเห็นมีแต่เพียงซากไก่ตายเท่านั้น
“ฉันเห็นจริงๆ นะคุณ ตอนนั้นมันกำลังกินซากไก่พวกนี้”
“มืดๆ อย่างนี้คุณน่าจะดูผิด อาจจะเป็นพวกสัตว์ป่าหรือว่าหมาในหมู่บ้านก็ได้”
“แต่ฉันเห็นเป็นหน้าคน มันแยกเขี้ยว แถมยังพุ่งเข้าใส่หน้าฉันด้วย”
ตฤณฤทธิ์อึ้งไป แต่ก็พยายามเปลี่ยนให้เป็นเรื่องตลก
“ก็นั่นไง ไอ้ที่คุณเห็นว่าแยกเขี้ยวได้น่ะมันหมาชัดๆ นี่มันยุค 4G แล้วนะครับ ยังเชื่อเรื่องกระสืออยู่อีกเหรอ”
นลินขัดใจขึงตามองตฤณฤทธิ์อย่างเอาเรื่อง
ตฤณฤทธิ์เดินมาส่งที่หน้าบ้านยายเพียร นลินยังขัดใจไม่หายที่อีกฝ่ายไม่เชื่อเรื่องกระสือ
“คุณไม่เชื่อฉันก็ตามใจ”
“ผมไม่เชื่ออะไรที่พิสูจน์ไม่ได้”
นลินทำท่าจะเถียงต่อ แต่ตฤณฤทธิ์เปลี่ยนเรื่อง พูดขัดขึ้นเมื่อเดินเข้ามาในเขตบ้านยายเพียร
“นี่บ้านยายคุณเหรอครับ”
“ใช่ค่ะ”
“แล้วคุณจะไม่ถามหน่อยเหรอครับว่าผมพักที่ไหน”
“ฉันต้องถามกลับด้วยเหรอคะ”
“มันเป็นมารยาทนี่ครับ”
“ฉันไม่ได้อยากรู้”
ตฤณฤทธิ์ยิ้มขัน “แต่ผมอยากบอก คืนนี้ผมพักบ้านกำนันสินครับ แต่พรุ่งนี้เช้าผมต้องเดินป่าเข้าไป สำรวจปราสาท แล้วก็ต้องค้างที่นั่นอีกหลายคืน”
นลินชักเริ่มสนใจ “ปราสาทอนันตาปุระน่ะเหรอคะ”
ตฤณฤทธิ์พยักหน้า “ที่ผมเจอมรกตเม็ดนั้นนั่นแหละครับ”
นลินชะงักไป หน้าเสียอย่างคนมีชนักติดหลัง
เสีลงชลันตีดังขึ้น “ลิน! หายไปไหนมา แล้วนี่ลินมากับใคร”
ชลันตีเดินลงเรือนมาด้วยสีหน้าร้อนรน
“อ๋อ...คุณตฤณน่ะค่ะ เป็นอาจารย์และนักโบราณคดี นี่ป้าตี เป็นป้าของฉันค่ะ”
ตฤณฤทธิ์ยกมือไหว้ ชลันตีรับไหว้พลางมองสำรวจตฤณฤทธิ์อย่างสงสัย จนอีกฝ่ายรู้สึกอึดอัด
“สวัสดีครับ เอ่อ...ดึกแล้ว...ผมขอตัวกลับก่อนนะครับ”
“ค่ะ กลับดีๆ นะคะ”
ตฤณฤทธิ์ยิ้มให้นลินและยกมือไหว้ชลันตีอีกครั้งก่อนจะเดินออกไป
ชลันตีมองตามจนตฤณฤทธิ์เดินลับตัวไปจึงหันมาพูดกับนลิน
“ทีหลังกลางค่ำกลางคืนอย่าออกไปไหนนะลิน แถวนี้มีแต่ทุ่ง แต่ป่า พวกสัตว์ร้าย งูเงี้ยวเขี้ยวขอเยอะ มันอันตราย”
นลินทวนคำ “สัตว์ร้าย เหรอคะ”
“ใช่จ้ะ รีบเข้าบ้านเถอะ”
ชลันตีเดินนำขึ้นเรือนไป นลินมองตามด้วยความสงสัย
ร่างของยายเพียรนอนอยู่บนเตียงโดยไม่มีหัว สักครู่หนึ่งจึงเห็นหัวและไส้กระสือยายเพียรลอยเข้ามาทางหน้าต่าง โดยมีนวลคอยรับและรีบปิดหน้าต่างลง
หัวยายเพียรลอยเข้าไปหาร่าง ค่อยๆ กลับเข้าร่างนั้น สีหน้ายายเพียร แสดงออกชัดแจ้งว่าเจ็บปวดทรมานเหลือแสน จนเมื่อหัวต่อกับร่างเรียบร้อยแล้ว ยายเพียรก็ออกอาการผะอืดผะอมเหมือนจะอาเจียน
นวลรีบเอากระโถนมาให้ ยายโก่งตัวอาเจียนอย่างหนัก เห็นในกระโถนมีแต่เลือด
นวลวางกระโถนลงบนพื้นก่อนจะช่วยประคองให้ยายเพียรนอนลงตามเดิม ด้วยสีหน้าวิตก ยายเพียรล้มตัวลงนอนอย่างเหนื่อยอ่อน
“คงถึงเวลาแล้วสินะ”
นวลร้องไห้ออกมาด้วยความสงสารกระสือยายเพียร
ยายเพียรค่อยๆ หลับตาลงด้วยความเหนื่อยอ่อน
นวลจัดผ้าห่มให้ยายเพียรปิดมุ้งเรียบร้อย เดินออกจากห้องไปปิดประตูลง ยายเพียรนอนหลับตาอยู่บนเตียง มีหยดน้ำตาไหลรินออกมาจากหางตาเป็นสาย
สายวันต่อมา กำนันสินยืนอยู่ที่ศาลากลางหมู่บ้าน มีเบากำลังส่งเสียงตามสายเรียกประชุมลูกบ้าน ที่ด้านล่างมีโฉมศรีและฉัตรฉาย รวมทั้งชุมและเมียยืนอยู่ด้วย มีเสียงตามสายดังสนั่นไปทั่วบริเวณ
“เอาแล้วจ้าเกิดเรื่องแล้ว พ่อแม่พี่น้องรีบมาประชุมกันจ้า...ๆๆๆ”
ลูกบ้านรวมทั้งเจ๊หวี เจ๊หวัน สองกะเทยพี่น้องเจ้าของร้านเสริมสวยและช่างทำผมของหมู่บ้าน ผันและชมพู่ ต่างทยอยเดินมารวมตัวกันที่ด้านหน้ากำนัน สีหน้ากำนันสินเคร่งเครียดเอาการ
“เช้านี้เรามีข่าวร้าย”
เสียงพูดคุยของลูกบ้านเริ่มอื้ออึงด้วยความกังวล
“เมื่อคืนไก่ของนายชุมหายไป จนเมื่อเช้าก็ได้เจอซากอยู่ในทุ่งร้าง เครื่องใน ตับไตไส้พุง หายไปหมด”
มีเสียงฮือของกลุ่มลูกบ้านดังขึ้นอีก
“ฉันว่ามันต้องเกิดอาเพศขึ้นในหมู่บ้านเราแน่ๆ”
“หรือว่าจะเป็นกระสือ” เบาเปิดประเด็น
เสียงแตกฮือสับสนวุ่นวายเริ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
“เอาล่ะทุกคนๆ เงียบก่อนๆ”
พลันสายตาของกำนันสินก็หันไปเห็น ยายเพียร นลินและชลันตี เดินผ่านมา กำนันสินยืนมองกลุ่มยายเพียร ขณะที่ลูกบ้านก็หันไปมองตาม
เสียงฉัตรฉายตะโกนขึ้น เหมือนต้องการจะให้กลุ่มยายเพียรได้ยิน
“อาจจะมีกระสืออยู่ในหมู่บ้านเราก็ได้นะจ๊ะพ่อ”
ทุกคนหันกลับมามองกำนันอย่างตกใจ
“เราต้องออกล่ามัน ไม่งั้นหมูหมากาไก่ในหมู่บ้านเราไม่เหลือแน่”
เสียงกลุ่มลูกบ้านฝ่ายกำนันดังอื้ออึง “ใช่ๆ เราต้องล่ามัน”
เจ๊หวีทนไม่ไหวรีบขัดขึ้น
“จะบ้ากันไปใหญ่แล้ว กระสง กระสือมีที่ไหนกัน”
เจ๊หวันผสมโรงว่า “ใช่ๆ หวีพูดถูก”
ชมพู่เสริมว่า “ไก่พี่ชุมที่ตาย อาจจะเป็นหมา หรือสัตว์ป่ามันลากไปกินก็ได้ กำนันก็พูดซะน่ากลัว ทำให้ชาวบ้านแตกตื่นกันไปใหญ่”
“คนที่น่าสงสัยอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล แถวนี้แหละ” ฉัตรฉายว่า
“จริงจ้า พ่อแม่พี่น้อง มันอยู่แถวนี้....นี่เอง” เบาบอก
ขณะที่เบาพูดสายตาและท่าทางก็บุ้ยใบ้ส่งตรงไปที่กลุ่มยายเพียร จนบรรดาลูกบ้านต้องมองตาม เสียงอื้ออึง
“ยายเพียรเหรอ” / “กระสือยายเพียร” / “ใช่เหรอ”
“แกพูดให้ดีๆ นะไอ้เบา สมัยก่อนตอนที่แกถูกงูกัด ใครเป็นคนวิ่งเต้นหาหยูกหายามารักษาให้แก”
เจอเจ๊หวีแหวใส่ เบาหน้าจ๋อยไปเลย
“ยามที่ผู้คนในหมู่บ้านป่วย เป็นไข้ ไม่สบายใครเป็นคนไปดู หายาไปให้กิน” ชมพู่เอ่ยขึ้น
ลูกบ้านบางคนเริ่มคล้อยตาม และเห็นด้วย
เจ๊หวีเสริมว่า “เวลาเรือกสวนไร่นาของใครไม่มีน้ำ ใครเป็นคนให้ยืมเครื่องสูบน้ำเข้านาเข้าสวน เคยสำนึกบุญคุณกันบ้างหรือเปล่า”
“นิสัยไม่ดี” สีหน้าแววตาชมพู่ต่อว่าชาวบ้านชัดเจนเวอร์
บรรดาลูกบ้านเริ่มเห็นด้วยกันมากขึ้น ขณะที่กำนันสินใช้ความคิดหนัก
ท้องทุ่งนากว้างสุดลูกหูลูกตาติดกับส่วนที่เป็นบ้านของยายเพียร นลิน ยายเพียร และชลันตีเดินดูรอบๆ ที่นาผืนนั้น ยายเพียรสวมแว่นกันแดดตลอดเวลา นลินมีสีหน้าตื่นเต้นอย่างคาดไม่ถึง
“นี่ที่ดินของคุณยายทั้งหมดเลยเหรอคะ”
“ใช่ แต่จากนี้ไปมันจะกลายเป็นของลินแล้ว”
นลินแปลกใจ “ของหนูเหรอคะคุณยาย”
ยายเพียรยิ้มให้ “ยายจะยกให้ลินทั้งหมด”
“ไม่ใช่แค่ที่ตรงนี้นะลิน มีทั้งบ้านและทรัพย์สินของคุณยายทั้งหมดด้วย” ชลันตีว่า
นลินลำบากใจ รีบปฏิเสธ “แต่ว่า... มันมากเกินไป ลินรับไว้ไม่ได้”
“มันไม่มากไปหรอกลูก” หญิงชราบอกเสียงเศร้า “จริงๆ ของพวกนี้มันต้องเป็นของแม่ลินอยู่แล้ว เขาคงจะเสียใจมากที่มีแม่อย่างยาย”
นลินรู้สึกสงสารยายเพียรขึ้นมาจับใจ
“ไม่มีใครเคยเล่าอะไรให้ลินฟังเลย เกิดอะไรขึ้นเหรอคะคุณยาย”
สายตาของยายเพียรใต้แว่นดำเปลี่ยนเป็นเจ็บปวดและมีน้ำตาเอ่อขึ้นมา พลางนิ่วหน้าอย่างเจ็บปวด ชลันตีเห็นอาการของแม่แล้วไม่สบายใจ
“ลินเดินดูที่รอบๆ ไปก่อนนะจ๊ะ ป้าจะพายายเข้าไปพักในบ้านก่อน”
“ค่ะป้าตี”
ชลันตีพยุงพายายเพียรกลับไปทางบ้าน นลินเดินดูรอบๆ อย่างตื่นตาตื่นใจ
นลินเดินดูที่ดินโดยรอบ แต่แล้วก็ต้องชะงักตกใจ เมื่อจู่ๆ มีชายท่าทางเมาแอ่น 3 คนเดินตรงเข้ามา ท่าทีคุกคาม
ชาย1 มองมาด้วยสายตาหื่น “เฮ้ย! ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าหมู่บ้านนี้จะมีสาวสวยขนาดนี้อยู่ด้วย”
ชาย2 ผสมโรง “ช่ายๆ ไม่นึกไม่ฝันว่าวันนี้จะโชคดีแต่เช้าเลยว่ะ”
ทั้งสามล้อมวงนลินไว้ ชาย 1 เดินเข้ามาจับแขนนลิน
“ว่าไงจ๊ะ คนสวย สนใจจะไปสนุกกับพวกพี่ๆไหม”
“หลีกไป พวกคุณเมาแล้วก็รีบ กลับบ้านไปนอนเถอะ”
“แหม...น้องสาวคนนี้ หน้าตาสวยๆ ทำไมใจร้ายกับพวกพี่ๆ นักล่ะจ๊ะ” ชาย2 ว่า
ชาย1 เข้าไปหาใกล้ๆ หมายจะจับหน้าลวนลาม
นลินสะบัดออกและถอยออกมา ทำให้สร้อยเบี้ยแก้โผล่พ้นออกมาจากตัวเสื้อ
“อย่ามายุ่งกับฉันนะ”
ชาย 2 เดินเซไปชนชาย 1 ส่งร่างให้ร่างพุ่งเข้าใส่นลินจนเธอร้องกรี๊ดตกใจ
“ว้าย”
ชายทั้งสามช่วยฉุดกระชากลากถูนลินหมายจะนำไปข่มเหง นลินยากจะขัดขืน
ระหว่างนี้ชลันตีย้อนกลับมา และเห็นเหตุการณ์ รีบตั้งสติ เข้าไปช่วย จนเกิดความชุลมุนวุ่นวาย จังหวะหนึ่งสร้อยของนลินหลุดหล่นจากคอ เกิดแสงส่องแปลบปลาบวาบเข้าหน้า นลินผงะไปนิดหนึ่ง ดวงตาแดงวาบขึ้นมาโดยที่เธอไม่รู้ตัว
“ออกไปนะ ช่วยด้วยๆ”
ชลันตีวิ่งไปหยิบท่อนไม้ข้างทางขึ้นขู่จะฟาดใส่ ชายเมาเห็นท่าไม่ดีเลยเดินหนีไป ชลันตีรีบเข้ามาดูนลิน
“เป็นไงบ้างลิน เจ็บตรงไหนหรือเปล่า”
“ลินไม่เป็นไรแล้วค่ะ”
นลินไม่รู้ตัวว่าที่พื้นหญ้าใกล้ๆ สร้อยจี้เบี้ยแก้ตกอยู่ตรงนั้น
ตฤณฤทธิ์และทีมงานเดินทางมาถึงปราสาทอนันตาปุระ ตอนบ่าย มธุรสแหงนมองอย่างตื่นเต้น
“โอ้โฮ้ สวยกว่าในรูปอีกนะคะ”
เสียงทรงอำนาจของพลเพิ่มดังขึ้น “ยินดีต้อนรับสู่อนันตาปุระ”
ตฤณฤทธิ์และเหล่าทีมงานต่างอึ้ง มองไปยังเจ้าของเสียง ตฤณฤทธิ์ เห็นพลเพิ่มก้าวออกมาจากตัวปราสาทยืนอยู่ด้านหน้า แสงจากด้านหลัง ส่องสะท้อนให้เรือนร่างสูงใหญ่ของเขาดูทรงอำนาจอย่างประหลาด ราวกับเป็นองค์กษัตริย์หรือเจ้าผู้ครองเมือง กระนั้น
ตฤณฤทธิ์ได้สติก่อนใคร เขาเดินเข้าหาพลเพิ่มแล้วถามขึ้น
“สวัสดีครับ ไม่ทราบคุณคือ...”
ใบหน้าพลเพิ่ม แม้จะมีรอยยิ้มมาให้ แต่กลับดูดุดันน่าเกรงขามเขาตอบกลับด้วยน้ำเสียงก้องกังวาน
“ผมคือเจ้าของที่นี่”
ตฤณฤทธิ์อึ้ง นิ่งงันไป จนพรานหนุ่มรีบเดินมาหา แนะนำกับตฤณฤทธิ์
“นี่คุณพลเพิ่ม เป็นนักการเมืองของที่นี่ครับ”
คราวนี้พลเพิ่มยิ้มอย่างเป็นมิตรมาให้ ทีมสำรวจเดินเข้ามาสมทบ
“สวัสดีครับ ผมตฤณฤทธิ์เป็นหัวหน้าทีมสำรวจ”
ตฤณฤทธิ์ยื่นมือไปจับมือกับพลเพิ่ม
“ยินดีที่ได้รู้จักครับด็อกเตอร์ ผมพอทราบมาบ้างแล้วว่าพวกคุณเป็นใคร เอาเป็นว่าถ้ามีอะไรติดขัด หรือต้องการความช่วยเหลืออะไรก็ติดต่อกับผมได้เลยนะครับ ผมยินดีให้การสนับสนุนงานวิจัยครั้งนี้อย่างเต็มที่”
“ขอบคุณครับ งานของเราต้องการความร่วมมือจากทุกคน โดยเฉพาะคนในท้องถิ่นครับ”
พลเพิ่มและตฤณฤทธิ์ยิ้มให้กัน แต่สายตาพลเพิ่มที่มองมาแฝงความไม่จริงใจอยู่ในนั้น
ตฤณฤทธิ์กับทีมเดินไปจนถึงจุดที่สำรวจค้างไว้อย่างมุ่งมั่น บริเวณนั้นเต็มไปด้วยต้นไม้และเถาวัลย์ที่ยังรื้อออกไม่หมด ตฤณฤทธิ์หันไปบอกลูกหาบ
“เดี๋ยวทุกคนช่วยผมถางต้นไม้ตรงนี้ออกให้หมดเลยนะ”
ลูกหาบพยักหน้ารับ เข้าไปช่วยกันถางต้นไม้ที่ขึ้นอยู่ มธุรสเดินมาหาตฤณ
“ตรงนี้เองเหรอที่พี่ตฤณบอกว่าสำรวจค้างอยู่”
“ใช่ ตรงนี้ล่ะ”
มธุรสมองไปเห็นเป็นโพรงข้างใน จึงสงสัยว่ามีอะไร สักพักลูกหาบก็ถางต้นไม้ออกจนหมด
ตรงหน้าพวกเขาทุกคน เผยให้เห็นกำแพงอิฐก่อทึบขึ้นไปเป็นกองอิฐสูงๆ แต่ไม่มีอะไรมากกว่านั้น
ตฤณฤทธิ์ลองเอามือแตะที่กำแพงอิฐ เหมือนมีอะไรสั่งให้เขาทำแบบนั้น และลองเคาะไล่ก้อนหินไปทีละก้อน แล้วก็ไปสะดุดที่หินก้อนหนึ่ง
ตฤณฤทธิ์ ค่อยๆ เอามือผลักดู เกิดเสียงดังกุกกัก และจู่ๆ หินก้อนนั้นก็ร่วงลงไปในช่องด้านหลัง เสียงดังก้องกังวานไปทั่ว ตฤณฤทธิ์นิ่งอึ้งไป มองหน้าวิศวัตกับมธุรสเชิงหารือ ก่อนจะพูดขึ้นว่า
“ผมดูเอง”
ตฤณฤทธิ์หยิบไฟฉายขึ้นมาจะส่องดูที่โพรงนั้น แต่พอเข้าไปใกล้ ค้างค้าวตัวหนึ่งก็บินพุ่งออกมา เฉียดหน้าตฤณไปนิดเดียวเท่านั้น มธุรสตกใจร้องกรี๊ด วิศวัตผงะถอยไปจนกล้องเกือบร่วง
พลเพิ่มกับลูกหาบของเขาวิ่งเข้ามาดู
“เกิดอะไรขึ้นเหรอครับ”
“มีตัวอะไรบินออกมาจากในช่องนี้ครับ” วิศวัตชี้บอก
พลเพิ่มมองสงสัย มธุรสมองไปรอบๆ ตั้งสติถามออกไป
“เมื่อกี้ ใช่ค้างคาวรึเปล่า”
ตฤณฤทธิ์มองไปที่ช่องบนกำแพงหินนั้นอีกครั้ง ตาวาววับอย่างตื่นเต้น
“มันไม่ใช่กำแพงธรรมดา”
พลเพิ่ม มธุรสกับวิศวัตมองไปในโพรงนั้นแล้วอึ้งกันทั้งแถบ
“อาจจะเป็นถ้ำค้างคาวก็ได้ค่ะ ถ้าจะขุดต้องใช้เวลากับเครื่องมือที่มากกว่านี้ แต่มันจะคุ้มเหรอคะถ้าไม่เกี่ยวอะไรกับปราสาท” มธุรสว่า
ตฤณได้แต่มองกำแพงอย่างครุ่นคิด ไม่เชื่อว่าจะเป็นแค่ถ้ำ
พลเพิ่มมองอย่างสนใจและบอกว่า “น่าจะเป็นกรุสมบัติใต้ดิน”
ทุกคนมองหน้ากันไปมา ไม่มีใครตอบได้
ท้องฟ้าเหนือบ้านยายเพียรบรรยากาศยามโพล้เพล้
ชลันตีกำลังช่วยนวลจัดอาหารขึ้นโต๊ะ นลินพยุงยายเพียรมานั่งโต๊ะ นลินมีหน้าซีดเซียวเหมือนคนไม่สบาย ท่าทีกระสับกระส่าย ยายเพียรเขี่ยอาหารไปมาโดยไม่ได้ตักกิน แต่สายตาลอบมองนลินอย่างเศร้าใจอยู่ลึกๆ ก่อนจะหันไปหาชลันตี
“ตี ช่วยไปยกกำปั่นในห้องมาหน่อยซิ”
ชลันตีทักท้วง “แต่ว่า...”
ยายเพียรบอกด้วยสีหน้าข่มความเจ็บปวดเต็มกำลัง “ไปสิ”
ชลันตีเดินออกไปทางห้องคุณยาย นลินมองตามอย่างสงสัย ก่อนจะหันมาถามคุณยาย
“กำปั่นอะไรคะคุณยาย”
“ยายทำพินัยกรรม แจงรายละเอียดเกี่ยวกับทรัพย์สินทุกอย่างไว้ให้ลินแล้ว ถ้าลินมีอะไรสงสัยก็ถามป้าตีกับป้านวลได้นะลูก”
“ทำไมต้องรีบทำคะคุณยาย”
ไม่นาน ชลันตีเดินถือกำปั่นเข้ามาวางบนโต๊ะ
ยายเพียรเปิดกำปั่นออก เห็นสร้อยทองและเครื่องประดับ พร้อมเงินสดมากโขจำนวนหนึ่ง
“ถ้าเกิดอะไรขึ้น ลินใช้สมบัติพวกนี้จัดงานนะ ส่วนศพของยายอย่าเอาไปเผา ให้ฝังไว้ที่ลานหลังบ้านเรา ยายเตรียมที่ไว้แล้ว”
“คุณยายเพิ่งหายป่วยแท้ๆ อย่าพูดอะไรไม่เป็นมงคลเลยค่ะ”
“ยายก็แค่พูดเผื่อเอาไว้ กินข้าวเถอะลูก”
ยายเพียรมองหลานด้วยสายตาเศร้าสร้อย
นลินจับคอตัวเองอย่างอึดอัด โดยไม่รู้ว่านี่เป็นอาการของกระสือที่กำลังจะถอดหัวเป็นครั้งแรก และจู่ๆ ก็ต้องชะงัก ก้มหน้ามองหา แล้วต้องตกใจเมื่อพบว่าเบี้ยแก้หายไป
“หายไปไหน”
“มีอะไรเหรอลิน” ชลันตีหันมาถาม
“สร้อยที่แม่ให้ลินสวมติดตัวหายไปค่ะ คงหล่นตอนเจอพวกขี้เมาแน่ๆ”
เห็นนลินลุกขึ้น ชลันตีเรียกไว้ “ลินจะไปไหน”
“จะไปหาสร้อยเบี้ยแก้ค่ะ”
“นี่มันจะมืดค่ำแล้วนะลูก ไว้พรุ่งนี้เถอะ” ยายเพียรบอก
“นั่นสิคะ ไปตอนนี้ก็ไม่เห็นอะไรหรอกค่ะ” นวลว่า
“ลินไม่สบายใจจริงๆ ค่ะ”
นลินจะเดินออกไป แต่แล้วกลับซวนเซไป รู้สึกวิงเวียนอย่างแรง
ชลันตีกับยายเพียรตกใจ “ลิน”
นวลก็พลอยตกใจด้วย “คุณลิน”
นลินเป็นลมล้มฟุบไป นวลเข้าไปช่วยประคองไว้ทัน
ฝ่าย พลเพิ่ม ตฤณฤทธิ์ มธุรส และวิศวัต กำลังนั่งคุยกันกันอยู่รอบกองไฟ หน้าแคมป์ที่พักแรมในป่า
“ทีมด็อกเตอร์นี่เก่งนะครับ พวกผมและคนเก่าคนแก่ในหมู่บ้านอยู่กันมาตั้งนาน ไม่เคยมีใครพบของมีค่าอะไรในเขตปราสาทเลย แต่คนนอกอย่างคุณกลับได้พบของสำคัญตั้งหลายอย่าง” พลเพิ่มปรารภขึ้นในจังหวะหนึ่ง
“ต้องรอให้ทางกรมเขาสรุปมาก่อนครับ ว่าของที่ส่งไปมีความสำคัญทางโบราณคดียังไงบ้าง”
“ผมก็ชอบนะครับเรื่องวัตถุโบราณ คงต้องฝากตัวเป็นลูกศิษย์อาจารย์ตฤณอีกคน” พลเพิ่มว่า
“ที่จริง ผมไม่ได้เก่งกาจอะไรขนาดนั้นหรอกครับ แค่ศึกษาตามประวัติที่เล่า สืบต่อกันมาเท่านั้น แต่กับปราสาทอนันตาปุระนี่ ผมยังไม่รู้ประวัติอะไรมาก แต่รู้สึกว่ามีอะไรที่น่าสนใจกว่าที่เคยพบมา”
“มีเรื่องเล่าต่อกันมาว่า อนันตาปุระเคยเป็นเมืองที่เจริญรุ่งเรืองมากจนสามารถขยายอาณาเขตไปถึงดินแดนสุวรรณภูมิเลยนะครับ”
วิศวัตทึ่งจนทำตาโต “โห...มิน่าถึงสร้างปราสาทได้อลังขนาดนี้”
ตฤณฤทธิ์และมธุรสนิ่งฟังพลเพิ่มอย่างตั้งใจ
“ลานด้านหลังที่พวกคุณกำลังขุดกันอยู่ เมื่อก่อนเคยเป็นลานประหารเหล่าเจ้านายและนักโทษชั้นสูงด้วย”
“ลานประหารเหรอครับ” วิศวัตสยอง ทำท่าขนลุก
มธุรสสงสัย “ทราบได้ยังไงคะ”
“ผู้เฒ่าผู้แก่ในหมู่บ้านเล่าว่าเคยมีแท่นหินคล้ายหลักประหารตั้งอยู่ แต่ตอนนี้มันหายไปแล้ว”
ตฤณฤทธิ์ตั้งใจฟังพลเพิ่มอย่างสนใจ
“มีคนขโมยแท่นหินไปเหรอครับ คุณรู้ไหมว่าใครเอาไป แล้วเอาไปทำอะไร”
“ผมก็ไม่รู้เหมือนกันครับ เพราะมันหายไปหลายสิบปีแล้ว ผมฟังเขาเล่ามาอีกที” พลเพิ่มบอก
ตฤณฤทธิ์นิ่งฟังอย่างสงสัย
บ้านยายเพียรทั้งหลังเงียบสงัดยามค่ำคืน
นลินนอนหลับอยู่บนเตียงในห้องนอน และไม่นานก็เริ่มมีอาการกระสับกระส่ายเหมือนคนฝันร้าย
ส่วนยายเพียรนอนหอบหายใจอย่างอ่อนแรงอยู่บนเตียงในห้อง มีชลันตีและนวลนั่งเฝ้าอยู่ข้างเตียง ด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย เหมือนมองดูญาติที่ป่วยหนักอยู่ในห้อง ICU
ด้านนลินมีท่าทีเจ็บปวดทรมานมากขึ้น สองมือยกขึ้นมาจับที่คอและเริ่มดิ้นทุรนทุราย ยายเพียรเองเหมือนกำลังจะขาดใจรอมร่อ มือและเท้าเริ่มเกร็ง
ชลันตีนิ่งมองผู้เป็นมารดาด้วยสายตาเศร้าสร้อย น้ำตาไหลออกมาเป็นทาง นวลร้องไห้ด้วยความสงสารเจ้านาย
นลินดิ้นทุรนทุรายอย่างหนัก มือทั้งสองจับกุมที่คอไว้แน่น
ยายเพียรหายใจเข้าปอดเฮือกสุดท้าย ดวงตาเหลือกลาน ก่อนจะได้ยินเสียงกรี๊ดของนลิน
“อ๊ายยยย”
ยายเพียรคลายมือที่เกร็งออก และสิ้นลมไปอย่างสงบ
เช้ามืดวันใหม่ เสียงไก่ขันดังหวานแว่วเป็นระยะ บอกเวลายามเช้าของต่างจังหวัด นกโบยบินออกจากรังไปหากิน นลินตื่นขึ้นมาในสภาพเหงื่อโทรมกาย ทันทีที่ได้สติก็รีบจับที่คอดู และรู้สึกคอแห้งมาก
นลินลุกเดินไปรินน้ำใส่แก้วดื่มอย่างกระหาย แต่เมื่อเธอดื่มน้ำเข้าไปก็รู้สึกผะอืดผะอม รีบวิ่งเข้าไปอาเจียนในห้องน้ำ
นลินเดินออกมาจากห้องน้ำด้วยอาการเหนื่อยอ่อน สีหน้าตกใจเมื่อนึกถึงยายเพียร
“คุณยาย”
นลินเปิดประตูออกมา เดินตรงไปที่หน้าห้องนอนยายเพียร
“คุณยาย ตื่นหรือยังคะ ลินรู้สึกท้องไส้ไม่ค่อยดีเลย ไม่รู้เป็นเพราะอาหารที่เรากินเมื่อคืนหรือเปล่า คุณยายเป็นเหมือนลินหรือเปล่าคะ”
ไม่มีเสียงตอบใดๆ จากยายเพียร
“คุณยาย ยังไม่ตื่นเหรอคะ”
นลินรู้สึกแปลกใจเพราะไม่มีเสียงตอบใดๆ เล็ดลอดออกมา
“คุณยายไม่สบายหรือเปล่าคะ”
เดินตรงเข้าไปที่มุ้ง แล้วเปิดเข้าไปดูเห็นยายเพียรนอนนิ่ง
“คุณยาย เป็นอะไรหรือเปล่าคะ คุณยาย...”
พอนลินเอื้อมมือไปแตะตัวดู พบว่าร่างกายคุณยายเย็นเฉียบ ต้องรีบชักมือออกด้วยความตกใจ
นลินพยายามรวบรวมความกล้าจับไปที่ตัวยายอีกครั้ง พบว่าตัวยายเพียรทั้งเย็นและแข็ง
“คุณยาย ไม่นะ” นลินตกใจ รีบตั้งสติตะโกนคนในบ้าน “ป้าตี ป้านวลคะ คุณยายเป็นอะไรก็ไม่รู้”
นลินหันกลับไปที่หน้าประตูอย่างเร็ว ตั้งใจจะออกไปเรียกชลันตีกับนวล แต่พบว่าสองคนยืนอยู่ที่หน้าประตูแล้ว
ชลันตีมองยายเพียรแล้วบอกกับนลินด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย อาลัย อาดูร
“คุณยายจากพวกเราไปแล้ว”
นลินตกใจสุดขีด ด้วยสายเลือดยายหลาน ความรักความอาลัยแล่นเป็นริ้วๆ เข้าสู่หัวใจ หญิงสาวทรุดตัวลงร้องไห้อย่างไม่อายใคร
อ่านต่อ ตอนที่3