เสน่ห์นางครวญ ตอนที่ 22 อวสาน
บทประพันธ์ : หงส์หยก บทโทรทัศน์ : พิชฌสินี
ที่เชิงตะกอน ไฟไหม้ลุกลามและโหมกระหน่ำรุนแรงขึ้นทุกขณะ หมอผีอินสวดคาถาทำพิธีอยู่ตลอดเวลา วิญญาณไต้ก๋งร้องโหยหวน ทรุดลงอย่างหมดแรงขัดขืน ร่างใกล้จะแตกสลายเต็มที
ไต้ก๋งชางมองมายังรำเพยกับเฟื่องฟ้าน้ำตาคลอ เอ่ยคำอำลาเมียและลูก
“รำเพย...พี่ขอโทษ เฟื่องฟ้า...ลูกพ่อ ลาก่อน...”
เฟื่องฟ้าใจหาย “พ่อ...”
รำเพยพยายามจะเข้าไปหาร่างไต้ก๋งชาง
“คุณพี่...ไม่...คุณพี่”
ก้อนเข้ามาขวางรำเพยไว้ ร่างไต้ก๋งชางค่อยๆ สลายไป รำเพยกรีดร้องปิ่มว่าจะขาดใจตาย
เสียงปืนนัดหนึ่งดังเปรี้ยงขึ้น เสียงกึกก้องไปทั่วบริเวณ
หมอผีอินชะงักกึก หยุดสวดทันควัน สีหน้าเต็มไปด้วยความตื่นตกใจ และอาศัยช่วงนี้เร้นกายถอยหนีไปหลบซุ่มดู งามตาตกตะลึงหันไปมองทางเสียง
“ใครวะ”
ก้อนโมโห สาดคบเพลิงไปยังที่มาของเสียง แล้วต้องเบิกตาโตด้วยความตกใจ
เมื่อเห็นเป็นก้องภพ และกองกำลังโปลิศที่มาถึง โปลิศยกปืนขึ้นขู่พวกงามตา ทำเอางามตาเหวอไป หันไปถามก้องภพอย่างไม่พอใจ
“พ่อก้อง...นี่มันอะไรกัน”
ก้องภพมองงามตาด้วยแววตาเต็มไปด้วยความเจ็บปวด
“คุณแม่ คุณตา นายก้อน มอบตัวเถอะครับ อย่าทำร้ายใครอีกเลย”
“อย่าเข้ามานะ”
ก้อนยกมีดดาบขึ้นขู่พวกโปลิศ งามตาโกรธจนตั่วสั่น
“พ่อก้อง...กล้าทำกับแม่เช่นนี้หรือ”
ก้องภพขอร้องงามตาดีๆ
“คุณแม่ทำผิดมามากแล้ว ได้โปรดคืนทุกอย่างให้คุณรำเพยเถอะครับ ไม่มีสิ่งใดในเรือนนั้นที่เป็นของเราเลย”
งามตามองก้องภพด้วยความผิดหวัง
“พ่อก้องไม่เคยทำเช่นนี้กับแม่” งามตาชี้เฟื่องฟ้า “เพราะนังนี่ใช่ไหม เพราะลูกรักมันใช่ไหม”
“ไม่ใช่ครับ ที่ผมทำ...ก็เพื่อความถูกต้อง”
งามตาแหวใส่ “ความถูกต้อง? อะไรเล่าคือความถูกต้อง ที่แม่เกิดมาจน ต้องอดมื้อกินมื้อ ต้องทนฟังคำดูถูกของอีพวกปากเปราะนั่นถูกต้องหรือ ที่แม่พยายามให้ได้ทุกอย่างมาเพื่อจะมีชีวิตสุขสบายกับเขาบ้าง มันผิดนักหรือ”
“ชาติกำเนิดหรือโชคชะตานั้นไม่ผิดครับ แต่การที่คุณแม่ทำร้ายผู้อื่นเพื่อให้ได้มาอย่างไม่ถูกต้อง นั่นต่างหากที่ผิด”
งามตามองก้องภพด้วยความเสียใจและผิดหวัง
“พ่อก้องคิดจะจับแม่จริงๆ ใช่ไหม”
งามตาหันไปมองก้อนเชิงบอก ก้อนพยักหน้ารับแล้วเอาดาบจ่อคอเฟื่องฟ้าทันที
“ถ้าพวกมึงเข้ามาล่ะก็...กูจะปาดคอนังนี่เดี๋ยวนี้”
โปลิศมองหน้ากันเหมือนจะตัดสินใจ นายตำรวจคนหนึ่งพยักหน้า ทุกคนค่อยๆ ลดปืนลง
“คุณแม่” ก้องภพร้องขอ
ก้อนถอยไปหาเฟื่องฟ้ากระชากตัวขึ้นมา ลากหนีหายเข้าไปในป่า หัวหน้าทีมโปลิศตะโกนบอกพวกที่เหลือ
“จ่าแสงรออยู่ที่นี่ ที่เหลือตามมันไป”
กองกำลังโปลิศตามก้อนกับงามตาไป ก้องภพเหลียวไปมองรำเพย ด้วยความรู้สึกผิด ก่อนจะรีบตามไป
รำเพยสะอื้นไห้ด้วยความกลัว ยกมือภาวนา
“ช่วยด้วย...คุณพี่..ช่วยคุ้มครองลูกเราด้วย”
พอทุกคนไปหมดแล้ว หมอผีอินค่อยๆ โผล่หน้าออกมาแล้วรีบหนีไปอีกทาง
ก้อนลากตัวเฟื่องฟ้าหนีมาในราวป่า งามตาตามมาติดๆ เสียงฝีเท้าพวกโปลิศยังตามมาไม่ลดละ งามตาร้อนรนใจ เร่งก้อนเป็นการใหญ่
“เร็วเข้า อย่าให้พวกมันตามมาทัน”
ก้อนลากเฟื่องฟ้าไปอย่างทุลักทุเล เฟื่องฟ้ากัดฟันทนเพราะเจ็บแผล
สักพักเสียงฝีเท้าพวกโปลิศก็เงียบไป ก้อนหยุด โล่งอกคิดว่าหนีรอดแล้ว
“พวกมันไปหมดแล้วกระมัง”
งามตายังไม่เชื่อ เหลียวมองไปรอบๆ อย่างไม่ไว้วางใจ จนได้ยินเสียงฝีเท้าคนย่ำพื้นดังขึ้น งามตาหันไปมอง ที่แท้เป็นก้องภพนั่นเอง
ก้องภพมองแม่ด้วยความผิดหวัง เสียใจ และน้อยใจปะปนกันไปหมด
“คุณแม่”
ก้องภพจะเดินเข้าไปหา งามตาถอยหนี สีหน้าหวาดระแวง
“พ่อก้อง...ไปให้พ้นนะ”
“ไม่มีใครตามผมมาทั้งนั้นครับ ที่ผมมาเพราะต้องการพูดกับคุณแม่”
“พูดอะไร ให้มอบตัวรึ ไม่มีวัน แม่ไม่มีวันคืนอะไรให้ให้พวกมันทั้งนั้น”
ก้องภพน้ำตาซึมเกลี้ยกล่อมและขอร้องแม่โดยดี
“ผมไม่ได้ขอสิ่งนั้น แต่ผมอยากให้คุณแม่หยุด อย่างสร้างกรรมไปมากกว่านี้เลย”
“เวรกรรมมันไม่มีจริง ชีวิตฉัน ฉันกำหนดเอง แม้แต่แกลูกทรพี ก็ขวางฉันไม่ได้” งามตาคำราม
ก้องภพอึ้งไป “คุณแม่”
สีหน้างามตาถมึงทึงเต็มไปด้วยความโกรธ หันไปสั่งก้อน
“พวกมันจะไม่มีวันได้อะไรกลับคืนไป พี่ก้อน ฆ่านังเด็กนั่นซะ”
ก้อนจะแทงเฟื่องฟ้า ก้องภพกระโจนเข้าไปเตะมือก้อนเต็มแรง แล้วผลักเฟื่องฟ้าออกไป จนดาบพลาดมาฟันโดนแขนตัวเอง ก้อนช็อกที่ดาบพลาดไปโดนก้องภพ ชะงักงันไปเลย
“พ่อก้อง”
ก้องภพได้จังหวะเข้าไปแย่งดาบก้อน ก้อนไม่ยอมจนเกิดการยื้อกันขึ้น ก้อนใช้แรงที่มีดึงดาบเข้ามาหาตัวแล้วถีบก้องภพออกไป ตะโกนบอกงามตา
“งามตา หนีไป”
งามตาเลิ่กลั่กลนลาน ทำอะไรไม่ถูก ก้องภพกระโจนเข้าไปจับขาก้อนแล้วกระชากจนล้มลงมาที่พื้น ดาบหลุดจากมือก้อน ก้องภพรีบวิ่งไปคว้าดาบแล้วกดตัวก้อนไว้
งามตากรี๊ดลั่น ตะโกนบอกก้องภพสุดเสียง
“อย่านะก้องภพ เขาคือพ่อของลูก”
ก้องภพชะงักงันไปมองงามตาอย่างไม่เชื่อหู งามตาร้องไห้สารภาพออกมาจนหมดสิ้น
“ไอ้ไต้ก๋งมันไม่ใช่พ่อของลูก นายก้อนต่างหาก แม่หลอกทุกคนว่าท้องกับไต้ก๋ง แต่พ่อที่แท้จริงคือนายก้อน อย่าฆ่าคนที่เป็นพ่อแท้ๆ ของลูกเลย”
ก้องภพแทบหมดแรงปล่อยดาบหลุดมือ เฟื่องฟ้าเองก็อึ้งกับสิ่งที่ได้ยิน
ก้อนได้โอกาสดันตัวก้องภพออก แย่งดาบมา ไม่ได้ตั้งใจจะแทงแต่ทำท่าเหมือนเงื้อขึ้น
เสียงปืนนัดหนึ่งดังขึ้นท่ามกลางความเงียบของราวป่า ทุกคนมองภาพด้วยสีกหน้าตื่นตกใจ
กระสุนนั้นเจาะทะลุร่างก้อน เลือดค่อยๆ ไหลรินออกมา ก้อนทรุดฮวบลงไปกองกับพื้น
งามตากรีดร้องดังลั่น “พี่ก้อน”
กลุ่มโปลิศตามมาถึงบริเวณนั้นพอดี งามตาถอยหนีด้วยความกลัว แล้ววิ่งเตลิดหนีไป
พระอาทิตย์โผล่พ้นขึ้นจากขอบฟ้ามาอย่างช้าๆ ขณะที่รำเพยจดสายตามองไปยังเชิงตะกอน เห็นเพลิงโหมไหม้รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ก็ร้องไห้ออกมาอย่างหนักหน่วง ร้องตะโกนให้คนช่วย
“ช่วยด้วย ใครก็ได้ช่วยดับไฟที ช่วยด้วย”
ไฟลามไปจนถึงกล่องใส่กระดูกไต้ก๋งชาง รำเพยร้องไห้ปิ่มว่าจะขาดใจตาย ความรักความหลังผุดซ้อนขึ้นมาในห้วงคิด จากวันเข้าหอของรำเพยกับไต้ก๋ง
ในห้องหอไต้ก๋งชางก็จับมือรำเพยไว้มองลึกซึ้ง
“คุณรำเพยขอรับ กระผมไม่นึกฝันเลยว่าจะมีวันนี้ได้”
ไต้ก๋งถอดสร้อยจี้หยกที่คอมาสวมให้รำเพย
“หยกชิ้นนี้พ่อให้กระผมติดตัวไว้ตั้งแต่เกิด กระผมขอมอบให้คุณรำเพยเป็นเครื่องหมายแทนคำสัญญา ว่านับแต่นี้กระผมจะดูแลคุณรำเพยให้ดีที่สุด จนชั่วชีวิตของกระผม”
รำเพยหยิบหยกขึ้นมาดู สบตากับไต้ก๋งชางยิ้มชื่นสุขใจ
รำเพยร้องไห้ทรุดลงอย่างหมดหวัง
“คุณพี่ คุณพี่สัญญาว่าจะดูแลน้องไม่ใช่หรือ อย่าจากไปเช่นนี้ คุณพี่...”
มีเสียงกลุ่มคนเอะอะและมุ่งหน้ามาที่เชิงตะกอน รำเพยหันไปมองด้วยสีหน้าตื่นตกใจ
เห็นเป็น แถน กล่ำ คฑา หลวงพ่อดำ และกลุ่มลูกศิษย์วัดพากันเดินเข้ามาถึงหน้าเชิงตะกอน แถนตะโกนสั่งลูกศิษย์วัดและคฑา
“เร่งดับไฟเร็วเข้า”
ทุกคนวิ่งเข้าไปช่วยดับไฟที่เชิงตะกอน กล่ำเข้าไปกอดปลอบรำเพย
“คุณรำเพย ไม่เป็นไรใช่ไหมเจ้าคะ”
รำเพยพยักหน้าทั้งน้ำตาด้วยความดีใจ
ทุกคนช่วยกันดับไฟอย่างแข็งขัน ไม่นานไฟที่เชิงตะกอนก็ค่อยๆมอดลง
อีกมุมในป่า ก้องภพมองก้อนที่นอนหายใจรวยรินนิ่งอยู่ด้วยท่าทีลังเลทำตัวไม่ถูก ในขณะที่ก้อนมองก้องภพน้ำตาคลอ จนเฟื่องฟ้าเดินมาแตะตัวก้องภพเป็นเชิงบอกให้เข้าไปหาก้อน
ก้องภพเดินน้ำตาคลอเข้าไปอย่างกลัวๆกล้าๆ ทรุดลงนั่งข้างๆ แล้วประคองก้อนขึ้นมา ก้อนจ้องหน้าลูกชายบอกด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง
“ก้องภพ พ่อขอโทษ สำหรับทุกสิ่ง ขอโทษ ที่ปล่อยให้ทุกอย่างมันล่วงเลยมาถึงขนาดนี้”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ มันจบแล้ว คุณมอบตัวเสีย แล้วหลังจากนี้...”
“ไม่มีหลังจากนี้อีกแล้ว พ่อรู้ตัวดี...พ่อเสียใจเหลือเกิน...เสียใจที่ไม่เคยได้ทำหน้าที่พ่อที่ดีของพ่อก้องเลย”
ก้อนพูดเพ้อมองเหม่อไปไกล เสียงค่อยๆ เบาลงๆ เฟื่องฟ้ามองทั้งสองคนเศร้าๆ ก้องภพฝืนกลั้นน้ำตา
“พ่อขอพ่อก้องสักอย่างหนึ่งเป็นสุดท้ายได้หรือไม่”
ก้องภพนิ่งคิด ก่อนจะพยักหน้ารับ ก้อนน้ำตาซึม
“ช่วย...เรียกพ่อว่า...พ่อสักครั้งเถิด”
ก้องภพนิ่งงันไป แววตาเต็มไปด้วยความสับสน ก้อนยื่นมือไปหมายจะจับหน้าก้องภพ แต่แล้วร่างของก้อนก็กระตุกพรวดสำลักออกมาเป็นเลือด หายใจหอบใกล้จะขาดใจเต็มที ก้องภพตกใจทำอะไรไม่ถูก สุดท้ายร้องเรียกออกไปตามที่ก้อนขอ
“ไม่...ไม่...พ่..พ่อครับ”
อนิจจาก่อนจะได้ยินคำว่าพ่อ ก้อนก็หมดลมหายใจไปเสียแล้ว ก้องภพร้องไห้ออกมาอย่างหนักหน่วง กอดร่างก้อนไว้แน่น เฟื่องฟ้าแตะตัวก้องภพเบาๆ ปลอบใจ
ไฟบนเชิงตะกอนมอดดับลงหมดแล้ว รำเพยนั่งอยู่ไม่ไกลจากบริเวณนั้น ลูกศิษย์วัดช่วยกันเก็บกวาดบริเวณรอบๆ สักพักเด่นมองไปเห็นคนเดินเข้ามา ชี้บอกคนอื่นๆ
“นั่น ลูกชายคุณนายงามตาไม่ใช่รึ”
รำเพยลุกพรวดขึ้นมองตาม เห็นก้องภพประคองเฟื่องฟ้าเดินเข้ามาสมทบ
“เฟื่องฟ้า”
รำเพยดีใจมากเดินแกมวิ่งเข้าไปหาเฟื่องฟ้า แม่ลูกโผเข้ากอดกันกลม รำเพยลูบใบหน้าเฟื่องฟ้าด้วยความเป็นห่วง กล่ำ แถนตามมา
“โล่งอกไปที ไม่เป็นไรมากใช่ไหมลูก”
“บาดเจ็บนิดหน่อยเท่านั้นจ้ะ โชคดีที่คุณก้องช่วยไว้”
ทุกคนหันไปมองก้องภพเชิงขอบคุณ
“ผมไม่ได้ช่วยอะไรมากหรอกครับ”
“ไม่ช่วยอะไร ดูคุณสิสะบักสะบอมไปทั้งตัวแล้ว” กล่ำบอก
“ขอบใจคุณมากนะที่ช่วยเฟื่องฟ้าของพวกเราไว้” แถนว่า
รำเพยละตัวจากเฟื่องฟ้า หันไปขอบคุณก้องภพ
“ฉันต้องขอบคุณคุณจริงๆ ที่รักษาสัญญา ว่าจะช่วยพวกเรา”
“สิ่งไหนที่ผมพูดไปแล้ว ผมไม่คืนคำเด็ดขาดครับ”
รำเพยลังเลนิดๆ ก่อนจะถามก้องภพออกไป
“แล้วแม่ของคุณ กับคนอื่นๆเป็นอย่างไรบ้าง
ก้องภพพูดไม่ออก จนกระทั่งกลุ่มของโปลิศช่วยกันแบกร่างไร้วิญญาณของก้อนเข้ามา ทุกคนตรงนั้นได้แต่มองด้วยความเวทนา รำเพยสงสารก้องภพ
หัวหน้าทีมโปลิศเข้ามารายงานกับทุกคนตรงนั้น
“คุณนายงามตากับนายอินหายตัวไปครับ แต่อย่างไรพวกเราจะตามจับตัวมาให้เร็วที่สุด คาดว่าหนีไปได้ไม่ไกล”
รำเพยพยักหน้ารับ กล่ำมองไปที่เชิงตะกอนแล้วนึกขึ้นได้ หันมาหาเฟื่องฟ้า
“แล้วไต้ก๋งชางเล่า หมอผีอินหายตัวไปเช่นนี้จะปลดปล่อยวิญญาณได้อย่างไร”
เฟื่องฟ้าหน้าเครียดขึ้นทันที นึกไม่ออกเลยว่าจะทำอย่างไร
เสียงคฑาดังขึ้น “กระผมคิดว่าสิ่งนี้อาจจะช่วยได้ขอรับ”
ทุกคนหันไปมองคฑาเดินเข้ามาพร้อมห่อผ้าห่อหนึ่ง
“คุณก้องให้กระผมเก็บไว้ มันคืออาวุธที่ใช้ฆ่าไต้ก๋งชางใช่หรือไม่ขอรับ”
คฑาเปิดห่อผ้าให้ดู เห็นมีดพร้าลงยันต์อยู่ในนั้น เฟื่องฟ้าดูมีความหวังขึ้นมาทันที
ทางฝ่ายหมอผีอินวิ่งกระหืดกระหอบขึ้นเรือนมาในตอนเช้ามืด รีบเข้าไปยังโถงทำพิธี เก็บของขลังเท่าที่คว้าได้เพื่อหนีการจับกุมของโปลิศ
“อยู่ไม่ได้แล้ว กูจะไม่ยอมโดนจับเด็ดขาด”
เสียงผีพรายที่หมอผีอินเลี้ยงไว้ดังขึ้น หมอผีอินชะงัก
“ปล่อยพวกเรา”
จอมอาคมชะงักนิดๆ แต่ทำทีเป็นไม่ได้ยิน กวาดของขลังทั้งหลายลงย่ามไป เพราะไม่ระวังของขลังบางชิ้นตกลงมาแตก ร่างของผีพรายปรากฏขึ้นล้อมหมอผีอินไว้ หมอผีอินสะดุ้ง
“พวกมึงหุบปากสักที”
“ปล่อยพวกเรา...พวกเราไม่ต้องการทำบาปอีก ปล่อยพวกเรา...”
“พูดมากจริงโว้ย”
หมอผีอินรำคาญ ลุกพรวดขึ้นจะคว้าหุ่นรูปรอยบนแท่นบูชาลงมา แต่พลาดปัดลงมาโดนเชิงเทียน ส่งผลให้เชิงเทียนล้มลง จนทำให้ไฟลามไปติดผ้ายันต์ในห้อง
หมอผีอินพยายามจะดับไฟ แต่ไฟก็ลุกลามไปจนถึงยันต์ที่ใช้สะกดผีพรายไว้ จอมอาคมนึกได้เบิกตาโต พุ่งเข้าไปคว้ายันต์นั้น แต่ไม่ทันแล้ว วิญญาณผีพรายได้ถูกปล่อยจากการสะกดแล้วเข้ามารุมทำร้ายหมอผีอิน พร้อมของขลังที่เสื่อมมนต์ลง ย้อนกลับมาเข้าตัว จอมอาคมวิ่งหนีตายตะโกนร้องให้คนช่วยออกมาหน้าชานเรือน
“ช่วยด้วย...ช่วยด้วย”
ด้วยความรีบร้อนไม่ทันระวัง หมอผีอินเสียหลักสะดุดขาล้มคะมำ ตกบันไดลงไปนอนกองอยู่ที่ชานพักบันได ร่างชักกระตุก ตาเหลือกลาน เลือดทะลักออกมาจากทุกทวาร ขาดใจตายไปในที่สุด
เวลาล่วงเข้าสู่เช้าวันใหม่แล้ว ที่บริเวณเชิงตะกอน หลวงพ่อดำและพระวัดลำพระพาย ถูกนิมนต์มาเพื่อทำพิธีสวดส่งวิญญาณให้ไต้ก๋งชาง ทุกคนมารวมตัวกัน หลวงพ่อดำบอกกับทุกคนที่อยู่ในบริเวณนั้น
“อาตมาจะสวดแผ่เมตตาให้กับโยมชาง พวกโยมช่วยกันตั้งอธิษฐานจิตเพื่อส่งให้ วิญญาณโยมชางเป็นอิสระเถิด”
ทุกคนพยักหน้ารับรับ เฟื่องฟ้าวางพร้ารวมกับเถ้ากระดูกของผู้เป็นบิดา
“พ่อจ๋า...หลังจากวันนี้พ่อจะไม่ต้องทุกข์ทรมานอีกแล้วนะจ๊ะ”
เฟื่องฟ้าถอยออกมามองเถ้ากระดูกบิดาเป็นครั้งสุดท้าย เด่นจุดไฟคบเพลิง แล้วนำไปจ่อจุดไฟที่เชิงตะกอน เสียงสวดมนต์ดังขึ้นพร้อมกับไฟที่ค่อยๆ ลุกโชน
ก้องภพ คฑา รวมถึงทุกคนที่อยู่ตรงนั้นยืนสงบนิ่ง เฟื่องฟ้ากลับมายืนข้างแม่ วิญญาณไต้ก๋งชางปรากฏร่างขึ้นมาอีกครั้งในสภาพร่างเต็มร่าง มองมายังเมียและลูกด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“พ่อ” เฟื่องฟ้าเยื้อนยิ้มยินดีสุดจะประมาณ
ไต้ก๋งชางน้ำตาไหลพราก ยิ้มให้ลูกเมีย แล้วเข้าไปก้มกราบหลวงพ่อดำ
“กราบขอบพระคุณหลวงพ่อที่ช่วยกระผมไว้ถึงสองครั้งสองครา”
“หมดห่วงแล้วนะโยมชาง ดวงวิญญาณได้รับการปลดปล่อยแล้ว ขอให้ผลบุญทั้งหลายที่โยมชางได้ทำไว้นั้นนำทางให้โยมไปสู่สุคติในสัมปรายภพด้วยเถิด”
“กราบขอบพระคุณอีกครั้งขอรับหลวงพ่อ”
ไต้ก๋งชางน้ำตาไหลริน ยิ้มออกมาอย่างเป็นสุข ก่อนจะหันไปทางเฟื่องฟ้า
“ขอบใจลูกมาก...เฟื่องฟ้า”
เฟื่องฟ้าก้มลงกราบพ่อ ไต้ก๋งชางลูบผมเฟื่องฟ้าอย่างแสนรัก
“พ่อไม่ต้องห่วงนะจ๊ะ ฟ้าจะดูแลแม่แทนพ่อเอง”
“ขอบใจมากเฟื่องฟ้า ชาติหน้าขอให้เราได้เกิดมาเป็นพ่อลูกกันอีก แต่ได้อยู่ด้วยกันนานกว่านี้”
ไต้ก๋งชางจับมือรำเพย
“ดูแลตัวเองให้ดี พี่จะมองลงมาดูรำเพยกับลูกทุกวัน โปรดจำไว้ว่าพี่รักน้องและลูกมาก”
“คุณพี่ไปรอน้องอยู่บนสวรรค์ก่อนนะคะ น้องจะหมั่นทำบุญ เพื่อขอให้เราเกิดมาครองคู่กันอีกทุกชาติไป”
“ไม่ว่าชาติใดภพใด พี่ก็จะรักน้องคนเดียวเท่านั้น”
สิ้นคำของไต้ก๋งชาง ลมพัดมาวูบใหญ่ ท้องฟ้าที่ขมุกขมัวกลับสดใสขึ้นทันดา ทุกคนต่างเงยหน้าขึ้นมองอย่างประหลาดใจ
ส่วนที่เชิงตะกอน เถ้ากระดูกและมีดพร้าที่ใช้คร่าชีวิตไต้ก๋งชางลุกไหม้ในกองเพลิง ร่างของไต้ก๋งชางค่อยๆ ลอยขึ้นไปบนฟ้า ทุกคนมองตามส่งเสียงฮือฮากับสิ่งที่เกิดขึ้น
รำเพยหันไปมองลูกน้ำตาซึม เฟื่องฟ้าจับมือแม่กุมไว้ยิ้มดีใจโล่งใจให้กัน
เรือนหมอผีอินทั้งหลัง บรรยากาศเงียบสงัดราวกับไม่มีคนอยู่ งามตาเดินแกมวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาตะโกนเรียกหมอผีอินมาตามทาง
“พ่อ อยู่หรือไม่ พ่อ”
ไม่มีเสียงตอบกลับมา งามตาเดินเข้าไปเรื่อยๆ
“เราอยู่ที่นี่ไม่ได้แล้ว เราต้องหนี พ่อได้ยินฉันไหม”
งามตามองไปยังหน้าบันไดเรือนสังเกตเห็นบางอย่าง รีบเดินไปดู แล้วถึงกับช็อกไป
เพราะที่ชานบันไดเรือน ร่างหมอผีอินในสภาพคอหัก เลือดไหลออกจากทุกทวาร ขาดใจตายอย่าง เอน็จอนาถอยู่ตรงนั้น งามตาผงะถอยทรุดลง
“พ่อ...ไม่นะ...ไม่จริง...ไม่...”
งามตากรีดร้องเสียงดังโหยหวน รับไม่ได้กับสิ่งที่เกิดขึ้น
บรรยากาศในป่าวังเวง เสียงฝีเท้าใครคนหนึ่งย่ำไปตามพื้น ตามมาด้วยเสียงหัวเราะเย็นๆ งามตาถือกล่องใบหนึ่งเดินอย่างเหม่อลอยเข้ามาในป่า แต่แล้วก็หยุดชะงัก มองไปรอบๆ
“ที่นี่ที่ไหน”
งามตาหยุดทำหน้าครุ่นคิด มองกล่องที่อุ้มมาด้วยแล้วยิ้มออกมา
“ใช่...ข้าต้องไปเรือนลำพระพาย ...”
ความหลังในอดีตผุดขึ้นมาราวสายน้ำไหล
นับจากงานโปรยทานในวันแต่งงานไต้ก๋งชางกับรำเพย งามตามองสองคนด้วยแววตาเต็มไปด้วยความริษยา
จนต่อมาใช้เสน่ห์มัดใจไต้ก๋งชางให้หลงไหล พามาเดินตลาดด้วยกัน และวางแผนจนรำเพยถูกไต้ก๋งชางไล่ออกจากเรือน งามตามองสะใจ
สุดท้ายงามตาใช้พร้าแทงไต้ก๋งชางจากด้านหลังจนจมคมมีด
จนได้ครอบครองสมบัติทุกอย่างในเรือนลำพระพาย หยิบข้าวของเงินทองมาชื่นชม สวมใส่อย่างปลาบปลื้ม
งามตานั่งลงหยิบใบไม้ขึ้นมาโปรยเสมือนเป็นข้างของเงินทองกระนั้น หัวเราะร่า
“เอาไปให้หมดเลย นี่เงินของกู ไอ้ไต้ก๋งหน้าโง่มันให้กูหมดแล้ว”
โปรยได้สักพักงามตาก็หยุด มองรอบข้างด้วยสีหน้าเคียดแค้น
“นังเฟื่องฟ้ามันแย่งทุกอย่างไปจากข้า มันต้องตาย”
งามตาลุกเดินลากเท้าไปตามทาง แล้วมาหยุดทรุดลงนั่ง เปิดกล่องที่นำติดตัวมาด้วยพูดเพ้อ
“แกต้องช่วยข้า ช่วยข้าทวงทุกอย่างคืนมา”
ในกล่องมีบึ้งอยู่ในนั้น งามตาหัวเราะ ปล่อยบึ้งออกมาไต่บนแขน สะอื้นไห้น้ำตาไหลพราก
“กูไม่ยอมเสียอะไรทั้งนั้น...อีพวกเรือนลำพระพาย...กูจะทวงทุกอย่างคืนมา”
งามตาคำรามลั่น ปล่อยบึ้งให้ไต่ไปจนถึงคอ หัวเราะแล้วร้องไห้สลับกันไปอย่างอย่างคนไร้สติ
“นังเฟื่องฟ้า นังรำเพย อีนมขาม ใครขวางกูมันต้องตายให้หมด”
งามตามองเหม่อไปข้างหน้า ในจังหวะที่บึ้งไต่มาถึงคอ
“กูจะเอาทุกอย่างคืนมาให้ได้”
บึ้งกัดเข้าที่คอหมับ ร่างงามตากระตุกเกร็ง หายใจหอบ นอนชักดิ้นชักงอ ตาเบิกโพลงเหมือนคนเห็นภาพหลอน
ในสายตางามตา เห็นวิญญาณคนตายเป็นผีหน้าตาน่าเกลียดน่ากลัว รุมเข้ามาหา
“ไม่...ไปให้พ้น อย่า อย่า… ไม่”
งามตานอนชักกระตุกอย่างทรมาน ร่างค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีม่วงคล้ำ เหมือนคนอื่นๆ ที่โดนพิษบึ้งกรีดร้องระงม ก่อนจะแน่นิ่งไป
เช้าวันใหม่ ก้องภพยืนรออยู่ที่ชานเรือนใหญ่ จนคฑาขึ้นไปรายงาน
“เป็นอย่างไรบ้างคฑา เจอตัวคุณแม่หรือไม่”
“ยังไม่พบขอรับ แต่โปลิศกับชาวบ้านช่วยตามหาอยู่ ถ้าคุณนายไม่ได้หนีไปไกล อีกไม่นานคงพบ”
“อย่างนั้นหรือ”
ก้องภพซึมลง
จนเสียงรำเพยดังขึ้น “ไม่ต้องห่วงหรอกนะก้องภพ”
สองหนุ่มหันไป เห็น รำเพย เฟื่องฟ้าและนมขามเดินเข้ามาสมทบ
“ฉันเชื่อว่าจะต้องพบตัวงามตาอย่างแน่นอน”
“คุณรำเพย ไม่โกรธเกลียดคุณแม่ผมหรือครับ”
รำเพยยิ้มเปี่ยมเมตตา “ฉันกับงามตาอาจจะเคยคิดแค้นต่อกัน แต่จากเรื่องที่เกิดขึ้น ฉันก็รู้แล้วว่าการจองเวรพยาบาทต่อผู้อื่นนั้นไม่มีประโยชน์อันใดเลย”
“ขอบพระคุณคุณรำเพยมากครับ”
“คุณเองก็ทำให้เราเห็นแล้วว่าคุณต้องการแก้ไขทุกสิ่งให้ถูกต้อง เราไม่มีอะไรที่ต้องโกรธเกลียดกันอีก”
ก้องภพยิ้มให้เฟื่องฟ้า นมขามพูดปลอบ
“คุณก้องอย่าคิดมากนะเจ้าคะ อยู่รอคุณงามตาที่นี่ นมเชื่อว่าเธอจะกลับมา”
ก้องภพยังรู้สึกผิดกับสิ่งที่งามตาทำลงไปอยู่
“ขอบคุณที่ทุกคนเมตตาผมกับแม่นะครับ แต่ผมคงรับน้ำใจนั้นไว้ไม่ได้ หลังจากทุกอย่างเรียบร้อย ผมจะคืนทุกสิ่งให้กับคุณรำเพยและเฟื่องฟ้า รวมถึงออกไปจากบ้านหลังนี้ด้วย”
ก้องภพพูดอย่างแน่วแน่ เฟื่องฟ้าตกใจ
“คุณจะไปจากที่นี่งั้นหรือ”
ก้องภพพยักหน้า ไม่คิดจะเปลี่ยนใจ เฟื่องฟ้ากำลังจะพูดขึ้น แต่บ่าวคนหนึ่งวิ่งเข้ามาขัดจังหวะเสียก่อน พูดไปหอบไป
“คุณท่านขอรับ พบตัวคุณนายงามตาแล้วขอรับ”
สีหน้าทุกคนทั้งแปลกใจ ดีใจ ตามจริตใครมัน
เสียงผู้หญิงกรีดร้องแผดดังไปทั่วบริเวณ รำเพย เฟื่องฟ้า นมขามและก้องภพลงเรือนใหญ่มา เห็นบ่าวรุมจับตัวใครบางคนไว้ พอเดินเข้าไปเห็นก็ถึงกับนิ่งงัน พูดไม่ออก
อนิจจาเอ๋ย เป็นงามตาในสภาพผมเผ้ายุ่งเหยิงเสื้อผ้าเปรอะเปื้อนมอซอ นั่งอยู่กับพื้นกวาดสายตาไปทั่ว คอยใช้มือดันพื้นราวกับหลีกหนีสิ่งน่ากลัวที่มองเห็น พูดพล่ามเพ้อเรื่อยเปื่อยเพราะบัดนี้สติวิปลาสไปแล้ว
“อย่าเข้ามา ไป ออกไป ไป อย่าทำฉัน ไป ไป”
บ่าวรายงานเรื่องงามตาต่อว่า
“ลูกศิษย์วัดไปพบตัวในป่าเลยพามาส่งที่เรือนขอรับ แต่คุณงามตาก็เอาแต่หวาดผวาจำอะไรไม่ได้”
ก้องภพอึ้งไม่พูดอะไร เข้าไปกอดงามตาทันที
“คุณแม่”
พอก้องภพกอด งามตาก็สงบลงมองหน้าเขาด้วยแววตาว่างเปล่า
“เธอเป็นใคร”
“คุณแม่จำผมไม่ได้หรือครับ ผมก้องภพ ลูกชายของคุณแม่”
งามตาเหมือนนิ่งคิด แต่แล้วกลับหัวเราะออกมา
“ลูกหรือ ไม่จริง อย่ามาอ้าง แกอยากได้สมบัติของฉันใช่ไหมล่ะ ฉันไม่ให้แกหรอก ทุกอย่างที่เรือนลำพระพายต้องเป็นของฉันคนเดียว”
“และที่สำคัญคือคุณงามตาตอนนี้ไม่สามารถขยับเขยื้อนตัวช่วงล่างได้เลยขอรับคาดว่าจะเป็นอัมพกฤษ์ ก็เลยอยู่ในสภาพอย่างที่เห็นนี่แหล่ะขอรับ” บ่าวคนเดิมรายงาน
งามตาหัวเราะแล้วถัดตัวถอยหนีสิ่งลี้ลับที่มองเห็นคนเดียว
“อย่าเข้ามานะ อย่า”
รำเพยกับเฟื่องฟ้าเข้าไปดู มองด้วยความเวทนา
“นี่น่ะหรือ...ปลายทางของสิ่งที่เธอพยายามเพื่อให้ได้มา”
งามตาหันมามองรำเพย แต่สายตาว่างเปล่า
“เธอได้รับผลกรรมจากสิ่งที่ก่อแล้ว ฉันจะขออโหสิกรรมทั้งหมดให้ จากนี้ไปเราอย่าได้จองเวรจองกรรมกันอีกเลย”
ก้องภพน้ำตาร่วง กอดแม่ไว้แนบอก งามตามองเหม่อลอยไม่รับรู้ใดๆ
ที่เรือนเล็กหลังหนึ่งในอาณาบริเวณเรือนลำพระพาย ภายในห้องนอนที่ถูกปิดทึบมืดสลัว หน้าต่างประตูถูกปิดไว้หมดแทบไม่มีแสงลอดเข้ามา งามตานอนนิ่งอยู่บนเตียงเนื้อตัวสั่น สายตามองรอบข้างพึมพำด้วยความกลัวและหวาดระแวงตลอดเวลา
“อย่า...อย่าทำอะไรกู...”
งามตากำผ้าที่นอนไว้แน่นด้วยความกลัว พยายามหลับตา จนมีเสียงเรียกดังขึ้น
“งามตา...”
งามตาเงยลืมตาขึ้นมองเห็นอบเชยยืนยิ้มให้
“อีอบเชย มึงตายไปแล้วไม่ใช่รึ”
“งามตา...”
อบเชยเดินเข้ามาหา งามตาจะกระเถิบหนีแต่ไม่สามารถขยับท่อนล่างได้ กลิ้งตกลงจากเตียง กระเสือกกระสนหนีปากก็ตะโกนไล่
“มึงตายไปแล้ว ไม่! ออกไป”
อบเชยยื่นมือไปจับที่คองามตา เรียกด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบน่าขนลุก
“งามตา”
“อย่า อย่าทำอะไรกูเลย กูกลัวแล้ว”
อบเชยแสยะยิ้ม หัวเราะเยาะ บีบคองามตาหมับ งามตากลัวจับจิตเนื้อตัวสั่นเทา
มีมือคนอื่นๆ ยื่นเข้ามาบีบคองามตาด้วย งามตาตาเหลือกลานมองเห็นพิมพ์กับจำเรียงอยู่ด้วย ทั้งสามคนหัวเราะเยาะ ขึงตาจ้องงามตาด้วยความอาฆาตแค้น
“มึงต้องตาย...ตาย”
งามตากรีดร้องตะโกนขอชีวิต ทั้งที่ในห้องอันกว้างขวาง งามตาอยู่คนเดียวไม่มีใครอยู่เลย
ก้องภพเปิดประตูเข้ามาในเห็นงามตาเริ่มหลอนก็เข้าไปกอดไว้ น้ำตาซึม
เรือนใหญ่ในอีกหลายวันต่อมา บรรยากาศคึกคัก นมขามกับกล่ำยืนสั่งการกำกับบ่าวไพร่ให้เช็ดถูกทำความสะอาดในเรือนอย่างแข็งขัน
“พวกหล่อนเช็ดถูดีๆ เอาให้สะอาด”
“ส่วนพื้นนี่ขัดให้ขึ้นเงาเลยนะ ถ้าฉันเห็นว่ามีฝุ่นแม้แต่นิด ฉันจะเอ็ดพวกหล่อน”
กล่ำกอดอกยิ้มกระหยิ่ม พอเดินไปนิดเดียวก็ลื่นล้ม นมขามต้องเข้าประคองอย่างทุลักทุเล พวกบ่าวพากันขำคิกคัก
แถนกับคฑาไปดูคนงานช่วยกันขนของ พร้อมต้อนรับเถ้าแก่เจียงและคณะงิ้วที่จะมาแสดงในวันนี้
ส่วนรำเพยไปคุมบ่าวในเรือนช่วยกันเตรียมกับข้าว ขนมไทย เพื่อทำบุญใหญ่
บนชานเรือนใหญ่ ก้องภพยืนมองทุกคนอยู่ตรงนั้น เขาพรายยิ้มบางๆ ก่อนจะหยิบกระเป๋าเสื้อผ้าตัวเองขึ้นมาถือ เดินลงไปขึ้รถที่หน้าเรือน เสียงเฟื่องฟ้าดังขึ้น
“คุณจะไปเงียบๆ โดยไม่ลาพวกเราเลยหรือ”
ก้องภพหยุดชะงัก เฟื่องฟ้าเดินเข้ามาขวางไว้
“ฉันรู้จากคฑาแล้วว่าคุณตั้งใจจะไปอยู่ในพระนคร ทำไม่ถึงคิดจะไปที่นั่น”
“ที่นั่นใกล้กับที่ทำงาน ไม่ลำบากอะไร อีกอย่างฉันก็เต็มใจจะไป เพราะเรือนลำพระพายเป็นของเธอโดยสมบูรณ์แล้ว”
“คุณคิดอย่างนั้นแล้วถามคนอื่นหรือยังว่าเขาต้องการอย่างไร”
“ฉันตัดสินใจถี่ถ้วนแล้ว ฉันขอให้เธอมีความสุขนะเฟื่องฟ้า ลาก่อน”
ก้องภพโค้งให้เฟื่องฟ้า ทำท่าจะเดินออก เฟื่องฟ้าเรียกไว้
“คุณไม่จำเป็นต้องไป”
ก้องภพชะงักหันมาหา “หมายความว่าอย่างไร”
“อย่างน้อยช่วงหนึ่งคุณก็เคยอยู่ในฐานะลูกของคุณพ่อ คอยช่วยดูแลเรือนนี้ คุณช่วยอยู่กับฉันดูแลเรือนนี้ต่อไปได้ไหมคะ”
เฟื่องฟ้ามองด้วยแววตาขอร้อง ไม่ได้โกรธเกลียดอะไรเลยแมนสักน้อย ก้องภพนิ่งงันไป
เรือนดอกเหมยค่ำคืนนี้สว่างไสว มีริ้วธงประดับประดาสวยงาม
โรงงิ้วเรือนดอกเหมยเปิดแสดงขึ้นอีกครั้ง บนเวทีเปิดไฟสว่างไสวมีชาวบ้านทยอยเข้ามาจับจองที่นั่งรอชมมากมาย
รำเพยกับนมขามจูงมือกันออกมาที่หน้าโรงงิ้ว ก้องภพตามมาติดๆ พร้อมด้วยคฑา แถน กล่ำและคนอื่นในเรือน รำเพยบอกกับนมขามอย่างปลาบปลื้ม
“งิ้วจะเริ่มแล้วจ้ะนม ฉันตื่นเต้นเหลือเกิน”
“นมเชื่อว่าคุณเฟื่องฟ้าจะต้องทำให้คุณหนูกับไต้ก๋งภาคภูมิใจที่สุดเจ้าค่ะ”
รำเพยพยักหน้ายิ้มๆ พากันเข้าไปนั่งที่ม้านั่งตรงหน้าสุดของเวที ก้องภพนั่งคู่กับนมขาม อีกข้างเป็นกล่ำและแถน ที่นั่งข้างรำเพยนั้นว่างอยู่ เหมือนรอให้ใครบางคนมานั่งด้วย ทุกคนมองไปบนเวทีอย่างใจจดจ่อ
จนกระทั่งเสียงดนตรีโหมโรงดังขึ้น ตามด้วยเสียงปรบมือของคนดูดังตามมา เฟื่องฟ้าออกมาร้องเพลงงิ้วเรื่องลิขิตเลือดมังกรที่ไต้ก๋งชางชอบอีกครั้ง
รำเพยมองลูกสาวอย่างภาคภูมิใจจับมือนมขามเบาๆ น้ำตาซึม
“อนิจจังนั้นสถาพรดุจพิภพจบสวรรค์
มิมีรักใดนิรันดร์แม้นานนับดับสูญ
ไม่อาจเทียบแสงและเงาที่เพิ่มพูน
สายลมอาดูรแสงจันทร์ฝันคืน...”
รำเพยหันไปมองที่นั่งข้างๆ นึกถึงตอนไปดูงิ้วกับไต้ก๋งชางเมื่อในอดีตก็ยิ้มออกมา
งิ้วบนเวทีแสดงไปเรื่อยๆ รำเพยกับนมขามดูงิ้วอย่างมีความสุข จนมีเสียงดังขึ้น
“ลิขิตแห่งมังกรหาญกล้า อดทนฝ่าชะตาหวังสุขสม
ผ่านวสันต์เศร้าเหมันต์ระทม จากอารมณ์ล้วนก่อเกิดมา
เพียงพบว่าอำนาจฤาวาสนา ล้วนไร้ค่าในกาลอวสาน”
วิญญาณไต้ก๋งชางปรากฏร่างขึ้นตรงที่นั่งข้างรำเพย จับมือเมียรักกุมไว้ ยิ้มชื่น แล้วหันไปดูงิ้ว
รำเพยน้ำตาไหล พยายามกลั้นสะอื้นเต็มที่ เฟื่องฟ้ามองลงมาเห็นพ่อกับแม่ ถึงกับน้ำตาคลอ
การแสดงงิ้วจบลงอย่างประทับใจ ทุกคนปรบมือชื่นชม เฟื่องฟ้าในชุดงิ้วลงเวทีมาหารำเพยและไต้ก๋งชาง
“พ่อจ๋าแม่จ๋า เฟื่องฟ้าดีใจที่พ่อกับแม่ได้มานั่งดูลูกด้วยกันที่นี่”
“เก่งมากเฟื่องฟ้าลูกแม่”
“พ่อก็ภูมิใจในตัวลูกมาก” ไต้ก๋งชางยิ้มชื่น
“คุณพี่มีความสุขไหมเจ้าคะ”
“พี่มีความสุขมาก ขอบใจน้องรำเพยกับลูกและทุกๆ คน”
รำเพยพยักหน้าให้น้ำตาไหลริน เศร้าใจที่นับแต่นี้ต้องจากไต้ก๋งชางตลอดกาล
“คุณพี่เจ้าขา น้องขออโหสิกรรมทั้งหมดให้คุณพี่ น้องจะใช้เวลาที่เหลือจากนี้จดจำแต่ความดีงามของคุณพี่ คุณพี่เป็นคนดีที่สุดของน้อง และจะเป็นคนที่น้องรักตลอดไป”
ไต้ก๋งชางมองรำเพยน้ำตาซึม กอดเมียรักไว้ รำเพยรับรู้ได้ ยิ่งร้องไห้หนักขึ้น ไต้ก๋งชางหันมาทางก้องภพ
“ฉันขอฝากยอดดวงใจของฉันทั้งสองคนนี้ให้เธอดูแลด้วยก้องภพ ช่วยดูแลเขาให้ดีที่สุด ฉันจะได้จากไปอย่างหมดกังวล”
ก้องภพได้ยินเสียงไต้ก๋งชางแว่วมาตามสายลม หันไปมองเก้าอี้ว่างเปล่า อย่างแปลกใจ
“เธอได้ยินเสียงอะไรหรือไม่เฟื่องฟ้า”
เฟื่องฟ้าพยักหน้ายิ้มๆ แล้วหันไปบอกไต้ก๋งชาง
“พ่อจ๋า เฟื่องฟ้ารักพ่อมากนะจ๊ะ ขอให้ดวงวิญญาณของพ่อไปสู่สุคติภพ พ่อจะอยู่ในใจของลูกตราบนานเท่านาน”
เฟื่องฟ้าก้มลงกราบบิดา ไต้ก๋งชางลูบผมลูก
“พ่อก็รักลูกมาก บุญรักษานะลูกนะ”
ก้องภพแปลกใจ แล้วก็มองอย่างเข้าใจ
ไต้ก๋งชางหันไปกอดรำเพยไว้
“ดูแลตัวเองให้ดี โปรดจำไว้ว่าพี่รักน้องและลูกมาก และจะรักตลอดไป”
ร่างของไต้ก๋งชางค่อยๆ สลายไป แม่ลูกร้องไห้โฮ นมขามจับมือปลอบรำเพย ก้องภพเข้าไปกอดปลอบเฟื่องฟ้า
เช้าวันใหม่ อากาศแสนสดใส ก้องภพ เฟื่องฟ้า พร้อมทุกๆ คนมารวมตัวกันที่หน้าเรือนใหญ่ด้วยท่าทางตื่นเต้น ก้องภพหันไปยิ้มให้เฟื่องฟ้า ก่อนที่ทั้งสองจะเดินนำไปที่โรงต่อเรือแล้วช่วยกันเปิดประตูออก
เผยให้เห็น เรือสำเภาที่ไต้ก๋งชางเคยต่อไว้ สุดท้ายกลายเป็นเรือสำเภาสมบูรณ์สวยงาม รำเพยน้ำตาซึม เฟื่องฟ้าจับมือแม่ มองด้วยความภาคภูมิใจ
“เป็นอย่างไรบ้างจ๊ะแม่”
รำเพยปาดน้ำตา “ขอบใจลูกกับทุกคนมากนะ ในที่สุดความฝันของคุณพี่ ก็เป็นความจริงเสียที”
ทุกคนมองเรือสำเภาด้วยความปลื้มใจ
วันนี้ เรือสำเภาล่องตามน้ำในแม่น้ำมา ทุกคนอยู่บนเรือนั้น เฟื่องฟ้าถือห่อผ้าเถ้ากระดูกไต้ก๋งชางในมือเตรียมลอยอังคาร นมขามมองไปแม่น้ำกว้างใหญ่ตรงหน้า
“ขอให้ดวงวิญญาณของไต้ก๋งไปสู่สุคตินะเจ้าคะ หลังจากนี้เรือนเราจะอยู่กันอย่างสงบสุข ไต้ก๋งไม่ต้องมีห่วงอันใดอีกต่อไปแล้ว”
“ฉันเชื่อว่าคุณพี่รับรู้ได้ และจะคอยคุ้มครองพวกเราจากบนสวรรค์” รำเพยบอก
“พ่อไม่เคยจากลูกไปไหน ความรักและความดีของพ่อจะอยู่ในใจลูกไม่มีวันลืม” เฟื่องฟ้าว่า
ก้องภพยิ้มออกมาทั้งน้ำตา เฟื่องฟ้ากับรำเพยประคองห่อเถ้ากระดูกไปที่กราบเรือก่อนจะช่วยกันโปรยเถ้ากระดูกลงในแม่น้ำ
ทุกคนยืนมองสายน้ำพัดพาเถ้ากระดูกของไต้ก๋งชางลอยห่างออกไป รำเพยมองไปบนท้องฟ้า เหมือนยิ้มให้ไต้ก๋งชางที่อยู่บนนั้น
ก้องภพกับเฟื่องฟ้าเดินเล่นกันอยู่ในสวนสวยหน้าเรือนดอกเหมย เฟื่องฟ้าชื่นชมดอกไม้อย่างมีความสุข ยิ้มได้มากขึ้น ก้องภพถามขึ้นในจังหวะหนึ่ง
“จากนี้ไปเธอจะทำอะไรต่อหรือเฟื่องฟ้า”
“ฉันตั้งใจจะปรับปรุงเรือนดอกเหมยให้เป็นโรงงิ้วที่ยิ่งใหญ่งดงามที่สุดในสยาม เวลาที่คุณพ่อมองลงมาจะได้ภูมิใจ”
“เธอทำได้แน่”
“แล้วคุณก้องล่ะตั้งใจจะทำอะไรหลังจากนี้”
“ฉันคงจะดูแลคุณแม่ให้ดีที่สุดเท่าที่ทำได้ แล้วก็จะตั้งใจทำความดีเพื่อเป็นกุศลให้กับไต้ก๋งชางและ...พ่อก้อน...พ่อที่แท้จริงของฉันด้วย”
เฟื่องฟ้าพยักหน้ายิ้มให้แรงใจ
ทั้งสองคนเดินจนมาถึงบริเวณหน้าเรือนดอกเหมย เฟื่องฟ้ายิ้มนิดๆ ถามก้องภพ
“คุณรู้เรื่องของดอกเหมยที่เป็นชื่อเรือนแห่งนี้ไหม”
“เรื่องเป็นมาอย่างไรหรือ”
“ในฝัน ฉันเคยเห็นพ่อบอกกับแม่ว่าดอกเหมยนั้นจะผลิบานเมื่อฤดูหนาวผ่านพ้นไป มันก็เหมือนกับคนเรา เมื่อผ่านเรื่องทุกข์ยากยาวนานมาได้ เราก็จะพบกับความสุขในสักวัน”
ก้องภพลอบมองเฟื่องฟ้าแล้วถามขึ้นว่า
“แล้วตอนนี้ เธอพบกับความสุขนั้นหรือยัง”
เฟื่องฟ้าหันมาหา “ฉันบอกไม่ได้ว่าตัวเองมีความสุขหรือไม่”
ก้องภพแปลกใจ “เพราะอะไร”
“เพราะความสุขมักอยู่กับเราไม่นาน ฉันอยากอยู่กับปัจจุบันมากกว่า ได้ใช้ชีวิตกับคนที่ฉันรักและรักฉัน ทำดีต่อกัน เท่านั้นก็เพียงพอ”
ก้องภพยิ้มให้ จับมือเฟื่องฟ้ามากุมไว้ สาวเจ้ายิ้มเขินๆ
“เฟื่องฟ้า ฉันอยากจะขออะไรเธอสักอย่าง”
“อะไรหรือคะ”
“ฉันอยากจะชดเชยสิ่งที่เธอต้องเสียไปตลอดเวลาที่ผ่านมา ด้วยการดูแลเธอ ไม่ว่าในยามทุกข์หรือสุข ขอเพียงให้ฉันได้อยู่เคียงข้างเธอเช่นนี้ตลอดไป เธอจะอนุญาตหรือไม่ เฟื่องฟ้า”
เฟื่องฟ้าก้มหน้าหลบสายตาก้องภพ ก่อนจะพยักหน้ารับเขินๆ
ก้องภพรวบตัวเฟื่องฟ้าเข้ามากอดแนบอก สองคนยิ้มให้กันอย่างมีความสุข
จบบริบูรณ์