เสน่ห์นางครวญ ตอนที่ 20
บทประพันธ์ : หงส์หยก บทโทรทัศน์ : พิชฌสินี
คฑาค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา เบื้องหน้าเขามองเห็นเป็นภาพเบลอๆ ของเพดานเรือนครัว ชายหนุ่มพยายามนึกทบทวนว่าเมื่อคืนเกิดอะไรขึ้น แล้วลุกพรวดขึ้นด้วยความตกใจ
“คุณนายงามตา”
คฑาจะลุกออกไป แต่กลับซวนเซเพราะยังมึนหัวอยู่ บุหลันเข้ามาประคองไว้
“ระวังหน่อยสิ ลุกพรวดพราดเช่นนี้เดี๋ยวก็ล้มไปอีก”
บุหลันประคองคฑาไปนั่งตรงที่นอน คฑารีบถามบุหลัน
“บุหลัน เกิดอะไรขึ้น ทำไม่ข้ามาอยู่ที่นี่”
บุหลันทำเป็นอึกอักลำบากใจ
“ตอนข้ากลับออกจากเรือนมา ข้าได้ยินเสียงเหมือนคนเดินขึ้นมาบนเรือน พอไปดูอีกทีก็เห็นเอ็งสลบไปเสียแล้ว”
คฑาไม่เชื่อ “จริงหรือ แล้วเอ็งเห็นใครเข้าไปในห้องคุณนายงามตาหรือไม่”
“แค่เห็นเอ็งสลบอยู่ข้าก็ตกใจมากแล้ว ข้าไม่ทันสังเกตอะไรหรอก”
คฑากัดฟันนึกเจ็บใจ ถามบุหลันซ้ำอีก
“เอ็งไม่เห็นอะไรจริงหรือ”
“ข้าไม่รู้จริงๆ เอ็งจะเซ้าซี้ข้าเพื่ออะไร”
บุหลันไม่ยอมพูดท่าเดียว คฑาหงุดหงิดใจ ลุกพรวดขึ้นอีก
บุหลันตกใจ “เอ็งจะไปที่ไหน”
“ข้าจะไปหาคุณนายงามตามที่เรือนใหญ่”
คฑาเดินออกไป บุหลันรีบดึงรั้งไว้
“ทำไมต้องไปที่นั่น เอ็งบาดเจ็บอยู่”
“เกิดเรื่องเช่นนี้ต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากลแน่ ข้าจะไปดูให้แน่ใจว่าคุณนายงามตาอยู่ที่เรือนรึไม่”
“ไม่นะ ข้าไม่ให้เอ็งไป อย่างสร้างเรื่องวุ่นวายเลย”
“อย่างไรข้าก็ต้องไป ปล่อยข้า”
คฑาไม่ฟังปลดมือบุหลันออกแล้ววิ่งไปที่เรือนใหญ่ บุหลันหน้าเสีย รีบตามไป
คฑาวิ่งขึ้นมาบนเรือนใหญ่รีบตรงไปที่ห้องงามตา เปิดประตูเข้าไปดู แต่ไม่เจองามตาอยู่ในนั้น คฑาตกใจมาก จะวิ่งออกไป บุหลันตามมาขวางไว้
“คฑา หยุดนะ จะไปไหน”
“คุณนายงามตาหายตัวไปแล้ว ฉันต้องบอกคุณก้องภพ”
คฑาจะออกไปให้ได้ บุหลันขวางไว้อีก
“ฉันบอกแล้วไงว่าไม่มีอะไร นายอย่าทำให้เรื่องมันใหญ่โตได้ไหม”
บุหลันดันตัวคฑาไว้ คฑาลำบากใจ จนเสียงงามตาดังขึ้น
“เสียงดังวุ่นวายอะไรกัน”
สองคนชะงักหันไป เห็นงามตาเดินเข้ามา
“ตามหาฉันอยู่หรือนายคฑา”
คฑาอึกอัก “ขอรับ กระผมเห็นคุณนายไม่อยู่ห้อง”
“อยู่แต่ในห้องมันอึดอัด ฉันเลยออกไปสูดอากาศข้างนอก เธอมีปัญหาอะไรหรือ”
“เปล่าขอรับ คุณก้องให้กระผมดูแลคุณนาย จึงเป็นห่วงเท่านั้น”
“ไม่ต้องห่วงฉันหรอก ห่วงตัวเองจะดีกว่า หากพ่อก้องกลับมาแล้วพบว่าเธอทำเรื่องวุ่นวายคงจะโดนเอ็ดไม่ใช่น้อย”
“กระผม จะไม่ให้เกิดเรื่องเช่นนี้อีกขอรับ”
คฑาเงียบไป งามตาหันไปหาบุหลัน
“ไม่มีอะไรแล้วใช่ไหม บุหลันเธอมาก็ดี ฉันว่าจะคุยด้วยเสียหน่อย”
บุหลันงง “กับอิฉันหรือเจ้าคะ”
“ใช่ ตามฉันมา”
งามตาเดินนำเข้าห้อง บุหลันตามไป คฑาลอบสังเกตเงียบๆ
ทันที่ประตูปิดลง งามตาก็พูดเข้าเรื่องกับบุหลันทันที
“เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ ฉันจะไม่พูดอ้อมค้อม แต่ฉันอยากให้เธอตอบมาตามตรง”
“เรื่องอะไรหรือเจ้าคะ”
“เรื่อง พ่อก้อง”
บุหลันชะงักงันไป ก้มหน้าลงท่าทีอึกอัก
“ทำไมคุณนายถึงถามอิฉันเรื่องนี้เจ้าคะ”
งามตามองบุหลันอย่างพิจารณา ถามน้ำเสียงเรียบๆ
“ฉันพอจะดูออกว่าหล่อนคิดอย่างไรกับลูกชายฉัน ฉันดูไม่ผิดใช่หรือไม่”
“อิฉันเป็นเพียงบ่าวต่ำต้อย คงไม่กล้าคิดสิ่งใดกับคุณก้องหรอกเจ้าค่ะ”
“ฉันบอกให้หล่อนตอบมาตามตรงไม่ใช่หรือ”
บุหลันกระอึกกระอัก กล้าๆ กลัวๆ “อิฉัน...”
“บอกฉันมาเถิด ฉันไม่ได้รังเกียจอะไรหล่อน ฉันแค่ถามให้แน่ใจเท่านั้น”
บุหลันก้มหน้า ท่าทีเขินอายไม่กล้าพูดออกไป
“ถึงอิฉันจะรู้สึก อิฉันก็คิดว่าตัวเองไม่คู่ควรกับคุณก้องเจ้าค่ะ”
“แล้วถ้าฉันทำให้หล่อนสมหวังได้เล่า”
บุหลันเงยหน้ามองงามตาอย่างแปลกใจ งามตายิ้มเจ้าเล่ห์
รำเพย เฟื่องฟ้า กล่ำและแถน พากันเดินออกมาที่หน้าบ้านพักรำเพย ก้องภพตั้งใจจะไปส่งเฟื่องฟ้าที่บ้านแถน
“ผมจะไปส่งทุกคนที่ท่าน้ำ ระหว่างนี้ผมอยากให้ทุกคนคุณอยู่ที่บ้านน้ากล่ำไปก่อน จนกว่าผมจะติดต่อกลับไป”
รำเพยอดเป็นห่วงก้องภพไม่ได้ “ระหว่างนี้คุณก็ระวังตัวด้วย ถ้ามีคนรู้ว่าคุณช่วยพวกฉัน คุณอาจจะเดือดร้อน”
“ผมบอกแล้วอย่างไรครับว่าเต็มใจช่วย ไม่ต้องห่วง”
“แต่ว่า...”
“รีบไปเถอะครับ บ่ายคล้อยมากแล้ว”
ก้องภพรีบเดินออกไป กล่ำทักขึ้นเสียก่อน
“แล้วเราจะไม่กลับไปที่วัดหรือ”
แถนนึกได้ “จริงด้วย ไม่รู้พวกลูกศิษย์วัดจะยอมให้เราเข้าไปหรือยัง”
ก้องภพฟังแล้วนึกสงสัยขึ้นมา
“ ที่วัดลำพระพายมีอะไรหรือครับ”
เฟื่องฟ้ามองหน้ากล่ำ แถน เชิงตำหนิ แล้วหันไปตอบก้องภพน้ำเสียงประชดในที
“ไม่ใช่เรื่องที่คุณต้องรู้”
“มาถึงขนาดนี้เธอยังไม่เชื่อใจฉันอีกหรือเฟื่องฟ้า” ก้องภพน้อยใจ
“ฉันไม่ไว้ใจใครทั้งนั้นที่มาจากเรือนลำพระพาย”
รำเพยดุลูก “เฟื่องฟ้า”
“ขอโทษที่ต้องพูดเช่นนี้ แต่คุณคงรู้ว่าฉันเจออะไรมาบ้าง”
“ได้ ฉันจะพิสูจน์ให้ได้ว่าฉันทำไปด้วยความบริสุทธิ์ใจ ถ้าหากทุกอย่างที่เธอพูดเป็นความจริง ฉันจะคืนทุกสิ่งให้เธอแน่นอน”
เฟื่องฟ้าจ้องหน้าก้องภพไม่ยอมลงให้ง่ายๆ ก้องภพมองตอบด้วยสีหน้ามุ่งมั่น
พวกเฟื่องฟ้ากลับมาพบหลวงพ่อดำที่วัด เพื่อถามเรื่องการขุดค้นวิหารพระนอน
“ไม่ว่าอย่างไรก็ขุดไม่ได้หรือเจ้าคะหลวงพ่อ”
หลวงพ่อดำพูดอย่างเข้าใจลูกศอษย์และเห็นใจเฟื่องฟ้า
“อาตมาคุยกับลูกศิษย์ให้แล้ว แต่วิหารพระนอนเป็นที่เคารพนับถือ พวกเขาคงไม่ยอมให้ใครเข้าไปบริเวณองค์พระง่ายๆ”
“แล้วถ้าหากใต้ฐานพระมีกระดูกไต้ก๋งชางอยู่จริงๆ ล่ะเจ้าคะ”
หลวงพ่อดำท้วงว่า “หากโยมพิสูจน์ไม่ได้ว่ามีอยู่จริง ก็คงยากที่จะให้ใครเชื่อ”
แถนหน้าเครียด “แล้วพวกเราจะหาหลักฐานมาได้อย่างไร”
กล่ำครุ่นคิดแล้วก็นึกถึงก้องภพขึ้นมา
“หรือสิ่งที่คุณก้องภพบอกว่าจะช่วยคือสิ่งนี้”
เฟื่องฟ้าไม่เชื่อ “นายก้องภพน่ะหรือจะช่วยเราจริง”
รำเพยติงเฟื่องฟ้า “นี่ลูกยังไม่เชื่อใจคุณก้องเขาอีกหรือ”
“ถึงฉันอยากเชื่อ สุดท้ายเขาก็เป็นลูกคุณนายงามตาอยู่ดี”
เฟื่องฟ้าคิดหนักเกี่ยวกับเรื่องก้องภพ รำเพยถอนหายใจ
กล่ำพูดออกมาอย่างสิ้นหวัง
“ถ้าหาร่างไต้ก๋งชางไม่เจอต้องแย่แน่ พวกเราทำอะไรไม่ได้เลยหรือ”
หลวงพ่อดำมองทุกคนที่อยู่ตรงนั้น ท่านเงียบไปสักพัก จึงพูดให้ข้อคิดขึ้นว่า
“พวกโยมรู้เรื่องเวรกรรมดีใช่ไม่”
“ทราบเจ้าค่ะหลวงพ่อ” เฟื่องฟ้าบอก
“จงจำไว้ว่า กฏแห่งกรรมไม่เคยบอกเวลา บางครั้งต้องรอเวลาที่เหมาะสมเท่านั้นจึงจะเห็นผล หากโยมอดทนรอ อีกไม่นานนี้ทุกสิ่งจะต้องจบลงด้วยดี”
ทุกคนยกมือไหว้หลวงพ่อดำ เฟื่องฟ้ามีสีหน้าหวั่นใจอยู่นิดๆ
ด้านก้องภพมาคุยอยู่กับนมขามที่เรือนครัว คุณนมฟังสิ่งที่ก้องภพถามแล้วก็ครุ่นคิดหนัก
“สี่สาวเรือนดอกเหมายหรือเจ้าคะ”
“ครับ นมพอจะเล่าให้ฟังได้ไหมครับ ว่าเกิดอะไรขึ้นกับพวกเธอบ้าง”
นมขามนึกไปถึงในอดีต
ตอนงามตาฟ้องไต้ก๋งว่าพิมพ์โขมยของ
“สร้อยที่ไต้ก๋งให้ข้าไว้ ข้าตามหาตั้งแต่คืนวานก็ไม่พบ จึงออกไปหาในสวน แต่กลรู้สึกว่ามีคนตามมาหมายจะปองร้าย ที่แท้ก็เป็นเอ็งกับนังพิมพ์นี่เอง”
รวมทั้งตอนดวงแขมาช่วยนมขามทำงานในเรือนดอกเหมย
“แค่คำพูดจะกล่าวหาสิ่งใดก็ได้เจ้าค่ะ อิฉันเชื่อในความจริง ใครทำสิ่งใดวันหนึ่งก็จะปรากฏความจริงขึ้นมาจนได้”
ในเวลาต่อมาศพจำเรียงถูกแขวนอยู่บนต้นไม้
ก้องภพฟังจากนมขามแล้วก็คิดตาม
“นอกจากน้าอบเชยกับน้าจำเรียง สองคนที่เหลือหายตัวไปเลยหรือครับ”
“เจ้าค่ะ ใครๆ ต่างพูดว่าเป็นเพราะความอิจฉาริษยาของสี่สาว แต่นมไม่คิดเช่นนั้น”
“แล้วนมคิดว่าเพราะอะไรหรือครับ”
“มันแปลกเกินไปที่จะเกิดเรื่องกับสี่สาวติดต่อกันเจ้าค่ะ แล้วอีกอย่าง ภาพของศพนังจำเรียงยังติดตานมอยู่”
ก้องภพสนใจ “ศพน้าจำเรียงเป็นอย่างไรครับ”
นมขามนึกออก จำติดตาว่ามีรอยกรีดที่แขนขาของจำเรียง
“มันมีรอยกรีดตรงแขนขา ไม่เหมือนกับคนฆ่าตัวตาย และยังดูคล้ายกับศพที่เคยเจอหลังวัดก่อนหน้าเจ้าค่ะ”
เหมือนกับศพของนางจัน กับนางเอิบที่รอยกรีดตามแขนขาเหมือนกัน
ก้องภพคิดตาม “แสดงว่าเคยมีเหตุการณ์แบบนี้มาแล้วหรือครับ”
“เจ้าค่ะ คงไม่ใช่เรื่องบังเอิญอย่างแน่นอน”
“ถ้าผมตามหาสี่สาวเรือนดอกเหมยพบ ผมจะรู้ความจริงทั้งหมดใช่ไหมครับ”
นมขามพยักหน้า ก้องภพคิดหนักหน้าเครียดขึ้นมาอีก
ฝ่ายหมอผีอินนั่งรออยู่ตรงในโถงห้องทำพิธีกรรม มีเครื่องรางของขลังวางเรียงรายเต็มไปหมดบรรยากาศเข้มขลัง
ประตูบ้านเปิดเข้ามาเห็นบุหลันเดินขึ้นเรือนมา ด้วยสีหน้าหวาดๆ งามตาตามมาติดๆ
หมอผีอินทักทาย “มาแล้วรึ”
งามตาเดินไปหาพ่อกราดตามองไปรอบๆ
“พ่อเตรียมทุกอย่างแล้วใช่หรือไม่”
หมอผีอินพยักหน้า บุหลันยืนเลิ่กลั่กอยู่ตรงประตูเรือน งามตาดึงแขนบุหลันให้เข้ามาใกล้ๆ
“คุณนาย นี่มันอะไรกันเจ้าคะ” บุหลันยังงไม่หาย
งามตายิ้มให้บุหลัน แต่แววตากลับดูเลือดเย็นจนน่าขนลุก
“สิ่งที่จะทำให้เอ็งสมหวังอย่างไรเล่า”
พูดจบงามตาก็ล็อคตัวบุหลันไว้ บุหลันเบิกตาโพลงด้วยความตกใจ
หมอผีอินหยิบกล่องใบหนึ่งเดินมาตรงหน้าบุหลัน งามตาแสยะยิ้มจับแขนบุหลันยื่นไปข้างหน้า หมอผีอินเปิดกล่องออก บุหลันเห็นสิ่งที่อยู่ข้างในก็กรีดร้องลั่น บึ้งไต่ไปตามแขนบุหลันเพื่อกินเลือด
บุหลันกรีดร้องด้วยความทรมาน งามตาหัวเราะสะใจ
ฝ่าย ก้องภพ กับคฑาเดินไปบริเวณต่างๆ ของสวน ตะโกนเรียกอบเชย
“น้าอบเชย น้าอบเชยครับ”
“คุณอบเชย ได้ยินผมไหมขอรับ คุณอบเชย”
นมขามเดินไล่หลังก้องภพกับคฑามาช่วยเรียกหาอบเชยเช่นกัน
“นังอบเชย เอ็งอยู่ที่ไหน นังอบเชย”
ทั้งสามคนเดินตามหาไปรอบๆ แต่ก็ไม่เจออบเชยเลยกลับมารวมตัวที่หน้ากระท่อมท้ายสวน
“นมครับ ปกติน้าอบเชยจะอยู่ที่นี่จริงหรือครับ”
“จริงเจ้าค่ะ ปกติ ถ้าได้ยินว่าเอาข้าวมาให้ นังอบเชยจะออกมาหาทันที”
“กระผมเดินไปดูท้ายสวนก็ไม่พบเลยขอรับ”
“ฉันหาจนทั่วแล้วเหมือนกัน”
ก้องภพบอก เขาขมวดคิ้วหน้าเครียดเคร่ง
“นอกจากน้าอบเชยแล้ว ไม่มีใครรู้เรื่องของสี่สาวเรือนดอกเหมยอีกหรือขอรับ” คฑาสงสัย
“ฉันยังไม่รู้ แต่ตอนนี้น้าอบเชยเป็นความหวังเดียวที่พอจะถามได้”
“นังอบเชยหายไปแบบนี้ หรือจะเกินเรื่องไม่ดีขึ้นเจ้าคะ”
นมขามถามด้วยสีหน้าหวั่นใจ ก้องภพครุ่นคิด
ที่บ้านแถนตอนกลางคืน บรรยากาศเงียบสงัด ยินเสียงลมพัดหวีดหวิว เฟื่องฟ้านอนอยู่ในห้อง แต่เริ่มกระสับกระส่ายนอนไม่หลับ ลมเริ่มพัดแรงขึ้น เฟื่องฟ้าพลิกตัวไปมา ยินเสียงฝีเท้าคนเดินดังขึ้น
เฟื่องฟ้าลืมตาขึ้น ท่าทีเหมือนกึ่งหลับกึ่งตื่น มองไปที่กระจกในห้องแล้วลุกพรวดขึ้นมา
เงาไต้ก๋งชางสะท้อนอยู่บนกระจกในห้อง มองมาที่เฟื่องฟ้าสีหน้าเศร้าสร้อย
“พ่อ”
วิญญาณไต้ก๋งชางในกระจกดูอ่อนแรงลงมาก
“เฟื่องฟ้า ช่วยพ่อด้วย”
“พ่อจ๋า...เกิดอะไรขึ้น”
“งามตา...งามตา”
“คุณนายงามตาทำอะไรพ่อหรือ”
“มันได้กะโหลกไปแล้ว ช่วยพ่อด้วย...เฟื่องฟ้า...ช่วยด้วย”
ไต้ก๋งชางบอกอย่างอ่อนแรง เฟื่องฟ้าจะลุกขึ้นไปหาไต้ก๋งชาง
“คุณนายเอากะโหลกพ่อไปซ่อนที่ไหน พ่อรู้ไหมจ๊ะ บอกฉันมาเถอะ”
“ช่วยด้วย...มันกำลังจะกำจัดเราทั้งหมด ไม่มีเวลาอีกแล้ว ไม่...”
ลมพัดเข้ามาในห้องวูบใหญ่หน้าต่างปิดอย่างแรง วิญญาณของไต้ก๋งชางเลือนหายไป
“พ่อ...พ่อ...ไม่”
เฟื่องฟ้าสะดุ้งตื่นขึ้นตาเบิกโพลงด้วยความตกใจ เสียงเฟื่องฟ้าทำให้รำเพยรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาด้วย ถามลูกอย่างเป็นห่วง
“เฟื่องฟ้า เป็นอะไรหรือเปล่าลูก ฝันร้ายอีกแล้วหรือ”
เฟื่องฟ้าผวาตัวกอดรำเพย น้ำตาซึม
“แม่ วิญญาณของพ่อมาหาฉัน พ่อกำลังแย่แล้ว”
“เกิดอะไรขึ้น พ่อของลูกมาบอกอะไร”
“ฉันต้องช่วยพ่อให้ได้ เราไม่มีเวลาอีกแล้ว”
เฟื่องฟ้าพูดเสียงสั่น กลัวจับจิต รำเพยลูบหลังปลอบลูก สีหน้ากังวลไม่ต่างกัน
ที่บ้านแถนเช้านั้น กล่ำกับแถนอยู่เฝ้าระวังที่บ้าน ปรึกษากันเรื่องรำเพย
“พี่แถน ฉันเป็นห่วงคุณรำเพยเหลือเกิน กลัวว่าพวกนั้นมันจะกลับมาทำร้ายคุณรรำเพยอีก”
“เอ็งกังวลมากไปกระมัง บ้านเราอยู่ห่างไกลเช่นนี้ ไม่มีใครรู้ที่อยู่ง่ายๆ ดอก”
“แต่คราวก่อนคนร้ายตามมาถึงบ้านคุณรำเพยเลยนะพี่”
“เอ็งนี่เพ้อเจ้อใหญ่แล้วนังกล่ำ อย่างไรคุณรำเพยก็จะปลอดภัย เชื่อข้าสิ”
“ฉันกลัวนี่ เรื่องไต้ก๋งก็ไม่มีอะไรคืบหน้าสักอย่าง ฉันล่ะกลุ้ม เฮ้อ...”
สองคนจะโต้เถียงกันอีก แต่ได้ยินเสียงคนเดินมาที่หน้าบ้าน ตามด้วยเสียงก้องภพดังเข้ามา
“แล้วถ้าผมบอกว่ามีล่ะครับ”
กล่ำกับแถนตกใจนิดๆ หันไปเห็นก้องภพเดินเข้ามาหาแถนกับกล่ำ
“มันต้องมีอะไรเกิดขึ้นกับสี่สาวเรือนดอกเหมยแน่ๆ”
“คุณก้องหมายความว่าอย่างไรขอรับ”
“ผมสงสัยเรื่องพวกเธอ จึงตามไปสืบและผมคิดว่าพวกเธออาจจะถูกฆาตกรรม”
“ฆาตกรรมงั้นหรือ” แถนตกใจ
เสียงเฟื่องฟ้าดังขึ้น “คุณอยากรู้ใช่ไหมว่ามันเกิดอะไรขึ้น” เธอเดินออกมาเผชิญหน้าเขา “ฉันจะอธิบายทุกอย่างให้ฟัง แต่ฉันอยากให้คุณช่วยอะไรฉันสักอย่าง”
“เรื่องอะไรหรือ”
“พาฉันไปโรงต่อเรือที่เรือนลำพระพายที”
ก้องภพมีสีหน้าแปลกใจ
ก้องภพพายเรือมาจอดที่ท่าน้ำเรือนลำพระพาย เฟื่องฟ้ามาด้วยแต่เอาผ้าคลุมปิดหน้าปิดตาไว้ ก้องภพเดินขึ้นก่อน เฟื่องฟ้าจะลุกตาม แต่เรือโคลงจนเธอเซไป ก้องภพประคองไว้ทัน เฟื่องฟ้าเห็นหน้าก้องภพในระยะประชิดก็ถึงกับหน้าแดง รีบผละออก
“ขอบคุณที่ช่วย”
“ไม่เป็นไร รีบไปเถอะ”
ก้องภพจะเดินนำไปที่โรงต่อเรือเก่า เฟื่องฟ้ายืนนิ่งมองก้องภพแล้วก็ถามขึ้น
“ฉันถามอะไรคุณสักหน่อยได้หรือไม่”
ก้องภพแปลกใจ “เธอจะถามอะไรหรือ”
“ฉันสงสัยจริงๆ ว่าทำไมคุณต้องช่วยฉันขนาดนี้”
เฟื่องฟ้ามองจ้องหน้าก้องภพด้วยความเคลือบแคลงใจ แต่ก้องภพกลับตอบมานิ่งๆ
“มีเหตุผลอะไรที่ฉันต้องไม่ช่วยเธอ”
“ฉันไม่รู้ แต่คุณอาจจะเสียใจภายหลังก็ได้ ที่ทำแบบนี้”
เฟื่องฟ้าเบือนหน้าหนีก้องภพแล้วเดินนำไปที่โรงต่อเรือ ก้องภพตามไป
ก้องภพกับเฟื่องฟ้าค่อยๆ เปิดประตูออก เดินเข้าไปด้านใน สภาพโรงต่อเรือที่เห็นถูกรื้อจนเละเทะ ไปหมด เฟื่องฟ้าเห็นก็อึ้งไป เธอเดินเข้าไปด้านใน รู้สึกสังหรณ์โดยประหลาด เข้าไปค้นหาอะไรบางอย่าง ก้องภพเดินตามมา
“เฟื่องฟ้า”
เฟื่องฟ้าไม่สนใจ เดินไปค้นบริเวณท้องเรือที่ซ่อนกะโหลกไว้ แต่พอเปิดดูกล่องนั้นก็ไม่อยู่แล้ว
ก้องภพเดินเข้ามาจะจับไหล่เรียก แต่เฟื่องฟ้าปัดมือเขาออก
“เฟื่องฟ้า เธอ...”
เฟื่องฟ้าสวนขึ้นมา “นี่เหรอที่คุณบอกว่าไว้ใจคุณได้”
“เฟื่องฟ้า เป็นอะไรไป”
ก้องภพเดินไปหาใกล้ๆ แต่เฟื่องฟ้าผลักเขาออก มองก้องภพด้วยสายตาขุ่นเคือง
“ไหนล่ะที่คุณบอกจะช่วยฉัน แล้วดูสิ่งที่มันเกิดขึ้นสิ”
“เธอกำลังพูดถึงอะไร ฉันไม่เข้าใจ”
“สะใจแล้วล่ะสิที่เห็นฉันทำอะไรไม่ได้ สมใจแม่คุณรึยัง”
เฟื่องฟ้าอัดอั้นสับสนจนเริ่มร้องไห้ออกมา ก้องภพจับตัวเธอไว้ พูดปลอบขวัญ
“เฟื่องฟ้าใจเย็นๆ ค่อยๆ อธิบาย ฉันงงไปหมดแล้ว”
“คุณอยากรู้นักใช่ไหมว่าฉันมาที่นี่ทำไม ได้ ฉันจะบอกให้ แล้วคุณจำไว้ว่ากองเงินกองทองที่คุณเสวยสุขอยู่ทุกวันนี้เป็นของพ่อกับแม่ฉัน
ก้องภพชะงัก “พ่อ”
“ใช่ พ่อของฉันคือไต้ก๋งชาง แม่ของฉันคือภรรยาเก่าของไต้ก๋งที่มีสิทธิ์ถูกต้องทุกอย่างในเรือนนี้ ก่อนที่แม่คุณจะเอาทุกอย่างไป”
ก้องภพอึ้งไป “เฟื่องฟ้า”
ก้องภพพูดไม่ออกรู้สึกสับสนกับสิ่งที่ได้รู้ เฟื่องฟ้ากำลังจะพูดต่อ จู่ๆ มีเสียงร้องกรี๊ดของสนดังขัดขึ้น
“อ๊าย...”
ก้องภพกับเฟื่องฟ้ามองหาต้นเสียงทันที
ก้องภพกับเฟื่องฟ้าออกมาจากโรงต่อเรือ เฟื่องฟ้าเอาผ้าพันหน้าไว้ ก้องภพหันไปบอก
“อยู่ตรงนี้ ฉันจะไปดูเอง”
ก้องภพเดินออกไปยืนสังเกตการณ์ริมท่าน้ำ เห็นบ่าวเริ่มมาออกันอยู่เต็มไปหมด
บ่าวหญิงที่จับกลุ่มกันพากันชี้ไปที่ท่าน้ำแล้วทำหน้ากลัวๆ บ้างก็เหมือนสะอิดสะเอียน
ก้องภพเดินเข้าไปดู เห็นนมขามอยู่ด้วยรีบถามทันที
“นมครับ เกิดอะไรขึ้น”
บ่าวรีบแหวกทางให้ก้องภพเดินเข้าไป ก้องภพมองไปที่ริมแม่น้ำแล้วถึงกับผงะ เห็นศพผู้หญิงคนหนึ่งลอยขึ้นอืดอยู่ในน้ำ สนหันมาบอกเสียงสั่น
“อิฉันเดินมาดูที่ท่าน้ำ แล้วก็พบ...”
สนเอามือปิดปากเหมือนจะอาเจียนพูดต่อไม่ไหว
สักครู่หนึ่งบ่าวชายช่วยกันดึงศพขึ้นมาจากน้ำได้ บ่าวหญิงถึงกับแตกฮือถอยไปคนละทาง ก้องภพมองศพด้วยความเวทนา นมขามเพ่งมองจำศพนั้นได้
“นี่มัน...นังอบเชย”
บ่าวส่งเสียงฮือฮาขึ้นมาอีก ก้องภพตกใจ ตั้งสติแล้วเข้าไปดูศพใกล้ๆ เห็นรอยกรีดตามแขนขาเหมือนกับที่นมขามเคยบอกสภาพศพจำเรียงและพิมพ์
“มันแปลกเกินไปที่จะเกิดเรื่องกับสี่สาวติดต่อกันเจ้าค่ะ แล้วอีกอย่าง ภาพของศพนังจำเรียงยังติดตานมอยู่ มันไม่เหมือนกับคนฆ่าตัวตาย”
“ศพน้าจำเรียงเป็นอย่างไรครับ”
“มันมีรอยกรีดตรงแขนขา เหมือนกับศพที่เคยเจอหลังวัดก่อนหน้าเจ้าค่ะ”
ก้องภพดึงความคิดกลับมา นิ่งอึ้งไป รู้สึกไม่ชอบมาพากล หันไปสั่งบ่าวทันที
“ไปตามโปลิศมา เร็ว”
บ่าวคนหนึ่งพยักหน้าแล้วรีบวิ่งออกไป ก้องภพมองหน้านมขาม รู้กันว่าเกิดอันตรายขึ้นเสียแล้ว
ก้องภพกลับมาหาเฟื่องฟ้าที่โรงต่อเรือ เฟื่องฟ้ารู้เรื่องอบเชยก็ถึงกับอึ้งไป
“น้าอบเชย ไม่จริง”
เฟื่องฟ้าหมดแรงแทบร่างร่วงลงกับพื้น ก้องภพประคองไว้ เฟื่องฟ้ามองก้องภพน้ำตาเต็มตาตัดพ้อด้วยความโกรธ
“ไหนคุณบอกว่าช่วยฉันให้ได้ แล้วทำไมถึงเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น”
เฟื่องฟ้าน้ำตาไหลริน เสียใจกับเรื่องอบเชย ก้องภพลำบากใจ
“ฉันพยายามถึงที่สุดแล้ว เฟื่องฟ้า...ฉัน…”
“พอเถอะ เลิกดีแต่พูดสักที”
“จะให้ฉันทำอย่างไร ฉันก็ไม่ได้อยากให้มันเกิดเรื่องแบบนี้”
“แล้วฉันจะต้องรอให้คนที่ฉันรักเป็นอะไรไปอีกอย่างนั้นหรือ”
เฟื่องฟ้าปาดน้ำตา ก้องภพจับบ่าเธอไว้
“ตั้งสติสิเฟื่องฟ้า แทนที่จะกลัว เธอช่วยฉันคิดสิว่าจะทำอย่างไรต่อ”
เฟื่องฟ้าเงียบไป ได้แต่สะอื้น ก้องภพพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“กลับบ้านเธอไปเสีย ดูแลคุณรำเพยให้ดี ทางนี้ฉันจะช่วยเธอเอง”
เฟื่องฟ้าสงสัย “คุณกำลังจะทำอะไร”
“เธอบอกกับฉันใช่ไหมว่าฉันอาจจะเสียใจ แต่ฉันจะทำในสิ่งที่ถูกต้องเท่านั้น เธอรู้ไว้แค่นั้นก็พอ”
ก้องภพสบตาเฟื่องฟ้า ไม่มีความลังเลใจใดๆ เฟื่องฟ้ารู้สึกหวั่นไหวแปลกๆ
ในเวลาต่อมา ก้องภพกลับขึ้นเรือนใหญ่มา งามตานั่งรออยู่ตรงชานพักผ่อน พอเห็นก้องภพก็ทำเป็นเข้าไปคุยด้วยท่าทางร้อนใจ
“พ่อก้อง รู้เรื่องอบเชยแล้วใช่หรือไม่ ตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง”
“คฑาเรียกโปลิศมาดูแล้วครับ ส่วนศพบ่าวในเรือนจะช่วยกันพาไปทำพิธีที่วัด”
งามตาเอามือทาบอก
“นังอบเชยน่าเวทนานัก แม่ไม่คิดเลยว่ามันจะมีจุดจบเช่นนี้”
“ผมก็ไม่คิดเหมือนกัน”
“ทุกสิ่งมันเป็นไปตามเวรกรรมนั่นล่ะ”
ก้องภพลอบสังเกตงามตา พูดเสียงเรียบๆ
“แล้วถ้าหากมันไม่ใช่เพราะเวรกรรมล่ะครับ”
“พ่อก้องพูดถึงอะไร”
ก้องมองงามตานิ่งๆ แล้วยิ้มเหมือนไม่มีอะไร
“เอาเป็นว่า...เรื่องศพน้าอบเชยผมจะจัดการเอง คุณแม่ไม่ต้องห่วงนะครับ ผมขอตัวก่อน”
ก้องภพโค้งให้จะกลับไปห้องตัวเอง ถูกงามตาเรียกไว้
“เดี๋ยวก่อน พ่อก้อง”
ก้องภพหันมาหา “ครับ”
“เย็นนี้พ่อก้องพอจะมีเวลาว่างหรือไม่”
“มีอะไรหรือครับคุณแม่”
“แม่ อยากจะกินข้าวกับพ่อก้องสักหน่อย เราสองคนไม่ได้ร่วมโต๊ะกันสักพักแล้วไม่ใช่หรือ”
“ผมนึกว่าคุณแม่ยังไม่พอใจผมจากเรื่องวันก่อนเสียอีก”
งามตาทำท่าซึมลง เหมือนรู้สึกผิดเสียเต็มประดา
“วันนั้นแม่พูดจารุนแรงกับพ่อก้องไป จึงอยากเลี้ยงอาหารมื้อนี้เป็นการไถ่โทษ แต่ถ้าพ่อก้องไม่สะดวกใจ แม่จะไม่บังคับ”
ก้องภพอ่านท่าทีงามตาแล้วจึงตอบตกลง
“ผมจะรีบจัดการงานให้เรียบร้อยแล้วมาร่วมโต๊ะกับคุณแม่ครับ”
ก้องภพโค้งให้งามตานิดหนึ่งแล้วเดินเลี่ยงออกไป งามตาลอบยิ้มเจ้าเล่ห์
ก้องภพกับคฑาตามหาดวงแขจนเจอ ทั้งคู่พากันมาอยู่ที่บ้านหลังหนึ่ง สภาพเก่าซอมซ่อ เหมือนขาดคนดูแลมานาน
สองหนุ่มนั่งอยู่บนเรือน คุยกับดวงแขที่ยามนี้อยู่ในวัยกลางคนแล้ว ดวงแขมองก้องภพด้วยความเคลือบแคลงสงสัย
“คุณตามหาฉันเพื่อให้เล่าเรื่องที่เกิดในเรือนลำพระพายงั้นหรือ”
“ครับ ผมอยากทราบ ว่าเกิดอะไรขึ้นในอดีตกันแน่”
“เรื่องมันจบไปนานแล้ว ฉันไม่อยากขุดคุ้ยมันขึ้นมาอีก”
ดวงแขตอบเสียงแข็ง ก้องภพพยายามหว่านล้อม
“เรื่องนี้อาจจะยากสำหรับคุณ แต่ผมต้องการพยาน เพื่อจะทำทุกอย่างให้ถูกต้อง”
ดวงแขแค่นหัวเราะออกมาอย่างขมขื่น
“ถูกต้อง ความถูกต้องน่ะขึ้นอยู่กับคนที่มีอำนาจเท่านั้น ฉันจะไม่เอาตัวเองไปเสี่ยงแน่”
“ถึงมันจะทำให้ทุกอย่างเลวร้ายมากขึ้นน่ะหรือครับ”
ดวงแขชะงัก “หมายความว่าอย่างไร”
“ตอนนี้คุณอบเชยเสียชีวิตแล้วครับ และพวกผมคิดว่ามันเกี่ยวกับเรื่องของสี่สาวเรือนดอกเหมยในอดีต” คฑาบอก
ดวงแขฟังแล้วน้ำตารื้นขึ้นมาทันที
“อบเชย...ไม่ ไม่จริง...”
ก้องภพพยายามพูดหว่านล้อมเชิงขอร้อง
“ผมไม่อยากให้เกิดเรื่องเช่นนี้อีกแล้ว ได้โปรดช่วยพวกเราด้วยเถอะครับ”
ดวงแขน้ำตาไหลริน เอามือปิดปากกลั้นเสียงสะอื้น หันไปถามก้องภพ
“ฉันจะ แก้ไขสิ่งผิดให้เป็นถูกได้จริงใช่ไหม”
ก้องภพพยักหน้าให้ ดวงแขทำใจสักพักก่อนจะยอมบอก
“ได้ ฉันจะเล่าให้ฟัง ทุกสิ่งที่เกิดในเรือนดอกเหมย ทั้งเรื่องพิมพ์ จำเรียงหรืออบเชย มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ทุกคนถูกฆ่าเพื่อสังเวยพิธีที่ชื่อเสน่ห์นางครวญ”
ก้องภพกับคฑาอึ้งไปกับความจริงจากปากอดีตหนึ่งในสี่สาวแห่งเรือนดอกเหมยที่เหลือรอดชีวิต
เย็นนั้น ก้องภพออกมาร่วมโต๊ะกินอาหารกับมารดา งามตายิ้มแย้มใจดีมาก
“แม่ดีใจเหลือเกินที่ได้กินข้าวกับลูกอีก”
“เราไม่ได้กินข้าวด้วยกันมาสักพักอย่างที่คุณแม่ว่าจริงๆ นี่ครับ”
“ช่วงหลังเกิดเรื่องในเรือนเรามากมายเหลือเกิน แม่คิดว่าเราสองคนแม่ลูกจะไม่มีวันได้อยู่อย่างสงบสุขเหมือนแต่ก่อนเสียแล้ว”
ก้องภพลอบมองงามตา แววตาเต็มไปด้วยเจ็บปวดเมื่อนึกถึงสิ่งที่ตนได้รู้มา
“ผมอยากให้เหตุการณ์ร้ายๆ เป็นเพียงแค่ฝันไปเหมือนกัน”
งามตาจับมือก้องภพ พูดเสียงอ่อนโยนกับลูกชาย
“แม่พยายามมามากเหลือเกิน กว่าจะมีวันนี้ แม่จะไม่ยอมให้ใครมาพรากสิ่งที่เป็นความสุขของเราไปเด็ดขาด”
ก้องภพจ้องหน้าแม่ งามตายิ้มให้ลูกแต่กลับดูเหมือนแฝงความนัยบางอย่างไว้
บุหลันกับสนช่วยกันยกสำรับเข้ามาตั้งโต๊ะ บุหลันแอบสบตากับงามตาแว่บหนึ่ง งามตาหันไปบอกก้องภพ
“วันนี้แม่ให้คนที่เรือนครัวเตรียมของที่พ่อก้องชอบทั้งนั้น กินให้อร่อยนะลูก”
งามตาตักกับข้าวให้ลูกชายเอง ก้องภพกำลังจะตักกินอาหารบนโต๊ะ บุหลันลอบยิ้มพอใจ
จู่ๆ มีเสียงเอะอะดังมาจากด้านนอกชานเรือน ก้องภพชะงักหันไปดู
งามตาหันไปที่ประตู เห็นคฑาเดินเร็วรี่มาใกล้ รีบรายงานสองแม่ลูกหน้าตาตื่น
“คุณนาย คุณก้องขอรับ โปลิศมาขอพบขอรับ”
งามตาอึ้งไป
งามตา ก้องภพ และคนอื่นๆ ออกมาพบโปลิศที่ขึ้นเรือนมาด้วยกันสองคน งามตาถามเสียงขุ่น
“จะขอค้นเรือนฉันเพราะเรื่องนังอบเชยงั้นรึ”
“ครับ ทางเราตรวจแล้วพบว่าอาจจะเป็นการฆาตกรรม จึงอยากขอค้นที่เกิดเหตุทั้งหมด รวมถึงเรือนนี้ด้วย”
งามตากลัวตำรวจเจอหลักฐาน ทำเป็นบ่นกลบเกลื่อนไป
“แค่คนบ้าตายคนเดียว ต้องทำอะไรให้มันวุ่นวายขนาดนี้ด้วยนะ”
“คดีพวกนี้เป็นคดีสะเทือนขวัญ เราก็ต้องตรวจสอบให้ละเอียดครับ ได้โปรดให้ความร่วมมือด้วย”
“แล้วถ้าฉันไม่...”
ก้องภพรีบแทรกขึ้น “ทางเรายินดีเป็นอย่างยิ่งครับ”
งามตาหันขวับไปทางก้องภพ ชักสีหน้าไม่พอใจใส่ ก้องภพหันมาบอกงามตา
“ถ้าเราบริสุทธิ์ใจ ก็ไม่มีอะไรต้องกลัวนี่ครับ เชิญครับ ทางเราพร้อมให้ความร่วมมือเต็มที่”
ก้องภพเชิญโปลิศขึ้นไปค้นบนเรือนใหญ่เป็นจุดแรก งามตามองตามไม่พอใจ
ที่ห้องงามตา ก้องภพพาโปลิศเข้ามาคนในห้องงามตา งามตาโวยกับก้องภพ
“แม้แต่ห้องส่วนตัวของแม่ก็ต้องค้นงั้นรึ”
“ครับ ต่อให้เป็นห้องส่วนตัวของผม แต่ถ้าทางการขอให้ช่วยก็ต้องทำ”
“ขออนุญาตครับ” โปลิศ1 บอก
โปลิศทั้งสองคนเข้าไปเดินดูบริเวณต่างๆในห้องงามตา
งามตาลอบมองไปที่ไม้กระดานบริเวณที่ซ่อนพร้าไว้ โปลิศเดินผ่านไปโดยไม่ได้สนใจ
งามตาโล่งใจในเบื้องแรก โปลิศเดินดูเปิดตามตู้ ใต้เตียง และส่วนต่างไปเรื่อยๆ จนจะหมดห้อง
“ไม่มีอะไรแล้วใช่หรือไม่”
โปลิศพยักหน้า กำลังจะเดินออก แต่พอถึงบริเวณที่งามตาซ่อนของกลับได้ยินเสียงกุกกักดังขึ้น
“สักครู่นะครับ” โปลิศ2 ว่า
งามตาหน้าถอดสี โปลิศเดินย่ำไปตามพื้นไม้กระดาน แล้วไปหยุดตรงที่ซ่อนของ
โปลิศ2 เหลือบมองงามตา เอามือกดไล่ตามไม้กระดานไปเรื่อยๆ จนไม้กระดานแผนหนึ่งเผยอออก โปลิศ1 เข้าไปช่วยกันงัด งามตาลุ้นใจหายใจคว่ำ สุดท้ายตัดสินใจโวยขึ้น
“นี่คุณจะทำอะไร”
โปลิศงัดไม้กระดานแผ่นนั้นออกมาจนได้ ทุกคนมองเป็นตาเดียวกัน ที่ใต้ไม้กระดานแผ่นนั้นไม่มีอะไรซ่อนอยู่เลย ทำเอางามตาอึ้งไป
“ขอโทษด้วยครับ ผมคิดว่ามีอะไรซ่อนไว้ แต่มันคงเป็นที่เก็บของธรรมดา”
งามตาตกใจมากที่พบว่าใต้ไม้กระดานไม่มีอะไรเลย แต่ต้องทำเป็นไม่รู้เรื่อง
“หมดเรื่องแล้วคุณก็กลับไปได้เสียที”
งามตาพูดกับโปลิศแล้วเดินหนีออกไป ก้องภพลอบมองตาม
ไม่นานต่อมา งามตาและก้องภพออกมาส่งโปลิศที่ชานประตูเรือนใหญ่
“พวกเราไม่พบสิ่งผิดปกติครับ ต้องขออภัยด้วยครับที่มารบกวนเวลานี้”
งามตากึ่งดีใจกึ่งกังวลเพราะพร้าลงอาคมหายไปจากเรือน ทำเป็นยิ้มแย้มพูดกลบเกลื่อนไปว่า
“ช่างมันเถิด ไม่มีอะไรก็ดีแล้ว ฉันไม่ได้ถือสาหาความอะไร”
ก้องภพถามขึ้นว่า
“แล้วทางเจ้าหน้าที่จะค้นในส่วนอื่นอีกไหมครับ ผมจะได้ให้บ่าวนำไป”
“ยินดีครับ รบกวนทางคุณก้องภพด้วย”
ก้องภพพยักหน้าให้ ก่อนจะพยักหน้าบอกคฑาให้พาพวกโปลิศไปตรวจค้น
งามตาลอบมองตามไป ด้วยสีหน้าหวาดระแวง
แม่ลูกกลับมาที่โต๊ะทานอาการ งามตาพยายามสะกดกลั้นความโกรธปนสงสัยที่มีดพร้าหายไป ก้องภพชวนคุย
“ขอโทษด้วยนะครับที่ทำให้วุ่นวาย ผมน่าจะได้กินข้าวกับคุณแม่ตามปกติแท้ๆ”
“แม่ไม่คิดมากหรอกพ่อก้อง ไม่ใช่ครั้งแรกที่เรือนเราเกิดเรื่องเช่นนี้”
“เรือนเราคงเป็นแบบนี้สักพัก แต่อย่างไรผมจะทำให้เรือนเรากลับมาสงบสุขโดยเร็วที่สุด”
งามตากำมือแน่น พยายามอดทนที่จะไม่แสดงอาการใดๆออกไป
“แม่ก็เช่นกัน แม่จะทำทุกอย่างเพื่อให้เรือนเรากลับมาสงบสุข”
งามตามองหน้าก้องภพทำเป็นยิ้มให้ ก้องภพยิ้มตอบ
“กินข้าวกันเถอะครับ ตั้งไว้นานกลัวจะเย็นชืดหมดแล้ว”
งามตานึกได้ หันไปสบตากับบุหลันแว่บหนึ่ง บุหลันลอบมองก้องภพด้วยสิเน่หา
ก้องภพตักกับข้าวทาน งามตายิ้มมุมปากสมใจ ก้องภพเคี้ยวกินจนหมด
ตอนเช้า ก้องภพนอนกระสับกระส่ายอยู่บนเตียงในห้อง ก่อนจะสะดุ้งตื่นขึ้นมา ร้องหาบุหลัน
“บุหลัน”
งามตากับสนเปิดประตูเข้ามาในห้องเห็นพอดี เห็นก้องภพนั่งกุมศีรษะอยู่เหมือนคนปวดหัว งามตารีบเข้าไปดูลูกด้วยความเป็นห่วง
“พ่อก้อง เป็นอย่างไรบ้างลูก”
“นายคฑาบอกอิฉันว่าคุณก้องเป็นเช่นนี้ตั้งแต่เช้าแล้วเจ้าค่ะ ต้มยาให้กินแล้วก็ไม่หาย” สนบอก
งามตาชะงักไป ลอบยิ้มร้าย รีบสั่งสน
“แกไปตามหมอยาไป ฉันเฝ้าพ่อก้องเอง”
สนพยักหน้ารับแล้วเลี่ยงออกจากห้องไป ก้องภพจับตัวงามตาไว้พูดอย่างร้อนรนใจ
“คุณแม่...ช่วยผมด้วย”
“พ่อก้อง เป็นอะไรไปหรือ”
“ผมอยากพบบุหลัน อยากพบเหลือเกิน คุณแม่ช่วยผมได้หรือไม่”
“นังบุหลันหรือ ทำไมถึงอยากพบมันเล่า”
“ผมไม่รู้ ผม...”
ก้องภพเอามือกุมหัวเหมือนเจ็บปวดทรมานแทบขาดใจ
งามยิ้มสมใจคิดว่าเสน่ห์นางครวญได้ผลแล้ว
อ่านต่อ ตอนที่ 21