xs
xsm
sm
md
lg

เสน่ห์นางครวญ ตอนที่ 18

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


เสน่ห์นางครวญ ตอนที่ 18

บทประพันธ์ : หงส์หยก บทโทรทัศน์ : พิชฌสินี

นมขามกลับมาที่ศาลาวัด ช่วยกันเก็บข้าวของกับบ่าว คุณนมหน้านิ่วคิ้วขมวดคาใจเรื่องการตายของไต้ก๋ง จนสนเดินมาเห็นจึงเข้ามาทักถาม

“เสร็จงานที่ศาลานี่จะกลับเรือนเลยไหมเจ้าคะ”
“กลับสิ ข้าไม่ได้อยากอยู่ที่นี่นานนักดอก”
“เฮ้อ กลับไปคราวนี้เรือนเราคงไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว คุณรำเพยจากไป ไต้ก๋งก็มาสิ้นอีก ข้าคิดไม่ออกว่าเรือนเราจะอยู่ต่อไปอย่างไร”
“มันก็คงเป็นไปอย่างที่ควรเป็นกระมัง”
“นั่นสิเจ้าคะ สิ่งใดจะเกิดก็ต้องเกิด โชคดีที่เรามีคุณงามตาอยู่”
นมขามได้ยินชื่องามตาก็ชะงัก ถามสนออกไป
“เอ็งคิดว่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดมันเพราะใครเล่านังสน”
“เพราะพวกโจรร้ายอย่างไรล่ะเจ้าคะ”
“ผิดเสียแล้ว เรือนที่เราอยู่มันไม่สงบ มีแต่อาถรรพ์ชั่วร้ายเต็มเรือนไปหมด ตั้งแต่นังงามตาเข้ามาต่างหาก”
“คุณนมจะโทษว่าทุกอย่างเป็นเพราะคุณงามตาหรือเจ้าคะ”
“ใช่ ทุกสิ่งที่เกิดทั้งเรื่องคุณรำเพย ทั้งไต้ก๋ง ล้วนเกี่ยวกับงามตาทั้งสิ้น”
สนครุ่นคิดครู่หนึ่ง แต่แทนที่จะเชื่อนมขามกลับหัวเราะขำออกมา
“คุณนมนี่คิดมาก ไม่มีอาถรรพ์ดอกเจ้าค่ะ มันเป็นเรื่องบุญวาสนาต่างหาก ยอมรับความจริงเถิดว่าไม่มีสิ่งใดเป็นของคุณรำเพยอีกแล้ว”
นมขามตำหนิเอาว่า “เอ็งพูดเช่นนี้ได้อย่างไร ลืมบุญคุณคุณรำเพยแล้วรึ”
“อิฉันไม่ลืมเจ้าค่ะ แต่คนเราต้องอยู่ต่อไป เลือกทางที่ตัวเองอยู่รอดปลอดภัยเสียยังดีกว่า คุณนมลองกลับไปคิดดูนะเจ้าคะ”
สนตัดบทแล้วเดินออกไปเลย นมขามกำมือแน่น ต้องทนอดกลั้นแม้จะเจ็บใจเพียงใดก็ต้องทน

ท้องฟ้าขมุกขมัวคล้ายจะมีพายุฝนในไม่ช้า ลมกระโชกแรงโหมพัดรุนแรง ต้นไม้ปลิวไหวเอนไปตามแรงลม
ใครบางคนก้าวเดินไปตามทางในสวน ยินเสียงใบไม้ดังสวบสาบเป็นระยะ ลมยังพัดแรงไม่เลิกรา ท้องฟ้ามืดครึ้ม เสียงฝีเท้าหยุดลงที่บริเวณใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง เห็นมือเลอะดินยื่นมาจับที่ต้นไม้นั้น
“นายท่าน”
เป็นอบเชยในสภาพผมเผ้ายุ่งเหยิง สีหน้าหวาดระแวงเหมือนกลัวอยู่ตลอดเวลา มองไปบนท้องฟ้าพูดพึมพำกับตัวเอง
“นายท่าน...นายท่านกำลังจะกลับมา...นายท่าน ฮะ...ฮะๆๆๆ”
อบเชยหัวเราะชอบอกชอบใจ ก่อนจะกลายเป็นหัวเราะอย่างคุ้มคลั่ง
ท้องฟ้าเริ่มปั่นป่วนรุนแรงน่ากลัวขึ้นเรื่อยๆ

งามตาออกมาส่งแขก หลังเสร็จสิ้นพิธีศพ ระหว่างนี้มีใครคนหนึ่งยืนมองมาที่งามตาก่อนจะเดินตรงเข้าไปหา งามตาไหว้ส่งแขก จนเห็นใครคนนั้นมาหยุดอยู่ตรงหน้าก็ชะงัก ปรากฏว่าเป็นหมอผีอินนั่นเอง
“พ่อมาที่นี่ได้อย่างไร”
“ลูกเขยข้าตายทั้งคน จะไม่ให้มาร่วมงานหน่อยรึ”
งามตาเดินเข้าไปหาพ่อ พูดเสียงกระซิบ
“ฉันนึกว่าพ่อจะออกไปหาของแถวชายแดนเสียอีก”
“หาของน่ะข้าไปแน่...แต่โอกาสมาถึงเช่นนี้ก็ต้องมาพบลูกสาวข้าเสียหน่อย”
“พ่อต้องการสิ่งใด”
หมอผีอินหัวเราะหึๆ
“เอ็งลืมแล้วหรือ ว่าผู้ใดช่วยเอ็งจนมาชูคอเป็นคุณนายอยู่ทุกวันนี้ได้ เอ็งคงจะไม่ลืมบุญคุณพ่อบังเกิดเกล้าหรอกกระมัง”
งามตาชะงัก หมอผีอินเดินเข้ามาใกล้อีก ยิ้มแสยะ
“ฉันไม่มีวันลืมดอกพ่อ พ่อต้องการสิ่งใด”
“แค่อัฐกับสมบัติไอ้พวกเรือนลำพระพายเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น”
งามตาทำหน้าเบื่อหน่าย ประชดประชันในที
“ฉันให้คนในเรือนนำมันไปให้ มากเท่าที่พ่อต้องการ พอใจหรือไม่”
หมอผีอินหัวเราะชอบใจ งามตามองเซ็งๆ

ตกตอนเย็น หลังเสร็จงานศพไต้ก๋งชาง งามตาขึ้นมาบนเรือนใหญ่อันใหญ่โตและสวยงาม เดินสำรวจไปทีละห้องๆ อย่างตื่นตาและพึงพอใจ หญิงชั่วจิตใจอำมหิตเดินมาหยุดตรงหน้าตู้ไม้โบราณ เห็นโถเบญจรงค์ และถ้วยชามงดงามมีราคา ก็ยื่งตื่นเต้นเมื่อคิดว่าจะได้เป็นเจ้าของมัน
ลูกสาวหมอผีเปิดตู้อีกใบหยิบหีบเงินหีบทอง ข้างในบรรจุเครื่องเพชรวิจิตรงดงามของรำเพยออกมาดู แล้วสวมให้ตัวเองทั้งข้อมือและคอระหง มองตัวเองในกระจกอย่างปลาบปลื้มชื่นชม
“อีงามตาเอ๋ย...ไม่นึกไม่ฝันเลยว่า วาสนาของเอ็งมันจะสูงส่งถึงเพียงนี้”
งามตาลูบไล้เพชรทองที่เอามาประดับตามตัว ยิ้มกระหยิ่ม
“ในที่สุดทุกอย่างก็เป็นของข้าแต่เพียงผู้เดียว”
งามตาหยิบข้าวของมีราคาขึ้นมาดู หัวเราะอย่างชอบใจที่ได้เสวยสุขบนกองเงินกองทอง
แต่จู่ๆ ก็มีคนมาเคาะเรียก งามตาลุกออกไปเปิดประตูดู แต่ก็ไม่เห็นใคร
งามตากลับเข้าห้องด้วยความหงุดหงิดใจ มีเสียงเคาะดังขึ้นอีก งามตามัวแต่มองข้าวของจึงไม่สนใจ จนหน้าต่างห้องที่เปิดอยู่ปิดเข้ามาดังปัง!
งามตาชะงักเหลียวมองไป จู่ๆ หน้าต่างก็เปิดออกอีกราวกับมีคนดึงอย่างแรง แล้ว เปิด ปิด ดังปึงปังเหมือนมีคนแกล้ง แถมประตูห้องก็ปิดกระแทกซ้ำๆ รัวและเร็วจนขวัญกระเจิง
งามตาลนลานจนเซถลาล้มลงกับพื้น กระเถิบตัวหนีไปจนหลังติดกับเตียง กวาดสายตามองไปรอบๆ หวาดกลัวสุดจะประมาณ น้ำเสียงเต็มไปด้วยความเคียดแค้นของไต้ก๋งชางดังขึ้น
“งามตา กูจะฆ่ามึง”
พลันผีไต้ก๋งชางปรากฏขึ้นตรงหน้า เดินเข้ามาหางามตาอย่างอาฆาตแค้น งามตากรีดร้องดังลั่น
“อย่า...อย่าทำอะไรข้า”
ประตูห้องถูกเปิดเข้ามา งามตาหลับตาปี๋กรี๊ดสุดเสียง
“งามตา ข้าเอง”
งามตาชะงัก ค่อยๆลืมตาขึ้นมอง ปรากฏว่าเป็นก้อนนั่นเอง

งามตาพาก้อนเข้ามาในห้อง รีบปิดประตูลงกลอนเพราะกลัวมีคนมาเห็น
“พี่มาที่นี่ทำไม”
“เมื่อครู่เกิดสิ่งใดขึ้น ข้าได้ยินเอ็งร้องเสียลั่นเรือน”
งามตากลัวๆ “พี่ไม่ต้องสนใจ บอกมาเสียทีว่ามาที่นี่ทำไม”
“ข้าก็มาหาเอ็งอย่างไรเล่า”
“บุกมาถึงเรือนเช่นนี้ ถ้ามีผู้ใดเห็นเข้าจะทำอย่างไร”
งามตาต่อว่า แต่ก้อนทำไม่รู้ไม่ชี้ โอบงามตาไว้
“ช่างไอ้อีพวกนั้นมันสิ ตอนนี้ทุกอย่างเป็นของเอ็งแล้ว เอ็งจะทำอย่างไรก็ได้ มันถึงเวลาที่ข้าจะทวงสัญญาจากเอ็งเสียที”
“สัญญาอะไร”
“สัญญาที่ข้ากับเอ็งจะได้อยู่ด้วยกันอย่างสุขสบายอย่างไรเล่า”
ก้อนเชยคางงามตาขึ้นมามองด้วยแววตาลึกซึ้ง งามตาอึกอัก
“ที่แท้เรื่องนี้เอง”
“ใช่ เหตุใดเอ็งดูลำบากใจนัก หรือจะหักหลังข้าอีก”
“เปล่า ฉันไม่ได้จะหักหลังพี่ แต่ฉันไปคิดดูแล้ว มันไม่สมควรนัก”
ก้อนเริ่มชักสีหน้า ไม่พอใจ
“อะไรกัน เอ็งจะมาอิดออดเรื่องใดอีก เอ็งบอกให้รอข้าก็รอ บอกให้ทำสิ่งใดข้าก็ทำแล้วเอ็งยังจะต้องการสิ่งใดอีก”
งามตารีบแก้ตัว
“พี่อย่าลืมสิว่าฉันมีลูก แถมผัวก็เพิ่งตายไม่นานถ้าหากฉันให้พี่ขึ้นมาเป็นใหญ่ คนจะครหาเอาได้”
“ช่างมันสิวะ ใครพูดว่าร้ายเอ็ง ข้าจะลงโทษมันให้หมด”
“ไม่ได้นะพี่ จะให้ใครสงสัยไม่ได้ ฉันไม่อยากเสียทุกอย่างที่พยายามทำมา พี่เข้าใจฉันหน่อย”
ก้อนมองงามตา ทั้งน้อยใจ เสียใจ
“แล้วเอ็งจะให้ข้าอยู่เรือนนี้ในฐานะใด”
“ฉันจะให้พี่เป็นหัวหน้าบ่าว มีอำนาจในเรือนนี้ทุกอย่างรองจากฉัน ฉันจะให้พี่อยู่อย่างสุขสบายที่สุด”
“ข้าจะมีสิทธิ์เจอหน้าลูกข้าหรือไม่”
“อย่างไรพี่ก็ต้องทำงานใกล้กับฉัน พี่มาเจอลูกได้บ่อยเท่าที่ต้องการ ขอแค่อย่าบอกความจริงว่าก้องภพเป็นลูกของพี่ ฉันขอเท่านี้ได้ไหม”
งามตาพูดขอร้องเสียงหวาน จนก้อนใจอ่อน งามตากอดก้อนยิ้มสมใจ

เช้าวันนี้ นมขามเห็นงามตามาถึงเรือนครัวก็แปลกใจ
“ให้เตรียมกับสำรับเพื่อถวายพระหรือเจ้าคะ”
“ใช่ คืนวานฉันนอนไม่หลับ เห็นคุณพี่มาหลอกหลอนทั้งคืน จึงอยากทำบุญเสียหน่อย”
นมขามขมวดคิ้วแปลกใจ
“ไต้ก๋งน่ะหรือเจ้าคะ มาหลอกคุณงามตา”
บ่าวในครัวได้ยินก็พากันหันมามองอย่างสนใจ ยักย้ายตูดเข้าใกล้กันซุบซิบๆ ตามประสา
งามตามองฉงน “มีอะไรงั้นรึ”
“ไม่มีอะไรดอกเจ้าค่ะ พวกบ่าวมันคงแปลกใจ”
“แปลกใจว่าอย่างไร”
“คุณงามตาเคยบอกกับทุกคนว่าไต้ก๋งนั้นรักคุณนักหนา แล้วเหตุใดคนรักกัน จึงต้องออกมาหลอกหลอนกันให้ขวัญกระเจิงด้วยล่ะเจ้าคะ”
งามตาสะอึกอึ้งไปนิดๆ รีบแก้ตัว
“คุณพี่ รักฉันมากน่ะสิ จึงอยากพาฉันไปอยู่ด้วย วิญญาณตายโหงก็เป็นเช่นนี้”
เห็นบ่าวพากันซุบซิบไม่เลิก งามตาชักหงุดหงิดมากขึ้น
“ทำตามที่ข้าบอกเสีย เร็วๆ เข้าล่ะ”
งามตาเดินสะบัดออกไปเลย นมขามมองตามด้วยความเคลือบแคลงสงสัย

งามตามาทำบุญที่วัดลำพระพาย มีสนมาด้วย ถวายสังฆทานพระอยู่บนกุฏิหลวงพ่อดำ พอเสร็จเรียบร้อยก็กรวดน้ำ
“น้องขออุทิศส่วนกุศลนี้ให้คุณพี่นะเจ้าคะ”
ขณะกรวดน้ำอยู่นั้น ท้องฟ้าด้านนอกมืดครึ้มขึ้นมาอย่างจงใจ ลมแรงพัดมากระแทกใส่งามตาอย่างรุนแรง ที่กรวดน้ำหล่นจากมือร่วงลงกับพื้นเหมือนถูกแกล้ง
“ว้าย”
งามตาผงะ ตกใจ หลวงพ่อดำมองไปยังด้านนอกด้วยอาการสงบนิ่ง สนกลัว ยกมือไหว้ท่วมหัว
“ไปที่ชอบๆ เถิดเจ้าค่ะ บ่าวจะทำบุญไปให้”
งามตาพยายามข่มความกลัว หยิบที่กรวดน้ำขึ้นมาใหม่อีกครั้ง พลันสายตาเหลือบไปเห็นบางอย่างที่ด้านนอก ที่กรวดน้ำในมือก็ร่วงลงอีกครั้ง
ที่ใต้ร่มไม้นอกกุฏิ เห็นไต้ก๋งชางในชุดชาวจีน ยืนจดสายตามองเข้ามายังงามตา
“ว้ายยย”
งามตากรีดร้องลั่นกุฏิ หลับหูหลับตาเอามือปิดหน้าอยู่อย่างนั้น
หลวงพ่อดำมองตาม ก่อนจะหลับตาตั้งสมาธิ ท้องฟ้าเหนือกุฏิเริ่มมืดครึ้มหนักขึ้น
“อย่าก่อกรรมทำเข็ญอีกเลยโยม ปล่อยให้เป็นไปตามกฏแห่งกรรมเถิด”
งามตาเอามือปิดหูหลับตาด้วยความกลัว
สิ้นคำของหลวงพ่อดำ บรรยากาศที่มืดครึ้มเริ่มคลี่คลายขึ้น
งามตาค่อยๆ ลืมตาขึ้น เหลียวมองไปยังจุดเดิม แต่ไม่เห็นไต้ก๋งชางแล้ว นมขามอดถามขึ้นไม่ได้
“เมื่อครู่เกิดสิ่งใดขึ้นหรือเจ้าคะหลวงพ่อ”
“ไม่มีสิ่งใดดอกโยม” หลวงพ่อบอกพลางหันไปทางงามตา “โยมงามตา”
“เจ้าค่ะหลวงพ่อ”
“สิ่งที่เกิดในอดีตนั้นจบสิ้นไปแล้ว หลังจากนี้ โยมเพียรสร้างแต่กรรมดีเถิด แล้วสิ่งที่ติดค้างอยู่ จะหมดสิ้นไปเอง”
งามตาพยักหน้ารับเอาคำสอนนั้น แต่ในใจยังหวาดหวั่นไม่หาย

เช้าวันใหม่ งามตาเรียกบ่าวทุกคนมารวมที่หน้าเรือนใหญ่ ประกาศกร้าวเรื่องกฎระเบียบให้รู้ทั่วกัน
“สิ้นไต้ก๋งไปแล้วพวกเอ็งคงรู้ว่าเรือนนี้จะขาดผู้นำไม่ได้”
พวกบ่าวก้มหน้ารับฟังสิ่งที่งามตาพูด เห็นก้อนเดินออกมาข้างหน้าอย่างรู้กันกับงามตา
“ข้าจะขอตั้งนายก้อนขึ้นเป็นหัวหน้าบ่าว เพื่อตอบแทนความดีความชอบที่ช่วยเหลือข้าไว้ พวกเอ็งจะต้องเชื่อฟังทุกอย่างที่นายก้อนสั่ง”
งามตาไล่สายตามองบ่าวที่ยืนเงียบ ไม่มีใครกล้าออกความเห็นก็ยิ่งพอใจ
“ต่อแต่นี้ไปให้ทุกคนเรียกข้าเสียใหม่ว่าคุณงามตา ข้าจะเป็นผู้ออกคำสั่งและตัดสินใจทุกเรื่องแทนไต้ก๋ง โดยมีอำนาจสิทธิ์ขาดในเรือนแต่เพียงผู้เดียว”
งามตายิ้มย่อง ผยองในอำนาจที่ตัวเองได้รับ
นมขามยืนคุมแค้นเจ็บใจที่สุดท้ายงามตาก็กลายมาเป็นเจ้าของเรือนจนได้

คืนนั้น บรรยากาศมืดสนิทดูน่ากลัว ก้อนหลับอยู่บนเรือน มีลมพัดเข้ามาทางช่องหน้าต่างไม่ขาดระยะ ทว่าก้อนกลับรู้สึกร้อนรุ่ม นอนไม่สบายตัว จนต้องลุกขึ้นมา
“เหตุใดมันร้อนเยี่ยงนี้วะ”
ก้อนหงุดหงิดลุกเดินไปที่หน้าต่าง ชะโงกหน้าออกไปดูทิศทางลม
แล้วกลับไปนอนต่อ พยายามให้หลับ แต่ทำอย่างไรก็ไม่ดีขึ้นเลยลุกขึ้นมาจะออกไปข้างนอก
ในขณะที่กำลังจะเปิดประตู เสียงสุนัขก็เห่าหอนดังรับกันเป็นทอดๆ ก้อนถอยกลับเข้ามาในห้อง กลอกตาไปมารอบทิศด้วยความหวาดระแวง
“ไม่มีสิ่งใดหรอกกระมัง ข้าคิดไปเอง”
ก้อนพยายามปลอบใจตัวเอง รีบเดินไปปิดหน้าต่างจนมิดชิดแล้วกลับมานั่งในห้อง
สักพักมีเสียงเหมือนน้ำหยดลงจากหลังคากระทบพื้นดังขึ้น เสียงนั้นดังไม่หยุด ก้อนเดินไปแง้มหน้าต่างดูก็ไม่เห็นอะไรผิดปกติ ขณะเดินกลับไปยังที่นอนก็ต้องชะงัก เมื่อมีน้ำหยดหนึ่งหยดลงมาที่หน้า
ก้อนรู้สึกแปลกๆ ใช้มือแตะหยดน้ำแล้วเอาลงมาดู ที่มือก้อนเป็นหยดเลือดสีแดงปนน้ำเหลืองน่าขยะแขยง มันต้องร้องเสียงหลง กระโจนหนีไปมุมห้อง
เสียงน้ำหยดลงมาอีก ก้อนกลัวจับใจถอยไปจนหลังติดผนัง รับรู้ถึงของเหลวเหนอะๆ ที่เลอะเต็มพื้น
พอก้มมองก็เห็นเป็นเลือดปนน้ำเหลืองนองเต็มไปหมด ก้อนตาเหลือก เสียงหัวเราะหึๆ ชวนขนลุกดังขึ้น
ก้อนค่อยๆ หันไปมองทางเสียง เห็นใครคนหนึ่งมายืนอยู่ พอเงยหน้าขึ้นมองก็เห็นผีไต้ก๋งชางในชุดจีนสีมอซอ ลำตัวมีแผลที่ถูกแทงเต็มไปด้วยเลือด
“ต...ไต้ก๋ง”
“ไอ้ก้อน มึงต้องตาย”
ไต้ก๋งชางพุ่งเข้ามาบีบคอก้อนหมับ ก้อนพยายามดิ้นหนี ไต้ก๋งมองจ้องก้อนด้วยความอาฆาตแค้นหมายจะเอาชีวิต
ก้อนเริ่มหายใจไม่ออก ตาเบิกโพลงเกือบจะขาดใจตายอยู่รอมร่อ มือควานเปะปะหาของใกล้ตัว จนมือสัมผัสไปโดนบางอย่าง ก้อนรีบหยิบออกมาชูใส่วิญญาณไต้ก๋ง เกิดแสงสว่างวาบขึ้น พร้อมๆ กับเสียงร้องอันเจ็บปวดทรมานของวิญญาณแค้น ก่อนที่ร่างจะหายวับไป
ก้อนจับจอตัวเอง ยืนหอบหายใจมองในมือเห็นพระที่ตัวเองซ่อนไว้ พลันฉุกคิดได้ นึกเป็นห่วงชู้รัก
“งามตา...อีงามตา”
ก้อนรีบเผ่นลงเรือนไปทันควัน

ฝ่ายงามตาอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยเตรียมเข้านอน บรรยากาศข้างนอกเป็นปกติ ในขณะที่กำลังจะหลับมิหลับแหล่ เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น
งามตาหงุดหงิดว่าใครมาเรียกเอาป่านนี้ คิดว่าเป็นพวกบ่าวจึงลุกไปเปิดดู แต่กลับไม่มีใคร
งามตาคิดว่าเป็นก้อนมาหาอีกจึงร้องเรียกเบาๆ
“พี่ก้อน”
ไม่มีเสียงตอบกลับมา งามตาหงุดหงิดรำคาญ
“พี่ก้อนใช่หรือไม่ ออกมาเถิด ข้าไม่เสียเวลาล้อเล่นเหมือนคราวก่อนดอกนะ”
ไม่มีคนตอบอีก งามตาหงุดหงิดเดินออกห้องไปเอาเรื่อง แต่เดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็มีเสียงคนเดินมาหยุดที่ด้านหลัง
งามตาคิดว่าเป็นก้อน หันไปหาโดยเร็ว แต่กลับเป็นใครบางคนยืนหันหลังให้
ร่างนั้นยืนนิ่งไม่แสดงกิริยาใดๆ งามตาเดินเข้าไปถามอย่างเอาเรื่อง
“แกเป็นใคร ทำไมขึ้นมาที่เรือนนี้ได้”
ร่างนั้นไม่ตอบอีก งามตาชักไม่พอใจ
“ถ้าไม่ตอบข้าจะตะโกนเรียกบ่าวให้มาลากตัวแกไปเดี๋ยวนี้นะ”
ด้วยความโมโหงามตาเข้าไปกระชากตัวใครคนนั้นให้หันมาหา แต่ต้องตะลึงตะไล
“คุณพี่”
เป็นไต้ก๋งชางมองจ้องงามตานิ่งๆ ไม่พูดอะไรเลยสักคำ
“คุณพี่...ทำไม่คุณพี่ถึง...”
“งามตา”
ไต้ก๋งชางเดินเข้ามาหา เรียกหางามตาน้ำเสียงเย็นยะเยือกน่ากลัว งามตาผงะถอยหนีด้วยความหวาดกลัว
“คุณพี่มาได้อย่างไร คุณพี่ตายไปแล้วไม่ใช่หรือ”
“ข้าคิดถึงเอ็งเหลือเกินงามตา...”
งามตาถอยหนี แต่ไต้ก๋งชางก้าวพรวดเดียวก็ถึงตัว คว้าร่างงามตาไว้ได้ งามตากลัวจับจิต
“เราอยู่ด้วยกันไม่ได้ คุณพี่ตายไปแล้ว”
“ข้าอยากอยู่กับเอ็ง...ข้าลืมเอ็งไม่ได้...”
งามตาพยายามดึงมือออกแต่ไต้ก๋งชางจับแน่นมากขึ้น
“คุณพี่ ปล่อยน้อง ปล่อย”
“ข้าลืมไม่ได้...ข้าลืมคนที่ฆ่าข้าอย่างเลือดเย็นไม่ได้”
พลันน้ำเสียงไต้ก๋งชางก็เปลี่ยนเป็นแข็งกร้าวดุดัน เลือดค่อยๆ ไหลลงจากลำคอเหมือนวันที่ถูกฆ่าตาย ไต้ก๋งชางหัวเราะน้ำเสียงโหยหวน
งามตาร้องกรี๊ดๆๆ สะบัดไต้ก๋งชางออกเต็มแรงแล้ววิ่งหนีลงเรือนไป

ในสวนตอนกลางคืน รอบข้างมืดสนิทดูน่ากลัว งามตาวิ่งหนีออกมาในสวนด้วยความตื่นตระหนก ลมเริ่มพัดแรงขึ้นเรื่อยๆ เสียงหัวเราะโหยหวนของไต้ก๋งชางดังไล่หลังมาไม่หยุด
“อีงามตา มึงฆ่ากู มึงต้องตาย”
งามตาวิ่งลนลานยกสองมือปิดหูไม่อยากได้ยินเสียง ปากตะโกนร้องให้คนช่วยตลอดทาง
“ช่วยด้วย ใครก็ได้ช่วยข้าที”
งามตาวิ่งหนี แต่วิ่งไปได้ไม่ไกลก็สะดุดล้มลงบริเวณริมบึงน้ำ งามตาพยายามดันตัวเองขึ้นมา ยินเสียงสวบสาบดังขึ้นตรงหน้า งามตาเงยหน้าขึ้นมองเห็นใครบางคนยืนอยู่ พอมองชัดๆ เห็นเป็นวิญญาณไต้ก๋งชางยืนมองตาขวางอยู่ งามตาร้องกรี๊ด ยกมือไหว้ขอชีวิต
“อย่าทำอะไรข้าเลย ข้าผิดไปแล้ว”
วิญญาณไต้ก๋งยิ่งโกรธแค้นพุ่งเข้ามาบีบคองามตา และบีบแน่นขึ้นๆ หมายจะเอาชีวิต
“อีหญิงชั่ว วันนี้คือวันตายของมึง”
ไต้ก๋งชางผลักร่างงามตาตกน้ำไป
งามตาตะเกียกตะกายขึ้นมาจากน้ำ แต่ก็เหมือนมีบางอย่างฉุดให้จมลงไปทุกครั้ง
เสียงหัวเราะสะใจของไต้ก๋งชางดังลั่นไปทั่วบริเวณ งามตาพยายามตะกายขึ้นมาจนใกล้จะหมดแรง ทันใดนั้นเองก็มีใครคนหนึ่งดึงร่างงามตาขึ้นไปจนได้

งามตาค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา เห็นทุกอย่างตรงหน้าเบลอๆ ไปหมด และเห็นเงาดำของผู้ชายคนหนึ่ง งามตาตกใจคิดว่าวิญญาณไต้ก๋งมาเอาชีวิต ก็ลุกพรวดขึ้นร้องโวยวาย
“อย่าทำอะไรข้า ข้าไม่ได้ตั้งใจ ข้าไม่ได้ตั้งใจ”
ใครคนนั้นจับตัวงามตาไม่ให้ดิ้นหนี งามตากรีดร้องฟังไม่ได้ศัพท์จนก้อนทนไม่ไหวพูดขึ้น
“ใจเย็น ตั้งสติก่อน นี่ข้าเอง”
งามตาชะงัก นิ่งลงทันตา หันไปมองเห็นเป็นก้อนก็ดีใจ
“พี่ก้อน...ช่วยฉันด้วย ไอ้ไต้ก๋งมันจะฆ่าฉัน”
งามตาโผเข้ากอดก้อนตัวสั่นด้วยความกลัว
“ข้ารู้แล้ว ข้าเองก็เจอวิญญาณมันเช่นกัน”
“มันตามไปหลอกพี่ด้วยงั้นรึ”
“ใช่ โชคดีข้ามีพระสวมติดตัวมันจึงทำอะไรไม่ได้ ไม่คิดว่ามันจะเล่นงานเอ็งกะเอาเอาชีวิตเช่นนี้ ผีไอ้ไต้ก๋งมันร้ายนัก”
“พี่ต้องช่วยฉันนะ มันคงแค้นฉันมากที่ฉันไปฆ่ามัน”
“เห็นทีจะปล่อยมันเอาไว้ไม่ได้เสียแล้ว”
“ฉันจะทำอย่างไรดี พี่ก้อน ฉันกลัวมันฆ่าฉัน ฉันกลัว...”
งามตากลัวจับหัวใจ

งามตาบุกมาหาหมอผีอินถึงที่บ้าน เล่าเรื่องที่เจอฤทธิ์ผีไต้ก๋งให้จอมอาคมฟังหน้าตาตื่น
“พ่อต้องช่วยฉันนะ ผีไอ้ไต้ก๋งมันหลอกหลอนฉันจนอยู่แทบไม่ได้ ฉันไม่รู้จะทำอย่างไรแล้ว”
“วิญญาณมันแรง เพราะเสน่ห์นางครวญที่อยู่ในร่างมัน ยังไม่ได้ถูกถอนออกจากตัว พอกลายเป็นผีพลังจึงแก่กล้า” หมอผีอินประเมินสถานการณ์
“แล้วจะทำเช่นไร ข้าไม่ทนอยู่ให้มันมาหักคอข้าสักวันดอกนะ”
“ยังพอมีทาง เอ็งไม่ต้องกลัวไปดอก”
“พ่อจะทำอย่างไร ถ้ากำจัดไอ้ผีร้ายได้ ฉันยอมทุกอย่าง”
หมอผีอินทำสีหน้าครุ่นคิด งามตาเครียด
“เอ็งต้องไปขุดศพขึ้นมาใหม่ แล้วทำพิธีสะกดวิญญาณเสีย”
“พิธีสะกดวิญญาณอย่างนั้นหรือ”
“ใช่ ต้องแยกร่างของมันออกจากกัน หัวให้เอาผ้ายันต์ปิดทับแล้วนำไปฝังไว้ไต้บันไดเรือน ส่วนตัวของมันก็ให้เผา แล้วนำกระดูกไปฝังแยกไว้คนละที่ แต่ต้องไม่ให้ใครรู้เด็ดขาด”
“เรื่องนั้นพ่อไม่ต้องห่วงข้าจะจัดการเอง แค่นี้ใช่รึไม่”
หมอผีอินยังนิ่ง ก่อนจะบอกงามตาว่า
“เอ็งจะต้องเร่งทำพิธีโดยเร็วที่สุด ภายในคืนวันเพ็ญนี้”
“เพ็ญที่จะถึงนี้เมื่อใดกันเล่า”
“คืนนี้”
งามตาตกใจ “คืนนี้เลยรึ”
“เราไม่มีเวลามาก ปล่อยไว้วิญญาณมันจะยิ่งแรงกล้า ข้าจะเตรียมพิธีเอง เอ็งไปเอาพร้าที่ใช้ฆ่ามันวันนั้นมาให้ข้า ข้าจำเป็นต้องใช้มัน”
งามตาเครียดขึ้นมาอีก สีหน้าหวาดหวั่นมาก

ป่าช้าวัดลำพระพายคืนพระจันทร์เต็มดวง บรรยากาศเงียบสงัดวังเวง งามตากับก้อนมาพบหมอผีอินตามที่นัดหมายกันไว้
“ตามข้ามาเร็วเข้า ไม่มีเวลามากแล้ว”
หมอผีอินสาวเท้าเดินเร็วรี่เข้าไปในป่าช้า งามตากับก้อนตามไป
เลยต้นไม้สูงใหญ่หลายต้นไป เสียงฝีเท้าของทั้งสามคนดังสวบสาบไปตามพื้น
จนกระทั่งมาถึงบริเวณสุสานของไต้ก๋งชาง หมอผีอินพยักพเยิดให้ก้อนออกไป
ก้อนหยิบจอบเสียมที่ตัวเองเตรียมมา แล้วเริ่มขุดดินบริเวณหลุมศพในสุสาน งามตามองดูด้วยสีหน้าหวาดหวั่น
หมอผีอินพนมมือร่ายมนต์ปขมุบขมิบเบิกทาง สายลมพัดรุนแรงอื้ออึง ประสมกับเสียงหมาเห่าหอนรับกันเป็นทอดๆ แว่วมา ทำให้บรรยากาศยิ่งน่ากลัว

เวลาผ่านไปอีกสักระยะหนึ่ง ก้อนขุดหลุมฝังศพไต้ก๋งชางจนเห็นฝาโลง งัดฝาโลงนั้นเปิดออก เห็นร่างไต้ก๋งชางนอนอยู่ในนั้น มือสองข้างถูกมัดตราสังข์อยู่ในท่าพนมไหว้ กลิ่นฉุนและเหม็นคละคลุ้งติดจมูก ก้อนและงามตาถึงกับต้องเอามือปิดจมูก หมอผีอินจัดการล้อมวงสายสิญจน์ เตรียมทำพิธีสะกดวิญญาณ
งามตากับก้อนมองด้วยความกลัว สายสมเริ่มพัดแรง ทันใดนั้นเสียงหัวเราะอันน่าสยดสยองก็ดังขึ้น
“ฮ่าๆๆ พวกมึงต้องตาย”
ร่างไต้ก๋งชางในชุดชายชาวจีน ยืนถมึงทึงอยู่ใต้ต้นไทรใหญ่ใกล้กัน
ผีไต้ก๋งชางยื่นมือมาทางก้อนจะบีบที่คอ แต่พอสัมผัสถูกร่าง ก็ร้อนรุ่มเหมือนจะมอดไหม้อยู่ตรงนั้น
“อ๊าก....”
หมอผีอินลุกขึ้นจากที่นั่งบริกรรมคาถา หัวเราะดังๆ อย่างผู้มีชัย
“วันนี้จะเป็นวันสุดท้ายที่วิญญาณของมึงจะทำร้ายผู้อื่นได้ ฮ่าๆๆๆ”
“คนระยำอย่างพวกมึง กูไม่เอาไว้แน่”
ผีไต้ก๋งชางจ้องมองมาอย่างอาฆาต
หมอผีอินพึมพำคาถาอยู่สองสามบท พลันมองเห็นกลุ่มควันสีขาวลอยคลุ้งเข้ามากลายร่างเป็นวิญญาณผีพรายที่หมอผีอินเลี้ยงเอาไว้ ประกายตาแดงก่ำน่ากลัว
วิญญาณไต้ก๋งมองอย่างเคียดแค้น พุ่งเข้าไปหมายจะทำร้ายพวกหมอผีอินให้ได้ งามตากรีดร้องด้วยความกลัว แต่วิญญาณผีพรายของหมอผีอินต้านไต้ก๋งชางไว้ได้ หมอผีอินยังทำพิธีต่อใช้พร้าที่งามตาเตรียมมา ฟันฉับไปบนคอไต้ก๋งชาง ผีไต้ก๋งร้องโหยหวนด้วยความทรมาน
“อ๊าก.....”
หมอผีอินได้จังหวะ จะฟันที่กะโหลกซ้ำอีก แต่วิญญาณของไต้ก๋งพุ่งเข้ามาบีบคอหมอผีชั่วได้ก่อน หมอผีอินจะสู้ แต่สู้ไม่ได้ จนต้องปล่อยมีดพร้าลงจากมือ
งามตากับก้อนถอยออกมามองหนเลิ่กลั่ก หมอผีอินท่องคาถาไม่ยอมแพ้ สั่งการงามตา
“นังงามตา จัดการมันที”
วิญญาณไต้ก๋งหันมาทางงามตาแทน งามตาก้าวขาแทบไม่ออก
“ทำอะไรอยู่เล่า แยกร่างมันซะ งามตา”
ไต้ก๋งชางเปลี่ยนเป้าหมายจะเข้ามาทำร้ายงามตา และแล้วงามตาก็ตัดสินใจพุ่งเข้าไปหยิบมีดพร้าของหมอผีอินแล้วฟันไปที่ร่างของไต้ก๋งชางเต็มแรง จนร่างกับหัวแยกออกจากกัน
วิญญาณไต้ก๋งร้องโหยหวนดังกึกก้องไปทั่วป่าช้าก่อนจะแตกสลายไป
ลมที่พัดแรงเมื่อครู่ค่อยๆ สงบลงจนเป็นปกติ หมอผีอินยิ้มสมใจ พิธีสะกดวิญญาณจบลงด้วยดี

มันเป็นเวลาเช้ามืดใกล้สว่างขึ้นทุกที หมอผีอินจัดการแยกกะโหลกกับร่างไต้ก๋งไว้ในห่อผ้าคนละห่อ ท่องคาถาสะกดวิญญาณสำทับ ก่อนจะเอายันต์ปิดที่ห่อผ้าทั้งสอง หลังจากนั้นก็เอาด้ายสายสิญจน์พันที่ด้ามพร้า ก่อนจะยื่นให้งามตา
“เอ็งเก็บสิ่งนี้ไว้ เอาไปซ่อนในที่ที่ไม่มีผู้ใดเห็น”
“เหตุใดต้องซ่อนมันเล่าพ่อ” งามตาขัดใจ
“ มันเป็นเสมือนกุญแจที่ปลดปล่อยวิญญาณไอ้ผีร้ายให้หลุดจากการจองจำ หากเอ็งไม่อยากให้มันออกมาอาละวาดก็จงทำตามที่ข้าสั่ง”
งามตารับมีดพร้านั้นไปอย่างกล้าๆ กลัวๆ ก้อนถามขึ้นว่า
“แล้วกะโหลกกับร่างมันเล่าพ่อหมอ”
“เอ็งรีบเอากะโหลกไปฝังไว้ใต้บันไดเรือนให้คนเหยียบย่ำ เพื่อวิญญาณมันจะได้ไม่ไปผุดไปเกิด ส่วนร่างเอ็งต้องเอาไปซ่อนไว้ในที่มิดชิด อย่าให้ผู้ใดรู้เด็ดขาด”
ก้อนพยักหน้ารับเอาคำ หมอผีอินมองไปรอบๆ
“เร่งจัดการเข้าเถิด ใกล้รุ่งสางแล้ว”
หมอผีอินช่วยกันกับก้อนและงามตาหยิบห่อผ้าขึ้นมา ก่อนจะแยกย้ายกันไปจัดการตามหน้าที่ตน
ระหว่างนี้มีใครบางคนตามมาแอบดูพวกงามตาอยู่หลังต้นไม้หน้าเรือน
พอพวกงามตาเดินออกไปหมด ใครก็คนนั้นก็ค่อยๆ ย่องออกไปอย่างเงียบเชียบ

งามตากลับขึ้นห้องนอนบนเรือนใหญ่เอาตอนเช้ามืด มองซ้ายแลขวาจนแน่ใจว่าไม่มีใครแน่ จึงหยิบพร้าที่มีผ้ายันต์พันอยู่ออกมาดู เดินไปยังบริเวณไม้กระดานแผ่นหนึ่งมุมห้อง เปิดมันออก
“จบสิ้นกันที ต่อแต่นี้วิญญาณผีร้ายอย่างเอ็งจะออกมาทำร้ายข้าไม่ได้อีกต่อไป”
งามตาวางมีดพร้าลงไปใต้ฝาไม้กระดานแล้วปิดมันไว้ มองจ้องด้วยความสะใจ

คิดทบทวนดีแล้ว งามตาเรียกก้อนมาคุยเรือนใหญ่ เพราะคิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ตกเรื่องเฟื่องฟ้า
“ข้าก็ทำตามที่พ่อบอกทุกอย่างแล้ว เป็นไปไม่ได้เลยที่วิญญาณมันจะกลับมา”
“แต่ไอ้ไต้ก๋งมันกลับมาแล้ว แล้วยังมีคนพยายามขุดคุ้ยเรื่องของเราอีก คิดให้ดีสิว่ามีตรงไหนที่พลาดไปบ้าง”
“พี่อย่ามาคาดคั้นฉันได้ไหม ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าต้องทำอย่างไร”
งามตากระแทกตัวลงนั่ง หงุดหงิดใจมาก ก้อนพยายามนึกทบทวนวันเปิดโรงงิ้วเรือนดอกเหมย

ขณะที่รำเพยจะเดินออกไปกับแถน ก้อนจะกลับออกไปเหมือนกันแต่เห็นรำเพยเดินมาก่อนรู้สึกคุ้นหน้า
“นั่นมัน…”
ก้อนจำได้ว่าเป็นรำเพย พุ่งเข้าไปหาตะโกนเรียกไว้
“เดี๋ยวก่อน เอ็ง”
แถนได้ยินเสียงก้อน หันไปเห็นก็ตกใจรีบดึงรำเพยฉากหลบออกไปก่อนก้อนจะมาถึงตัว

รำเพยเข้าไปยื้อยุดพวกนักเลงจนผ้าคลุมหน้าหลุดออก
เฟื่องฟ้าอยู่บนเวทีเห็นเข้าพอดี ตกใจที่แม่มาถึงที่นี่ ขณะนั้นเองดาบของนักแสดงที่เล่นคู่กันก็ฟันลงมาพอดี
ดาบฟาดเข้าที่ไหล่เฟื่องฟ้าอย่างจัง เฟื่องฟ้าเสียหลักพลัดตกจากเวที คนดูตกใจร้องกรี๊ด
รำเพยมองไปทางเสียง เห็นเฟื่องฟ้าตกลงมานอนเลือดอาบอยู่ที่พื้นแถวบันไดเรือนดอกเหมยแล้ว
เฟื่องฟ้ารู้สึกว่าตัวเองเลือดไหลออกมา แต่ยังลุกไม่ไหว เลือดไหลเป็นทางยาวซึมลงไปตามรอยแตกของพื้น ฉับพลันสายลมด้านนอกก็พัดอื้ออึงคล้ายฝนจะตกหนัก

ก้อนดึงความคิดกลับมา เหมือนจะนึกอะไรออก อึ้งไป
“มีอะไรหรือพี่ก้อน”
“ข้ารู้แล้วว่านังเฟื่องฟ้ามาที่นี่ทำไม”
งามตามองฉงน “พี่รู้อะไรมา”
“จำที่ข้าบอกว่าเจอนังรำเพยที่โรงงิ้วได้หรือไม่ มันเรียกเฟื่องฟ้าว่าลูก วันนั้นหลังจากเฟื่องฟ้าโดนทำร้ายบนเวที เกิดอาเพศใหญ่จนแสดงต่อไม่ได้”
งามตาคิดตาม “หลังจากวันนั้นวิญญาณไอ้ผีร้ายก็กลับมา”
งามตากับก้อนมองหน้ากันไม่อยากเชื่อ
สองคนคิดเห็นตรงกัน “หรือว่านังเฟื่องฟ้าจะเป็น...”

ที่บ้านหมอผีอิน เช้าวันใหม่ จอมอาคมแห่งบ้านลำพระพายรู้เรื่องเลือดของเฟื่องฟ้าจากปากก้อนก็ตกใจมาก
“เอ็งว่าอย่างไรนะ นังรำเพยมันยังมีชีวิตอยู่จริงรึ”
“ใช่จ้ะพ่อหมอ ฉันเห็นนังรำเพยวันที่เปิดโรงงิ้วเรือนดอกเหมยไม่ผิดแน่”
“แล้วเหตุใดถึงเพิ่งมาบอกข้า ไอ้พวกโง่”
หมอผีอินทุบพื้นตรงนั้นระบายความโกรธ ดูกระวนกระวายขึ้นมาทันที งามตาถามพ่ออย่างร้อนรนใจ
“ถ้านังรำเพยมันยังอยู่จะเกิดอะไรขึ้นหรือพ่อ”
“ที่ข้าไม่บอกเรื่องนี้กับพวกเอ็ง เพราะข้าคิดว่าไอ้พวกเรือนลำพระพายมันตายหมดแล้ว ข้าลืมคิดไปว่าพวกเอ็งอาจจะพลาด”
ก้อนงง “หมายความว่าอย่างไรกันพ่อหมอ”
“เลือดของคนที่เป็นทายาท จะสามารถปลดผนึกวิญญาณไอ้ผีร้ายนั่นได้”
หมอผีอินพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง เล่นเอางามตากับก้อนอึ้งไปทั้งคู่
“อย่างนี้นังเฟื่องฟ้าก็เป็นลูกของไอ้ไต้ก๋งชางกับนังรำเพยจริงๆ น่ะสิ”
ก้อนมองหน้างามตาสลับกับหมอผีอินเลิ่กลั่ก เริ่มกลัวขึ้นมา
“แค่สะกดวิญญาณมันไว้เช่นเดิมไม่ได้แล้วหรือ”
“พ่อจะทำอย่างไร มีวิธีช่วยหรือไม่”
หมอผีอินครุ่นคิด หน้าเครียด
“คงถึงเวลาแล้วที่ต้องทำให้วิญญาณผีร้ายมันไม่ได้ไปผุดไปเกิดจริงๆ เสียที”
หมอผีอินบอกด้วยน้ำเสียงเข้ม คิดจะเอาชนะให้ได้

ที่บ้านรำเพย มองไปในครัวเห็นรำเพยกำลังทำขนม มีแถนกับกล่ำคอยช่วยเป็นลูกมือ และตั้งใจมาอยู่คอยดูแลด้วย รำเพยจัดขนมในถาดเสร็จเตรียมเอาไปนึ่ง กล่ำถามขึ้นว่า
“คุณรำเพยเจ้าขา จะไม่ให้กล่ำกับพี่แถนค้างด้วยจริงหรือเจ้าคะ”
“ฉันบอกแล้วอย่างไรว่าอยู่คนเดียวได้”
“ตั้งแต่เฟื่องฟ้ากลับไปเรือนลำพระพาย คุณรำเพยก็อยู่คนเดียวตลอด กระผมกับนังกล่ำเป็นห่วง กลัวจะเกิดเรื่องอีกขอรับ”
รำเพยเอาขนมไปนึ่งในเตาเสร็จก็หันมาคุย
“ฉันดูแลตัวเองได้จริง สองคนก็มีสวนที่ต้องดูแล ไม่ต้องเป็นห่วงฉันหรอก”
แถนกับกล่ำมองหน้ากัน ยังเป็นห่วงรำเพยอยู่ไม่คลาย
“เรื่องอื่นพวกกระผมไม่ห่วงหรอกขอรับ” แถนบอก
กล่ำเสริมว่า “อิฉันกลัวว่า...จะมีใครมาทำร้ายคุณรำเพยอีกน่ะเจ้าค่ะ”
รำเพยฟังแล้วก็หัวเราะเหมือนไม่รู้สึกอะไร
“โธ่ เรื่องนี้นี่เอง”
“อิฉันกลัวจริงๆ นะเจ้าคะ ไม่อยากให้เกิดเรื่องเหมือนยี่สิบปีก่อนอีก”
“อย่ากังวลเลย หากวันหนึ่งฉันต้องเป็นอะไรก็ห้ามไม่ได้อยู่ดี”
“เหตุใดคุณรำเพยพูดอย่างนี้ละขอรับ”
“ทุกอย่างล้วนเป็นไปตามเวรตามกรรม หากมีเรื่องร้ายเกิดขึ้น ฉันก็ต้องมีสติ ยอมรับผลที่จะเกิดให้ได้ก็เท่านั้น” รำเพยนิ่งไปครู่หนึ่งบอกสองคนสนิทว่า “กล่ำกับแถนมีต้องดูแลสวนไม่ใช่หรือ”
จากนั้นรำเพยก็หันไปทำขนมต่อ กล่ำแถนถอนหายใจกลุ้มกันทั้งคู่

ถัดจากนั้น แถนกับกล่ำลงบันไดเดินมาหน้าเรือนด้วยกัน กล่ำบ่นเรื่องความดื้อรั้นของรำเพยต่อ
“ดูสิพี่แถน ไม่ว่าจะกี่ปีผ่านไป คุณรำเพยก็ยังดื้อไม่เคยเปลี่ยนจริงๆ”
“คุณรำเพยลำบากมามาก เลยทำเป็นเข้มแข็งไม่ให้คนอื่นเป็นห่วงเท่านั้นละ”
กล่ำถอนหายใจ พูดออกมาด้วยความสงสารคุณรำเพย
“ไม่รู้เมื่อไรจะถึงวันที่คุณรำเพยกลับไปมีชีวิตสุขสบายดังเดิม”
แถนยิ้มเศร้าๆ เข้าใจกล่ำ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้
แถนกับกล่ำกำลังจะเดินไปที่ท่าน้ำเพื่อกลับเรือน แต่ทันใดนั้น เสียงกรีดร้องของรำเพยก็ดังขึ้น
“อ๊าย”
กล่ำกับแถนตกใจหันไปทางบ้านรำเพยหน้าตาตื่น
“เสียงคุณรำเพยนี่พี่แถน”
แถนไม่พูดอะไรวิ่งแจ้นนำกล่ำไปทางบ้านรำเพยทันควัน กล่ำรีบตาม

กล่ำกับแถนวิ่งมาถึงหน้าเรือน ได้ยินเสียงของตกดังขึ้นแล้วก็เงียบหายไป ทั้งสองคนเดินขึ้นเรือนไป ช่วยกันร้องเรียกหารำเพย
“คุณรำเพย...คุณรำเพยเจ้าขา”
“คุณรำเพยได้ยินเสียงพวกกระผมไหมขอรับ”
รอบบ้านเงียบเหมือนไม่มีคนอยู่ แถนกับกล่ำเดินดูตามมุมต่างๆ รู้สึกถึงความผิดปกติ
กล่ำเข้ามาคุยกับแถน
“เมื่อครู่ฉันได้ยินเสียงคุณรำเพยจริงๆ นะพี่แถน”
“คุณรำเพยยังอยูที่บ้านอยู่ แล้วตอนนี้หายไปไหน”
แถนกำลังจะเดินไปดูอีกห้องหนึ่ง ที่ด้านหลังกล่ำปรากฏเงาใครคนหนึ่งเดินย่องมาทางด้านหลังและกำลังจะตีหัว แถนรู้สึกตัวก่อนหันไปเห็น รีบร้องตะโกนบอกกล่ำ
“นังกล่ำ ระวัง”
กล่ำเบี่ยงตัวหลบทัน คนร้ายเลยพลาดเป้าไป เสียงรำเพยดังขึ้นอีก
“แถน กล่ำ ช่วยฉันด้วย”
แถนกับกล่ำหันไป เห็นคนร้ายลากตัวรำเพยออกมา รำเพยดูตื่นตระหนกมาก
โดยไม่พูดพร่ำทำเพลงคนร้ายอีกคนที่มาด้วยกัน เงื้อดาบขึ้นฟันแถนทันที กล่ำกรี๊ด แถนคว้าของแถวนั้นขึ้นมาป้องกันตัว ปาใส่คนที่มาลักพาตัวรำเพย มันตะโกนบอกกัน
“รีบพานั่งนี่ไป ข้าจัดการเอง”
คนร้ายอีกคนลากรำเพยลงเรือนไป กล่ำจะตามแต่โดนขวางไว้อีก
กล่ำมองซ้ายแลขวาแล้วตัดสินใจพุ่งชนคนร้ายจนมันเซไป
“พี่แถน ไปช่วยคุณรำเพย”
แถนจะวิ่งออกไปตามที่กล่ำบอก แต่โจรไวกว่าคว้าตัวกล่ำมาล็อคคอแล้วเอาดาบจี้ไว้ แถนชะงัก
“ถ้ามึงตามไป อีนี่ตายแน”
แถนถอยไปนิดหนึ่ง คิดหาวิธี มือควานไปด้านหลังเจอแจกันเลยปาไปที่ผนังเพื่อเบี่ยงความสนใจ
คนร้ายตกใจหันไปมอง กล่ำจะหนีแต่ถูกโจรทุบจนสลบไปแล้วเข้ามาสู้กับแถน
โจรเงื้อดาบจะฟันแต่แถนก็พยายามหลบจนได้ ทั้งสองสู้กันไปมา จนมีจังหวะหนึ่งคนร้ายผลักแถนกระเด็นออกไปได้ กำลังจะตามพวกตัวเองไป แถนพยุงตัวขึ้นมา จับขาคนร้ายไว้อีก
โจรมองแถนแบบรำคาญๆ
“ไอ้แก่นี่ น่ารำคาญนัก”
แถนพยายามยื้อสุดกำลัง คนร้ายเงื้อดาบจะฟันซ้ำ มีเสียงกล่ำตะโกนดังขึ้น
“พี่แถน”
กล่ำฟื้นขึ้นมาด้วยท่าทีอ่อนระโหยโรยแรง แถนพลิกตัวหลบทัน
คนร้ายเห็นแถนสู้ไม่ได้จึงรีบวิ่งหนีลงเรือนไป แถนพลิกตัวจะลุกตามแต่ก็ไปไม่ไหว สายตามองไปเห็นที่มุมหนึ่ง พบว่าหยกของรำเพยตกอยู่ที่พื้นตรงนั้น

ในเวลาต่อมา ก้อนขึ้นมาหางามตาบนเรือนใหญ่ รายงานเรื่องรำเพย
“จัดการทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้วใช่ไหมพี่ก้อน”
“ข้าส่งคนไปพาตัวแม่มันมาแล้ว เหลือแค่ต่อรองกับนังนั่นให้ได้ก็พอ”
“ดี ตอนนี้มันอยู่ที่ไหน”
ก้อนกำลังจะตอบ แต่ชะงัก เมื่อได้ยินเสียงใครบางคนเดินเข้ามาก่อน งามตาหันไปเห็นก้องภพเดินเข้ามา รีบทักทายก้องภพกลบเกลื่อนทันที
“พ่อก้องนี่เอง มาตั้งแต่เมื่อไรกัน”
“เมื่อครู่นี้เองครับ แม่กับลุงก้อนกำลังคุยธุระกันอยู่หรือ”
งามตาปรายตามองก้อนแว่บหนึ่ง
“จ้ะ แต่ไม่มีอะไรแล้วล่ะ” งามตาหันมาทางก้อน “หมดเรื่องแล้วมิใช่หรือ”
“ขอรับ เชิญคุณงามตาอยู่กับคุณก้องเถิดขอรับ กระผมขอตัว”
ก้อนเดินเลี่ยงออกไป แอบหันมามองก้องภพกับงามตาแว่บหนึ่ง แล้วลงเรือนไป
งามตาชวนก้องภพคุย
“พ่อก้องมาหาแม่มีเรื่องอะไรหรือ”
“ผมจะมาแจ้งคุณแม่เรื่องวันเปิดแสดงงิ้วที่เรือนดอกเหมยน่ะครับ”
“วันเปิดแสดง ดี แม่กำลังรอคุยกับลูกเรื่องนี้อยู่พอดี”
งามตายิ้มให้ก้องภพ แต่แววตากลับดูเจ้าเล่ห์เพทุบายชอบกล

ด้านบุหลันยืนอยู่ด้านหน้าโรงครัวกำลังเถียงกับคนที่เอาข้าวสารมาส่ง
“เอ็งมาผิดที่แล้วกระมัง ที่นี่ไม่ได้สั่งข้าวพวกนี้มา”
ที่แท้เป็นกล่ำกับแถนที่เอาผ้าปิดหน้าปิดตา ทาหน้ามอมแมม ปลอมตัวมาเป็นคนส่งข้าวสารเพื่อมาพบนมขามและเฟื่องฟ้า สองคนช่วยกันเถียง
“มีคนสั่งข้าวพวกนี้มาจริงๆ นะขอรับ ข้ายืนยันได้”
บุหลันชักโมโห “พูดไม่รู้เรื่อง ข้าบอกว่าไม่ได้สั่งก็คือไม่ได้สั่ง”
“แต่ข้าจำชื่อคนสั่งได้นะจ๊ะ” กล่ำบอก
“ผู้ใด ไหนเอ็งบอกชื่อมาสิ”
กล่ำกับแถนมองหน้ากันนิดหนึ่ง ก่อนแถนจะเป็นคนบอก
“เห็นเขาให้เรียกว่า...นมขามขอรับ”
“นมขามอย่างนั้นหรือ”
บุหลันทำหน้างง ไม่เชื่อนัก แถนกับกล่ำพยายามเก็บอาการไม่ให้มีพิรุธ จนมีเสียงนมขามดังขึ้น
“เอะอะโวยวายเรื่องใดกัน”
ทุกคนหันไปเห็นนมขามเดินเข้ามา บุหลันรีบฟ้อง
“คุณนมเจ้าขา คนพวกนี้บอกว่าคุณนมสั่งข้าวสารมาเจ้าค่ะ”
บุหลันชี้ไปที่ข้าวสารที่กองอยู่ นมขามขมวดคิ้ว
“ข้าวสารจากที่ใด ข้าไม่รู้เรื่อง”
“แสดงว่าพวกนี้มันโกหกสิเจ้าคะ หนอย ไอ้พวกหลอกลวง”
นมขามด่ากล่ำกะแถน “พวกเอ็งกล้าดีอย่างไรแอบอ้างชื่อข้า”
“เปล่านะจ๊ะ พวกข้าไม่ได้...” กล่ำจะอธิบาย แต่บุหลันโพล่งขึ้น
“เห็นทีข้าจะต้องแจ้งคุณงามตาให้ทราบแล้วกระมัง”
บุหลันทำทีจะเดินไปทางเรือนใหญ่ กล่ำกับแถนตกใจรีบดึงนมขามไว้
“อย่านะขอรับ ห้ามบอกคุณงามตาเด็ดขาด”
“ปล่อยข้า! ไอ้พวกโจรห้าร้อย” นมขามโวยลั่นสะบัดสองคนออก
กล่ำถอยออกมาท่าทางเลิ่กลั่กทำอะไรไม่ถูก นมขามจะตามบุหลันไป กล่ำต้องเข้าไปดึงแขนคุณนมรั้งไว้
“ช่วยข้าด้วยนะเจ้าคะคุณนม”
“เหตุใดข้าต้องช่วยเอ็ง”
กล่ำขวางหน้านมขาม เลื่อนผ้าที่ปิดหน้าลง พอนมขามเห็นก็อึ้งไป เรียกบุหลันไว้
“นังบุหลัน”
บุหลันหันมา “มีอะไรหรือเจ้าคะ”
“ข้า...เพิ่งนึกได้ว่าสั่งข้าวสารไว้จริงๆ”
บุหลันชะงัก หันมาเท้าเอวทำหน้าไม่เข้าใจ
“หมายความว่าอย่างไรเจ้าคะ”
“ข้าขอโทษเอ็งด้วย ข้าแก่แล้วเลยหลงๆ ลืมๆ เอ็งไปเถิด ข้าคุยกับคนพวกนี้เอง”
บุหลันยังข้องใจอยู่ นมขามโบกมือไล่ให้เข้าเรือนครัวไป แถนกับกล่ำโล่งอก

ที่กระท่อมหลังหนึ่ง รำเพยสลบอยู่ในนั้น ถูกจับมัดมือมัดเท้าไม่ให้หนีได้ สักพักรำเพยก็เริ่มได้สติ ลืมตาขึ้นมา พร้อมๆ กับที่ประตูกระท่อมแง้มออก เห็นคนเดินเข้ามาสองคน
หนึ่งในนั้นกระชากตัวรำเพยให้ลุกขึ้นมา รำเพยพยายามมอง จนเสียงอีกคนดังขึ้น
“ไม่ได้พบกันเสียนาน”
รำเพยเงยหน้ามอง พอเห็นว่าเป็นใครก็อึ้งไป
“ข้าอยากจะคุยกับเพื่อนเก่าสักหน่อย”
งามตามยืนยิ้มมองภาพตรงหน้าอย่างสะใจ ก่อนจะเข้าไปนั่งคุยกับรำเพย
“เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ คุณรำเพย”
“งามตา...ไอ้ก้อน”
“ยังจำกันได้สินะ เสียดายที่ฉันลืมคุณรำเพยไปหลายปี เพราะฉันคิดว่าคุณรำเพยตายตามไต้ก๋งชางไปเสียแล้ว”
“แกรู้ที่อยู่ฉันได้อย่างไร แล้วทำไมถึงจับฉันมาที่นี่”
งามตาหัวเราะเยาะ
“ใจเย็นก่อนสิคุณรำเพย ฉันก็อยากตอบทุกคำถาม แต่ฉันมีอีกหลายสิ่งต้องทำ ไว้ฉันจะบอกหลังจากที่เราต่อรองกับลูกสาวคุณรำเพยเรียบร้อยแล้ว”
รำเพยตกใจ “เฟื่องฟ้า แกจะทำอะไรเฟื่องฟ้า”
“นังเด็กนั่นเป็นลูกคุณรำเพยจริงๆ สินะ”
รำเพยอึ้ง ไม่คิดว่าจะได้เจองามตากับก้อนอีกที่นี่
“แกอย่าทำอะไรเฟื่องฟ้านะ จะฆ่าจะแกงฉันก็ได้ แต่อย่าทำอะไรลูกสาวฉัน”
งามตานั่งลงมาจับคางรำเพยบีบแน่น พูดด้วยความเคียดแค้นชิงชัง
“อุตส่าห์รอดมาได้ตั้งยี่สิบปี ฉันจะให้ใช้เวลาให้คุ้ม ก่อนที่จะได้ตายจริงๆทั้งแม่ทั้งลูก ไม่ต้องห่วง”
งามตาหัวเราะสะใจ ก้อนเดินเอาผ้ามาปิดปากรำเพย จนร้องอู้อี้ฟังไม่ได้ศัพท์
งามตาเดินเชิดออกไป ก้อนเดินตาม รำเพยยิ่งดิ้นแต่ไม่เป็นผล

ฝ่ายเฟื่องฟ้าซ้อมงิ้วร่วมกับทีมนักแสดงงิ้วคนอื่น ระหว่างซ้อมก็เผลอมองไปยังด้านล่างเวทีเมื่อเห็นก้องภพเข้ามาคุยกับหัวหน้าคณะ แต่สายตาก็คอยมองขึ้นไปบนเวที พอเฟื่องฟ้าเห็นก็หลบตาทันที
“คุณก้องคุยกับคุณนายงามตาเรื่องวันแสดงแล้วใช่ไหมขอรับ” เถ้าแก่เจียงถาม
“ครับ คุณแม่ไม่ได้ติดขัดอะไร ทุกคนซ้อมกันได้เต็มที่เลยนะครับ”
ซ้งพยักหน้ารับกลับไปคุมซ้อมต่อ ก้องภพเดินไปยืนดูเฟื่องฟ้าเงียบๆ
มุมหนึ่งเห็นนมขามเดินเข้ามา ทำท่าเหมือนลังเลจะเข้าไป ก้องภพหันไปเห็นก่อนเลยทักขึ้น
“คุณนมครับ”
นมขามเห็นก้องภพก็อึกอักอยู่นิดหนึ่ง ก่อนจะเข้ามาหา
“คุณก้องมาดูซ้อมแสดงงิ้วหรือเจ้าคะ”
“ครับ แล้วคุณนมล่ะมาทำอะไรที่นี่
“นม...มาหาเฟื่องฟ้าเจ้าค่ะ มีเรื่องจะให้ช่วยสักหน่อย”
“เรื่องอะไรครับ ด่วนไหม”
“ด่วนเจ้าค่ะ ตอนนี้งานในครัวยุ่งมาก นังช้อยมันป่วย ไม่มีคนช่วย จึงจะมาขอตัวเฟื่องฟ้าไปสักครู่หนึ่ง”
“เฟื่องฟ้าติดซ้อมอยู่ คงอีกสักพักน่ะครับ”
นมขามพยักหน้ารับรู้ แต่สายตายังมองไปบนเวทีตลอดเวลา
เฟื่องฟ้ามองมาเห็นเข้าจึงบอกให้หยุดซ้อมก่อน แล้วลงมาหาข้างล่าง
“มีอะไรกันหรือเปล่าคะ”
“คุณนมจะมาขอเธอไปช่วยงานน่ะ แต่ฉันบอกแล้วว่าเธอยังไม่สะดวก”
นมขามมองเฟื่องฟ้า ส่งสายตาเชิงขอร้องเหมือนมีอะไรจะให้ช่วย
“แต่งานในครัวข้ายุ่งมากจริงๆ ถ้าสะดวกช่วยไปกับข้าได้หรือไม่”
นมขามจับมือเฟื่องฟ้า แบมือออกนิดเดียวเผยให้เห็นหยกรำเพยที่อยู่ในมือ เฟื่องฟ้าคิดปราดเดียวก็หันไปขออนุญาตก้องภพ
“ขอฉันช่วยงานคุณนมก่อนนะคะ ครู่เดียวคงไม่กระทบการซ้อม”
ก้องภพลังเล แต่สุดท้ายก็พยักหน้ายอมให้ไปได้

เฟื่องฟ้าเดินมากับนมขาม แต่ยิ่งเดินยิ่งเข้าไปในสวนลึกขึ้นเรื่อยๆ ไม่ใช่เรือนครัว จนเริ่มสงสัยว่านมขามจะพาไปไหน เลยถามขึ้น
“คุณนมจ๊ะ นี่ไม่ใช่ทางไปเรือนครัวไม่ใช่หรือ”
นมขามหันมองรอบข้างให้แน่ใจว่าไม่มีคนตามมาก่อนจะบอกว่า
“ใช่ ความจริงข้าไม่ได้จะพาแม่หนูไปเรือนครัวหรอก”
เฟื่องฟ้าแปลกใจ “แล้วคุณนมพาฉันมาที่นี่ทำไมจ๊ะ”
“มีคนต้องการคุยกับแม่หนูน่ะสิ”
“ใครกันหรือ”
นมขามดึงแขนเฟื่องฟ้าเดินไปยังมุมหนึ่งของสวน เห็นคนสองคนเอาผ้าปิดหน้าปิดตายืนรออยู่
นมขามบอกสองคนว่า “เฟื่องฟ้ามาแล้ว”
สองคนนั้นหันมา เอาผ้าที่คลุมศีรษะลง เผยให้เห็นว่าเป็นแถนกับกล่ำก็ตกใจ
“น้ากล่ำ ลุงแถน”
กล่ำรีบเข้ามาจับมือเฟื่องฟ้า น้ำตาคลอ
“เฟื่องฟ้า น้าขอโทษ ขอโทษจริงๆ”
เฟื่องฟ้าแปลกใจมาก “นี่มันอะไรกันจ๊ะ ทำไมน้าสองคนถึงมาอยู่ที่นี่”
กล่ำปาดน้ำตาสีหน้าเศร้า แถนเดินเข้ามา บอกด้วยสีหน้าเครียดเคร่ง
“ข้ามีเรื่องต้องบอกเอ็ง”
“เรื่องอะไรจ๊ะ”
“ตอนนี้คุณรำเพยถูกคนจับตัวไป ไม่ทราบว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไรบ้าง ข้าขอโทษจริงๆที่ช่วยดูแลคุณรำเพยไม่ได้”
เฟื่องฟ้าอึ้งนิ่งงันไป

เฟื่องฟ้าเดินมาหยุดที่บันไดหน้าเรือนใหญ่ ตะโกนเรียกงามตา
“คุณนายงามตา อยู่หรือไม่ คุณนายงามตา”
เฟื่องฟ้าเห็นไม่มีใครตอบ จะบุกขึ้นไป แต่บุหลันกลับเดินลงมาตรงชานบันไดขวางไว้ก่อน
“เอ็งจะทำอะไรนังเฟื่องฟ้า”
“ฉันมาหาคุณนายงามตา เธอไม่เกี่ยว ถอยไป”
“ข้าไม่ถอย เอ็งไม่มีสิทธิ์ขึ้นเรือนผู้อื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต”
“ฉันมีเรื่องสำคัญต้องคุยกับคุณนายงามตาเท่านั้น”
เฟื่องฟ้าพยายามผลักบุหลันออก แต่บุหลันไม่ยอม ขวางไว้
เฟื่องฟ้ายังดึงดันจะขึ้นไปให้ได้ บุหลันเลยผลักออกอย่างแรง
“บอกว่าเข้าไปไม่ได้ พูดไม่รู้เรื่องรึ”
เฟื่องฟ้ารีบลุกขึ้นมา เข้าไปผลักบุหลันเต็มแรงเซถลาไปนิดๆ เฟื่องฟ้าได้โอกาสจะขึ้นเรือนไปหางามตา แต่บุหลันทรงตัวได้ก่อน ดึงเฟื่องฟ้าไว้ไม่ยอมให้ไป
“ปล่อย”
“ไม่ เอ็งนั่นแหละ กลับไปเสีย”
“บอกให้ปล่อยไง”
เฟื่องฟ้ากับบุหลันยื้อยุดกันไปมาวุ่นวายอยู่หน้าเรือน บ่าวในเรือนออกมามุงดู แต่ไม่มีใครกล้าทำอะไร จนเสียงงามตาก็ดังขึ้น
“ใครมาทำเสียงดังเอะอะหน้าเรือนข้า”
บุหลันกับเฟื่องฟ้าชะงักไปทั้งคู่ เห็นงามตาเดินออกมายืนมองจากระเบียง บุหลันผลักเฟื่องฟ้าออกแล้วฟ้องงามตาทันที
“นังเฟื่องฟ้ามันจะบุกขึ้นเรือนไปหาคุณนายเจ้าค่ะ บุหลันเห็นเข้าก่อนจึงห้ามไว้”
งามตามองมายังเฟื่องฟ้า ยิ้มเยาะในสีหน้านิดๆ
“มาหาฉันงั้นหรือ”
“ใช่ ฉันมีเรื่องต้องคุยกับคุณนายงามตา เรื่องสำคัญ” เฟื่องฟ้าเน้นคำตอนท้าย
บุหลันจะเถียงสู้ แต่งามตากลับพูดขึ้นมาก่อนว่า
“ขึ้นมา”
บุหลันเหวอไปเลย “คุณนายเจ้าขา...ทำไม...
งามตาสั่งกำชับบุหลันว่า “หล่อนรออยู่ตรงนั้น ฉันจะคุยกับเฟื่องฟ้าแค่สองคน”
งามตากลับเข้าไปในเรือน บุหลันฮึดฮัดขัดใจที่งามตาอนุญาตให้เฟื่องฟ้าไปพบ
เฟื่องฟ้ามองขึ้นไปบนเรือนใหญ่ พยายามสะกดกลั้นความโกรธเอาไว้สุดขีด

เฟื่องฟ้าเดินเข้ามาหางามตายืนรออยู่ และหันมาถามโดยไม่อนาทรร้อนใจ
“มีอะไรจะคุยกับฉันก็พูดมา”
เฟื่องฟ้าพยายามควบคุมอารมณ์อย่างหนัก ไม่ให้แสดงความโกรธออกไป
“คุณนายย่อมรู้ดีอยู่แก่ใจ ว่าฉันมาทำไม เพราะทุกอย่างที่คุณนายทำลงไป ก็เพื่อให้ฉันมาที่นี่”
งามตามองเฟื่องฟ้า แววตาลุกวาว
“หล่อนคิดว่าฉันทำลงไปเพื่ออะไรล่ะ”
“ฉันรู้ว่าคุณนายต้องการต่อรองกับฉัน”
“ในเมื่อรู้ว่าฉันต้องการสิ่งใด ก็เอามาให้ฉันสิ”
“แล้วฉันจะได้อะไร”
“แล้วหล่อนอยากได้อะไร ถึงต้องมาที่นี่”
เฟื่องฟ้าเริ่มโมโห “แม่ของฉันอยู่ที่ไหน”
งามตากระตุกยิ้มมุมปาก
“ฉันไม่ชอบเก็บสิ่งที่ไร้ประโยชน์ไว้กับตัวนานเสียด้วยสิ”
เฟื่องฟ้ากำมือแน่นจนมือเริ่มสั่น งามตามองหน้าเฟื่องฟ้าพูดขู่อีก
“ฉันจะให้โอกาสหล่อน เอาสิ่งที่หล่อนมีมาแลก แล้วฉันจะไม่ทำอะไร แต่ถ้าไม่...ฉันไม่รับประกันว่าสิ่งที่เธอต้องการจะปลอดภัย”
“แค่นี้ใช่หรือไม่เจ้าคะ”
“ใช่ ฉันจะรอคำตอบพรุ่งนี้เช้า ไปคิดดูให้ดีแล้วกัน”
งามตาหัวเราะเยาะนิดๆ แล้วเดินกลับเข้าห้องไปเลย เฟื่องฟ้าน้ำตาซึม เจ็บใจ

เฟื่องฟ้าเดินลงมาจากเรือนใหญ่ เจอกับก้องภพที่เพิ่งกลับจากทำงานพอดี ผู้พิพากษารูปงามเรียกเฟื่องฟ้าไว้
“เฟื่องฟ้า”
เฟื่องฟ้าเดินผ่านก้องภพไปโดยไม่สนใจ ก้องภพคว้ามือไว้แต่เฟื่องฟ้าก็สะบัดออกเต็มแรง
“เธอมาทำอะไรที่นี่ คุณแม่ทำอะไรเธอรึเปล่า”
“ฉันไม่จำเป็นต้องบอกคุณ ถึงบอกไปคุณก็ช่วยอะไรฉันไม่ได้”
“ทำไมฉันจะช่วยไม่ได้”
เฟื่องฟ้าสวนขึ้นเสียงดัง “เพราะช่วยไปก็ไม่มีประโยชน์ คุณเลิกเสแสร้งใส่ฉันเสียทีเถอะ ฉันสะอิดสะเอียดเต็มทนแล้ว”
ก้องภพงงหนักว่าเฟื่องฟ้าพูดอะไร
“เธอกับคุณแม่มีเรื่องอะไรกันอีก ถ้ามีปัญหาก็บอกฉันมาสิเผื่อฉันจะช่วยได้”
“สิ่งเดียวที่คุณจะช่วยได้ คือไปให้พ้นจากชีวิตฉัน สิ่งที่พวกคุณอยากได้ก็ได้ไปหมดแล้ว ฉันไม่มีอะไรจะเสียอีกแล้ว”
เฟื่องฟ้าตัดบทแล้วเดินหนีไปเลย
ก้องภพอึดอัดมาก ได้แต่มองไปบนเรือนใหญ่ สงสัยว่าเฟื่องฟ้าตกลงอะไรกับงามตา

เฟื่องฟ้า นมขาม กล่ำและแถนกลับมารวมกันที่เรือนดอกเหมย นมขามรู้เรื่องที่งามตาต่อรองกับเฟื่องฟ้าก็โกรธมาก
“ข้าคิดอยู่แล้วว่าเรื่องทั้งหมดต้องเป็นเพราะนังงามตา”
“มันคิดเอาคุณรำเพยมาต่อรองเลยหรือ ชั่วช้านัก” กล่ำก็โกรธ
“จะทำอย่างไรดี เราไม่รู้ว่าคุณรำเพยอยู่ที่ไหนเสียด้วย” แถนครวญ
เฟื่องฟ้าเครียดจัด คิดหนัก
นมขามถามเฟื่องฟ้าเชิงหารือว่า “แล้วคุณจะทำตามที่งามตาต้องการหรือไม่”
“ฉันไม่อยากทำเลยจ้ะนม ฉันรู้ว่าต่อให้บอกทุกอย่างไป คนอย่างคุณนายงามตาก็คงไม่เก็บฉันกับแม่ไว้แน่ “
กล่ำลูบเนื้อตัวเฟื่องฟ้าด้วยความสงสาร
“ไม่มีทางออกเลยหรือ เฟื่องฟ้าเอ๊ย...ทำไมชีวิตเอ็งถึงเจอแต่เรื่องร้ายๆ อย่างนี้”
“มันคงเป็นสิ่งที่ชะตากำหนดไว้แล้วกระมังน้ากล่ำ แต่ฉันจะไม่ยอมแพ้โชคชะตา ฉันต้องเอาชนะคุณนายงามตาแล้วช่วยพ่อกับแม่ให้ได้”
“พวกข้าพร้อมช่วยเอ็งเสมอนะเฟื่องฟ้า ขอแค่บอกมาเท่านั้น” แถนว่า
“มันต้องมีทางออก” นมขามยกมือไหว้ท่วมหัว “เจ้าประคู้ณ ขอให้คุณพระคุณเจ้าช่วยคุ้มครองคุณรำเพยกับวิญญาณไต้ก๋งด้วยเถิด”
คำพูดหญิงชราทำให้เฟื่องฟ้าฉุกคิดบางอย่างขึ้นมาได้

ไม่นานต่อมาประตูโรงต่อเรือถูกเปิดออก เฟื่องฟ้า นมขาม กล่ำ และแถน เดินตามกันเข้ามาในนั้น กล่ำเห็นบรรยากาศวังเวงก็เริ่มกลัว กอดคุณนมแจ ถามเฟื่องฟ้าเสียงสั่น
“คุณเฟื่องฟ้าพาพวกเรามาที่นี่ทำไม”
เฟื่องฟ้าไม่ตอบ เดินเข้าไปด้านในโรงต่อเรือ ก่อนจะบอกทุกคน
“ฉันคิดว่ามันออกจะเหลือเชื่อสักหน่อย แต่รอฉันสักครู่นะจ๊ะ”
เฟื่องฟ้าเดินลึกเข้าไปอีก ตั้งสมาธิ พยายามติดต่อไต้ก๋งชาง
“พ่อจ๋า...ฉันมีเรื่องอยากให้ช่วย ออกมาพบฉันหน่อยเถิด”
ทันใดนั้น บรรยากาศรอบๆ โรงต่อเรือก็เกิดลมพัดอย่างรุนแรง ข้าวของในนั้นสั่นไปหมด กล่ำกระโดดเกาะแขนนมขามด้วยความตกใจ นมขามเองก็งงว่าเกิดอะไรขึ้น แถนมองรอบๆ อย่างหวาดระแวง
ที่เศษกระจกแตกในเรือนสะท้อนเห็นเป็นหน้าของไต้ก๋งอยู่ในนั้น เฟื่องฟ้าตะโกนบอกไต้ก๋งชาง
“พ่อจ๋า พ่อได้ยินฉันใช่ไหม พ่อรู้หรือไม่ว่าตอนนี้แม่กำลังเดือดร้อน”
กล่ำจิกแขนนมขามแน่น หันไปถามสีหน้าหวาดๆ
“พ่อ...คุณนม เฟื่องฟ้ากำลังคุยกับใคร”
นมขามมองไปรอบๆ ลุ้นระทึก “เงียบเถอะน่า”
เงาสะท้อนไต้ก๋งเปลี่ยนไปอยู่ที่เศษกระจกอีกบาน ส่งเสียงถามกลับมา
“เกิดอะไรขึ้นกับแม่ของลูก
“แม่ถูกคุณนายงามตาจับตัวไป แลกกับการบอกที่ซ่อนกะโหลกของพ่อ”
น้ำเสียงไต้ก๋งชางเต็มไปด้วยความขมขื่น
“นึกอยู่แล้วว่าพวกมันต้องใช้วิธีสามานย์เช่นนี้”
“คุณนายงามตาคงคิดจะกำจัดวิญญาณของพ่อ ถ้าฉันไม่บอกอาจจะเกิดอันตรายกับแม่ หรือแย่กว่านั้นเขาคงกำจัดเราทิ้งทั้งหมด”
ไต้ก๋งชางตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด
“ชั่วช้านัก คนอย่างพวกมันต้องไม่ตายดี พ่อจะฆ่าพวกมัน”
“อย่านะจ๊ะพ่อ ฉันไม่อยากให้พ่อจองเวรกับคนพวกนั้นอีก”
“พ่อไม่กลัวดอกเวรกรรม ถ้ามันจะทวงทุกอย่างคืนให้รำเพยได้ ต่อให้ตกนรกอีกกี่ขุมพ่อก็ไม่กลัว”
เงาสะท้อนในกระจก เห็นสีหน้าของไต้ก๋งชางเต็มไปด้วยความอาฆาตแค้น

ค่ำคืนนั้น รำเพยถูกถูกมัดมือมัดเท้าขังไว้ในกระท่อมร้าง นึกถึงคำพูดงามตาตอนจับตัวเธอมา
“ใจเย็นก่อนสิคุณรำเพย ฉันก็อยากตอบทุกคำถาม แต่ฉันมีอีกหลายสิ่งต้องทำ ไว้ฉันจะบอกหลังจากที่เราต่อรองกับลูกสาวคุณรำเพยเรียบร้อยแล้ว”
งามตานั่งลงมาจับคางรำเพย พูดด้วยความเคียดแค้น
“อุตส่าห์รอดมาได้ตั้งยี่สิบปี ฉันจะให้ใช้เวลาให้คุ้ม ก่อนที่จะได้ตายจริงทั้งแม่ทั้งลูก”
ยิ่งคิดก็ยิ่งแค้นใจ นัยน์ตารำเพยแข็งกร้าวขึ้นมา กัดฟันแน่น

ไม่นานนักประตูกระท่อมเปิดออกเห็นก้อนเดินเข้ามา รำเพยถอยไปติดกำแพง ก้อนโยนจานข้าวลงตรงหน้ารำเพย
“ข้าเอาข้าวมาให้ กินซะ ก่อนจะไม่มีโอกาสได้กินอีก”
รำเพยมองจานข้าว คิดอะไรบางอย่างได้ ก้อนกำลังจะเดินออกไป รำเพยเรียกไว้
“เดี๋ยวก่อน”
ก้อนหันมาท่าทีรำคาญ “มีอะไร”
“ฉันถูกมัดไว้หมดเช่นนี้แล้วจะกินได้อย่างไร”
“จริงสินะ”
ก้อนหัวเราะเยาะ เดินมานั่งลงหน้ารำเพย ค่อยๆ แก้มัดที่มือออกให้
“ข้าจะแก้มัดให้ชั่วคราว อย่าได้คิดหนี ข้าจะเฝ้าอยู่ด้านหน้า”
ก้อนพูดขู่ ลุกขึ้นแล้วหันหลังเดินไปอีก
ขณะที่ก้อนกำลังจะเปิดประตูออกไป รำเพยได้จังหวะแก้มัดที่ข้อเท้าตัวเองออกแล้วคว้าของที่อยู่ในกระท่อมปาใส่ก้อนเต็มแรง ก้อนตกใจมากหันมาโวย
“นังรำเพย”
รำเพยคว้าจานข้าวปาใส่หน้าก้อนจังๆ จนเมล็ดข้าวติดหน้าเต็มไปหมด ก้อนตกใจรีบเอามือปัดข้าวออก รำเพยรีบลุกหนี ก้อนมองเห็นพอดีจะคว้าตัวรำเพยไว้
รำเพยกวาดข้าวของปาใส่ก้อนอีกครั้ง รีบวิ่งไปเปิดประตูเพื่อหนี แต่ประตูกลับเปิดไม่ออก รำเพยพยายามกระชากประตูเปิดแต่ไม่เป็นผล
ก้อนลุกขึ้นมาหยิบดาบ จะเข้ามาจับตัวรำเพย
รำเพยดึงประตูเต็มแรงอีกครั้ง คราวนี้มันกลับเปิดออกราวปาฏิหาริย์ รำเพยวิ่งหนีไปทันที

รำเพยวิ่งหนีก้อนออกมาโดยไม่คิดชีวิต ก้อนคว้าดาบวิ่งตะโกนไล่หลังรำเพยมา
“นังรำเพย หยุดนะ”
รำเพยไม่ยอมเหลียวหลัง มองหาทางหนีไปเรื่อยๆ พอถึงบริเวณทางแยกรำเพยก็วิ่งไปอีกทาง
ก้อนวิ่งตามไปติดๆ รำเพยเริ่มใกล้จะหมดแรง มองไปเบื้องหน้าเห็นท่าน้ำอยู่ไม่ไกลก็เร่งฝีเท้าสุดชีวิต ก้อนตามมาไม่ลดละ รำเพยใกล้จะถึงท่าน้ำ แต่จู่ๆ กลับสะดุดล้มลงเสียก่อน ร่างกระแทกพื้นอย่างแรง รำเพยพยายามลุกขึ้น ก้อนตามมาทันพอดี
“นังตัวดี อยากตายนักใช่ไหม”
เงื้อดาบจะฟัน แต่ทันใดนั้นสายลมแรงก็พัดขึ้นมาวูบหนึ่ง ดาบในมือก้อนหลุดกระเด็นไป ก้อนเหวอ มองไปรอบๆ ได้ยินเสียงฝีเท้าย่ำไปรอบๆ ก้อนมองอย่างหวาดระแวง
รำเพยประหลาดใจมากว่าเกิดอะไรขึ้น แล้วจู่ๆ ลมก็ตีเข้ามาปะทะตัว
ก้อนมองไปด้านหลังรำเพย ตกใจร้องลั่น
“อ...ไอ้ไต้ก๋ง”
ไต้ก๋งชางปรากฏตัวขึ้นด้านหลังรำเพย ในสภาพดูอ่อนแรงลงมาก แต่ก็ช่วยรำเพยเท่าที่พลังจะมีก้อนกันฟันขู่พูดท้าทาย
“มึงคิดว่าจะช่วยเมียมึงได้งั้นรึ”
ก้อนเข้าไปจะจับตัวรำเพยอีกครั้ง รำเพยจิกมือแน่นทำใจดีสู้เสือตะโกนใส่หน้าก้อนท้าทาย
“ฆ่าฉันเลยสิ”
ก้อนงง “ว่าอย่างไรนะ”
“แกคิดจะเอาฉันต่อรองกับลูกไม่ใช่หรือ ถ้าไม่มีฉันดูซิพวกแกจะทำอะไรได้ เอาสิ! ฆ่าฉันเลย”
ไต้ก๋งชางอึ้งไป รำเพยน้ำตาคลอ แต่ไม่มีวันยอมแพ้
“รำเพย...ไม่...” ไต้ก๋งชางเสียใจ
“คิดจะท้าทายกูรึ”
ก้อนมองรำเพยด้วยความไม่พอใจถึงขีดสุด มันเงื้อดาบขึ้นจะฟัน
ไต้ก๋งชางรวมรวมพลังที่เหลือเข้าไปขวางก้อน แต่ก่อนที่จะถึงตัวก้อนก็ปรากฏร่างผีพรายจำนวนหนึ่งมาดึงตัวไต้ก๋งชางไว้ ไต้ก๋งชางสู้ไม่ไหวเพราะอ่อนแรงมาก ไม่นานร่างก็สลายไป
ก้อนหันไปอย่างงุนงง รำเพยลืมตาขึ้น เห็นงามตาเดินเข้ามาสมทบ
“งามตา...เกิดอะไรขึ้น”
“ข้าขอให้พ่อส่งพวกผีพรายตามตัวนังรำเพยไว้ นึกอยู่แล้วว่ามันต้องไม่อยู่เฉย”
“นังนี่ ร้ายนักนะ” ก้อนตะคอกรำเพย แล้วหันมาหารืองามตา “เราจะทำอย่างไรกับมันดี ฆ่าทิ้งเสียตรงนี้ดีรึไม่”
“ฉันยังต้องใช้ประโยชน์จากมัน พามันกลับไปที่กระท่อม ข้ามีเรื่องต้องสะสางกับมัน”
ก้อนพยักหน้า กระชากตัวระเพยให้ลุกขึ้นแล้วพากลับ รำเพยเหลือบมองงามตา พลางยิ้มเย้ยหยัน งามตามองเจ็บใจ

รำเพยถูกจับกลับมาขังที่กระท่อมอีกครั้ง งามตากับก้อนเข้ามาดู งามตาเข้าไปหารำเพยแล้วตบหน้าอย่างแรง รำเพยสะกดกลั้นความเจ็บปวดเอาไว้ งามตาโกรธจนตัวสั่น จับคางรำเพยบีบแน่น
“ทำเป็นเก่ง สุดท้ายก็ไปไม่รอด คิดว่าไอ้ผีตายโหงนั่นมันจะช่วยแกได้อย่างนั้นรึ”
แทนที่จะทำเป็นเจ็บรำเพยกลับหัวเราะเยาะเย้ยออกมา
“เธอนี่...จะกี่ปีก็เลวทรามต่ำช้าไม่เคยเปลี่ยน”
“แกพูดว่าอะไรนะ”
“เธอไม่มีวิธีเอาชนะฉัน ถึงต้องบีบฉันกับลูกด้วยวิธีนี้ นึกเหรอว่าจะได้ทุกอย่างไปง่ายๆ”
“แกยังปากเก่งเหมือนเดิมนะนังรำเพย”
“คงชอบใจสินะที่ได้ทุกอย่างจากฉันไป แต่เธอไม่วันมีความสุขหรอก เพราะบาปกรรมจะย้อนกลับมาเอาคืนเธอทุกเมื่อ”
“ไม่มีวัน”
งามตาคำรามในลำคอ ถลาเข้าไปบีบคอรำเพยแน่น รำเพยจ้องหน้าโดยไม่กลัวเกรง
“กลัวหรืองามตา อย่ากลัวเลย เวรกรรมมันมีจริง ซักวันเธอจะต้องได้รับกรรมจากสิ่งที่เธอทำไว้อย่างสาสม นังฆาตกรใจบาป”
“นังรำเพย แกอยากตายตามผัวแกอีกคนใช่ไหม”
งามตาขาดสติบีบคอรำเพยแน่นขึ้น รำเพยสำลักใกล้จะขาดอากาศหายใจ ก้อนต้องเข้ามาห้ามไว้ กระชากตัวงามตาออก
“พอแล้วงามตา อยากให้มันตายก่อนจะรู้ที่ซ่อนของนังเฟื่องฟ้างั้นรึ”
งามตาสะบัดมือก้อนออก กรีดร้องด้วยความโกรธแค้นที่อัดอั้นอยู่ในใจ
ก่อนจะหันไปขู่รำเพย
“ก็ได้ ฉันจะปล่อยแกไปก่อน แต่อย่าได้คิดหนีอีก ถ้าไม่อยากเร่งเวลาตายให้ลูกแกล่ะก็...”
งามตาพูดจบก็สะบัดตัวเดินออกจากกระท่อม ก้อนตามไปแล้วล็อคประตูจากด้านนอกไม่ให้หนีได้
รำเพยหมดแรงเอาตัวพิงกับกำแพง หายใจหอบใกล้จะสลบ น้ำตาซึมเพราะสงสารเฟื่องฟ้า
“เฟื่องฟ้า...ลูกแม่”
ขณะที่รำเพยใกล้จะสลบไป ก็มีแสงสว่างวาบเข้ามาจากตรงประตู รำเพยมองไปเห็นภาพไม่ชัด เหมือนมีใครบางคนเดินเข้ามา จากนั้นก็สลบไปก่อน

เรือนใหญ่ในยามเช้า เฟื่องฟ้าเดินมาหยุดที่บันไดหน้าเรือน จดสายตามองขึ้นไปด้านบนด้วยความแน่วแน่ไม่ลังเล
งามตาเดินออกมาตรงระเบียง มองลงมาที่เฟื่องฟ้าพร้อมรอยยิ้มเยาะ สะใจ ก่อนที่เดินนวยนาดลงเรือนพร้อมก้อน เข้าไปหาเฟื่องฟ้า
“พร้อมจะตอบคำถามของฉันแล้วสินะ”
เฟื่องฟ้าพยักหน้า มองหน้างามตาโดยไม่กลัวแม้นสักน้อย
“ฉันจะบอกทุกอย่างที่คุณอยากรู้ หวังว่าคุณจะทำตามข้อตกลงอย่างซื่อสัตย์เหมือนกัน”
งามตาหัวเราะเยาะออกมา
“คนอย่างฉัน พูดคำไหนคำนั้น”
“ฉันมีข้อตกลงเพิ่มอีกข้อหนึ่ง”
งามตาขัดใจ “ฐานะอย่างแกจะมาต่อรองอะไรอีก”
“ฉันอยากจะแน่ใจว่าแม่อยู่กับคุณแล้วยังปลอดภัย”
“ต้องการอะไร”
งามตาเริ่มไม่พอใจ เฟื่องฟ้ายิ้มเยาะบอกอย่างเป็นต่อว่า
“พาฉันไปเจอแม่ แล้วฉันจะบอกที่ซ่อน ‘ของ’ ที่คุณต้องการ”
งามตาไม่พอใจที่เฟื่องฟ้าเหลี่ยมจัดต่อรอง หันไปมองก้อนเชิงหารือ

งามตากับก้อนพาเฟื่องฟ้ามาถึงด้านหน้ากระท่อม ก้อนแยกตัวเข้าไปดูรำเพยด้านใน
“ฉันพามาแล้ว ไหนล่ะตามที่ตกลง”
“ฉันบอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าให้เจอแม่ก่อนแล้วจะบอก”
“แม่เธออยู่ด้านใน บอกฉันมาสิ”
“ไม่ ฉันจะไม่บอกอะไรทั้งนั้น ถ้ายังไม่เห็นว่าแม่ปลอดภัย”
งามตาเริ่มโกรธ ขึ้นเสียงใส่เฟื่องฟ้า
“นังเด็กนี่ อยากตายรึไง”
“พาแม่ฉันออกมาเดี๋ยวนี้ ไม่อย่างนั้นที่ตกลงกันไว้ถือเป็นโมฆะ ฉันยอมตายพร้อมกับความลับนั่นตลอดไป”
งามตาตะโกนเรียกก้อน
“นายก้อน พานังรำเพยออกมา”
เห็นก้อนเงียบไป งามตายิ่งหงุดหงิด
“นายก้อน”
งามตาเรียกย้ำก้อนก็ไม่ตอบ สักพักก้อนวิ่งหน้าตาตื่นออกมา
“งามตา แย่แล้ว นังรำเพย...”
“เกิดอะไรขึ้น”
ก้อนเหลียวมามองเฟื่องฟ้าด้วยความแค้น
“นังรำเพย มันหนีไปแล้ว”
งามตาอึ้งไป หันมามองเฟื่องฟ้าด้วยความโกรธ พุ่งเข้าหาบีบแขนเฟื่องฟ้าแน่น เฟื่องฟ้าหน้าเหวอ
“แกมันเจ้าเล่ห์นักนะ”
“หมายความว่ายังไง แม่ฉันอยู่ที่ไหน”
งามตาโกรธจัดเหวี่ยงตัวเฟื่องฟ้าจนล้มลงไปกองกับพื้น
“ไม่ต้องมาตีหน้าซื่อ มันเป็นแผนของแกใช่ไหม...ดี วันนี้เราจะได้เห็นดีกัน”
“ไม่นะ ฉัน...”
งามตาสั่งก้อน “จับมันมาเค้นมาให้ได้ว่าเอากะโหลกไต้ก๋งไปซ่อนไว้ที่ไหน”
เฟื่องฟ้าตกใจจะถอยหนีแต่ก้อนไวกว่าพุ่งมาจับตัวไว้ได้ เฟื่องฟ้าขัดขืนดิ้นหนี แต่ก้อนแรงเยอะกว่าจับแขนเฟื่องฟ้าไพล่หลังไว้
งามตามองไปที่กระท่อม ขบกรามแน่นด้วยความเจ็บใจ

ฝ่ายรำเพยค่อยๆ ฟื้น ลืมตาขึ้นมา มองไปรอบๆ เห็นเป็นบ้านอีกหลังหนึ่งไม่ใช่กระท่อมที่ตัวเองเคยถูกขังไว้ พยายามคิดทบทวนว่าตัวเองมาที่นี่ได้ยังไง จนได้ยินเสียงฝีเท้าเหมือนมีคนกำลังเดินเข้ามา
รำเพยกระถดตัวหนีไปชิดผนัง สีหน้าหวั่นกลัวเกรงว่าจะเกิดอันตรายขึ้นอีก
พอประตูก็เปิดออก รำเพยเห็นคนที่ก้าวเข้ามาก็อึ้งไป มองอย่างแปลกใจ
“คุณ...”

ที่แท้ ก่อนหน้านี้ที่กระท่อมร้างในสวน ในขณะที่งามตาเดินออกมจากกระท่อมพร้อมกับก้อน เห็นใครสองคนหยุดซุ่มดูอยู่
เป็นก้องภพกับคฑานั่นเองที่แอบดูอยู่ด้านนอก รอจนงามตากับก้อนพ้นสายตาไปแล้ว ก้องภพกับคฑาก็ออกจากที่ซ่อนแล้วตรงไปที่กระท่อมร้าง
ก้องภพพยายามดึงประตูเปิดออก แต่ก็เปิดไม่ได้ คฑาเดินมาสะกิดก้องภพ ชูไม้ท่อนหนึ่งขึ้นฟาดไปที่ประตู แล้วช่วยถีบจนประตูเปิดออก
ก้องภพถีบประตูซ้ำจนเปิดได้ พอเข้าไปข้างในก็เห็นร่างของรำเพยนอนสลบอยู่ในนั้น

ก้องภพเดินเข้าไปหาใกล้ๆ รำเพยมองด้วยความหวาดระแวง
“ไม่ต้องกลัวนะครับ ผมไม่ทำอันตรายคุณแน่นอน”
รำเพยยังไม่เชื่ออยู่ดี ถามย้ำอีก
“ที่นี่คือที่ไหน ทำไมฉันถึงมาที่นี่ได้”
“ไว้ผมจะอธิบายทุกอย่างให้ฟัง แต่ตอนนี้ผมอยากให้คุณช่วยผมอย่างหนึ่ง”
“ฉันจะช่วยอะไรเธอได้”
“ผมรู้ว่าสถานการณ์ตอนนี้ไม่ควรพูด แต่คุณเป็นคนเดียวที่จะช่วยให้ผมเข้าใจเรื่องทั้งหมดได้”
“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเธอ”
“เกี่ยวสิครับ เพราะถ้ามันเป็นความผิดของแม่ผม ผมต้องรับผิดชอบ”
รำเพยเหยียดยิ้ม จ้องหน้าก้องภพ
“เธอเป็นลูกชายงามตา เธอจะกล้าเอาผิดแม่ตัวเองรึ”
“สิ่งที่ผมเชื่อมาตลอดคือความถูกต้อง ต่อให้คนนั้นเป็นคนในครอบครัว แต่ถ้าทำผิดผมก็ไม่อาจปกป้องเขาได้”
“ฉันจะเชื่อเธอได้อย่างไร”
“ผมสาบานด้วยเกียรติทั้งหมด ว่าจะช่วยคุณ ขอเพียงคุณบอกความจริง”
“ความจริง”
ก้องภพพูดด้วยสีหน้าขึงขังและ น้ำเสียงจริงจัง
“เกิดอะไรขึ้นระหว่างคุณกับคุณแม่ผมในอดีตกันแน่ครับ”
รำเพยอึ้งไป ลังเลว่าจะบอกดีหรือไม่

ฝ่ายเฟื่องฟ้าถูกก้อนจับโยนเข้าไปในกระท่อม งามตาตามเข้าไปบีบคอเฟื่องฟ้า ตะคอกใส่อย่างแรง
“ในเมื่อทำแบบนี้ก็ไม่ต้องมีข้อตกลงอะไรอีกต่อไป บอกมาเดี๋ยวนี้ว่าแกเอากะโหลกไอ้ไต้ก๋งไปซ่อนไว้ไหน”
เฟื่องฟ้าแทบตอบไม่เป็นคำเพราะโดนบีบคออยู่ แต่ยังไม่บอกง่ายๆ
“ฉันไม่บอก”
“ไม่บอกงั้นรึ”
งามตากระชากคอเฟื่องฟ้าขึ้นมาแล้วตบหน้าเฟื่องฟ้าอย่างแรง ก่อนจะกระชากตัวขึ้นมาอีก
“บอกมาเดี๋ยวนี้ ถ้าแกไม่อยากตาย”
“ฉันไม่กลัวหรอก ต่อให้ต้องตาย ฉันก็ไม่บอกอะไรคุณ”
“นังเฟื่องฟ้า”
งามตาตบเฟื่องฟ้าซ้ำอีก แล้วชี้หน้าด่า
“แกคิดว่าทำแบบนี้แล้วฉันจะกำจัดพวกแกไม่ได้ใช่ไหม แกคิดผิดแล้ว ถ้าอยากตายนักฉันจะสนองให้ พี่ก้อน จัดการมัน”
ก้อนพยักหน้ารับ ชักดาบออกมาจะฟันเฟื่องฟ้าให้ตาย เฟื่องฟ้าหลับตาด้วยความกลัว
ทันใดนั้นเองประตูกระท่อมก็ถูกถีบโครมเข้ามา
งามตากับก้อนตกใจหันไปมอง เป็นแถนกับกล่ำพุ่งเข้า แถนเอาดาบจี้คองามตาไว้
“นังกล่ำ ไปพาเฟื่องฟ้าออกมา”
ก้อนเจ็บใจแต่ไม่กล้าผลีผลาม “ไอ้แถน...อีกล่ำ”
กล่ำเข้าไปพยุงเฟื่องฟ้าออกมา ก้อนขยับตัวจับดาบเหมือนจะสู้ แถนขู่ จ่อดาบที่คองามตา
“อย่าเข้ามา ไม่งั้นข้าฆ่านังงามตาแน่”
พอกล่ำดึงเฟื่องฟ้าออกมาได้ แถนค่อยๆ ถอยออกมา แล้วพาเฟื่องฟ้าหนีไป
เห็นแถนกับกล่ำพาเฟื่องฟ้าหนีไปต่อหน้า งามตาจิกมือแน่นด้วยความโกรธ สั่งก้อนทันที
“ยืนเป็นเบื้ออะไรอยู่เล่า ตามมันไปสิ”
ก้อนวิ่งออกไปตามคำสั่งงามตา งามตาเจ็บใจมาก

กล่ำกับแถนพาเฟื่องฟ้าวิ่งหนีมาในสวน ก้อนไล่ตามมาติดๆ แถนเห็นท่าไม่ดีรีบสั่งกล่ำ
“นังกล่ำ รีบพาเฟื่องฟ้าหนีไป ข้าจะสกัดไอ้ก้อนไว้”
กล่ำพยักหน้า รีบพาเฟื่องฟ้าวิ่งไปอีกทาง ก้อนวิ่งตามมาทัน แถนชี้ดาบใส่หน้ากันก้อนไว้ ก้อนมองแถนยิ้มเยาะเย้ยหยาม
“ไม่ได้เจอกันเสียนาน...ยังไม่ตายห่าอีกรึ ไอ้แถน”
“กูขอฆ่ามึงให้ตายโหงก่อน ไอ้ก้อน”
ก้อนพุ่งเข้าใส่ใช้ดาบฟัน แถนเบี่ยงตัวหลบแล้วฟันก้อนคืน ก้อนหลบได้เข้าไปฟันแถนกลับ แถนเอาดาบกันไว้ สองคนยื้อกันไปมา
แต่ทันใดนั้นก็มีคนเอาไม้ฟาดแถนจากด้านหลัง ร่างแถนทรุดลงไปกับพื้น เป็นฝีมือของงามตาทิ้งไม้ลงกับพื้น หันไปสั่งก้อน
“ไปจับนังเฟื่องฟ้ามา เร็ว”
ก้อนผละจากแถน วิ่งตามเฟื่องฟ้ากับกล่ำไป กล่ำใกล้จะหมดแรงเต็มทน พาเฟื่องฟ้าวิ่งหนีไปอย่างทุลักทุเล
ก้อนกับงามตาตามมาถึงตัวเฟื่องฟ้า กระชากตัวไว้ กล่ำร้องกรี๊ด ก้อนเงื้อดาบสุดแขนจะฟันเฟื่องฟ้า
แต่แล้วจู่ๆ ท้องฟ้าก็มืดครึ้มขมุกขมัวน่ากลัว ลมพัดโหมแรง ดาบที่ก้อนกำลังจะฟันเฟื่องฟ้ากระเด็นหลุดมือไปทั้งที่ไม่มีใครจับ ก้อนตกใจ ลมพัดมาวูบหนึ่ง เย็นยะเยือกชวนขนลุก ก้อนหันไป ยินเสียงฝีเท้าคนย่ำไปตามพื้นดังขึ้น
เฟื่องฟ้าเงยหน้าขึ้นมอง เห็นวิญญาณไต้ก๋งชางปรากฏร่างขึ้น

ฝั่งก้องภพฟังเรื่องของงามตาจากรำเพยจบ ถึงกับนิ่งงันไปครู่หนึ่ง หัวใจเหมือนดำดิ่งลึกลงสู่ความมืดมิด
“ผมไม่เคยรู้เลยว่าเรื่องเป็นเช่นนี้”
“คุณจะไม่เชื่อก็ได้ แต่ฉันกล้ายืนยันว่าไม่ได้โกหก”
“ผมไม่คิดว่าแม่...จะทำเรื่องเลวร้ายได้ถึงพียงนั้น”
“มันเป็นเรื่องในอดีตที่ผ่านมานานมากแล้ว สำหรับฉันมันเลวร้ายเกินจะให้อภัย ทีนี้ คุณยังอยากช่วยฉันอยู่หรือไม่”
รำเพยถามลองเชิงออกไป ก้องภพคิดหนัก แววตาดูสับสน
“ผมอยากจะพิสูจน์อะไรบางอย่างก่อน คุณรำเพยรออยู่ที่นี่ก่อนได้ไหมครับ หากผมแน่ใจแล้วผมจะกลับมา รับรองว่าคุณจะปลอดภัย”
รำเพยพยักหน้ารับแล้วเงียบไป ก้องภพค่อยๆ ลุกขึ้นแล้วเดินออกไป รำเพยมองตามจับสังเกตท่าทีของผู้พิพากษาหนุ่ม

ท้องฟ้าแปรเปลี่ยนเป็นมืดครึ้มน่ากลัวขึ้นมาทันทีที่ไต้ก๋งชางปรากฏร่างขึ้น ก้อนตกใจผงะถอยหนี วิญญาณไต้ก๋งชางตะโกนเสียงดังลั่น
“กูไม่ยอมให้มึงทำอะไรลูกกูเด็ดขาด”
สิ้นคำ ก้อนกับงามตาก็ยกมือขึ้นบีบคอตัวเอง
ดวงตาไต้ก๋งชางตาเปลี่ยนเป็นสีแดงมองมาอย่างอาฆาตแค้น แรงที่บีบคอสองคนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนทั้งคู่ทรุดลงไปดิ้นกับพื้น ใกล้จะขาดใจ ไต้ก๋งชางตะโกนบอกลูก
“เฟื่องฟ้า รีบหนีไป”
เฟื่องฟ้ายันตัวลุกขึ้นดึงกล่ำไปช่วยพยุงแถนที่บาดเจ็บขึ้นมา รีบพากันหนีไป
ไต้ก๋งชางบีบคองามตากับก้อนแรงขึ้นอีก เค้นถามเรื่องร่างของตน
“พวกมึงเอาร่างกูไปซ่อนไว้ที่ไหน”
งามตาบีบคอตัวเองหายใจแทบไม่ออก แต่ก็ไม่ยอมบอก
“กูไม่บอก”
“บอกมาว่าเอาร่างกูไว้ที่ไหน”
งามตากับก้อนสำลักใกล้จะขาดใจ ไต้ก๋งชางคิดจะทำให้งามตากับก้อนตายคามือ แต่แล้วมือของไต้ก๋งชางก็ถูกทำให้หยุดชะงักไป ชางตกใจ มองไปมุมหนึ่ง
ผีพรายจำนวนเป็นสิบๆตัวพุ่งเข้ามาใส่ไต้ก๋งชาง /งามตากับก้อนปล่อยมือตัวเอง
หมอผีอินเดินเข้ามา พนมมือท่องคาถาไปด้วย ไต้ก๋งชางตกอยู่ในวงล้อมผีพรายพยายามสู้และตะกายออกมา หมอผีอินท่องคาถาต่อเนื่องไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงบทสุดท้าย
จอมอาคมหยิบข้าวสารเสกออกมา ปาไปที่วิญญาณไต้ก๋งชาง ไต้ก๋งชางร้องโหยหวนก่อนร่างจะสลายไป

เฟื่องฟ้า กล่ำ แถนรีบวิ่งออกมา ช่วยกันมองหาทางหนี ทั้งสามคนวิ่งมาถึงทางแยกแห่งหนึ่ง แถนเสนอขึ้น
“ไปที่ท่าน้ำเถิด เราอยู่ที่นี่ต่อไปไม่ได้แล้ว”
“ฉันเป็นห่วงแม่ แม่หายไปไหนก็ไม่รู้”
“คุณรำเพยอาจจะหนีไปแล้วก็ได้ เรารีบหนีไปตั้งหลักกันเถอะ”
เฟื่องฟ้าพยักหน้าเห็นด้วย ช่วยพยุงแถนที่ได้รับบาดเจ็บไปด้วยมุ่งหน้าไปทางท่าน้ำ
จู่ๆ ก็มีคนกระโดดออกมาขวางไว้
“หยุดนะ”
เฟื่องฟ้าตกใจผงะถอย กล่ำกรี๊ด แถนรีบชูดาบขึ้นมาป้องกันทั้งสองคน
“น้าอบเชย” เป็นอบเชยนั่นเอง
อบเชยออกมายืนขวางทั้งสามคนไว้ เห็นสภาพทั้งสามคนก็หัวเราะขำ
“ฮะๆๆ ดูไม่ได้เลย ฮะๆ”
กล่ำมองจ้องอีกครั้ง ตกใจที่เห็นสภาพอบเชย
“นี่มันนังอบเชยไม่ใช่รึ”
อบเชยเอามือชี้หน้าเฟื่องฟ้า
“เธอ”
กล่ำกับแถนรีบเอาตัวกันเฟื่องฟ้าไว้ แต่อบเชยก็พุ่งเข้ามาดึงตัวเฟื่องฟ้าออกไปด้วยกัน
“มากับฉัน เธอต้องมากับฉัน”
อบเชยพยายามจะลากตัวเฟื่องฟ้าไปให้ได้ แถนกับกล่ำช่วยกันไว้อย่างแข็งขัน
“นังนี่ จะทำอะไรเฟื่องฟ้า หยุดนะ”
อบเชยยังไม่ยอมง่ายๆ กล่ำกับแถนผลักออกกี่ที แต่ก็ไม่ยอมแพ้
แถนกะกล่ำช่วยกันดึงตัวอบเชยออกไป อบเชยตะโกนบอกเฟื่องฟ้า
“ไปที่วัด...วัด...นายท่าน”
เฟื่องฟ้าชะงัก บอกแถนกะกล่ำให้ปล่อย “มีอะไรที่นั่นหรือ...ลุงแถน น้ากล่ำ ปล่อยเขาก่อนเถอะจ้ะ”
ทันทีที่เป็นอิสระ อบเชยถลาเข้ามาจับมือเฟื่องฟ้า
“ไปกับฉัน...ไปนะ ไปกัน ไปหานายท่าน”
“นายท่าน หมายความว่าอย่างไร” เฟื่องฟ้างงใหญ่
อบเชยพึมพำคนเดียว “นายท่าน...ที่วัด องค์พระกลางแจ้ง ไปเร็ว”
เฟื่องฟ้าขมวดคิ้วพยายามคิด แล้วก็ตาโตขึ้นมา นึกออกว่าอบเชยเคยพูดไปแล้ว
“องค์พระอย่างนั้นหรือ”
อบเชยพยักหน้าตาเบิกโพลง นึกถึงเรื่องราวในอดีต

วัดลำพระพายตอนกลางคืน พระจันทร์เต็มดวง หมอผีอินถือยกห่อผ้าขาวที่มีสายสิญจน์ห่อเถ้ากระดูกไต้ก๋งชางอยู่ โดยมีงามตาตามมาด้วย
งามตามองซ้ายขวาระวังให้ ทั้งสามเดินลับๆ ล่อๆ จนมาถึงพระนอนที่ตั้งอยู่กลางแจ้งในป่าวัดลำพระพาย หมอผีอินมองไปรอบๆแล้วไม่เห็นว่ามีคนตามมาจึงสั่งก้อน
“ตรงนี้แหละ เร็วเข้า”
“เหตุใดต้องเป็นใต้องค์พระนี่เล่าพ่อหมอ”
“เพราะพุทธคุณจะช่วยสะกดไอ้ผีร้ายนั่นไม่ให้ออกมาได้อย่างไรเล่า อีกอย่างที่นี่ก็ห่างไกลผู้คน ไม่มีใครสังเกตเห็นได้ง่ายแน่”
“รีบเข้าเถิด อย่าเสียเวลาอยู่เลย”
ก้อนพยักหน้ารับเอาคำ แล้วเริ่มขุดดินใต้ต้นก้ามปูตามที่งามตาบอก

ว่าที่หลังต้นไม้ใหญ่ไม่ไกลจากบริเวณนั้น อบเชยมองจ้องดูอยู่ด้วยสีหน้าหวาดกลัว เมื่อเห็นก้อนกับงามตาเอาเถ้ากระดูกไต้ก๋งชางลงไปฝังในหลุมแล้วช่วยกันกลบดินอย่างรีบเร่ง

โดยที่สามชายโฉดหญิงชั่วไม่รู้ตัว

อ่านต่อตอนที่19


กำลังโหลดความคิดเห็น