xs
xsm
sm
md
lg

เสน่ห์นางครวญ ตอนที่ 16

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


เสน่ห์นางครวญ ตอนที่ 16

บทประพันธ์ : หงส์หยก บทโทรทัศน์ : พิชฌสินี

งามตาสะดุ้งตื่น เหงื่อกาฬผุดเต็มหน้า มองไปรอบๆ อย่างหวาดผวา รีบเอามือจับดูเครื่องรางที่คอ เมื่อพบว่ายังอยู่ ก็โล่งใจที่เป็นเพียงฝันร้าย

“โล่งอกไปที” งามตากำเครื่องรางแน่นพึมพำกับตัวเอง “ไม่…กูไม่ได้เอาของมึงไปมึงทำตัวมึงเอง กูไม่ได้ทำ”
งามตาหายใจหอบถี่ เนื้อตัวสั่นสะท้าน พอจะล้มตัวลงนอนอีก เสียงลมหวีดหวิวดังขึ้น และดังขึ้นๆ จนกระทั่งหน้าต่างปิดมาประแทกเสียงดังโครม เสียงหมาหอนดังโหยหวน ตามมาด้วยเสียงฝีเท้าคนเดินไปมารอบเรือน
งามตาเริ่มหลอน เอามือปิดหู แต่เสียงนั้นก็ไม่หายไปง่าย
“กูไม่ได้ทำ ฮือ…กู…ไม่ได้ทำ”
เสียงฝีเท้าดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง แล้วมีเสียงไต้ก๋งชางดังตามมา
“เอาของกูคืนมา…เอาคืนมา…”
งามตาเอามือปิดหู ไม่อยากฟัง
“ไป ไปให้พ้น”
“เอาของกูคืนมา”
“ไป๊”
“เอาของกูคืนมา”
งามตาทนไม่ไหวยกสองมือมือปิดหู กรีดร้องลั่นด้วยความหวาดกลัว
วิญญาณไต้ก๋งชางยังวนเวียนอยู่รอบๆ เรือน ไม่สามารถเข้ามาได้ เพราะมีสายสิญจน์ล้อมอยู่ ได้แต่มองไปที่ห้องงามตาอย่างอาฆาตแค้น

ด้านก้องภพกำลังนอนหลับอยู่ เสียงร้องเอะอะของงามตาปลุกให้เขาสะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึก
“ออกไป ออกไป”
ก้องภพตื่นขึ้นมามั่นใจว่าเป็นเสียงงามตา
“คุณแม่”
ก้องภพรีบลุกออกไปทันที

ก้องภพเปิดประตูเข้ามาในห้อง เจองามตานั่งปิดหูตัวเองพูดเพ้อเจ้อฟังแทบไม่เป็นคำอยู่คนเดียว
“เอามันออกไป อย่าให้มันเข้ามา…อย่า ฮือ”
ก้องภพเข้าไปดูแม่พูดปลอบ
“คุณแม่ครับตั้งสติไว้นะครับ”
“ไอ้ผีร้ายนั่นมันจะทำร้ายฉัน ไล่มันออกไปที ออกไป”
“ไม่มีผีที่ไหนทั้งนั้นนะครับ นี่ผมเอง ผมไม่ทำร้ายคุณแม่หรอกนะครับ”
“มี นั่นไง มันอยู่นั่น”
งามตาชี้มั่วไปรอบๆ ก้องภพมองตามแต่ไม่เห็นมีอะไร
“ไม่มีใครเลยนะครับ ผมให้คนเฝ้ายามไว้รอบบ้านแล้ว ไม่มีใครเข้ามาทำอะไรคุณแม่ได้หรอกนะครับ”
“ไม่ อย่างไรมันก็เข้ามาได้ มันไม่ใช่คนเหมือนพวกเรา พ่อก้อง พ่อก้องช่วยแม่ด้วยไอ้ไต้...” งามตานึกขึ้นได้ว่าไม่ควรพูดชื่อไต้ก๋งจึงเปลี่ยนคำ “ไอ้ผีบ้ามันจะทำร้ายแม่ ช่วยแม่ด้วย”
พร้อมกับว่างามตาจับตัวก้องภพแล้วร้องคร่ำครวญไม่เลิก ก้องภพแปลกใจ
“ผีที่ไหนกันครับ ผมอยู่นี่แล้วไม่มีใครทำร้ายแม่หรอกครับ”
“พ่อก้องช่วยแม่นะ พ่อก้อง...”
งามตาเอาแต่ร้องไห้ มีท่าทีหวาดผวาตลอดเวลา จนก้องภพสงสารกอดปลอบแม่
“คุณแม่คงแค่ฝันร้าย ไม่มีอะไรแล้วนะครับ มันเป็นแค่ฝันเท่านั้น”
ก้องภพลูบหลังแม่ งามตาอุ่นใจค่อยๆ สงบลง

ก้อนนอนอยู่ในเรือนบ่าวชาย เริ่มออกอาการกระสับกระส่ายนอนไม่หลับเหมือนกับงามตา
ลมแรงพัดวูบเข้ามาทางหน้าต่าง ทำให้บานหน้าต่างเปิดปิดสลับกันเกิดเสียงดังปึงปัง
ก้อนลุกขึ้นในอาการงัวเงีย ยื่นมือไปดึงหน้าต่างปิด แล้วจะล้มตัวลงนอนต่อ แต่ยังไม่ทันได้นอน ลมก็พัดหน้าต่างเปิดอีก ก้อนเริ่มรำคาญ
“อะไรวะ”
ก้อนลุกขึ้นไปปิดหน้าต่างอีกรอบ แต่ยังไม่ทันได้ทำอะไร เสียงหัวเราะก็ดึงขึ้น
“ฮ่าๆๆ”
“เสียงผู้ใดกัน”
เสียงหัวเราะดังขึ้นอีก ก้อนพยายามไม่คิดมาก แต่เสียงหัวเราะก็ยิ่งดัง ก้อนอดคิดไม่ได้
“ไม่ เป็นไปไม่ได้ จะเป็นมันไม่ได้ มันถูกหมอผีอินสะกดวิญญาณไว้แล้ว มันไม่มีทางออกมาได้อีก”
ขาดคำ ก้อนก็ยกมือขึ้นมาบีบคอตัวเองหมับ ก้อนตกใจสุดขีดจะเอามือออกก็ไม่เป็นผล ยิ่งขัดขืนมือก็ยิ่งบีบแน่น
เสียงของไต้ก๋งก็ดังขึ้นอีก
“คนชั่วเช่นมึง เหมาะแล้วที่จะตายตกไปตามกู”
ก้อนตกใจ ถอยเท้าเรื่อยเข้าไปในห้องแล้วล้มหงายหลังมือยังบีบคอตัวเองไว้ดวงตาเริ่มเหลือกลาน
“ไม่...อย่า...ไม่ อย่าทำข้า”
มีใครคนหนึ่งก้าวเข้ามาในห้อง ก้อนเงยหน้าขึ้นมองปรากฏว่าเป็นใบหน้าไต้ก๋งชางสภาพน่าเกลียดน่ากลัว อยู่ใกล้แค่คืบ
ก้อนพยายามขยับตัวหนี ปลายเท้าถีบยันไปตามที่นอน ท่าทีทุรนทุรายทรมาน
“ไอ้ก้อน…วันนี้คือวันตายของมึง”
“ไม่”
ก้อนตะโกนลั่นเรือน ดันตัวลุกขึ้นอย่างยากลำบากยากเย็น แล้ววิ่งหนีลงเรือนไปโดยไม่คิดชีวิต

ก้อนวิ่งบีบคอตัวเองลงมาหน้าเรือนร้องโหวกเหวกโวยวายให้คนช่วย ท่าทีทุรนทุราย
“ช่วยด้วย ช่วยกูด้วย”
ก้อนทรุดลงตรงบันไดหน้าเรือน มือยังบีบคาคอไว้อย่างนั้น โดยมีเสียงหัวเราะของไต้ก๋งชางดังไปทั่วบริเวณ ก้อนเบิกตาโพลง ใกล้จะขาดใจเต็มทน
ระหว่างนี้มีบ่าวชายสองคนเดินมาเห็นพอดี
บ่าว1 มองไม่ถนัดตานัก “นั่นใครน่ะ เหตุใดมาโวยวายอยู่หน้าเรือน”
บ่าย2 จำได้ “นั่นพี่ก้อนไม่ใช่รึ”
ก้อนเหลือบตามองบ่าวทั้งสองคน พยายามร้องตะโกนให้ช่วยแต่ไม่มีเสียง บ่าวทั้งสองคนวิ่งมาดูใกล้ๆ เห็นก้อนดิ้นทุรนทุรายอยู่กับพื้นก็ตกใจ
“นี่มันอะไรกัน พี่ก้อนละเมอรึ” บ่าว1ประหลาดใจ
บ่าว2 จับตัวก้อนเขย่าเรียกสติ “พี่ก้อน เป็นอะไรไป พี่ก้อน”
ก้อนยังดิ้นไม่หยุด สองคนมองหน้ากันเลิ่กลั่กทำอะไรไม่ถูก
“หรือจะถูกพวกของเขมร”
“ข้ามีพระ เอานี่สวมให้พี่ก้อนเถิด”

พระอาทิตย์ใกล้จะขึ้นทุกที เสียงไต้ก๋งชางหัวเราะดังขึ้น ขณะที่ก้อนกำลังจะขาด พระของบ่าวชายคนนั้นก็ถูกสวมให้ก้อนพอดี
ทันใดนั้นเสียงหัวเราะของไต้ก๋งชางก็เงียบไป พร้อมกับพระอาทิตย์ที่เพิ่งขึ้นพอดี
ก้อนนอนแผ่หลากับพื้น หมดแรง แต่โล่งใจที่รอดมาได้
วันรุ่งขึ้น เฟื่องฟ้ากำลังนอนหลับอยู่รำเพยก็เดินเข้ามาเรียกถึงในห้อง
“เฟื่องฟ้า ตื่นเถิด เช้าแล้วยังไม่รีบไปทำงานอีกรึ”
เฟื่องฟ้าสลึมสลือลุกขึ้นมา มองออกไปนอกหน้าต่างพบว่าท้องฟ้าเพิ่งสว่างระเรื่อก็แปลกใจ
“แม่จะให้ฉันเตรียมตัวไปสอนก็คงไม่ได้แล้วล่ะจ้ะ เพราะฉันลาออกจากที่นั่นแล้ว”
รำเพยยิ้ม ลูบผมเฟื่องฟ้าอย่างแสนรัก
“แม่รู้จ้ะ”
“งั้นลูกก็นอนต่อได้ใช่มั้ยจ๊ะ”
เฟื่องฟ้าจะล้มตัวลงนอนต่อ รำเพยเอ่ยขึ้นว่า
“ลูกตอบรับงานที่เรือนดอกเหมยแล้วไม่ใช่หรือ จะไม่ไปก็ตามใจนะ”
เฟื่องฟ้าตาลุกวาวด้วยความประหลาดใจรีบลุกขึ้นมา แทบไม่อยากจะเชื่อว่าแม่จะยอมจริงๆ
“นี่มันอะไรกันจ๊ะแม่ ตกลงแม่อนุญาตให้ฉันทำงานนี้แล้วใช่ไหม”
รำเพยพยักหน้าให้ “แม่คิดทบทวนแล้ว ว่าต่อให้ห้ามก็คงห้ามไม่ได้ สู้ให้ลูกได้ทำตามอย่างที่ใจต้องการคงจะดีกว่า”
“แม่ไม่กลัวฉันเป็นอันตรายแล้วหรือจ๊ะ”
“แม่ที่ไหนก็ห่วงลูกตัวเองทั้งนั้น แต่แม่ลืมคิดไปว่าห่วงนั้นไม่ควรผูกคอจนลูกให้ไปไหนไม่ได้ แล้วแม่ก็ไม่ควรหนีปัญหาอีกต่อไป”
รำเพยลูบหัวเฟื่องฟ้า น้ำตาคลอ
“ไปเถิดเฟื่องฟ้า ทำสิ่งที่ลูกควรทำ แม่เชื่อว่าหากเราตั้งมั่นในศีลในธรรม พระย่อมคุ้มครอง ทุกปัญหาหรือเรื่องร้ายๆ ที่เข้ามา ลูกจะผ่านมันไปได้”
“ขอบคุณนะจ๊ะแม่ ฉันจะดูแลตัวเองให้ดี ฉันจะไม่ทำให้แม่เป็นห่วง”
“จำไว้เสมอนะว่าลูกเป็นแก้วตาดวงใจของแม่ แม่มีลูกอยู่คนเดียว ถ้ามีอะไรเกิดขึ้น ต้องบอกแม่เร็วที่สุดเท่าที่ทำได้ เข้าใจหรือไม่”
เฟื่องฟ้าพยักหน้ารับเอาคำแม่ ยิ้มชื่น ดีใจที่รำเพยเข้าใจ

ตอนสายวันนั้นเอง เฟื่องฟ้าหิ้วกระเป๋าสัมภาระพาตัวเองมาหยุดยืนอยู่ที่หน้าเรือนดอกเหมย ด้วยแววตามุ่งมั่นมาดหมายว่าจะค้นหาความจริงให้ได้ สักครู่หนึ่งเห็นก้องภพเดินเข้ามาหา เรียกจากทางด้านหลังด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นดีใจ
“เฟื่องฟ้า”
เฟื่องฟ้าหันไปหาเห็นเป็นก้องภพก็นึกดีใจ แต่ทำเป็นเชิดๆ เหมือนไม่สนใจ
“ฉันดีใจที่เธอกลับมาตามสัญญานะ”
“ฉันรักษาคำพูดของฉันเสมอ ตอนนี้แม่ก็อนุญาตแล้ว ฉันจะได้เริ่มงานที่เรือนดอกเหมยทันทีใช่หรือไม่”
“ใช่ เธอเริ่มงานได้ทันทีตำแหน่งนางเอกงิ้วเรือนดอกเหมยเป็นของเธอแล้ว”
“แล้วเรือนดอกเหมยก็จะเป็นที่พักของฉันหรือ”
“ตามที่ฉันได้ตกลงกับเธอไว้นั่นล่ะ แต่เธอมั่นใจหรือว่าจะอยู่ที่นั่นคนเดียวได้”
“เพราะอะไรฉันจะอยู่คนเดียวไม่ได้”
ก้องภพพูดเหมือนมีอะไรซุกซ่อนอยู่ในน้ำคำ
“ไม่มีอะไร ฉันแค่กลัวเธอไม่สะดวกสบายเท่านั้น”
เฟื่องฟ้าคิดตาม
“ถ้าคุณกลัวเรื่องนั้น ฉันก็ขอให้นมขามมาอยู่เป็นเพื่อนที่เรือนด้วยได้หรือไม่”
“นมขามรึ ทำไมจึงเป็นนมขาม”
ก้องภพมองจ้องสีหน้าฉงน เฟื่องฟ้ารีบแก้ต่าง
“คราวก่อนฉันเจอแล้วเกิดถูกชะตา เลยคิดว่าถ้ามีผู้ใหญ่อยู่ด้วยสักคนก็คงอุ่นใจ”
ก้องภพคิดปราดเดียวก็ตอบตกลง
“ส่วนตัวฉันไม่มีปัญหาถ้าคุณนมตกลง ฉันก็ยินดี”
เฟื่องฟ้าแปลกใจนิดๆ ที่ก้องภพยอมง่ายๆ แต่ก็ยิ้มบอกขอบคุณเขาออกไป
“ขอบคุณมากคุณก็เป็นเจ้านายที่…พอใช้ได้อยู่เหมือนกัน”
“พอใช้ได้เองหรอกหรือ เธอพูดราวกับว่าฉันเคยเป็นพวกยักษ์มารใจร้ายอย่างนั้น”
“คุณจำไม่ได้หรือว่าตอนพบกันคราวแรก คุณก็หาว่าฉันเป็นขโมยเสียแล้ว นี่อยู่ๆ ก็มาให้งานทำ แถมทำดีสารพัด ไม่คิดว่ามันแปลกๆ หรืออย่างไร”
ก้องภพไม่เคยได้ยินหรือว่าคนเราไม่สามารถตัดสินกันได้ในการพบกันครั้งแรก
เฟื่องฟ้าก็…เคยบ้าง
“นั่นล่ะ ไม่ว่าฉันจะเห็นเธอเป็นอย่างไรในคราวแรก แต่ฉันเห็นแล้วว่าเธอมีฝีมือแถมนิสัยไม่เลวร้าย จึงอยากให้เธอมาทำงานที่นี่ด้วย”
เฟื่องฟ้ายังแอบคลางแคลงใจ
“อย่าด่วนตัดสินนักเลย คุณยังไม่รู้อะไรเกี่ยวกับฉันอีกมาก”
“เธอก็ไม่รู้เรื่องของฉันเช่นกัน แต่ ไม่เป็นไรเราต้องอยู่ร่วมเรือนกันอีกนานไว้เรียนรู้ทีหลังก็ยังไม่สาย”
ก้องภพยิ้มให้อย่างจริงใจ เฟื่องฟ้าทำเมินมองไปชมรอบๆ เรือน หลบสายตาเขา

ต่อมาก้องภพพาเฟื่องฟ้ามาหานมขามที่เรือนบ่าว คุณนมรู้ว่ารำเพยอนุญาตให้เฟื่องฟ้ามาทำงานที่นี่ก็ดีใจมาก
“ในที่สุด คำขอของฉันก็ได้ผล ฉันดีใจจริงๆหนูเฟื่องฟ้า”
“ฉันก็ดีใจค่ะแล้วก็แปลกใจด้วย ไม่คิดว่าแม่จะยอมจนได้”
“คงเป็นเพราะชะตาลิขิตไว้แล้วจริงๆ ยินดีต้อนรับสู่เรือนลำพระพายนะหนูเฟื่องฟ้า”
“ค่ะ คุณนม”
นมขามยิ้มกว้างเข้าไปลูบเนื้อตัวเฟื่องฟ้าอย่างสุขใจ ก้องภพยิ้มพลางเอ่ยขึ้น
“เอาล่ะ ทักทายกันเสร็จเรียบร้อย ก็แยกย้ายไปเก็บข้าวของเถอะครับนมก็ด้วย ต้องย้ายไปอยู่เรือนใหม่แล้วนะครับ”
“เจ้าค่ะคุณก้อง”
“ผมให้นมย้ายเรือนกระทัน นมคงไม่ว่าอะไรใช่ไหม”
“ไม่เป็นไรเลยเจ้าค่ะ นมยินดี นมจะช่วยดูแลหนูเฟื่องฟ้าเองนะเจ้าคะ”
นมขามกลับเข้าไปเก็บของในเรือน เฟื่องฟ้าหันมาทางก้องภพ
“ฉันขอตามไปช่วยคุณนมนะ”
ก้องภพพยักหน้าให้ เฟื่องฟ้าเดินตามคุณนมไปในเรือน
ก้องภพลอบสังเกตท่าที พอดูออกว่าสองคนนี้เหมือนรู้จักมักคุ้นกันอย่างดี ได้แต่เก็บความสงสัยไว้

งามตาแทบเต้น เมื่อบุหลันมาฟ้องเรื่องก้องภพรับเฟื่องฟ้ามาทำงาน
“พ่อก้องนะพ่อก้อง สุดท้ายก็พาแม่นางเอกงิ้วนั่นมาจนได้”
“ใช่เจ้าค่ะคุณนาย บุหลันเห็นมันหอบผ้าหอบผ่อนเดินยิ้มระรื่นมาตั้งแต่ขึ้นจากนท่าน้ำ ดูระริกระรี้อยากจะเข้ามาอยู่ที่นี่เสียเต็มแก่ น่าหมั่นไส้นักเจ้าค่ะ”
“ลูกฉันนี่มันดื้อนัก เตือนสิ่งใดไม่เคยฟังจริงๆ…แล้วนี่นอกจากพ่อก้องแล้วมีใครเห็นดีเห็นงามเรื่องนี้อีกหรือไม่”
บุหลันแสร้งทำเป็นคิดหนัก
“ถ้าจะมี ก็คงเป็นคุณนมขามเจ้าค่ะ รายนั้นต้อนรับขับสู้แม่นางงิ้วเสียอย่างดีเชียว”
“เอ็งว่าอย่างไรนะ นมขามน่ะหรือ”
“เจ้าค่ะ ไม่รู้แม่นางงิ้วนั่นไปประจบสอพลออะไร นมขามที่ปกติหน้าหงิกอย่างกับยักษ์ถึงเอ็นดูอย่างกับลูกกับหลาน”
งามตาลุกพรวด เดินวนไปทั่ว เริ่มไม่สบายใจ
“ไม่จริง ทำไมไม่มีอะไรได้ดั่งใจฉันสักอย่าง”
“บุหลันก็ไม่ทราบเจ้าค่ะว่าคนในเรือนเป็นอะไรกันไปหมด นี่คงจะไม่มีใครเห็นหัวคุณนายแล้วกระมังจึงทำอะไรข้ามหน้าข้ามตา ไปไม่ลามาไม่ไหว้เช่นนี้”
งามตาฟังแล้วก็โกรธสุดขีด บุหลันลอบยิ้มเจ้าเล่ห์ที่ใส่ไฟงามตาได้
ก้องภพเดินนำเฟื่องฟ้ากับนมขามมาที่เรือนใหญ่ในเวลาต่อมา งามตาเดินลงบันไดมาเห็นก็ทำเชิดใส่ พูดประชดประชันใส่เฟื่องฟ้าที่ยืนนิ่งอยู่ข้างนมขามหลังก้องภพ
“หึ ในที่สุดก็โผล่หน้ามาให้เห็นกันได้แล้วหรือ ฉันนึกว่าจะเข้ามาอยู่เสียเฉยๆ เจอหน้าก็เดินข้ามหัวเหมือนไม่เห็นกันเสียอีก”
“ทำไมคุณแม่พูดอย่างนี้ล่ะครับ ความจริงผมก็ตั้งใจจะพามากราบคุณแม่อยู่แล้ว เพียงแต่ยังจัดการอะไรไม่เรียบร้อยเท่านั้น”
“แม่ก็เคยสอนพ่อก้องแล้วไม่ใช่หรือ ว่าเวลามีผู้อาศัยใหม่ก็ควรจะมาไหว้ผู้ใหญ่ก่อน แล้วเหตุใดพ่อก้องจึงลืม”
งามตามองเฟื่องฟ้าเหยียดๆ
“หรือว่าจะติดนิสัยพวกไพร่ แถวนี้มาเสียแล้ว”
เฟื่องฟ้ายืนนิ่ง ไม่พอใจเท่าไรแต่ก็อดทนไว้ ก้องภพช่วยเฟื่องฟ้า
“ผมไม่ลืมครับแต่ผมตั้งใจทำเช่นนี้เอง หากไม่ถูกใจ ผมต้องขอโทษคุณแม่ด้วย”
“เอาเถิด เรื่องนั้นแม่ไม่ได้ติดใจหนักหนาหรอก แต่ที่ติดใจคือการที่พ่อก้องเลือกผู้ใดก็ไม่ทราบมาอยู่เรือนดอกเหมยต่างหาก”
“คุณแม่หมายความว่าอย่างไรครับ”
งามตามองไปยังนมขามด้วยแววตาเย้ยหยัน ขณะพูดขึ้น
“ลูกไม่รู้หรือที่เรือนนั่นไม่ใช่ว่าใครจะอยู่ก็ได้ ต้องได้รับการคัดเลือกจากเจ้าของเรือนแล้วเท่านั้น”
นมขามชะงัก นึกฉุน ไม่คิดว่างามตาจะเอาเรื่องนี้มาพูดเหน็บแนมตนอีก
“เหตุใดต้องคัดเลือกด้วยครับ”
“ก็เพราะต้องเป็นคนที่เหมาะสมเท่านั้นน่ะสิ” งามตาจ้องหน้านมขาม “ฉันพูดถูกไหมนมขาม คนไร้หัวนอนปลายเท้าน่ะ อย่างมากก็แค่ได้ทำงานในเรือนครัวเท่านั้น”
นมขามตอบไปอย่างใจเย็น
“แต่คุณก้องที่เป็นทายาทของไต้ก๋งก็เป็นคนเลือกแล้ว จะบอกว่าเฟื่องฟ้าไม่เหมาะสมได้อย่างไรกันล่ะเจ้าคะ”
“ไม่เหมาะสมก็คือไม่เหมาะสมฉันเป็นเจ้าของเรือนนี้ มีสิทธิ์ทุกอย่างที่จะตัดสินใจ อย่างไรแม่นางงิ้วนี่ก็ต้องไปอยู่เรือนบ่าว”
นมขามได้แต่เจ็บใจ งามตายิ้มเยาะสะใจ ก้องภพไม่เห็นด้วย
“แต่ผมจ้างเฟื่องฟ้ามาเป็นนางเอกงิ้วแล้วก็สอนงิ้วที่นี่นะครับ”
“นางเอกกับครูสอนงิ้วพวกนี้ หาจากที่ไหนก็ได้ ให้อัฐมากๆ เข้าขี้คร้านจะแห่กันคลานเข้ามาหาถึงเรือน ไม่จำเป็นต้องเป็นแม่เฟื่องฟ้านี่”
ก้องภพค้านเต็มที่ “คุณแม่ครับ”
งามตาหันมาทางเฟื่องฟ้า “อย่างไรฉันก็จะให้อยู่เรือนบ่าว อยู่ได้หรือไม่เล่า ถ้าไม่ได้ก็เชิญกลับเรือนหล่อนไปได้เลย”
ก้องภพตั้งท่าจะเถียงอีก เฟื่องฟ้าไม่อยากให้วุ่นวายเลยแทรกขึ้น
“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะคุณก้อง” ก้องภพหันมามอง เฟื่องฟ้าบอกกับงามตาอย่างไม่กลัวเกรง “ดิฉันเป็นคนอยู่ง่ายกินง่าย ให้ดิฉันอยู่ที่ไหนก็ได้เจ้าค่ะ”
งามตาเหยียดยิ้มดูแคลน “ดีนี่ หล่อนก็น่าจะคุ้นกับพวกเรือนซอมซ่อ คงอยู่ได้ไม่เรื่องมาก”
“เจ้าค่ะ เรือนซอมซ่อเท่าใดดิฉันก็อยู่ได้ เพราะดิฉันอยู่ด้วยความสบายใจ ไม่เหมือนกับบางคนที่อยู่เรือนใหญ่แต่ใจคับแคบ คนเช่นนั้นให้อยู่ที่ใดก็ไม่มีทางอยู่มีความสุขได้หรอกเจ้าค่ะ”
เฟื่องฟ้ายิ้มในสีหน้าไม่ยี่หระ นมขามพลอยสะใจไปด้วย งามตาได้แต่เจ็บใจ
บุหลันพาเฟื่องฟ้ามาดูที่พักในเรือนบ่าวหญิง ทำเป็นมีน้ำใจช่วยถือของให้ แต่พอมาถึงก็โยนทิ้งโครมโดยไม่ใยดี และหันมาวางอำนาจบอกใส่หน้าเฟื่องฟ้า ด้วยท่าทางเหยียดหยาม
“ที่นี่เรือนบ่าว เอ็งจะต้องนอนรวมกับทุกคนที่นี่ ถึงเวลาตอนเข้าต้องออกไปช่วยงานในครัว นอกนั้นก็แล้วแต่คุณท่านบนเรือนจะเรียก เข้าใจหรือไม่
“เข้าใจจ้ะ”
เห็นเฟื่องฟ้ารับเอาคำโดยง่าย บุหลันยิ่งได้ใจ
“เข้าใจก็ดี จะได้อยู่กับคนอื่นเขาได้ แล้วอย่าให้ข้าเห็นว่าเอ็งขี้เกียจกินบนเรือนขี้รดบนหลังคาล่ะ ไม่อย่างนั้นข้าไม่เอาเอ็งไว้แน่”
“ไม่มีทางจ้ะ แม่สอนฉันเสมอว่าไปอยู่บ้านท่านอย่านิ่งดูดาย เมื่อท่านให้ข้าวให้น้ำเราก็ต้องทำตัวให้เป็นประโยชน์มากที่สุด”
“ดูท่าแม่เอ็งจะสอนมาดีจริงนะ”
“จ้ะ แต่ต่อให้แม่ฉันไม่สอน มันก็เป็นเรื่องที่ต้องรู้อยู่แล้วไม่ใช่หรือ”
“แหม พูดจายอกย้อนนัก เอ็งว่าแม่เอ็งสอนดีนักใช่ไหม แล้วเหตุใดจึงปล่อยมาค้างอ้างแรมบ้านคนอื่นได้เล่า”
“เธอก็ทราบดี ว่าฉันมาที่นี่ในฐานะใด”
บุหลันยัวะ เข้าไปผลักเฟื่องฟ้ามองอย่างดูถูก
“ไม่จริงหรอก ข้าว่าเอ็งเอาเรื่องานมาบังหน้ามากกว่า ความจริงเอ็งมันก็พวกหญิงใจแตก เที่ยวไปค้างคืนที่โน่นที่นี่บ่อยๆ เสียจนชินแล้วมากกว่า”
เฟื่องฟ้าไม่พอใจ
“นี่เธอรู้ไหมว่ากำลังพูดดูถูกฉันอยู่”
“ข้าก็ไม่ได้พูดผิดไม่ใช่หรือ มีที่ไหน เข้ามาเล่นงิ้วได้เพียงวันเดียวก็ทำเป็นเจ็บออดอ้อนคุณก้องจนได้งานในเรือน ข้าไม่เรียกว่าแพศยาก็ดีถม”
เฟื่องฟ้ายิ้มหยัน “ทำเป็นว่าข้าเอ็งละดีนักหรือ ยอมรับมาเถิดว่าที่พูดจาเช่นนี้เพราะอิจฉาข้า”
“ใครกันอิจฉาเอ็ง”
“เอ็งนั่นแหละ ไม่เคยได้ยินหรือว่าคนที่ดีแต่พูดจาให้ร้ายคนอื่น มีแต่พวกที่ดีไม่พอ จึงได้แต่กดให้ผู้อื่นให้ดูต่ำกว่าตนเช่นนี้”
“อีเฟื่องฟ้า”
บุหลันเงื้อมือจะตบ เฟื่องฟ้ายื่นหน้าเข้าหาโดยไม่กลัวเกรง แต่แล้วชื่นก็เข้ามาขัดจังหวะเสียก่อน
“ข้าคิดอยู่แล้วว่าต้องอยู่ที่นี่”
บุหลันรีบลดมือลง หันไปถามชื่น
“มีอะไรนังชื่น”
“คุณนายท่านอยากให้ต้มน้ำกระเจี๊ยบให้ดื่ม ข้าเลยจะมาตาม”
“เดี๋ยวข้าไปทำเอง เอ็งจะไปไหนก็ไปเถิด”
บุหลันจะเดินออกไป แต่ชื่นขัดขึ้นก่อน
“เดี๋ยวก่อนนังบุหลัน”
“อะไรกันวะอีชื่น”
“เอ็งไม่ต้องไปทำ คุณนายท่านบอกว่างานนี้เป็นของเฟื่องฟ้า”
เฟื่องฟ้าประหลาดใจชี้ตัวเองงงๆ “ฉันหรือ”
“ใช่ เอ็งนั่นล่ะ รีบไปทำเถิด เดี๋ยวคุณนายท่านจะรอ”
เฟื่องฟ้าพยักหน้ารับงงๆ บุหลันฮึดฮัดขัดใจทำไมคุณงามตาไม่เรียกใช้ตน

ในเวลาต่อมา เฟื่องฟ้านำน้ำกระเจี๊ยบมาให้งามตาบนชานเรือนใหญ่
“น้ำกระเจี๊ยบเจ้าค่ะ”
งามตาปรายตามองแก้วน้ำกระเจี๊ยบแต่กลับไม่ยอมหยิบมาดื่ม
“มาก็ดี ฉันมีเรื่องอยากพูดกับหล่อน”
“เรื่องใดกันเจ้าค่ะ”
“เรื่องงานที่เรือนนี้ เมื่อครู่ฉันคงพูดจารุนแรงไปสักหน่อย แต่พอคิดทบทวนดูแล้วหากเป็นสิ่งที่พ่อก้องต้องการข้าก็คงขัดไม่ได้”
“เจ้าค่ะ”
“แต่หล่อนจำใส่หัวเอาไว้ ว่าอย่าคิดทะเยอทะยานใฝ่สูงจับพ่อก้องเด็ดขาด เพราะลูกข้าจะต้องได้ผู้หญิงสูงศักดิ์ที่คู่ควรกันเท่านั้น”
เฟื่องฟ้ารับฟังนิ่งๆ ตอบกลับไปโดยไม่กลัวเกรง
“ไม่ต้องห่วงเจ้าค่ะ เรื่องนั้นแม่ดิฉันสอนมาตั้งแต่เด็ก ว่าเกิดเป็นหญิงต้องรู้จักไว้ไว้ตัว อย่าได้วิ่งแร่เข้าหาผู้ชายก่อน เพราะมันจะดูไม่งาม”
งามตามองจ้อง “เอ็งรู้ดีนี่ว่าควรทำเช่นไร แล้วเพราะอะไรถึงได้แร่เข้ามาหาลูกข้าถึงเรือน”
“ดิฉันเข้ามาไม่ใช่เพราะตัวเอง แต่เป็นความต้องการของคุณก้องเจ้าค่ะ”
งามตาฉุนกึก “เอ็งจะโทษว่าเป็นเพราะลูกข้างั้นรึ”
“ดิฉันพูดด้วยความสัตย์จริงเจ้าค่ะ เหตุที่ดิฉันมาอยู่เรือนนี้เพราะต้องการทำงานเลี้ยงชีพ ไม่เคยอยากใช้วิธีอื่นเป็นทางลัดให้ตนสุขสบายหรือว่า คุณนายเคยเจอเรื่องเช่นนี้มาจึงกลัวเกิดเหตุซ้ำรอยเจ้าคะ”
เฟื่องฟ้ามองสบตางามตาคล้ายแฝงความนัยบางอย่างคำพูดนั้น
งามตาไม่พอใจ แต่ต้องข่มอารมณ์ไว้
“อย่ามาพูดเหมือนรู้ทุกอย่างดีหน่อยเลย”
“ดิฉันไม่ได้รู้ดีหรอกเจ้าค่ะ แต่ดิฉันพูดตามข้อเท็จจริง หากเราไม่เคยทำผิด เราก็ไม่จำเป็นต้องกลัวนี่เจ้าค่ะ”
งามตาแว้ดใส่ว่า “ข้าไม่ได้กลัว”
“ถ้าไม่กลัว ดิฉันก็ขอให้เราอยู่ร่วมกันอย่างสงบเถอะเจ้าค่ะ”
“เอ็งนี่มันไม่รู้จักเจียมตัวเสียจริง เป็นแค่บ่าวคิดอย่างไรมาสั่งสอนข้า”
“ดิฉันเป็นบ่าว แต่คุณนายอย่าลืมว่าดิฉันก็เป็นคนเช่นกัน แค่คนที่แท้ย่อมจะไม่ดูถูกผู้อื่นยกเว้น...ผู้นั้นจะลืมเสียแล้วว่าตนก็เคยมีแต่ตัว”
งามตาโกรธจัด หยิบแก้วน้ำกระเจี๊ยบสาดใส่หน้าเฟื่องฟ้าทันที
แต่เฟื่องฟ้ายังคงนั่งนิ่ง ไม่แสดงอาการใดๆ งามตาชี้หน้าไล่ตะเพิดด้วยความโมโห
“ทำเป็นปากดีเข้าไปเถิดเก่งจริงก็จงอยู่ในเรือนนี้ให้มันตลอดรอดฝั่งอย่าได้ตายเพราะความอวดดีของตัวเอง ออกไป ไปให้พ้นหน้าข้าเดี๋ยวนี้”
เฟื่องฟ้าลุกลงเรือนไปทันที งามตาโกรธจนตัวสั่น

ก้องภพกลับมาที่เรือนใหญ่ เจอเฟื่องฟ้าเข้าพอดี พอเห็นสภาพเลอะไปทั้งตัวก็ตกใจ
“เฟื่องฟ้า เกิดอะไรขึ้น ทำไม่เธอถึง...”
เฟื่องฟ้าคิดปราดเดียว โผเข้าไปหาทำท่าออดอ้อนใส่
“คุณก้อง ช่วยฉันด้วย...ฮือ”
“ใจเย็นก่อน เกิดอะไรขึ้น ค่อยๆ เล่า”
“ทำไมทุกคนถึงใจร้ายกับฉันอย่างนี้ ฉันเห็นคุณนายอยากดื่มน้ำกระเจี๊ยบฉันก็ทำให้ แต่คุณนายกลับเอาน้ำมาสาดหน้าฉัน” เฟื่องฟ้าเล่นละครอย่างสมบทบาท
ก้องภพตกใจ “คุณแม่รึ”
“ใช่ คุณแม่ของคุณนั่นแหละ ฉันเพิ่งเข้ามาอยู่ได้ไม่เท่าไรแท้ๆ ก็ทำกับฉันขนาดนี้แล้ว ต่อไปฉันจะอยู่อย่างไร”
เฟื่องฟ้าแสร้งทำเป็นร้องไห้เสียงดังให้งามตาได้ยิน ก้องภพงุนงงว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
ไม่นานนัก งามตาก็เดินลงเรือนมา
“พ่อก้อง กลับมาแล้วหรือ”
“คุณแม่”
“เข้ามาในเรือน แม่มีเรื่องจะคุยด้วย”
ก้องภพมองเฟื่องฟ้าท่าทางลังเล “แต่ว่า...”
“เข้ามาเดี๋ยวนี้ ปล่อยแม่นั่นไว้ตรงนั้น ถ้าพ่อก้องไม่เข้ามาก็ไม่ต้องมาคุยกันอีก”
งามตาขู่ แล้วเดินสะบัดขึ้นเรือนไปเลย เฟื่องฟ้าทำเป็นเช็ดน้ำตาป้อยๆ บอกก้องภพด้วยท่าทีน่าสงสาร
“คุณเข้าไปเถอะค่ะ ฉันอยู่ได้”
ก้องภพจำใจต้องตามขึ้นเรือนไป เฟื่องฟ้ามองตาม ด้วยสีหน้าเจ้าเล่ห์เพทุบาย

ไม่นานต่อมาเฟื่องฟ้ากลับมาที่ครัว นมขามเห็นสภาพเฟื่องฟ้าก็ตกใจว่าโดนอะไรมา
“คุณพระคุณเจ้า ทำไมเลอะเทอะไปทั้งตัวเยี่ยงนี้ ไปโดนอะไรมาหรือเฟื่องฟ้า”
“ฉันเอาน้ำกระเจี๊ยบไปให้คุณนายที่เรือนมาจ้ะนม แต่สงสัยคงทำอะไรไม่ถูกใจท่านจึงได้โดนเช่นนี้”
“โธ่ ขวัญเอ๊ยขวัญมาทูลหัวของนม ถึงคราวซวยเสียจริง”
นมขามพูดจบเสียงหัวเราะของบุหลันก็นำมาก่อนตัว
“สมน้ำหน้าคงถึงคราวซวยจริงนั่นแหละ อยากขัดใจท่านก่อนทำไม”
“เอ็งหัวเราะอะไรนังบุหลัน รู้หรือว่าเฟื่องฟ้าเป็นเช่นนี้เพราะอะไร”
“ทำไมจะไม่รู้ คนดีที่ไหนจะถูกโกรธจนเอาน้ำสาดหน้า ที่นี่ไม่มีใครเขาเห็นดีเห็นงามไปกับเอ็งทุกเรื่องหรอกนะแม่เฟื่องฟ้า”
นมขามมองหมั่นไส้ “แต่คนดีเขาก็ไม่หัวเราะเยาะคนอื่นเหมือนกันแหละ นังบุหลัน”
“หึ คุณนมนี่ก็เข้าข้างแม่นี่อีกคน รักหลงกันเสียจริงนะไปรู้จักกันมาแต่ชาติปางไหนหรือ ถึงได้เรียกแม่นี่ว่าทูลหัวได้น่ะ”
นมขามชะงักนิดๆ “นี่ข้าพูดเช่นนั้นหรือ”
“ใช่สิ ฉันได้ยินอยู่ทำไมล่ะ รักมันเทิดทูนมันจนเรียกมันเสมอคุณก้องได้แล้วหรือ”
นมขามมองหน้าเฟื่องฟ้า รีบหาคำแก้ต่าง
“ข้าก็คงติดปากมาจากคุณก้องอย่างไรเล่า”
“แล้วทำไมพอเป็นข้าถึงไม่เคยหลุดปากเรียกบ้างสักครั้งเล่า”
“ไอ้คำพวกนี้น่ะ เขาเอาไว้เรียกคนที่เหมาะที่ควรหนูเฟื่องฟ้าน่ะ ดูเป็นผู้ดีมีสกุลจะเรียกก็ยังไงก็ไม่ขัดตา ไม่เหมือนเอ็ง จะเรียกชื่อเฉยๆ ยังต้องคิดแล้วคิดอีก”
บุหลันเต้น “คุณนม”
“ไปๆ แยกย้ายกันไปทำงานได้แล้ว” คุณนมตัดรำคาญแล้วหันมาทางเฟื่องฟ้า “เฟื่องฟ้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเสีย แล้วเดี๋ยวข้ามีงานให้ช่วยทำ”
“เจ้าค่ะ คุณนม”
เฟื่องฟ้ากลับเรือนบ่าวไป บุหลันกอดอกฮึดฮัดขัดใจอยู่อย่างนั้น

ก้องภพตามงามตาขึ้นมาบนเรือน แม่ลูกคุยกันตรงชานพักผ่อน เขาถามเรื่องที่เกิดขึ้นกับเฟื่องฟ้าทันที
“คุณแม่ เมื่อครูเกิดอะไรขึ้นหรือครับ ทำไมเฟื่องฟ้าถึงร้องห่มร้องไห้เช่นนั้น”
งามตานึกถึงเฟื่องฟ้าก็เจ็บใจ
“พ่อก้องอย่าไปเชื่อมันนะ นังนั่นมันเสแสร้งให้พ่อก้องเห็นใจ ความจริงแล้วมันร้ายกาจนัก”
“แล้วคุณแม่ทำอะไรเขาครับ ที่ว่าเอาน้ำสาดเป็นเรื่องจริงไหม”
“ใช่ แม่ทำเอง แต่ที่แม่ทำก็เพราะมันพูดจาไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงกับแม่”
“อย่างไรกันครับ”
“แม่บอกให้มันอย่าได้ใฝ่สูงคิดจะจับพ่อก้อง แต่มันกลับย้อนว่าแม่พ่อก้องเป็นคนเลือกมันเข้ามาทำงานที่นี่ หาว่าแม่พูดจาดูให้ร้ายมัน ดูสิมันร้ายขนาดไหน”
“เฟื่องฟ้าก็พูดถูกแล้วนี่ครับ ผมเป็นคนเลือกเข้ามาเองจริงๆ การที่คุณแม่บอกว่าเขาจะจับผมต่างหากที่ผิด”
งามตาชักขัดใจที่ก้องภพไม่ยอมเชื่อฟัง เถียงตลอด
“พ่อก้องพูดจาขัดใจแม่อีกแล้วรึ”
“ผมต้องขัดใจครับ เพราะเฟื่องฟ้าไม่ได้คิดอย่างนั้น แต่ถึงเขาจะทำเราก็ไม่ควรทำกิริยาเช่นการสาดน้ำใส่หน้าเขา ผมว่าเรื่องนี้คุณแม่ทำไม่ถูก”
“จะทำไม่ถูกได้อย่างไร มันเป็นแค่บ่าว แม่จะทำอย่างไรกับมันก็ได้”
“ถึงอย่างไรบ่าวก็คือคนเช่นกัน ต่อให้เขาศักดิ์ต่ำกว่าเราเขาก็ทำงานรับใช้ ให้เราอยู่อย่างสบาย เราไม่มีสิทธิ์ทำกับเขาเช่นนี้”
“ถึงแม้ว่าวันหนึ่งมันอาจจะเผยอหน้าชูคอขึ้นมาเทียบชั้นแม่น่ะรึ”
“แต่เฟื่องฟ้าก็ยังไม่ได้ทำอย่างที่คุณแม่ว่าเลยนี่ครับ หากไม่มีหลักฐาน คุณแม่ก็ไม่ควรกล่าวหาใครก่อน”
ผู้พิพากษารูปงามเถียงไม่ยอมลงให้เช่นกัน งามตาแทบนั่งไม่ติด
“นี่นังเฟื่องฟ้ามันทำเสน่ห์ยาแฝดประการใดกัน พ่อก้องถึงหลงเชื่อมันทุกอย่างเช่นนี้”
“เฟื่องฟ้าไม่ได้ทำอะไรเลยครับ แต่ผมเห็นและรู้สึกได้ว่าเฟื่องฟ้าเป็นคนดี หากวันหนึ่งผมจะรักผมก็จะรัก เพราะเฟื่องฟ้าเป็นแบบนี้ ไม่จำเป็นต้องใช้เสน่ห์ใดๆ เลย”
ก้องภพพูดด้วยสีหน้าจริงจัง งามตาเจ็บใจมาก

เฟื่องฟ้าใช้ไม้สอยมะม่วงอยู่ แต่นานสองนานก็ยังสอยไม่ได้สักลูก จนก้องภพลงจากเรือนใหญ่มาเห็น เดินเข้ามาถาม
“เฟื่องฟ้า ทำอะไรน่ะ”
เฟื่องฟ้าหันมาหา “คุณก้อง”
“นี่เธอกำลังจะขโมยมะม่วงหรือ”
“ฉันจะขโมยเพื่ออะไร นี่คุณนมบอกให้มาสอยมะม่วง จะเอาไปตำน้ำพริกต่างหาก”
“งั้นหรือ ฉันเห็นเธอทำท่าแปลกๆ เลยสงสัยเท่านั้น”
ก้องภพพูดขำๆ เฟื่องฟ้าคิดอะไรได้
“นี่คุณ ฉันวานอะไรหน่อยได้ไหม”
“อะไรรึ”
“ช่วยฉันเก็บมะม่วงหน่อยสิ”
ก้องภพงง “ช่วยเก็บมะม่วง”
“ใช่ คุณช่วยฉันหน่อย ฉันมาตั้งนานแล้วยังไม่ได้สักลูก ช่วยฉันหน่อยนะ”
ก้องภพแปลกใจ แต่ก็ตอบตกลง
“ได้สิ ฉันจะช่วยเอง”
ก้องภพทำท่าจะปีนขึ้นต้นมะม่วง แต่เฟื่องฟ้าดึงไว้ก่อน
“ใครว่าฉันจะให้คุณขึ้นไปเก็บเอง”
“อ้าว ถ้าไม่ให้ช่วยแบบนี้แล้วให้ทำแบบไหน”
เฟื่องฟ้าจัดท่าทางให้เขาคุกเข่าลง แล้วใช้มือทั้งสองข้างค้ำยันไว้กับพื้น ก่อนแจกแจง
“ทำหลังตรงๆ แล้วก็เกร็งให้มากที่สุด เพราะฉันจะขึ้นเหยียบบนหลังคุณ”
“เหยียบหลัง...จะไหวเหรอ ท่าทางเธอหนักไม่ใช่เล่น”
“ฉันไม่หนักขนาดนั้นหรอกน่า เร็วเข้า เดี๋ยววันนี้ไม่ได้กินกันพอดี”
ก้องภพทำตาม เฟื่องฟ้ายิ้มพอใจ ก้าวเท้าขึ้นไปเหยียบหลังทันที
ก้องภพทำหน้าที่เป็นเก้าอี้ได้ไม่นาน ก็เริ่มยึกยักไปมา เพราะมดเริ่มไต่มากัดแขน
“ได้หรือยัง”
เฟื่องฟ้าใช้ไม้สอยมะม่วงอย่างมุ่งมั่น
“อีกนิดเดียว”
“เร็วหน่อย มดมันกัดฉัน”
“อีกนิดเดียวน่า”
เฟื่องฟ้ากำลังจะสอยได้อยู่แล้ว แต่ก้องภพเริ่มทนไม่ไหวถูกมดกัดคันคะเยอไปหมด
“ได้แล้ว”
เฟื่องฟ้าร้องกรี๊ดกร๊าดดีใจ ส่งผลให้ก้องภพเสียหลักถลาล้มลง โชคดีที่เขาไหวตัวใช้ร่างรับร่างของเธอเอาไว้ได้ทัน ปากสองคนบดขยี้กันอย่างจัง
บรรยากาศเงียบงันไปชั่วขณะ ปากประกบปาก สองสายตาประสานกันนิ่งนานเหมือนตกอยู่ในภวังค์ พอเฟื่องฟ้านึกขึ้นได้ก็ผลักก้องภพออก
“ฉันขอโทษ มดมันกัด ฉันเลยอยู่ไม่นิ่ง”
“ไม่เป็นไร...ฉันไม่ได้ระวังเอง”
“แล้วนี่เธอเป็นอย่างไรบ้าง”
เฟื่องฟ้ารีบไปเก็บมะม่วงที่พื้น
“ฉันไม่เป็นไร นี่ก็ได้มะม่วงมาแล้ว ฉันกลับไปที่ครัวก่อนดีกว่า”
เฟื่องฟ้าเดินหนีก้องภพไปดื้อๆ ก้องภพมองตามส่ายหัวขำๆ

คืนนั้น เฟื่องฟ้านอนรวมกับบ่าวหญิงในเรือน แต่นอนไม่หลับพลิกตัวไปมาเพราะแปลกที่ พยายามจะข่มตาแต่พอจะหลับ ก็มีเสียงตะกุกตะกักดังขึ้นด้านนอก เฟื่องฟ้าสงสัยค่อยๆ ลุกเดินไปดูริมหน้าต่าง เห็นใครคนหนึ่งย่องผ่านบริเวณเรือนบ่าวไป
“ใครกันน่ะ”
ที่แท้เป็นก้อนเดินไปทางเรือนใหญ่ เฟื่องฟ้ามองตามด้วยความสงสัย

งามตาหงุดหงิดเรื่องเฟื่องฟ้า นอนกระสับกระส่าย สุดท้ายลุกขึ้นมานั่งหงุดหงิด คิดจะออกไปเดินเล่นนอกเรือน แต่พอถึงประตูก็ได้ยินเสียงเหมือนคนเดินมาทางนี้
“ไอ้ผีร้ายนั่นอีกแล้วรึ”
งามตาระแวงจับเครื่องรางที่คอแน่น ก่อนจะแง้มประตูดู ปรากฏว่ากลายเป็นก้อนผลักงามตากลับเข้ามาในห้อง ปิดประตูล็อคจากข้างใน งามตาตกใจ
“ไอ้ก้อน เอ็ง”
ก้อนปิดปากงามตา ไม่ให้ส่งเสียงดัง
“หยุดก่อน ข้าอธิบายได้ อย่าเพิ่งโวยวาย”
ทันทีที่ก้อนปล่อยมือออก งามตาถามเสียงขุ่น
“เอ็งแอบเข้ามาในห้องข้าอีกแล้วรึ ข้าบอกแล้วอย่างไรว่าอย่ามาที่นี่อีก”
“ข้ารู้...แต่อย่างไรข้าก็ต้องมาหาเอ็ง ข้าไม่มีที่ไปแล้ว”
“ไม่มีที่ไปได้อย่างไร แล้วเรือนบ่าวกับกระท่อมท้ายสวนของเอ็งเล่า”
“ไม่ได้ ข้าอยู่ที่นั่นไม่ได้...ถ้าข้าอยู่ผีไต้ก๋งมันต้องตามมาหักคอข้าแน่ ให้ข้าอยู่กับเอ็งที่เรือนนี้เถิดอีงามตา”
“ผีไต้ก๋ง อย่างไรกัน มันมาหลอกเอ็งตั้งแต่เมื่อไหร่”
“เมื่อคืนก่อนนี่เอง ข้าเกือบตายแล้วรู้ไหม ดีว่าบ่าวในเรือนมันช่วยไว้ ไม่อย่างนั้นข้าคงต้องตายคาเรือนนี้เสียแล้ว”
งามตาฟังแล้วชักเริ่มกลัว
“ไม่จริง...เมื่อคืนวานมันก็มาหาข้าเช่นกัน...มันไปหลอกเอ็งด้วยงั้นหรือ”
“นี่มันก็มาหาเอ็งงั้นหรือ อีงามตา ไหนเอ็งว่าพิธีพ่อเอ็งดีหนักหนาแล้วเหตุใดไอ้ผีร้ายนั่นมันถึงกลับมาอีกได้”
“ข้าไม่รู้!ถ้าข้ารู้คงไม่ให้บ่าวมันพันสายสิญจน์เสียรอบเรือนเช่นนี้หรอก”
“แล้วเราควรทำอย่างไรดี ถ้าปล่อยไว้สักวันข้ากับเอ็งต้องไม่รอดแน่”
งามตาคิดหนัก พยายามจะหาวิธี
“เอาอย่างนี้ เอ็งกลับไปที่เรือนเอ็งก่อน ข้าจะไปปรึกษาพ่อข้าแล้วจะบอกว่าต้องทำอย่างไร”
“ไม่ ข้าไม่กลับไปเด็ดขาด”
“ไม่กลับไปแล้วเอ็งจะอยู่ที่ใด”
“อย่างไรข้าก็จะอยู่ที่นี่ ที่นี่มีทุกอย่างที่ป้องกันผีไต้ก๋งได้”
“แล้วถ้าใครมาเห็นเข้าจะทำอย่างไร”
“จะกลัวอะไร เมื่อก่อนข้ามาออกบ่อยไม่เห็นมีใครรู้”
“แต่นี่ลูกข้ากลับมาแล้ว เอ็งไม่ควรทำเช่นนี้อีก”
“ถึงเอ็งไม่ให้ อย่างไรข้าก็ไม่กลับ อย่าคิดว่าเอ็งจะหนีรอดไปได้ผู้เดียวนะอีงามตา ในเมื่อเริ่มทุกอย่างมาด้วยกัน หากจะตายก็ต้องตายด้วยกันที่นี่”
ก้อนพูดขู่ งามตากลุ้มใจ

เฟื่องฟ้านอนหลับไปในคืนนั้น แต่เพียงไม่นานก็พลิกตัวไปมาเหมือนนอนไม่หลับอีก ระหว่างนี้เกิดควันสีขาวปรากฏขึ้นรอบห้อง เฟื่องฟ้าพลิกตัวหอบหายใจ ก่อนที่เสียงเรียกไต้ก๋งชางจะดังขึ้น
“แม่หนู...แม่หนู”
เฟื่องฟ้าเอามือปิดหูจะข่มตานอนให้ได้ แต่เสียงก็ยังไม่หยุด
“แม่หนู...ออกมาหาฉัน...ออกมา”
เฟื่องฟ้าพึมพำ “ไม่...ไม่”
“ออกมาหาฉัน...ได้โปรด...ออกมา”
เฟื่องฟ้าขัดขืนไม่ยอมออกไปเอามือปิดหูแน่น สักพักก็นิ่งไป
บุหลันนอนอยู่อีกมุม พลิกตัวกลับมาทางฝั่งเฟื่องฟ้า ได้ยินเสียงกุกกักเลยลืมตาขึ้นแล้วก็ต้องแปลกใจเมื่อเห็นเฟื่องฟ้าลุกขึ้นนั่งในอาการสะลืมสะลือ
บุหลันกำลังจะเอ่ยถาม แต่จู่ๆเฟื่องฟ้าก็ลุกพรวดขึ้นแล้วเดินออกจากเรือนไป บุหลันมองตามงงๆ

เฟื่องฟ้าเดินเหมือนคนเหม่อลอยไม่ได้สติออกมาทางด้านหลังเรือนบ่าว บุหลันแอบตามมา พอเห็นเฟื่องฟ้ากำลังจะเดินไปทางเรือนดอกเหมยก็เรียกไว้
“นังเฟื่องฟ้า แกจะไปไหน”
เฟื่องฟ้าเดินไปเรื่อยๆ สีหน้านิ่งเฉยราวกับไม่ได้ยินเสียงเรียก บุหลันเรียกซ้ำ
“เฟื่องฟ้า กลับมาเดี๋ยวนี้นะ หูหนวกรึไง”
เฟื่องฟ้าไม่ยอมหันมา บุหลันเลยวิ่งตาม
“นี่ฉันเรียกไม่ได้ยินหรือ”
บุหลันวิ่งไปคว้าแขนเฟื่องฟ้าไว้ แต่พอเฟื่องฟ้าหันมา บุหลันก็ผงะร้องกรี๊ด
เพราะที่หันมาเป็นใบหน้าไต้ก๋งชางที่มองบุหลันตาขวาง บุหลันตัวสั่นงันงก วิ่งลนลานหนีไป

เรือนดอกเหมยตอนกลางคืนดูลึกลับและน่ากลัว เฟื่องฟ้าเดินเหม่อมาจนถึงด้านหน้าเรือน จนได้สติ มองไปรอบๆ ตกใจว่าตัวเองมาที่นี่ได้ยังไง
“นี่มัน…เรือนดอกเหมยนี่”
เฟื่องฟ้ารู้สึกแปลกๆ มองไปรอบๆ อย่างหวาดระแวง จนเสียงไต้ก๋งก็ดังขึ้น
“แม่หนู”
เฟื่องฟ้าจำเสียงได้ว่าเป็นเสียงไต้ก๋งชางก็มองหา
“ไต้ก๋ง…เสียงของไต้ก๋งชาง ใช่ไหม”
“แม่หนู”
มีเสียงสวบสาบดังขึ้นเหมือนมีคนเดินมาด้านหลัง เฟื่องฟ้ากำลังจะหันหลังไปมอง จังหวะนั้นลมพัดมาวูบหนึ่งจนเฟื่องฟ้าต้องหลับตา พอลืมตาขึ้นไต้ก๋งชางก็ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้า
“แม่หนู…ในที่สุดเธอก็กลับมา”
“คุณ…ไต้ก๋งชาง”
“ใช่ ข้าคือไต้ก๋งชาง”
“คุณพาฉันมาที่นี่ทำไม”
“ข้าต้องการให้แม่หนูช่วย มีแม่หนูคนเดียวเท่านั้นที่ช่วยข้าได้”
“ฉัน? ทำไมถึงเป็นฉัน คุณต้องการอะไรแน่”
“มีแม่หนูคนเดียวเท่านั้นที่จะช่วยข้าได้”
“ฉันจะช่วยอะไรคุณได้ ฉันเพิ่งมาอยู่ ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับที่นี่”
“ข้าไม่รู้ แต่โชคชะตาคงกำหนดมาเช่นนี้ แม่หนูได้โปรดช่วยข้าเถิด”
เฟื่องฟ้ามองไต้ก๋งชางท่าทีลังเล ไม่รู้ว่าตนกำลังอยู่ในความจริงหรือฝัน ถามออกไปอย่างกล้าๆกลัวๆ
“คุณอยากให้ฉันทำอะไร”
ไต้ก๋งชางยิ้ม แล้วชี้ไปที่เรือนดอกเหมย
“เรือนดอกเหมย ที่นั่นมีอะไร”
“ข้ายังบอกไม่ได้ แต่อย่างไรแม่หนูต้องไปที่นั่น”
“แล้วทำไมฉันต้อง...”
เฟื่องฟ้าพูดไม่ทันจบคำไต้ก๋งชางก็สะกดให้เฟื่องฟ้าตกอยู่ในภวังค์อีก

บุหลันวิ่งตาลีตาเหลือกมาที่หน้าห้องงามตาบนเรือนใหญ่ ทุบประตูรัวๆ ด้วยความตื่นตระหนก
“คุณนาย คุณนายเจ้าขา”
ด้านในห้องงามตาตกใจที่ได้ยินเสียงบุหลันมาเคาะห้อง ก้อนถามขึ้น
“ใครกัน”
“เสียงเหมือนนังบุหลัน แต่มันมาเรียกอะไรข้าตอนนี้”
ก้อนเครียด “ให้มันเข้ามาไม่ได้นะ ต้องไม่มีใครรู้ว่าข้าอยู่ที่นี่”
“ข้ารู้แล้ว เอ็งก็อย่าเสียงดังได้ไหม...รีบไปซ่อนก่อนที่มันจะเห็นเข้า เร็ว”
งามตาลากให้ก้อนไปซ่อนที่ใต้เตียงก่อนจะไปเปิดประตูให้บุหลัน พอประตูเปิดออกมาบุหลันก็พรวดพราดเข้ามาร้องโวยวายเสียงสั่น
“มีอะไรนังบุหลัน โวยวายเสียงดังเหมือนพวกเจ๊กตื่นไฟ”
“คุณนาย ช่วยด้วยเจ้าค่ะ...ช่วยบุหลันด้วย บุหลันเจอ...ผี...ผีไต้ก๋งเจ้าค่ะ”
งามตาตกใจ
“ว่าอย่างไรนะ ผีไต้ก๋งงั้นหรือ”
“เจ้าค่ะ...คุณนาย บุหลันจะทำอย่างไรดีเจ้าคะ”
งามตาปรายตามองไปยังก้อนที่ซ่อนอยู่ แล้วบอกบุหลัน
“ออกไปคุยนอกห้องแล้วเล่ามาให้หมดว่าเกิดอะไรขึ้น”
บุหลันพยักหน้า งามตาเดินนำออกจากห้องไป ก้อนรอจนประตูปิดลงถึงออกมาจากที่ซ่อน โล่งใจที่ไม่มีคนเห็น

งามตาออกมาคุยกับบุหลันนอกห้อง ทันทีที่ประตูปิดลง บุหลันก็รีบเข้ามากอดขางามตาพูดเสียงสั่น
“คุณนาย คุณนายช่วยบุหลันด้วยเจ้าค่ะ ช่วยด้วย ผีมันมาหลอกบุหลัน บุหลันกลัว”
งามตารำคาญสะบัดเต็มแรง ร่างบุหลันกระเด็นไปกระแทกฝาเรือน แต่ปากยังพึมพำไม่หยุด
“ช่วยด้วยเจ้าค่ะ ช่วยบุหลันด้วย ฮือ…”
“โอ๊ย อีบุหลัน ตั้งสติแล้วพูดให้มันรู้ความหน่อยไม่ได้รึ เอาแต่ร้องแร่แหกกระเฌอ กูจะรู้เรื่องรึไม่”
บุหลันโผมาเกาะขางามตาอีก
“คุณนาย ผีไต้ก๋งมาหลอกบุหลันเจ้าค่ะ”
“กูรู้แล้ว เอ็งบอกมาเสียทีว่าเอ็งเจอที่ไหน”
งามตาตะคอกใส่ด้วยความโมโห
“เจ้าค่ะ…เมื่อสักครู่บุหลันกำลังนอนอยู่ดีๆ จู่ๆ นังเฟื่องฟ้ามันก็ลุกเดินออกจากเรือนไปทางเรือนดอกเหมยบุหลันตามไป แต่พอบุหลันจะเรียกมัน…คนที่หันมาก็กลายเป็นไต้ก๋งชางเจ้าค่ะ”
งามตาไม่เชื่อ
“เหลวไหลใหญ่แล้วนังบุหลัน เอ็งไม่เคยเจอไต้ก๋ง เอ็งจะรู้จักหน้าไต้ก๋งได้อย่างไร”
“บุหลันรู้เจ้าค่ะว่าไต้ก๋งหน้าตาเป็นอย่างไร บุหลันเคยหน้าในรูปที่คุณก้องเก็บไว้ ต้องเป็นผีไต้ก๋งชางมาหลอกไม่ผิดแน่”
“เอ็งนี่ไม่เพ้อเจ้อก็บ้าเสียแล้วกระมัง ข้าว่าเอ็งคงทำงานมากไปจนหูฝาดตาบอดเห็นหน้านังเฟื่องฟ้าเป็นไต้ก๋งชางได้”
“ไม่นะเจ้าคะ บุหลันไม่ได้ตาฝาด นั่นคือไต้ก๋งชางจริงๆ”
“เหลวไหล ไม่มีทาง ไต้ก๋งชางตายไปแล้ว”
บุหลันกลัวจับใจร้องไห้โฮ
“แต่บุหลันเห็นจริงๆ นะเจ้าคะ บุหลันไม่ได้โกหก คุณนายเชื่อบุหลันเถอะ ถ้าคุณนายอยากรู้คุณนายตามไปดูก็ได้ ฮือ”
บุหลันเอาแต่ร้องไห้สะอื้นจนงามตาหงุดหงิดใจ ลึกๆ ก็กลัวน้อย คิดหนักว่าควรทำอย่างไร

งามตากลับเข้ามาในห้อง ก้อนออกมาจากที่ซ่อน
“ได้ยินทั้งหมดแล้วใช่ไหม”
“ได้ยิน...จะทำอย่างไรกันดี”
“เอ็งตามไปดูให้ข้าเดี๋ยวนี้ว่านางเอกงิ้วนั่นมันไปทำอะไรที่เรือนดอกเหมย”
ก้อนทำหน้าแหยงเหมือนเข็ดขยาดเรื่องผีไต้ก๋งเต็มทน
“ไม่… ข้าไม่ไป ถ้าเอ็งให้ข้าไปสู้ให้ข้าตายเป็นผีเฝ้าห้องนี้เสียดีกว่า”
“ไม่ได้ ต่อให้เอ็งอยากตาย ข้าก็ไม่ให้เอ็งมาตายเป็นผีที่นี่ แค่ไอ้ผีเจ๊กนั่นตัวเดียวก็มากพอแล้ว อย่ามาสร้างความเดือดร้อนให้ข้าอีก”
“ก็ข้ากลัวนี่หว่า เอ็งก็รู้ว่ามันเฮี้ยนขนาดไหนถ้าพ่อเอ็งไม่สะกดมันไว้ ป่านนี้เอ็งไม่ได้มาชูคอเป็นคุณนายอยู่ที่เรือนนี่หรอก”
ก้อนพูดกลัวๆ งามตาฉุนขาดหนักที่ก้อนไม่ได้ดั่งใจ
“แล้วป่านนี้เอ็งก็คงไม่ได้มานั่งกินนอนกินสบายอยู่ที่เรือนนี้เหมือนกัน”
ก้อนกัดฟันแน่น เจ็บใจแต่เถียงไม่ออก งามตาถอดตะกรุดออกจากคอแล้วยื่นให้พร้อมกับขู่ก้อน
“เอาตะกรุดนี่ไป แล้วทำตามที่ข้าสั่ง ไม่อย่างนั้นไม่ใช่ผีหรอกที่หักคอเอ็ง แต่เป็นข้านี่แหละหักคอเอ็งด้วยมือข้าเองไป”
ก้อนลังเล ไม่อยากไป แต่งามตาก็ไม่ยอมเหมือนกัน
เฟื่องฟ้าเดินไปที่ใต้ถุนเรือนดอกเหมย เอาจอบขุดลงไปในดินเรื่อยๆ อย่างคนที่อยู่ในภวังค์
ก้อนย่องเข้ามาดูอีกมุมมองไปรอบๆ อย่างหวั่นกลัว เดินตามหาเฟื่องฟ้าไปตามมุมต่างๆ
เฟื่องฟ้าขุดไปเรื่อยๆ จนจอบไปกระทบกับบางอย่างจึงหยุด เอามือปัดเศษดินออกดู ก้อนเดินหาเฟื่องฟ้ามาจนเจอ เห็นเฟื่องฟ้ากำลังขุดดินอย่างเอาเป็นเอาตาย
“อยู่ที่นี่จริงๆ ด้วย”
ก้อนรู้สึกกลัวว่าเฟื่องฟ้าจะทำอะไร สุดท้ายก็แข็งใจเดินเข้าไปสั่งให้หยุด แต่เฟื่องฟ้ายังไม่ยอมหยุด ขุดต่อไปเหมือนไม่ได้ยิน ก้อนโกรธจับแขนเฟื่องฟ้ายั้งไว้แล้วตะโกนเสียงดัง
“ทำอะไรของเอ็ง หยุดเดี๋ยวนี้”
ก้อนจับแขนรั้งไว้ แต่เฟื่องฟ้ากลับนิ่งมองตาขวางแล้วผลักก้อนออกเต็มแรง จนก้อนล้มกระเด็นไป ก้อนตกใจว่าเฟื่องฟ้าไปเอาแรงมหาศาลมาจากไหน แต่ก็ไม่ยอมแพ้ เข้าห้ามอีก
“ข้าบอกให้หยุดอย่างไรเล่า!”
เฟื่องฟ้าไม่ฟัง เอามือขุดไปเรื่อยจนมือเริ่มจะแตก
“อีนังนี่”
ก้อนโมโห กระชากตัวเฟื่องฟ้ากะจะให้หยุดให้ได้แต่พอดึงให้เฟื่องฟ้าก็ต้องตะลึงเพราะกลายเป็นหน้าไต้ก๋งชางมองด้วยแววตาอาฆาตอยู่ ก้อนตกใจร้องลั่น
“ไต้ก๋ง!!!”
เฟื่องฟ้าหยุดขุดดินลุกขึ้นมองก้อน พูดออกมาเสียงเป็นไต้ก๋งชาง
“ไอ้ก้อน มึงมาก็ดี…”
ก้อนตกใจกลัวลนลานลุกพรวดขึ้น เฟื่องฟ้าเดินย่างเข้าหา มองด้วยสายตาอาฆาตแค้น ก้อนมองหาทางหนีจนจับไปโดนที่คอโดยบังเอิญ จึงนึกได้ว่างามตาให้ตะกรุดมา เลยคิดแผนได้
เฟื่องฟ้าเดินเข้าหายื่นมือออกไปหมายจะบีบคอ แต่ก้อนอาศัยว่าตัวใหญ่กว่าล็อคคอเฟื่องฟ้าแล้วเอาตะกรุดสวมลงไปโดยเร็ว เฟื่องฟ้ากรีดร้องโหยหวนสลบไป ก้อนปล่อยร่างเฟื่องฟ้าลงกับพื้นหัวเราะสะใจ
“ไอ้ไต้ก๋ง…มึงทำอะไรกูไม่ได้หรอก”
ก้อนมองร่างของเฟื่องฟ้า สะใจที่วิญญาณไต้ก๋งถูกตนกำจัดได้
“สิ้นฤทธิ์สักทีกูควรจะทำอย่างไรกับมึงดี อีเฟื่องฟ้า”
ก้อนยิ้มกระหยิ่มถอดตะกรุดกลับมาสวมให้ตัวเองเหมือนเดิมแล้วอุ้มเฟื่องฟ้าออกไป

ก้อนอุ้มเฟื่องฟ้ามาที่กระท่อมท้ายสวน วางลงนอนบนแคร่ แล้วเดินไปรื้อเชือกป่านที่กองรวมกับข้าวของอื่นตรงมุมกระท่อมมามัดแขนไพล่หลัง แล้วพลิกตัวเฟื่องฟ้าที่นอนไม่ได้สติ ทำให้เห็นเสื้อผ้าด้านหลังที่หลุดลุ่ย เผยให้เห็นผิวขาวนวล
ก้อนมองแล้วจากสายตานิ่งๆ แล้วเริ่มมองด้วยสายตาหื่นกระหาย
“เด็กสาวๆ นี่เห็นแล้วมันกระชุ่มกระชวยดีนัก”
ก้อนก้มไปดูเฟื่องฟ้า ลูบหน้าเชยชม แล้วก็แสยะยิ้ม
“ไหนๆก็ไหนแล้ว...ให้ไอ้ก้อนได้เชยชมเนื้อนวลสักครั้งจะเป็นไรไป”
ก้อนยิ้มร้าย จัดการถอดเสื้อผ้าเฟื่องฟ้าอย่างย่ามใจ แต่แล้วก็มีใครบางคนลอบเข้ามาทางด้านหลัง เงื้อมือขึ้น ฟาดของแข็งในมือใส่หัวก้อนเต็มแรง ไอ้ก้อนสลบคาที่

งามตาเดินหงุดหงิดงุ่นง่านอยู่ในเรือน ชะเง้อคอมองหาก้อนเพราะไม่ยอมกลับมาเสียที
“ไปที่ใดของมัน…เหตุใดไปนานนัก”
งามตาเดินไปนั่งลงบนเตียงอย่างหงุดหงิด แต่สักพักเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น
พองามตาลุกไปเปิดก้อนก็พรวดพราดข้ามาในสภาพเลือดโชก แล้วทรุดลงกับพื้นห้อง
งามตาตกใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับก้อน
“ไอ้ก้อน! นั่น…เลือด เอ็งไปโดนอะไรมา”
ก้อนเอามือกุมหัว ยิ่งเห็นเลือดตัวเองไหลก็ยิ่งเจ็บใจ
“ข้าตามนังเด็กนั่นไปที่เรือนดอกเหมยอยู่ดีๆ แต่กลับมีผู้ใดไม่รู้เข้ามาทำร้ายข้า”
“ผู้ใดกันทำร้ายเอ็ง เอ็งเห็นหน้ามันรึไม่”
“ข้าไม่เห็น แต่มันทำข้าเจ็บแสบนัก นังเด็กนั่นมันไปขุดดินที่ใต้ถุนเรือนดอกเหมยทำไมกัน”
งามตาชะงักเมื่อได้ยินคำว่าใต้ถุนเรือน
“ว่าอย่างไรนะ มันไปขุดดินที่ใต้ถุนเรือนรึ”
“ใช่ พอข้าไปถึงมันก็เหมือนกำลังจะเจออะไรบางอย่าง ดีที่ข้าห้ามไว้ทัน”
“จริงรึ เอ็งแน่ใจหรือไม่ว่ามันไม่เจออะไร”
“ข้าแน่ใจ แล้วข้าก็แน่ใจด้วยว่าที่นังเด็กนั่นไปที่เรือนดอกเหมย ไม่ใช่เพราะความต้องการของมัน”
“แล้วมันจะไปเพราะใคร”
“จะเป็นผู้ใดได้…ก็ไอ้คนที่เอ็งฝังมันไว้ใต้เรือนนั่นอย่างไรกัน”
ก้อนมองหน้างามตานิ่งๆ แล้วงามตาก็เบิกตาโพลงด้วยความตกใจ
“ไอ้ไต้ก๋งอีกแล้วรึ”
ก้อนพยักหน้า “ถูกแล้ว ตอนที่ข้าจับตัวนังเฟื่องฟ้าพอมันหันมาก็กลับกลายเป็นหน้าไอ้ไต้ก๋ง ไอ้ผีร้ายตนนี้มันเฮี้ยนนัก”
“เหตุใดมันจึงเข้าสิงนังเฟื่องฟ้า มันต้องการสิ่งใด”
“จะเป็นสิ่งใดได้ นอกจากมันต้องการใช้เด็กนั่นทำลายมนต์ที่สะกดวิญญาณมันไว้”
งามตาหน้าเครียดขึ้นทันที กัดฟันพูดด้วยความเจ็บใจ
“ถ้ามันยังคิดจะจองเวรข้าไม่เลิก ข้าจะก็กำจัดไม่ให้วิญญาณมันไปผุดไปเกิดอีกต่อไป”
งามตายิ้มเหี้ยมดวงตาวาววาบ ก่อนจะหันไปถามก้อน
“ไอ้ก้อนตอนนี้นังเฟื่องฟ้ามันอยู่ที่ใด”

เฟื่องฟ้าสลบอยู่ในสวน ถูกเขย่าตัวจนสะดุ้งตื่นมา ค่อยๆ ลืมตาขึ้นมอง แล้วก็ต้องตกใจเมื่อเห็นอบเชยจ้องอยู่พร้อมแสยะยิ้มดูน่ากลัว เฟื่องฟ้ากรี๊ด ถอยกรูดไปชนต้นไม้ มองไปรอบๆ เห็นเป็นสวนรกร้างก็ยิ่งแปลกใจว่าเกิดอะไรขึ้น อบเชยหัวเราะชอบใจ ขยับเข้าใกล้เฟื่องฟ้า
“ฟื้นแล้ว…เอ็งฟื้นแล้ว”
“ธ…เธอ…ทำไมเธอถึง…”
“นายท่าน…นายท่านมากับเอ็ง นายท่านบอกให้ข้าช่วยเอ็ง”
“ใคร นายท่านของเธอคือใครที่นี่ที่ไหน แล้วฉันมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”
อบเชยเอียงคอทำเป็นคิด แต่คิดไม่ออก พูดพึมพำ
“เอ…ที่ไหน ที่นี่ที่ไหน ไม่รู้…ไม่รู้ว่าคือที่ไหน…ที่ไหนน้า”
อบเชยพูดกับตัวเองไปมา เฟื่องฟ้ายิ่งงง นิ่งนึกทบทวนความจำ
จำได้ว่าเธอนอนอยู่ที่เรือนบ่าว กระสับกระส่ายนอนไม่หลับ จนได้ยินเสียงเรียกของไต้ก๋ง
“แม่หนู...แม่หนู...”
เฟื่องฟ้าเอามือกุมศีรษะ เพราะภาพเลือนรางจนแทบนึกไม่ออก จู่ๆ อบเชยก็จับหน้าเฟื่องฟ้า ยื่นหน้าเข้ามาดูใกล้ๆ
“เอ็งเป็นใคร แล้วทำไมมาอยู่ที่นี่”
อบเชยจากจับหน้าก็ค่อยๆ ยื่นหน้าเข้ามาใกล้แล้วเลื่อนมือลงมาเหมือนจะบีบคอเฟื่องฟ้า ค่อยๆแน่นขึ้น แน่นขึ้นจนเฟื่องฟ้าแทบจะหายใจไม่ออก แววตาอบเชยเต็มไปด้วยความเจ็บปวด เคียดแค้น
“ทำไม…ทำไม…”
แต่แล้ว จู่ๆ อบเชยก็อึ้งไป ปล่อยมือออกจากคอเฟื่องฟ้า ถดตัวถอยหนีเหมือนกลัวบางอย่าง
“ไม่…ไม่…กลัวแล้ว อย่าเข้ามา กลัวแล้ว กลัว แอร๊ย”
อบเชยกรีดร้องแล้ววิ่งลนลานหนีไป เฟื่องฟ้าโล่งอก หอบหายใจให้เป็นปกติ
แต่พลันสายตาก็เหลือบเห็นว่ามีใครคนหนึ่งมายืนอยู่ตรงหน้า เงยขึ้นมองก็พบว่าเป็นไต้ก๋งชาง
“ไต้ก๋ง…”
“แม่หนู…”
“คุณกำลังทำอะไร คุณต้องการอะไรแน่ บอกฉันมาสิ บอกมา!”
ไต้ก๋งชางยืนนิ่ง มองมาด้วยสายตาเศร้าสร้อย
“เอ็งต้องช่วยข้าแม่หนู”
“คุณอยากให้ฉันช่วยอะไรอีก ที่ฉันเป็นตอนนี้คืออะไร ฉันอยู่ในฝันหรือไม่ใช่”
“ข้าถูกทำร้าย แม่หนูต้องช่วยปลอดปล่อยวิญญาณของข้า”
“ปลดปล่อยยังไง ฉันต้องทำยังไง”
“ข้าจะบอกเอ็งทุกอย่างแม่หนู ทุกอย่างที่ข้ารู้”
ไต้ก๋งชางยิ้ม เกิดแสงสว่างวาบขึ้น แล้วร่างของเฟื่องฟ้าก็สลบไป

เสียงกรีดร้องดังก้องมาแต่ไกล และใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
เฟื่องฟ้าดิ้นทุรนทุราย เหงื่อไหลโทรมกาย สะดุ้งตื่น ลืมตาโพลง หายใจหอบๆ กวาดสายตามองไปรอบๆ พยายามใช้ความคิดว่าตัวเองอยู่ที่ไหน ในอดีตหรือปัจจุบันกันแน่
เฟื่องฟ้าเห็นเหตุการณ์ในอดีตทั้งหมด ตั้งแต่จำเรียง ดวงแข ถูกหมอผีอินและงามตาจับไปทำเสน่ห์นางครวญ

รุ่งเช้า ก้องภพนั่งดื่มชาอ่านหนังสืออยู่ที่ชานเรือนใหญ่ บุหลันยิ้มกริ่มเดินถือถาดขนมเข้ามาหา
“บุหลันทำขนมกลีบลำดวนมาให้คุณก้องกินกับน้ำชาเจ้าค่ะ”
บุหลันวางขนมลงให้ ชม้อยชม้ายสายตายั่วยวนก้องภพไปด้วย
ก้องภพพูดขอบใจโดยไม่ได้สนใจบุหลัน
“ขอบใจ”
บุหลันมองเซ็ง แต่ไม่ละความพยายาม
“คุณก้องชาหมดแล้ว บุหลันเติมให้นะเจ้าคะ”
“ไม่เป็นฉันพอแล้ว”
บุหลันจะยกชาเติมให้ ก้องภพยกมือห้าม แต่มือบังเอิญโดนบุหลันโดยไม่ได้ตั้งใจ บุหลันยิ้มเคลิ้ม
“คุณก้อง”
ก้องภพรู้ตัวรีบปล่อยมือทันที “ขอโทษที”
บุหลันอายม้วน “ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ บุหลันผิดเอง”
ก้องภพอ่านหนังสือต่อ แล้วก็นึกขึ้นได้
“เอ้อ แล้วนี่เฟื่องฟ้าไปไหนหรือ บุหลันเห็นบ้างไหม”
บุหลันหน้าง้ำ ไม่พอใจขึ้นมาทันทีที่ก้องภพถามถึงเฟื่องฟ้า แต่พยายามเก็บอาการ
“คือ...”
บุหลันแสร้งทำสีหน้าไม่สบายใจ
“มีอะไรหรือเปล่า”
“จริงๆ บุหลันก็ไม่อยากพูด แต่บุหลันก็ไม่อยากให้คนน่าสงสัยมาอยู่ในเรือนของเรา”
“เธอหมายความว่าอย่างไร”
“นัง...เอ่อ เฟื่องฟ้าน่ะเจ้าค่ะ”
“เฟื่องฟ้าทำไม”
“เฟื่องฟ้าหายไปไม่กลับห้องเลยทั้งคืนเจ้าค่ะ”
ก้องภพตกใจ “หายไป คงไม่ได้เกิดอันตรายขึ้นหรอกนะ”
“คุณก้องยังเป็นห่วงคนแบบนั้นอีกหรือเจ้าคะ หายไปแบบนี้แอบขโมยข้าวของอะไรไปหรือไม่ก็ไม่รู้”
“เธอตรวจดูแล้วหรือว่ามีของหาย”
“ยังเจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นก็ไม่ควรกล่าวหาใครโดยไร้หลักฐาน เอาละฉันจะไปตรวจดูเสียหน่อย เผื่อมีบางที่ที่เธอดูไม่ทั่ว”
“บุหลันหาเสียทั่วแล้วก็ไม่เห็นจะมีวี่แววเลย แต่ในห้องข้าวของก็ยังอยู่ คงจะไปค้างคืนที่อื่นเสียมากกว่า”
“แล้วเฟื่องฟ้าจะไปค้างที่ใดกัน”
“อาจจะเป็นบ้านคนรักของเฟื่องฟ้าก็ได้”
“ฉันต้องไปตรวจดูให้แน่ใจ”
“เช่นนั้นบุหลันขอไปด้วยนะเจ้าค่ะ บุหลันก็ห่วงเฟื่องฟ้าเหมือนกัน”
ก้องภพลุกเดินนำไปหน้าตาเครียดเคร่ง บุหลันยิ้มสมใจ

บุหลันเปิดประตูห้องเข้ามา พบว่าที่นอนหมอนมุ้งผ้าห่มของเฟื่องฟ้าถูกพับเก็บอย่างเรียบร้อย
“เชื่อบุหลันแล้วใช่ไหมเจ้าคะ บุหลันบอกแล้วว่าหาจนทั่วแล้วก็ไม่พบ”
ก้องภพเงียบไปมองตรงหน้าอย่างงงงวย
“เฟื่องฟ้า”
บุหลันมองตามสายตา เห็นเฟื่องฟ้ายืนอยู่ข้างหน้าต่าง ยิ้มมาให้
“มีอะไรกันหรือคะ”
“บุหลันบอกว่าเธอหายไป”
“หายไปจริงๆ นะเจ้าคะ หายไปทั้งคืน” บุหลันแหวใส่เฟื่องฟ้า “นี่เอ็งแอบเข้ามาตอนที่ข้าไม่อยู่แน่ๆ”
“ฉันจะแอบเข้ามาทำไมเล่าจ๊ะ ฉันก็นอนอยู่ที่นี่ทั้งคืน เธอคงจะฟุ้งซ่านไม่อยากให้ฉันอยู่ที่นี่เสียจนเก็บไปฝันกระมัง”
“ไม่จริงนะเจ้าคะคุณก้อง มันแอบหนีไปจริงๆ บุหลันสาบานก็ได้”
เฟื่องฟ้ามองออกไปนอกหน้าต่างทำท่าสูดอากาศ “อย่าทำให้เช้าที่อากาศดีๆ แบบนี้ต้องแปรปรวนเพราะคำสาบานของเธอเลย ฝนฟ้าจะตก ฟ้าจะผ่าเอาเสียเปล่าๆ”
เฟื่องฟ้าหัวเราะหันไปเปิดหน้าต่างให้กว้าง พบว่ามือตัวเองเปื้อนดิน
เธอนึกออกว่าเมื่อคืนเดินไปที่ใต้ถุนเรือนดอกเหมย เอาจอบเริ่มขุดลงไปในดินไปเรื่อยๆ อย่างคนที่อยู่ในภวังค์ เฟื่องฟ้าขุดไปเรื่อยๆ จนจอบไปกระทบกับอะไรบางอย่างเลยเริ่มเอามือปัดเศษดินออก
เฟื่องฟ้าตกใจ
“เฟื่องฟ้า...เฟื่องฟ้า”
เฟื่องฟ้าสะดุ้งหันกลับมา รีบซ่อนมือไว้ข้างหลัง
ก้องภพสังเกตเห็นท่าทางแปลกๆ “ใจลอยไปถึงไหน”
“คุณว่าอย่างไรนะคะ”
“ฉันถามว่าเธอนอนหลับสบายดีใช่ไหมเมื่อคืน”
“สบายดีเจ้าค่ะ”
“ดีแล้ว เช่นนั้นก็คงไม่มีเรื่องอะไรแคลงใจกันแล้วนะบุหลัน”
“คุณก้องเจ้าคะ แต่...” บุหลันทักท้วง
“พวกเธอต้องอยู่ร่วมห้องกัน ฉันก็อยากให้ปรองดองกันเอาไว้” ก้องภพตัดบท หันมาหาบุหลัน “ในเมื่อไม่มีอะไรแล้ว เธอมีอะไรก็ไปทำเถอะ”
บุหลันออกไปอย่างหงุดหงิด
ก้องภพหันมาทางเฟื่องฟ้า “ถ้ามีเธอมีปัญหาอะไรก็บอกฉันได้เสมอนะ”
เฟื่องฟ้ายิ้มทำหน้าซื่อตาใส ก้องภพกำลังจะหันออกไป พลันสายตาเหลือบไปเห็นเท้าเฟื่องฟ้าเปื้อนดิน ก้องภพมองจ้องอยู่ครู่หนึ่ง เฟื่องฟ้ารู้ตัวพยายามหันเท้าหลบเลี่ยงสายตาเขา
ก้องภพสบตาเฟื่องฟ้าเห็นสีหน้ามีพิรุธจึงจะเอ่ยปากถาม
“ดิฉันขอตัวไปช่วยงามนมขามในครัวก่อนนะเจ้าคะ”
เฟื่องฟ้ารีบเดินออกไปทันที ก้องภพมองตามด้วยสีหน้าสงสัย

บ่าวกำลังช่วยกันทำอาหารง่วนอยู่ในครัว เฟื่องฟ้าคอยด้อมๆ มองๆ หาจังหวะคุยกับนมขาม
“รีบทำเสียให้เสร็จ เดี๋ยวจะไม่ทันสำรับเช้า ข้าจะไปเด็ดไปกะเพราเพิ่มเสียหน่อย”
นมขามเดินถือตะกร้าออกมาจากครัว เฟื่องฟ้ารีบเดินออกมาหาทันที
“คุณนม จะไปไหนคะ ให้หนูช่วยนะ” เฟื่องฟ้าดึงตะกร้าไปถือเอง
“นมจะไปตลาด ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ นม...เอ่อข้าทำเองได้
“ไม่เป็นไรค่ะ หนูอยากช่วย”
เฟื่องฟ้ารีบถือตะกร้านำไป นมขามมองเฟื่องฟ้าอย่างรักใคร่เทิดทูน
“คุณหนูเฟื่องฟ้า...
เฟื่องฟ้ามองนมขามอย่างแปลกใจ
“อะไรนะจ๊ะ”
“เอ้อ” นมขามยิ้มกลบ “หนูเฟื่องฟ้านี่มีน้ำใจกับฉันเสมอ ขอบใจนะ”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะคุณนม เรื่องแค่นี้ เอ่อแต่ว่า...” เฟื่องฟ้ากระซิบ “คุณนมคะ หนูมีอะไรจะถาม”
นมขามมีสีหน้าสงสัย
“เรื่องเกี่ยวกับสี่สาวเรือนดอกเหมยน่ะค่ะ”
“เรื่องมันก็นานมากแล้ว...ทำไมถึงอยากรู้เรื่องนี้” คุณนมเลี่ยงตอบ
“หนูได้ยินคนพูดถึงกันมาก นมเล่าให้ฟังได้ไหม นอกจากแม่อบเชยแล้วสามสาวที่เหลือเป็นอย่างไรกันบ้าง”
นมขามถอนใจ “ทุกคนล้วนมีชะตาเป็นของตนเอง”
“แล้วชะตาของคนชื่อพิมพ์เป็นอย่างไร นมบอกได้หรือไม่คะ”
“นังพิมพ์ขโมยของแล้วหนีหายไปจากบ้าน ตอนนี้เป็นตายร้ายดีอย่างไรไม่มีใครรู้”
เฟื่องฟ้าแปลกใจ “ขโมย”
นมขามพยักหน้า
“เป็นไปไม่ได้ หนูเห็นแม่พิมพ์ตายเพราะโดนตัวอะไรบางอย่างดูดเลือด”
“ตัวดูดเลือด” นมขามสะกิดใจ นึกขึ้นได้ “หรือว่าบึ้ง มีคนเคยเล่าให้ฟังว่าเคยเห็นบึ้ง”
เฟื่องฟ้าอุทานออกมา “แม่จำเรียง แม่จำเรียงใช่ไหมคะ”
นมขามตกใจ “แม่หนูรู้ได้อย่างไรกัน”
“แล้วนมขามเคยเห็นตัวจริงของมันไหมคะ”
“ไม่เคยหรอกจ้ะ ทำไมถึงถามเรื่องนี้”
“หนูอยากพิสูจน์ว่าสิ่งที่ไต้ก๋งชางให้เห็นในความฝันนั้นเป็นเรื่องจริง”
นมขามตกใจ “ฝันอีกแล้วรึ ไต้ก๋งบอกอะไรแม่หนู”
“หนูเห็นคุณนายงามตาให้บึ้งดูดเลือดแม่พิมพ์จนตาย”
“คุณพระคุณเจ้า คิดอยู่แล้วเชียวว่ามันต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากลลูกหมอผีอย่างนั้นต้องมีคุณไสยมนต์ดำอะไรแน่”
“แล้วคุณนมรู้หรือไม่ว่าตอนนี้หมอผีอินอยู่ที่ไหน”
“บ้านมันอยู่ท้ายตลาดโน่น แต่ตอนนี้มันไม่อยู่หรอก เห็นว่าข้ามไปหาของฝั่งโน้นหนูอยากรู้ไปทำไม หรือหมอผีมันทำอะไรหรือ”
“ตอนนี้หนูยังบอกอะไรมากไม่ได้ ไว้หนูรู้มากกว่านี้จะบอกนมนะคะ แต่ตอนนี้นมช่วยอะไรหนูสักอย่างได้ไหมคะ หนูขอไปตลาดแทนนมนะคะ”
นมขามมองสงสัย เฟื่องฟ้ารีบกลบเกลื่อน
“พอดีหนูต้องไปคุยกับหัวหน้างิ้วที่โรงงิ้วอยู่แล้วน่ะค่ะ”
นมขามพยักหน้ารับ เฟื่องฟ้ามีสีหน้ามุ่งมั่นมาดหมายกับแผนการในใจ

บุหลันยกสำรับมาจัดให้งามตา พองามตากินไปไม่กี่คำ บุหลันได้ทีฟ้องเรื่องเฟื่องฟ้าทันที
“คุณนายเจ้าขา...นังเฟื่องฟ้ามันก่อเรื่องอีกแล้วเจ้าค่ะ”
“มันทำเรื่องอะไรอีก”
“เมื่อคืนที่มันหนีหายไปจากห้อง บุหลันตื่นมาไม่เจอมัน ออกตามหาเสียทั่วก็ไม่พบ จึงไปแจ้งกับคุณก้อง แต่พอคุณก้องเธอไปตรวจดูในห้อง นังนกรู้นี้ก็ยืนยิ้มเยาะอยู่แล้ว แถมยังฉอเลาะคุณก้องแล้วป้ายความผิดให้บุหลันด้วยเจ้าค่ะ”
งามตาครุ่นคิด ด้วยสีหน้าสงสัย “แล้วตกลงเอ็งรู้หรือไม่ว่ามันหายไปไหนมา”
“ผู้หญิงเต้นกินรำกินอย่างนั้นก็คงหนีไม่พ้นไปหาผู้ชาย นังนี่มันร้ายนัก บุหลันกลัวคุณก้องจะตกเป็นเหยื่อมันสักวัน”
“ข้าไม่ยอมให้เป็นอย่างนั้นแน่”
“คุณนายอย่ายอมให้มันเข้าใกล้คุณก้องนะเจ้าค่ะ”
“ต่อจากนี้เอ็งคอยจับตาดูมันให้ดี มันทำอะไรที่ไหนต้องรายงานข้าทั้งหมด”
“เจ้าค่ะ”
“ข้าไม่ปล่อยให้มันอยู่ขวางหูขวางตาข้านานนักหรอก”
งามตานัยน์ตาลุกวาว บุหลันยิ้มยินดี

คฑาเช็ดรถอยู่หน้าเรือนใหญ่อย่างขันแข็ง เฟื่องฟ้าเดินเข้ามาหา
“คฑาจ๊ะ พอดีฉันต้องไปหาเจ้าของโรงงิ้วที่ตลาด และจะไปซื้อของให้นมขามด้วย นมบอกว่าคฑาจะเป็นคนพาไป”
“คุณเฟื่องฟ้าขึ้นรถได้เลยขอรับ”
“พูดธรรมดาก็ได้จ้ะ เราก็เป็นบ่าวเขาเหมือนๆ กัน”
“ขอรับ”
คฑาตอบอย่างเคยชินเฟื่องฟ้าหัวเราะขัน ก้องภพเดินมาเห็นเฟื่องฟ้าหัวเราะคิกคักอยู่กับคฑา จึงรีบปรี่เข้ามาหา
“จะไปไหนกัน”
สองคนตอบพร้อมกัน เฟื่องฟ้าโกหกว่า “เปล่าค่ะ” ส่วนคฑาบอกว่า “ตลาดขอรับ”
ก้องภพมองหน้าสองคน “ตกลงไปหรือไม่ไปกันแน่”
เฟื่องฟ้ากับคฑาตอบพร้อมกันไปคนละทางอีก คนหนึ่งบอก “ไม่ไป” อีกคนบอกว่า “ไปขอรับ”
“อ้าว คุณเฟื่องฟ้าไม่ไปหาเจ้าของโรงงิ้วแล้วหรือขอรับ ไหนว่ามีธุระ” คฑาถามพาซื่อ
ก้องภพมองจับผิด เฟื่องฟ้าอึกอัก
“ไปสิ”
“ดีเลย ฉันอยากคุยกับนายเจียงอยู่พอดี”
ก้องภพขึ้นรถ ชะโงกหน้าออกมาเอ็ดเฟื่องฟ้า
“ขึ้นรถสิ ไม่ไปแล้วรึ ตลาดน่ะ”
เฟื่องฟ้าถอนหายใจอย่างหงุดหงิด ขึ้นรถไปอย่างยอมจำนน

รถที่คฑาขับวิ่งมาจอดในลานจอดของตลาดลำพระพาย เฟื่องฟ้าและก้องภพลงรถมาพร้อมๆ กัน ก้องภพสั่งคฑาว่า
“คฑา นายรออยู่ที่นี่ เดี๋ยวฉันจะไปโรงงิ้วกับเฟื่องฟ้า”
“ขอรับ”
เฟื่องฟ้าเดินลิ่วๆ นำไป ก้องภพรีบตาม
“เธอมีเรื่องอะไรจะคุยกับคุณเจียงงั้นรึ”
“ฉันจะมาคุยกับหัวหน้าเจียงเรื่องการแสดงงิ้ววันเพ็ญหน้านี้น่ะค่ะ แล้วคุณล่ะคะ มาทำไม”
“ฉันมีเรื่องสงสัย”
“เรื่องอะไรหรือคะ”
“สงสัยว่าเมื่อเช้าที่ฉันเห็นเธอ...” ก้องภพจะบอกว่าเฟื่องฟ้าเท้าเปื้อน แต่ไม่พูดเอาแต่มองเท้าเฟื่องฟ้าแทน
เฟื่องฟ้ารีบตัดบทสวนขึ้นว่า “ถึงโรงงิ้วแล้ว ฉันขอเข้าไปคุยกับหัวหน้าเจียงก่อนนะคะ”
พร้อมกับว่าเฟื่องฟ้ารีบเดินหนีเข้าไปในโรงงิ้วเลย ก้องภพเดินตามยิ้มๆ

เวลาผ่านไป เฟื่องฟ้าคุยกับเจียงเรื่องการสอนงิ้วอยู่ภายในโรงงิ้ว ก้องภพอยู่ด้วย
“หนูพร้อมซ้อมกับทุกคนในวันพรุ่งนี้เลยนะคะ เราจำเป็นต้องเร่งต่อเพลงงิ้วกันหนูเกรงว่าถ้าขืนช้าไปกว่านี้ จะไม่ทันการแสดงในวันเพ็ญหน้า”
“ดีๆ งานนี้ทุกคนตื่นเต้นกันใหญ่ที่จะมีตัวแสดงเพิ่มมาอีกคน”
ก้องภพแซวว่า “คุณเฟื่องฟ้าคนเก่งจะได้แสดงฝีมือเสียที”
เฟื่องฟ้ามองค้อนก้องภพเบาๆ “ไม่ขนาดนั้นหรอกค่ะ แต่ฉันก็จะตั้งใจทำให้ดีที่สุด วันนี้หนูกลับก่อนนะคะ ต้องไปซื้อของที่ตลาดต่อด้วย”
“ได้ๆ พรุ่งนี้เจอกันอาหนูเฟื่องฟ้า”
เฟื่องฟ้ายกมือไหว้ลาเจียง แล้วเดินออกไป ก้องภพจะตาม เธอรีบเอ่ยขึ้นว่า
“คุณก้องบอกว่ามีเรื่องจะคุยกับคุณเจียงด้วยไม่ใช่หรือคะ”
“มีอะไรหรือครับอาคุณก้อง”
“ไม่มีอะไรหรอก ฉันแค่อยากมาเยี่ยมเยียนคุณเจียงเท่านั้น เห็นคุณเจียงสบายดีฉันก็สบายใจ ยังไงฉันกลับก่อนนะ ฉันต้องไปซื้อของที่ตลาดต่อกับเฟื่องฟ้าด้วย ไปกันเถอะ”
ก้องภพพยักหน้าให้เฟื่องฟ้าเชิงบอกแล้วนำออกไป เฟื่องฟ้าเดินตามออกไปอย่างเสียไม่ได้
เจียงมองตามสองคนงงๆ

สองคนอยู่ที่แผงขายผัก เฟื่องฟ้าจ่ายเงินเสร็จรับของมาก้องภพแย่งไปถือให้
“มา ฉันถือให้”
“ไม่เป็นไร”
ก้องภพแย่งมาถือเองจนได้แล้วเดินนำไป เฟื่องฟ้าตามไปอย่างจำยอม
“นั่นคุณก้องภพนี่มากับใครกันหน้าตาสะสวย” แม่ค้าซุบซิบกัน
“นั่นนะสิ หรือว่าจะเป็นคนรัก”
“เหมาะสมกันดีนะ” ลูกค้าผสมโรง
ขณะที่เฟื่องฟ้าเลือกซื้อปลาอย่างพิถีพิถัน ก้องภพแอบมองยิ้มๆ เฟื่องฟ้าจ่ายเงินเสร็จก้องภพก็แย่งไปถืออีก
“ดูหนักนะ ฉันถือเอง”
ชาวบ้านแถวนั้นมองยิ้มๆ เฟื่องฟ้าเริ่มอาย
เมื่อมาถึงแผงขายแตงโมเฟื่องฟ้ายิ้มเจ้าเล่ห์ หันมองก้องภพอย่างมีแผนการ
“เอาลูกใหญ่ที่สุดสามลูกจ้ะ”
เฟื่องฟ้าจ่ายเงินเสร็จก็รับแตงโมมาส่งให้ก้องภพถือ แต่ทำเป็นลังเลนิดๆ
“คุณแน่ใจหรือว่าจะถือไหว”
“แค่นี้เอง ฉันถือได้ จะให้ผู้หญิงถือได้อย่างไรเล่า”
เฟื่องฟ้าส่งแตงโมให้ทีละลูกแสร้งทำสงสารไปด้วย ก้องภพยังทำปากเก่งพยักหน้าว่าไหว
“เดี๋ยวฉันช่วยลูกหนึ่งนะคะ”
ก้องภพหลังแอ่น หนักมากแต่กัดฟันพูดว่า “ไม่เป็นไร ฉันถือให้”
เฟื่องฟ้าอมยิ้มเดินอย่างสบายๆ นำไป ก้องภพเดินตามอย่างลำบากยากเย็น
เฟื่องฟ้ามองไปเห็นร้านขายขนมหน้าตาน่ากิน
“อุ๊ย ขนมครกเจ้านั้นเขาว่าอร่อยนัก ฉันขอแวะซื้อก่อนนะคะ”
เฟื่องฟ้าเดินตัวปลิวไปต่อแถวคนซื้อ ก้องภพเดินหลังแอ่นไปต่อแถวด้วย
“ฉันว่าคุณเอาของไปเก็บที่รถก่อนเถอะ ถือของหนักยืนกลางแดดเปรี้ยงอย่างนี้ เดี๋ยวจะเป็นลมเป็นแล้งไป”
“แค่นี้เอง ฉันรอได้”
“ไปเถอะค่ะ ดิฉันไม่อยากโดนคุณนายว่าเอาได้ เดี๋ยวซื้อขนมตรงนี้เสร็จจะรีบตามไป”
“อย่างนั้นก็ได้”
ก้องภพหลงกลเดินถือของพะรุงพังไปอย่างทุลักทุเล
พอก้องภพลับสายตาไป เฟื่องฟ้ารีบวิ่งไปอีกทางถามชาวบ้านแถวนั้น
“พี่จ๊ะ พี่พอจะรู้ไหมว่าบ้านหมอผีอินอยู่ที่ไหน”

เรือนหมอผีอินทั้งหลัง ตกอยู่ในบรรยากาศเงียบสงัดจนวังเวง แม้เป็นยามกลางวัน เฟื่องฟ้าค่อยๆ เดินเข้ามา ยินเสียงฝีเท้าของเฟื่องฟ้าที่ค่อยๆ ก้าวเดินไปทีละก้าวๆ มีเสียงฝีเท้าเดินตามมา เฟื่องฟ้าหยุด เสียงนั้นก็หยุดตาม พอเฟื่องฟ้าออกเดินเสียงนั้นก็เดินตาม เมื่อหันไปดูกลับไม่พบอะไร
ระหว่างนี้มีเงายายแก่เดินผ่านด้านหลังเฟื่องฟ้าไปโดยเร็ว เฟื่องฟ้ารีบหันกลับไปดูแต่ไม่มีอะไรเช่นเคย เงาผ่านข้างหลังอีกครั้ง เฟื่องฟ้าหันไปอีกแต่ไม่เห็นอะไร
เฟื่องฟ้ามีสีหน้าสงสัย หันกลับมา คราวนี้พบยายแก่คนหนึ่งนั่งก้มหน้าก้มตาอยู่ข้างหน้า เฟื่องฟ้าตกใจ แต่ยังทำใจดีสู้เสือ
“ยายจ๋า ที่นี่ใช่บ้านมอผีอินหรือเปล่าจ๊ะ”
ยายยังคงนั่งนิ่ง เฟื่องฟ้าค่อยๆ เดินเข้าไปหา ยื่นมือไปสะกิดเรียก
“ยายจ๊ะ เป็นอะไรหรือเปล่า”
ยายแก่ซึ่งแท้จริงคือผีปอบ หันมาหาตาถลึงใส่ มือและปากเต็มไปด้วยเลือด และของโสมม
“ข้าหิววว” ผีปอบยื่นมือมาหาเฟื่องฟ้า
เฟื่องฟ้ากรี๊ดรีบวิ่งหนีไปอีกทาง ไปเจอกับต้นไม้รีบหลบหลังต้นไม้หอบหายใจ
เมื่อดูทีท่าจะปลอดภัย ทันใดนั้น ต้นไม้ก็ค่อยๆ ขยับพร้อมเสียงหวีดแหลม เฟื่องฟ้าตาตื่นรีบถอยจากต้นไม้เงยหน้ามองอย่างตกใจ
มันเป็นผีเปรตหน้าตาหน้าเกลียดน่ากลัวสุดจะประมาณตัวสูงเสียงฟ้า และกำลังส่งเสียงหวีดหวิวแหลมเล็กดังขึ้น จนเฟื่องฟ้าต้องเอามือปิดหูไว้ เฟื่องฟ้าจวนเจียนจะเป็นลม เธอรีบกลั้นหายใจ แล้วถอยหลังวิ่งหนีเข้าไปในใต้ถุนบ้านหมอผีอิน
ทุกอย่างก็เงียบสงบไร้เสียง เฟื่องฟ้าค่อยๆ ลดมือที่ปิดหูลง
จู่ๆ ก็มีผมยาวดับขลับห้อยลงมาที่หัวเฟื่องฟ้า ต่ำลงๆ จนปิดหน้าตา เฟื่องฟ้าตกใจเงยหน้าขึ้นไปมอง เห็นผู้หญิงใบหน้าขาวซีดคนหนึ่งกำลังแสยะยิ้มยิงฟันดำมาให้ พร้อมๆ กับที่ผมยาวดำค่อยๆ เลื้อยเรื่อยลงมารัดหน้าตาเฟื่องฟ้าเอาไว้
พยายามสะบัดตัวออกแต่ไม่ทันเสียแล้ว ผมผีปิดหน้าเฟื่องฟ้าอย่างรวดเร็ว เรื่อยลงมาถึงที่คอ ฉับพลันนั้นเองได้เกิดแสงสว่างวาบออกมาจากตัวเฟื่องฟ้า ผมผีห้อยหัวก็หดหายไปจนสิ้น เฟื่องฟ้าทรุดตัวลงอย่างหมดแรง
ไม่ทันได้หายใจนาน อยู่ๆ ก็มีเสียงร้องไห้ก็ดังขึ้นจากด้านหนึ่ง เฟื่องฟ้าหันขวับไปแต่ไม่เห็นอะไร เสียงร้องไห้ดังขึ้นอีกด้าน ดังขึ้นๆ เฟื่องฟ้าดึงสร้อยพระออกจากในเสื้อ แล้วเริ่มแผ่เมตตา
“สัพเพ สัตตา สัตว์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนทุกข์เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น”
เสียงร้องไห้เริ่มเปลี่ยนเป็นโหยหวน
“อะเวรา จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้มีเวรซึ่งกันและกันเลย”
เสียงร้องโหยหวนดังขึ้น
“อัพพะยาปัชฌา จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้เบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย”
เสียงโหยหวนดังมาจากรอบทิศ ปรากฎร่างผีพรายกรีดร้องอย่างทุกข์ทรมานให้เห็น เฟื่องฟ้าตกใจหยุดสวด ผีพรายได้โอกาสพุ่งเข้ามาหาโดยไม่ให้ตั้งตัว เฟื่องฟ้าตกใจล้มลง ผีพรายยื่นมือเข้ามาหมายจะบีบคอ สร้อยพระที่คอเฟื่องฟ้าเปล่งแสงสว่างวาบ ผีพรายกรีดร้องอย่างเจ็บปวดแล้วหายวับไป
เฟื่องฟ้าหยุดหอบหายใจ พยายามรวบรวมสติ กำพระที่คอแน่น แล้วลุกเดินขึ้นบันไดไปช้าๆ

เฟื่องฟ้ายังคงกำพระแน่นค่อยๆ เปิดประตูเรือนเดินเข้ามาหยุดตรงนอกชาน มองเข้าไปในโถงทำพิธีด้านใน
เฟื่องฟ้าก้าวเท้าเข้าไปในบริเวณนั้นอย่างระวัง และมีสติ เสียงดังกุกกักจากกล่องที่วางปนอยู่กับเครื่องรางของขลังประดามี เฟื่องฟ้าก้มลงใกล้ๆ เปิดออกดู แต่ไม่มีอะไร แต่จู่ๆ เธอก็รับรู้ถึงความผิดปกติบริเวณข้อเท้า
พอก้มลงกูก็พบว่าตัวบึ้งไต่ขาเธออยู่ เฟื่องฟ้าสะบัดเท้าเต็มแรงกรีดร้องลั่นอย่างรังเกียจและหวาดกลัว
จากนั้นก็ก้มหน้าก้มตาวิ่งหนีลงบันไดเรือนมาชนเข้ากับคนๆ หนึ่ง จนร่างเซไป เฟื่องฟ้าค่อยๆ หันหน้ามามอง เห็นหมอผีอินยืนหน้าถมึงทึงจ้องมองมา สีหน้าท่าทางไม่พอใจเต็มที่
“เอ็งเป็นใคร มาทำอะไรในบ้านข้า”
เฟื่องฟ้าตกใจกลัวจนตัวสั่น “คือ... ฉัน...”
“ตอบมา”
เสียงก้องภพดังเข้ามา “คุณตาครับ”
หมอผีอินและเฟื่องฟ้าหันไปมอง เห็นก้องภพเดินยิ้มเข้ามาด้วยท่าทีสบายๆ ยกมือไหว้จอมอาคมท่าทีนอบน้อม
“ก้อง เอ็งมาที่นี่ทำไม”
“ผมมาตลาดกับเฟื่องฟ้า” เขาเดินมายืนข้างๆ เฟื่องฟ้า “คิดถึงคุณตา เลยแวะมาหาน่ะครับ”
หมอผีอินมองอย่างแคลงใจ
ก้องภพแนะนำหมอผีคนดังกับเฟื่องฟ้า “นี่คุณตาผม”
เฟื่องฟ้ายกมือไหว้
ก้องภพแนะนำหมอผีอิน “ส่วนนี่เฟื่องฟ้าครูสอนงิ้วของผมครับ”
“แล้วทำไมครูงิ้วของพ่อก้องถึงได้ขึ้นไปยุ่มย่ามบนเรือนตาได้”
ก้องภพหันไปมองเฟื่องฟ้าเชิงคาดโทษแล้วหันมายิ้มให้ตา “ขอโทษขอรับคุณตา ผมให้เฟื่องฟ้าช่วยขึ้นไปดูคุณตาให้ผมหน่อยว่าอยู่หรือไม่ ส่วนผมก็เดินดูรอบๆ ไม่ได้มาเสียนานบ้านคุณตายังเหมือนเดิมเลยนะครับ”
“ตาไม่ชอบให้อะไรๆที่มันดีอยู่แล้วเปลี่ยนไปนักหรอก ทีหลังหากจะมาเยี่ยมตาก็ให้คนมาบอกก่อน ตาจะได้เตรียมต้อนรับ” หมอผีอินเหน็บไปทางเฟื่องฟ้า “ไม่ใช่อยู่ๆ ก็โผล่มาเยี่ยงนี้”
“คราวหลังผมจะบอกก่อน ผมเห็นคุณตาสบายดีผมก็สบายใจ วันนี้ผมขอตัวกลับก่อนนะครับ ไปเถอะ”
เฟื่องฟ้าโล่งใจ สองคนหันตัวจะเดินกลับ เสียงหมอผีอินเรียกไว้
“เดี๋ยวก่อน”
ก้องภพหันกลับไปหา เฟื่องฟ้าลุ้นระทึกกลัวจะโดนจับได้
“ครับ”
“ฝากบอกแม่แกด้วย พรุ่งนี้ตาจะไปหา”
“ครับ”
สองคนเดินออกไปเฟื่องฟ้าพยายามมเดินไปอย่างปกติที่สุด โดยมีสายตาหมอผีอินมองตามอย่างสงสัย

รถที่คฑาขับแล่นเลี้ยวเข้ามาจอดที่หน้าเรือนใหญ่ลำพระพาย เฟื่องฟ้ารีบลงจากรถหิ้วข้าวของลงไป
“ไม่ต้องหรอกขอรับ เดี๋ยวกระผมถือไปให้ที่ครัวเอง”
“ขอบใจจ้ะ”
เฟื่องฟ้ารีบเดินลิ่วๆ นำไป ก้องภพเดินตามมาเรียกไว้
“เดี๋ยว เฟื่องฟ้ารอก่อน”
เฟื่องฟ้าหยุด ถามด้วยน้ำเสียงประชด “เจ้าคะคุณก้อง”
“เธอไปทำอะไรที่บ้านตาของฉัน”
“แล้วคุณตามฉันไปทำไมล่ะเจ้าคะ”
“ฉันกำลังถามเธออยู่นะ เอาล่ะ งั้นฉันขอถามเธออีกข้อ เธอมาทำอะไรที่นี่”
“ก็คุณจ้างฉันมาสอนงิ้วไม่ใช่หรือคะ”
“ฉันถามถึงจุดประสงค์ที่แท้จริงของเธอต่างหาก สาเหตุที่เธอทำตัวแปลกๆและ มักจะไปอยู่ในที่แปลกๆ ตอบฉันมาสิเธอต้องการอะไรที่นี่”
“ฉันไม่มีอะไรจะต้องตอบ”
“ไม่มีหรือตอบไม่ได้ มันเรื่องอะไรกันแน่ ถ้าไม่ใช่เรื่องผิดกฎหมายก็ไม่มีอะไรจะต้องกลัว ฉันเป็นผู้พิพากษา และฉันจะให้ความยุติธรรมกับเธอ”
“ถึงฉันพูดไปคุณก็ไม่เชื่อฉันอยู่ดี”
“เธอก็ลองพูดมาสิ”
เฟื่องฟ้ามองหน้าก้องภพอย่างชั่งใจแล้วก็ตัดสินใจไม่บอก “ที่นี่ไม่ใช่ศาลคุณไม่สามารถซักถามราวกับฉันเป็นจำเลยอย่างนี้ได้”
“จำเลยใช้เรียกคนที่ทำผิด เธอทำผิดหรืออย่างไร”
“แล้วคุณคิดอย่างไรล่ะคะ หากคุณคิดว่าดิฉันทำผิดก็เรียกโปลิศมาจับเสียเลยเดี๋ยวนี้”
ก้องภพมองตาเฟื่องฟ้า อีกฝ่ายจ้องตอบอย่างแน่วแน่
“ฉันทำไม่ได้ เพราะไม่มีหลักฐานเป็นรูปธรรมที่จะบ่งชี้ว่าเธอกระทำผิดจริงตามกฎหมาย มีแต่ข้อสันนิษฐานของฉันเท่านั้น”
“แล้วคุณสันนิษฐานว่าฉันทำผิดอะไรหรือเจ้าคะ”
“ฉันสันนิษฐานว่าเธออาจต้องการความช่วยเหลือ และถ้าเธอไม่บอกฉัน ฉันก็ไม่สามารถช่วยอะไรได้”
ก้องภพมองหน้าเฟื่องฟ้าอย่างจริงใจ สาวสวยหวั่นไหววูบหนึ่ง
“เช่นนั้นคุณก็สันนิษฐานผิดแล้วล่ะเจ้าค่ะ ศาลที่เคารพ”

บุหลันเดินออกมาแถวหน้าเรือน เห็นก้องภพกับเฟื่องฟ้ามองตากันอยู่สองต่อสอง บุหลันจ้องมองอย่างโกรธเคืองแล้วหลบวูบไป
คฑาเดินหิ้วข้าวของพร้อมแตงโมลูกโตไปอย่างทุลักทุเล
เฟื่องฟ้าเข้าไปช่วยคฑา “ฉันช่วยจ้ะ เรารีบไปที่ครัวกันเถอะ ป่านนี้นมรอแย่แล้ว”
เฟื่องฟ้ารีบเดินหนีไปพร้อมคฑา ก้องภพมองตามอย่างไม่สบายใจ

บุหลันนั่งบีบนวดงามตาหลังจากเพิ่งฟ้องเรื่องก้องภพกับเฟื่องฟ้าเสร็จ ก้องภพเดินขึ้นเรือนมา
“พ่อก้องมาพอดี”
“คุณแม่ให้บ่าวไปเรียกผมมีเรื่องอะไรหรือครับ”
“แม่ไม่เห็นพ่อก้องอยู่บ้านเมื่อเช้า ไปไหนมาหรือลูก”
“ไปเดินดูตลาดมาน่ะครับ”
“ดูตลาดนี่ต้องพาผู้หญิงในเรือนบ่าวไปด้วยงั้นรึ”
ก้องภพหันไปมองบุหลันแว่บหนึ่ง สาวใช้จอมเจ๋อหลบตาวูบ
“มีคนมาบอกคุณแม่หรือครับ”
“ทำไมพ่อก้องต้องหิ้วแม่นั้นไปด้วย มันเป็นแค่บ่าวในเรือน”
“เฟื่องฟ้าไม่ใช่บ่าวครับ เธอเป็นครูสอนงิ้ว แล้วเธอก็ไม่ได้ตั้งใจไปตลาดกับผม เธอต้องไปซื้อของที่ตลาดแทนนมขามแล้วผมก็เห็นว่าอย่างไรเสียก็เป็นทางเดียวกัน จึงติดรถไปด้วยกันเสียเลย”
งามตาฉุน “นี่พ่อก้องชักจะปกป้องมันออกหน้าออกตาแล้วรู้ตัวไหม”
“ผมแค่ไม่อยากให้คุณแม่มองเธอเป็นบ่าว”
“พ่อก้อง” งามตาขึ้นเสียงใส่
ก้องภพเหนื่อยใจ รีบเปลี่ยนเรื่อง
“วันนี้ผมไปเยี่ยมคุณตามา คุณตาบอกว่าพรุ่งนี้จะเข้ามาหาคุณแม่ครับ”
“งั้นรึ”
งามตายิ้มอย่างโล่งใจ

เรือนดอกเหมย ในบรรยากาศกลางดึกเงียบสงบ เฟื่องฟ้าเดินมาหยุดที่ด้านหน้าเรือนด้วยสายตาแน่วแน่
“ไต้ก๋งชาง”
ลมพัดแรง เสียงหมาหอนโหยหวนดังมาจากที่ไกลๆ
“ฉันเชื่อคุณแล้ว ฉันจะช่วยคุณเอง”
ลมโหมกระหน่ำ เฟื่องฟ้าเดินอย่างแน่วแน่เข้าไปที่เรือนดอกเหมย

ขณะเดียวกัน บุหลันกึ่งลากกึ่งจูงสนมาตามทาง
“เร็วสิแม่”
“นี่เอ็งจะพาข้าไปไหน โตเป็นควายแล้วไปเข้าส้วมคนเดียวไม่ได้รึไง”
“ใครว่าฉันจะไปส้วม ฉันจะไปเรือนดอกเหมยต่างหาก”
“เอ็งจะไปทำอะไรที่เรือนดอกเหมยกลางค่ำกลางคืนแบบนี้”
“ฉันเห็นนังเฟื่องฟ้ามันไปที่นั่นนะสิ รีบไปเถอะ ฉันอยากรู้ว่ามันไปทำอะไรกันแน่คราวนี้ฉันจะทำให้มันโดนคุณก้องไล่ออกจากบ้านให้ได้”
บุหลันเดินลิ่วนำไปด้วยความมุ่งมั่น
“เร็วสิแม่”
“เออๆ”

เมฆครึ้มลอยมาปิดแสงดวงจันทร์ เห็นเงาของเฟื่องฟ้าค่อยๆ ใช้จอบขุดดินบริเวณใต้ถุนเรือนดอกเหมย บุหลันและสนค่อยๆ เดินตามกันมา
“แม่ เดินช้าขนาดนี้เดี๋ยวนังเฟื่องฟ้ามันก็หนีได้อีกหรอก”
“เออๆ ข้าก็รีบอยู่นี่ไง”
เฟื่องฟ้ากำจอบแน่น หายใจหอบถี่ มีหลุมราวห้าหลุมที่เฟื่องฟ้าขุดไว้ เฟื่องฟ้ายืนอยู่หน้าหลุมที่หกที่กำลังขุดไปได้ครึ่งหนึ่ง แต่ภายในหลุมยังว่างเปล่า เฟื่องฟ้ามองอย่างผิดหวัง แต่ไม่ยอมแพ้ ยกจอบขึ้นแล้วขุดต่ออย่างมุ่งมั่น
สนเหนื่อยหอบแทบลมจับ เดินตามลูกสาวไม่ทันจนต้องร้องบอก
“เดี๋ยวๆ นังบุหลัน ข้าขอพักหายใจก่อน”
“โอ้ยแม่! มาพักอะไรตอนนี้ ไว้เราจับนังเฟื่องฟ้าได้คาตาก่อนค่อยพักไม่ได้รึ”
“ก็เอ็งกู่ลู่กู่ถังข้ามาแบบนี้ ข้าก็ลมจะจับเอาน่ะสิ ข้าแก่แล้วนะโว้ย”
“โธ่แม่! รีบไปเถอะ”
“เอ๊ะ นังนี่ งั้นเอ็งก็นำข้าไปก่อนสิวะ จะมารอข้าทำไม”
“รีบไปเถอะน่าแม่ ฉันกลัว”
บุหลันรีบลากสนให้ตามไป

ส่วนเฟื่องฟ้าขุดหลุมต่อจนลึกพอประมาณก็หยุด ในหลุมที่หกยังคงไม่มีอะไร เฟื่องฟ้าเริ่มถอดใจ
“ช่วยฉันด้วย ไต้ก๋งชาง”
ฟ้าผ่าดังเปรี้ยง ตามด้วยเสียงฟ้าคำรณคำรามอย่างน่ากลัว
บุหลันตกใจกรี๊ดลั่น
เฟื่องฟ้าตกใจเสียงกรี๊ด ถอยหลังจนสะดุดล้ม
สนรีบเอามือปิดปากบุหลัน
“จะร้องหาพระแสงอะไร เดี๋ยวมันก็ได้ยินหรอก”
“ก็ฉันตกใจนี่ รีบไปต่อเถอะ เดี๋ยวมันรู้ตัวจะหนีกลับไปก่อน”
เฟื่องฟ้าพยายามยันตัวลุกจนมือปัดป่ายไปเจอหินก้อนหนึ่ง เฟื่องฟ้าลูบอย่างสงสัย พลางมองที่หินก้อนอื่นในบริเวณนั้น พบว่าหินนี้ต่างออกไปโดยสิ้นเชิง เฟื่องฟ้าหยิบหินขึ้นมาอย่างสงสัยแล้วเริ่มขุด
ฟ้าร้องฟ้าคำรามหนักขึ้น ลมพัดแรงราวกับจะมีพายุ เฟื่องฟ้าขุดเร็วขึ้นจนจอบไปกระทบกับอะไรบางอย่างดังกึก จึงหยุดแล้วโกยดินออกจนเกือบจะเห็นว่าเป็นอะไร อะไรบางอย่างแข็งๆ โค้งๆ อยู่ในห่อผ้าดิบที่มีผ้ายันต์แปะอยู่ข้างบน เฟื่องฟ้าค่อยๆ หยิบมันขึ้นมาแล้วเปิดออก
บุหลันกับสนเร่งฝีเท้าจนเกือบจนถึงเรือนดอกเหมย
เสียงหัวเราะไต้ก๋งชางดังขึ้นอย่างน่าขนลุก
สนผวากลัว “นังบุหลัน เสียงอะไรน่ะ”
“หรือว่า...”
ผีผู้ชายผมเผ้ารุงรังปากฎต่อหน้าสองแม่ลูก ดูไม่ออกว่าเป็นไต้ก๋งชาง ผีตนนั้นพุ่งเข้าหาสองแม่ลูกกรี๊ดลั่นรีบยกมือประนมสวดมนต์ทันที
บุหลันหลับตาปี๋ “นะโมตัสสะ นะโมตัสสะ”
สนพนมมือตาเหลือก “พุธโธ ธัมโม สังโฆ”
“แค่นี้ทำอะไรข้าไม่ได้หรอก”
ผีไต้ก๋งชางพุ่งเข้าหาทั้งคู่อย่างประสงค์ร้าย สองแม่ลูกกรี๊ดลั่น
แต่แล้วอยู่ๆ ไต้ก๋งชางก็ชะงักกึก ลอยถอยหลังเหมือนถูกอะไรบางอย่างดึงดูดแล้วหายไป
ฟ้าผ่าอีกเปรี้ยง เป็นจังหวะเดียวกับที่เฟื่องฟ้าเปิดผ้าออก เห็นกะโหลกไต้ก๋งชางในผ้ายันต์นั้น
เสียงฟ้าคำรามสะเทือนเลื่อนลั่น เฟื่องฟ้าเผลอปล่อยกะโหลกในมือด้วยความตกใจ
“ไต้ก๋งชาง”

ท้องฟ้ามืดมัว ฟ้าคำรณ คำราม เป็นระยะ สลับกับเสียงหมาหอนโหยหวน ลมกรรโชกแรง ต้นไม้ไหวเอนไปตามแรงลมอย่างน่ากลัว
เฟื่องฟ้าหายใจหอบ ด้วยความตื่นเต้น จ้องมองกระโหลกของไต้ก๋งชางในห่อผ้าอย่างพรั่นพรึง
“คุณใช่ไหม ไต้ก๋งชาง”
ลมแรงพัดวูบเหมือนตอบรับเอาคำ แรงจนเฟื่องฟ้าต้องหลับตา กระโหลกสว่างวาบดึงดูดวิญญาณไต้ก๋งให้กลับมา เฟื่องฟ้าลืมตาขึ้นมาอีกครั้งไต้ก๋งชางลอยอยู่ตรงหน้า
“ใช่...ข้าเอง”
เฟื่องฟ้ามองชางอย่างเห็นใจ
“ไต้ก๋งชาง เหตุใดจึงมีแต่... ร่างของคุณหายไปไหนคะ”
“นั่นคือสิ่งที่ข้าต้องการให้แม่หนูช่วย”
“จะให้ฉันช่วยอะไรคะ”
“หาร่างของข้าให้เจอ แล้วนำมารวมกับกะโหลกในคืนวันเพ็ญ เพื่อคลายคุณไสยมนต์ดำที่ไอ้อินมันทำไว้ เพราะมนต์ของมันทำให้วิญญาณของข้าถูกสะกด ข้าต้องถูกกักอยู่ในความมืด หมดหนทางที่จะได้ไปผุดไปเกิด”
“โหดร้ายเหลือเกิน”
“ยังมีอีกหลายเรื่องที่แม่หนูต้องรู้ แต่ตอนนี้ข้าจำต้องหาร่างให้พบโดยเร็ว ก่อนที่ไอ้อินมันจะกลับมาสะกดวิญญาณข้าอีก”
“แล้วฉันจะหาร่างของคุณได้จากที่ใด”
“ข้าก็หารู้ไม่ แม่หนูจะช่วยข้าได้หรือไม่”
ไต้ก๋งชางมองมาด้วยแววตาเศร้าสร้อย เฟื่องฟ้าชั่งใจ

ลมเริ่มสงบ เมฆครึ้มสลายไปจนสิ้น เผยให้เห็นดวงจันทร์แจ่มกระจ่างอยู่บนท้องฟ้า

อ่านต่อตอนที่ 17


กำลังโหลดความคิดเห็น