เสน่ห์นางครวญ ตอนที่ 15
บทประพันธ์ : หงส์หยก บทโทรทัศน์ : พิชฌสินี
ก้องภพออกมาจากห้องงามตา เจอคฑากับนมขามรออยู่
“เป็นอย่างไรบ้างขอรับคุณก้อง”
“คุณแม่ไม่ยอมกินยาเลย เอาแต่เพ้อว่าผีจะมาหลอก เราจะทำอย่างไรดี”
“คุณก้องไม่ต้องห่วงนะขอรับ กระผมให้คนไปนิมนต์พระมาสวดให้พรุ่งนี้แล้ว คุณนายอาจจะสบายใจขึ้น”
“เราก็ขอให้เป็นอย่างนั้น”
นมขามพูดขึ้นมาลอยๆ ว่า
“แต่ถ้าคนเรามีชนักติดหลังอยู่ ต่อให้พระศักดิ์สิทธิ์แค่ไหนก็อาจจะช่วยไม่ได้นะเจ้าคะ”
ก้องภพมองนมขามสีหน้าฉงน “นมขามหมายถึงอะไรครับ”
“ไม่มีอะไรเจ้าค่ะ นมแค่กลัวว่าพระสวดแล้วจะไม่ได้ผลอีกก็เท่านั้น”
“แต่นี่ก็เหลือวิธีเดียวที่เราจะทำได้แล้วนะครับคุณนม ลองก่อนก็ไม่เสียหาย” คฑาว่า
“อะไรที่เห็นว่าดีก็ทำไปเถอะจ้ะ ฉันเชื่อว่าพระจะคุ้มครองคนดี แต่ถ้าไม่…ก็สุดแท้แต่เวรแต่กรรมแล้วกัน”
ก้องภพไม่เข้าใจ นมขามเสมองไปทางอื่น ก้องภพหน้าเครียดจัด เป็นห่วงแม่ไม่คลาย
ค่ำนั้น หมอผีอินกับก้อน บุหลันและสนขึ้นเรือที่ท่าน้ำบ้านลำพระพาย รีบรุดไปที่หน้าเรือน แต่พอถึงหน้าประตูลมก็พัดวูบมาอีกครั้ง หมอผีอินหลับตาหลบเศษฝุ่นและใบไม้ที่ปลิวมา เสียงหนึ่งดังขึ้น
“ข้าไม่ให้เอ็งเข้าไปได้หรอก ไอ้หมอผีชั่ว”
หมอผีอินลืมตาขึ้น เห็นเจ้าที่มองมาด้วยสายตาอันแข็งกร้าว
“อย่าขวางข้าเลยท่านเจ้าที่”
บุหลันกับสนพากันตกใจกลัว ว่าหมอผีอินคุยกับใคร
“แม่ ลุงหมอผีนั่นคุยกับใครนะจ๊ะ”
“ข้าก็ไม่รู้”
สนกับบุหลันกอดกันกลม กลัวจับจิต ส่วนก้อนยืนเฉยเพราะชินแล้ว ท่านเจ้าที่ออกมายืนขวางหน้าประตู ตวาดใส่หมอผีอิน
“รอบตัวเอ็งมีแต่วิญญาณร้าย เข้าบ้านใครจักนำพาแต่ความฉิบหายมาให้ อย่างไรเสียข้าก็ไม่ให้เอ็งเข้าไป”
“ใจเย็นก่อนเถิดท่าน เจ้าพวกสัมภเวสีนี่ข้าแค่เลี้ยงไว้รับใช้ ข้าสาบานว่าจะไม่มีการทำอันตรายต่อเรือนของท่านเป็นอันขาด”
“ข้ามิเชื่อ ข้าจะยอมให้พวกเอ็งอยู่แต่ด้านนอกเท่านั้น หากไม่ยอมก็กลับไปเสีย ก่อนที่ข้าจะต้องลงไม้ลงมือ” เจ้าที่ว่า
หมอผีอินแสยะยิ้ม
“ท่านคิดว่าท่านมีพลังอยู่ผู้เดียวงั้นรึ”
สิ้นคำ หมอผีอินก็พนมมือบริกรรมคาถา ฉับพลันก็เกิดลมพัดโหมรุนแรงราวกับมีพายุเข้าก็ไม่ปาน งามตากับสนกรี๊ดลั่น
บรรดาสัมภเวสีที่หมอผีอินเลี้ยงไว้ทั้งหมด ปรากฏตัวขึ้นเต็มเรือนไปหมด หมอผีชั่วยิ้มร้าย
งามตาเปิดประตูห้องพระ มีชื่นกับเติมช่วยกันขนเครื่องนอนมาให้ ชื่นถามงามตาอย่างงงๆ
“คุณนายจะนอนที่นี่จริงหรือเจ้าคะ”
“เออ ข้าจะนอนที่นี่ พวกเอ็งมีอะไรงั้นหรือ”
งามตาถามปลายเสียงไม่ค่อยพอใจ เติมกับชื่นคอหดกันไป
“บ่าวว่าห้องมันคับแคบ กลัวคุณนายจะนอนไม่สบายเจ้าค่ะ”
“ข้านอนได้ที่นี่น่ะเหมาะที่สุดแล้ว มีแต่พุทธคุณคอยคุ้มครอง ไอ้พวกผีร้ายมันจะได้ไม่มาทำร้ายข้าไงล่ะ”
“แต่ด้านนอกก็มีสายสิญจน์พันไว้แล้ว จะมีผีร้ายเข้ามาได้อย่างไรล่ะเจ้าคะ”
“เอ็งมันไม่รู้อะไรอีชื่น ผีตนนี้มันร้ายนัก ต่อให้มีของขลังร้อยอย่างข้าก็ไม่ไว้ใจ” งามตามองสองบ่าว “ทำไมมองข้าอย่างนั้น หรือว่าเอ็งคิดว่าข้าบ้าอีกคน”
“เปล่าเจ้าค่ะ บ่าวไม่ได้คิดอย่างนั้น” เติมบอก
งามตาพยักหน้า มองไปรอบห้องอย่างพอใจ
“ก็ดี งั้นรีบปูที่นอนให้ข้าเสีย แล้วออกไปเฝ้าหน้าห้อง คอยระวังสายสิญจน์ให้ข้าอย่าให้คนหรือผีตนใดมันเข้ามาหาข้าเป็นอันขาด เข้าใจรึไม่”
ชื่นกะเติมรับ “เจ้าค่ะ” พร้อมกัน จัดการปูที่นอนแล้วรีบออกไป เมื่ออยู่ลำพังงามตายังไม่คลายความระแวง
“ไอ้ก้อนนะไอ้ก้อน ให้ไปตามพ่อข้า เมื่อไหร่จะมาก็ไม่รู้”
งามตาไม่ไว้ใจ เปิดห่อผ้าที่พกมาด้วยแล้วหยิบพร้าที่อยู่ในนั้นมาถือมั่นในมือ
“ข้าไม่ให้ผีนั่นเข้ามาได้หรอก ถ้าอยากลองดีกับกูก็ลองดู กูไม่ปล่อยมึงไว้แน่”
งามตาชี้พร้าไปรอบตัวอย่างหวาดระแวง ผีไต้ก๋งชางเฝ้ามองอยู่ที่นอกหน้าต่าง โดยที่งามตาไม่รู้ตัว
เจ้าที่เห็นฝูงสัมภเวสีที่เต็มไปด้วยพลังชั่วร้ายมายืนออกันเต็มหน้าเรือนก็ผงะถอยไป หมอผีอินพูดท้าทายเจ้าที่
“ข้าจะถามท่านอีกครั้ง ว่าจะยอมให้พวกข้าเข้าไปหรือไม่”
เจ้าที่โกรธ “เอ็ง”
“หากยอมแต่โดยดีข้าจะถวายเครื่องเซ่นให้อย่างงาม แต่ถ้าหากไม่…”
เจ้าที่สวนขึ้นทันควันมาว่า “ไม่ ข้าจะไม่มีวันปล่อยให้พวกสัมภเวสีเร่ร่อนเข้าไปทำอะไรที่เรือนของข้า”
“ท่านเลือกเองนะ”
หมอผีอินยิ้มชั่ว หยิบมีดหมอเขมรออกมาแล้วท่องคาถา
บรรดาสัมภเวสีที่อยู่ด้านหลังได้รับพลังเข้าไป ตาก็เปลี่ยนเป็นสีแดง มองเจ้าที่อย่างอาฆาต หมอผีอินสั่งเสียงเข้ม
“จัดการมัน”
ฝูงสัมภเวสีก็พุ่งเข้าไปรุมทำร้ายเจ้าที่ประจำเรือน
เจ้าที่พยายามใช้พลังต้านไว้ แต่ฝั่งหมอผีอินแข็งแกร่งกว่า สุดท้ายร่างท่านเจ้าที่ก็แตกสลายไป
จู่ๆ ลมที่พัดแรงก็สงบลง
หมอผีอินยิ้มพอใจเดินนำเข้าไป ก้อนหันมาดุสองแม่ลูกที่ยืนงงอยู่
“ยืนเป็นเบื้ออะไรอยู่ ตามมาสิวะ”
ก้อนตามหมอผีอินเข้าไปพร้อมบุหลันและสน
งามตากำลังจะหลับ แต่แล้วก็ต้องสะดุ้งตื่นเมื่อเห็นหน้าต่างห้องพระพะเยิบพะยาบตามแรงลม งามตามควานหาพร้ากำไว้ในมือแน่น มองรอบด้านอย่างหวาดกลัว
“เข้ามาเลย กูไม่กลัวมึงหรอก แน่จริงก็เข้ามาให้ได้สิวะ”
งามตากำพร้าแน่น ด้านนอกลมยังพัดแรงตีหน้าต่างเปิดออกอย่างแรง
งามตากรี๊ดลั่น มองไปนอกหน้าต่าง เห็นกลุ่มควันสีขาวปรากฏขึ้นรอบเรือน ยินเสียงคล้ายฝีเท้าคนเดินดังขึ้นบนเรือน ซึ่งได้แต่เดินวนอยู่อย่างนั้น ไม่มีมีอะไรเข้ามาในห้องพระได้ งามตาหัวเราะสะใจ
“มึงเก่งนักไม่ใช่เรอะ ทำไมไม่เข้ามาล่ะ เข้ามาสิโว้ย”
งามตามหัวเราะเยาะเสียงดัง ลมยังคงพัดรุนแรงต่อเนื่อง
วิญญาณไต้ก๋งชางปรากฏขึ้นที่ชานเรือน มองไปยังห้องพระด้วยความโกรธแค้น พริบตานั้นไต้ก๋งชางก็แปลงกายเป็นหมอผีอิน ยืนตะโกนเรียกงามตาขึ้นไปทางหน้าต่างห้องพระ
“งามตา อีงามตา”
งามตาได้ยินเสียงพ่อ จึงเดินไปเปิดดูที่หน้าต่าง พอมองลงไปเห็นหมอผีอินก็ดีใจมาก
“พ่อ มาแล้วหรือ”
“รีบลงมาข้างล่างก่อนเถิด เดี๋ยววิญญาณไอ้ไต้ก๋งข้าจะจัดการให้”
“ได้จ้ะพ่อ ฉันจะลงไปเดี๋ยวนี้”
งามตาหลงกลรีบออกจากห้อง
งามตาลงจากเรือนเข้ามาหาหมอผีอิน
“พ่อเร่งจัดการไอ้ผีร้ายนั่นให้ฉันเร็วเข้า เอาให้มันไม่ได้ผุดได้เกิดเลย”
ไต้ก๋งชางในร่างหมอผีอินแสยะยิ้ม เข้ามาหางามตาอย่างอาฆาตมาดร้าย
“ได้ แต่จะเป็นเอ็งต่างหากที่ไม่ได้ผุดไม่ได้เกิด”
พูดจบไต้ก๋งชางก็คืนร่างเป็นตัวเองพุ่งเข้าไปบีบคองามตาหมายจะเอาให้ถึงตาย
งามตาพยายามดิ้นหนีแต่ไต้ก๋งชางไม่ยอมปล่อยง่ายๆ แถมยิ่งบีบแรงขึ้นจนงามตาใกล้จะขาดใจ
แล้วก็เหมือนมีอะไรบางอย่างซัดมาที่มือไต้ก๋งชางให้หลุดออก ไต้ก๋งชางผงะล้มลงไป
งามตาทรุดลงหายใจหอบ ไต้ก๋งชางมองหาว่าใครทำอะไร แล้วหมอผีอินก็ปรากฏตัวขึ้น
“พ่อ”
ไต้ก๋งชางจำหมอผีอินได้ คิดจะเข้าไปทำร้าย
แต่หมอผีอินไวกว่าหยิบข้าวสารเสกออกมาบริกรรมคาถาแล้วซัดไปที่วิญญาณไต้ก๋งเต็มแรง
ไต้ก๋งชางโดนข้าวสารเสกก็แสบร้อนกรีดร้องลั่นเรือน
หมอผีอินไม่ปล่อยให้ไต้ก๋งชางได้โอกาส เสกข้าวสารซ้ำแล้วปาใส่ไต้ก๋งอีก ไต้ก๋งชางทรุดลง ทรมาน หมอผีอินได้เปรียบหยิบมีดหมอออกมากะจะสะกดอีกครั้ง วิญญาณไต้ก๋งชางไม่ยอม รีบชิงหายตัวไปเสียก่อน จอมอาคมตะโกนสั่งสัมภเวสี
“พวกเอ็งตามมันไป! จัดการมันให้ได้”
เกิดกลุ่มควันสีดำขมุกขมัวพุ่งผ่านตัวพวกบุหลัน ก้อน สนที่ยืนรออยู่ และแล้วเหตุการณ์ก็สงบลง
“พ่อ…ฮือๆๆ”
งามตาร้องไห้ตัวสั่นด้วยความกลัว หมดแรงเป็นลมไป
“คุณนาย...คุณนายเจ้าคะ”
บุหลันกับสนรีบเข้าไปดูงามตา หมอผีอินมองไปด้านนอก รอดูผลงานอย่างใจเย็น
วิญญาณไต้ก๋งชางปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งที่หน้าเรือนใหญ่ แต่ก็อ่อนแรงลงไปมาก กลุ่มควันดำไล่ตามมาติดๆ แล้วกลายร่างเป็นฝูงสัมภเวสีหน้าตาน่าเกลียดน่ากลัว ดาหน้าเข้าหาไต้ก๋งชางอย่างมาดร้าย แม้จะพยายามหนี แต่กลุ่มผีร้ายก็ไล่ตามมาดึงทึ้งแขนขาไว้กระชากไปคนละทิศละทาง ไต้ก๋งชางสะบัดหลุดแต่กลุ่มสัมภเวสียิ่งรุมทึ้งมากขึ้นเรื่อยๆ
ในที่สุดไต้ก๋งชางก็หมดแรงสลายร่างกลายเป็นควันสีขาวลอยหายไป
เฟื่องฟ้ากับรำเพยกลับมาถึงเรือนตอนค่ำ สองแม่ลูกช่วยกันปูที่นอน ข้างนอกมีเสียงพายุอื้ออึงลมพัดแรงไม่หยุด รำเพยชะเง้อมองไปดูทางหน้าต่าง
“เฟื่องฟ้า ปิดหน้าต่างให้แม่หน่อยไป น่ากลัวคืนนี้พายุจะเข้าเสียแล้วกระมัง”
เฟื่องฟ้าลุกไปปิดหน้าต่าง ก่อนที่หน้าต่างจะปิดลง วิญญาณไต้ก๋งปรากฏขึ้นอีกครั้งด้วยสภาพสะบักสะบอมร้องเรียกเฟื่องฟ้า
“เฟื่อง…ฟ้า”
เฟื่องฟ้าชะงัก รับรู้ได้ถึงพลังงานบางอย่างใกล้ตัวมองไปรอบๆ รำเพยมองฉงน
“มีอะไรรึเปล่าลูก”
“ไม่มีจ้ะแม่ เข้านอนเถอะ ฉันง่วงแล้ว”
ไต้ก๋งชางเอื้อมมือมาหา ในจังหวะที่ที่เฟื่องฟ้าปิดหน้าต่างลงพอดี ไต้ก๋งเพ่งมองมายังเฟื่องฟ้าด้วยสายตาอ้อนวอน
“แม่หนู ช่วยฉันด้วยเถิด ฉันจะบอกความจริงแก่เธอ ช่วยเปิดโปงความชั่วร้ายของงามตาให้ฉันด้วย ไม่อย่างนั้นฉันคงไม่ได้ไปผุดไปเกิดเสียที แม่หนู”
เฟื่องฟ้าสวดมนต์ไหว้พระแล้วล้มตัวลงนอน ผล็อยหลับไป จนช่วงกลางดึกหญิงสาวเริ่มออกอาการกระสับกระส่าย ฝันเห็นอดีตของไต้ก๋งชางทีละฉากๆ
เริ่มจาก ตอนไต้ก๋งชางประคองพาขุนทนงค์ซึ่งป่วยหนักเข้าไปพักในห้องนอน ท่านขุนทนงค์หยุดไอแล้ว แต่ยังมีอาการเหนื่อยหอบ หันไปบอกกับไต้ก๋งชาง
“ข้า...คงอยู่ได้อีกไม่นาน”
ไต้ก๋งชางทำเป็นไม่สนใจ พูดเฉไฉไปเรื่องอื่น
“ให้กระผมตามหมอยาไหมขอรับ”
ขุนทนงค์ยกมือห้าม
“ไม่ต้องตามใครทั้งนั้น ข้ามีเรื่องจะพูดกับเอ็งแค่สองคน”
ไต้ก๋งชางมองฉงนยังไม่เข้าใจนัก ขุนทนงค์พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนล้า
“จะหมอดี ยาดีแค่ไหนก็ไม่ช่วยหรอก...ปีหลังมานี้ ข้าเจ็บออดๆ แอดๆ หมอยาเข้ามาดูหลายคราว ก็บอกว่าอาการน่าเป็นห่วง อยากให้เข้าไปรักษาในพระนคร”
“แล้วเหตุใดท่านขุนไม่ไปขอรับ”
“ข้าอยากตายที่เรือนนี้ มากกว่าไปตายที่อื่น แต่เรื่องนี้ข้าไม่ได้บอกรำเพย กลัวจะกังวลใจเกินกว่าเหตุ ลูกข้าคงทำใจไม่ได้เป็นแน่”
“แต่หากคุณรำเพยมารู้ทีหลัง อาจจะทำใจไม่ได้ยิ่งกว่านะขอรับ”
“เกิดแก่เจ็บตายมันเป็นเรื่องธรรมดาไต้ก๋ง คนเราเกิดมาชีวิตเดียวเท่านั้น ต่อให้ข้าอยากอยู่ค้ำฟ้า ข้าก็ทำไม่ได้”
“เรื่องนี้กระผมไม่เห็นด้วยขอรับ”
“เพราะอะไรล่ะ”
“กระผมเคยเกิดมาชีวิตหนึ่งแล้ว แต่กลับได้ชีวิตใหม่เพราะท่านขุน กระผมจึงไม่เชื่อว่าคนเราจะมีชีวิตเดียวได้ขอรับ”
ขุนทนงค์หัวเราะ แต่กลับดูอ่อนแรงเหลือเกิน
“ไม่ใช่ทุกคนที่จะได้ชีวิตใหม่นะไต้ก๋ง สำหรับข้ามันไม่มีปาฏิหาริย์อีกแล้ว”
ไต้ก๋งชางนิ่งฟังพูดไม่ออก ขุนทนงค์บอกอีกว่า
“ไต้ก๋ง ข้าอาจจะหมดบุญเพียงเท่านี้ แต่เอ็งยังต้องมีชีวิตยืนยาวต่อไป เมื่อได้รับโอกาสเริ่มชีวิตใหม่ จงทุ่มเททำงานตอบแทนแผ่นดินนี้อย่างดีที่สุดเถิด”
“ท่านขุน...”
“ทีนี้รู้เหตุผลแล้วใช่ไหม ว่าเหตุใดข้าจึงเร่งให้เอ็งพิสูจน์ตัวเอง”
ไต้ก๋งชางนิ่งฟังอย่างนึกรู้ อดเครียดและกังวลตามไม่ได้
เหตุการณ์ต่อมา บ่าวทุกคนเข้ามารวมในห้องท่านขุนทนงค์ นมขามนั่งร้องไห้สะอื้นเหมือนคนจะขาดใจอยู่ข้างเตียงหลังไต้ก๋งกับคุณรำเพย บ่าวคนอื่นๆ ก็เริ่มร้องไห้ตามไปด้วย
“ทุกคน จงฟังคำขอร้องเป็นครั้งสุดท้ายจากข้า…”
ทุกคนมองไปที่ขุนทนงค์ ตั้งใจฟัง
“นับแต่นี้ ข้าขอมอบอำนาจสิทธิ์ขาดในเรือนแห่งนี้และทรัพย์สินทั้งหมดให้กับไต้ก๋งชาง”
ไต้ก๋งชาง รำเพยรวมถึงคนอื่นถึงกับอึ้งไป
“ท่านขุน…”
ขุนทนงค์หันมองทุกคนน้ำตาคลอ สั่งเสียด้วยแรงเฮือกสุดท้ายที่มี
“ไต้ก๋งชางจะคอยดูแลคุณรำเพยและเรือนลำพระพายแห่งนี้ ขอให้ทุกคนยอมรับในตัวของไต้ก๋ง และเชื่อฟังเสมือนว่าเป็นคำสั่งจากข้า ข้าเชื่อว่าไต้ก๋งจะดูแลพวกเอ็งให้อยู่อย่างมีความสุขได้เช่นกัน”
บ่าวทุกคนฟังคำสั่งเสียของขุนทนงค์ต่างพากันร้องไห้ มีเพียงก้อนที่ยืนคุมแค้นกัดกรามแน่น เจ็บใจที่ไต้ก๋งชางได้ทุกอย่างไป
เฟื่องฟ้ายังฝันถึงงานเลี้ยงฉลองเรือนดอกเหมย หลังพิธีทางสงฆ์เสร็จแล้วเสร็จ มีการตั้งโต๊ะเลี้ยงอาหาร และแจกอาหาร ชาวบ้านมารอรับมากมาย ไต้ก๋งชางกับรำเพยช่วยกันแจกอาหารสีหน้ายิ้มแย้ม มีความสุข นมขามยืนดูอยู่กับแถนและกล่ำ ยิ้มปลื้มหน้าบานไม่หุบ จนถูกแถนแซว
“คุณนมยิ้มอะไรรึ ข้าเห็นยืนยิ้มหน้าบานตั้งแต่เมื่อเช้า” แถนถาม
“ข้ายิ้มเพราะข้ามีความสุขน่ะสิวะไอ้แถน”
กล่ำมองตามนมขาม
“แหม ดูมีความสุขจริงด้วย เพราะยิ้มกว้างไปจนจะถึงหูแล้ว”
“ใช่ ข้าดีใจที่เห็นบ้านเราอยู่กันอย่างมีความสุข เช่นนี้ท่านขุนจะได้ตายตาหลับ”
นมขามเป็นปลื้มเอามากๆ ชวนแถนกับกล่ำเข้าไปช่วยไต้ก๋งชาง
อีกมุมเห็นสี่สาวยืนมองเรือนดอกเหมยท่าทางตื่นเต้น
“เรือนดอกเหมย ข้าไม่คิดเลยว่าวันหนึ่งจะได้อยู่เรือนใหญ่โตโอ่อ่าเช่นนี้” จำเรียงยิ้มปลื้ม
อบเชยบอกว่า “เป็นบุญของพวกเราแล้วที่ไต้ก๋งให้ความช่วยเหลือ”
“ท่านให้ทั้งที่กินที่นอนสุขสบาย บุญคุณนี้ข้าจะไม่มีวันลืมเลย” ดวงแขบอก
“ข้าก็เช่นกัน” พิมพ์ว่า
งามตาเดินมาซุ่มดูเรือนดอกเหมยอยู่ไกลๆ มองขึ้นไปบนเรือนด้วยแววตาริษยา
“มีความสุขกันเข้าไปเถอะพวกมึง”
เสียงร้องเพลงงิ้วจากฉากต่อไปดังเข้ามา
เหตุการณ์ที่ไต้ก๋งชางนำไม้มาเตรียมต่อเรือสำเภาเฟื่องฟ้าก็ฝัน เธอเห็นไต้ก๋งมองมันอย่างมุ่งมั่นตั้งใจเต็มที่ ก่อนจะเริ่มเอาไม้มาเรียงกันเป็นท้องเรือ สักครู่ต่อมาไต้ก๋งหยิบกล่องไม้ใบหนึ่งขึ้นมา ซึ่งในนั้นใส่เปียผมที่ตัดทิ้งบรรจุเอาไว้ เขาบรรจงวางลงไปในท้องเรือ แล้วเอาไม้อีกแผ่นปิดทับไว้
ที่สำคัญเฟื่องฟ้ายังเห็นพิธีทำเสน่ห์นางครวญ เห็นร่างจันสลบไสลไม่ได้สติ ถูกหมอผีอินลากเข้าไปในวงล้อมสายสิญจน์
หมอผีอินจัดการมัดแขนและขาเอาไว้ไม่ให้ดิ้นหนีไปได้ งามตามองเริ่มหวาดหวั่น
“อีจัน...มันตายแล้วรึพ่อ”
“ยัง แค่สลบไปเท่านั้น”
“พ่อจะฆ่ามันรึ”
“ข้าไม่ได้เป็นคนฆ่ามัน เอ็งคอยดูเถิด”
หมอผีอินบริกรรมคาถาเปิดประตูวิญญาณ ก่อนจะหยิบมีดหมอคมกริบกรีดเข้าที่ข้อมือและข้อเท้าของจัน เมื่อมีดเฉือนเข้าที่ร่าง จันกระตุกพรืดสะดุ้งพรวด ร้องครวญครางออกมาด้วยความเจ็บปวดเลือด เลือดไหลเป็นทาง
“โอ๊ย”
เฟื่องฟ้ายืนดูเหตุการณ์นั้นด้วยถึงกับตกใจแทบก้าวขาไม่ออก
“อย่านะ...”
หมอผีอินบริกรรมคาถาอยู่ใกล้ๆ จันร้องเรียกขอความช่วยเหลือด้วยความทรมาน
“ช่วยข้าด้วย...โอ๊ย...ข้าเจ็บ ช่วยด้วย”
“ร้องเสียงดังน่ารำคาญนัก เดี๋ยวใครก็ได้ยินเข้าหรอก”
หมอผีอินไม่ได้สนใจมันยิ่งจันร้องโหยหวนออกมาได้เท่าใด กลับเป็นความพึงพอใจมากเท่านั้น
“ยิ่งมันร้องคร่ำครวญมากเท่าไหร่ยิ่งดี ผู้ที่เอ็งต้องการเสน่หา มันก็จะคร่ำครวญหาเอ็งมากขึ้นเป็นเท่าทวีคูณ”
ท่ามกลางเสียงร้อง มีเสียงหมาเห่าหอนสลับกันไปเป็นระยะ
ช่างโหดร้ายเหลือเกิน เฟื่องฟ้าตะโกนออกไป
“อย่านะ...อย่าทำเขา”
จะมีใครได้ยินเสียงของเฟื่องฟ้าได้อย่างไร เพราะนี่เป็นเพียงภาพในฝัน
เมฆดำค่อยเคลื่อนเข้าบดบังแสงจันทร์ หมอผีอินลืมตา มองไปที่ร่างจำเรียงแล้วเอื้อมมือกดคอมันไว้อย่างเลือดเย็น งามตาเดินเข้ามาหาหมอผีอิน
“จัดการมัน”
งามตาปล่อยตัวบึ้งออกจากกล่อง มันค่อยๆ คืบคลานเข้าไปหาร่างจำเรียงที่นอนหายใจรวยรินอยู่
เฟื่องฟ้าผงะถอยออกมา กลัวจนตัวสั่น
หมอผีอินมองอย่างสะใจ ตัวบึ้งไต่ไปจนถึงคอจำเรียง ค่อยๆ ดูดเลือดของนางจัน
พอดูดเลือดเสร็จ ตัวบึ้งก็ปล่อยพิษออกมาร่างจำเรียงกระตุก นอนชักอย่างทรมาน พิษของตัวบึ้งทำให้ร่างจำเรียงค่อยๆ ดำคล้ำลงเรื่อยๆ
เฟื่องฟ้าสงสารจับใจ “โธ่”
งามตามองด้วยความสะใจ สักพักจำเรียงก็เบิกตาโพลง แน่นิ่งสิ้นใจไป
เฟื่องฟ้ากรีดร้อง“ไม่”
เฟื่องฟ้านอนกระสับกระส่าย กรีดร้องลั่นห้อง
“ไม่นะ…อย่านะ…ไม่…ไม่”
“เฟื่องฟ้า”
เฟื่องฟ้าสะดุ้งตื่น ลืมตาโพลง หอบหายใจอย่างรุนแรง ประมวลความคิดพอเห็นแม่ก็โผเข้ากอดทันที
“แม่…แม่จ๋า ฉันกลัว”
รำเพยลูบหลังปลอบลูก
“ไม่เป็นไรแล้ว แม่อยู่นี่”
เฟื่องฟ้าเอาแต่กอดแม่ร้องไห้สะอึกสะอื้นเนื้อตัวสั่นสะท้าน รำเพยถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง
“ลูกฝันร้ายหรือ ทำไมจึงร้องไห้เช่นนี้”
“ใช่จ้ะ…ฉันฝัน เป็นฝันที่ยาวนานแล้วก็เหมือนจริงมาก เหมือนจริงจนฉันกลัว”
“ในฝันนั้นมีใครจะทำร้ายลูกหรือ”
“ไม่จ้ะ ในฝันนั้นไม่มีฉันอยู่ แต่กลับมีภาพผู้คนที่เรือนลำพระพาย…เห็นเรือนไม้ที่ชื่อเรือนดอกเหมย…เห็นชายจีนที่ชื่อไต้ก๋งชาง แล้วก็เห็นแม่ด้วยจ้ะ”
รำเพยถึงกับอึ้ง นิ่งงันไปทันที
หลังจากฟังเฟื่องฟ้าเล่าเรื่องฝันจบ รำเพยเดินออกมาที่ครัว ทำเป็นนั่งลงจะติดเตาไม่พูดไม่จาเฟื่องฟ้าเดินตามเข้าครัวมาช่วยแม่ รำเพยบอกลูกว่า
“ฝันนั่นมันเป็นเรื่องเหลวไหลทั้งเพ ลูกลืมมันไปเสียเถิด เรื่องแบบนั้นมันไม่มีทางเกิดขึ้นได้เลย”
“แต่มันเหมือนจริงมากเลยนะจ๊ะแม่ ทั้งเรือนไม้ทั้งผู้คน แม่ก็รู้ว่าฉันเคยเห็นทั้งเรือนดอกเหมยหรือแม้กระทั่งคุณนายงามตาที่เรือนนั่น”
“อย่าพูดชื่อนี้ขึ้นมาให้แม่ได้ยินอีก”
รำเพยกระแทกเสียงใส่ จนเฟื่องฟ้าชะงักไป สักพักรำเพยรีบทำเป็นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“สายมากแล้ว ลูกรีบไปอาบน้ำแต่งตัวเถิด วันนี้มีสอนไม่ใช่หรือ เดี๋ยวไปสายผู้ใหญ่เขาจะตำหนิเอาได้”
รำเพยหันไปติดเตาต่อ ไม่มองเฟื่องฟ้าอีก เฟื่องฟ้าจำใจลุกไปงงๆ
ทางด้านงามตาตื่นขึ้นมากรีดร้องดังสนั่นลั่นเรือนเพราะความตกใจกลัว
“ไอ้ไต้ก๋ง อย่าทำร้ายกู ออกไป”
งามตาเอามือปัดตรงหน้า ตัวสั่นตกใจผีไต้ก๋งชาง หมอผีอินที่เฝ้าอยู่พูดขึ้น
“หยุดโวยวายสักที ผีไอ้ไต้ก๋งมันไปแล้ว”
งามตาชะงักหันไปหาหมอผีอิน พอเห็นข้างนอกหน้าต่างก็เป็นเวลาเช้าแล้วก็โล่งใจ
“พ่อจัดการผีไต้ก๋งมันแล้วหรือ”
“ข้าเพียงแต่ให้พวกสัมภเวสีมันจัดการ แต่น่าเสียดายมันกลับหนีไปได้เสียก่อน”
งามตาโวยวาย “แค่หนีไป ยังไม่ถูกจัดการหรอกรึ แล้วถ้ามันกลับมาทำร้ายฉันอีกจะทำอย่างไร”
“มันยังไม่กลับมาตอนนี้แน่โดนฤทธิ์ของข้าไปมันคงอ่อนแรงลงมาก อีกอย่างหนึ่งคือ เอ็งลืมแล้วหรือว่าข้าทำสิ่งใดกับมันไว้”
งามตานิ่งไป นึกออก
“จริงด้วย พิธีสะกดวิญญาณนั่น”
“หากร่างมันยังไม่กลับมารวมกัน มันก็ทำอะไรเอ็งไม่ได้เต็มที่”
“แต่มันก็ไม่ได้ถูกสะกดไว้เหมือนเก่าแล้ว ระหว่างนี้ฉันควรจะระวังตัวอย่างไรดี”
หมอผีอินค้นย่ามแล้วหยิบตะกรุดห้อยคอออกมายื่นให้ลูกสาว
“เอ็งเก็บตะกรุดนี่ไว้ป้องกันตัว มันจะช่วยกันพวกผีร้ายให้ออกห่างจากเอ็งได้ แต่ก็ชั่วคราวเท่านั้น”
“ถ้าเช่นนั้นพ่อก็ทำพิธีสะกดวิญญาณมันอีกสิ”
“ข้าทำพิธีได้อยู่แล้ว แต่ขาดเพียงแค่…ข้าไม่มีของใช้ทำพิธี”
“แล้วต้องทำอย่างไรถึงได้ไอ้ของนั่นมาเล่า”
“เอ็งมีอัฐเท่าไร เอามาให้ข้าก่อน ข้าจะเดินทางเข้าป่าไปหาของ”
งามตาค้อนควักเซ็งๆ “นี่พ่อจะขออัฐข้าอีกแล้วหรือ ไม่เคยเปลี่ยนเลยจริงๆ”
“เออ เอ็งร่ำรวยขนาดนี้เพราะข้าไม่ใช่รึนี่เอ็งจะช่วยหรือไม่เล่า หากอยากถูกไอ้ผีร้ายนั่นหักคอตายคาเรือนก็ย่อมได้ ข้าไม่ได้เดือดร้อนแต่อย่างใดเลย”
หมอผีอินขู่ งามตาทำหน้าเบื่อหน่าย แต่ก็จำยอมลุกไปหยิบถุงเงินให้
วันนี้เฟื่องฟ้ามาสอนที่โรงเรียน พอตกตอนเย็นครูวารีก็เข้ามาหาในห้องพัก
“สอนเป็นอย่างไรบ้างจ๊ะเฟื่องฟ้า เด็กๆ เชื่อฟังดีใช่ไหม”
“เด็กๆ น่ารักมากค่ะครูใหญ่ ตั้งใจเรียนมากด้วย”
“ดีแล้วจ้ะ” วารียื่นซองให้ “นี่ค่าจ้างวันนี้”
เฟื่องฟ้ายกมือไหว้รับซองมา ครูวารีมองเฟื่องฟ้าอย่างเอ็นดู
“จะกลับเลยไหม เดี๋ยวครูไปส่งด้านหน้า”
“ค่ะ...เอ้อ...ครูใหญ่คะ”
“ว่าอย่างไรจ๊ะ”
“บ้านของครูอยู่ใกล้ตลาดเก่าริมน้ำใช่ไหมคะ”
“ใช่จ้ะ เฟื่องฟ้ามีอะไรหรือ”
“ครูพอจะเคยได้ยินเรื่องเจ้าของตลาดที่ชื่อ…ไต้ก๋งชางบ้างไหมคะ”
วารีแปลกใจ “เฟื่องฟ้ารู้จักไต้ก๋งชางด้วยรึ”
“ค่ะ ฟ้าเคยได้ยินชื่อน่ะค่ะ เห็นว่าเป็นเจ้าของตลาดกับที่แถวนี้”
“ที่เฟื่องฟ้าพูดก็ถูกต้องจ้ะ แต่ความจริง ครูไม่ได้ยินชื่อไต้ก๋งชางมาสักพักใหญ่แล้ว จะมีคนพูดถึงบ่อยหน่อยก็ตอนยังเด็กเท่านั้น”
“เพราะอะไรหรือคะ”
“เพราะแกเสียไปราวยี่สิบปีได้แล้วน่ะสิจ๊ะ”
เฟื่องฟ้าฟังแล้วก็ถึงกับพูดไม่ออก
“ไต้ก๋งชางนี่มีตัวตนจริงๆ สินะ”
“มีสิจ๊ะใครๆ ที่อยู่แถวตลาดเก่าย่อมรู้จักกันทั้งนั้น แกเป็นเจ้าสัวที่ร่ำรวยแล้วมากไปด้วยเมตตา เสียแต่ว่าอาภัพนัก”
เฟื่องฟ้าสนใจ “เกิดอะไรขึ้นกับไต้ก๋งชางกันคะ”
“จริงๆ ไต้ก๋งเคยแต่งเมียเป็นลูกสาวเจ้าของเรือนลำพระพายคนเก่า แต่กลับโชคร้ายเมียหนีไปพร้อมชู้ ไม่นานนักแกก็ถูกโจรปล้นเรือนฆ่าตาย น่าสงสารว่าไหม”
“ค่ะ ไม่น่าเชื่อเลย”
“ตอนนี้เจ้าของเรือนเลยกลายเป็นคุณนายงามตา เมียคนที่สอง คุณนายเธอโชคดี มีลูกชายไว้ดูต่างหน้า แถมได้ครองสมบัติของเมียเก่าอีกตั้งไม่รู้เท่าไหร่ สบายไป”
เฟื่องฟ้าพึมพำ “แล้วที่เห็นในฝันล่ะ”
“ว่าอย่างไรนะจ๊ะ”
“ไม่มีอะไรค่ะครู ฟ้าขอเก็บของก่อนดีกว่า จะได้รีบกลับบ้านก่อนค่ำ”
เฟื่องฟ้าเลี่ยงไปเก็บของ ในใจยังไม่ค่อยเชื่อว่าเรื่องที่วารีเล่าจะเป็นเรื่องจริง
ก้องภพลงมาส่งหมอผีอินที่หน้าเรือน ตาหลานเดินคุยกันมาทางท่าน้ำ
“ขอบใจมากพ่อก้องที่ออกมาส่งตา”
“ไม่เป็นไรครับ ผมต้องขอบคุณตาเหมือนกันที่มาเยี่ยมคุณแม่”
“ตาเป็นพ่อมัน ถ้าไม่ให้มาช่วยลูกตัวเองแล้วจะให้อยู่เฉยได้อย่างไรเล่า”
ก้องภพมีท่าทีลังเล
“คุณตาครับ ผมถามอะไรสักอย่างได้หรือไม่ครับ”
“ได้สิ พ่อก้องอยากถามอะไรเล่า”
“ผมสงสัยเรื่องคุณแม่ ความจริงแล้วคุณแม่เป็นอะไรกันแน่ครับ”
หมอผีอินชะงัก ถามกลับไปว่า
“แล้วพ่อก้องคิดว่าแม่ตัวเองเป็นอะไร”
ก้องภพอึกอัก “ทีแรกผมก็คิดว่าเป็นไข้ธรรมดา แต่แม่เอาเพ้อว่ามีผี มีวิญญาณจะทำร้าย ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องเหนือธรรมชาติ”
หมอผีอินแค่นยิ้ม
“แล้วถ้ามันเป็นอย่างนั้นจริง พ่อก้องจะทำอย่างไร”
“ผมทราบว่าคุณตาทำอาชีพอะไร แต่ผมไม่อยากเชื่ออยู่ดี”
จอมอาคมมองหน้าหลานชายนิ่งๆ
“มีอะไรที่พ่อก้องยังไม่รู้อีกมาก แต่พ่อก้องไม่จำเป็นต้องทำความเข้าใจ แค่รู้ไว้ว่ามีพวกผีร้ายมันคิดจะเอาชีวิตแม่พ่อก้อง”
ก้องภพยังไม่ค่อยเชื่อนัก
“ตาครับ ตาเลิกยุ่งเกี่ยวกับเรื่องผีสางพวกนี้ไม่ได้หรือครับ”
“ทำไมพูดอย่างนั้น”
“ผมไม่เคยเห็นผี จึงบอกไม่ได้ว่ามีจริงหรือไม่ แต่ผมรู้สึกได้ ว่าสิ่งที่แม่หรือตาเห็นมันต้องไม่ใช่เรื่องดี ตาเลิกเป็นหมอผีแล้วมาอยู่กับผมกับแม่ไม่ดีกว่าหรือ”
อินหัวเราะ “เป็นไปไม่ได้หรอกพ่อก้อง”
“เพราะอะไรล่ะครับ”
“ตามาไกลเกินกว่าจะถอยกลับแล้ว หากเลิกไปตอนนี้ก็ไม่แคล้วต้องโดนพวกของที่ทำไว้กลับมาเล่นงาน พ่อก้องอยากเห็นตาตายอย่างทรมานหรือ”
“ไม่ใช่อย่างนั้นนะครับ”
“ถ้าอย่างนั้น อย่าได้ขอสิ่งที่เป็นไม่ได้อีก ดูแลตัวเองกับแม่ให้ดีก็พอ”
พูดจบหมอผีอินก็เดินไปทางท่าเรือเลย ก้องภพมองตามด้วยสีหน้ากังวลไม่คลาย
ทางฝ่ายรำเพยร้อนใจรีบมาหากล่ำกับแถนที่บ้าน เล่าเรื่องความฝันเฟื่องฟ้าที่ฝันถึงไต้ก๋งชางให้สองคนฟัง กล่ำตกใจ
“เฟื่องฟ้าฝันเห็นไต้ก๋งอีกแล้วหรือเจ้าคะ”
“ทำไมกล่ำถึงรู้ เฟื่องฟ้าเล่าให้ฟังหรือ”
“เจ้าค่ะ เฟื่องฟ้าเล่าให้อิฉันฟังคราวก่อน ไม่คิดว่าจะยังฝันเห็นอยู่อีก”
“แล้วคราวนี้เฟื่องฟ้าว่าฝันเห็นอะไรหรือขอรับ”
รำเพยหน้าเครียดจัด
“เขาฝันเห็นฉันในอดีต…แล้วก็เห็นเขา…”
กล่ำตกใจ “ไต้ก๋งชางหรือเจ้าคะ”
“ใช่ และที่น่าแปลกยิ่งกว่านั้นคือเฟื่องฟ้าเล่าทุกอย่างได้ตรงกับที่เกิดในอดีต ฉันกลัวเหลือเกิน กล่ำแถน ฉันจะทำอย่างไรดี”
กล่ำเข้าไปลูบหลังปลอบรำเพย
“โธ่ คุณเจ้าขา มันอาจจะไม่มีอะไรก็ได้นะเจ้าคะ”
“ฉันกลัวจริงๆ นะกล่ำ ฉันไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงเข้าฝันเฟื่องฟ้าได้ เหมือนเขาพยายามจะบอกเรื่องเคยเกิดขึ้นให้ลูกฉันรู้อย่างนั้นล่ะ”
แถนสันนิษฐานว่า
“เป็นไปได้ไหมขอรับว่าที่ไต้ก๋งชางเลือกเฟื่องฟ้า เพราะทั้งสองคน มีความผูกพันกันอยู่”
“เป็นไปไม่ได้แถน เขาจะมาผูกพันอะไรกับฉันและลูกได้ ในเมื่อเขาไล่ฉันออกมาแบบไม่มีเยื่อใยด้วยซ้ำ ฉันเองก็ไม่อยากข้องเกี่ยวกับเรือนนั้นอีกแล้ว”
รำเพยรู้สึกเจ็บปวดเมื่อนึกถึงอดีต สีหน้าเศร้าลง
“แต่คุณรำเพยอย่าลืมสิขอรับ ว่าเรือนนั้นเคยเป็นของคุณรำเพยมาก่อนเช่นกัน”
“จริงเจ้าค่ะ นั่นเป็นเรือนที่ท่านขุนมอบให้คุณรำเพยกับไต้ก๋งนะเจ้าคะ”
“คุณรำเพยมีสิทธิ์ทุกประการที่จะเรียกร้องสิ่งที่เป็นของคุณรำเพยคืนมานะขอรับ”
รำเพยยังไม่ยอมใจอ่อนง่ายๆ
“ฉันเดินออกมาจากเรือนนั้นนานแล้ว ไม่มีสิ่งใดเป็นของฉันอีกแล้วฉันจะไม่กลับไปที่นั่นเพื่อให้พวกคนใจร้ายมาพรากสิ่งที่ฉันรักไปอีก ไม่มีทาง”
รำเพยบอกด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด แถนกับกล่ำมองหน้าอย่างเห็นใจ
แถนกับกล่ำตัดสินใจพารำเพยมาทำบุญไหว้หลวงพ่อดำที่วัดลำพระพาย หลังถวายสังฆทานกรวดน้ำเสร็จ รำเพยก็ปรึกษาเรื่องไต้ก๋งชาง หลวงพ่อดำฟังนิ่งๆ ก่อนจะออกความเห็นเสียงเรียบว่า
“อาตมาคิดว่าวิญญาณไต้ก๋งคงต้องความช่วยเหลือ”
รำเพยยังไม่อยากยอมรับเท่าไรนัก
“ขอความช่วยเหลือด้วยการเข้าฝันนี่หรือเจ้าคะหลวงพ่อ”
“โยมก็ทราบดีว่าวิญญาณไต้ก๋งชางนั้นชาวบ้านร่ำลือกันหนักหนาว่าเฮี้ยนนักก่อนจะหายไปร่วมยี่สิบปี กลับมาคราวนี้ย่อมต้องไม่ธรรมดาแน่”
“แต่อิฉันไม่คิดว่าเขาจะขอให้ช่วย เขาอาจจะแค่ต้องการรบกวนให้อิฉันกับลูกอยู่อย่างไม่สงบสุข”
“เหตุใดโยมคิดเช่นนั้น”
“ก็เพราะว่าเขา…”
รำเพยเงียบไปเสียดื้อๆ เหมือนไม่อยากพูด แถนเลยพูดขึ้น
“กระผมว่ามันเป็นไปได้ทั้งสองทางนะขอรับ”
“อิฉันเห็นด้วยเจ้าค่ะ ไต้ก๋งเองก็ไม่ได้จากไปอย่างสงบ ไม่แน่ไต้ก๋งอาจจะยังมีห่วง เพียงแต่เราไม่รู้ว่าห่วงนั้นคือสิ่งใด” กล่ำว่า
“นั่นล่ะ อาตมาจึงไม่อยากให้โยมรำเพยคิดไปเองว่าเขาจะมาร้าย”
“แต่อิฉันยังไม่ไว้ใจเจ้าค่ะ อิฉันกลัวว่าการมาของเขาจะทำให้ลูกของอิฉันได้รับอันตราย”
หลวงพ่อดำหนักใจ “ไม่ว่าอย่างไรโยมจะคิดเช่นนี้สินะ”
รำเพยพยักหน้า หลวงพ่อหันไปหยิบพระเครื่ององค์หนึ่งวางลงตรงผ้าหน้าให้รำเพย
“หากโยมไม่สบายใจก็ขอให้รับพระองค์นี้ไว้ พุทธคุณนั้นจะช่วยป้องกันไม่ให้สิ่งชั่วร้ายเข้ามาทำอันตรายลูกของโยมได้”
“ขอบพระคุณเจ้าค่ะหลวงพ่อ”
รำเพยรับพระเครื่องมา หลวงพ่อดำพูดด้วยสีหน้าสงบนิ่ง
“แต่โยมจงจำไว้ พุทธคุณใดๆไม่อาจปกป้องอันตรายที่เกิดจากคนด้วยกันเอง หากโยมกลัวสิ่งที่มองไม่เห็น จงระวังภัยที่เกิดจากคนกันเองย่อมจะดีกว่า”
รำเพยพยักหน้ารับ ยังกังวลใจไม่หาย
ฟากเฟื่องฟ้าลอบเข้ามาในเรือนลำพระพาย ตรงดิ่งมายังบริเวณเดิมที่เคยแอบเข้ามา มองหาบางอย่าง
“หรือว่าจะอยู่ที่ท่าน้ำ…”
เฟื่องฟ้าเดินสำรวจไปตามทาง พยายามนึกถึงภาพในความฝัน รอบข้างเงียบมากเหมือนไม่มีคนอยู่ เฟื่องฟ้ามั่นใจว่าไม่มีใครตามมาจึงเดินเร็วขึ้น สักพักก็สังเกตเห็นอะไรบางอย่าง
เฟื่องฟ้าเดินมาถึงโรงไม้เก่าๆ ที่ดูเหมือนไม่มีใครมาที่นี่หลายสิบปีแล้ว พอเดินไปดูใกล้ๆ ก็พบว่าประตูผุมากจนสามารถเปิดเข้าไปได้
เฟื่องฟ้าค่อยๆ ผลักเข้าไป จากการที่ถูกปิดมานานทำให้ฝุ่นฟุ้งกระจายขึ้นมาทันที
เฟื่องฟ้าไอออกมา พลางเอามือปัดฝุ่นออก พอฝุ่นเริ่มจางก็เห็นบางอย่างถูกผ้าคลุมไว้
เฟื่องฟ้าเดินเข้าไปในโรงไม้อยากรู้ว่ามันคืออะไรก่อนจะค่อยเอื้อมมือไปดึงผ้าแล้วกระชากออกมา
ทันทีที่เห็นว่าสิ่งที่ผ้าคลุมไว้คืออะไรเฟื่องฟ้าก็อึ้งไป
มันเป็นชิ้นส่วนของเรือสำเภาเก่าคร่ำคร่าที่ยังสร้างไม่เสร็จ บางชิ้นก็ประกอบเป็นตัวเรือ บ้างก็กระจัดกระจาย เฟื่องฟ้าถึงกับอึ้งเพราะมันเหมือนในฝันมาก
“มีเรือสำเภาอยู่จริงหรือนี่…”
เฟื่องฟ้าปัดฝุ่นบนชิ้นส่วนเรือนั้น ยังไม่อยากจะเชื่อนัก เธอนึกถึงตอนเห็นชางนั่งต่อเรือสำเภาในฝัน
“ไต้ก๋งชาง…คุณเป็นใครกันแน่”
เฟื่องฟ้านิ่งไปแล้วก็นึกได้ว่าไต้ก๋งชางซ่อนบางอย่างไว้ในนี้
“ถ้าเป็นเรื่องจริง ในนี้ต้องมีของที่ไต้ก๋งชางซ่อนไว้แน่”
เฟื่องฟ้าเริ่มมองหาช่องเก็บของที่เหมือนในฝัน โดยเดินหาตามส่วนต่างๆของเรือ
สักพักก็มาหยุดอยู่หน้าช่องเก็บของใต้ท้องเรือซึ่งแต่สภาพเก่าทรุดโทรมลงมา
เฟื้องฟ้าลงนั่งปัดฝุ่นออกคิดจะเปิดมันขึ้นมาดู แต่ทำอย่างไรก็เปิดไม่ออก ขณะมองหาอุปกรณ์ช่างแถวนั้นมางัด เสียงใครคนหนึ่งดังขึ้น
“นั่นใคร”
เฟื่องฟ้าตกใจฉากหลบทันที เสียงสวบสาบดังขึ้นเหมือนมีใครเดินเข้ามา แล้วสักพักก็เงียบหายไป
เฟื่องฟ้ากลัวใครจะมาเห็นอีก รีบเผ่นออกจากโรงต่อเรือไปทันที
เป็นก้อนนั่นเอง มันเดินออกมาจากโรงต่อเรือ รู้สึกว่ามีคนบุกรุก
เฟื่องฟ้าหลบออกมาด้านหลัง มองหาทางหนีทีไล่ เห็นก้อนก็รีบหลบ แต่กลับพลาดไปชนเข้ากับกองไม้จนเกิดเสียงดังขึ้น
“ใครวะ”
ก้อนเดินมาตามเสียง เฟื่องฟ้ารีบหนีไปทางท่าน้ำ ก้อนเห็นหลังไวๆ รีบตามไป
เฟื่องฟ้ารีบจ้ำจนมาสุดที่ท่าน้ำ ก้อนยังตามมาติดๆ พอจวนตัว เฟื่องฟ้าตัดสินใจเด็ดขาด
ก้อนตามมาจนถึงท่าน้ำ พบว่าเฟื่องฟ้าหายไปแล้ว
“อะไรกันวะ ยังเห็นอยู่หลังไวๆ แท้ๆ หายไปไหนกัน”
ก้อนมองหาอีกสักพัก พอไม่เห็นก็กลับไป
หลังจากนั้นไม่นาน เฟื่องฟ้าก็โผล่ขึ้นมาจากในน้ำ หอบหายใจ โล่งใจที่เห็นก้อนล่าถอยไปแล้ว
เฟื่องฟ้าย้อนกลับมาที่โรงต่อเรือเนื้อตัวเปียกปอน ออกเดินหาส่วนที่เป็นท้องเรือพยายามนึกถึงภาพในฝัน ตอนที่ไต้ก๋งชางเอากล่องไม้ใส่ลงไปใต้ท้องเรือ
เฟื่องฟ้านึกออก “ใต้ท้องเรือ”
เฟื่องฟ้าเดินหาส่วนที่เป็นท้องเรือ จนกระทั่งเจอช่องเก็บของหยิบเครื่องมือที่พอจะมีมางัดใต้พื้นเรือ สักพักไม้กระดานก็เปิดขึ้น
เฟื่องฟ้าเข้าไปดูช่องใต้ท้องเรืออีกครั้งปรากฏว่ามีกล่องๆ หนึ่งวางอยู่ จึงหยิบมันขึ้นมา ค่อยๆ เปิดออก พอเห็นว่ามีอะไรอยู่ในนั้นก็อึ้งไป ในกล่องมีผมเปียของไต้ก๋งชางวางอยู่
เฟื่องฟ้านึกถึงความฝัน เห็นไต้ก๋งชางนำกล่องไม้บรรจุหางเปียที่ตัดทิ้งเพื่อไว้ทรงผมแบบชาวสยามใส่ลงไปใต้ท้องเรือ ก่อนเก็บไต้ก๋งหยิบเปียผมขึ้นมา พูดเหมือนเป็นสัญลักษณ์แทนตัวของเขาเอง
“เราต่างฝ่าฟันมรสุมมาด้วยกันจนมีวันนี้ได้ ถึงวันนี้เราจะแยกจากกันแล้วแต่เจ้าก็จะเป็นเครื่องเตือนใจข้าไม่ให้ข้าลืมชาติกำเนิดของตัวเอง”
ไต้ก๋งชางบรรจงวางหางเปียลงในกล่องไม้นั้น
เฟื่องฟ้าผงะไปนิดหนึ่ง ขนลุกซู่
“มีจริงๆหรือนี่ ไต้ก๋งมีตัวตนจริงๆ ใช่ไหม”
เฟื่องฟ้ามองผมเปียในกล่อง ก่อนจะตัดสินใจหยิบขึ้นมาดูอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา
จู่ๆ ก็มีใครบางคนมาแตะไหล่จากด้านหลัง เฟื่องฟ้าตกใจจนทำเปียหล่น หันไปหาปรากฏว่าเป็นอบเชย
“นายท่าน”
เฟื่องฟ้าอึ้งๆ ทำอะไรไม่ถูก อบเชยเดินเข้ามาดู หยิบเปียผมขึ้นมา
“นายท่าน นายท่านกลับมาแล้ว ฮ่าๆๆๆ”
อบเชยแสยะยิ้ม พร้อมกับหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง เฟื่องฟ้าตกใจกลัววิ่งหนีออกไป
เฟื่องฟ้าวิ่งหนีมาที่ท่าน้ำ จนชนเข้ากับใครบางคนเซไป พอหันไปดูปรากฏว่าเป็นก้องภพ
“คุณ”
ก้องภพแปลกใจที่เจอเฟื่องฟ้า
“เธอ ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้ แล้วทำไมเนื้อตัวเปียกปอนเช่นนั้น”
เฟื่องฟ้าอึกอักพูดไม่ออก ถดตัวถอยหนีอีก ก้องภพเข้าไปคว้าแขนไว้
“คุณจะทำอะไร”
“ฉันต้องการคำตอบไงเล่า เธอเข้ามาที่นี่ได้อย่างไร”
“ฉัน…ฉันแค่เข้ามาหาของ”
“ของ...ของอะไร”
“ไม่ใช่ของสำคัญหรอก ฉันแค่คิดว่าทำตกไว้ที่นี่จึงเข้ามาหา แต่ฉันไม่เจออะไรจะกลับแล้ว”
“ถ้าไม่สำคัญเธอจะลอบเข้ามาถึงบ้านคนอื่นทำไม”
เฟื่องฟ้าอึ้งไปอีก ก้องภพมองจับผิด
“ฉันแค่กลัวคุณคิดว่าฉันจะเป็นขโมย”
“แล้วท่าทางลับๆ ล่อๆ อย่างนี้จะให้ฉันคิดว่าเป็นอะไรได้”
“ฉันยืนยันได้ว่าฉันไม่ได้เข้ามาขโมย ถ้าฉันหาของพบแล้วก็จะกลับ”
“ถ้าอย่างนั้นตอบมาว่าของนั้นมันสำคัญกับเธอหรือไม่ ตอบมาตามความจริง”
“ก็ได้ มันเป็นของสำคัญสำหรับฉัน”
“ถ้ามันเป็นของสำคัญ ฉันจะช่วยเธอหาเอง”
เฟื่องฟ้าไม่อยากจะเชื่อหู
“คุณว่าอะไรนะ”
“ฉันจะช่วยเธอหา ฉันอยู่เรือนนี้ฉันย่อมรู้สถานที่ในเรือนตัวเองดีที่สุด จริงหรือไม่”
เฟื่องฟ้าพูดไม่ออก ไม่รู้ก้องภพต้องการอะไรแน่
ไม่นานต่อมา ก้องภพพาเฟื่องฟ้ามาที่เรือนดอกเหมย
“เธอทำของตกไว้ที่นี่ใช่หรือไม่”
“ใช่ มันอาจจะอยู่แถวนี้ ขอฉันเดินดูก่อนได้ไหม”
ก้องภพพยักหน้า เฟื่องฟ้าทำเป็นก้มลงหาของตามสนามหญ้าหน้าเรือน
ก้องภพยืนเฝ้าอยู่ห่างๆคอยสังเกตเฟื่องฟ้าไปด้วย
เฟื่องฟ้าเอามือไล่กวาดหาของตามพื้น สายตาลอบมองก้องภพไปด้วย พอก้องภพเผลอก็แอบถอดต่างหูออก แล้วทำทีเป็นหาของเจอ
“เจอแล้ว”
ก้องภพเดินเข้ามาหา
“เจอแล้วงั้นหรือ”
เฟื่องฟ้ายื่นต่างหูให้ก้องภพดู
“นี่อย่างไร ฉันทำมันตกไว้ โชคดีที่เจอ”
ก้องภพมองฉงน ไม่เชื่อนัก “นี่หรือของสำคัญของเธอ”
“ใช่ แม่ฉันเป็นคนซื้อให้ ฉันรักต่างหูคู่นี้มาก ถ้าหาไม่เจอคงแย่แน่ๆ”
ก้องภพมองเฟื่องฟ้านิ่งๆ ถามย้ำอีกรอบ
“แน่ใจหรือว่าเธอกำลังหาสิ่งนี้”
“ถูกแล้วทำไมคุณถามอย่างนั้น”
ก้องภพเดินเข้าไปใกล้ๆ จ้องตาคาดคั้น จนเฟื่องฟ้าต้องถอยหนี
“ฉันจะถามเธออีกครั้งว่าเธอกำลังหาอะไรกันแน่”
“ทำอย่างไรคุณถึงจะเชื่อฉัน”
ก้องภพแค่นหัวเราะ ดึงต่างหูมาจากมือเฟื่องฟ้า มองอย่างพิจารณา
“ฉันจะเชื่อเธอได้อย่างไร ในเมื่อฉันเห็นอยู่กับตาว่าเธอใส่ต่างหูคู่นี้มาด้วย”
เฟื่องฟ้าอึ้งไปที่โดนจับได้ ก้มหน้าหลบตาก้องภพวูบวาบ
“ตกใจที่ถูกฉันจับได้งั้นหรือ”
“ฉัน…”
“ไม่ต้องแก้ตัวอีกแล้ว บอกฉันมาได้สักทีว่าเธอต้องการอะไรที่เรือนนี้กันแน่”
คราวนี้เฟื่องฟ้าเงียบกริบ ไม่ยอมบอก
“ว่าอย่างไร”
“ที่ฉันบอกว่ามาตามหาสิ่งสำคัญฉันไม่ได้โกหก แต่ฉันบอกคุณไม่ได้จริงๆ ว่ามันคืออะไร คุณอย่าคาดคั้นฉันไปมากกว่านี้เลย”
“ไม่ว่าอย่างไรก็จะไม่บอกสินะ”
เฟื่องฟ้าพยักหน้าให้ ก้องภพเข้าใจ
“ก็ได้ ถ้าอย่างนั้นฉันมีข้อเสนอให้”
“ข้อเสนอ”
“ในเมื่อเธออยากหาอะไรก็ตามที่เธอว่า ฉันจะให้เธออยู่ที่นี่ในฐานะนางเอกงิ้วของเรือนดอกเหมย ดีรึไม่”
เฟื่องฟ้าแทบไม่เชื่อหูตัวเองจนต้องย้อนถาม
“คุณจะให้ฉัน อยู่ที่นี่งั้นหรือ”
“เธอได้ยินไม่ผิดหรอกหากเธอตกลง ฉันจะไม่ถามเซ้าซี้เธออีก จนกว่าเธอจะเต็มใจ ขอแค่ให้เธอตกลงเท่านั้น”
เฟื่องฟ้าคิดหนักว่าควรตอบอย่างไร เพราะอยากสืบเรื่องที่นี่ คิดปราดเดียวก็ตอบตกลงออกไป
“ได้ ฉันตกลง”
ก้องภพยิ้มสมใจกับคำตอบของอีกฝ่าย
เย็นนั้น เห็นเฟื่องฟ้ากลับมาถึงบ้าน รำเพยก็ร้องทัก
“กลับมาแล้วหรือ เข้าบ้านกินน้ำกินท่าก่อนมา”
เฟื่องฟ้าโล่งใจที่แม่ไม่ซักอะไรมา พอเข้าเรือนมา รำเพยก็ยื่นบางสิ่งให้
“อะไรหรือจ๊ะแม่”
ที่แท้เป็นพระเครื่องที่หลวงพ่อดำให้มา
“แม่ให้ ลูกเอาไปสวมไว้สิ”
“พระเครื่องหรือจ๊ะ ทำไมแม่ถึงให้ฉันล่ะ”
“แม่ไปทำบุญที่วัดมา หลวงพ่อท่านให้ไว้”
“หลวงพ่อท่านให้มาแม่เก็บไว้เถอะจ้ะ ฉันไม่เป็นไร”
“ลูกเอาไปเถอะ พักนี้ฝันร้ายไม่ใช่หรือ สวมไว้ มงคลจะได้มีติดตัวไม่ฝันร้ายอีก”
รำเพยจับมือลูกมาวางพระใส่ให้แล้วเดินไปเลย เฟื่องฟ้ามองสงสัย แต่ก็ยอมสวมพระโดยดี
ค่ำคืนนั้นเฟื่องฟ้าสวดมนต์ไหว้พระทำจิตใจให้สงบตามปกติ พอเสร็จเหลียวไปเห็นแม่หลับไปแล้ว จึงถอดสร้อยออกแล้วล้มตัวลงนอน
เฟื่องฟ้าหลับตาลงได้ไม่นาน ควันสีขาวก็ปรากฏขึ้นในห้องนั้น แล้วกลายร่างเป็นวิญญาณไต้ก๋งชาง มองจ้องร้องเรียกเฟื่องฟ้า
“แม่หนู…แม่หนู…”
ไต้ก๋งชางลอยเข้าไปใกล้เฟื่องฟ้า
“ช่วยฉันด้วย…ช่วยฉัน…”
ไต้ก๋งยื่นมือไปสัมผัสตัวเฟื่องฟ้าหมายจะเข้าไปในฝันอีก แต่เกิดแสงสว่างวาบพุ่งออกมาจากสร้อยพระร่างไต้ก๋งชางผงะไป
“ไม่…ไม่”
ไต้ก๋งชางไม่ยอมแพ้ คิดจะเข้าฝันเฟื่องฟ้าให้ได้ แต่พอเข้าใกล้ทีไรก็ถูกแสงพุทธคุณผลักออกมา ทุกครั้งสุดท้ายก็ทนไม่ไหวสลายร่างไปปรากฏตัวบริเวณชานเรือนของรำเพย มองเข้าไปในห้องนอน วนเวียนอยู่นอกเรือน พลางร้องเรียกเฟื่องฟ้า น้ำเสียงโหยหวน
“แม่หนู…ช่วยฉันด้วย…ช่วยฉันด้วย”
กลางดึก เฟื่องฟ้านอนกระสับกระส่าย เสียงไต้ก๋งชางดังขึ้นเรื่อย
“แม่หนู…แม่หนู…”
เสียงของไต้ก๋งชางรบกวนจนเฟื่องฟ้านอนไม่ได้ ในที่สุดก็สะดุ้งตื่นขึ้นมา
พอเฟื่องฟ้าลุกขึ้นมาก็กลับกลายเป็นนิ่งเหม่อ สักพักก็ลุกขึ้นแล้วเดินออกไปเหมือนคนละเมอ
เฟื่องฟ้ามาถึงชานเรือน เจอไต้ก๋งชางรออยู่ เฟื่องฟ้ารู้แล้วว่าไต้ก๋งชางมีตัวตนจริง เลยถาม
“คุณ…คุณคือไต้ก๋งชางใช่ไหมคะ”
ไต้ก๋งชางดูมีความหวังขึ้นทันที
“ใช่ ฉันคือไต้ก๋งชาง”
“คุณต้องการอะไร มาเข้าฝันฉันทำไม”
“ฉันอยากให้เธอช่วยฉัน ฉันจึงเล่าเรื่องทุกอย่างให้ฟัง”
“เรื่องในฝันนั่นเป็นเรื่องจริงทั้งหมดงั้นหรือ แล้วทำไมตอนนี้คุณนายงามตาถึงกลายเป็นเจ้าเรือน ไม่ใช่คุณ”
“ฉันมีความจริงจะเล่าให้เธอฟังมากมายแม่หนู แต่ฉันยังบอกเธอตอนนี้ไม่ได้”
“เพราะอะไรล่ะ”
ไต้ก๋งชางชี้ไปที่สร้อยพระตรงคอเฟื่องฟ้า
“ถ้าเธอยังมีมันอยู่ฉันจะบอกเธอไม่ได้”
เฟื่องฟ้าเข้าใจ “แล้วทำไมคุณถึงเลือกที่จะเข้าฝันฉัน”
“เพราะฉันติดต่อกับเธอได้เพียงคนเดียว มีเธอคนเดียวเท่านั้นที่ช่วยฉันได้”
“คนอย่างฉันจะช่วยอะไรคุณได้”
“เธอช่วยฉันได้แม่หนู ฉันอยากให้เธอรับรู้ความจริงทั้งหมดแล้วช่วยเปิดโปงงามตา ฉันจะปล่อยให้งามตาครอบครองทุกอย่างไม่ได้”
“มีแค่เรื่องนี้งั้นหรือที่คุณอยากให้ฉันช่วย”
ไต้ก๋งชางส่ายหัว “ไม่ใช่แค่นั้น ฉันยังอยากให้เธอช่วยตามหาร่างของฉันด้วย”
เฟื่องฟ้าประหลาดใจ “ร่างของคุณ หมายความว่ายังไง”
“ฉันถูกพวกคนชั่วนั่นตัดหัวแล้วแยกเอาร่างไปฝังไว้อีกที่หนึ่ง ถ้าฉันหาร่างไม่เจอ ฉันจะไม่มีวันไปผุดไปเกิดได้”
“ถ้าอย่างนั้นคุณจะเล่าเรื่องให้ฉันฟังต่อได้ใช่ไหม”
ไต้ก๋งชางพยักหน้า เฟื่องฟ้าดีใจอยากรู้ว่าเรื่องราวเป็นอย่างไร แต่แล้วเสียงรำเพยก็ดังขึ้น
“เฟื่องฟ้า…เฟื่องฟ้า”
เฟื่องฟ้ามองหาเสียง และเสียงรำเพยดังขึ้นเรื่อยๆ จนเกิดแสงสว่างวาบขึ้น แล้วร่างไต้ก๋งชางก็หายไป
เฟื่องฟ้าสะดุ้งตื่นขึ้นมาพบว่าตัวเองยังอยู่ในห้องนอน และมีรำเพยจับตัวอยู่ หญิงสาวงุนงงว่าเกิดอะไรขึ้น รำเพยลูบเนื้อตัวลูกถามอย่างเป็นห่วง
“เฟื่องฟ้า เป็นอย่างไรบ้างลูก”
เฟื่องฟ้าเอามือกุมขมับพยายามตั้งสติว่าความจริงหรือความฝัน คว้ามือรำเพยขึ้นมาจับ
“ไม่ได้ฝัน ฉันไม่ได้ฝันใช่ไหมจ้ะแม่”
“ฝันร้ายอีกแล้วหรือลูก”
“จ้ะ ฉันฝันถึงไต้ก๋งชาง ฉันไม่เข้าใจเลยว่าทำไมฉันถึงเห็นเขาอีกแล้ว”
รำเพยใจหายกอดเฟื่องฟ้าแน่น
“ไม่เป็นไร มันเป็นเพียงความฝันเท่านั้นเขาไม่มีตัวตนอยู่จริง”
“ฉันอยากจะคิดว่าเขาไม่มีตัวตนอยู่ แต่หลายสิ่งที่ฉันรับรู้มันขัดแย้งกันเหลือเกิน”
“แม่บอกแล้วอย่างไรว่ามันเป็นแค่ฝันร้าย ลูกแค่ต้องสงบใจแล้วจะไม่มีอะไรรบกวนลูกได้” รำเพยดูที่คอลูกแล้วต้องแปลกใจ “แล้วทำไมลูกจึงไม่สวมพระที่แม่ให้”
เฟื่องฟ้าจับไปที่คอตัวเอง อึกอัก
“ฉันแค่ไม่ชินที่ต้องสวมสร้อยติดตัวน่ะจ้ะ”
รำเพยรีบหยิบสร้อยพระมาสวมให้เฟื่องฟ้า
“ไม่ชินก็ต้องสวมไว้ แม่บอกแล้วไม่ใช่หรือว่าพระองค์นี้จะช่วยป้องกันภัยได้ ลูกต้องสวมไว้ติดตัว อย่าถอดออกเด็ดขาด เข้าใจหรือไม่”
“ก็ได้จ้ะแม่”
“สวมแล้วก็เข้านอนเถอะ คืนนี้ลูกจะไม่ฝันร้ายอีกแล้ว”
รำเพยล้มตัวลงนอน เฟื่องฟ้ากำลังจะนอนตาม แต่ก็รู้สึกแปลกๆ แถวข้อเท้าจึงเอามือจับดูรู้สึกสากๆ เหมือนเลอะอะไรอยู่ พอเอาไปส่องกับแสงจันทร์ที่ส่องเข้ามา พบว่ามันเปื้อนเลอะดิน เฟื่องฟ้าไม่อยากจะเชื่อ
วันรุ่งขึ้น เฟื่องฟ้ามาขอลาออกกับครูใหญ่ที่โรงเรียนในตอนเช้า ครูวารีตกใจมาก
“อะไรกัน จะลาออกงั้นหรือ”
“ค่ะ ขอโทษด้วยนะคะมาบอกกะทันหัน แต่ดิฉันจำเป็นจริงๆ ค่ะครู”
“คนมีความรู้ความสามารถอย่างครูเฟื่องฟ้า ถ้าเลิกสอนไปก็น่าเสียดาย พอจะบอกสาเหตุฉันได้ไหมว่าเพราะอะไร”
“บ้านดิฉันอยู่ค่อนข้างไกลพระนคร คุณแม่เป็นห่วงกลัวดิฉันต้องกลับบ้านคนเดียว จึงอยากให้กลับไปหางานใกล้บ้านมากกว่านี้น่ะค่ะ”
“ถ้าเรื่องนี้ครูไปคุยกับคุณแม่ให้ได้นะ มีครูในโรงเรียนมีบ้านพักในพระนครเขาอาจจะแบ่งห้องให้ค้างวันที่มาสอนได้”
เฟื่องฟ้าปฏิเสธอยู่ดี “ไม่เป็นหรอกค่ะครูใหญ่ดิฉันตัดสินใจแล้ว”
วารีถอนหายใจ เสียดายเฟื่องฟ้ามาก
“ถ้าครูเลือกอย่างนั้นฉันก็คงไม่รั้งล่ะนะ แต่ถ้าเกิดวันไหนครูอยากกลับมาสอนที่นี่อีก ฉันก็ยินดีต้อนรับเสมอ”
“ขอบคุณมากนะคะ ความจริงดิฉันรักการสอนที่นี่มาก ถ้าวันหนึ่งดิฉันจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ดิฉันจะกลับมาสอนที่นี่อย่างแน่นอนค่ะ”
วารียิ้มรับเข้าใจ เฟื่องฟ้าเองก็ใจหายไม่น้อย
ฝ่ายก้องภพนิมนต์หลวงพ่อดำมารดน้ำมนต์ปัดรังควานให้เรือนดอกเหมย หลวงพ่อเดินประพรมน้ำมนต์ทั่วเรือนทั้งในและนอกห้อง มีคฑาเดินพันสายสิญจน์ไปรอบเรือน
เวลาผ่านไป หลังประพรมน้ำมนต์แล้ว หลวงพ่อดำเจิมตรงเรือนให้ใหม่เป็นอันเสร็จพิธี ก้องภพกราบหลวงพ่อ
“ขอบพระคุณหลวงพ่อนะครับ ที่มาช่วยเจิมเรือนให้กระผมใหม่”
“ไม่เป็นไรหรอกโยม หากมีสิ่งใดช่วยเหลือกันได้ก็ช่วยกัน”
“เท่านี้เรือนดอกเหมยก็คงเปิดแสดงงิ้วได้ใหม่ ไม่มีสิ่งใดมารังควานอีกแล้วนะขอรับ” คฑายิ้มร่า
“สิ่งที่โยมพูดก็ถูก แต่ความจริงแล้วเรือนนี้ไม่มีสิ่งใดมารังควานที่ไหนหรอก”
ก้องภพแปลกใจ
“หมายความว่าอย่างไรครับที่ว่าไม่มีรังควาน”
“พิธีใดๆ มีไว้เพื่อสร้างความความสบายใจแก่เจ้าของเรือนเท่านั้นล่ะโยม”
ก้องภพไม่คลายสงสัย “แล้วอาเพศที่เกิดขึ้นทั้งหมดในเรือน ถ้าไม่ใช่เพราะเราทำพิธีไม่ถูกต้อง มันจะเกิดจากอะไรได้ละครับ”
หลวงพ่อดำมองไปรอบๆ เรือน พูดเป็นนัยให้ก้องภพคิด
“เรือนหลังหนึ่งจะอยู่สุขสบายใจได้ ผู้ที่อยู่ร่วมเรือนก็เป็นส่วนสำคัญ หากใจผู้ที่อยู่ร่วมเรือนไม่สงบ จะทำพิธีใดก็ไร้ประโยชน์”
“ถ้าเช่นนั้นกระผมจะทำอย่างไรดีล่ะครับหลวงพ่อ”
“โยมมีจิตตั้งมั่นในศีลในธรรมนั้นย่อมดีแก่ตัวแล้ว จงคงความดีและความยุติธรรมที่มีในตัวไว้เถิด แล้วสิ่งที่ดีจะปรากฏแก่โยมเอง”
ก้องภพยกมือไหว้หลวงพ่อดำคฑาด้วย หลวงพ่อดำยืนสงบนิ่งอยู่ที่เรือนนั้น
ฝ่ายนมขามแวะมาที่กระท่อมเก่าๆ หลังหนึ่งในสวน ถือกับข้าวมาด้วย พอถึงก็วางถาดไว้ด้านหน้า แล้วเคาะประตูเรียก รอให้ใครออกมา
สักพักประตูก็แง้มออก เผยให้เห็นอบเชยเดินออกมามองอย่างหวาดระแวง
“ข้าเอาข้าวมาให้ ออกมากินเถิด”
อบเชยเห็นถาดอาหารก็ยิ้ม หยิบกินอย่างมูมมาม
นมขามมองอย่างเวทนา อบเชยกินอย่างเอร็ดอร่อย
“วันนี้เป็นอย่างไรบ้างแม่อบเชย”
อบเชยหัวเราะ ตอบนมขามด้วยสีหน้าเหม่อลอย
“ดี วันนี้ดี ต่อจากวันนี้ต้องดีแน่ เพราะอบเชยได้เจอนายท่าน”
“นายท่าน ใครกัน”
“นายท่าน ที่เคยช่วยอบเชยไว้นายท่านใจดี ให้อบเชยเข้ามาอยู่ในเรือน”
“แถวนี้น่ะไม่มีนายท่านเช่นนั้นหรอก ถ้าจะมีก็คุณก้องภพกระมัง”
“ไม่ใช่ชื่อนั้น อบเชยจำไม่ได้ว่านายท่านชื่ออะไร แต่ที่แน่ๆ นายท่านกลับมาแล้ว”
นมขามยิ่งฟังก็ยิ่งสงสารสาวเรือนดอกเหมย อบเชยมองเหม่ออยู่อย่างนั้น
“นอกจากนายท่านก็มีผู้หญิงสวยๆ มาหาอบเชยด้วย”
นมขามนิ่วหน้า “คราวนี้ใครกันอีกล่ะ”
“อบเชยไม่รู้ อบเชยรู้แค่ผู้หญิงคนนี้ต้องช่วยอบเชยได้”
“อะไรทำให้เอ็งคิดเช่นนั้น”
“เขาสวย เขาใจดี แล้วเขาก็ดูคล้ายนายท่าน ใช่ คล้ายมากๆ”
นมขามแปลกใจมากขึ้น พยายามถามซักอีก
“คล้ายอย่างไร เอ็งไปเจอใครมา คุณรำเพยงั้นหรือ”
อบเชยส่ายหัวดิก
“ไม่ใช่ชื่อนั้น แต่เป็นผู้หญิงที่สวย สวย เหมือนคุณรำเพยนั่นแหละ ฮ่าๆๆๆ”
อบเชยหัวเราะร่า แล้วกินข้าวต่อโดยไม่พูดอะไรอีก นมขามได้แต่สงสัยว่าใครกัน
เฟื่องฟ้ามาหาก้องภพ เขาพาเธอไปดูที่พักเรือนดอกเหมย
“นี่เรือนดอกเหมย ที่นี่จะเป็นที่พักของเธอ”
เฟื่องฟ้าถือโอกาสสำรวจไปตามส่วนต่างๆ ของเรือนดอกเหมย
เมื่อคิดถึงภาพเรือนดอกเหมยในฝัน ที่ยังมีชีวิตชีวาอยู่ เฟื่องฟ้าถึงกับอุทาน
“ช่างเหมือนในฝันนั่นเสียจริง”
ก้องภพเดินเข้ามาจากด้านหลัง
“เมื่อครู่เธอว่าอะไรกันนะ”
“อ้อ ฉันแค่อุทาน ว่าที่นี่ช่างสวยงามเสียจริงน่ะค่ะ ไม่น่าเชื่อว่าจะถูกปิดร้างไว้นานขนาดนี้”
“เรือนนี้เป็นเรือนที่พ่อฉัน สร้างไว้ให้แม่หญิงที่รับเลี้ยงไว้ฝึกอาชีพ ฉันเห็นว่ายังใช่ประโยชน์ได้มากจึงปรับปรุงเสียใหม่”
“น่าเสียดายนะคะที่สี่สาวนั้นไม่ได้อยู่ที่เรือนนี้อีกแล้ว”
ก้องภพฟังแล้วเอะใจขึ้นมา
“เธอพูดว่าอะไรนะ”
“คะ”
“เธอรู้ได้อย่างไรว่าเรือนนี้เคยมีผู้หญิงอยู่สี่คน”
เฟื่องฟ้าชะงัก หาข้อแก้ต่างไปได้
“ฉันก็แค่นับตามจำนวนห้องแล้วก็เดาเอาเท่านั้นไม่คิดว่าจะถูก”
“งั้นหรือ”
เฟื่องฟ้าพยักหน้าทำเป็นไม่รู้เรื่อง ก้องภพไม่อยากเซ้าซี้เลยถามเรื่องอื่น
“แล้วเมื่อไหร่เธอถึงจะพร้อมเริ่มงานที่นี่”
“ฉันยังไม่แน่ใจเลยค่ะ คงต้องหาข้ออ้างให้คุณแม่อนุญาต”
“แม่เธอไม่ชอบให้เต้นกินรำกินหรือ ฉันไปขออนุญาตให้เองจะดีหรือไม่”
“ไม่ได้ค่ะ ถ้าทำอย่างนั้นแม่จะยิ่งไม่ยอม”
“เพราะอะไรล่ะ”
“แม่ฉันไม่อยากให้มาทำงานที่นี่น่ะค่ะ ท่านว่ามันไกลแล้วก็ค่อนข้างอันตราย”
“ที่แท้ก็เรื่องแค่นั้นเอง”
เฟื่องฟ้ามองฉงน ก้องภพบอกยิ้มๆ ว่า
“ถ้าเรื่องนั้นไม่ต้องห่วง ถ้าคุณแม่เธออยากให้ลูกสาวปลอดภัย ฉันจะอาสาปกป้องเธอเอง ดีหรือไม่”
เฟื่องฟ้าอึ้งไปนิดๆ ท่าทีขวยเขิน เสมองไปทางอื่น จนเสียงคฑาดังขึ้น
“คุณก้อง คุณก้องขอรับ”
ก้องภพกับเฟื่องฟ้าหันไป เห็นคฑาเดินเข้ามาสมทบ
“มีอะไรหรือคฑา”
“คุณนายท่านเรียกให้หาขอรับ”
ก้องภพแอบเสียดาย แต่ก็จำต้องไป
“ได้ฉันจะรีบไป เธออยู่ชมที่นี่ต่อได้ตามสบายนะ ถ้ามีอะไรให้คนไปบอกฉันที่เรือน”
ก้องภพบอกเฟื่องฟ้าแล้วเดินไปทางเรือนใหญ่
ก้องภพออกไปกับคฑา เฟื่องฟ้าจะกลับ ขณะที่เดินออกมา ก็หันไปมองเรือนดอกเหมยอีกครา
“เรือนดอกเหมย…เคยมีอะไรเกิดขึ้นที่นี่กันแน่”
เฟื่องฟ้ามองเรือนดอกเหมยอยู่สักพัก ก่อนจะหันหลังกลับ แต่จู่ๆ ก็มีเสียงสวบสาบดังขึ้นเหมือนมีคนเดินอยู่ใกล้ๆ เมื่อหันไปก็ไม่เห็นมีใครอยู่ เฟื่องฟ้าถอนหายใจโล่งอก
“สงสัยจะฟั่นเฟือนไปจริงๆ แล้วเรา”
เฟื่องฟ้าเดินออกมาได้นิดเดียว ก็มีเสียงเหมือนคนย่ำฝีเท้าอยู่รอบๆ อีก หญิงสาวเริ่มกลัวขึ้นมา พอก้าวเท้าออกเดินอีกครั้งก็ปรากฏว่ามีใครคนหนึ่งเข้ามากอดด้านหลังไว้
เฟื่องฟ้ากรี๊ดผลักใครคนนั้นออกเต็มแรง ค่อยๆ หันไปมองพบว่าเป็นสาวสติวิปลาส อบเชย นั่นเอง
อบเชยมองหน้าเฟื่องฟ้า แล้วหัวเราะคิกคัก แต่สีหน้าแววตาดูเหม่อลอย
“อยู่นี่เอง หาตัวตั้งนาน”
“คุณ คุณเป็นใครน่ะ”
“ฉัน…ฉันเป็นใคร…เอ…ใช่สิ ฉันเป็นใคร”
อบเชยพูดเหมือนบ่นพลางเดินเข้ามาหาเฟื่องฟ้า พึมพำอยู่แบบนั้น
“ฉันเป็นใคร ฉันเป็นใคร…” อบเชยมองจ้องเฟื่องฟ้า “แล้วเธอล่ะ เป็นใคร”
“ฉัน…คือ”
อบเชยเอียงคอมอง สายตาเลื่อนลอยเริ่มเปลี่ยนเป็นแข็งกร้าว
“หรือว่าเอ็งคือคนที่คิดทำร้ายนายท่าน”
“ฉันไม่ใช่คนที่คุณว่านะ”
อบเชยขึ้นเสียง “โกหก ใช่แน่ๆ เอ็งทำร้ายนายท่าน เอ็งจะฆ่าข้า เอ็งจะฆ่าทุกคน ข้าไม่ยอมแน่ ไม่…ไม่ยอม…เอ็งต่างหาก…เอ็งต้องตาย”
อบเชยพุ่งเข้ามาบีบคอเฟื่องฟ้าโดยเร็ว เฟื่องฟ้าตกใจแกะมือออกสองคนยื้อยุดกันอยู่อย่างนั้น
“ช่วยด้วย…ช่วย…ฉันด้วย”
“ตาย”
อบเชยแรงเยอะกว่ามาก เฟื่องฟ้าเริ่มสู้ไม่ได้จะหมดแรง จนมีเสียงหนึ่งดังขึ้น
“หยุดเดี๋ยวนี้นังอบเชย”
อบเชยชะงัก เป็นนมขามเดินเข้ามา ตะเพิดอบเชย
“ออกไปเดี๋ยวนี้ กลับไปที่ที่หล่อนควรอยู่เสีย”
อบเชยหันไปมองนมขาม ท่าทีเปลี่ยนเป็นเหม่อลอยดังเคย
“ที่ๆ ควรอยู่”
“อย่ามาสร้างความวุ่นวายแถวเรือน ไม่อย่างนั้นเธอโดนดีแน่”
อบเชยตกใจ ส่ายหัวรัวๆ ปล่อยมือออกจากคอทิ้งร่างเฟื่องฟ้าลงกับพื้น
อบเชยเอามือกุมหัว พึมพำกับตัวเองอย่างน่าสงสาร
“ไม่…ฉันกลัว ฉันเจ็บ อย่าทำฉัน ไม่…อย่าทำฉัน”
อบเชยวิ่งหนีไป เฟื่องฟ้ามองตามแปลกใจ
“อบเชย ผู้หญิงคนนั้นคืออบเชยหรือ”
จบตอน15 ทีวี
ทางด้านงามตานั่งกอดอก รอลูกชายอยู่ตรงชานพักผ่อนบนเรือนใหญ่ อาการหวาดกลัวดีขึ้นมาก แต่ยังระแวงกลัวใครมาทำร้ายอยู่อย่างเก่า จนก้องภพเดินเข้ามาหา
“คุณแม่เรียกหากระผมหรือขอรับ”
“ใช่ แม่มีเรื่องอยากคุยกับพ่อก้อง เรื่องสำคัญมาก”
ก้องภพรู้สึกว่าผู้เป็นมารดาดูแปลกไปจริงๆ แต่พยายามจะไม่ถามมาก
“เรื่องสำคัญที่ว่าคือเรื่องอะไรครับ”
งามตามองไปรอบๆ ให้แน่ใจว่าไม่มีอะไรแล้วค่อยบอกออกมา
“เรื่องเรือนดอกเหมย”
“เรือนดอกเหมย”
“ใช่ แม่อยากให้พ่อก้องปิดเรือนนั่นไปซะ ปิดตายได้ยิ่งดี”
“แต่เราคุยกันแล้วไม่ใช่หรือครับว่าผมอยากปรับปรุงเรือนนี้เพื่ออะไร แล้วทำไมคุณแม่ถึงอยากให้ปิดมันอีก”
“เรือนนั่นมันไม่ปลอดภัยเราควรรีบตัดไฟเสียตั้งแต่ต้นลม”
“ถ้าหากผมไม่ทำตามที่คุณแม่ขอ คุณแม่จะว่าอย่างไรครับ”
“นี่ไม่ว่าแม่จะพูดอย่างไรพ่อก้องก็ไม่เชื่อแม่เลยหรือ”
ก้องภพอ่อนใจ
“ผมพร้อมจะเชื่อที่คุณแม่พูดทุกอย่าง หากคุณแม่ยอมบอกผมว่า ‘ไฟ’ ที่คุณแม่ต้องการตัดนั้นคืออะไร แต่ถ้าคุณแม่บอกไม่ได้ ผมก็สุดปัญญา”
“พ่อก้อง”
“ผมนิมนต์หลวงพ่อดำมาทำพิธีแล้ว ท่านว่าไม่มีอะไรน่าห่วงผมจึงจะขอคุณแม่เปิดเรือนดอกเหมยไว้ทำประโยชน์ต่อไปคุณแม่อย่าได้ถือโทษผมเลย”
งามตามองก้องภพอย่างผิดหวัง
นมขามเดินมาส่งที่ท่าน้ำ เฟื่องฟ้าหันมาหาคุณนมพรายยิ้มยกมือไหว้ลา
“ขอบคุณมากนะคะที่ช่วยหนู”
คุณพระ! ภาพเฟื่องฟ้าตรงหน้ากลายเป็นภาพใบหน้าคุณรำเพยตอนสาวๆ นมขามอึ้งไป
“มีอะไรหรือคะ”
ใบหน้าที่เห็นกลายเป็นหน้าเฟื่องฟ้าเหมือนเดิม นมขามเฉไฉเป็นเฮ็ดเอา
“ไม่มีอะไร คราวหน้าคราวหลังหล่อนควรระวังตัวเสียหน่อย งานแสดงงิ้วครั้งก่อนก็ตกจากเวทีบาดเจ็บไม่ใช่หรือ”
เฟื่องฟ้าแปลกใจ “คุณยายจำหนูได้ด้วยหรือคะ”
“จำได้สิ จำได้ติดใจทีเดียว”
นมขามมองเฟื่องฟ้าเหมือนพิจารณาบางอย่าง เฟื่องฟ้าเฉไฉไปเรื่องอื่น
“คราวก่อนหนูคงสร้างความวุ่นวายไปทั่วสินะคะ”
“ไม่ใช่เรื่องนั้นหรอก แต่ฉันรู้คุ้น คุ้นหน้าเธอเหลือเกิน”
“หนูน่ะหรือคะ”
“ฉันนึกถึงนายเก่า เธอดูคล้ายเขามาก”
นมขามหน้าเศร้าลงนิดหนึ่งเมื่อนึกถึงรำเพย เฟื่องฟ้านึกถึงเรื่องในฝัน ลังเลอยู่ครู่เดียวจึงย้อนถามไปว่า
“คุณนมหมายถึง คุณรำเพยใช่หรือไม่คะ”
นมขามอึ้งไป “หล่อน...รู้จักชื่อนี้ได้อย่างไร”
“คุณนมบอกหนูมาก่อนเถิดเจ้าค่ะ ว่ารู้จักคุณรำเพยหรือไม่”
นมขามมองเฟื่องฟ้าอย่างระแวงระวัง ด้วยไม่รู้เด็กสาวจะมาไม้ไหน
“ถ้าฉันรู้จักคุณรำเพยจริง แล้วมันจะเป็นอย่างไร”
“หนูเคยได้ยินคนพูดกันว่าเรือนนี้เคยเป็นของเธอ จึงอยากถามให้แน่ใจเท่านั้นค่ะ”
นมขามมองไปรอบๆ กลัวใครจะมาได้ยิน พร้อมกับดุเฟื่องฟ้า
“อย่าได้พูดชื่อนี้ขึ้นมาอีกถ้าเธอยังอยากจะอยู่รอดปลอดภัยในเรือนนี้ล่ะก็”
“ทำไมหนูถึงพูดไม่ได้ล่ะเจ้าคะ”
“เป็นเด็กเป็นเล็ก ผู้ใหญ่สอนสิ่งใดก็หัดจำไว้เถิด ไม่ต้องถามมาก ถ้าเป็นไปได้ก็ช่วยไปให้พ้นจากเรือนนี้ได้เลยยิ่งดี อย่าได้กลับมาอีก”
“หนูต้องกลับมาที่นี่อีกค่ะ” เฟื่องฟ้าว่า
นมขามแปลกใจ “เธอจะกลับมาอีกทำไม”
“เพราะว่าหนู กำลังจะมาทำงานที่เรือนนี้ค่ะ”
นมขามฟังแล้วคิดหนักว่าควรทำอย่างไร ก่อนจะถามเฟื่องฟ้าออกไปด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“แม่นางเอกงิ้ว ฉันถามอะไรเธออีกสักอย่างจะได้หรือไม่”
“ถ้าเป็นเรื่องที่หนูตอบได้ หนูจะตอบค่ะ”
นมขามทำใจอยู่สักครู่หนึ่ง ก่อนจะถามออกมา
“บอกฉันมาได้หรือไม่ว่าเธอเป็นลูกเต้าเหล่าใคร”
เฟื่องฟ้าอึ้งไปประเดี๋วก็บอกออกมาว่า “หนูบอกไม่ได้ค่ะ”
“ทำไมเล่า”
“แม่ของหนูอยากอยู่อย่างสงบ จึงไม่อยากให้ใครรับรู้ว่าเราอยู่ที่ไหน หรือเป็นใคร หนูต้องขอโทษด้วยนะคะ”
เห็นเฟื่องฟ้ามีสีหน้าลำบากใจที่จะตอบ นมขามก็ยิ่งสงสัย
นมขามรีบร้อนมาที่เรือนครัว เห็นพวกบ่าวหญิงรวมถึงบุหลันกับสนช่วยกันเตรียมกับข้าวอยู่ นมขามมองหาใครบางคน แต่ไม่เจอจึงถามกับบ่าวในกลุ่มนั้น
“พวกเอ็ง เห็นนายคฑารึไม่”
“คฑามันไปช่วยคุณก้องเรื่องเอกสารเจ้าค่ะ ไม่รู้ป่านนี้กลับมาหรือยัง” บุหลันบอก
“ใครก็ได้ช่วยไปตามมันมาหาข้าได้หรือไม่ ข้ามีเรื่องให้มันช่วย”
บ่าวคนหนึ่งกำลังจะลุกไป นมขามร้อนใจมาก คฑาเข้ามาพอดี
“คุณนมเรียกหากระผมหรือขอรับ”
นมขามไม่ค่อยอยากพูดอะไรต่อหน้าบุหลัน แต่เพราะรีบร้อนจำใจต้องบอกออกไป
“มาก็ดี ข้าอยากให้เอ็งช่วยพายเรือไปแถวชานเมืองสักหน่อย”
“นี่ก็บ่ายคล้อยแล้ว คุณนมไปตอนนี้จะกลับไม่ทันมืดนะขอรับ”
“เรื่องนั้นช่างมันเถิด ข้ามีธุระด่วนต้องไปวันนี้เท่านั้น”
บุหลันแปลกใจ พูดแทรกขึ้น
“คุณนมจะรีบไปไหนเจ้าคะ”
“ญาติข้าไม่สบาย เลยว่าจะไปเยี่ยมเสียหน่อย”
“ญาติที่ไหนกันเจ้าคะ อิฉันไม่เห็นมีญาติที่ไหนติดต่อคุณนมเสียนานแล้ว” สนว่า
นมขามปัดรำคาญ
“พวกเอ็งนี่ถามเซ้าซี้เหมือนเป็นญาติข้าเองเสียจริง จะญาติโกโหติกาฝ่ายไหนมันก็เรื่องของข้า อย่ามาสาระแนถามให้มากนัก”
บุหลันกับสนหุบปากแทบไม่ทัน นมขามหันไปบอกคฑาว่า
“ไปเถิด หากออกช้าจะไม่วายกลับค่ำจริงๆ”
“ขอรับ”
นมขามเดินนำคฑาไป ดูรีบร้อนชอบกล สนกับบุหลันมองหน้ากันด้วยความสงสัย
เฟื่องฟ้ากำลังจะลงเรือกลับเรือน เสียงก้องภพเรียกไว้ดังขึ้น
“เดี๋ยวก่อน” เฟื่องฟ้าหันไปหา เจอก้องภพเดินเข้ามาก็ตกใจ “เธอจะกลับแล้วรึ”
“ใช่ค่ะ นี่บ่ายคล้อยแล้ว หากช้าจะถึงบ้านค่ำ”
“แล้วทำไมมาคนเดียวไม่บอกฉันฉันจะได้ให้นายคฑาไปส่ง”
“ฉันไม่อยากรบกวนคุณแค่คุณให้งานฉันทำก็เป็นพระคุณมากแล้ว”
ก้องภพมองอย่างจับผิดอีกเฟื่องฟ้ามองลุ้นๆ /จู่ๆก้องภพก็พูดสิ่งที่เฟื่องฟ้าไม่คาดคิด
“ถ้าอย่างนั้นฉันไปส่งเธอเอง”
เฟื่องฟ้าปฏิเสธลั่น “ไม่ได้นะ”
ก้องภพแปลกใจ “ทำไมล่ะ ในเมื่อฉันเป็นคนขอให้เธอมาที่นี่ ฉันก็ต้องรับผิดชอบ”
“ไม่เป็นไรจากบ้านคุณไปในตัวเมืองก็ไม่ได้ไกลมาก ฉันกลับเองได้ คุณจะได้ไม่ต้องเทียวไปเทียวมา”
เมื่อเห็นว่าเฟื่องฟ้าคงไม่ยอมง่ายๆ ก้องภพถึงยอมถอย
“ก็ได้ ตามใจเธอ ระวังตัวด้วยก็แล้วกัน”
เฟื่องฟ้าโล่งใจ รีบลงเรือแล้วพายออกไปทันที
พอเฟื่องฟ้าพายออกไปได้ไม่เท่าไร นมขามกับคฑาก็มาถึงที่ท่าพอดี คุณนมเห็นก็ร้อนใจบ่นงึม
“ออกไปแล้วหรือนี่”
ก้องภพแปลกใจที่เจอนมขามกับคฑามาที่นี่
“นม มีอะไรหรือเปล่าครับ ทำไมดูรีบร้อนนัก”
นมขามนึกขึ้นได้ รีบแก้ตัว
“นมจะให้นายคฑาพาไปเยี่ยมญาติแถวชานเมืองนะเจ้าค่ะ”
“ญาติที่ใดกันขอรับ แล้วทำไมถึงไปเอาป่านนี้”
“เป็นญาติห่างๆ ที่ไม่ได้ติดต่อกันนานน่ะเจ้าค่ะ พอรู้ข่าวว่าป่วยนมก็อยากไปเยี่ยมไว้เดี๋ยวนมจะกลับเล่าให้ฟังนะเจ้าคะ ต้องรีบไปก่อนค่ำ”
นมขามตัดบท หันไปกวักมือเรียกคฑาให้รีบลงเรือ พอลงเรือได้หญิงชราก็กระซิบบอกคฑา
“ตามเรือแม่เฟื่องฟ้าไป”
คฑาตกใจ “ว่าอย่างไรนะครับคุณนม”
“ฉันบอกให้ตามเรือแม่เฟื่องฟ้าไปอย่างไรเล่า ไม่ต้องถามมาก เร็วเข้า”
คฑาพยักหน้ารับเอาคำ แล้วรีบพายเรือออกไปตามสั่ง
ก้องภพมองตามด้วยสีหน้าสงสัยว่าแต่ละคนเกิดอะไรขึ้น
ไม่ไกลจากท่าน้ำนัก บุหลันแอบดูอยู่ด้วยสีหน้าสู่รู้เต็มที่
รำเพยเตรียมทำอาหารเย็น มีแถนกับกล่ำคอยช่วยอยู่ด้วย สองคนสนิทพากันมาหารำเพย เพื่อสอบถามข่าวคราวเฟื่องฟ้า
“หลังจากได้พระที่หลวงพ่อให้ไว้ เฟื่องฟ้าเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะคุณรำเพย” กล่ำถาม
“ยังฝันเห็นไต้ก๋งอยู่หรือไม่ขอรับ” แถนถามตาม
รำเพยมีสีหน้ากลัดกลุ้มใจมาก
“ถ้าเฟื่องฟ้าไม่ฝันเห็นอะไรคงจะดี แต่เมื่อคืนลูกฉันกลับถอดสร้อยพระที่ฉันให้ แล้วก็เหมือนจะฝันร้ายอีกแล้วน่ะสิกล่ำ พี่แถน”
กล่ำตบเข่าฉาด เพราะเป็นอย่างที่ตนคิดไม่มีผิด
“คิดอยู่แล้วเชียว แม่เฟื่องฟ้าที่ช่างดื้อเสียจริง”
“นั่นสิขอรับ หลวงพ่ออุตส่าห์ให้ของดีมาแล้วแท้ๆ”
“ลูกฉันคงดื้อเหมือน” รำเพยจะหลุดปากพูดติดตลกว่าลูกเหมือนไต้ก๋งชางออกมา แต่ถอนใจเฮือก บอกน้ำเสียงขื่นๆ ตอนท้าย “เฮ้อ... เตือนสิ่งใดจึงไม่ค่อยฟัง”
“ถ้ายังดื้ออยู่เช่นนี้ คุณรำเพยจะทำอย่างไรเจ้าคะ”
“คงได้แต่เตือนเท่านั้น เมื่อคืนพอเฟื่องฟ้าฝันร้ายฉันจึงขอให้สวมสร้อยพระไว้ แต่พอสวมแล้วก็ไม่มีเหตุอันใดเกิดขึ้น”
“คุณรำเพยคงต้องย้ำเตือนให้หนักแล้วล่ะขอรับถ้าไม่อยากให้เกิดเรื่องกับเฟื่องฟ้าอีก”
“ฉันจะพยายาม ฉันยอมทำสิ่งใดก็ได้ทั้งนั้นเพื่อให้เขาไม่ต้องทนทุกข์เหมือนที่ฉันเคยเป็น”
รำเพยลุกขึ้นจะยกถาดกับข้าวไปเก็บในครัว แต่ก็ยินลูกสาวยอดนักสืบดังขึ้นทางประตูหัวบันไดเรือน
“แม่จ๋า ฉันกลับมาแล้ว”
รำเพยดีใจที่เห็นเฟื่องฟ้ากลับมา แต่เมื่อมองไปทางด้านหลังสีหน้าก็เปลี่ยนเป็นตะลึงตะไล ยืนคาที่
ปรากฏว่าเป็นนมขามเดินตรงเข้ามาหา เฟื่องฟ้าแปลกใจที่เห็นคุณนมตามมาโดยที่ไม่รู้ตัว
“คุณยายตามหนูมาทำไม”
นมขามได้เจอคุณรำเพยที่คิดว่าตายจากไปแล้วถึงกับน้ำตารื้น ครวญเสียงสั่น
“คุณหนู…คุณหนูของนม”
นมขามน้ำตาไหลมองรำเพยนิ่ง รำเพยตกใจจนมือไม้อ่อน ถาดกับข้าวในมือหล่นกระจายเสียงดังเปรื่องปร่าง
อีกฟาก บุหลันนวดให้งามตาอย่างตั้งอกตั้งใจ งามตาถามบุหลันขณะนวดอยู่
“นังบุหลัน”
“เจ้าขาคุณนาย”
“วันนี้ที่เรือนครัวทำอะไรเป็นสำรับเย็นนี้”
บุหลันบีบนวดงามตา พูดเอาใจ
“มีแต่ของที่คุณนายกับคุณก้องชอบทั้งนั้นเจ้าค่ะ ทั้งน้ำพริกกะปิ แกงส้มชะอม…”
“พวกนั้นข้ากินเสียจนเบื่อแล้ว ข้าอยากกินอย่างอื่นบ้าง”
“คุณนายอยากกินอะไรเจ้าคะ บ่าวจะได้ไปบอกเรือนครัวให้ทำให้”
“ข้าอยากกินแกงสายบัว เอ็งไปบอกนมขามให้ช่วยเตรียมเย็นนี้ได้หรือไม่”
บุหลันชะงักไปนิดๆ “อุ๊ย นมขามหรือเจ้าคะ”
“นมขามเป็นอะไรรึ”
“บ่าวเกรงว่าคุณนมจะทำแกงสายบัวให้คุณนายไม่ได้เจ้าค่ะ เพราะคุณนมไม่อยู่”
“นมขามไปไหนกัน”
“คุณนมว่าญาติไม่สบาย ต้องออกไปเยี่ยมแถวชานเมืองเจ้าค่ะ เพิ่งให้นายคฑาพาไปเมื่อครู่นี้เอง”
“นมขามยังมีญาติพี่น้องกับเขาด้วยรึ”
“บ่าวไม่ทราบเจ้าค่ะ แต่บ่าวเห็นว่ารีบร้อนตามหลังแม่นางเอกงิ้วที่ช่วยไว้เมื่อคราวก่อนไปด้วย ไม่รู้ว่าไปที่ใดเหมือนกัน”
บุหลันยิ้มเจ้าเล่ห์สมใจ งามตาสงสัยว่านมขามไปไหน
รำเพยตกใจกลัวเฟื่องฟ้ารู้เรื่อง จึงรีบเดินหนีนมขามไป
“ฉันไม่ใช่คุณหนูของใครทั้งนั้น”
นมขามถลาเข้าไปจับแขนรำเพยไว้
“โธ่ คุณหนูอย่าหนีนมไปเลยเจ้าค่ะ”
รำเพยจะหนีให้ได้ นมขามร้องไห้ ทรุดลงไปกอดขาไว้ รำเพยอึ้งทำอะไรไม่ถูก
“ปล่อยฉัน อย่าทำแบบนี้เลย”
นมขามกอดขารำเพยไว้แน่น พูดอ้อนวอน
“คุณหนูเจ้าขาคุณหนูรู้ไหมว่านมตามหาคุณหนูมานานแค่ไหน ฮือ…”
กล่ำหันไปถามเฟื่องฟ้า
“ทำไมคุณนมถึงมาที่นี่ได้”
เฟื่องฟ้าทำอะไรไม่ถูก นมขามยังร้องไห้อ้อนวอนรำเพยอยู่
“คุณหนู กลับไปที่เรือนเราเถิดนะเจ้าคะ นมคิดถึงคุณหนูเหลือเกิน”
รำเพยน้ำตาคลอ แต่ทำเป็นใจแข็งอีก
“ฉันไม่รู้ว่านมมาที่นี่ได้อย่างไร แต่กลับไปเถิด ฉันไม่มีวันกลับไปเรือนลำพระพายอีกแล้ว”
“นมเสียใจที่ปล่อยให้คุณหนูออกมาเผชิญความลำบากเพียงลำพัง ปล่อยให้ไอ้พวกคนเลวมันเสวยสุขอยู่บนกองเงินกองทองที่เป็นของคุณหนู”
“ของพวกนั้นไม่ใช่ของฉันอีกแล้ว ปล่อยฉันไปเถิด ตอนนี้ฉันอยากจะตัดทุกอย่างในอดีตทิ้งไปให้หมดแล้วอยู่กับลูกอย่างสงบเท่านั้น”
นมขามพูดปนสะอื้นไม่หยุด
“คุณหนูเจ้าขา...ตัดสิ่งใดก็ตัดได้นะเจ้าคะ แต่สายเลือดนั้นไม่มีวันตัดขาดดอกเจ้าค่ะ”
“นมพูดถึงอะไร”
“อย่าหนีอีกเลยเจ้าค่ะ คุณหนูรู้อยู่แก่ใจว่าแม่เฟื่องฟ้ามีสายเลือดของผู้ใดคุณหนูคิดว่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดมันเป็นเรื่องบังเอิญหรือเจ้าคะ”
รำเพยเบือนหน้าหนี ไม่อยากจะยอมรับ นมขามพูดต่อ
นมขามคุณหนูอยู่กับสิ่งที่ตัวเองลิขิตมายี่สิบกว่าปีแล้ว...ได้โปรดปล่อยให้โชคชะตาลิขิตตัวมันเองเถอะเจ้าค่ะ หากคุณหนูมัวแต่หนี คุณหนูจะไม่มีวันพ้นจากทุกข์ชั่วชีวิต เมื่อฟ้าลิขิตให้นมมาพบคุณที่นี่แล้ว คุณหนูจะเชื่อนมอีกสักครั้งได้ไหมเจ้าคะ
นมขามพูดทั้งน้ำตา จับมือรำเพยไว้ในที่สุดรำเพยก็กลั้นน้ำตาไม่ไหวเข้าไปกอดนมขาม
แถนกับกล่ำมองหน้ากัน แล้วกล่ำก็เข้าไปไหว้และกอดนมขามบ้าง
แถนก็เช่นกัน ดีใจที่ได้กลับมาเจอกันอีก
เฟื่องฟ้ามองน้ำตาซึมไปด้วย
รำเพยออกมาคุยกับนมขามสองคน นมขามลูบตามเนื้อตัวรำเพย น้ำตาซึม
“ทูนหัวของนม นมดีใจเหลือเกินที่ได้เจอคุณหนูอีก ไม่นึกไม่ฝันเลย”
“ความจริงฉันก็ดีใจที่ได้เจอนม ขอโทษนะจ๊ะที่ฉันพูดไม่ดีกับนมในคราวแรก ฉันแค่ตกใจเท่านั้น”
“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ เราจากกันร่วมยี่สิบปี มาเจอกันอีกครั้งก็ต้องตกใจเป็นธรรมดา นมก็มัวแต่ดีใจที่เจอคุณหนูจึงไม่ทันคิด”
“แล้วนี่ทำไมนมถึงตามมาเจอฉันกับลูกได้”
“นมให้เด็กในเรือนช่วยพานมตามหนูเฟื่องฟ้ามาเจ้าค่ะ นมสงสัยมาสักพักแล้วว่าหนูเฟื่องฟ้าดูคลับคล้ายคลับคลา แล้วก็เป็นอย่างที่คิดจริงๆ ช่างเหมือนคุณหนูเหลือเกิน”
รำเพยถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยล้า
“แล้วเฟื่องฟ้าไปทำอะไรที่นั่น นมถึงตามมาได้”
“หนูเฟื่องฟ้าไปดูที่ทางที่เรือนเจ้าค่ะ คุณก้องภพจ้างเธอให้ไปทำงานเป็นนางเอกงิ้วที่เรือนดอกเหมย”
รำเพยตกใจ “เรือนดอกเหมย นี่เฟื่องฟ้าจะไปทำงานที่เรือนนั้นหรือ”
“เจ้าค่ะ คุณรำเพยคงยังไม่รู้เรื่องนี้ใช่ไหมเจ้าค่ะ”
“ฉันไม่รู้ แต่ถ้าหากฉันรู้ฉันคงไม่ให้ลูกไปที่นั่นแน่ นมก็รู้ใช่ไหมว่าเพราะอะไร”
นมขามจับมือรำเพยมากุมไว้
“นมรู้เจ้าค่ะ ที่นมมาหาคุณหนูก็เพราะเรื่องนี้ด้วย”
“เพราะอะไรกัน อย่าบอกนะว่านมจะให้ฉันส่งเฟื่องฟ้ากลับไปที่นั่น”
“เจ้าค่ะ นมอยากให้คุณหนูอนุญาตให้หนูเฟื่องฟ้าไปอยู่ที่เรือนดอกเหมย”
รำเพยรีบปฏิเสธ
“ไม่มีทาง ฉันจะไม่ยอมให้ลูกไปเผชิญอันตรายอีกแล้ว”
“คุณหนูไม่ต้องกลัวนะเจ้าคะ หนูเฟื่องฟ้าจะไม่เป็นอะไร ตราบใดที่นมยังอยู่ที่นั่นนมจะปกป้องลูกของคุณหนูให้ดีที่สุด”
“ฉันรู้ว่านมจะดูแลเฟื่องฟ้า แต่ฉันกลัว…”
“อย่ากลัวเลยเจ้าค่ะ ของสิ่งใดที่มันเป็นของคุณหนู คุณหนูมีสิทธิ์ทุกอย่างที่จะทวงมันกลับคืนและหนูเฟื่องฟ้านี่แหละที่จะช่วยคุณหนูได้”
“แต่ฉันไม่เคยต้องการแบบนั้นเลยนะนม”
“ถึงคุณหนูไม่ต้องการ นมก็อยากให้ทุกอย่างเป็นอย่างที่มันควรเป็น งามตาไม่ได้ซื่อตรงอย่างที่ใครๆคิด และไต้ก๋งก็คงไม่ได้ตายเพราะโจรด้วย”
“นมคิดอย่างนั้นจริงๆ หรือ”
“เจ้าค่ะ แต่ลำพังนมคนเดียวคงทำอะไรไม่ได้”
นมขามคุกเข่าลงตรงหน้ารำเพย พูดขอร้องจนรำเพยอึ้งไป
“คุณหนูเจ้าขา หากนี่เป็นคำขอร้องเดียวในชีวิตที่นมขอได้ นมขอให้หนูเฟื่องฟ้าได้กลับไปที่เรือนลำพระพายเถอะนะเจ้าคะ นมสัญญาว่าจะปกป้องหนูเฟื่องฟ้าด้วยชีวิต ต่อให้ต้องตายนมก็ไม่เสียดายเลย”
นมขามทำท่าจะกราบอีกด้วย รำเพยรีบก้มไปประคอยั้งมือไว้
“อย่าทำอย่างนี้เลยจ้ะนม”
“นมขอร้องเถิดนะคะคุณหนูขา”
รำเพยน้ำตาคลอ ประคองนมขามลุกขึ้น
“ฉันขอเวลาคิดสักนิดเถิด หากได้คำตอบแล้วฉันจะบอกนมเองว่าควรทำเช่นไร”
นมขามยอมลุกขึ้นลึกๆ ยังมีความหวังว่ารำเพยจะยอมใจอ่อน รำเพยหนักใจมาก
เฟื่องฟ้า แถนและกล่ำมารอรำเพยกับนมขามอยู่บนเรือน กล่ำจัดสำรับเย็นยกออกมาตรงชาน ถูกเฟื่องฟ้าถามขึ้น
“น้ากล่ำจ๊ะ”
“ว่าอย่างไร”
“ฉันอยากถามเรื่องวันนี้จ้ะ ตกลงเรื่องมันเป็นยังไงกันแน่ แม่ของฉันเป็นใคร แล้วทำไมคุณนมขามต้องเรียกแม่ว่าคุณหนูด้วย”
เฟื่องฟ้าถามเป็นชุดด้วยความสงสัย แถนกับกล่ำมองหน้ากันอึกอัก
“เอ็งอยากให้ข้าตอบว่าอย่างไรเล่า”
“ก็ตอบมาตามจริงอย่างไรล่ะจ๊ะ น้ากล่ำ ลุงแถน เหตุการณ์ที่ฉันเจอมาก่อนหน้าก็เกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วยใช่ไหม แม่ไม่ใช่แค่ชาวบ้านธรรมดาใช่ไหม”
“ข้าเองก็พูดไม่ได้มาก แต่…สิ่งใดที่เอ็งเห็นในวันนี้ มันก็คือความจริงนั่นล่ะ” แถนบอก
“ถ้าอย่างนั้นแสดงว่าแม่เคยอยู่ที่เรือนลำพระพายใช่ไหม”
กล่ำพยักหน้ารับ ลำบากใจที่ต้องทำแบบนี้
“แล้ว…ไต้ก๋งชางเป็นอะไรกับแม่จ๊ะ”
แถนกับกล่ำถึงกับอึ้งที่เฟื่องฟ้าพูดชื่อไต้ก๋งชางอกมา
“เอ็งรู้จักชื่อไต้ก๋งชางได้อย่างไร”
“ตอบฉันมาก่อนเถิด เขาเป็นใคร แม่เคยแต่งงานกับเขาใช่ไหม”
“เอ็งรู้อะไรเกี่ยวกับไต้ก๋งบ้าง”
“ฉันรู้ว่าไต้ก๋งชางเป็นเจ้าบ้านคนเก่าของเรือนลำพระพาย การมาของนมขามก็ยืนยันได้ แม่เคยอยู่ที่นั่น ทั้งหมดนี่เป็นความจริงใช่ไหม”
แถนกับกล่ำยิ่งพูดไม่ออกเข้าไปอีก
“ถ้าใช่แล้วจะเป็นอย่างไร”
“ถ้าหากใช่ แล้วฉันเป็นลูกของใคร ไต้ก๋งชางใช่ไหม”
แถนตกใจมาก “เอ็งพูดอะไรของเอ็งน่ะ เฟื่องฟ้า”
“ในเมื่อไต้ก๋งเคยแต่งงานกับแม่ แล้วเหตุใดคุณนายงามตาถึงได้ขึ้นมาเป็นเจ้าของเรือนแทนแม่ ทั้งๆ ที่เมื่อก่อนเป็นเพียงบ่าวในเรือนเท่านั้น”
กล่ำกับแถนมองหน้ากันเลิกลั่กเมื่อได้ยินชื่องามตา
“ข้าไม่รู้ว่าเอ็งไปรู้เรื่องพวกนี้มาได้อย่างไร แต่อย่าได้เอ่ยชื่อคุณนายของเรือนนั้นขึ้นมาอีก”
“ทำไมล่ะจ๊ะลุงแถน คุณนายทำสิ่งใดกับแม่ฉันไว้หรือ เกิดอะไรขึ้นที่เรือนลำพระพาย ผู้หญิงสี่คนที่เรือนดอกเหมยหายไปไหน หรือว่าพวกเธอตายไปแล้ว”
“พอสักทีเฟื่องฟ้า”
จู่ๆ แถนก็ตวาดลั่น ทำเอาเฟื่องฟ้าอึ้งไป
“มันเป็นความจริงใช่ไหมลุงแถน น้ากล่ำ”
กล่ำกับแถนมีสีหน้าลำบากใจมากๆ
“อย่าถามอีกเลย ข้าบอกอะไรมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว”
“แต่ฉันอยากรู้ความจริง ทำไมทุกคนถึงต้องปิดมันไว้ด้วย”
กล่ำพูดสวนขึ้น “เพราะพวกข้าสัญญากับคุณรำเพยไว้อย่างไรเล่า”
เฟื่องฟ้านิ่งไป นึกผิดหวังที่ทั้งสองคนไม่ยอมเล่า กล่ำเข้าไปลูบหลังปลอบ
“เรื่องที่ผ่านมามันซับซ้อนและเจ็บปวดนัก ทั้งข้าหรือแม่เอ็งล้วนต้องการเวลา อดทนรอหน่อยเถิด สักวันความจริงจะปรากฏเอง”
เฟื่องฟ้าทำท่าเหมือนเข้าใจ แต่ลึกๆ ก็ยังอยากรู้ไม่คลาย
งามตาโพล่งขึ้นมาอย่างไม่พอใจ ขณะนั่งกินข้าวอยู่กับก้องภพ
“พ่อก้อง แม่ได้ยินว่าแม่นางเอกงิ้วมาที่เรือนของเรางั้นหรือ”
ก้องภพแปลกใจ “คุณแม่ทราบเรื่องนี้ได้อย่างไรครับ”
“พวกบ่าวมันคาบข่าวมาบอก แล้วมันคือเรื่องจริงหรือไม่”
“ผมขอโทษที่ไม่ได้แจ้งคุณแม่ก่อน ความจริงคือ ผมจ้างให้เขามาเล่นงิ้วประจำที่นี่ครับ”
งามตาตกใจ “ประจำที่นี่ หมายความว่าอย่างไร”
“หมายความว่าผมจะเปิดแสดงงิ้วที่เรือนดอกเหมยอีกครั้ง และเฟื่องฟ้านางเอกงิ้วคนนั้นจะมาเป็นตัวแสดงหลักให้กับเราด้วยครับแม่”
งามตาไม่พอใจเป็นอย่างมาก
“พ่อก้องยังจะเปิดแสดงที่เรือนนั่นอีกหรือ”
“ครับ ผมนิมนต์หลวงพ่อดำมาทำพิธีแล้ว ไม่มีอะไรน่าห่วง”
“ไอ้พิธีพวกนั้นมันจะช่วยอะไรได้ พ่อก้องก็เห็นว่าตั้งแต่เปิดไอ้เรือนนั่นมาก็มีแต่อาเพศไม่หยุด แล้วยังฝืนทำต่อเพื่อสิ่งใด”
“ผมคิดว่าเราคุยกันเข้าใจแล้วเสียอีก”
“แม่ไม่มีวันเข้าใจ ตราบใดที่พ่อก้องยังไม่เชื่อแม่ จะต้องรอให้เกิดเรื่องฉิบหายกันหมดเรือนเลยหรือถึงจะยอมเลิก”
งามตาขึ้นเสียงใส่ แต่ก้องภพก็ไม่ได้โกรธใดๆ
“จะไม่มีเรื่องใดๆ เกิดขึ้นที่เรือนเราทั้งนั้นครับ หลวงพ่อบอกกับผมว่าหากเราตั้งมั่นในศีลในธรรม ต่อให้มีเรื่องอาเพศมากเท่าใดก็ไม่จำเป็นต้องเกรงกลัว”
งามตาถึงกับสะอึก ทั้งไม่พอใจ และน้อยใจที่ก้องภพพูดกับตนเช่นนั้น
“พ่อก้อง…คำพูดของแม่มันคงเป็นลมผ่านหูไปเสียแล้วกระมัง”
“ผมเคารพในตัวคุณแม่เสมอแต่คราวนี้ผมอยากพิสูจน์ให้แน่ชัดว่าความดีจะเอาชนะทุกอย่างได้”
“แม้ว่ามันจะทำให้แม่ต้องอกแตกตายอยู่ตรงนี้ใช่ไหม”
“คุณแม่อย่ากลัวเลยครับ เชื่อผมสักครั้ง แล้วไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นผมก็จะปกป้องคุณแม่และเรือนนี้ให้ถึงที่สุดเอง”
เห็นก้องภพพูดด้วยแววตามุ่งมั่น ไม่ยอมแพ้ งามตาอ่อนใจ
อีกฟาก รำเพยกับนมขามเดินออกมาหลังพูดคุยกันจนหนำใจ คุณนมกำลังจะกลับเรือน
“นมกลับก่อนนะเจ้าคะ ถ้ามีโอกาสนมจะมาหาคุณหนูที่นี่อีก”
“จ้ะนม ฉันดีใจเหลือเกินที่ได้มาพบกับนมอีก”
“นมก็ดีใจที่สุดเจ้าค่ะ นมคิดถึงคุณหนูทุกวัน จากกันคราวนี้เราจะไม่พลัดพรากจากกันอีก เรื่องที่นมถามคุณหนูไว้ นมจะรอคำตอบนะเจ้าคะ”
รำเพยพยักหน้า ยกมือไหว้นมขาม สองคนกอดลากัน แถนกับกล่ำเข้ามาหา
“ขอโทษที่พวกฉันไปส่งที่ท่าน้ำไม่ได้นะจ๊ะนม” กล่ำบอก
แถนเสริมว่า “ใช่ ฉันไม่อยากให้ไอ้เด็กที่มากับนมด้วยสงสัยน่ะ”
นมขามเข้าใจ “ไม่เป็นไร แค่ได้มาเห็นว่าคุณรำเพยกับพวกเอ็งสบายดี ข้าก็ดีใจแล้ว”
“พระอาทิตย์ตกดินแล้ว นมรีบกลับเรือนเถอะจ้ะ” รำเพยบอก
“เดี๋ยวหนูเดินไปส่งคุณยายเองนะจ๊ะ”
นมขามพยักหน้ารับเอาคำ แถนกับกล่ำยกมือไหว้ลา คุณนมรับไหว้ แล้วออกไปกับเฟื่องฟ้า
เฟื่องฟ้าออกมาส่งนมขาม คอยชำเลืองมองคุณนมตลอดเวลา เพราะยังติดใจเรื่องแม่ พอเดินไปได้สักพักเฟื่องฟ้าก็หยุดเอาดื้อๆ นมขามมองสงสัย
“หยุดเดินทำไมเล่าหนูเฟื่องฟ้า ข้างหน้ามีอะไรรึ”
“ไม่มีค่ะ…แต่…หนูมีเรื่องอยากถามคุณนม”
“เรื่องอะไรกัน”
เฟื่องฟ้าอึกอักเหมือนไม่กล้าพูด นมขามจึงบอกให้พูดออกมา
“พูดมาเถิด หากข้าตอบได้ ข้าก็จะตอบ”
เฟื่องฟ้าครุ่นคิด กลัวนมขามจะไม่ยอมบอกอีก เลยถามอย่างกล้าๆกลัวๆ
“คุณนมอยู่ที่เรือนลำพระพายมานาน คงจะรู้จักขุนทนงค์ใช่ไหมคะ”
“ใช่ ท่านขุนเป็นเจ้านายเก่าของฉัน”
“คุณนมเรียกแม่ว่าคุณหนู ความจริงแล้ว…แม่คือลูกสาวขุนทนงค์ใช่ไหมคะ”
นมขามเลี่ยงที่จะไม่ตอบ โดยย้อนถามกลับ
“แล้วเธอรู้อะไรอีก”
“มันคือความจริงใช่ไหมคะแม่ของหนูเคยแต่งงานกับเจ้าของตลาดลำพระพายคนก่อน ที่ชื่อไต้ก๋งชาง”
นมขามอึ้งไปพอเฟื่องฟ้าพูดเรื่องไต้ก๋งขึ้นมา รีบเฉไฉไปเรื่องอื่น
“ฉันไม่รู้ว่าไปได้ยินเรื่องนี้มาจากที่ใด แต่หยุดถามฉันเรื่องนี้เถอะ”
“เพราะอะไรล่ะคะ ทำไมถึงไม่มีคนบอกความจริงกับหนู ทั้งๆ ที่หนูฝันเห็นเรื่องทั้งหมดนั่นแล้วแท้ๆ”
นมขามชะงัก “ว่าอย่างไรนะ ฝันงั้นหรือ”
“คุณนมอาจจะไม่เชื่อ แต่ไต้ก๋งชางมาเข้าฝันหนูแล้วเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟังค่ะ”
“ไต้ก๋งหรือ…เป็นไปไม่ได้ ก็ไต้ก๋งชาง...”
นมขามยังไม่อยากเชื่อ
“เขาตายไปแล้วใช่ไหมคะ แต่หนูฝันเห็นเขาจริงๆ ค่ะ แล้วก็พิสูจน์มาแล้วว่าสิ่งที่หนูเห็นในฝันก็เป็นความจริงด้วย”
“เธอฝันเห็นอะไร”
เฟื่องฟ้าเงียบไป คิดหนัก สุดท้ายก็เล่าออกมา
“ในฝันฉันหนูเห็นไต้ก๋งชางเป็นเจ้าของเรือนลำพระพาย แม่หนูเคยแต่งงานกับเขาทั้งคู่ดูจะรักกันดี” แต่พอผู้หญิงที่ชื่องามตาเข้ามา ทุกอย่างก็เริ่มไม่เหมือนเดิม เพราะพิธีเสน่ห์ที่ชื่อว่า เสน่ห์นางครวญ”
“แล้วเธอเห็นอะไรอีกหลังจากนั้น”
“หนูตื่นขึ้นมาหลังจากนั้นค่ะ เลยไม่รู้ว่าเหตุการณ์เป็นอย่างไรต่อไป”
นมขามยิ่งอึ้งหนัก ไม่อยากเชื่อว่าจะเป็นความจริง บอกกับเฟื่องฟ้าเสียงจริงจัง
“เฟื่องฟ้า ฉันบอกได้เพียงว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในฝันอาจจะเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง ฉันสัญญากับคุณรำเพยไว้ว่าจะไม่เล่าอะไร แต่เชื่อเถอะ เมื่อถึงเวลา เธอจะรู้ทุกอย่างที่อยากรู้เอง”
นมขามเดินออกไปเลย เฟื่องฟ้าได้แต่มองตามอย่างเสียดาย รู้ว่าคงยังไม่ได้ความจริงอะไรจากนมขามมากไปกว่านี้
นมขามลงเรือที่ท่าน้ำเพื่อกลับเรือน คฑาไปเตรียมตัวออกเรือ เขามองคุณนม เหมือนลังเล สักครู่หนึ่งจึงเอ่ยปากถาม
“คุณนมขอรับ”
“มีอะไรหรือนายคฑา”
“กระผมไม่ทราบว่าจะเสียมารยาทหรือไม่ แต่ที่คุณนมให้ผมพามาวันนี้ คุณนมไม่ได้ตั้งใจมาหาญาติใช่หรือไม่ขอรับ”
นมขามมองฉงนว่าคฑาต้องการอะไร หญิงชราจึงหยั่งเชิงถามไปว่า
“สงสัยอะไรรึนายคฑา”
“กระผมสงสัยตั้งแต่ให้ผมตามมาแล้วขอรับกระผมคิดว่าหากเป็นญาติจริง คุณนมคงขอคุณเฟื่องฟ้าตามมาแต่แรกไม่ต้องแอบตามมาเช่นนี้”
นมขามฟังแล้วก็ยิ้มขำ อดหัวเราะออกมาไม่ได้
“ฉลาดนี่ รู้จักช่างสังเกต แล้วเอ็งสังเกตอะไรได้อีก”
“ผมคิดว่าคุณนมคงมีประสงค์อะไรสักอย่าง แต่ก็สุดจะคาดเดาขอรับ”
“ถูกแล้ว ฉันมีประสงค์ในการมาที่นี่”
“กระผมขอถามได้หรือไม่ขอรับว่าเป็นเรื่องใด”
นมขามนิ่งคิด ไปชั่วขณะหนึ่ง
“เธอรู้เรื่องที่คุณก้องจ้างหนูเฟื่องฟ้ามาทำงานที่เรือนดอกเหมยสินะ”
“ทราบขอรับ”
“ถ้าอย่างนั้นเธอคงเข้าใจได้ หากฉันต้องการดูให้รู้แน่ว่าเฟื่องฟ้าเป็นลูกเต้าเหล่าใคร เพราะเขากำลังจะไปทำงานที่เรือน”
“แต่ปกติคุณนมไม่เคยมาหาใครถึงที่ไม่ใช่หรือขอรับ”
“ที่ฉันมา เพราะคิดว่าน่าจะรู้จักแม่ของเฟื่องฟ้ามาก่อน แล้วก็ต้องการขออนุญาตให้เป็นทางการ แม่เฟื่องฟ้าจะได้ไม่เป็นห่วง เธอมีอะไรสงสัยอีกไหม”
“ไม่มีขอรับ”
“ดี ถ้าอย่างนั้นฉันขอเธออย่างหนึ่งเธอจงเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ อย่าให้คุณงามตาเธอรู้เด็ดขาดว่าฉันมาที่นี่ ฉันไม่อยากให้เธอไม่พอใจ ได้หรือไม่”
นมขามขอร้องด้วยสีหน้าจริงจัง แม้ยังสงสัย แต่คทาก็เกรงใจเลยต้องตกลง
“ขอรับ กระผมจะไม่บอกใคร”
“ขอบใจมาก กลับเรือนเถิด นี่ก็ค่ำมากแล้ว”
คฑาพยักหน้ารับเอาคำแล้วพายเรือออกจากท่าน้ำ นมขามเหลียวไปมองทางเรือนคุณรำเพยสีหน้าเศร้า
บุหลันมาดักรอที่หน้าเรือนบ่าวชาย พอเห็นคฑาเดินมาก็รีบเข้าไปหา
“คฑากลับมาแล้วหรือ ฉันก็รออยู่เสียตั้งนาน”
คฑาทั้งแปลกใจทั้งดีใจที่บุหลันมารอรับ
“บุหลันมารอฉันหรือ”
“ใช่ ฉันเห็นออกไปตั้งแต่เย็นก็อุตส่าห์เป็นห่วง กลัวกลับค่ำแล้วจะเป็นอันตราย”
“ฉันไม่เป็นไรหรอก หนทางแถวนี้ฉันคุ้นเคยดี ไม่มีอะไรน่าห่วง”
“ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว มาดื่มน้ำท่าก่อน ฉันเตรียมไว้รอ”
บุหลันรีบไปหยิบขันน้ำที่เตรียมไว้มาให้พร้อมกับพาไปนั่งตรงแค่หน้าเรือน คฑายิ้มกริ่มดีใจ
“ขอบใจมาก ไม่คิดว่าบุหลันจะมีน้ำใจต่อฉันขนาดนี้”
“คนอยู่ร่วมเรือนกันก็ต้องมีน้ำใจให้กันสิจ๊ะ”
คฑาพยักหน้าเขินๆ รับขันน้ำไปดื่ม บุหลันลอบมองอย่างพอใจ ก่อนจะลองถามหยั่งเชิงดู
“แล้วนี่คฑาพาคุณนมไปที่ใดจึงกลับค่ำเช่นนี้”
คฑานิ่งคิด “ไม่รู้เหมือนกัน คุณนมบอกแต่เพียงให้พาไปแถวชานเมือง แล้วให้ฉันรออยู่ที่ท่าน้ำเท่านั้น”
“อะไรกัน ให้รอที่ท่าน้ำเองหรือ”
“คงเป็นธุระส่วนตัวกระมัง จึงไม่ให้ฉันตามไป”
บุหลันแอบขัดใจ ถามย้ำอีก
“คุณนมไม่ได้บอกอะไรเอ็งเลยหรือ”
“บุหลันอยากรู้สิ่งใดอีกเล่า”
บุหลันอึกอัก “เปล่าดอก ฉันก็ถามไปอย่างนั้น”
“แล้วไป ฉันก็นึกว่าบุหลันอยากรู้เรื่องส่วนตัวฉันเสียอีก ถ้าเป็นเรื่องนั้นคงต้องไปคุยกันต่อบนเรือนเสียแล้ว”
คฑาพูดติดตลก แต่บุหลันกลับไม่พอใจ
“ไอ้คฑา เอ็งชักจะพูดจาทะลึ่งลามปามใหญ่แล้ว ข้าไม่ใช่พวกหญิงที่จะมาก้อร่อก้อติกด้วยได้นะ รู้ไว้เสียด้วย”
บุหลันสะบัดตัวหนีไป คฑามองตามงงๆ
กล่ำกับแถนกลับไปแล้ว แม่ลูกอยู่กันสองคน รำเพยจัดที่นอน เฟื่องฟ้ามาช่วย ลอบมองท่าที แล้วพูดเชิงถามขึ้น
“แม่จ๊ะ ฉันรู้ความจริงหมดแล้วนะจ๊ะ”
รำเพยชะงัก “ความจริง เรื่องใดกัน”
“เรื่องที่แม่เคยอยู่เรือนลำพระพาย แล้วก็เป็นเมียใหญ่ของไต้ก๋งชาง”
รำเพยชะงักกึก พูดออกไปนิ่งๆ เก็บอาการไว้
“รู้แล้วจะเป็นอย่างไร ถ้ามันเป็นเพียงอดีต”
“ฉันไม่ติดใจเรื่องอดีตของแม่หรอกจ้ะ แต่ฉันมีเรื่องสงสัย”
“เรื่องอันใดกัน”
“ถ้าแม่ไม่อยากเล่า ไม่ต้องเล่าก็ได้นะจ๊ะ”
“ถึงแม่ไม่เล่าวันหนึ่งลูกก็จะหาทางรู้จนได้ไม่ใช่รึ”
รำเพยไม่ยอมหันมาหาเฟื่องฟ้า พยายามควบคุมเสียงตัวเองไม่ให้สั่น
“เรื่องในอดีต ใครๆ ต่างรู้ว่าแม่เคยตบแต่งเป็นเมียใหญ่แล้วก็เป็นถึงลูกสาวขุนทนงค์ แต่เหตุใดแม่ถึงต้องออกมาอยู่ไกลถึงที่นี่ด้วยล่ะจ๊ะ”
“ทำไมลูกถึงสงสัยเรื่องนี้”
“ฉันสงสัยเพราะทุกคนต่างบอกว่าวันหนึ่งฉันจะรู้ทุกอย่าง แต่ไม่มีใครบอกความจริง ฉันคิดว่าแม่ก็รู้ แต่แค่ไม่พูดออกมาเท่านั้น”
รำเพยรู้ตัวว่ากำลังจะร้องไห้ออกมา จึงพูดบ่ายเบี่ยงไปว่า
“เรื่องบางเรื่องก็ควรเก็บไว้ให้มันเป็นความลับตลอดไป”
“แต่ความลับน่ะมันไม่มีจริงไม่ใช่หรือจ๊ะ”
รำเพยฉุน “เดี๋ยวนี้หัดย้อนแม่แล้วรึ”
“ฉันไม่ได้ย้อนจ้ะ แต่ฉันพูดข้อเท็จจริง…มันยังมีความลับที่ฉันไม่รู้อีกมากเลยใช่ไหม ทั้งเรื่องพ่อ เรื่องอดีตของแม่ หรือแม่แต่เรื่องหยกที่ติดตัวแม่อยู่”
เฟื่องฟ้าถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น แต่รำเพยยิ่งพูดไม่ออก
“หยุดพูดเรื่องนี้สักทีได้หรือไม่เฟื่องฟ้า”
“ทำไมล่ะจ๊ะ แม่ตอบฉันมาสักครั้งไม่ได้หรือ หยกที่แม่เก็บไว้ตลอดนั่นเป็นของไต้ก๋งชางไหม แล้วเขาคือพ่อของฉันใช่หรือไม่”
“พอสักทีเฟื่องฟ้า”
เพยขึ้นเสียงใส่ลูก เฟื่องฟ้าหน้าเจื่อนไป
“อย่าถามเซ้าซี้แม่อีกเลย”
รำเพยตัดบทแล้วลงจากเรือนไปเลย
รำเพยออกมานั่งที่แคร่หน้าเรือนคนเดียว นึกถึงเรื่องที่คุยกับลูก
“เรื่องในอดีต ใครๆ ต่างรู้ว่าแม่เคยตบแต่งเป็นเมียใหญ่ แล้วก็เป็นถึงลูกสาวขุนทนงค์ แล้วเหตุใดแม่ถึงต้องออกมาอยู่ไกลถึงที่นี่ด้วยล่ะจ๊ะ”
“เรื่องบางเรื่องก็ควรเก็บไว้ให้มันเป็นความลับตลอดไป”
“แต่ความลับน่ะมันไม่มีจริงไม่ใช่หรือจ๊ะ”
รำเพยฉุน “เดี๋ยวนี้หัดย้อนแม่แล้วหรือ”
“ฉันไม่ได้ย้อนจ้ะ แต่ฉันพูดข้อเท็จจริง…มันยังมีความลับที่ฉันไม่รู้อีกมากเลยใช่ไหม ทั้งเรื่องพ่อ เรื่องอดีตของแม่ หรือแม่แต่เรื่องหยกที่ติดตัวแม่อยู่”
เฟื่องฟ้าถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น แต่รำเพยยิ่งพูดไม่ออก
“หยุดพูดเรื่องนี้สักทีได้หรือไม่เฟื่องฟ้า”
“ทำไมล่ะจ๊ะ แม่ตอบฉันมาสักครั้งไม่ได้หรือ หยกที่แม่เก็บไว้ตลอดนั่นเป็นของไต้ก๋งชางไหม แล้วเขาคือพ่อของฉันใช่หรือไม่”
รำเพยดึงความคิดกลับมา น้ำตาร่วงริน ยกมือปิดหน้าร้องไห้สะอึกสะอื้น ไม่อยากคิดเรื่องนี้อีก
เฟื่องฟ้าแอบมองลงมาจากบนเรือน รู้สึกว่าต้องมีอะไรผิดปกติแน่ๆ
คืนนั้น งามตามนั่งนับเงินค่าเช่าตลาดด้วยความพอใจ
“สมบัติไอ้ไต้ก๋งนี่ใช้ทั้งชาติก็ไม่หมด ไม่เสียแรงที่กูทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มันมา”
งามตาหยิบเงินขึ้นมาดู มองด้วยความปลื้มปริ่ม แล้วก็เปลี่ยนเป็นแข็งกร้าวน่ากลัว
“พวกมึงไม่รู้ว่ากูลำบากขนาดไหนเพื่อให้มีทุกอย่างในวันนี้ กูจะไม่ยอมให้ไอ้ผีหน้าไหนมันมาเอาไปได้ทั้งนั้น”
งามตาเก็บเงินลงกล่อง แต่ได้ยินเสียงคนเดินมาหยุดหน้าประตูห้อง งามตาร้องถามออกไป
“นั่นผู้ใดกัน มาหาข้ารึ”
ที่ประตูปรากฏเงาคนขึ้น แต่ไม่ยอมตอบใดๆ งามตาถามซ้ำ
“พ่อก้องหรือ ทำไมยืนอยู่ข้างหน้านั่น ไม่เข้ามาเล่า”
เสียงฝีก้าวเดินเข้ามาอีก แต่ก็ยังไม่บอกว่าเป็นใครอยู่ดี งามตาชักหงุดหงิด
“หากไม่บอกว่าใคร หรือคิดจะกวนข้าล่ะก็ ข้าไม่ปล่อยเอ็งไว้แน่”
งามตารีบเก็บเงินลงกล่อง ในจังหวะที่ประตูห้องกระแทกเปิดดังโครม งามตาชะงัก กำลังจะเหลือบมองว่าเป็นใคร แล้วก็มีมือหนึ่งยืนมาจับมืองามตาไว้
งามตาสะดุ้ง เงยหน้าขึ้นไปมองแล้วต้องตกใจสุดขีด เพราะเป็นวิญญาณได้ก๋งชางแสยะยิ้มมองมาอยู่
“ไม่”
“เงินของกู”
“ไอ้ไต้ก๋ง มึง”
“เงินของกู เอาเงินของกูคืนมา”
งามตาจะร้องกรี๊ด แต่ทันใดนั้นไต้ก๋งก็บีบเข้าที่คองามตา จิกแน่น พูดอย่างเคียดแค้น
“คืนเงินกูมา คืนมา”
“กูไม่ให้ ไอ้ผีชั่ว กูไม่ให้มึงหรอก”
“ของๆ กู เอาคืนมา เอาคืนมา”
งามตาหัวเราะท้าทาย ไต้ก๋งชางก็ยิ่งบีบแน่นจนจนงามตาสำลักเกือบจะหายใจไม่ออก งามตาพยายามดันตัวไต้ก๋งชางออก แล้วก็นึกถึงเครื่องรางของหมอผีอิน
งามตาเอามือไปจับไว้แล้วท่องคาถางึมงำ ในที่สุดก็มีแสงสว่างวาบขึ้น
อ่านต่อตอนที่ 16