xs
xsm
sm
md
lg

เสน่ห์นางครวญ ตอนที่ 14

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


เสน่ห์นางครวญ ตอนที่ 14
บทประพันธ์ : หงส์หยก บทโทรทัศน์ : พิชฌสินี

ภายในห้องพักครูของโรงเรียนนาฏศิลป์ ครูวารียื่นเอกสารให้เฟื่องฟ้า

“นี่เป็นสิ่งที่เธอต้องเตรียมตัวก่อนเริ่มสอน เอาไปอ่านดูนะ”
“ขอบพระคุณเจ้าค่ะ”
เฟื่องฟ้ากวาดสายตาอ่านอย่างละเอียดรอบคอบ
“มีอะไรสงสัยหรือเปล่า”
“ไม่มีเจ้าค่ะ”
“ถ้าเธอเข้าใจดีทุกอย่างแล้ว เดือนหน้าก็มาเริ่มงานได้เลย”
“ขอบพระคุณเจ้าค่ะ ดิฉันลา”
เฟื่องฟ้ายกมือไหว้ลา ครูวารีรับไหว้
เฟื่องฟ้าถือเอกสารเดินออกมาด้วยจิตใจปลื้มปริ่ม

เฟื่องฟ้าเดินออกมาหน้าห้องพักครู สายตาก็ไปสะดุดกับโปสเตอร์ใบหนึ่งที่ปิดอยู่ข้างฝาห้อง ในนั้นมีข้อความประกาศว่า
“บ้านลำพระพาย เปิดแสดงงิ้วให้เข้าชมเป็นครั้งแรก ฉลองเปิดเรือนดอกเหมย ในวันที่ ๑๗ กรกฎาคม ศกนี้ ขอเชิญ ผู้สนใจเข้าชมไม่เสียสตางค์”
เฟื่องฟ้าทวนชื่ออย่างสนใจ
“เรือนดอกเหมย เปิดแสดงงิ้ว”
เฟื่องฟ้ายิ้มกับตัวเอง แต่แล้วพอคิดถึงคำพูดห้ามของแม่ที่สั่งเด็ดขาดก็หน้าจ๋อย
“รู้แค่ว่านับแต่นี้ไปอย่าไปยุ่งกับคนที่บ้านนั้นอีกไม่อย่างนั้นเราตัดขาดกัน”
สีหน้าเฟื่องฟ้าเครียดจัด คิดไม่ตกว่าจะทำอย่างไรดี

กลับถึงเรือนเฟื่องฟ้าร่ายรำเพลงงิ้วอย่างเพลิดเพลินอยู่คนเดียว รำเพยยืนมองลูกสาวด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย
“ฟ้าอยากไปดูงิ้วน่ะจ้ะแม่ พรุ่งนี้แม่ให้ฟ้าไปนะจ๊ะ”
“งิ้วที่ไหนหรือลูก”
เฟื่องฟ้าคิดปราด บอกความจริงไปเพียงครึ่งเดียวว่า
“ในเมืองจ้ะแม่”
“ในเมือง ไกลขนาดนั้นเชียวรึ แล้วจะกลับยังไง”
“ฉันจะไปพักบ้านครูใหญ่โรงเรียนที่ฉันสอนอยู่จ้ะ พอเช้าก็ไปสอนต่อเลย”
รำเพยเป็นกังวล “แม่เป็นห่วงนะลูกมันอันตราย”
“ไม่อันตรายหรอกจ้ะแม่ ครูใหญ่คนนี้เป็นผู้หญิงใจดี บ้านท่านอยู่ใกล้โรงงิ้วนิดเดียวเอง” เฟื่องฟ้าเขย่าแขนประจบออดอ้อน “แม่จ๋า ให้ฉันไปดูนะจ๊ะ”
รำเพยแปลกใจไม่คลาย “แค่ไปดูงิ้ว ทำไมต้องวุ่นวายขนาดนั้น”
“แม่ก็รู้นี่จ๊ะ ว่าฟ้าชอบดูงิ้วมากแค่ไหน ถึงได้เลือกเรียนนาฏศิลป์แม้จะไม่ได้เรียนงิ้วโดยตรง แต่ฟ้าก็ชอบการร่ายรำทุกอย่างจ้ะแม่”
คำพูดจี้ใจดำโดยไม่รู้ตัวของลูกสาวนั้น ทำเอารำเพยอึ้งไปสะท้อนสะท้านในอก เพราะไต้ก๋งชางก็ชอบดูงิ้วมากเช่นกัน

เย็นนั้น เรือนดอกเหมยตกแต่งประดับประดาอย่างสวยงาม ผู้คนทยอยเข้ามาจับจองที่นั่งบริเวณโรงงิ้วด้านหน้าเรือนอย่างเนืองแน่น หนึ่งในนั้นเป็นเฟื่องฟ้าเบียดเสียดผู้คนเข้ามาหาที่นั่งถัดจากแถวหน้า

อีกฝั่ง รำเพยนั่งเจียนกระทงใบตองอยู่ที่แคร่หน้าเรือน พอมองไปที่ทางเดินหน้าเรือนก็ต้องแปลกใจเมื่อเห็นแถนหอบของพะรุงพะรังเดินเข้ามา
“อ้าว...พี่แถน วันนี้ลมอะไรหอบมาถึงนี่จ๊ะ”
แถนหอบตะกร้าหรือชะลอมใบใหญ่มาด้วย
“เมื่อวานที่บ้านพี่เก็บตาลมาเคี่ยวได้มากโข เอาไว้เองทั้งหมดจะเสียไปเปล่าๆ เลยเอาลงเรือมานี่ ให้คุณรำเพยเก็บไว้ทำขนม
“ขอบใจจ้ะพี่แถน โธ่ ลำบากแย่เลย”
“ไม่ลำบากหรอก ดีกว่าเหลือ” แถนมองไปบนเรือน “แล้วนี่เฟื่องฟ้าไม่อยู่เรอะ”
“ไม่อยู่จ้ะ เห็นบอกว่าจะไปดูงิ้ว”
“ดูงิ้ว ที่ไหนกัน”
“ในเมืองจ้ะ”
“อ๋อ...เห็นเฟื่องฟ้าชอบร้องรำทั้งงิ้วทั้งรำไทยมาแต่เด็ก คงได้เชื้อ...”
แถนจะหลุดคำว่าพ่อออกมารำเพยมองตาเขียว “พี่แถน”
“จ้ะๆ ไม่พูดก็ไม่พูด แต่พี่ได้ข่าวว่าที่เรือนนั้นเขาฉลองลูกชายเรียนจบกลับมาวันนี้ก็เปิดโรงงิ้วเล่นให้ชาวบ้านเข้าไปดูเหมือนกัน”
รำเพยตกใจทำกระทงร่วงจากมือ
“อะไรนะพี่แถน”
แถนมองหน้ารำเพยงงๆ ที่ตกใจถึงเพียงนั้น

ก้องภพอยู่ด้านหลังโรงงิ้ว สอบถามความเรียบร้อยจากคฑาที่คอยดูแลอยู่
“เป็นยังไงบ้างคฑา พร้อมหรือยัง”
“ใกล้แล้วขอรับ พวกนักแสดงแต่งหน้าแต่งตัวพร้อมแล้ว”
“ผู้คนมามากกว่าที่คิดไว้อีกนะ ถ้าวิญญาณของเตี่ยได้เห็นคงดีใจ”
“ขอรับ นมขามเคยเล่าให้ฟังว่าเมื่อก่อนท่านไต้ก๋งโปรดงิ้วมาก ท่านจ้างงิ้วมาเล่นก็เปิดให้ชาวบ้านเข้าชมด้วย ผู้คนก็มากันแน่นทุกครั้ง”
“ที่ฉันเปิดเรือนดอกเหมยอีกครั้ง ก็เพื่อจะฟื้นฟูงิ้วขึ้นมา สานต่อเจตนาของเตี่ย หวังว่าทุกอย่างคงจะราบรื่น”
ก้องภพมองไปยังชาวบ้านที่มารอดูเต็มลานอย่างภูมิใจ จนสายตามองเห็นเฟื่องฟ้าปะปนอยู่ในนั้น
“แม่ลัดดา”
ก้องภพยิ้มกับตัวเอง

เฟื่องฟ้านั่งรอดูงิ้วอย่างตื่นเต้น พลางเหลียวมองไปโดยรอบ ขณะที่เงี่ยหูฟังผู้คนรอบข้างคุยกัน
“ลูกชายไต้ก๋งปรับปรุงเรือนดอกเหมยได้สวยงามเหมือนของเดิมไม่มีผิด” ชาย1 มองชื่นชม
“เอ็งเคยเข้ามาเห็นเรือนดอกเหมยรึ” หญิง1 ถาม
“ก็เคยเห็นครั้งนึง ตอนได้เข้ามาส่งของให้บรรดาเมียๆ ของไต้ก๋งก่อนท่านสิ้นน่ะ เมื่อก่อนเรือนนี้สวยงามนัก”
ชาย2 ออกความเห็นว่า “เอ็งนี่มีบุญจริงนะ นั่นมันนานยี่สิบกว่าปีแล้ว เรือนนี้ปิดร้างมานานจนเป็นแค่คำร่ำลือ ข้าก็เพิ่งมีวาสนาได้เห็นกับเขานี่แหละ”
เฟื่องฟ้าชะงัก เมื่อเห็นก้องภพเดินตรงมาเหมือนเขาเห็นเธอ หญิงสาวจึงฉากหลบออกไปทันที ก้องภพเห็นเฟื่องฟ้าหนีก็รีบตาม
“เดี๋ยวก่อนสิหล่อน อย่าเพิ่งไป”
เฟื่องฟ้าไม่ฟัง กลัวความผิดที่หนีเขาครั้งก่อน รีบหลบหายเข้าไปในพุ่มไม้ทันที

เฟื่องฟ้าหลบมาหลังโรงงิ้ว คอยดูว่าก้องภพจะตามมาอีกหรือไม่ และก็เห็นว่าเขาเดินตามมา
“ลัดดา แม่ลัดดาอยู่ไหน”
เฟื่องฟ้าหลบเข้าหลังเสา รอจนก้องภพเดินผ่านไป แล้วก็ได้ยินเสียงโวยวายของเถ้าแก่เจียงหัวหน้าคณะงิ้ว
“ไอ้หยา นางเอกท้องเสียหมดแรงอย่างนี้แล้วจะเล่นได้ยังไง”
เมี่ยวพระเอกงิ้วบ่นผสมโรง “นั่นสิหัวหน้า บทนางเอกนี่หาคนเล่นยากด้วย จะทำยังไงดี”
เฟื่องฟ้าแอบมองลอดช่องไม้กระดานไป เห็นคณะงิ้วกำลังหน้าเครียด
“ลื้อฝืนหน่อยได้ไหมอาอี่”
อี่นางเอกงิ้วหน้าซีดเซียว ท่าทางอ่อนระโหยโรยแรง
“อั๊วไม่ไหวจริงๆ หัวหน้า มันมีฉากพะบู๊ด้วย อั๊วกลัวว่าเล่นแล้วจะเป็นลมกลางคัน...โอ๊ย...ปวดอีกแล้ว อั๊วไม่ไหวจริงๆ ไปก่อนนะ”
อี่รีบวิ่งออกไปด้านหลัง เกือบชนกับเฟื่องฟ้า แต่อี่ไม่สนใจอะไรอีกแล้ว
ทุกคนในคณะมองหน้ากันเครียด โดยเฉพาะเจียงถึงกับกุมขมับ
“แล้วอั๊วจะทำยังไงดี จะหาใครมาเล่นแทนตอนนี้ได้”
เฟื่องฟ้าเขย่งดูจนเผลอไปโดนไม้กระดานลั่น ก้องภพหันมามองทางเสียง
“ใครน่ะ”
เฟื่องฟ้าตกใจ รีบหลบวูบเข้าไปในโรงงิ้วทันที
ก้องภพเดินมา หาเฟื่องฟ้าไม่เจอ เลยจะเข้าไปดูในโรงงิ้ว จนเสียงบุหลันเรียกดังขึ้น
“คุณก้องเจ้าขา มาทำอะไรในนี้เจ้าคะ”
ก้องภพหันไป เห็นบุหลันเดินนวยนาดเข้ามา ช้อนตายิ้มหวานให้
“มีอะไรรึบุหลัน”
“คุณนายให้ดิฉันมาตามคุณก้องภพเจ้าค่ะ”
“เธอไปบอกแม่ว่าเดี๋ยวฉันออกไป”
บุหลันไม่ยอม แถมเข้ามาเกาะแขนก้องภพดึงออกไป
“ไม่ได้เจ้าค่ะ คุณนายบอกว่าให้ไปเดี๋ยวนี้เลย ได้เวลางิ้วจะเริ่มแสดงแล้ว”
ก้องภพหันไปมองหาแม่ลัดดาของเขาจำใจกลับออกไปอย่างเสียดาย บุหลันยิ้มปลื้ม

เฟื่องฟ้าซุ่มดูจนแน่ใจว่าก้องภพกลับไปแล้ว จึงออกมาจากที่ซ่อน แต่ด้วยความรีบร้อนจึงเหยียบไม้กระดานเสียงดังลั่น เจียงหันไปมอง
“ใครน่ะ”
เฟื่องฟ้าสะดุ้ง หยุดอยู่กับที่ เจียงเดินเข้ามาใกล้ๆ
“อั๊วถามว่าใคร”
เจียงเดินเข้ามาใกล้อีก เฟื่องฟ้าทำสีหน้าให้เป็นปกติแล้วหันไป เจียงเดินมาหยุดตรงเฟื่องฟ้า พอเห็นหน้าชัดๆ ก็เริ่มรู้สึกคุ้นๆ
“ลื้อนี่”
เถ้าแก่เจียงจำได้ว่าเคยเห็นเฟื่องฟ้าร้องรำงิ้วอย่างสวยงามที่โรงเรียน
เฟื่องฟ้าสีหน้าตกใจกลัวความผิด
“ขอโทษจ้ะเถ้าแก่ ฉันแค่หลงทางมา ไม่ใช่ขโมยขโจรที่ไหนนะจ๊ะ”
เจียงจ้องเฟื่องฟ้าอยู่อย่างนั้น “อั๊วเคยเจอลื้อที่ไหนรึเปล่า”
“ไม่หรอกจ้ะ เถ้าแก่คงจำคนผิด”
“อั๊วจำไม่ผิดหรอก อั๊วเคยเจอลื้อที่โรงเรียนครูวารี ใช่ อั๊วจำได้แล้ว”
เมี่ยวสาวใหญ่ที่รับบทพระเอกในคณะงิ้วได้ยินเสียงเจียงก็ตามออกมา
“เถ้าแก่ มีอะไรหรือเปล่า”
เจียงหันไปบอกเมี่ยว ด้วยน้ำเสียงมีความหวัง
“อาเมี่ยว อั๊วรู้แล้วว่าจะให้ใครเล่นบทนางเอกแทนอาอี่”
“หา ใครกันล่ะเถ้าแก่”
“แม่หนูคนนี้ไงล่ะ”
เถ้าแก่เจียงชี้ไปที่เฟื่องฟ้า ที่กำลังงุนงงอยู่
“ฉันหรือจ๊ะ”
เฮียเมี่ยวพระเอกก็งงเหมือนกัน มองเฟื่องฟ้า ไม่อยากจะเชื่อ
“คนนี้น่ะหรือเล่นได้ เพิ่งเจอกัน ซ้อมก็ไม่เคยซ้อมจะรู้เรื่องเหรอ”
“อั๊วเคยเห็นตอนแม่หนูคนนี้รำงิ้วที่โรงเรียน อั๊วมั่นใจว่าเล่นได้แน่”
เถ้าแก่เจียงมั่นออกมั่นใจมาก เฟื่องฟ้าออกอาการลำบากใจอยู่อย่างนั้น เจียงขอร้องอีก
“อั๊วรู้ขอไปลื้ออาจจะปฏิเสธ แต่ตอนนี้อั๊วตกที่นั่งลำบาก มีลื้อคนเดียวที่พอจะช่วยได้ ลื้อจะไม่ช่วยคณะงิ้วหาเช้ากินค่ำอย่างพวกเราหน่อยรึ”
เฟื่องฟ้าอึดอัด
“ฉันก็อยากช่วย แต่ฉันแค่ครูพักลักจำมาเท่านั้น จะสู้คนเล่นงิ้วเป็นอาชีพได้อย่างไรล่ะจ๊ะ”
“เอาอย่างนี้ อั๊วขอให้ลื้อลองร้องงิ้วให้ดูก่อน ถ้าร้องไม่ได้ อั๊วก็จะไม่บังคับ”
“เอาอย่างนั้นหรือจ๊ะ”
เจียงพยักหน้า เฟื่องฟ้าลังเล นิ่งไปสักครู่หนึ่ง จึงเริ่มร้องงิ้วบทนางเอก เสียงร้องท่ารำของเฟื่องฟ้าทำให้คนในคณะ โดยเฉพาะเถ้าแก่เจียงและเฮียเมี่ยวถึงกับตกตะลึง
เถ้าแก่เจียงดีใจมาก มองจ้องเฟื่องฟ้าตาเป็นประกาย ทั้งอึ้ง ทึ่ง ชื่นชมสุดจะประมาณ เฟื่องฟ้าร้องและร่ายรำงิ้วอย่างสวยงาม

ส่วนในหมู่คนดูด้านหน้าเวที รอเป็นนานสองนานบนเวทีงิ้วก็ยังไม่มีความเคลื่อนไหวทั้งที่ถึงเวลาแสดงแล้ว ชาวบ้านที่นั่งรอดูอยู่บ่นบ้ากันระงม
“โอ๊ย รอนานแล้วนะ เมื่อไหร่จะเล่นสักที”
“ที่ว่าไม่เก็บสตางค์ สงสัยจะโกหกล่ะมั้ง”
“หลอกให้มาดูเหรอวะ”
ชาวบ้านไม่พอใจ ลุกฮือโห่ฮา บางรายอารมณ์ร้อนขว้างปาข้าวของขึ้นไปบนเวที
ก้องภพเองนั่งอยู่กับงามตา สงสัยเหมือนกันว่าทำไมยังไม่แสดงสักที
“ถึงเวลาแสดงแล้วยังไม่ออกมาอีก ดูซิพวกชาวบ้านเอะอะโวยวายใหญ่แล้ว”
“เดี๋ยวผมไปดูให้ครับ”
ก้องภพลุกขึ้นจะไปดูหลังโรงงิ้ว แต่แล้วก็มีเสียงดนตรีผ่างๆ ดังขึ้น ก่อนที่ม่านเปิดออก เมี่ยวซึ่งรับบทเป็นฮ่องเต้ออกมาพร้อมเฟื่องฟ้า ในบทพระมเหสี และพระสนม นางร้ายของเรื่อง
ชาวบ้านดีใจ “มาแล้วๆ มาซะที”
ก้องภพดีใจที่ไม่มีปัญหาอะไร ผู้ชมถูกอกถูกใจตบมือเสียงดัง

งิ้วเริ่มแสดง เฟื่องฟ้าเล่นเป็นพระมเหสี ร้องเพลงงิ้วสำเนียงเพราะพริ้งร่ายรำอย่างสวยงาม ผู้คนต่างมองอย่างตกตะลึง ก้องภพที่นั่งอยู่กับแม่มองจ้องเฟื่องฟ้าไม่วางสายตา รู้สึกคุ้นตานางเอกงิ้วคนนี้มาก
“พ่อก้อง”
“ครับแม่”
“แม่เห็นจ้องนางเอกงิ้วนั่นสักพักแล้ว เกิดติดใจขึ้นมาหรือยังไง”
“เปล่าครับ ผมแค่คุ้นๆ เหมือนเคยเห็นที่ไหน แต่ก็นึกไม่ออก”
งิ้วบนเวทีกำลังเข้มข้น เรื่องที่แสดงคือ ลิขิตเลือดมังกร ซึ่งนางสนมร่วมมือกับขันทีวางยาพิษฮ่องเต้แล้วใส่ร้ายมเหสี จนมเหสีถูกไล่ออกจากวัง
และเล่นมาถึงฉากที่ฮ่องเต้ดื่มยาพิษแล้วล้มลงไป และฉากที่สนมใส่ร้ายมเหสี จนต้องถูกไล่ออกจากวัง งามตาดูแล้วหงุดหงิด เพราะจี้ใจดำ นึกถึงเรื่องของตัวเอง
“ใครเป็นคนเลือกเรื่องนี้มาเล่น”
“ผมเสนอคณะงิ้วไปเองครับ เห็นว่าน่าสนใจดีทำไมเหรอครับแม่”
“เปล่าจ้ะ ไม่มีอะไร”
งามตาปรับสีหน้าปกตินั่งดูงิ้วด้วยความอึดอัด

รำเพยกับแถนเดินมาหยุดที่บริเวณข้างเวที แถวๆ คนดู โดยรำเพยใช้ผ้าคลุมหัวพรางหน้าตาตัวเองไว้ตลอดเวลา
“เฟื่องฟ้ามันจะอยู่ที่นี่จริงเร้อรำเพย”
“ฉันก็ไม่รู้ เข้าไปดูก่อนเถอะพี่แถน”
รำเพยเดินเข้าไปใกล้ๆ หน้าเวที เสียงดนตรีดังกระหึ่มขึ้น รำเพยมองไปยังเวที งิ้วเล่นมาถึงฉากขับไล่พระมเหสีออกจากวัง มเหสีร้องเพลงงิ้วน้ำเสียงเศร้าสร้อยน่าสงสาร แถนมองแล้วจำเรื่องราวได้
“ลิขิตเลือดมังกร ไม่ได้ดูเสียนานเลย จำได้ว่าเรื่องนี้นางสนมร่วมมือกับขันที วางยาพิษฮ่องเต้แล้วใส่ร้ายมเหสี ทำให้มเหสีถูกไล่ออกจากวัง”
รำเพยดูงิ้วฉากนั้นแล้วสะท้อนใจ นึกถึงอดีต น้ำตาคลอเบ้า เอาผ้าคลุมบังไว้ไม่ให้แถนเห็น
แถนเดินมาแอบดูก้องภพที่นั่งอยู่งามตา เศร้าๆ
บนเวทีเป็นฉากที่พระสนมหัวเราะเยาะเย้ยพระมเหสีอย่างสะใจ งามตานั่งอึดอัดดูอยู่กับลูกชาย แต่ต้องทำเป็นปรบมือชอบใจไปกับคนอื่นๆ ส่วนรำเพยทนดูไม่ไหวจึงเดินออกไป
“ฉันหายใจไม่ค่อยออก ขอออกไปข้างนอกนะ”
“อ้าว เอ็งจะไปไหนรำเพย”
รำเพยเดินออกไปเลย

ระหว่างนี้ ก้อนเดินออกมาอีกทาง และเห็นรำเพยเดินผ่านหน้าไป จึงหยุดเพ่งมองอย่างคุ้นๆ หน้า
“นั่นมัน”
ก้อนมองชัดๆ จำได้ว่าเป็นรำเพยแน่ จึงตะโกนเรียกไว้
“เดี๋ยวก่อน เอ็ง”
แถนได้ยินเสียงเรียก หันไปเห็นเป็นก้อนก็ตกใจรีบดึงรำเพยหลบหนีไป ก่อนที่ก้อนจะมาถึง
รำเพยงงว่าเกิดอะไรขึ้น จะถามแถนแต่กลับชนกลุ่มชายฉกรรจ์กลุ่มหนึ่งเข้า
“ขอโทษจ้ะ ฉัน…”
ชายพวกนั้นเป็นนักเลงโต ไม่พอใจที่ถูกรำเพยชน เลยจะเอาเรื่อง
“อะไรวะ นังนี่ เดินไม่ดูตาม้าตาเรือ อยากจะโดนดีใช่ไหม”
ชาย1 หัวโจกของกลุ่ม กระชากแขนรำเพยไปอย่างแรง แถนตามมาเห็นก็ตกใจเข้าไปห้าม
“เฮ้ย พวกเอ็งจะทำอะไร”
แถนเข้าไปดึงรำเพยออก

ก้อนมองหารำเพยจนทั่ว แต่รำเพยหายตัวไปแล้ว มันสงสัยหนักว่าหายไปไหน เฟื่องฟ้าเล่นงิ้วมาถึงบทบู๊พอดี เมื่อมีเสียงเอะอะดังขึ้นเฟื่องฟ้าจึงหันไปมอง นักแสดงที่เล่นกับเฟื่องฟ้าเห็นเริ่มเสียสมาธิเลยทัก
“ลื้อมองอะไรน่ะ”
เฟื่องฟ้าไม่ได้ฟัง มือฟันดาบไปตาก็มองไปด้วย
ด้านล่างเวทีงิ้ว แถนเข้าไปดึงรำเพยออกมาจากกลุ่มนักเลง แต่สู้แรงไม่ได้ นักเลงมองแถนรำคาญๆ
“ไอ้นี่ยุ่งอะไรด้วยวะ” นักเลง2 โมโห
แถนจับขานักเลงไว้ ห้ามไม่ให้ทำร้ายรำเพย
“ข้าบอกว่าอย่ายุ่งกับคุณรำเพยไง”
“วุ้ย น่ารำคาญ พวกเอ็ง” นักเลง1 หัวโจกสั่ง
กลุ่มนักเลง ส่งสัญญาณให้เข้ามาลากแถนออกไปรำเพยตกใจ
“สั่งสอนไอ้นี่เสียหน่อยเถอะวะ”
กลุ่มนักเลงจะเข้ามารุมแถน รำเพยเข้ามาดึงแขนพวกนักเลงไว้ เกิดเสียงเอะอะไปทั่วบริเวณ
“อย่านะ อย่าทำเขา”
รำเพยเข้าไปยื้อยุดพวกนักเลงไว้จนผ้าคลุมหน้าหลุดออกมา
เฟื่องฟ้าเห็นเข้าพอดี ตกใจที่แม่ตัวเองมาที่นี่ ขณะนั้นดาบของนักแสดงที่เล่นคู่กันฟันลงมาพอดี
ดาบฟาดเข้าที่เฟื่องฟ้าอย่างจัง เฟื่องฟ้าเสียหลักพลัดตกจากเวที คนดูกรี๊ดดังขึ้น รำเพยมองไปที่เวที เห็นเฟื่องฟ้าลงมานอนเลือดอาบอยู่แล้ว
เฟื่องฟ้ารู้สึกว่าตัวเองเลือดไหลออกมา แต่ยังลุกไม่ไหว เลือดไหลเป็นทางยาวซึมลงไปตามรอยแตกของพื้นฉับพลันสายลมด้านนอกก็พัดอื้ออึงคล้ายฝนจะตกหนัก
“เฟื่องฟ้า”
สิ้นเสียงรำเพย สายฟ้าก็ฟาดเปรี้ยงลงมากลางโรงงิ้ว ผู้คนตกใจลุกพรวดขึ้น วิ่งแตกตื่นออกมาอลหม่าน พวกนักเลงเองก็พากันตกใจ
“อะไรวะ จู่ๆ ก็ฟ้าผ่า”
“หนีเถอะพี่ ข้าว่าชักไม่ดีแล้ว”
ก้องภพวิ่งไปหาเฟื่องฟ้าทันที
“พ่อก้อง จะไปไหนน่ะพ่อก้อง! กลับมาอยู่เป็นเพื่อนแม่ก่อน”
งามตามองซ้ายมองขวาอย่างแตกตื่น
“นังบุหลัน นังบุหลันอยู่ไหน”
กลุ่มนักเลงพากันวิ่งหนีออกไปกับชาวบ้าน
ลมพัดแรงไม่หยุด แถนลุกขึ้นดึงรำเพยพาหนีออกไป
“รีบหนีเถอะรำเพย”
แต่รำเพยยื้อไว้ ไม่ยอมไปง่ายๆ
“ไม่…ฉันจะไปหาลูก”
รำเพยสะบัดมือแถนออกแล้ววิ่งไปหาเฟื่องฟ้าทันที จังหวะเดียวกันนี้ก้อนเดินมาหยุดยืนมองอึ้งตะลึงตะไล เมื่อเห็นรำเพยที่เข้าใจว่าตายแล้ว ปรากฏตัวอยู่ในงาน
“นังรำเพย”

เฟื่องฟ้าเจ็บแผลที่ขามากแต่พยายามลุกขึ้นมา งุนงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ส่วนอีกมุมรำเพยวิ่งฝ่าฝูงคนออกไปตามหาลูกพร้อมกับแถน
“เฟื่องฟ้า...เฟื่องฟ้า”
เฟื่องฟ้าชะงัก ได้ยินเสียงรำเพยดังแว่วมา
“แม่”
รำเพยหันไปทางเสียงจนเห็นเฟื่องฟ้า จะวิ่งเข้ามาหา
เฟื่องฟ้าเดินกะเผลกๆ ออกไปหาแม่ แต่แล้วก็มีลมพัดอื้ออึ้งขึ้นอีก เฟื่องฟ้าหยุดนิ่ง รู้สึกเหมือนพลังบางอย่างตรึงให้ยืนนิ่งอยู่กับที่ มองไปรอบๆ เห็นภาพผู้คนวุ่นวายตรงหน้ากลายเป็นภาพเลือนลางสลับกันไปมาน่าเวียนหัว เสียงผู้คนกรีดร้องดังระงม เฟื่องฟ้าเริ่มจะทรงตัวไม่อยู่ สุดท้ายเป็นลมล้มลงไป รำเพยจะเข้าไปหาลูก แต่ก้องภพที่อยู่ไม่ไกลจากตรงนั้นวิ่งมาเห็นพอดี
“เธอ”
ก้องภพประคองเฟื่องฟ้าไว้ รำเพยหยุดยืนมองนิ่งๆ
ก้องภพตะโกนเรียกบ่าวเสียงดังลั่น “มีบ่าวในเรือนอยู่แถวนี้บ้างไหม มาช่วยฉันหน่อย”
ไม่มีเสียงตอบรับ ก้องภพตัดสินใจช้อนอุ้มเฟื่องฟ้าขึ้นแล้วพาเดินเร็วรี่ไปทางเรือนใหญ่
รำเพยตกใจที่เห็นก้องภพอุ้มพาเฟื่องฟ้าไปต่อหน้าต่อตา จึงวิ่งตามไป แถนตะโกนเรียกก็ไม่ฟัง
“คุณรำเพยจะไปไหน”
แถนรีบตามไป

ก้องภพอุ้มเฟื่องฟ้ามาที่ห้องพักบนเรือนใหญ่ บ่าวไพร่ตามเข้ามา บุหลันมาด้วยก้องภพหันไปสั่งบ่าว
“พวกเอ็งรีบไปหาหยูกยามาช่วยทางนี้ก่อน เร็วเข้า”
บ่าวหญิงคนหนึ่งรีบวิ่งออกไปตามคำสั่ง บุหลันมองเฟื่องฟ้าอย่างไม่ค่อยพอใจ แต่ก็ทำตาม
รำเพยกับแถนหลบมุมแอบมองอยู่ด้านล่าง รำเพยใจหายเป็นห่วงลูกมาก
“เฟื่องฟ้า โธ่...”
รำเพยทำท่าจะเข้าไป แถนรีบดึงไว้
“คุณรำเพยจะทำอะไร”
“ปล่อยฉันพี่แถน ฉันจะเข้าไปดูลูก”
“เข้าไปไม่ได้นะ”
“พี่จะให้ฉันปล่อยลูกไว้กระนั้นรึ ถ้าเฟื่องฟ้าเป็นอะไรขึ้นมาล่ะ”
แถนมองไปรอบๆ อย่างระแวดระวัง กระซิบบอกกับรำเพยว่า
“คุณลืมแล้วรึไงว่าที่นี่มันที่ไหน ถ้าเข้าไปล่ะก็พวกมันอาจจะ…”
แถนยังพูดไม่ทันจบ สายตาก็เห็นใครบางคนเดินมาทางนี้ แถนรีบดึงรำเพยหลบไปอีกทาง รำเพยจะถาม แต่แถนจุ๊ปากห้ามไม่ให้พูดอะไร
สองคนเพ่งมองไปที่บันไดหน้าเรือนใหญ่เห็นงามตาเดินนำบ่าวอีกสองสามคนขึ้นเรือนไป รำเพยมองตะลึง

ท้องฟ้าเหนือเรือนดอกเหมยขมุกขมัวน่ากลัว ลมพัดโหมแรง ยินเสียงร้องเพลงงิ้วของไต้ก๋งชางดังโหยหวนประสมเสียงลม
“วสันต์เศร้าฤดูระทม จากอารมณ์ล้วนก่อเกิดมา พักตร์ดุจบุปผา ลักษณ์ดุจจันทรา ล้วนไร้สาระในกาลอวสาน”
อบเชยเดินเข้ามาที่ใต้ถุนเรือนดอกเหมย มองเห็นอะไรบางอย่างตรงพื้น สาววิปลาสแสยะยิ้มออกมา
“นายท่าน”
อบเชยมองจ้องบริเวณรอยแตกของพื้นที่เปรอะเลือดของเฟื่องฟ้า เห็นกลุ่มควันสีขาวค่อยๆ ลอยขึ้นมา ลอยวนไม่เป็นรูปเป็นร่างในเบื้องแรก ลมโหมพัดรุนแรง ท้องฟ้าด้านบนกลายเป็นสีแดงฉานน่ากลัว
ในที่สุดกลุ่มควันก็รวมตัวกลายเป็นรูปบางอย่าง อบเชยก้มลงกราบปลกๆ แล้วเริ่มหัวเราะ จากเบาแล้วก็เริ่มหนักขึ้น
“ฮ่าๆๆๆ นายท่าน นายท่านกลับมาแล้ว”
กลุ่มควันที่ลอยอยู่เริ่มปรากฏเป็นรูปศีรษะไต้ก๋งชางชัดเจน อบเชยดีใจ เสียงหัวเราะดังกึกก้องไปทั่วเรือน
“ในที่สุดท่านก็กลับมา ฮ่าๆๆๆๆ”

บ่าวในเรือนช่วยกันเช็ดหน้าเช็ดตาให้เฟื่องฟ้า นมขามมาช่วยทำแผลให้
“มา ข้าทำเอง ใช้สาบเสือห้ามเลือดนี่ได้ผลชะงัดนัก” คุณนมหันไปสั่งบุหลัน “เอาส้มโอมือให้แม่นางเอกงิ้วดมสิบุหลัน”
นมขามเอาสมุนไพรทาให้เฟื่องฟ้า บุหลันเอาส้มโอมือจ่อจมูกให้ เฟื่องฟ้าค่อยลืมตาขึ้นมา พอดีกับที่ก้องภพเข้ามาดูอีกรอบ แล้วก้องภพก็จำเฟื่องฟ้าได้
“ลัดดา”
นมขามเห็นหน้าเฟื่องฟ้าชัดๆ ก็อุทานออกมาด้วยความตกใจ
“คุณรำเพย”
ก้องภพได้ยินไม่ถนัด “ใครนะครับนมขาม”
“เหมือน...ช่างเหมือนกันเหลือเกิน”
เฟื่องฟ้ามองนมขามงงๆ ที่เรียกชื่อแม่ของตนถูก ก้องภพจะเข้าไปดูเฟื่องฟ้า แต่เสียงงามตาแหลมเข้ามาขัดจังหวะ
“ลูกรู้จักแม่นางเอกงิ้วนี่ด้วยงั้นรึ”
งามตาเดินเข้ามามองตาขุ่น ก้องภพอึกอักไม่กล้าตอบ
“มิน่าถึงไม่ออกไปดูด้านนอก มัวแต่มายุ่งกับแม่นี่นี่เอง รู้ไหมว่าเขาวิ่งกันให้วุ่นไปหมด เรือนจะแตกเสียแล้วกระมัง”
“ผมขอโทษครับแม่ แต่ผมต้องจัดการทางนี้ให้เรียบร้อยก่อน เกิดอุบัติเหตุในเรือนจะให้อยู่เฉยเสียก็ทำไม่ได้”
“แต่แม่นางเอกงิ้วนี่ก็ฟื้นแล้ว ให้เงินปิดปากเสียสิ แล้วไล่กลับไปสักที”
“ไม่ได้นะครับ”
“อะไรอีกล่ะตาก้อง”
“ผู้หญิงคนนี้บาดเจ็บหนัก จะไล่กลับตอนนี้คนเขาจะตำหนิเอา ผมว่าจะให้เขาค้างเสียคืนหนึ่ง แล้วค่อยกลับ”
“ว่าอย่างไรนะ”
งามตาตกใจมาก ไม่คิดว่าลูกจะพูดอย่างนั้น เฟื่องฟ้านอนฟังอยู่ทนไม่ได้ถึงกับลุกขึ้นมา
“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ”
ก้องภพมองเป็นห่วง “คุณ”
“ดิฉันไม่เป็นไรเจ้าค่ะ เงินสักแดงคุณก็ไม่ต้องให้ ดิฉันแค่อยากกลับบ้าน ให้ดิฉันกลับเถอะนะเจ้าคะ”
“ได้ยินไหมตาก้อง หล่อนจะรออะไรล่ะ รีบเก็บข้าวของกลับไปได้แล้ว งิ้วเลิกแล้ว”
เฟื่องฟ้าลุกขึ้น แต่แล้วเกิดเจ็บขาทรุดลงอีก ก้องภพเป็นห่วงเข้าไปประคอง
“เห็นไหมครับคุณแม่หล่อนยังไม่หายดี จะให้กลับทั้งอย่างนี้ได้อย่างไร”
“ตาก้องนี่คิดจะขัดคำสั่งแม่แล้วงั้นหรือ”
ก้องภพไม่ตอบ พยุงเฟื่องฟ้าลุกขึ้น เฟื่องฟ้ามองก้องภพงงๆ บุหลันอยู่ในนั้นด้วยมองหมั่นไส้ นึกอะไรขึ้นมาได้
“คุณนายเจ้าขา คุณก้อง ให้บุหลันช่วยดีไหมเจ้าคะ”
“อะไรของเอ็งนังบุหลัน”
“บุหลันทราบเจ้าค่ะ ว่าคุณนายไม่อยากให้แม่นางเอกงิ้วพักในเรือน แต่บุหลันเห็นด้วยกับคุณก้องว่าจะปล่อยไปก็แล้งน้ำใจ เลยอยากช่วยเจ้าค่ะ”
“เอ็งจะทำอย่างไร บุหลัน” ก้องภพมองฉงน
“เรือนบุหลันยังว่างเจ้าค่ะ ให้หล่อนไปนอนกับบุหลันก่อนก็ได้ ไว้พรุ่งนี้ดีขึ้นแล้วค่อยกลับ บุหลันจะดูแลเองเจ้าค่ะ”
ก้องภพมองหน้าแม่เชิงถาม งามตานิ่งคิดสักครู่หนึ่ง
“ดีเหมือนกัน ไม่ต้องเดือดร้อนที่นี่ ว่าอย่างไรตาก้อง”
ก้องภพยังลังเล แต่เห็นว่าไม่มีวิธีอื่นเลยตกลง
“ทำตามที่บุหลันว่าก็ได้ครับคุณแม่”
“งั้นบุหลันเอ็งมาพาแม่นี่ไป ส่วนลูกไปดูนอกเรือนกับแม่”
บุหลันเข้ามาประคองเฟื่องฟ้า ก้องภพจำใจตามงามตาไป

บุหลันประคองเฟื่องฟ้าลงบันไดมาจากเรือนใหญ่ แต่พอพ้นสายตาก้องภพก็ผลักเฟื่องฟ้าออกอย่างแรง
“กลับบ้านกลับช่องหล่อนไปได้แล้ว แม่นางเอกงิ้ว”
เฟื่องฟ้างงๆ ที่บุหลันเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ
“นี่เธอ”
“มองหน้าทำไมคิดจะหือกับข้ารึ ไม่รู้ซะแล้วว่านี่ถิ่นใคร หน็อย คิดจะมารยาทำเป็นเจ็บยั่วนายข้าล่ะซี้”
เฟื่องฟ้าชักโมโห “พูดอะไรของเธอน่ะ ฉันไม่เคยคิดจะทำอย่างนั้นเลยนะ”
“อย่าคิดว่าข้าไม่รู้ทันนะ แหมทำเป็นตีหน้าซื่อ บอกให้ออกไปได้แล้วไงไปสิ ไป๊”
บุหลันไม่เชื่อชี้หน้าด่า แถมเข้ามาผลักเฟื่องฟ้าจนเซ เฟื่องฟ้าชักหงุดหงิด
“เฮอะ ฉันก็ไม่ได้อยากจะอยู่นักหรอก พวกผู้ดีตีนแดง ทำเป็นมีน้ำใจ สุดท้ายก็ไล่เสียยิ่งกว่าหมา”
“ใช่ หล่อนน่ะมันเป็นแค่พวกหมาข้างถนน รู้ตัวซะก็ดี จะได้ไม่สะเออะโผล่หน้ามาวุ่นวายกับคุณก้องภพหรือคนในเรือนนี้อีก ที่นี่ไม่ต้อนรับ”
บุหลันเชิดใส่ เฟื่องฟ้าโกรธมาก แต่ไม่อยากมีเรื่อง จำใจเดินออกไป

เฟื่องฟ้าเดินออกมาจากเรือนบ่าว บรรยากาศรอบข้างดูวังเวงและน่ากลัวเหลือเกิน
ระหว่างนี้ที่ด้านหลังเฟื่องฟ้า มีกลุ่มควันสีขาวคล้ายรูปศีรษะคนปรากฏขึ้นลอยไปลอยมาอยู่
เฟื่องฟ้าก้าวเท้าไวๆ พยายามพาตัวเองออกไปให้พ้นจากที่นี่เร็วๆ แต่ขาไม่ค่อยเป็นใจนัก
กลุ่มควันนั้นลอยตามหลังมาเรื่อยๆ เฟื่องฟ้าไม่ได้หันไปมอง อยากจะออกไปให้โดยไว เพราะเริ่มรู้สึกอึดอัด เหมือนมีอะไรหนักๆ อยู่รอบตัว
เฟื่องฟ้าเดินมาจนเห็นประตูทางออกเรือนลำพระพายอยู่ไกลๆ หญิงสาวก้าวขาเร็วขึ้น แต่แล้วก็สุดเข้ากับบางอย่างจนเซล้มลงไป
กลุ่มควันนั้นยังไล่ตามเฟื่องฟ้ามาติดๆ และค่อยๆ รวมตัวจนเห็นเป็นใบหน้าคนอยู่ด้านหลัง
เฟื่องฟ้าหลับตา คล้ายทำใจ คิดจะหันไปดูด้านหลัง แต่แล้วก็มีมือหนึ่งมาจับไหล่หมับ
“ใครน่ะ”
เฟื่องฟ้าสะดุ้งเฮือก หันไปปรากกฏว่าเป็นรำเพยกับแถนยืนอยู่
“แม่”
“เฟื่องฟ้า”
รำเพยเห็นแผลลูกสาวถึงกับน้ำตารื้น เข้าไปกอดเฟื่องฟ้าไว้แน่น
“แม่มาที่นี่ได้อย่างไรจ๊ะ”
รำเพยละตัวออกมองหน้าแถน เชิงบอกให้ช่วยอธิบาย
“แม่เอ็งเขาได้ยินชาวบ้านลือกันว่าที่นี่เปิดแสดงงิ้วครั้งแรก เขาอยากมาดูว่าจะสวยงามอลังการสักแค่ไหน เลยให้ลุงพามาน่ะสิ”
เฟื่องฟ้ามองฉงน แปลกใจ และไม่ค่อยเชื่อนัก รำเพยเปลี่ยนเรื่อง
“ช่างมันเถอะ ลูกไม่เป็นไรก็ดีแล้ว เรากลับบ้านกันดีกว่า”
รำเพยประคองลูกไป สีหน้าเฟื่องฟ้ายังคงสงสัยอยู่ไม่คลาย

รำเพยเดินนำมาโดยไม่พูดไม่จาตลอดทาง เฟื่องฟ้ารู้สึกผิดที่แอบไปเล่นงิ้วที่เรือนดอกเหมยทั้งที่แม่ยื่นคำขาดไปแล้ว
“แม่จ๋า…”
รำเพยหยุด หันมามองหน้าลูกสาวด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“เรื่องวันนี้ ฉันขอโทษนะจ๊ะ”
“ทำไมถึงต้องขอโทษ”
“ก็แม่เตือนแล้วว่าอย่ามาที่นี่ แต่ฉันก็ยังฝืน แถมยังแอบไปเล่นงิ้วอีกด้วย”
“พูดอย่างนี้ แสดงว่าลูกรู้มาตลอดสิว่ามันผิด”
เฟื่องฟ้าพยักหน้ารับเอาคำ
“จ้ะ แต่ฉันมีเหตุจำเป็นนะจ๊ะ จริงๆ ฉันกะแวะมาประเดี๋ยวเท่านั้น แต่ฉันไปเห็นว่านางงิ้วที่คณะป่วยกะทันหัน ฉันเลยต้องช่วยเขา”
“ช่างบังเอิญเสียจริงนะ แล้วที่บังเอิญโดนดาบฟาดจนตกเวทีนั่น ก็เป็นเรื่องบังเอิญด้วยหรือเปล่า” รำเพยประชด
“มันเป็นอุบัติเหตุนะจ๊ะแม่”
“ใช่ มันเป็นอุบัติเหตุ แต่ถ้าเราไม่ขัดคำสั่งแม่มาที่นี่แต่แรก ไอ้เรื่องพวกนี้มันจะเกิดขึ้นได้ไหม”
รำเพยเอ็ดเสียงดังขึ้น เฟื่องฟ้าแก้ตัวไปอีกว่า
“โธ่ แม่จ๋า ไม่มีใครรู้นี่จ๊ะว่าจะเกิดอะไรขึ้น แค่ฉันรอดตายมาได้ก็นับว่าบุญแล้ว”
“อย่าได้มั่นใจว่าโชคจะเข้าข้างแบบนี้ไปตลอด ที่แม่เตือน แม่ห้ามไป เพราะรู้ว่าจะต้องเกิดเรื่อง ลูกไม่ควรไปเหยียบเรือนนั่นอีก ที่นั่นมันไม่ปลอดภัย”
รำเพยเอ็ดลูกสาวเสียงดังมากขึ้นไปอีก
“ทำไมล่ะจ๊ะ ทำไมฉันถึงจะกลับไปที่นั่นอีกไม่ได้ล่ะจ๊ะแม่”
รำเพยโมโห “นี่ไม่ได้ฟังที่แม่บอกไปเลยรึ”
“ไม่จ้ะ ฉันต้องถาม เพราะฉันก็สงสัยมานานแล้วเหมือนกัน”
“อะไรกัน”
“ฉันสงสัย ว่าเวลาที่ฉันพูดเรือนดอกเหมย แม่จะต้องโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ทำไมถึงคอยจงเกลียดจงชังคนในเรือนไต้ก๋งชางแล้วห้ามไม่ให้ฉันไปที่นั่นแล้วทำไม ถึงมีผู้หญิงคนหนึ่ง ทักฉันผิดเป็นแม่ด้วย”
รำเพยอึ้งไปน้ำตารื้นขึ้นมา พยายามห้ามให้ลูกหยุดพูด
“ไม่ ไม่จริง แม่บอกให้หยุดไง…”
“ฉันไม่หยุด จนกว่าแม่จะตอบฉัน แม่เป็นอะไรไป กลัวหรือ หรือว่าแม่เก็บความลับอะไรไว้ บอกฉันมาสิ”
“หยุด”
รำเพยพูดแทบเป็นตวาดตบหน้าเฟื่องฟ้าฉาดใหญ่ แต่พอตั้งสติได้ก็ถึงกับอึ้งไป
เฟื่องฟ้ายืนนิ่งเนื้อตัวชา มองแม่ด้วยแววตาเจ็บปวด แถนพยายามไกล่เกลี่ย
“เฟื่องฟ้า แม่เอ็งเขามีเหตุผลนะ”
“ไม่เป็นไรหรอกจ้ะลุงแถน ฉันก็พอจะเข้าใจแล้ว” เฟื่องฟ้าบอกอย่างน้อยใจ
“คุณรำเพย” แถนมองหน้ารำเพยเชิงขอร้อง
รำเพยปาดน้ำตาทิ้ง แล้วเดินหนีไป เฟื่องฟ้ามองตามสีหน้าเศร้า

บุหลันกำลังจะนอน แต่มีเสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น จึงลุกขึ้นไปดู
“ใครกันวะ มาเอาป่านนี้ แม่จะด่าเสียให้เปิงเลย”
พอเปิดประตูไปเจอนมขามยืนอยู่ บุหลันทั้งตกใจ และ แปลกใจ
“คุณนม มาทำอะไรป่านนี้เจ้าคะ”
นมขามมองหาเฟื่องฟ้าทั่วห้องบุหลัน แต่ไม่เจอ
“คุณนมหาอะไรเจ้าคะ”
“นังบุหลัน นางเอกงิ้วที่เอ็งบอกว่าจะพามานอนที่นี่ไปไหนเสียแล้วล่ะ”
“อ๋อ แม่นั่นหรือเจ้าคะ ก็คงเผ่นกลับโรงงิ้วไปแล้วล่ะเจ้าค่ะ”
นมขามแปลกใจ “กลับแล้ว กลับไปได้อย่างไร บาดเจ็บอยู่ไม่ใช่รึ”
“บุหลันไม่รู้เหมือนกันเจ้าค่ะ ตอนแรกก็ว่าจะพามานอนดีๆ แต่แม่นั่นร้องจะกลับท่าเดียว ห้ามก็ไม่ฟัง เลยต้องปล่อยไป”
“แล้วทำไมเอ็งไม่ห้ามไว้ ถ้าเกิดเขาเป็นอะไรขึ้นมาจะทำอย่างไร”
“ก็ช่างหัวมันสิเจ้าคะ เจ็บแค่นั้นไม่ถึงตายหรอกเจ้าค่ะ”
“ต่อให้ไม่ถึงตาย แต่เอ็งก็ควรมีน้ำใจให้เขาพักที่นี่”
บุหลันลอยหน้าลอยตาพูด “ถ้าไม่มีน้ำใจแล้วจะทำไมเจ้าคะ เรือนนี้ไม่ใช่ศาลาวัดนะเจ้าคะ จะได้ให้พวกคนจรมันมานอนเสียเมื่อไรก็ได้”
“เอ็งมันไร้น้ำใจ ถ้าข้ารู้ว่าเอ็งไล่เขากลับไป ข้าจะไม่ปล่อยให้เอ็งดูแลเด็ดขาด”
“ก็แค่นางเอกงิ้ว ญาติก็ไม่ใช่ คุณนมอย่าเป็นเดือดเป็นร้อนนักเลยเจ้าค่ะ ที่นี่เรือนคุณนายงามตา บุหลันจะทำอะไรก็ได้ คุณนมไม่มีสิทธิ์มาว่าบุหลัน”
บุหลันเชิดหน้าแล้วปิดประตูห้องกระแทกใส่หน้านมขามอย่างไร้มารยาท คุณนมได้แต่เจ็บใจ

ฝ่ายก้องภพมาที่เรือนดอกเหมยพร้อมกับคฑาเพื่อสำรวจความเรียบร้อย แต่เดินจนทั่วแล้วก็ไม่พบอะไร
“แปลก…แปลกมาก”
“แปลกอะไรขอรับคุณก้อง”
“นายคิดอย่างเราไหมคฑา ตอนที่แสดงงิ้วอยู่ ทั้งๆที่ฟ้าผ่าลงมาแรงขนาดนั้น แต่กลับไม่มีอะไรเสียหายเลย”
คฑาคิดตาม “นั่นสิขอรับ แม้แต่รอยไหม้สักนิดก็ไม่มี เป็นโชคดีของเรานะขอรับ”
ก้องภพพยักหน้าเห็นด้วย แต่ยังติดใจบางอย่างอยู่ คฑาถามต่อว่า
“เกิดเรื่องที่เรือนเราอย่างนี้ คุณก้องยังอยากเปิดแสดงต่อไปหรือไม่ขอรับ”
“เปิดสิ เราจะเปิดอีกแน่นอน เราตั้งใจไว้แล้วว่าอย่างไรก็ต้องฟื้นฟูเรือนนี้ขึ้นมาให้ได้ แต่คงต้องจัดการอะไรให้เรียบร้อยก่อน”
“คุณก้องจะทำอะไรขอรับ”
“เราคิดว่าจะนิมนต์พระมาสวดทำพิธีขึ้นเรือน ทีแรกเรานึกแต่เร่งจะเปิดให้ได้เลยลืมว่าควรทำอะไรให้เป็นสิริมงคลเสียก่อน”
“ดีเหมือนกันนะขอรับ กระผมเห็นด้วย ทำพิธีแล้วอะไรๆ คงจะดีขึ้น”
“ใช่ไหม บางทีเราก็คิดเหมือนกันว่าที่เกิดอาเพศขึ้น เพราะเราไม่ได้ทำอะไรให้ถูกต้องหรือเปล่า”
ก้องภพมองไปรอบเรือน ด้วยสีหน้าเป็นกังวล

ด้านแถนพาเฟื่องฟ้ากับรำเพยมานอนค้างที่บ้านของตน ด้วยเห็นว่ามืดค่ำแล้ว ตะโกนเรียกกล่ำผู้เป็นน้องสาวซึ่งอยู่ในเรือน
“กล่ำ แม่กล่ำ ข้ากลับมาแล้ว”
กล่ำเปิดประตูห้องออกมาหา
“กลับมาแล้วรึพี่” กล่ำชะงัก เพ่งมองหน้าเฟื่องฟ้างงๆ “นั่น…เฟื่องฟ้าเรอะ ทำไมเอ็งแต่งหน้าเหมือนพวกงิ้วในตลาดอย่างนั้น”
เฟื่องฟ้ากระอึกกระอัก “ฉัน...ไปช่วยเขาเล่นงิ้วมาจ้ะน้า ยังไม่ได้ล้างหน้าล้างตาเลย”
กล่ำงงหนัก ชะงักไปนิด หันไปถามรำเพย
“คุณรำเพยก็ไปด้วยรึ”
“ฉันแค่แวะไปดูลูกเล่นน่ะ แต่ไม่มีอะไรหรอก ฝากแม่กล่ำดูเฟื่องฟ้าด้วยนะ ฉันล้าเหลือเกินแล้ว อยากพัก
รำเพยเดินขึ้นเรือนหนีเข้าห้องไปเลย
“มาเถอะ รีบล้างหน้าเข้า เฮ้อ…กว่าจะได้หลับได้นอน”
กล่ำจูงแขนพาเฟื่องฟ้าไปทางหลังเรือน

กล่ำพาเฟื่องฟ้ามาล้างหน้าล้างตาที่แคร่หลังบ้าน แล้วช่วยทำแผลให้ ถามเชิงบ่นๆ ไปด้วย
“เล่นงิ้วอีท่าไหนของเอ็งถึงมีแผลได้ขนาดนี้ ข้าล่ะแปลกใจที่แม่เอ็งเขาทำใจเย็นอยู่ได้ ปกติข้าเห็นต้องดุเสียจนหงอ”
“ใครว่าไม่ดุละจ๊ะ…แต่ฉันชินซะแล้ว เลยทำเฉยๆ ต่างหาก”
“ดูพูดเข้า แม่เขาเป็นห่วงเอ็งจะแย่ เอ็งรู้ไหม”
เฟื่องฟ้ายิ้มเศร้าๆ แต่แล้วกลับนึกอะไรได้ขึ้นมา
“น้ากล่ำจ๊ะ”
“อะไรอีกล่ะ”
“วันนี้ที่บ้านลำพระพายนั่นฉันเจอคนหนึ่งที่ดูเหมือนจะรู้จักแม่ด้วย”
กล่ำตกใจ “บ้านลำพระพายของไต้ก๋งชางน่ะหรือ เอ็งไปทำอะไรที่นั่น”
“ก็ไปเล่นงิ้วมานี่แหละจ๊ะ ที่นั่นเขาเปิดเรือนดอกเหมยให้คนเข้าไปชมงิ้ว”
กล่พยายามเก็บอาการ “แล้วเอ็งไปเจอใครมา”
“เขาเป็นผู้หญิงจ้ะ อายุอานามคงเป็นยายฉันได้แล้ว เห็นลูกชายไต้ก๋งเรียกเขาว่านมขาม น้ากล่ำพอจะรู้ไหมจ๊ะว่าเขาเป็นใคร”
ได้ยินชื่อนมขาม กล่ำก็ออกอาการตกใจอย่างเห็นได้ชัด แต่รีบปฏิเสธทันที
“ไม่ ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนเอ็งแน่ใจหรือว่าชื่อนั้น”
“แน่สิจ๊ะ ฉันได้ยินเต็มสองหู น้ากล่ำไม่รู้แน่หรือ”
“แน่สิวะ โธ่… ข้าน่ะจะไปรู้จักคนในเรือนผู้ดีพวกนั้นได้อย่างไร วันๆอยู่แต่กับเตากับฟืน เอ็งลืมเรื่องนี้ไปซะเถอะ”
“แต่ตอนเห็นหน้าฉันเขาเรียกชื่อแม่ออกมาทันทีเลยนะจ๊ะ”
กล่ำอึ้งหนัก เฟื่องฟ้าจะซักอีก แต่รำเพยเข้ามาขัดจังหวะเสียก่อน
“เฟื่องฟ้า แม่จัดที่นอนไว้แล้ว ล้างหน้าล้างตาเสร็จแล้วก็รีบไปนอน”
เฟื่องฟ้ามองรำเพย แม่ลูกยังมึนตึงใส่กันอยู่นิดๆ
“จ้ะแม่”
กล่ำโล่งใจ รีบเปลี่ยนเรื่องทันที
“จริงด้วย เอ็งพักผ่อนเถอะวันนี้เหนื่อยมามาก ข้าก็จะนอนเหมือนกัน
กล่ำลุกหนีขึ้นเรือนไป เฟื่องฟ้านึกเสียดายที่ไม่ได้ซักต่อ

กลางดึกคืนนั้น งามตานอนหลับอยู่ในห้องนอนบนเรือนใหญ่ แต่จู่ก็รู้สึกไม่สบายตัวจนนอนไม่หลับ
ท้องฟ้ายังคงเป็นสีแดงสายลมแรงราวกับพายุพัดโหมไม่หยุด ฟ้าร้องครืนครัน เสียงหมาเห่าหอนโหยหวนรับกันเป็นทอดๆ บรรยากาศน่ากลัว
เสียงบ่าวในเรือนหวีดร้องดังระงม งามตาสะดุ้งตื่นขึ้นมา

นมขามเองก็นอนไม่หลับ ลุกออกมาดูบ่าวในเรือนคนอื่นๆ พบว่าทุกคนต่างพากันนั่งพนมมือสวดมนต์ให้พระ เจ้า คุ้มครองกันสลอน นมขามมองไปทางเรือนดอกเหมย นึกถึงไต้ก๋งชางขึ้นมาโดยประหลาด
“ไม่…มันจะเป็นไปได้ยังไง”
เสียงบ่าวสวดมนต์ยังดังระงมไปทั่วเรือน นมขามหน้าเครียด

ด้านงามตาพยายามข่มตาหลับ แต่เหมือนมีอะไรรบกวนจิตใจตลอดเวลาจนนอนไม่ได้ งามตาลืมตาขึ้นมามองไปนอกหน้าต่าง ลมยังพัดแรงไม่เลิก งามตาหลับตาลงอีก
เสียงพิณจีนเป็นทำนองดังแว่วขึ้นมาไกลๆสักพักเสียงฝีเท้าหนึ่งก็ดังขึ้นเหมือนใครมาเดินหน้าห้อง
“ใครน่ะ”
งามตาพยายามทำใจให้หลับ สุดท้ายก็ทนไม่ไหวลุกออกไปดู
บริเวณหน้าห้องหมอกลงจัด ทางเดินขมุกขมัวจนผิดปกติ งามตาแปลกใจ
ยินเสียงฝีเท้าเหมือนคนเดินดังขึ้น งามตามองไป เห็นเงาชายคนหนึ่งอยู่สุดริมทางเดิน
“ใคร ฉันถามว่าใคร พ่อก้องหรือ”
ชายคนนั้นเดินไปโดยไม่หันมามองงามตา ลมพัดมาวูบหนึ่งจนงามตาต้องหลับตาลง พอลืมตาขึ้นมาชายคนนั้นก็หายตัวไปแล้ว งามตามองหาบ่าวแถวนั้น
“มีใครอยู่แถวนี้ไหมเอ็งช่วยไปตามคนๆ นั้นมาหน่อย”
เงียบ ไม่มีเสียงตอบ งามตาชักหงุดหงิด มองไปยังทิศที่ชายคนนั้นเดินไปแล้วตัดสินใจออกตาม

งามตาลงเรือนมาดูข้างล่าง พบว่าบรรยากาศดูขมุกขมัวน่ากลัว
“วันนี้เป็นอะไร ฟ้าฝนวิปริตไปหมด”
ลมเย็นบาดผิวกาย และยังพัดมาเรื่อยๆ งามตาไม่ชอบใจนัก คิดจะกลับขึ้นเรือน พอหันหลังจะก้าวเดินไปที่บันได กลับรู้สึกถึงเสียงแปลกๆ
งามตามเดินไปต่อ มีเสียงย่ำเท้าสวบสาบไปตามทางแต่ขณะที่ก้าวเท้าไปนั้น มีเสียงหนึ่งดังซ้อนขึ้นมาตลอด งามตาคิดว่ามันผิดปกติเลยหันไปดู แต่ก็ไม่มีใคร
งามตาย่ำเท้าเร็วขึ้น จะรีบกลับเรือน เสียงนั้นยังคงตามมาแล้วเร็วขึ้นๆ ตามจังหวะก้าว
สักพัก เสียงร้องเพลงงิ้วท่วงทำนองที่เคยได้ยินก็แว่วดังมาตามสายลม งามตาพยายามไม่สนใจ เดินต่อ แต่มันยังคงดังขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกับเสียงฝีเท้านั้น
งามตาชักทนไม่ไหว คิดว่าเป็นบ่าวในเรือนมาล้อเล่น จึงหันไปเอ็ด
“นี่พวกเอ็งคิดจะล้อเล่นกับข้ารึ”
งามตามองไปรอบๆ แต่ไม่มีใครสักคน เสียงเพลงงิ้วเงียบลง มีแต่เสียงหรีดหริ่งเรไรดังระงม รอบข้างมืดสนิท
“คอยดู ถ้าข้าจับได้ว่ามีคนคิดจะยั่วข้า ข้าจะจับโบยให้หลังลาย ไอ้อีไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงพวกนี้”
งามตาหงุดหงิด จะกลับเรือน แต่แล้วก็มีเสียงฝีเท้าหนึ่งมาหยุดอยู่ด้านหลัง
“ออกมาแล้วรึ”
งามตาหมายจะเอ็ดเต็มที่ แต่พอหันไปแล้วก็ถึงกับก้าวไม่ออก
ด้วยภาพตรงหน้า เป็นศีรษะชายคนหนึ่งลอยคว้างอยู่กลางอากาศ สายตาจดจ้องมาที่งามตาอย่างเคียดแค้น ศรีษะนั้นค่อยๆ แสยะยิ้มออกมา และเปลี่ยนเป็นใบหน้าที่เน่าเฟะ น้ำเลือดน้ำหนองไหลออกมาอย่างน่าเกลียดน่ากลัว
งามตาตกตะลึงพรึงเพริด ก่อนจะกรีดร้องเสียงดังลั่นด้วยความกลัวสุดหัวใจ

งามตาวิ่งหนีขึ้นเรือนใหญ่มา แหกร้องตะโกนให้คนช่วยไปตลอดทาง
“ช่วยด้วย ใครก็ได้ ช่วยด้วย”
งามตามวิ่งเตลิดไม่รู้ทิศรู้ทางจนมาโผล่หน้าห้องก้องภพ งามตาจำได้รีบเคาะประตูห้อง ทุบรัวๆเหมือนคนขาดสติ
“พ่อก้อง ได้ยินแม่ไหม ช่วยแม่ด้วย พ่อก้อง”
งามตาคอยเหลียวมองไปด้านหลังอย่างวาดระแวง ลมพัดมาวูบหนึ่ง กลุ่มควันปรากฏขึ้นด้านหลัง งามตากลัวมากทุบประตูเรียกลูกชายดังลั่น
“พ่อก้อง ช่วยด้วย ช่วยด้วย”
กลุ่มควันรวมตัวเป็นไม่เป็นรูปเป็นร่างพุ่งเข้าหา งามตากรีดร้องดังลั่น
“อ๊ายยย”
เป็นจังหวะที่ก้องภพเปิดประตูออกมาพอดี กลุ่มควันนั้นก็สลายไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
งามตาช็อกร่วงลงสลบไปตรงหน้าห้องนั้นเอง ก้องภพตกใจ
“คุณแม่”
ก้องภพเข้าไปประคองงามตาไว้ สงสัยหนักว่าเกิดอะไรขึ้นกับผู้เป็นมารดา

บรรยากาศรอบบ้านแถนวังเวงจนดูน่ากลัว ลมพัดแรง ไม่ต่างจากเรือนลำพระพาย
รำเพยกับเฟื่องฟ้าหลับไปแล้ว แต่จู่ๆ เฟื่องฟ้าก็มีท่าทีกระวนกระวาย เหมือนคนนอนหลับไม่สนิท หายใจแทบไม่ออก เหงื่อผุดขึ้นเต็มใบหน้า
จังหวะนี้กลุ่มควันสีขาวคล้ายกับที่ไล่ตามงามตาก็ปรากฏขึ้นในห้อง เริ่มรวมตัวกลายร่างเป็นรูปร่างของศรีษะจ้องมองเฟื่องฟ้าอยู่

เฟื่องฟ้าเดินไปตามทางเดินที่หมอกลงจัดแทบมองไม่เห็นทาง เดินไปเรื่อยๆ ไม่รู้ว่าตนกำลังเดินไปไหนเห็นแค่แสงสว่างอยู่ปลายทาง
เฟื่องฟ้ามองไป เห็นเงาของชายคนหนึ่งมองมา ไม่เห็นใบหน้า สักพักชายคนนั้นก็หันหลังแล้วออกเดินไปอีก เฟื่องฟ้าสงสัยว่าจะไปไหน เลยวิ่งตาม ตะโกนเรียก
“คุณ จะไปไหน คุณคะ”
เฟื่องฟ้าวิ่งตามชายคนนั้นไปพักหนึ่ง พลันก็มีแสงสว่างวาบพุ่งเข้ามาปะทะกับตัวเฟื่องฟ้า
ทันทีที่เฟื่องฟ้าลืมตาขึ้นมองไป ถึงกับตะลึง
ตรงหน้าปรากฏเป็นเรือนเก่าสวยงามคล้ายเรือนดอกเหมยในปัจจุบันแต่ใหม่กว่า
“แม่หนู…”
เสียงไต้ก๋งชางดังขึ้น แต่ยังไม่เห็นตัว เฟื่องฟ้าพยายามเหลียวมองหาไปรอบๆ
“แม่หนู”
เฟื่องฟ้ามองไปทางเรือน เห็นชายคนนั้นปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งอยู่ไกล
“คุณ”
“แม่หนู”
“คุณเป็นใคร ที่นี่คือที่ไหน เรือนดอกเหมยงั้นเหรอ”
ชายคนนั้นไม่ตอบได้แต่ยืนนิ่ง พูดกับเฟื่องฟ้า น้ำเสียงเศร้าสร้อย
“ช่วยด้วย ช่วยฉันด้วย”
“คุณเป็นใคร จะให้ฉันช่วยอะไร”
เฟื่องฟ้าพยายามเดินเข้าไปใกล้อีก ชายคนนั้นยังพูดประโยคเดิมซ้ำวนไปมา
“คุณ…”
เฟื่องฟ้าเดินเข้าไปใกล้จนเกือบจะถึงตัว แต่แล้วร่างไต้ก๋งชางก็ค่อยๆ สลายไป จนเหลือแต่หัวที่มีเลือดไหลย้อย ค่อยๆ ลอยเข้ามาหาเฟื่องฟ้า
“ช่วยด้วย”
เฟื่องฟ้าตกใจสุดขีดกรีดร้องสุดเสียง

ที่แท้เฟื่องฟ้าฝันร้าย สะดุ้งตื่นขึ้นมาตอนค่อนรุ่งสภาพเหงื่อโทรมกาย พอตั้งสติได้ พบว่าตนนอนอยู่และเห็นทุกอย่างปกติดีก็ใจชื้นขึ้น เป็นฝ่ายรำเพยที่ตกใจตื่นตามเสียงของลูกสาว ลุกขึ้นมาถามอย่างเป็นห่วง
“เฟื่องฟ้า เป็นอะไรไป”
เฟื่องฟ้ามองหน้ารำเพย เล่าความฝันให้ฟังทั้งที่ตกใจอยู่
“แม่…ฉันฝัน”
“ฝันอะไร ฝันร้ายหรือ”
“ฉันฝันเห็นเรือนที่คล้ายเรือนดอกเหมย แล้วก็ชายคนหนึ่ง”
“ลูกฝันถึงใคร”
“ผู้ชายคนหนึ่ง แต่งตัวคล้ายคนจีน แต่เขา…มีแต่หัว”
รำเพยอึ้งนิ่งงันไป “พูดอะไรออกมาน่ะ เหลวไหลอีกแล้ว”
“ฉันพูดจริงนะ ในฝันนั่นเหมือนจริงมาก แล้วมันก็แปลกด้วย”
“แปลกอะไรอีก”
เฟื่องฟ้านิ่งนึก “ก็ชายคนนั้นเหมือนจะอยากให้ฉันช่วยอะไรสักอย่างน่ะสิจ๊ะ”
รำเพยพูดไม่ออก รีบเปลี่ยนเรื่อง
“แม่ว่าคงเป็นฝันร้ายเพราะบาดเจ็บมามากกว่า ไม่มีอะไรหรอก”
“จริงหรือจ๊ะ เราไม่เคยมีคนรู้จักที่เป็นเจ๊กจีนอย่างนั้นมาก่อนเลยหรือ”
รำเพยชะงักงันไปอีก
“จะถามอะไรนัก แม่บอกว่าไม่มีอะไรก็คือไม่มีไง เลิกพูดเรื่องนี้เสียที รีบลุกไปล้างหน้าล้างตา แล้วไปช่วยน้ากล่ำหุงข้าวไป”
รำเพยลุกเดินหนีออกไปเลย เฟื่องฟ้ายังค้างคาใจกับความฝันไม่คลาย

ส่วนที่เรือนลำพระพาย บุหลันเดินมาหยุดหน้าห้องนอนงามตาเคาะประตูเรียก
“คุณนายเจ้าขา คุณก้องให้บุหลันมาเฝ้าคุณนายเจ้าค่ะ”
เสียงในห้องเงียบ ไม่มีความเคลื่อนไหว บุหลันเคาะเรียกอีก
“คุณนายได้ยินบุหลันไหมเจ้าคะ”
ยังไม่มีเสียงตอบอีก บุหลันรู้สึกว่าแปลกๆ
“บุหลันขออนุญาตนะเจ้าคะ”
บุหลันเปิดประตูห้องเข้าไป เห็นงามตานอนอยู่บนเตียง ในสภาพหน้าตาซีดเซียวเหงื่อโทรมกาย ท่าทางหวาดผวา พูดเพ้อเหมือนคนเป็นไข้
“อย่าเข้ามา ฉันกลัวแล้ว อย่าทำฉันเล”
บุหลันตกใจรีบกลับออกไปรายงานก้องภพทันที

บุหลันรีบมารายงานเรื่องงามตา ก้องภพตกใจมาก
“คุณแม่ไข้ขึ้นสูงงั้นหรือ”
“เจ้าค่ะคุณก้อง บุหลันไปดูก็นอนเพ้อไม่ได้สติเสียแล้ว ตามหมอดีไหมเจ้าคะ”
ก้องภพพยักหน้ารับเอาคำ พลางหันไปทางคฑาที่ยืนอยู่ด้วยกันตรงหน้าเรือนใหญ่
“คฑา เราวานหน่อย ช่วยไปตามหมอให้ที”
“ขอรับคุณก้อง”
ก้องภพรีบร้อนขึ้นเรือนไปดูแม่มีบุหลันตามไปด้วย ส่วนคฑารีบบ่ายหน้าไปทางท่าน้ำเพื่อตามหมอ

เวลานั้น งามตาลุกขึ้นมาชี้สั่งบ่าวให้เอายันต์ไล่ปิดรอบเรือน
“พวกเอ็งปิดยันต์พวกนี้ให้หมดทุกประตูถ้าข้าเห็นว่าพวกเอ็งสะเพร่าปล่อยไอ้ผีพวกไหนมันหลอกข้าได้อีก ข้าจะลงโทษให้หมดทั้งเรือน เร็วเข้า”
บ่าวกุลีกุทำตามจนวุ่นวายไปทั้งเรือน
ก้องภพเดินเข้าเรือนมากับหมอเห็นคนเดินให้วุ่นก็สงสัย
“เดี๋ยวก่อนๆ ทุกคนหยุด คุณแม่ครับนี่มันเกิดอะไรขึ้น”
งามตาเห็นก้องภพรีบโผเข้าไปหา
“พ่อก้อง พ่อก้องของแม่…พ่อก้องมาก็ดีจะได้ช่วยแม่”
“คุณแม่เอายันต์พวกนี้มาปิดตามเรือนทำไมครับ แล้วนี่มันยันต์อะไรกัน”
“ยันต์กันไอ้พวกผีร้ายน่ะสิ แม่ให้ไอ้พวกบ่าวมันปิดตามเรือนให้หมด มันจะได้เข้ามาทำร้ายแม่ไม่ได้”
ก้องภพฟังแล้วยิ่งแปลกไปใหญ่
“ผี...ผีที่ไหนกันครับ”
“ก็ไอ้…” งามตาชะงักคิดได้ เกทอบหลุดปากด่าไต้ก๋งชางไป “แม่ก็ไม่รู้ แต่แม่ต้องทำแบบนี้บ้านเราถึงจะปลอดภัย พ่อก้องเชื่อแม่นะ”
“บ้านเราก็ปลอดภัยดีอยู่นี่ครับ เอาอย่างนี้ ผมพาคุณหมอมาแล้ว คุณแม่ไปตรวจกับผมดีกว่า ไว้กินยานอนพักแล้วคุณแม่อาจจะดีขึ้น”
งามตาโมโห โวยวายที่ลูกไม่เชื่อ
“พ่อก้องคิดว่าแม้เพ้อเพราะพิษไข้งั้นหรือ”
“ไม่ใช่นะครับ”
“อย่าแก้ตัว พ่อก้องไม่รู้หรอกว่ามันมีอันตรายที่เรามองไม่เห็นอยู่ แม่เห็น…แม่รู้สึก แล้วแม่ก็จะไม่ยอมให้มันมาทำร้ายเราเป็นอันขาด”
“คุณแม่…”
“ถ้าพ่อก้องไม่เชื่อแม่ไม่ว่า แต่อย่ามายุ่งเรื่องนี้ แม่ต่างหากที่รู้ว่าควรจะทำอย่างไร” งามตาไล่หมอด้วย “คุณด้วย กลับไปได้แล้ว”
งามตาหันไปสั่งบ่าวในเรือนปะผ้ายันต์ต่อ ก้องภพกลุ้มเป็นห่วงแม่

ฝั่งเฟื่องฟ้าลุกมาช่วยกล่ำก่อไฟหุงข้าว กล่ำฟังเรื่องฝันประหลาดจากเฟื่องฟ้าด้วยสีหน้าตกใจ
“ชายหัวขาดที่เรือนดอกเหมย…เอ็งฝันอะไรพิลึกอย่างนั้นเฟื่องฟ้า”
“จะว่าพิลึกก็ได้จ้ะน้า ฉันก็ยังว่ามันแปลกทำไมถึงฝันอย่างนั้นได้ก็ไม่รู้”
“แม่เอ็งรู้เรื่องนี้ไหม แล้วว่าอย่างไร”
“ฉันเล่าแล้วจ้ะ แต่เหมือนทุกที ดูไม่อยากพูดถึงอย่างไรก็ไม่รู้”
กล่ำถอนหายใจ ทำเป็นเสก่อฟืนไฟไปเรื่อย
“ในฝันเขาบอกเอ็งว่าอะไร”
“เขาเหมือนต้องการให้ฉันช่วยอะไรสักอย่าง แต่ยังไม่ทันได้ถามฉันก็ตื่นเสียก่อน”
“สงสัยเอ็งจะเหนื่อยเกินไปอย่างที่แม่เอ็งว่า เลยฝันเป็นตุเป็นตะ ดูซิไฟในเตาจะมอดแล้ว ไปหาฟืนมาเติมหน่อยไป”
“จ้ะน้า”
กล่ำตัดบทไล่เฟื่องฟ้าไป ทั้งทีตัวเองก็รู้สึกว่ามีอะไรไม่ชอบมาพากลแน่ๆ

เฟื่องฟ้าลงเรือนมาหาฟืนทางหลังบ้านด้วยสีหน้าเซ็งๆ แต่ต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงลุงแถนกับแม่คุยกัน
“แปลก…ทุกอย่างมันแปลกจริงๆ นะแถน”
เฟื่องฟ้าค่อยๆ เดินย่องไปใกล้ๆ เห็นแถนกับรำเพยคุยกันหน้าเครียดอยู่
“จริงขอรับคุณรำเพย จู่ๆ ที่เรือนดอกเหมยก็มีฟ้าผ่าลงมา ทั้งๆ ที่ไม่มีวี่แววมาก่อน แล้วไหนจะเรื่องฝันของเฟื่องฟ้าอีก”
“พี่แถน ฉันไม่อยากให้เป็นเขาเลย เฟื่องฟ้าไม่น่าจะฝันถึงเขาได้”
“กระผมไม่อยากคิดว่าใช่ แต่จากที่คุณเฟื่องฟ้าเล่า น่ากลัวว่าจะเป็นนายท่านจริงๆ”
รำเพยหน้าเครียดมากขึ้น
“ฉันควรทำอย่างไรพี่แถน ฉันพาเฟื่องฟ้าหนีไปอีกดีไหม ไปไหนก็ได้ให้ไกลจากที่นี่ฉันไม่อยากให้ลูกข้องเกี่ยวกับคนที่เรือนนั้นอีก”
“กระผมเกรงว่าต่อให้พยายามหนี เราก็จะไม่มีวันหนีพ้นน่ะสิขอรับ”
“เพราะอะไรล่ะ มันยากนักหรือ ฉันแค่ไม่อยากให้ลูกเป็นอันตรายเท่านั้นเอง”
แถนอึกอักลำบากใจ เฟื่องฟ้าขยับเข้าไปใกล้อีกจะได้ฟังให้ถนัดหู แต่ดันสะดุดก้อนหินเสียงดังขึ้นก่อน แถนกับรำเพยตกใจหันไปทางเสียงพร้อมๆ กัน เฟื่องฟ้าจำใจต้องแสดงตัวออกมา
“ฉันเองจ้ะแม่ ลุงแถน”
“เฟื่องฟ้า มาทำอะไรที่นี่ แม่ให้ไปช่วยน้ากล่ำไม่ใช่หรือ”
“น้ากล่ำให้ฉันมาหาฟืนเพิ่มจ้ะ เลยมาดูแถวนี้ พอจะเห็นบ้างไหมจ๊ะ”
รำเพยมองหน้าแถนเชิงบอก แถนรับลูก อาสาพาไปเอง
“ข้าผ่าฟืนเก็บไว้ท้ายเรือนโน่น เดี๋ยวข้าพาไป”
แถนเดินนำเฟื่องฟ้าไปท้ายเรือน เฟื่องฟ้าจำใจตามไป รำเพยโล่งอก

ก้อนอยู่ที่เรือนของมัน นั่งก๊งเหล้าอยู่คนเดียวกำลังคิดเรื่องที่เห็นรำเพย จนเสียงงามตาแหวดังขึ้น
“ไอ้ก้อน เอ็งอยู่ไหม ออกมาพบข้าที”
ก้อนรีบลุกออกไปหา เจองามตามาหาตนถึงเรือนก็อดเหน็บไม่ได้
“สงสัยจะเกิดอาเพศเสียแล้ว คุณนายงามตาอุตส่าห์ถ่อมาหาข้าถึงเรือน”
ก้อนจะเข้าไปกอด แต่ถูกงามตาผลักออกอย่างแรง
“อย่ามาแตะต้องตัวข้า ชีวิตเอ็งจะเกิดอาเพศใหญ่แน่ถ้าเอ็งรู้ว่าข้าเจออะไร”
ก้อนชะงัก “เอ็งเจออะไร”
งามตามองซ้ายขวาอย่างหวาดระแวง เขย่าตัวก้อนบอกข่าวร้าย
“ไต้ก๋งชาง วิญญาณไอ้ไต้ก๋งชางมันกลับมาแล้ว”
ก้อนไม่เชื่อผลักงามตาออก “งามตาเอ็งเสียสติไปแล้วเรอะ เรื่องมันตั้งกี่ปีแล้ว ไอ้ไต้ก๋งชางมันจะกลับมาอีกได้อย่างไร”
“เอ็งไม่เชื่อข้าก็ตามใจ แต่ข้าเห็นจริงๆ มันไล่ตามข้า จะทำร้ายข้า ไอ้ไต้ก๋งชางมันจะกลับมาล้างแค้นทุกคนที่ทำให้มันต้องเจ็บ ต้องทรมาน ใช่…ต้องเป็นอย่างนั้นแน่”
งามตาพูดน้ำเสียงสั่นเครือเหมือนหวาดกลัวจริงๆจัง แต่ก้อนยังไม่อยากจะเชื่อ
“ข้าว่าเอ็งกลับเรือนไปเสียดีกว่า อย่ามาพูดเพ้อเจ้อไร้สติอยู่เลย”
“ข้าบอกแล้วไงว่าข้าไม่ได้บ้า”
“เออ ข้ารู้แล้ว เดี๋ยวข้าจะไปดูที่เรือนนั่นให้ เอ็งกลับไปก่อน แล้วอย่ามาที่นี่เวลานี้อีก ถ้าไม่อยากให้พวกบ่าวเอ็งเห็น”
งามตาขัดใจสะบัดตัวเดินกลับเรือนใหญ่ ก้อนมองตามด้วยสีหน้าสงสัย

ก้อนพาตัวเองมาที่เรือนดอกเหมย ซุ่มดูจนแน่ใจว่าไม่มีใคร จึงเดินเข้าไปสำรวจที่บริเวณใต้ถุนเรือน
“เมื่อวานฟ้าผ่า แต่ทำไมไม่มีร่องรอยความเสียหายอะไรเลย”
ก้อนเดินไปดูตรงบันไดขึ้นเรือนดอกเหมย แล้วพบว่ามีบางอย่างแปลกไป
“นั่นมัน…”
พื้นตรงตีนบันไดเรือนดอกเหมยมีร่องรอยเหมือนคราบเลือดปรากฏอยู่
ก้อนนึกไปถึงเหตุการณ์วุ่นวายคืนเปิดแสดงงิ้ว

รำเพยเข้าไปยื้อยุดพวกนักเลงไว้จนผ้าคลุมหน้าหลุดลงมา เฟื่องฟ้าเห็นเข้าพอดี ตกใจที่แม่ตัวเองมาที่นี่ ขณะนั้นดาบของนักแสดงที่เล่นคู่กันฟันลงมาพอดี
ดาบฟาดเข้าที่เฟื่องฟ้าอย่างจัง เฟื่องฟ้าเสียหลักพลัดตกจากเวที คนดูกรี๊ดดังขึ้น รำเพยมองไปที่เวที เห็นเฟื่องฟ้าลงมานอนเลือดอาบอยู่แล้ว
เฟื่องฟ้าพบว่าตัวเองมีเลือดไหลออกมา แต่ยังลุกไม่ไหว เลือดไหลเป็นทางยาวซึมลงไปตามรอยแตกของพื้นฉับพลันสายลมด้านนอกก็พัดอื้ออึงคล้ายฝนจะตกหนัก
“เฟื่องฟ้า”
ก้อนยืนอึ้งที่เห็นรำเพยซึ่งเข้าใจว่าตายมานานแล้วปรากฏตัวที่งาน

ก้อนดึงความคิดกลับออกมา สีหน้าเครียดจัด สังหรณ์ใจว่าจะต้องเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแน่ๆ

ด้านงามตาเก็บตัวอยู่ในห้อง ลุกขึ้นเดินวนไปมาอย่างกระวนกระวาน
“ไต้ก๋งชาง ต้องเป็นมันแน่ๆ มันกลับมาแล้ว”
งามตาหวาดผวา สั่นสะท้านไปทั้งตัว มองไปรอบห้องอย่างหวาดระแวง แต่แล้วก็หยุดเดินเอาดื้อๆ นึกอะไรขึ้นมาได้
งามตานั่งลงกับพื้นกวาดตามองหาบางอย่าง สายตาไปหยุดนิ่งตรงไม้กระดานแผ่นหนึ่ง ออกแรงงัดไม้กระดานแผ่นนั้นขึ้นมา งามตานิ่งทำใจ หายใจลึกๆ แล้วมองลงไปในร่องใต้ไม้แผ่นนั้น แววตาเต็มไปด้วยความรังเกียจ
ในนั้นมีห่อผ้าที่ห่อบางอย่างไว้ งามตาหยิบขึ้นมาค่อยๆ คลี่มันออก
เป็นพร้าด้ามหนึ่งที่มีรอยเลือดแห้งกรังติดอยู่กับยันต์อักขระเขมรที่ลงไว้บนด้ามและตัวพร้า
จู่ๆ มีลมพัดมาวูบหนึ่ง แล้วค่อยๆ โหมแรงหนักขึ้น ก่อนจะได้ยินเสียงฝีเท้าคนเดินเข้ามา
งามตารับรู้ว่ามีใครบางคนมายืนอยู่ทางด้านหลัง และเงานั้นค่อยๆ เคลื่อนเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ
งามตาตกใจคว้าด้ามพร้ามากำแน่นแล้วหันไปหา กะจะฟันให้เต็มเหนี่ยว
“ไป”
ที่แท้เป็นก้อน มันจับมืองามตายั้งไว้ทัน “งามตา นี่ข้าเอง”
งามตาผงะ “ไอ้ก้อน เอ็งเข้ามาได้อย่างไร”
ก้อนมองพร้าในมืองามตาอย่างหวาดกลัว
“งามตา เอ็งจะทำอะไร”
“ข้าถาม ว่าเอ็งเข้ามาได้อย่างไร”
งามตามองก้อนตาขวาง
“ข้าแอบขึ้นเรือนมา ข้ารู้ว่าไม่ควรมาที่นี่ แต่ข้ามีเรื่องจำต้องบอกเอ็ง”
“เรื่องอะไร”
งามตายังไม่ยอมเก็บพร้าลง ก้อนพูดเกลี้ยกล่อม
“เอ็งวางพร้านั่นลงก่อนเถอะ แล้วข้า…”
“ไม่ ไอ้ผีร้ายนั่นมันกลับมาแล้ว เอ็งอาจจะถูกมันเข้าสิงก็ได้ รีบบอกมา”
ก้อนกลืนน้ำลายลงคออย่างยากเย็น เหมือนทำใจ ก่อนจะพูดออกมา
“ข้าแอบไปดูงิ้วที่เรือนดอกเหมยเมื่อคืน ข้าเองก็ไม่อยากจะเชื่อ แต่ข้า…ข้าเจอ…”
“เอ็งเจอใคร ไอ้ก้อน”
“รำเพย…นังรำเพยมันพรางตัวเข้ามาดูงิ้วด้วย ข้าเห็นมัน มันยังไม่ตาย”
ทันทีตกตะลึง แต่ไม่เชื่อ
“ไม่ ไม่จริง เป็นไปไม่ได้”
งามตากรีดร้องเสียงดังลั่น ปล่อยมีดพร้าตกลงกับพื้นห้อง
นาทีนั้น ท้องฟ้าด้านนอก เหนือเรือนลำพระพายกลายเป็นสีเทาหม่น บรรยากาศอึมครึมแลดูน่ากลัวสุดจะประมาณ งามตาตัวสั่นสะท้าน สายตาเต็มไปด้วยความหวาดหวั่น ระแวงว่าสิ่งที่ตนเคยทำชั่วเอาไว้ จะย้อนกลับมาเอาคืน

อีกฟากหนึ่ง เฟื่องฟ้าเดินออกมาหยิบฟืนให้กล่ำที่ท้ายเรือน รำเพยตามมาหา
“เฟื่องฟ้า”
เฟื่องฟ้าหันมาหา “จ้ะแม่”
“เดี๋ยวช่วยน้ากล่ำเสร็จแล้วเข้าไปเก็บของ เย็นนี้เราจะกลับบ้านกัน”
“จ้ะ”
เฟื่องฟ้าหันไปหยิบฟืนต่อ รำเพยทำใจสักพักก่อนจะพูดขึ้นว่า
“ก่อนกลับบ้านแม่จะแวะเข้าเมืองด้วย”
เฟื่องฟ้าแปลกใจ “แม่จะแวะเข้าเมืองทำไมหรือ”
“แม่จะแวะซื้อของสักหน่อย แล้ว ก็จะให้ลูกไปลาออกจากโรงเรียนนาฏศิลป์”
เฟื่องฟ้าตกใจ แทบไม่เชื่อหู เผลอปล่อยฟืนหลุดมือ หันมาทางรำเพย
“แม่ว่าอย่างไรนะจ๊ะ ลาออกจากโรงเรียนงั้นหรือ”
“ใช่ แม่จะไม่ให้ลูกไปสอนรำไทยที่นั่นอีกแล้ว”
“แต่แม่จ๊ะ นั่นมันเป็นงานของฉันนะ ฉันอุตส่าห์พยายามแทบตายกว่าจะเข้าได้”
“ลูกยังไม่เข้าใจอีกหรือ ที่แม่สั่งเพราะลูกจะได้ไม่มีข้ออ้างกลับไปที่เรือนดอกเหมยนั่นอีกไงล่ะ”
“เรือนดอกเหมยอีกแล้วหรือ”
รำเพยกลืนน้ำลายอย่างฝืดคอ หลบตาวูบ เฟื่องฟ้าเดินมาคาดคั้น
“ทำไมล่ะจ๊ะแม่ ที่เรือนนั่นมันมีอะไร ฉันถึงกลับไปไม่ได้”
“แม่บอกเหตุผลไปแล้ว ไม่ได้ยินหรือไง”
“คราวก่อนเรื่องฝันแม่ก็บ่ายเบี่ยงทีหนึ่งแล้ว นี่ยังจะเรื่องงานฉันอีก แม่มีเหตุผลอะไรแน่ บอกฉันมาเถอะ”
“แม่บอกไม่ได้ และแม่ก็จะไม่มีวันบอก ลูกมีหน้าที่แค่ทำตามก็จงทำ ไม่อย่างนั้นเราตัดแม่ตัดลูกกัน”
เฟื่องฟ้าน้ำตาคลอ ร้องไห้ออกมาด้วยความน้อยใจ
“แค่ฉันอยากรู้เรื่องที่ควรรู้ แม่ต้องทำกับฉันขนาดนี้เลยหรือ…”
“เฟื่องฟ้า…”
รำเพยจะเข้าไปหาลูก แต่เฟื่องฟ้าไม่อยากฟังแล้ว
“แม่ใจร้ายกับฟ้าเหลือเกิน”
เฟื่องฟ้าร้องไห้โฮแล้ววิ่งหนีไป รำเพยเสียใจทรุดลงร้องไห้ตรงนั้น

รำเพยหลบมาแอบร้องไห้อยู่หลังบ้าน แถนตามหาจนเจอ
“คุณรำเพย”
รำเพยรีบปาดน้ำตาทิ้ง หันมาหา ปรับสีหน้าเป็นปกติ
“อ้าว พี่แถนเองหรอกหรือ ฉันว่าจะเข้าไปเก็บของพอดี จะได้กลับบ้าน”
รำเพยทำเป็นจะเดินกลับไปทางเรือน แถนพูดขึ้น
“คุณรำเพยทำไมไม่เล่าความจริงให้เฟื่องฟ้าฟังเล่าขอรับ”
รำเพยชะงักนิ่งงันไป
“เฟื่องฟ้าไม่ใช่เด็กแล้ว สักวันก็ต้องอยากรู้ความจริง กระผมว่าบอกไปเสีย อาจจะดีกว่า”
“อย่าพูดอย่างนั้นเลย พี่แถนน่ะไม่รู้จักเฟื่องฟ้าดี เฟื่องฟ้าน่ะเป็นเด็กดื้อ หากรู้เรื่องจะต้องคิดกลับไปสืบที่เรือนนั่นอีกแน่”
“ต่อให้ไม่บอก เฟื่องฟ้าก็จะหาวิธีรู้ความจริงจนได้”
“ฉันถึงต้องกันไว้ก่อนแก้อย่างไรล่ะ ฉันจะไม่ยอมให้ลูกถูกทำร้ายเหมือนฉัน ไม่มีวัน…”
รำเพยน้ำตาคลอเบ้า แถนมองสงสาร ทั้งเห็นใจและเข้าใจ
“คุณรำเพยเคยได้ยินเรื่องชะตาลิขิตไหมขอรับ”
“ชะตาลิขิต อย่างไรหรือพี่แถน”
“เขาว่าโชคชะตาเป็นสิ่งไม่อาจฝืนได้ ต่อให้พยายามหนีแต่หากชะตากำหนดไว้สุดท้ายก็ต้องเผชิญหน้ากับมันอยู่ดี”
“พี่แถนจะว่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดเป็นเพราะโชคชะตางั้นหรือ”
“กระผมก็ไม่เคยเชื่อมาก่อน จนกระทั่งได้เจอเรื่องของคุณรำเพยนี่แหละ”
รำเพยหน้าเศร้าลง
“แต่ถึงเราจะหนีมันไม่ได้ อย่างน้อยการสู้กับมันอาจจะดีกว่าหนีความจริงก็ได้”
รำเพยร้องไห้ออกมาอย่างอัดอั้นตันอุรา

ฝ่ายเฟื่องฟ้าพกความเสียใจระคนน้อยใจ หนีมานั่งร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่ริมแม่น้ำด้านหลังเรือน กล่ำเดินตามมา เข้าไปปลอบ
“ไม่เอา ไม่ร้องนะเฟื่องฟ้า”
เฟื่องฟ้าเช็ดน้ำตา พูดไปสะอื้นไป
“ฉันไม่เข้าใจเลย ทำไมแม่ต้องคอยห้ามไม่ให้ฉันทำนั่นทำนี่ด้วย พอฉันถามเหตุผลแม่ก็เอาแต่ว่าฉันอย่างเดียว”
“ที่แม่เขาว่าเพราะเขาหวังดีกับเอ็ง เอ็งจะคิดหาเหตุให้มากความทำไมล่ะ”
“ฉันต้องคิดสิน้า เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรก น้าก็เห็น”
“เออ ข้าเห็น แล้วข้าก็เห็นว่าเมื่อคืนเอ็งเกือบเอาชีวิตไม่รอด คิดดูว่า ถ้าแม่เอ็งกับลุงแถนไม่ไปช่วยไว้ เอ็งจะเป็นอย่างไร”
เฟื่องฟ้าเงียบไปเลย เพราะที่กล่ำพูดเป็นเรื่องจริง
“ฉันรู้ว่าแม่เป็นห่วง แต่ฉันไม่มีสิทธิ์สงสัยอะไรเลยหรือ”
“เอ็งมีสิทธิ์สงสัย แต่ไม่มีสิทธิ์คาดคั้นเอาคำตอบ เอ็งรู้ไว้แค่ทุกอย่างที่แม่เอ็งทำ เขาทำเพราะรักเอ็ง เขาเหลือแต่เอ็งคนเดียวเท่านั้นนะเฟื่องฟ้า”
เฟื่องฟ้าน้ำตาคลอจะร้องไห้อีก กล่ำจับมือปลอบ
“อดทนหน่อยเถอะ ถ้าเอ็งเชื่อฟังแม่แล้วทำในสิ่งที่ถูกที่ควร ข้าเชื่อว่าสักวันเขาจะยอมบอกเอ็งทุกเรื่องเอง”
เฟื่องฟ้าน้ำตาร่วงริน กล่ำกอดปลอบ สงสารคุณหนูจับใจ

รำเพยเก็บของอยู่ในห้องเตรียมกลับบ้าน เฟื่องฟ้าเดินมาหยุดมองแม่เงียบๆ อยู่ตรงประตู สุดท้ายเดินเข้าไปทรุดตัวลงกอดแม่นิ่งๆ จนรำเพยตกใจ
“ฟ้าขอโทษนะจ๊ะแม่”
“เฟื่องฟ้า”
รำเพยน้ำตารื้น เฟื่องฟ้าก็ด้วยขอโทษแม่
“ฟ้าขอโทษจ้ะ ขอโทษที่ดื้อกับแม่ ฟ้าเข้าใจแล้วจ้ะว่าแม่เป็นห่วงฟ้า”
รำเพยน้ำตาร่วงกอดตอบลูก
“แม่รักลูกนะเฟื่องฟ้า ที่แม่เตือนก็เพราะเป็นห่วงลูกเท่านั้นเอง”
รำเพยผละออกจากเฟื่องฟ้า ลูบผมลูกสาวคนเดียวด้วยความรักและเป็นห่วง
“ต่อไปนี้ฉันจะเชื่อฟังแม่ จะไม่ทำให้แม่เสียใจอีก แต่ฉันขออะไรแม่อย่างหนึ่งได้ไหมจ๊ะ”
“ลูกจะขออะไร”
“ฉันขอกลับไปสอนที่โรงเรียนนาฏศิลป์ได้ไหมจ๊ะแม่”
รำเพยนิ่งงันไป ถามเสียงขุ่น
“ทำไมลูกต้องไปที่นั่นอีก ไหนว่าจะเชื่อแม่ไง”
“ฟ้ารับปากกับครูใหญ่ไว้แล้ว ฟ้ากลัวจะเสียคำพูด แต่ฟ้าขอสอนอีกแค่เดือนเดียวเท่านั้น รอให้ครูหาคนใหม่ได้แล้วฟ้าจะออก นะจ๊ะแม่”
รำเพยลังเล แต่พอเห็นแววตาเว้าวอนของเฟื่องฟ้าที่มองมาก็ใจอ่อน
“ก็ได้ เดือนเดียวเท่านั้นนะ”
เฟื่องฟ้าดีใจโผเข้ากอดแม่แน่น รำเพยกอดตอบ แต่ลึกๆ ในใจยังกังวลไม่วายเว้น

ฝั่งงามตาร้อนใจนั่งไม่ติด ทันทีที่รู้เรื่องของรำเพย
“เป็นไปไม่ได้ นังรำเพยมันจะยังไม่ตายได้อย่างไร เอ็งอย่ามาโกหกข้า”
“ข้าจะปดเอ็งให้มันได้อะไร ยอมรับความจริงเถอะวะ”
“ข้าไม่เชื่อ ที่เอ็งเห็นมันอาจจะเป็นภาพลวงตาก็ได้ ใช่...เป็นภาพลวงตาแน่ๆ”
งามตาเดินวนไปวนมา ว้าวุ่นหนัก
“ไอ้ไต้ก๋ง...ไอ้ผีร้ายนั่นมันต้องอยากทำให้ข้าเป็นบ้า ถึงได้สร้างภาพมาหลอกข้า”
ก้อนไม่เชื่อ “เอ็งนี่ท่าจะกลัวจนเสียสติจริงๆ”
“ข้ายังสติดี แต่ข้ารู้ว่าไอ้ผีนั่นมันจ้องจะทำร้ายข้าตลอดเวลา”
งามตาพุ่งเข้ามาจับไหล่ก้อนพูดเสียงสั่น
“เอ็งต้องช่วยข้านะไอ้ก้อน เอ็งต้องช่วยข้า”
ก้อนเริ่มกลัวท่าทีของงามตาเลยผลักออก
“ข้าจะช่วยอะไรเอ็งได้”
งามตาครุ่นคิด ในที่สุดก็นึกออก
“พ่อข้าไง หมอผีอินผู้มีอาคมแก่กล้ากว่าใครในย่านนี้ เอ็งช่วยไปตามพ่อข้ามาที่นี่ที พ่อข้าต้องปราบไอ้ผีไต้ก๋งนั่นได้ราบคาบเป็นแน่”
งามตามองหน้าก้อนอย่างมีความหวัง ในขณะที่ก้อนมองลังเล เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง

ที่เรือนหมอผีอิน จอมอาคมกำลังนั่งบริกรรมคาถาทำเสน่ห์ให้กับจำปาที่นอนหงายอยู่ตรงหน้า วางตัวบึ้งลงบนตัวจำปา บริกรรมคาถา “นะหลงใหล”
จำปาผวามองอย่างหวาดกลัว แต่ก็ต้องจำทน หลับตาปี๋ให้บึ้งดูดเลือดไป ก่อนจะกรีดร้องเสียงดังลั่น

เวลาผ่านไป ขณะที่หมอผีอินกำลังจะปักมีดหมอลงบนตัวบึ้งเพื่อเอาเลือดจากตัวมัน
จู่ๆ ประตูหน้าเรือนก็เปิดผางออก หมอผีอินวางมีดหมอลง ร้องถามไปด้วยความโมโหที่ถูกขัดจังหวะ
“ใครวะ”
เห็นบุหลัน สน และก้อนเดินขึ้นเรือนมา หมอผีอินโกรธจัดชี้หน้าด่า
“เอ็งมาที่นี่ทำไม ไม่รู้รึว่าข้ากำลังทำพิธีสำคัญอยู่”
“ฉันขอโทษพ่อหมอ แต่ฉันมีเรื่องเร่งด่วน ต้องคุยกับพ่อหมอเดี๋ยวนี้”
“เรื่องอะไร ถ้าหากข้าฟังแล้วไม่สำคัญ เอ็งถึงคราวซวยแน่”
“เรื่องสำคัญจริงๆ พ่อหมอ…” ก้อนลดเสียงเป็นกระซิบบอก “เกี่ยวกับงามตา”
หมอผีอินแปลกใจ “อีงามตามีเรื่องอะไร”
“ข้าบอกตรงนี้ไม่ได้ แต่ท่านช่วยข้าหน่อยเถอะ ข้าขอร้อง”
ก้อนพยักพเยิดไปทางสองแม่ลูกที่มาด้วย หมอผีอินจึงหันไปบอกกับจำปา
“เอ็งออกไปรอด้านนอกก่อน ถึงเวลาแล้วข้าจะเรียก”
จำปาพยักหน้ารับแล้วออกไปพร้อมสนกับบุหลัน บุหลันไม่วายแอบมองด้วยความสงสัย

บุหลันกับสนออกมานั่งรอที่ชานเรือนด้วย จำปาบ่นอุบที่ถูกขัดจังหวะ
“ของข้ากำลังจะสำเร็จอยู่แล้วเชียว ชะรอยพวกเอ็งจะมาจากคนใหญ่คนโตรึหมอถึงยอมให้แทรกพิธีของข้าได้”
“ก็ใหญ่โตทีเดียวละ เรามาจากบ้านลำพระพายของคุณงามตา”
“คุณนายงามตา เหตุใดยังต้องทำเสน่ห์อีก” จำปางง
บุหลันทำหน้างง ไม่เข้าใจ
“ทำเสน่ห์อะไรกัน”
“อ้าว ข้าเห็นรีบร้อนเข้าไปก็นึกว่ามีเรื่องเร่งด่วน ที่แท้ไม่ใช่หรอกหรือ”
“เรื่องเร่งด่วนน่ะใช่ แต่ไม่ได้ทำเสน่ห์อะไรดอก ว่าแต่เอ็งเถอะทำเสน่ห์อะไรนั่นหมายความว่าอย่างไร”
จำปามองฉงน
“เอ็งสองคนเคยรู้จักท่านหมอผีอินมาก่อนไหม” จำปาแปลกใจ
“ข้ารู้แค่ว่าหมอผีอินเป็นพ่อของคุณนายงามตา เก่งกล้าวิชาอาคมปราบผี แต่ไม่รู้ว่าจะเก่งเรื่องทำเสน่ห์ด้วย” สนว่า
“โฮ้ย ใครๆ แถวนี้เขารู้กันทั้งนั้นแหละ”
จำปาขยับเข้ามาใกล้สองแม่ลูก คุยเป็นการใหญ่
“นี่คือสำนักหมอผีอิน ขึ้นชื่อนักเรื่องวิชาทำเสน่ห์ยาแฝด ผู้ใดที่ผัวเมียคิดตีจาก ลองมาให้พ่อหมอทำพิธี ไม่เกินเจ็ดวันคลานกลับบ้านทุกราย”
“ขนาดนั้นเลยเรอะ” สนแปลกใจ
“ขนาดนั้นแหละจ้ะ นี่ผัวฉันมันหายไปกับนังผู้หญิงแถวพระนครหลายวันแล้ว ฉันถึงต้องมาที่นี่ไงล่ะ”
บุหลันตาลุกวาว สนใจขึ้นมาทันที
“ทำเสน่ห์งั้นหรือ แม่ ถ้ามันได้ผลขนาดนั้นฉันลองบ้างดีไหม”
“เอ็งจะลองไปทำไมนังบุหลัน”
“ก็เผื่อฉันได้เป็นเมียคุณก้อง ฉันกับแม่จะได้สบายสักทีไงล่ะ”
“เออ เอ็งพูดจาเข้าท่า” สนเรียกจำปา “นี่เอ็ง”
“จ้ะป้า”
“ถ้าข้าอยากให้ลูกข้าทำบ้าง ข้าจะขอทำต่อจากเอ็งเลยได้หรือไม่”
“โอ๊ย ไม่ได้หรอกจ้ะ พ่อหมอน่ะลูกค้ามาก ต้องนัดก่อนเป็นเดือนๆ แล้วไม่ใช่ว่าใครจะทำก็ได้ มันขึ้นอยู่กับบุญวาสนาด้วย”
จำปาหัวเราะร่า บุหลันได้แต่มองหมั่นไส้

หมอผีอินขัดใจหลังจากทราบเรื่องไต้ก๋งชางจากปากก้อน
“บ๊ะ ข้าอุตส่าห์ทำพิธีขังมันไว้ใต้พื้นเรือนนั่นนานยี่สิบปีแล้ว เหตุใดเอ็งถึงปล่อยให้มันหลุดออกมาได้”
“ข้าก็ไม่รู้สาเหตุ มารู้ตอนอีงามตามาโวยวายลั่นอยู่หน้าเรือนนั่นละ”
“แล้วเอ็งได้ไปดูที่เรือนนั่นหรือยังว่ามีอะไรผิดปกติรึไม่”
“ข้าไปมาแล้ว เห็นแค่รอยเลือดตรงบันไดหน้าเรือน ไม่รู้ว่าเกี่ยวข้องกันด้วยรึไม่”
หมอผีอินสะดุดหู ชะงักนิดๆ
“เมื่อกี้เอ็งว่ารอยอะไรนะ”
“รอยเลือดจ้ะพ่อหมอ มันซึมลงไปที่รอยปูนแตก…ข้า…”
อินตวาดลั่น “เอ็งปล่อยให้เหตุการณ์นี้เกิดได้อย่างไร”
ก้อนเหวอไป ตกใจกับท่าทางหมอผีอิน
“ทำไมหรือพ่อหมอ”
หมอผีอินพุ่งเข้ามาบีบคอก้อนถามคาดคั้น ด้วยน้ำเสียงขุ่นเขียวไม่พอใจมาก
“ตอนที่ข้าไม่อยู่ได้มีการซ่อมแซมอะไรที่เรือนนั่นรึไม่”
ก้อนหายใจแทบไม่ออก “มี…มีจ้ะ”
“ใครทำอะไรบอกข้ามาเดี๋ยวนี้”
หมอผีอินปล่อยคอก้อน มันสำลัก ไอแค่กๆ ก่อนจะบอกว่า
“เจ้าก้องภพ เพิ่งบูรณะไอ้เรือนนั่นให้เป็นโรงงิ้ว ไม่รู้ว่าคนงานเผลอไปขุดอะไรขึ้นมาหรือไม่”
หมอผีอินอึ้งไป
“ฉิบหายแล้ว…ฉิบหายกันหมดแล้ว”
หมอผีอินหน้าเครียดจัด ก้อนงงว่าเกิดอะไรขึ้น

งามตาไข้ขึ้นรอหมอผีอินอย่างร้อนรนใจ ได้แต่ขดตัวนอนหนาวสั่นอยู่ในห้อง พลางมองไปรอบๆอย่างหวาดระแวง เมื่อมองผ่านหน้าต่างออกไป เห็นลมพัดต้นไม้วูบหนึ่งก็เกิดอกสั่นขวัญแขวนขึ้นมาอีก
“ไอ้ไต้ก๋ง ไอ้ผีชั่วนั่นมันจะมาเอาชีวิตกู ช่วยกูด้วย ช่วยด้วย”
งามตากระถดตัวเข้าไปชิดมุมห้อง กำพระที่ห้อยอยู่ขึ้นมาพนมมือสวดมนต์งึมงำฟังไม่เป็นภาษา
ก้องภพเปิดประตูเข้ามาพร้อมถาดใส่ยา งามตาสะดุ้งคิดว่าเป็นผีหลอกอีก
“ออกไป อย่าทำกู อย่าทำกูเลย ฮือ”
ก้องภพมองแม่อย่างเวทนา ค่อยๆ เข้าไปหา
“คุณแม่ นี่ลูกเองครับ”
“พ่อก้อง…พ่อก้องช่วยแม่ด้วย”
งามตาน้ำตาซึมจับมือลูกแน่น ก้องภพปลอบแม่
“ไม่มีใครทำร้ายคุณแม่หรอกนะครับ ผมอยู่นี่แล้ว คุณแม่ไม่ต้องกลัว”
“ไม่…มันไม่ปล่อยแม่ไว้แน่ แม่กลัว”
“คุณแม่อย่ากลัวเลย ผมจะอยู่เป็นเพื่อนคุณแม่ แต่ขอให้คุณแม่สัญญาข้อหนึ่ง”
“ได้ สัญญาอะไร พ่อก้องขอมาได้เลย”
“ผมให้บ่าวต้มยามาให้ ผมขอให้คุณแม่กินให้หมด ได้ไหมครับ”
ก้องภพยกถ้วยยาขึ้นมาให้ งามตามองตาขวางแล้วปัดทิ้ง
“คุณแม่…” ก้องภพตกใจ
“นี่พ่อก้องยังคิดว่าแม่เป็นบ้าอยู่อีกงั้นหรือ”
“ไม่ใช่นะครับ ผมแค่อยากให้คุณแม่หายไข้”
“แม่ไม่ได้ป่วย แม่ไม่กินยาอะไรทั้งนั้น ถ้าไม่เชื่อแม่ก็ตามใจ แม่อยู่คนเดียวได้ ออกไป”

งามตาเบือนหน้าหนีท่าทีปั้นปึ่ง ก้องภพอึ้งจำต้องถอยออกไปก่อน

อ่านต่อ ตอนที่ 15


กำลังโหลดความคิดเห็น