เสน่ห์นางครวญ ตอนที่ 11
บทประพันธ์ หงส์หยก บทโทรทัศน์ พิชฌสินี
เวลาผ่านไปรำเพยและนมขามต่างมีสีหน้าตื่นตกใจ หลังจากได้ฟังเรื่องกล่องสัตว์ประหลาดในห้องงามตาจากปากจำเรียง
“สัตว์ประหลาด แน่ใจหรือจำเรียง”
นมขามซักจำเรียง “เอ็งเห็นกับตาอย่างนั้นหรือ”
“อิฉันเห็นไม่ถนัดหรอกเจ้าค่ะ อีงามตามันเก็บไว้ในกล่อง ลั่นกุญแจเสียแน่นหนา”
“แล้วเอ็งจะแน่ใจได้อย่างไรว่ามันเป็นสัตว์ประหลาดอย่างที่เอ็งว่า มันอาจจะเป็นของมีค่าของงามตาก็ได้” รำเพยว่า
“ของมีค่าอะไรจะส่งเสียงได้เจ้าค่ะ อิฉันได้ยินเสียงมันไต่กุกๆกักๆอยู่ในกล่อง คิดว่าต้องเป็นตัวอะไรแปลกๆแน่ๆ อิฉันจึงลองส่องดู เห็นไม่ชัดหรอกเจ้าค่ะ แต่เห็นขนยุบยับเต็มไปหมด ไม่ใช่สัตว์ประหลาดแล้วจะเรียกว่าอะไร” จำเรียงนิ่งคิด จนนึกออกได้ “อิฉันว่าหน้าตามันเหมือนบึ้งเจ้าค่ะ”
นมขามกับรำเพยตกใจ
“บึ้ง สัตว์น่าเกลียดเยี่ยงนั้นมันจะเลี้ยงไปทำไม” นมขามไม่อยากเชื่อ
“ใครจะรู้ได้เจ้าคะว่าคนอย่างมันคิดจะทำอะไร แต่อิฉันว่ามันต้องเกี่ยวกับการที่ไต้ก๋งเปลี่ยนไปเป็นแน่”
รำเพยติงเอาว่า “แค่เห็นกล่องที่ไม่แน่ใจเสียด้วยช้ำว่าเป็นอะไร แล้วจะแน่ใจว่าเรื่องทั้งหมด มันเกี่ยวข้องกันไม่ได้ดอกนะ”
“คุณรำเพย จำเรียงแน่ใจจริงๆ นะเจ้าคะว่าอีนางงามตามันต้องทำอะไรสกปรกแน่”
“ถ้าเอ็งมั่นใจถึงเพียงนั้น ก็จงพิสูจน์ให้เห็นเสียกับตา หรือไม่ก็หาข้อยืนยันมาให้ได้ ข้าจะไม่กล่าวโทษใครโดยไร้หลักฐานดอกนะจำเรียง”
“เช่นนั้น อิฉันจะหาหลักฐานให้ได้คาหนังคาเขาทีเดียวเจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นข้าก็ฝากด้วย จำเรียงระวังตัวให้ดีล่ะ”
รำเพยกังวลไม่คลาย ส่วนจำเรียงมีสีหน้ามุ่งมั่นมาดหมายเอามากๆ
พระจันทร์เต็มดวงลอยเด่นอยู่เหนือเรือนดอกเหมย บรรยากาศทั้งเงียบสงัด จำเรียงนอนคิดอะไรอยู่เงียบๆ ในห้อง จนได้ยินเสียงกุกกักจึงลุกออกไปดู เห็นงามตามีท่าทีลับๆ ล่อๆ มองซ้ายแลขวาเหมือนกลัวใครมาเห็น ก่อนจะค่อยๆ ย่องลงเรือนไปย่างมีพิรุธ
“อีงามตา”
จำเรียงมีสีหน้าสงสัย ใช้ผ้าคลุมไหล่คลุมหัวเหลือเพียงช่องตาสำหรับมองทางแล้วรีบตามไป
“เอ็งไม่รอดแน่”
จำเรียงเดินตามงามตามาเรื่อยๆ งามตาเดินเร็วขึ้น จำเรียงก็เร่งฝีเท้าตาม จนกระทั่งงามตาเดินเลี้ยวตรงหัวมุมไปทางหนึ่ง จำเรียงรีบตามไป
งามตาเดินเร็วรี่แล้วเลี้ยวหายไปทางหนึ่ง จำเรียงต้องวิ่งตามให้ทันแต่พอเลี้ยวตามมางามตาหายไปแล้ว จำเรียงแปลกใจมาก
“หายไปไหนของมัน”
จำเรียงตัดสินใจหันหลังกลับไปอีกทางหนึ่ง จู่ๆ มีมือยื่นมาจับไหล่ไว้ จำเรียงสะดุ้งเฮือกหันมาหา
“พิมพ์”
พิมพ์เปิดผ้าคลุมหน้าออก
“ก็ข้านะสิ แล้วนี่เอ็งจะไปไหนค่ำๆมืดๆ”
“ข้าตามนังงามตามา เอ็งไม่เห็นมันทำท่าลับๆ ล่อๆ หรือ”
“ข้าเห็นแต่เอ็งนี่แหละที่ทำท่าลับๆ ล่อๆ แล้วเอ็งแน่ใจหรือว่าเห็นนังงามตามันออกมาจริง”
จำเรียงมองซ้ายแลขวา พลางกระซิบบอก “เบาเสียงหน่อย เอ็งอยากจะแหวกหญ้าให้งูตื่นหรืออย่างไร ข้าเห็นเองกับตาของ” ข้า ตั้งใจจะจับมันให้ได้ว่ามันแอบทำอะไรอยู่ เพราะเอ็งแท้ๆ ข้าจึงคลาดกับมัน”
พิมพ์กระซิบตอบ “แล้วนังงามตามันจะออกมาทำอะไรค่ำมืดเยี่ยงนี้เล่า”
“หากข้ารู้ข้าจะตามมันมารึ อย่าพูดให้มากความ เอ็งกับข้าต้องช่วยกัน จับนังงามตาให้ได้ เอ็งไปทางโน้น ส่วนข้าจะไปดูทางนี้ ก่อนที่มันจะรู้ตัวเร็วเข้า”
สองสาวคลุมหน้าแล้วแยกกันไปคนละทาง
จำเรียงและพิมพ์กำลังเดินตามหางามตาอยู่ ด้านหลังงามตาเดินไปไวๆ จำเรียงทำท่าเหมือนเห็นรีบเดินตาม
พิมพ์ ชะเง้อมองตาม/งามตาหายไปอีกครั้ง/พิมพ์รีบเดินไปอย่างเร็ว
จำเรียงเดินตามไปอย่างมุ่งมั่น/หลังของงามตาปรากฏขึ้นอีกครั้ง
ด้านหลังที่ดูไม่ออกว่าเป็นใคร (พิมพ์) เดินดุ่มๆตามไปหยุดเมื่อไม่มีทางให้ตามได้อีก
ท่อนไม้ฟาดลงมาอย่างแรง ร่างนั้นสลบล้มลงไปทันที
คนตีเป็นไอ้ก้อนที่ยืนยิ้มชั่วพอใจผลงานงานอยู่
สักครู่หนึ่งงามตาก็เดินเข้ามาสมทบยิ้มอย่างสะใจ
“เอ็งแส่หาเรื่องเองนะ ริอ่านเป็นศัตรูกับคนอย่างข้า ก็ต้องเจอเยี่ยงนี้” งามตาลงนั่งยองๆ ดึงผ้าคลุมหน้าออก “นังจำเรียง”
ทว่ากลับเป็นพิมพ์ที่นอนสลบอยู่ งามตาตกใจผงะออกแล้วนึกโมโหก้อน
“นังพิมพ์ ทำไมถึงเป็นมันไปได้ ข้าให้พี่เอาตัวนังจำเรียงมาไม่ใช่รึ”
“ก็เอ็งบอกข้าเองว่าให้ตีหัวนังจำเรียงที่เดินตามเอ็งมา แล้วนังนี่มันก็เดินตามเอ็งมา แล้วยังปิดหน้าปิดตาอีก”
“นังจำเรียงมันตามข้ามาจริงๆ นี่ ใครจะคิดว่านังพิมพ์มันจะตามมาด้วย สาระแนนัก”
หมอผีอินเดินเข้ามาสมทบอีกคน
“ได้ตัวนังจำเรียงแล้วก็รีบไปเสียที มัวชักช้าร่ำไรอยู่ได้”
“ได้ที่ไหนกันเล่าพ่อ นี่มันนังพิมพ์จอมสาระแน พี่ก้อนจับมาผิดตัวน่ะสิ”
“ข้าไม่รู้โว้ย จะนังพิมพ์ หรือนังจำเรียง คืนนี้เอ็งต้องมีหญิงพรหมจรรย์ให้ข้าทำพิธี”
ก้อนเซ็งถามงามตาว่า “แล้วเอ็งจะทำเยี่ยงไรต่อไปให้ข้ากลับไปตามหานังจำเรียงไหม”
“ไม่ต้อง ตอนนี้ไม่ทันแล้ว เห็นทีข้าต้องใช้นังพิมพ์แทน”
งามตามองร่างไร้สติของพิมพ์อย่างตัดสินใจเด็ดขาด
ฝ่ายจำเรียงเดินตามหางามตาจนทั่วแต่ไม่เห็น บ่นบ้าด้วยความหงุดหงิด
“เห็นหลังไวๆ เดินหายไปไหนเร็วจริง”
จนมีเสียงเรียงดังมาจากมุมหนึ่ง “จำเรียง”
จำเรียงสะดุ้งโหยงหันมาทางเสียงเห็นเป็นอบเชยจ้องอยู่
“อบเชย เอ็งมาทำอะไรเงียบๆ”
“ข้าต้องถามเอ็งมากกว่าว่าดึกป่านนี้เอ็งมาทำอะไร”
“ข้าก็มา...”
อบเชยมองจ้องสงสัย จำเรียงไม่ไว้ใจรีบเปลี่ยนเรื่อง
“ข้ามาชมจันทร์”
“จริงรึ มาชมจันทร์เล่นเสียไกล”
“ทีเอ็งยังเดินมาหาข้าถึงนี่ได้เลย” จำเรียงย้อนให้
“ข้าเป็นห่วงเอ็ง เห็นเอ็งกับพิมพ์ไม่อยู่ที่ห้อง กลัวจะมีอันตราย แล้วนี่นังพิมพ์ไปไหนเสียล่ะ”
“ข้าไม่รู้ พิมพ์มัน...ไปเดินเล่นอีกทาง”
“เช่นนั้นเอ็งกลับเรือนกับข้าก่อนเถิด เดี๋ยวงูเงี้ยวเขี้ยวขอจะกัดเอา ถ้านังพิมพ์เดินเล่นเสร็จ ประเดี๋ยวคงกลับมาเอง”
จำเรียงอึกอัก ไม่อยากกลับเพราะเป็นห่วงพิมพ์
“หรือเอ็งมีธุระอะไรต้องทำ”
“ไม่มี”
“เช่นนั้นก็เดินกลับพร้อมข้า เดินคนเดียวมันอันตราย”
จำเรียงเดินตามไปอย่างจำนน
ป่าช้าหลังวัดสว่างจ้าด้วยแสงจากดวงจันทร์เต็มดวงที่ลอยเด่นอยู่บนท้องฟ้า เสียงหมาหอนโหยหวนดังขึ้น
พิมพ์นอนสลบอยู่ในวงล้อมของสายสิญจน์ มือถูกไอ้ก้อนกดไว้แน่น ส่วนงามตาจับสองขาตรึงไว้ หมอผีอินบริกรรมคาถา มีลมกรรโชกแรงโหมพัดรุ่นแรง ก้อนหยิบมีดเฉือนเข้าที่ข้อมือของพิมพ์จนเลือดทะลัก พิมพ์สะดุ้งตื่นขึ้นมาร้องอย่างตกใจและพยามดิ้นหนี
“โอ๊ย! นี่เอ็งจะทำอะไรข้า ปล่อยข้านะ ปล่อย”
ก้อนใช้มีดกรีดที่ข้อมืออีกข้างของพิมพ์อย่างโหดเหี้ยม
พิมพ์กรีดร้องสุดเสียง “ช่วยด้วย ใครก็ได้ช่วยด้วย จำเรียง”
“นังจำเรียงมันช่วยเอ็งไม่ได้หรอก แต่เอ็งน่าจะดีใจนะที่ได้ตายแทนเพื่อนรักของเอ็ง”
“นังงามตา เอ็งจะทำอะไรข้า ปล่อยข้าไปเถิด ฮือ”
ก้อนเชือดเข้าที่ข้อเท้า พิมพ์กระตุกกรีดร้องอย่างทรมาน
“อ๊ายยยยย”
เสียงหมอผีอินบริกรรมคาถา ดังผสมเสียงกรีดร้องโหยหวนของพิมพ์ดังระงมไปทั้งราวไพร งามตาหยิบกล่องบึ้งออกมา
“ดีมาก ร้องให้ดังไปอีก ทรมานให้มากขึ้นอีก ไต้ก๋งมันจะได้รักข้าหลังข้าเพียงคนเดียว”
งามตาปล่อยบึ้งออกมาจากกล่อง เห็นขาที่มีขนยุบยับไต่ลงไปที่ตัวพิมพ์ ปากของบึ้งค่อยๆ ดูดกินเลือดตรงรอยแผลของพิมพ์อย่างสยดสยอง
พิมพ์ตาเบิกโพลงด้วยความหวาดกลัว กรีดร้องเสียงโหยหวนอย่างเจ็บปวดทุกข์ทรมานสุดจะประมาณ ร่างขาวผ่องค่อยๆ กลายเป็นสีเขียวจนดำคล้ำอย่างน่ากลัว
รุ่งเช้า แถนกำลังขุดดินปลูกต้นไม้อยู่ในสวน ในขณะที่พวกบ่าวหญิงกำลังง่วนลงครัวช่วยกันทำกับข้าวอยู่ในโรงครัว
จำเรียงเดินมาตามทางด้วยท่าทางอันรีบร้อน เมื่อเห็นแถนก็ปรี่เข้าไปถาม
“พี่แถนๆ เห็นนังพิมพ์บ้างไหม”
แถนวางงานในมือ ส่ายหัวบอก
“ข้าไม่เห็นดอก เช้ามาก็นั่งขุดดินตรงนี้ไม่เห็นผู้ใดทั้งสิ้น”
“จริงหรือ ทำอย่างไรดี”
แถนเห็นท่าทางจำเรียงดูเครียดจัดก็ยิ่งแปลกใจ“เกิดอะไรขึ้นหรือจำเรียง”
จำเรียงสีหน้าเป็นกังวลไม่คลาย
“นังพิมพ์มันหายตัวไปตั้งแต่เมื่อคืนน่ะสิพี่ ฉันเดินหาเสียทั่วแล้วก็ยังไม่พบ”
แถนฟังแล้วตกใจ “จริงรึ แล้วครั้งสุดท้ายที่เอ็งเห็นพิมพ์คือที่ใด”
จำเรียงอึกอัก ไม่กล้าบอกว่าพากันไปสืบเรื่องงามตา เลยปดไป
“ก็ที่เรือนดอกเหมยนั่นแหละ ไม่มีผู้ใดเห็นเลยหรือพี่”
“พี่ก็ไม่แน่ใจ เอ็งลองถามบ่าวในครัวก่อนดีหรือไม่”
“ได้จ้ะ แต่ถ้าบ่าวไม่มีผู้ใดเห็นอีก พี่ต้องช่วยฉันตามหามันนะ ฉันเป็นห่วงมัน”
แถนพยักหน้า เดินเข้าไปถามบ่าวในครัวให้ จำเรียงเครียดมาก
ก้อนตามจำเรียงมาเงียบเห็นเหตุการณ์ตั้งแต่ต้น
พวกบ่าวช่วยกันตามหาพิมพ์ไปทั่วรอบๆ บริเวณเรือนดอกเหมยแต่ก็ไม่เจอ ดวงแขที่ช่วยตามหา เข้ามาบอกจำเรียง
“ข้าหาทั่วแล้วไม่เจอเลย”
จำเรียงหน้าเครียด ดวงแขก็ด้วย ระหว่างนี้งามตาเดินนวยนาดลงมาจากเรือน จำเรียงหันไปเห็นก็พุ่งเข้าไปหาทันที
“มาแล้วรึอีนังตัวดี”
“เอะอะวุ่นวายอันใดกัน เสียงดังน่าหนวกหู” งามตาถามเสียงดัง
“ไม่ต้องมาตีหน้าซื่อ บอกมาเดี๋ยวนี้ว่าเอานังพิมพ์ไปไว้ที่ไหน!
งามตาทำหน้างวยงง
“นังพิมพ์มันหายตัวไปรึ”
“เออสิวะ มันหายไปตั้งแต่เมื่อคืน ข้าหาจนทั่วก็ไม่พบ ต้องเป็นเอ็งแน่ที่รู้” จำเรียงเสียงดังใส่
“เอ๊ะ เหตุใดมากล่าวหาข้าเล่า”
“เมื่อคืนข้าเห็นเอ็งทำลับๆ ล่อๆ อยู่ในสวน ข้ากับนังพิมพ์แอบตามไป ยังไม่ทันรู้เรื่องมันก็หายไปเสียก่อน ถ้าไม่ใช่เอ็งแล้วจะเป็นใคร”
งามตาชะงักไปนิดๆ แล้วก็ยิ้มร้ายออกมา
“ในที่สุดข้าก็รู้ตัวผู้ร้ายแล้ว”
จำเรียงชะงักงวยงง “ผู้ร้ายอะไรกัน”
“เอ็งบอกว่าตามข้าไปใช่รึไม่ แล้วเอ็งรู้ไหมว่าที่ข้าออกไปเพราะอะไร”
จำเรียงงง “อะไร”
“สร้อยทองของข้าก็หายไปตั้งแต่เมื่อคืนเช่นกัน”
จำเรียงงงหนัก “สร้อยทองอะไรของเอ็ง”
งามตาเดินเข้าไปใกล้ๆ พูดซักไซ้จำเรียง “สร้อยที่ไต้ก๋งให้ข้าไว้ ข้าตามหาตั้งแต่คืนวานก็ไม่พบ จึงออกไปหาในสวน แต่กลับรู้สึกว่ามีคนตามมาหมายจะปองร้าย ที่แท้ก็เป็นเอ็งกับนังพิมพ์นี่เอง”
“ไม่จริง เอ็งโกหก ข้ากับนังพิมพ์ไม่ได้ทำ”
“ถ้าไม่ได้ทำ แล้วตามข้าไปทำไม หรือว่านี่เป็นแผนจะใส่ร้ายข้า”
จำเรียงโมโหตวาดลั่น “หุบปากเดี๋ยวนี้นะ ข้าบอกว่าไม่ได้ทำอย่างไรเล่า”
“เอ็งกับนังพิมพ์นี่มันเลี้ยงไม่เชื่องโดยแท้” งามตาหันไปทางบันไดเรือน “คุณพี่ได้ยินแล้วใช่ไหมคะ”
จำเรียงหน้าเหวอไป ทำท่าจะเถียง แต่หันเห็นไต้ก๋งชางเดินลงมาจากเรือนพอดี
“ไต้ก๋ง”
งามตาได้ทีใส่ไฟจำเรียงทันที
“คุณพี่ น้องทราบแล้วค่ะว่าใครจะทำร้ายน้อง คุณพี่ต้องเอาเรื่องมันนะเจ้าคะ”
ไต้ก๋งชางมองจำเรียงด้วยสายตาเย็นชา
“พี่ได้ยินทุกอย่างแล้ว พี่จะจัดการตามสมควรเอง”
ไต้ก๋งชางพูดด้วยน้ำเสียงเด็ดขาดน่ากลัว จำเรียงผงะไป งามตายิ้มสะใจ
ที่ลานหน้าเรือนดอกเหมยเวลานั้น พวกบ่าวมารวมตัวกันซุบซิบเรื่องพิมพ์ขโมยของแล้วหนีไป
ไต้ก๋งชางออกมายืนต่อหน้าบ่าวทุกคน งามตาตามมาด้วย จำเรียงหมอบอยู่กับพื้น
“ไม่มีผู้ใดหาตัวนังพิมพ์เจอเลยรึ”
บ่าวทุกคนตรงนั้นเงียบกริบ ไต้ก๋งถามย้ำ
“ว่าอย่างไรจำเรียง มีคำตอบให้ข้าเรื่องนังพิมพ์หรือไม่”
จำเรียงขึงตามองงามตาพูดด้วยน้ำเสียงประชดประชัน
“ถ้าอิฉันพูดไป ไต้ก๋งจะเชื่อหรือไม่ล่ะเจ้าคะ”
“เอ็งร่วมมือกับนังพิมพ์ขโมยของ และยังคิดจะปองร้ายเมียข้า คิดว่าข้าสมควรจะเชื่อหรือไม่”
“อิฉันไม่เคยคิดทำร้ายใคร หากผู้นั้นไม่ทำร้ายอิฉันก่อน ไต้ก๋งลองถาม เมียใหม่ ไต้ก๋งดูไหมเจ้าค่ะ ว่าทำสิ่งใดอิฉันถึงสงสัย”
งามตาโกรธ “อีจำเรียง มึงกล้าสามหาวกับกูรึ”
“มึงบอกไต้ก๋งไปสิว่ามึงไปทำอะไรในสวนดึกดื่น อีงามตา”
งามตาเข้าไปเกาะแขนไต้ก๋งให้ช่วยทันที
“น้องแค่เข้าไปหาสร้อยที่ทำหายเท่านั้น จำเรียงมันใส่ร้ายน้อง”
จำเรียงโกรธขึ้นเสียงไม่ยอม “ตอแหล ขี้ปดนัก ไต้ก๋งอย่าไปเชื่อมันนะเจ้าคะ”
“น้องเคยเห็นมันเข้าไปค้นในห้องน้อง มันต่างหากที่เป็นขโมย”
จำเรียงจะเถียงอีก ไต้ก๋งชางตวาดลั่น
“หยุดเสียที ไม่อายบ่าวมันบ้างรึ”
จำเรียงฮึดฮัดไม่พอใจ งามตาจ้องมองตาขวาง
“ข้าจะไม่ตัดสิน หากไม่มีหลักฐานหรือพยาน ว่าอย่างไร มีผู้ใดรู้เห็นเรื่องนี้หรือไม่”
ไต้ก๋งชางกวาดตามองบ่าวในที่นั้น ทุกคนก็ยังเงียบอยู่ดี จำเรียงก็ด้วย แต่แล้วอบเชยก็ก้าวออกมา จำเรียงมองอบเชยอึ้งๆ ดวงแขก็แปลกใจ
“อิฉัน...พอทราบเจ้าค่ะ”
งามตายิ้มเจ้าเล่ห์ สมใจ
“เอ็งรู้อะไรอบเชย”
“อิฉัน เคยเห็นจำเรียงเข้าไปค้นห้องคุณงามตาเจ้าค่ะ จำเรียงอาจจะช่วยพิมพ์ขโมยสร้อยก็เป็นได้”
จำเรียงคาดไม่ถึง อึ้งหนักที่ถูกอบเชยใส่ความ “อีอบเชย...มึง”
“เช่นนั้นก็ชัดเจนแล้ว”
พร้อมกับว่าไต้ก๋งชางหันไปทางบ่าวชายที่นั่งอยู่สั่งการ จำเรียงรู้ชะตาถอยหนี
“ไต้ก๋ง ไม่นะเจ้าคะ”
“จับตัวจำเรียงไว้”
บ่าวชายเข้ามารุมจับตัวจำเรียง จำเรียงร้องโวยวายลั่น
“ไม่ ปล่อยกู” จำเรียงจ้องหน้าอบเชย “อีอบเชยอีงูพิษ อีคนทรยศ”
จำเรียงถูกลากตัวไป ดวงแขยืนอึ้งทำอะไรไม่ถูก งามตายิ้มร้ายสมใจที่จำเรียงถูกจับตัวไป
จำเรียงถูกบ่าวลากมามัดไว้ และถูกก้อนโบยจนแผลเต็มหลัง ใกล้สลบเต็มที งามตายืนดูอยู่ข้างไต้ก๋ง
รื่นเดินมาพร้อมถังน้ำแล้วสาดโครมเข้าไปที่จำเรียงให้ฟื้นขึ้น
จำเรียงปรือตามองงามตา สีหน้าอิดโรย ไต้ก๋งชางเดินมาสั่ง
“ถ้าไม่สารภาพก็โบยต่อไป จนกว่ามันจะยอมรับ ไอ้ก้อน”
ก้อนลงหวายเต็มแรง จำเรียงกรีดร้องดังลั่น ขณะก้อนเงื้อหวายในมือขึ้นจะโบยอีกครั้ง เสียงรำเพยก็ดังขึ้น
“หยุดนะคุณพี่”
ทุกคนหันไปมองเห็น รำเพย นมขามกล่ำและแถนเข้ามา รำเพยเข้าไปขวางก้อนไว้
“จำเรียงเป็นคนของฉัน คุณพี่จะมาสั่งโบยโดยพลการไม่ได้”
ไต้ก๋งชางเดินมาเผชิญหน้ากับรำเพยมองตาขวาง
“มันกระทำผิดซ้ำ เหตุใดจะลงโทษมันไม่ได้”
“คุณพี่มีหลักฐานไหมล่ะคะ หาไม่แล้วไม่ควรใส่ความแม่จำเรียง”
ไต้ก๋งชางโมโห “เดี๋ยวนี้หัดเถียงข้าแล้วหรือ”
“น้องจะเถียง เพราะน้องเชื่อว่าจำเรียงไม่ได้ทำ คุณพี่ต่างหากที่ตามืดบอดไม่ยอมรับความจริง เชื่อเพียงคำลวงของหญิงชั่ว”
“หยุดว่างามตาเดี๋ยวนี้นะ” ไต้ก๋งตวาดลั่น
รำเพยไม่ยอม เสียงดังใส่อย่างเหลืออด “น้องไม่หยุด คุณพี่ทำเกินไปแล้ว น้องจะไม่ยอมอีกต่อไป”
รำเพยจ้องหน้าสามีอย่างไม่กลัวเกรง ไต้ก๋งชางโกรธจัด
บรรยากาศอึมครึมสุดขีด ทุกคนในลานนั้นเงียบกริบ งามตาเดินมาเผชิญหน้ากับรำเพย
“โธ่ถัง นายปกป้องบ่าวซาบซึ้งใจเสียจริง”
รำเพยนิ่งไป งามตามองเย้ยหยันเป็นต่อ
“เห็นแก่ความดีของคุณรำเพย ข้ามีข้อเสนอให้ดีไหม”
“ข้อเสนออะไร”
“ถ้าหาสร้อยที่หายมาคืนได้ ข้าจะยอมปล่อยนังจำเรียงหรือไม่...” งามตามองจ้องสร้อยขี้หยกที่คอรำเพย “ก็เอาสร้อยหยกนั่นมาแลก”
รำเพยจับสร้อยหยกแน่น หน้าเสียไป
“ไม่ได้หรือ ถ้าเช่นนั้นข้าคงช่วยไม่ได้”
รำเพยจ้องมองหน้าไต้ก๋งชาง
“สร้อยนี้คุณพี่ให้น้องมา น้องให้มันเป็นสิทธิ์แก่คุณพี่ หากมันหมดความหมายแล้ว น้องจะยอมยกมันให้งามตา”
ไต้ก๋งชางจ้องรำเพยตอบ แต่แล้วภาพในอดีตตอนที่รักใคร่กับรำเพยก็ผุดขึ้นมาในหัวอีก
“ว่าอย่างไรล่ะคะ คุณพี่”
ไต้ก๋งชางนิ่งงันไป ดวงตาไหวระริก อาการปวดหัวแล่นเป็นริ้วๆ ขึ้นมาในหัวอีก ไต้ก๋งกุมขมับแน่น เริ่มเจ็บปวดทุรนทุรายทุรนทุราย
“โอ๊ย”
ไต้ก๋งชางทรุดลงเป็นลมสลบไป งามตาตกใจรีบเข้าไปดูผัว พบว่าไต้ก๋งชางหมดสติไปแล้ว
“คุณพี่” งามตาตะโกนเรียกบ่าวสุดเสียง “ใครก็ได้มาพยุงคุณพี่กลับเรือนที เร็ว”
บ่าวชายเข้ามาช่วยกันพยุงร่างไต้ก๋งชางขึ้นเรือนดอกเหมยไป รำเพยได้แต่ยืนนิ่งจับสร้อยหยกไว้มั่นมองตามจนร่างไต้ก๋งขึ้นเรือนพ้นสายตาไป
ด้านจำเรียงถูกก้อนนำตัวมามัดโยงไว้ที่ใต้ต้นหูกวางหน้าเรือน ถูกโบยจนแผลระบมไปทั้งตัว รอยแผลที่พ้นผ้าแถบปริแตกบวมช้ำ งามตายืนมองด้วยความสะใจ สักครู่หนึ่งอบเชยก็ตามมาพร้อมกะละมังขนาดย่อมใส่น้ำเชื่อมในมือ
“ของที่คุณงามตาสั่งได้แล้วเจ้าค่ะ”
จำเรียงอ่อนระโหยโรยแรง ขึงตามองอบเชยและงามตาด้วยความโกรธแค้น
“โชคดีของมึงที่คุณพี่ไม่สบายเสียก่อน ไม่เช่นนั้นมึงได้ตายคาเรือนวันนี้แน่”
จำเรียงถุยน้ำลายใส่หน้างามตา
“กูไม่ตายง่ายๆ ดอก กูจะอยู่ดูความฉิบหายของมึงก่อน”
“เช่นนั้นก็มาดูกันว่าผู้ใดกันแน่จะฉิบหายก่อน จัดการมัน”
อบเชยเดินไปทางด้านหลังจำเรียงสาดน้ำเชื่อมราดทั่วแผ่นหลัง งามตาสั่งการซ้ำ
“มัดมันไว้เช่นนี้ ห้ามให้ข้าวให้น้ำ ปล่อยให้มดแมลงรุมกัดมัน มันจะได้รู้ว่าไม่ควรหยามหน้าคนอย่างข้าอีก”
จำเรียงต้องคอยขยัยเท้าหนีมดที่เริ่มไต่ขึ้นตามขา ปากก็ร้องตะโกนด่าสาปแช่งงามตาไม่หยุดหย่อน
“อีงามตา อีงูพิษ มึงใส่ร้ายกู คนอย่างมึงไม่มีวันตายดีแน่”
งามตายิ้มร้าย หัวเราะบ้าคลั่งด้วยความสะใจแล้วเดินออกไป
จำเรียงได้แต่ขึงตามองตาม เจ็บแค้นถึงขีดสุด
อบเชยยืนล้างมืออยู่ในครัวชั้นล่างของเรือนดอกเหมย สีหน้าหมกมุ่นครุ่นคิด จนรู้ตัวว่ามีใครบางคนเดินเข้ามาในครัว อบเชยตกใจเมื่อหันไปเห็นเป็นแถนยืนจ้องจับผิดอยู่
“พี่แถน เข้ามาได้อย่างไร”
“พี่ขอโทษ พี่มีเรื่องอยากพูดกับน้องอบเชย”
“ข้าไม่มีสิ่งใดจะคุยกับพี่”
“แต่พี่อยากคุยเรื่องจำเรียงวันนี้”
อบเชยชะงักนิ่งงันไป ตอบแถนสีหน้าเรียบเฉย
“เรื่องจำเรียงแล้วมาคุยกับข้าทำไม”
แถนสูดลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อทำใจ ก่อนจะถาม
“พี่สงสัย...ว่า จำเรียงเป็นขโมยจริงหรือ”
แถนถามเซ้าซี้จนอบเชยเริ่มหงุดหงิด
“จำเรียงมันขโมยมาครั้งหนึ่งแล้ว ที่มันกลับมาได้เพราะคุณรำเพยเมตตา พี่ก็รู้”
“แต่พี่ไม่เคยเชื่อว่าจำเรียงเป็นเช่นนั้น”
อบเชยรำคาญนิดๆ “ข้าพูดความจริงไปแล้ว หากพี่ไม่เชื่อ ข้าก็...”
แถนสวนขึ้นว่า “แล้วพี่ก็ไม่เชื่อด้วยว่าอบเชยจะเข้าข้างงามตาได้”
อบเชยอึ้งอีก พูดแก้ตัวไปว่า
“ข้าเข้าข้างความถูกต้อง”
“หากมันเป็นความถูกต้อง เหตุใดจึงมีแต่คำพูด ไม่มีสิ่งใดจับต้องได้เล่า”
“พี่จะมาเซ้าซี้ข้าเพื่อสิ่งใด”
อบเชยโพล่งออกมาอย่างหมดความอดทน แถนมีสีหน้าผิดหวัง
“พี่เสียใจเหลือเกินที่เห็นสี่สาวเรือนดอกเหมยเป็นเช่นนี้”
“พวกข้าเป็นอย่างไรพี่น่ะหรือจะรู้”
“ข้าไม่รู้ดอก ข้าเคยเห็นตอนที่พวกเอ็งรักกัน ช่วยเหลือกัน ข้าจึงไม่คิดว่าจะเห็นพวกเอ็งแตกคอกันได้”
อบเชยชักโกรธ “อย่ามายุ่งเรื่องของพวกข้า เป็นแค่บ่าวก็อยู่ส่วนบ่าว หัดสงบปากสงบคำไว้เถิด ถ้าหากอยากอยู่เรือนนี้อย่างสุขสบายต่อไป”
อบเชยหันหลังให้ เมินหนีไม่สนใจ แถนเสียใจ
จำเรียงถูกมัดโยงอยู่อย่างเก่า มีมดไต่ตามตัวกัดกินน้ำหวานตามรอยแผล เนื้อตัวแดงไปหมด เจ็บปวดเจ็บแสบปางตาย ใบหน้าซีดเซียวใกล้จะหมดแรงเต็มทน รวบรวมแรงร้องให้คนช่วย
“ช่วยด้วย...ใครก็ได้ช่วยข้าที”
จำเรียงน้ำตาไหลพราก เจ็บปวดทรมานแสนสาหัส สักครู่หนึ่งก็มีใครบางคนมาหยุดตรงหน้า
“กูยังไม่ตายง่ายๆ ดอก อี...”
จำเรียงคิดว่าเป็นงามตาเงยหน้ามองด้วยความโกรธแค้น แต่ต้องชะงัก สีหน้าเปลี่ยนเป็นดีใจ เมื่อเห็นรำเพยกับนมขามเดินเข้ามา จำเรียงอ้าปากจะพูดแต่รำเพยเอานิ้วชี้แตะปากเชิงบอกให้จำเรียงเงียบแล้วหันไปทางนมขามพยักหน้าให้
คุณนมขยับมายืนใกล้ๆ จำเรียง หยิบยาสมุนไพรที่เตรียมมาทาแผลที่หลังให้ รำเพยมองจำเรียงด้วยความเป็นห่วง ถามเสียงเบาๆ
“เจ็บมากไหมจำเรียง”
จำเรียงน้ำตาร่วงตั้งแต่คำแรกที่คุณรำเพยถาม ขอร้องเสียงสะอื้น
“คุณรำเพยเจ้าขา...ช่วยจำเรียงด้วยนะเจ้าคะ”
รำเพยน้ำตาซึม สงสารจำเรียง
“ฉันขอโทษนะจำเรียงที่ช่วยจำเรียงไม่ได้”
“คุณรำเพยไม่ผิดเจ้าค่ะ อีงามตาต่างหากที่ผิด มันใส่ร้ายจำเรียง”
“ถ้าคุณพี่ฟังฉันบ้างจำเรียงคงไม่เป็นเช่นนี้”
“อีงามตาเกลียดอิฉัน วันหนึ่งมันก็คงทำเยี่ยงนี้กับอิฉันอยู่ดี คอยดูเถิด ถ้ารอดไปได้ อิฉันจะฆ่ามันด้วยมืออิฉันเอง”
จำเรียงขบกรามแน่น พูดด้วยแววตาโกรธแค้นอาฆาตสุดจะประมาณ จนนมขามต้องปราม
“เอ็งไม่กลัวมันจะทำอะไรมากกว่านี้หรือ”
“อิฉันไม่กลัว ต่อให้อิฉันต้องตายก็จะไม่ยอมให้มันมาชูคอในเรือนแทนคุณรำเพย”
“แต่ตอนนี้เราทำอะไรไม่ได้ คุณพี่เชื่องามตาทุกอย่าง”
“คุณรำเพยจะทนอยู่อย่างนี้หรือเจ้าคะ”
รำเพยส่ายหัว “ฉันทน แต่ไม่ได้นิ่งดูดาย อย่างไรฉันก็จะช่วยจำเรียงและคุณพี่ให้ได้”
จำเรียงก้มหน้าน้ำตาร่วง รำเพยหน้าเศร้าลง
เช้าวันต่อมา ข้าวของดวงแขถูกโยนโครมออกมากองไว้ตรงชานเรือน ดวงแขมองอึ้งๆ งามตาตามออกมามองดวงแขเหยียดๆ ดวงแขละล่ำละลักถาม
“นี่มันอะไรกัน”
งามตาหัวเราะเยาะ จิกตามองดวงแข
“เอ็งนี่ซื่อหรือเซ่อกันแน่ บอกมันให้หายโง่ทีซิอบเชย”
“คุณงามตาจะอยู่เรือนนี้กับนายท่าน ส่วน คนอื่น ก็ต้องออกไปจากเรือน”
ดวงแขมองอบเชยอึ้งๆ
“แต่เรือนนี้นายท่านกับคุณรำเพยให้ข้ามาอยู่ เอ็งไม่มีสิทธิ์ทำเช่นนี้”
งามตาแหวใส่ “ข้ามีสิทธิ์ เพราะไต้ก๋งให้อำนาจในเรือนนี้แก่ข้าแล้ว จะให้ผู้ใดอยู่หรือไปก็ได้”
“ไม่จริง เป็นไปไม่ได้” ดวงแขไม่เชื่อ
อบเชยบอกกับดวงแขสีหน้าเรียบ “แต่มันเป็นไปแล้ว”
ดวงแขมองหน้าอบเชยด้วยความผิดหวัง
“ข้าไม่คิดเลยว่าเอ็งจะทรยศผู้มีพระคุณได้”
“ข้าทำตามคำสั่งนายท่าน เมื่อท่านสั่งให้ข้ารับใช้ใคร ข้าก็ต้องภักดีต่อผู้นั้น ถ้าเอ็งอยากอยู่เรือนนี้ต่อ ก็ต้องภักดีต่อคุณงามตา”
“ข้าไม่มีวันทำเช่นนั้น”
งามตาเดินมาขวางหน้ายิ้มเยาะดวงแข
“เช่นนั้นก็ช่วยไม่ได้ ถ้าหากไม่คิดจะรับใช้ข้า ก็จงไสหัวออกจากเรือนนี้ไป นังรำเพยไม่มีอำนาจที่นี่อีกต่อไปแล้ว ไป”
ดวงแขหน้าเสีย พูดไม่ออก อบเชยเมินหนีไปทางอื่น
ดวงแขก้มเก็บของ ก่อนจะเงยหน้ามองอบเชยด้วยความเสียใจที่อบเชยเลือกงามตา
ดวงแขหอบเสื้อผ้าข้าวของเครื่องใช้ขึ้นมาที่เรือนใหญ่ นั่งน้ำตาซึม มีกล่ำคอยลูบหลังปลอบใจอยู่ใกล้ๆ รำเพยถอนหายใจหน้าเครียดที่งามตาสร้างเรื่องจนได้ นมขามบ่นบ้าด้วยความโมโห
“อีงามตามันชักจะกำเริบเสิบสานขึ้นทุกวัน ไต้ก๋งเอาใจเข้าหน่อยก็วางอำนาจยึดเรือนเป็นของตนเสียแล้ว”
“นี่ยังไล่แม่ดวงแขออกจากเรือนอีก อบเชยก็กลายเป็นพวกงามตา” กล่ำว่า
รำเพยคิดหนัก พยายามใช้สติ นมขามฮึดฮัดอยู่อย่างนั้น
“เจ็บใจนัก เหตุใดจึงเป็นเยี่ยงนี้ไปได้”
“ทุกอย่างในเรือนสิทธิ์ขาดเป็นของคุณพี่ไปแล้ว”
กล่ำเซ็ง “แล้วจะทำอย่างไรต่อดีล่ะเจ้าคะ”
ดวงแขน้ำตาซึมดูน่าเวทนายิ่งนัก
“ให้ดวงแขไปอยู่เรือนบ่าวกับกล่ำ ส่วนขนมก็หยุดทำไปก่อนแล้วกัน”
ดวงแขพนมมือขึ้นไหว้รำเพย บอกน้ำตานองหน้า
“อิฉันช่วยคุณรำเพยไม่ได้ แต่คุณรำเพยยังเมตตา อิฉันซาบซึ้งเหลือเกินเจ้าค่ะ”
“ฉันดูแลดวงแขมาแต่แรก จะทิ้งไปได้อย่างไร”
ดวงแขซาบซึ้งน้ำตาไหลริน “ขอบพระคุณเจ้าค่ะคุณรำเพย”
“ว่าแต่ดวงแขเถิด คิดอย่างไรกับเรื่องจำเรียง”
ดวงแขนิ่งคิด ก่อนจะตอบ
“อิฉันเชื่อว่าจำเรียงไม่ได้ทำเจ้าค่ะ”
“ทั้งที่มีพยานรู้เห็นอย่างอบเชยงั้นหรือ”
“แค่คำพูดจะกล่าวหาสิ่งใดก็ได้เจ้าค่ะ อิฉันเชื่อในความจริง ใครทำสิ่งใดวันหนึ่งความจริงก็จะปรากฏขึ้นมาจนได้”
รำเพยยิ้มปลอบใจดวงแข
ถัดจากนั้น กล่ำช่วยดวงแขขนของเข้ามาในห้องพักที่เรือนบ่าว
“ข้าขอโทษนะพี่ ที่ทำให้พี่ต้องเดือดร้อน”
“เอ็งกับข้ามันญาติกัน มีกันเท่านี้ จะทิ้งกันได้อย่างไร”
ดวงแขมองซาบซึ้ง กล่ำช่วยจัดที่นอนให้ ดวงแขมองกล่ำสักพักก่อนจะพูดขึ้น
“พี่กล่ำ พี่รู้สึกว่าเรื่องพิมพ์มีอะไรแปลกๆ ไหม”
กล่ำชะงักไปนิดๆ
“ใครๆ ต่างก็รู้สึกเช่นนั้นไม่ใช่รึ”
“ข้ากลัวเหลือเกินพี่ กลัวว่าจะเกิดอันตรายกับพิมพ์กับจำเรียง”
กล่ำนิ่งงันไป พูดไม่ออก ลึกๆ ก็กลัวไม่น้อย
“ห่วงตัวเองเถิด ดีเท่าไรแล้วที่งามตามันไล่ออกมาก่อน ไม่ต้องทนให้มันโขกสับอยู่ในเรือนนั่น”
“ข้าจะดูแลตัวเองนะพี่ จะได้ไม่เป็นภาระให้คุณรำเพย”
“เฮ้อ น่าเวทนาเอ็งนัก ดวงแขเอ๊ย มาจัดของกันก่อนเถิด อย่าคิดมากอีกเลย”
ดวงแขมาจัดของกับกล่ำ แอบหวั่นใจนิดๆ
รำเพยเดินลงจากเรือนใหญ่มา แต่แล้วต้องชะงักแปลกใจเมื่อเห็นใครบางคน เป็นนายทวนคนของขุนพิเศษกำลังคุยกับแถนอยู่ พอนายทวนเห็นรำเพยเข้ามาจึงรีบยกมือไหว้
“คุณรำเพย มาพอดีเลยขอรับ”
รำเพยรับไหว้ “มาหาคุณพี่หรือ”
“เปล่าขอรับ กระผมจะมาถามเรื่องนัดหมายไต้ก๋งกับท่านขุน เห็นว่าคุณรำเพยจะส่งข่าวแต่ก็เงียบไป ท่านขุนจึงให้มาตามขอรับ”
รำเพยนึกได้ “จริงสิ มีแต่เรื่องยุ่งๆ จนฉันลืมไปเลย”
“กระผมแค่อยากทราบนัดหมายจะได้แจ้งแก่ท่านขุน เพราะท่านต้องนำข่าวไปแจ้งว่านายฝรั่ง ใกล้เวลาจะลงนามเริ่มก่อสร้างเต็มทีแล้วขอรับ”
“ฉันต้องขออภัยด้วย ที่มัวแต่ยุ่งจนลืมแจ้งข่าว เช่นนั้นนายทวนช่วยไปแจ้งท่านขุน ฉันจะเร่งคุณพี่ให้รีบไปพบท่านขุนภายในวันสองวันนี้”
“รบกวนคุณรำเพยด้วยนะขอรับ”
รำเพยพยักหน้ารับแต่แอบกังวล
งามตากำลังป้อนยาไต้ก๋งชางอยู่ในห้อง รำเพยเดินขึ้นมาแอบมองอยู่ที่ประตูเงียบๆ ทำใจครู่หนึ่งจึงเคาะเรียก ไต้ก๋งชางกับงามตาหันมา
“ขอโทษที่มารบกวน แต่น้องมีเรื่องอยากถามค่ะ
“มีเรื่องใดก็ว่ามา”
“เรื่องนัดหมายขุนพิเศษค่ะ ท่านให้คนมาถามว่าเมื่อใดคุณพี่จะสะดวกไปพบ”
ไต้ก๋งชางทำเป็นครุ่นคิด แต่กลับเปลี่ยนมาทำลอยหน้าลอยตาใส่รำเพย
“ถ้าข้าบอกว่าข้าไม่ไปเล่า”
“น้องก็ต้องขอทราบเหตุผลค่ะ ว่าเพราะอะไร”
งามตาแทรกขึ้น “คุณพี่ไม่อยากก็คือไม่อยาก จะถามอันใดให้มากความ”
“ฉันไม่ถามไม่ได้ เพราะนัดครั้งนี้สำคัญมาก เป็นนัดกับแขกฝรั่งที่คุณพี่ตกลงจะเปิดห้างด้วยกัน”
งามตาตาลุกวาวพอได้ยินคำว่าแขกฝรั่ง
“แขกฝรั่งงั้นรึ”
“ใช่ ทำไมหรือ”
งามตาคิดปราด ย้อนถามรำเพยออกไปอีกว่า
“หมายความว่าถ้าไป อาจจะได้สมาคมกับแขกเหล่านั้นด้วยใช่หรือไม่”
รำเพยพยักหน้า สงสัยว่างามตาจะทำอะไร งามตายิ้มกระหยิ่มแล้วลุกขึ้น บอกรำเพย
“ถ้าเช่นนั้น ข้าจะไปเอง”
รำเพยอึ้งไป “หล่อนว่าอย่างไรนะ”
“ข้าบอกว่าข้าจะไปไม่ได้ยินรึ” งามตาหันมาอ้อนผัว “คุณพี่ไปหาท่านขุนกับน้องนะคะ”
รำเพยมองไต้ก๋งชางลุ้นคำตอบ พอเห็นว่าเป็นงามตาชวนไค้ก๋งก็เห็นดีเห็นงามไปด้วย
“หากน้องงามตาต้องการ พี่ก็จะไป”
งามตาหันมาเหยียดยิ้มใส่รำเพย
“ได้ยินชัดแล้วนะ ไปบอกคนของขุนพิเศษว่าข้าจะไปกับคุณพี่ พรุ่งนี้ ส่วนเธออยู่โยงเฝ้าเรือนไปก็แล้วกัน”
งามตาพูดจบก็ไปนั่งป้อนขนมเอาใจไต้ก๋งชางต่อหน้าต่อตารำเพย
รำเพยได้แต่กล้ำกลืน สะกดกลั้นความไม่พอใจเอาไว้
ในตอนกลางวันของวันต่อมา รถของไต้ก๋งชางแล่นเข้ามาจอดที่หน้าตึก เรือนท่านขุนเพิเศษ
ท่านขุนกับคุณเดือนออกมาคอยรอรับอยู่แล้ว ขุนพิเศษมองการมาถึงของไต้ก๋งด้วยสีหน้าไม่พอใจนิดๆ
“มาได้เสียทีนะไต้ก๋ง”
เดือนแตะแขนคุณพิเศษเชิงปรามให้ใจเย็น ขุนพิเศษพยักหน้ารับ ก่อนจะเดินออกไปต้อนรับ
แถนลงมาเปิดประตูรถให้ ไต้ก๋งชางลงมาก่อน ยกมือไหว้ขุนพิเศษ
“สบายดีนะขอรับท่านขุน”
“สบายดี” ท่านขุนมองหารำเพย “นี่ไต้ก๋งมาคนเดียวหรือ”
เดือนก็แปลกใจ “นั่นสิคะ น้องรำเพยไปไหนเสีย”
“รำเพยไม่ได้มาขอรับ แต่กระผมมีคนอยากแนะนำให้ท่านขุนกับคุณเดือนรู้จัก”
“ผู้ใดกัน” ขุนพิเศษงง
ไต้ก๋งชางมองไป ทางแถนที่อ้อมไปเปิดประตูรถอีกฝั่งให้งามตาก้าวออกมา
ขุนพิเศษกับเดือนมองงามตาไม่คุ้นหน้า ไต้ก๋งชางหันมาบอกขุนพิเศษยิ้มๆ
“นี่งามตา ภรรยาของกระผมขอรับ”
ขุนพิเศษกับเดือนอึ้งไป ด้วยสีหน้าประหลาดใจเอามากๆ
งามตาแต่งหน้าเข้มจัดทำผมสวยงาม แต่งตัวเป็นคุณนายเต็มขั้น พนมมือไหว้ท่านขุนกับคุณเดือน แล้วคลี่พัดคอยพัดวีให้ตัวเอง วางท่าเย่อหยิ่ง
ฝ่ายรำเพยนั่งกินข้าวอยู่บนเรือนใหญ่ แต่กลืนกินอะไรไม่ค่อยลง ใบหน้าเหม่อลอย นมขามมองอย่างเป็นห่วง
“คุณหนูเจ้าขา ปล่อยไต้ก๋งชางไปกับนังงามตาเช่นนั้นจะดีหรือเจ้าค่ะนมกังวลอย่างไรบอกไม่ถูก กลัวงามตามันจะทำไต้ก๋งเสียหน้า”
รำเพยตอบกลับมานิ่งๆเหมือนไม่รู้สึกอะไร
“คุณพี่เป็นผู้ตัดสินใจ ฉันจะทำอย่างไรได้”
“แต่หากปล่อยไว้ทุกสิ่งที่ไต้ก๋งสร้างมามันจะพังลงสักวันนะเจ้าคะ”
“ช่วยไม่ได้ดอกนม สิ่งใดจะเกิดขึ้น ย่อมอยู่ที่การกระทำของคุณพี่”
นมขามไม่ชอบใจเท่าไรนัก
“แล้วจะต้องรอไปถึงเมื่อใดล่ะเจ้าคะ”
“ให้มันเป็นเรื่องของกรรมเวรเถิด ดีหรือไม่ดี วันหนึ่งเราก็จะเห็นเอง”
รำเพยตอบด้วยท่าทีสงบนิ่ง ทั้งที่ในใจกังวลเหลือแสน
ในห้องรับรองแขกเรือนขุนพิเศษ งามตานั่งอยู่ข้างไต้ก๋งชาง เชิดหยิ่งจนเดือนแอบมองด้วยความหมั่นไส้ ขุนพิเศษรู้สึกอึดอัดไม่ต่างกัน จึงพูดเข้าเรื่องทันที
“ไต้ก๋งหายไปหลายวัน ข้านึกว่าจะเปลี่ยนใจเสียแล้ว”
“กระผมจะเปลี่ยนใจได้อย่างไรขอรับ ในเมื่อเราตกลงกันไว้แล้ว”
“จำได้ก็ดีค่ะ นึกว่าเห่อ...” เดือนปรายตามองไปทางงามตา “ของใหม่จนลืมนัดเสียอีก”
งามตายิ้มตอบ ตอกกลับนิ่งๆ
“วันก่อนคุณพี่ป่วยหนักค่ะ แต่ตอนนี้ดีขึ้นมากแล้ว”
“แสดงว่าเราจะนัดวันกับทางนั้นได้เลยใช่หรือไม่”
“กระผมคิดว่าไม่มีปัญหาขอรับ”
“เช่นนั้นก็ดี ในสัญญาว่าไว้ว่าจะแบ่งกันคนละ 70 ต่อ 30 ตามนี้ใช่หรือไม่”
ไต้ก๋งชางกำลังจะตอบตกลง แต่งามตาได้ยินแล้วไม่ชอบใจ เลยขัดขึ้นว่า
“ร้อยละเจ็ดสิบเองหรือ เหตุใดท่านขุนจึงให้คุณพี่ลงทุนมากถึงเพียงนั้น”
“ข้าเห็นว่าทำเลที่จะสร้างเป็นของไต้ก๋ง ไต้ก๋งก็ควรมีหุ้นมากกว่า แขกฝรั่งเป็นเพียงนายทุนร่วม”
ไต้ก๋งพยักหน้ารับ แต่งามตากลับแทรกขึ้นว่า
“แบ่งให้นายทุนร่วมถึงร้อยละสามสิบ อิฉันว่ามากเกินไป”
ขุนพิเศษขมวดคิ้ว แปลกใจ
“ไม่มากดอก”
“อิฉันว่าให้เพียงร้อยละสิบก็มากพอแล้ว” งามตาบอก
เดือนสุดทน แว้ดขึ้นว่า “นี่แม่คุณจ๊ะ ให้เขาเท่านั้น ผู้ใดจะยอมลงทุนด้วย”
“อิฉันว่าคุณพี่เสียเปรียบอยู่ดี ถ้าแบ่งตามสัดส่วนนี้ อิฉันคงต้องให้คุณพี่ปฏิเสธ”
ขุนพิเศษมองหน้าชาง “ไต้ก๋งล่ะว่าอย่างไร”
ไต้ก๋งชางนิ่งเหมือนคิดอะไรบางอย่าง ก่อนจะตอบเหมือนไม่รู้ร้อนรู้หนาว
“ที่งามตาพูดก็มีเหตุผลขอรับ ให้พวกฝรั่งดั้งขอลงทุนมากเพียงนั้นเป็นการเสียเปรียบจริงๆ”
“แบบนี้พวกฉันจะไปรับหน้าฝรั่งได้อย่างไร” เดือนไม่พอใจ
ขุนพิเศษก็โกรธ “เหตุใดเชื่อหญิงไม่รู้หัวนอนปลายเท้า ความรู้ก็ไม่มีมาพูดเอาง่ายๆ”
พอได้ยินท่านขุนต่อว่างามตา ไต้ก๋งชางก็โกรธขึ้นมาทันควัน
“ท่านขุนกำลังดูถูกเมียกระผมอยู่นะขอรับ”
เดือนหัวเราะเยาะ “ไต้ก๋งคงฟั่นเฟือนไปเสียแล้ว ถึงเชื่อนังลูกหมอผีท้ายตลาดนี่ มันจะไปรู้เรื่องอันใด เชื่อมากระวังจะล่มจมเข้าสักวัน”
ไต้ก๋งชางโกรธจัด ลุกพรวดขึ้นชี้หน้า
“หากคิดจะดูถูกกันเช่นนี้ก็คงไม่ต้องพูดกันอีกต่อไปแล้ว”
“ไต้ก๋ง จะทำสิ่งใดน่ะ”
“กระผมขอยกเลิกการลงทุนสร้างห้างฝรั่งทั้งหมด เชิญท่านขุนไปหาผู้มีความรู้มาร่วมลงทุนเสียให้พอใจเถิด”
ไต้ก๋งชางเดินกระแทกเท้าออกจากเรือนเสียงดังโครมคราม งามตาลุกตาม ยกมือไหว้
“ลาล่ะค่ะท่าน นายแถน เอารถออก”
แถนโค้งรับลุกเดินออกไปทันทีด้วยสีหน้าหนักใจ
งามตายักไหล่ ยิ้มสะใจแล้วตามไต้ก๋งไป ขุนพิเศษกับเดือนมองหน้ากัน กลุ้มหนัก
แถนมากลับมาเล่าให้รำเพยฟังที่เรือนใหญ่ ซึ่งไม่ต่างจากที่รำเพยคาดการณ์เอาไว้ หันไปปรารภกับนมขาม
“เป็นอย่างที่คิดไว้จริงๆ”
นมขามถอนหายใจเซ็งๆ บ่นออกมา
“นังงามตานี่มันเหลือเกินจริงๆ ไม่รู้แล้วยังทำอวดดี ไปบอกให้ไต้ก๋งเลิกลงทุนทำห้าง หัวมันมีแต่ขี้เลื่อยหรืออย่างไร”
“ฉันคิดแต่ว่าจะเกิดเรื่อง ไม่คิดว่าจะเรื่องใหญ่เพียงนี้ เห็นทีต้องไปขอโทษท่านขุนถึงเรือนเสียแล้ว”
“เพราะนังงามตาคนเดียว ไต้ก๋งถึงเสียงานเสียการไปหมด”
“กระผมว่าไต้ก๋งแปลกไปมากนะขอรับ มากเสียจนคิดว่าอาจจะโดนยาสั่ง”
นมขามครุ่นคิด มองหน้าคุณรำเพยอย่างเป็นกังวล
“หรือมันเกี่ยวกับสาเหตุที่หลวงพ่อดำให้เราไปหาเจ้าคะ”
“ฉันก็ไม่แน่ใจ แต่เราคงเห็นแล้วว่าคุณพี่เปลี่ยนไปจริงๆ”
นมขามยกมือไหว้ท่วมหัว พูดภาวนา
“เฮ้อ คุณพระคุณเจ้า ขอให้รู้เสียทีเถิดว่าเหตุที่แท้มันคือสิ่งใด ข้ากลัวเหลือเกินว่าเรือนจะพินาศล่มจ่มไปเสียก่อน”
รำเพยเป็นทุกข์ คิดว่าต้องหาทางออกให้ได้
จำเรียงถูกล่ามไว้ในห้องคุมขังบ่าว สภาพอิดโรยเริ่ม ใบหน้าซูบตอบ ดวงแขเปิดห้องที่ขังจำเรียงไว้ เอาข้าวเอาน้ำมาให้ พอเห็นสภาพจำเรียงก็สงสารจับใจ
“จำเรียง...จำเรียง”
จำเรียงที่ใกล้จะหมดสติอยู่รอมร่อ หันมามองดวงแข
“ดวงแข”
“กินข้าวกินน้ำก่อนเถิด ข้าเอามาให้”
ดวงแขวางถาดข้าวลง จำเรียงมองเหม่อไป
“ข้าไม่อยากอยู่ที่นี่ พาข้าออกไปที”
ดวงแขสงสารจับใจ “ข้าขอโทษ...แต่ข้าช่วยไม่ได้ คนของงามตาเฝ้าอยู่”
“อีงามตามันทรมานข้า มันจะปล่อยให้ข้าตาย เอ็งต้องช่วยข้านะดวงแข”
จำเรียงยื่นมือไปบีบแขนดวงแข แววตามีความหวัง
“อดทนอีกหน่อยเถิด คุณรำเพยกำลังหาทางช่วยอยู่”
“จริงนะ คุณรำเพยต้องช่วยข้านะ ถ้าข้าไม่หนีไปข้าต้องตายแน่ อีงามตามันเล่นของ มันต้องทำของใส่ข้าแน่”
ดวงแขแปลกใจ “ว่าอย่างไรนะ เล่นของหรือ”
“ข้าเคยเห็น สัตว์ประหลาดคล้ายแมงมุมในห้องมัน อีงามตาคงจะเลี้ยงมันไว้เพื่อทำคุณไสยใส่ไต้ก๋ง”
“แต่เอ็งพิสูจน์เรื่องนี้ไม่ได้ จะให้ทุกคนเชื่อได้อย่างไร”
จำเรียงบีบแขนดวงแขพูดเสียงดัง “เช่นนั้นก็ช่วยข้าสิ”
“ช่วยอย่างไร”
“ไปบอกคุณรำเพย ให้ลอบเข้ามาช่วงที่คนเฝ้าเปลี่ยนเวร จะไม่มีคนอยู่ แล้วปล่อยข้าหนีไป ข้าจะไปสืบเรื่องนี้ที่บ้านหมอผีอินเอง”
“แต่คุณรำเพยบอกให้เอ็งรอ เราอาจจะเจรจากับงามตา”
“ไม่มีทาง อีงามตาไม่มีวันยอม เชื่อข้านะดวงแข มีเพียงวิธีนี้เท่านั้น”
จำเรียงส่งสายตาขอร้องอ้อนวอน ดวงแขลำบากใจ
เมื่อรำเพยรู้เรื่องจำเรียงจากดวงแขก็ตกใจ
“ให้ข้าลอบพาจำเรียงหนีงั้นหรือ”
ดวงแขตอบแบบกระท่อนกระแท่น ไม่มั่นใจนัก
“เจ้าค่ะ จำเรียงบอกว่ามีวิธีเท่านั้น”
“ที่เรือนนั่น เวรยามเฝ้าเต็มไปหมด หากถูกจับได้จะทำอย่างไร”
“จำเรียงว่าให้ลอบเข้าไปช่วงเปลี่ยนเวรเจ้าค่ะ จึงจะเป็นช่วงปลอดคน ตอนนั้นเราจะลอบพาจำเรียงออกมาได้”
กล่ำอยู่ด้วยทักท้วงว่า “แล้วมั่นใจรึ ว่าวิธีนี้จะได้ผล”
“ข้าก็ไม่มั่นใจพี่กล่ำ แต่ไม่มีวิธีอื่นแล้ว”
รำเพยคิดหนัก สีหน้าเครียดเคร่ง
“แล้วผู้ใดจะลอบเข้าไป”
ผู้หญิงตรงนั้นทุกคน อึกอักกันหมด แถนเลยเสนอตัวขึ้น
“กระผมไปเองขอรับคุณรำเพย”
กล่ำตกใจ “พี่แถน มันอันตรายนะพี่”
“ตรงนี้ก็ผู้หญิงกันหมด ให้ข้าไปน่ะดีแล้ว ต่อให้ใครมาเห็นคงเป็นบ่าวไม่กี่คน ข้าจัดการได้ หรือถ้าเอ็งจะไปเป็นเพื่อนข้าก็ได้นะนังกล่ำ”
“โอ๊ย ข้าไม่เอาด้วยดอก เกิดสะดุดล้มคะมำไปเป็นภาระมากกว่าช่วย” กล่ำบอก
ดวงแขใคร่ครวญครุ่นคิด แล้วตัดสินใจเสนอตัวขึ้น
“เช่นนั้น ฉันขอไปด้วยได้ไหมจ๊ะพี่แถน จำเรียงจะได้อุ่นใจว่ามีเพื่อน”
“อกอีแป้นจะแตก ญาติข้าใจกล้ามาจากที่ใดกันนี่”
กล่ำทำท่าจะเป็นลม ดวงแขพูดปลอบ
“อย่าห่วงเลยพี่กล่ำ คนเราเกิดหนเดียว ตายหนเดียว ให้ฉันได้ทำอะไรเพื่อช่วยคุณรำเพยบ้างเถิด”
“ลองดูก่อนเถิด ข้าสัญญาว่าจะดูแลตัวเองและดวงแขอย่างดี” แถนบอก
“ถ้าเช่นนั้นก็ขอให้พวกเอ็งโชคดี”
กล่ำยังไม่คลายกังวล เพราะเป็นห่วงทั้งแถนและดวงแข รำเพยบีบไหล่กล่ำปลอบ
ฟากงามตาออกมาตรงชานเรือน เห็นบ่าวขนข้าวของเป็นหีบๆ วางอยู่หน้าเรือนจึงเดินลงไปดู
“ข้าวของอันใดมาส่งแต่เช้า”
“ของที่ไต้ก๋งสั่งมาจากเมืองจีนขอรับ เพิ่งลงเรือเมื่อเช้า”
งามตาตาโต “ของจากจีนหรือ ไหนให้ข้าดูหน่อย”
บ่าวเปิดหีบออก เห็นเป็นทั้งผ้าทอจากจีน ถ้วยชามสังคโลก เครื่องหยกสวยงามมากมาย
งามตาตาวาวทันที ถามอย่างสนใจ
“ของมากมายพวกนี้ คุณพี่สั่งมาทำไมกัน
“ก็สั่งมาให้น้องไงเล่า”
งามตาหันไปเห็นไต้ก๋งชางเดินลงมาหา ยื้มปลื้ม
“จริงหรือคุณพี่ น้องไม่คิดเลยว่าคุณพี่จะให้น้องมากมายถึงเพียงนี้”
งามตามองข้าวของในหีบ ยิ้มกว้างพอใจ
ไต้ก๋งชางยื่นมือไปตรงหน้างามตา แล้วสร้อยหยกเส้นหนึ่งลงมาให้งามตาดู งามตาอึ้ง
“พี่เห็นว่าน้องอยากได้จึงสั่งมาให้”
งามตางงนิดๆ “น้องน่ะหรือคะ”
“วันก่อนที่ลานนั่นอย่างไร น้องบอกแก่รำเพยว่าหากอยากให้เลิกลงโทษจำเรียง ก็ให้รำเพยเอาหยกมาแลก”
งามตานึกขึ้นได้ แล้วเปลี่ยนเป็นหน้าง้ำ น้อยอกน้อยใจ
“คุณพี่เอาหยกอื่นมาเช่นนี้ จะต่อรองกับน้องเพื่อช่วยคุณรำเพยหรือคะ”
“เปล่าดอก หยกชิ้นนั้นเป็นของเก่า ไม่ได้มีราคาค่างวดใด ของใหม่สวยงามนี่เหมาะกับน้องมากกว่า ไหน มาให้พี่สวมให้ซิ”
งามตาทำเป็นกระเง้ากระงอดพอเป็นพิธี แล้วยอมให้ไต้ก๋งชางสวมสร้อยคอให้
“สวยไหมคะคุณพี่”
ไต้ก๋งชางมองสร้อยจี้หยก แล้วจู่ๆ ก็หวนนึกถึงตอนรำเพยสวมสร้อยหยก และจำได้ว่าตนเป็นคนสวมสร้อยหยกให้รำเพยเช่นกัน ไต้ก๋งชะงักงัน จนงามตาถามย้ำ
“คุณพี่คะ”
ไต้ก๋งชางมองเหม่อไป
“สวย...เหมือนรำเพย”
งามตาเอะใจ “คุณพี่ว่าเหมือนใครนะคะ”
ไต้ก๋งชางหลุดจากภวังค์ รู้สึกอึดอัดแปลกๆขึ้นมา
“เปล่า ไม่มีอะไร พี่ขอตัวไปพักในเรือนก่อน รู้สึกเวียนหัวอย่างไรชอบกล”
ไต้ก๋งชางเดินหนีขึ้นเรือนไปเลย งามตามองตามด้วยแววตาสงสัย
ด้านรำเพยแวะมาหาขุนพิเศษที่เรือน พร้อมนำกล่องของฝากมาด้วย พอทุกคนนั่งกันเรียบร้อยรำเพยก็เปิดกล่องออก ในนั้นเป็นชุดถ้วยชามสังคโลกจากจีน
เดือนเห็นก็ตาเป็นประกายขึ้นมานิดๆ แต่ยังทำท่าปั้นปึ่งใส่เพราะโกรธอยู่
“น้องรำเพยมาหาพี่กับท่านขุนด้วยเหตุใดจ๊ะ”
“น้องทราบมาว่าคุณพี่กับท่านขุนเกิดเหตุขุ่นเคืองใจกัน จึงนำสิ่งนี้มาขอโทษค่ะ”
“ถ้วยชามพวกนี้อาจมีราคาแพง แต่ถ้าเทียบเรื่องที่เกิดขึ้น มันเทียบกันไม่ได้ดอก” ขุนพิเศษก็ยังเคืองๆ
“อิฉันทราบค่ะ แต่จะให้อิฉันนิ่งดูดายก็ทำไม่ได้”
“คุณน้องไปแจ้งแก่ไต้ก๋งให้คิดดูเสียใหม่เรื่องห้างฝรั่งจะดีกว่าขอโทษนะจ๊ะ”
“อิฉันพูดกับคุณพี่ไปแล้วค่ะ แต่ทำอย่างไรก็ไม่ได้ผล”
เดือนพอนึกได้ว่าคงเป็นเพราะงามตา อดโมโหไม่ได้
“พี่ถามหน่อยเถอะ ไหนไต้ก๋งย้ำนักย้ำหนาว่ารักน้องรำเพย เหตุใดไปคว้าเอาหญิงหยำฉ่ามาทำเมียอีกคนได้”
“ชีวิตคนเรายังเปลี่ยนแทบทุกโมงยาม แล้วน้องจะทำให้ใจสามีตัวเองไม่เปลี่ยนได้อย่างไรล่ะคะ”
เดือนถอนหายใจ ขุนพิเศษก็ปั้นหน้าไม่ถูก
“หมายความว่า เรื่องห้างฝรั่งกับไต้ก๋งคงยกเลิกถาวรแล้วสินะ”
“อิฉันเสียใจ และต้องกราบขอโทษท่านขุนด้วยเจ้าค่ะ”
“ช่างเถิด ถือว่าไม่มีวาสนาต่อกัน เห็นทีฉันคงต้องหาผู้ร่วมลงขันใหม่”
“อิฉันเข้าใจค่ะ”
ขุนพิเศษมองหน้ารำเพยอย่างเข้าใจ “เรื่องความสัมพันธ์ของเรา คุณรำเพยไม่ต้องห่วง ในเมื่อขอโทษแล้วก็จบกันไป ฉันไม่ถือสาหาความดอก”
รำเพยมีสีหน้าสบายใจขึ้น แต่เดือนยังไม่พอใจงามตาอยู่ดี
“พี่ก็ไม่ติดใจจ้ะ แต่ฝากไปบอกทางนั้นหน่อยเถิด ว่าคิดจะเป็นเมียไต้ก๋งก็จงหาความรู้ใส่ตัวไว้บ้าง ไม่ใช่สักแต่พูดพล่อยๆ เหมือนผีเจาะปากมา ผัวพาไปไหนก็อับอายไปทั่ว”
ฟังที่เดือนเหน็บแนมงามตา รำเพยได้แต่ยิ้มรับแกนๆ
ฝ่ายงามตาแอบมาหาก้อนที่กระท่อมท้ายสวน เสพสมจนอิ่มหนำสมใจ ชายโฉดหญิงชั่วนอนกกกอดกันอยู่นิ่งนาน จนกระทั่งงามตาลุกขึ้นจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อย ก้อนลุกตาม
“จะกลับแล้วรึ”
“ฉันต้องไปแล้ว เดี๋ยวใครมาเห็นเข้า”
ก้อนสวมกอดงามตาจากด้านหลังเว้าวอน
“เมื่อใดเอ็งจะมาหาข้าอีก”
“ข้าก็มาหาพี่อยู่บ่อยๆ แล้ว พี่จะต้องการสิ่งใดอีก”
“ข้าอยากอยู่กับเอ็งทุกวัน ไม่ว่าเอ็งจะมาหาข้ามากเท่าใดข้าก็ไม่รู้สึกว่าพอ”
“พี่นี่โลภมากจริงนะ”
งามตาปลดมือก้อนออก หันมาหาจับหน้าลูบเบาๆ
“ต้องให้ข้าทำอย่างไร เอ็งถึงจะเลือกข้าแทนที่จะเป็นไอ้เจ๊กนั่น”
“ก็คงต้องรอให้ทุกสิ่งเป็นของข้าก่อนกระมัง”
“รอ...อีกแล้วรึ เอ็งบอกให้ข้าเอาแต่รอ แล้วเมื่อใดจะถึงวันนั้น”
ก้อนฮึดฮัดขัดใจขึ้นมา งามตาต้องพูดอ้อนเอาใจ เพื่อให้เย็นลง
“ฉันบอกแล้วไงว่าอีกไม่นาน”
“นานเท่าใด เอ็งรู้ไหมว่าที่ข้าต้องใช้เมียร่วมกับเจ๊กนั่น อกข้าจะแตกตายอยู่ทุกวัน”
ก้อนโมโหหึง งามตาซบไหล่ก้อนลูบหลังปลอบโยน
“อย่าใจร้อน แค่พี่ช่วยฉัน อีกไม่กี่ครั้ง ทุกอย่างก็จะสำเร็จแล้ว”
“เอ็งพูดราวกับว่าต้องทำสิ่งใดอีก”
งามตาละตัวออกมา ยิ้มเจ้าเล่ห์เชิงบอก ก้อนพอเข้าใจ
“เหมือนกับคราว...นังพิมพ์รึ”
“พี่นี่ฉลาดแท้”
“เหตุใดต้องพิธีอีก แค่คราวก่อนไม่พอรึ”
“ไม่พอ มนต์นางครวญต้องทำพิธีสังเวยหญิงสาวทุกสองวันเพ็ญจึงได้ผล และข้าก็รู้สึกว่ามนต์ที่ทำไว้มันเริ่มเสื่อมแล้ว ข้ารอไม่ได้อีก”
ก้อนไม่ชอบใจเท่าไหร่ ฝืนถามงามตาไป
“คราวนี้คือผู้ใด”
งามตาไม่ตอบ มองหน้าก้อน ยิ้มร้าย แววตาเหี้ยมโหด
ที่โรงต่อเรือ รำเพยกลับจากเรือนขุนพิเศษเดินเข้ามาในนั้น เห็นข้าวของเครื่องมือช่างยังวางไว้ เหมือนตอนไต้ก๋งยังอยู่กระนั้น
รำเพยหวนนึกถึงตอนไต้ก๋งทำงานอยู่ แล้วเธอเดินเข้ามาพร้อมปั้นน้ำชา ไต้ก๋งหันมามองยิ้มให้
รำเพยดึงความคิดคืนมา เดินมาแตะเรือที่ไต้ก๋งชางต่อทิ้งไว้ มองเรือสีหน้าเศร้าสะท้อนในใจ
“คุณพี่...คุณพี่ไม่ได้กลับมาที่นี่นานแล้วนะคะ จะมีวันที่คุณพี่ได้กลับมาต่อเรือนี้ให้สำเร็จอีกครั้งหรือไม่”
บรรยากาศรอบข้างเงียบสงัด
“จะมีวันที่น้องได้พบกับคุณพี่คนเดิมอีกหรือไม่...น้องกลัวเหลือเกิน”
รำเพยน้ำซึม มองไปรอบๆ อย่างอาวรณ์
ถึงคืนวันเพ็ญ บรรยากาศเงียบสงัดจนดูวังเวง
ที่หน้าเรือนขังบ่าว ใครบางคนย่องมาทางเรือนได้ยินเสียงดังสวบสาบ
บ่าวชาย1 ที่เฝ้ายามอยู่ด้านหน้าเดินมาเปลี่ยนเวรกัน คนหนึ่งเดินออกไปเพื่อจะกลับเรือน แต่กลับมีใครบางคนลอบมาด้านหลังแล้วเอาไม้ฟาดหัวสลบไปนอนกองที่พื้นแล้วคนนั้นก็รีบหลบไป
บ่าวชาย2 ที่มาเฝ้ายามคนใหม่มองไป รู้สึกว่ามีอะไรแปลกๆ เลยเดินไปดู
ดวงแขที่สวมผ้าคลุมปิดหน้าปิดตาย่องมาจากด้านหลัง จะลอบเข้าไปในเรือน แต่บ่าวชาย2 หันมาเห็นก่อน
“ใครวะ”
บ่าวชาย2 พุ่งไปที่ดวงแขหมายจะจับตัว ดวงแขตกใจหาทางหนี แต่แล้วร่างของบ่าว2 ก็ทรุดร่วงลงไปกองที่พื้น ดวงแขอึ้งไป รีบเอาผ้าปิดหน้าทันที
แถนปรากฏตัวออกมาจากมุมมืด โยนไม้ท่อนที่ถือมาด้วยและใช้ตีบ่าว2ทิ้งลงพื้น บอกกับดวงแข
“เร็ว เดี๋ยวใครมาเห็นเข้า”
ดวงแขพยักหน้ารัวๆ แล้วเข้าไปในเรือนที่ขังจำเรียงทันที
จำเรียงนั่งหลับตาอยู่ สภาพดูโทรมยิ่งกว่าเก่า ปากซีดอ่อนแรง ประตูห้องเปิดขึ้น เห็นเป็นเงาคนถือดาบเข้ามา ก็ตกใจคิดว่าจะมาทำร้าย
“ไม่...ไม่นะ”
แถนพุ่งไปหาจำเรียง เปิดผ้าให้ดูหน้าแล้วทำท่าจุ๊ปากให้เงียบ
“ข้าเอง แถน”
ดวงแขตามเข้ามา หยุดเฝ้าหน้าประตู พอจำเรียงรู้ว่าเป็นใครก็ดีใจ
แถนเอาผ้าปิดหน้าเหมือนเดิม หยิบกุญแจออกมาไขปลดโซ่ให้จำเรียง
“ไป”
จำเรียงพยักหน้ารัวๆ ดวงแขเข้ามาช่วยพยุงจำเรียงลุกขึ้น จำเรียงทรุดฮวบลงไปอีกเพราะอ่อนแรงได้ดวงแขช่วยดึงให้ลุกจนได้
“จำเรียง”
“ข้าไม่เป็นไร รีบไปเถอะ”
แถนดูลาดเลาให้ แล้วเดินนำทั้งสองออกไป
ขณะเดียวกันก้อนใช้ผ้าดำปิดหน้าปิดตาเช่นกันเดินมาถึงบริเวณหน้าเรือนบ่าว หมายจะมาเอาตัวจำเรียงไปทำพิธี แต่กลับเดินไปสะดุดอะไรบางอย่างที่พื้น พอเลยก้มลงดู ปรากฏว่าเป็นร่างบ่าวชายที่แถนตีหัวจนสลบไป ก้อนรู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากล เลยฉากหลบซ่อนตัวซุ่มดูเหตุการณ์ก่อน
สักพักก็เห็นแถนกับดวงแขพาจำเรียงออกมา แต่ไม่รู้ว่าแถนเป็นใคร รอจนพวกนั้นพ้นสายตาไปก้อนจึงย่องตามไปห่างๆ
แถนกับดวงแขพยุงจำเรียงลัดเลาะเข้ามาตามทางในสวน แต่เป็นไปอย่างทุลักทุเลเต็มทน เพราะจำเรียงเจ็บหนัก แถนมองหาทางไปต่อ บอกกับสองสาว
“ข้าเตรียมเรือไว้รอที่ท่าแล้ว อดทนหน่อยนะ”
ดวงแขพยักหน้า จำเรียงกัดฟันทนเจ็บ
แถนกำลังจะเดินไปต่อ แต่กลับรู้สึกว่ามีคนมาตามมาทางด้านหลัง
พอหันไปปรากฏว่าเป็นก้อนในชุดไอ้โม่งยื่นดาบใส่ ดวงแขกับจำเรียงผงะไป
ก้อนย่างสามขุมเข้ามาหา แถนเอาตัวบังจำเรียงกับดวงแขไว้อย่างกล้าหาญ
“คิดจะพานังจำเรียงหนีรึ ใครส่งพวกเอ็งมา”
แถนไม่ตอบ ดวงแขกอดจำเรียงไว้ หันหน้าหลบ
“ไม่ตอบรึ”
พูดไม่ทันขาดคำก้อนก็ควักดาบออกมาแล้วฟันไปที่แถน
แถนเอาดาบมากันไว้ ดวงแขกับจำเรียงร้องกรี๊ดลั่น
แถนเอาดาบกันไว้แต่ก้อนกดดาบลงมาเรื่อยๆเพราะแรงเยอะกว่า
พอเห็นว่าสู้ไม่ได้แน่ แถนก็ตะโกนบอกดวงแข
“พาจำเรียงหนีไป เร็ว”
ดวงแขทำหน้าเลิ่กลั่ก แต่ก็วิ่งหนีไปตามที่แถนบอก
ก้อนเห็นว่าจำเรียงจะหนี เลยดึงดาบออกจะวิ่งตาม แต่แถนคว้าตัวไว้ได้ ก้อนหันไปจะฟันใส่ แถนเบี่ยงตัวหลบได้ ก้อนโมโหเลยไล่ฟันแถนไม่ยั้ง แถนถอยจนเกือบไปชนต้นไม้ ก้อนฟันซ้ำลงมาแถนเบี่ยงตัวหลบจนล้มกลิ้งดาบหลุดจากมือ แถนรีบลุกวิ่งหนี ก้อนตามติด แถนอาศัยวิ่งไวหลบเข้าไปข้างทางก่อน ก้อนมองหา
“อยู่ไหนวะ”
แถนแอบเข้ามาด้านหลังถีบก้อนจนล้มคะมำ ดาบหลุดมือเหมือนกัน
พอก้อนลุกขึ้นได้ ก็รีบกระโจนไปกระชากตัวแถนจนล้มกลิ้งไปด้วยกัน แถนรีบฉวยจังหวะถีบก้อนจะหนีไปอีกทาง แต่ก้อนคว้าท่อนไม้แถวนั้นได้ รีบขัดขาแถนแล้วเอาไม้ฟาดจนแถนล้มลงสลบไป
ก้อนยืนหอบหายใจ กะจะเปิดผ้าดูหน้า แต่มีเสียงบ่าวชายคนหนึ่งดังขึ้น
“นั่นใครน่ะ”
“ฝากไว้ก่อนเถอะมึง”
ก้อนเห็นท่าไม่ดีจึงถอนตัว รีบวิ่งตามจำเรียงกับดวงแขไปอีกทาง
บ่าวชายคนนั้นวิ่งเข้ามาดู พอเห็นเป็นแถนก็ตกใจสุดขีด
เช้าแล้ว แถนค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา โดยมีกล่ำเอาลูกประคบ คอยประคบแผลให้ พอเห็นแถนฟื้นกล่ำก็ดีใจ
“ฟื้นแล้วหรือพี่”
แถนเรียบเรียงความคิด พอนึกถึงเรื่องเมื่อคืนแล้วลุกพรวดขึ้น
“จำเรียง...ดวงแข”
แถนลุกขึ้นได้นิดเดียวก็เซเพราะยังเวียนหัวอยู่ กล่ำไปประคองไว้
“ใจเย็นสิพี่ พึ่งฟื้นแท้ๆ ลุกพรวดพราดเช่นนี้เดี๋ยวก็แย่ดอก”
แถนพยุงตัวเองให้ลุกขึ้นนั่งได้ มองไปรอบๆ ถามกล่ำด้วยความร้อนรนใจ
“กล่ำ เห็นจำเรียงกับดวงแขรึไม่”
“ไม่เห็น” กล่ำลดเสียงลงเป็นกระซิบ “พี่ไม่ได้พามันหนีไปแล้วหรือ”
“ข้าไม่รู้...เมื่อคืนมีคนเข้ามาขวางเสียก่อน จึงไม่รู้สองคนนั้นเป็นตายร้ายดีอย่างไร”
“พี่ไม่รู้ข้าก็ไม่รู้ รู้แค่บ่าวมันไปเจอพี่สลบอยู่ในสวนสภาพนี้นั่นล่ะ”
“ไม่มีผู้ใดเห็นสองคนนั้นเลยหรือ”
“ไม่มี...เกิดอะไรขึ้นหรือพี่”
กล่ำทำหน้าสงสัยเต็มที่ แถนกำลังจะเล่าให้ฟัง แต่จู่ๆ ก็มีบ่าวชายคนหนึ่งวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาในเรือนบ่าว
“แย่แล้ว แย่แล้ว! อีจำเรียง....อีจำเรียง”
แถวกับกล่ำได้ยินก็ลุกไปหาบ่าวคนนั้น กล่ำรีบถาม
“เกิดอันใดขึ้น”
บ่าวชายมาหยุดยืนหอบ สีหน้าตื่นตระหนก ก่อนจะตั้งสติเล่าให้ฟัง
“จำเรียง...”
ศพของจำเรียงถูกแขวนห้อยต่องแต่งอยู่บนต้นไม้ มีร่องรอยกรีดตามตัว สภาพน่าเวทนา บ่าวในเรือนมามุงดูกันหมด พอเห็นศพก็พากันซุบซิบทำหน้าหวาดกลัว
กล่ำ แถน รำเพย และนมขามตามมาถึง พอนมขามเห็นร่างจำเรียงก็แทบเป็นลม
“เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้ได้”
รำเพยพูดไม่ออก เบือนหน้าหนีไปทางอื่น แถนตะโกนสั่งบ่าวชายทุกคนตรงนั้น
“มองอันใดอยู่เล่า ช่วยเอาศพจำเรียงลงมา จะปล่อยไว้ให้อุจาดตาเช่นนี้รึ”
บ่าวชาย 3 – 4 คนผวากลัว มองหน้ากันไปมาไม่มีใครกล้าขยับเข้าไปใกล้สักคน
“ข้าไม่เอาด้วยดอกพี่แถน”
“ใช่ ตายโหงเช่นนี้จับไปจะพาโชคร้ายเข้าตัวหรือไม่ก็ไม่รู้”
“นี่ดวงแขก็หายไปด้วย จะกลายเป็นศพอีกคนหรือไม่”
รำเพยมองหาดวงแข พลางถามขึ้น
“ไม่มีผู้ใดเห็นดวงแขเลยหรือ”
บ่าวต่างพากันส่ายหัว บ้างก็ปฏิเสธบอกว่าไม่เห็น
“จำเรียงยังมีสภาพเช่นนี้ แล้วดวงแขจะเป็นอย่างไร” คุณนมวิตก
เสียงงามตาดังแทรกขึ้น “มันก็คงหนีเตลิดไปไหนต่อไหนแล้วกระมัง”
ทุกคนหันไปมุมหนึ่ง เห็นงามตา ไต้ก๋งชาง อบเชยและก้อนเดินเข้ามาเป็นขบวน
“หนีไป หมายความว่าอย่างไร”
งามตามองศพจำเรียงแล้วทำหน้าขยะแขยง
“ไม่แน่ อีจำเรียงมันอาจจะไม่ได้ฆ่าตัวตาย แต่มีคนจงใจฆ่ามันก็ได้”
“จำเรียงไม่เคยมีปัญหากับผู้ใด ยกเว้นเอ็ง หากผู้ใดจะฆ่าก็คงเป็นเอ็งกระมัง”
งามตาหัวเราะ ไม่ทุกข์ร้อน มองเหยียดนมขาม
“แหม ไม่คิดหรือว่าคนที่น่าไว้ใจที่สุด อาจจะอันตรายที่สุดก็ได้” งามตาพูดลอยหน้าลอยตา
“เธอหมายถึงใครกันงามตา”
“ใครในที่นี้ใครหายตัวไปเล่า” งามตาพูดเป็นนัย
รำเพยชะงัก นิ่งงันไป
“ไม่จริง ต้องไม่ใช่ดวงแขแน่”
งามตาหันมาฟ้องไต้ก๋ง “คุณพี่ดูสิคะ เมียใหญ่คุณพี่ไม่ยอมเชื่อน้อง”
ไต้ก๋งชางก็ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงเย็นชากว่าเดิม
“เช่นนั้นน้องรำเพยก็หาหลักฐานมาเถิดว่าดวงแขไม่ได้ฆ่าจำเรียง”
“ดวงแขเป็นเด็กเรียบร้อย จิตใจดี มันจะฆ่าคนได้อย่างไร” นมขามไม่เชื่อเด็ดขาด
“ไม่แน่ บางทีสี่สาวเรือนดอกเหมยอาจมีปัญหาที่เราไม่รู้ก็ได้ ว่าอย่างไรล่ะอบเชย”
ทุกคนหันไปมองอบเชยเป็นตาเดียว อบเชยอึกอัก
“ดวงแขกับอบเชยเคยขัดใจกันเรื่องเงินทองเจ้าค่ะ จำเรียงมันเคยยืมอัฐดวงแขไปแล้วไม่คืน ดวงแขอาจจะฉวยโอกาสตอนจำเรียงถูกขังลอบทำร้ายก็ได้”
ฝั่งรำเพยไม่มีใครเชื่อ ต่างมองอบเชยด้วยสีหน้าผิดหวัง
“อบเชย ข้าไม่คิดเลยว่าเอ็งจะใส่ร้ายดวงแขได้” รำเพยตำหนิ
“โอ๊ย หยุดคิดว่าผู้อื่นจะดีจนโง่อย่างเธอหน่อยเลย เธอน่ะไม่รู้อะไรสักอย่าง คนอย่างอีจำเรียงน่ะตายไปก็สมควรแล้ว จริงไหมคะคุณพี่”
“ใช่ มันสมควรตายแล้ว”
ไต้ก๋งชางเออออตามงามตาทุกอย่าง งามตายิ้มกระหยิ่ม รำเพยได้แค่คับแค้นใจ
งามตากลับมาที่ห้อง ปิดประตู หน้าต่าง มองจนแน่ใจว่าไม่มีเข้ามาได้แล้ว จึงเปิดลิ้นชักหยิบขวดน้ำมันว่านนางครวญขึ้นมาดู ยิ้มกระหยิ่ม
หวนนึกถึงเหตุการณ์ตอนเห็นจำเรียงวิ่งหนีหน้าตาตื่นอยู่ในป่า
โดยไม่รู้ตัวว่าก้อนในสภาพคลุมหน้าวิ่งตามมาทางด้านหลัง เอามีดฟันจนจำเรียงล้มลง ดวงแขกรีดร้อง วิ่งเตลิดหนีไป งามตาจะวิ่งตาม แต่หมอผีอินดึงแขนไว้
ไม่นานต่อมา หลังพิธีเสร็จร่างจำเรียงมีเลือดไหลซึมออกมา ชักกระตุกตาตั้ง จ้องงามตาด้วยความอาฆาตพยาบาท ก่อนจะค่อยๆ หยุดชัก แต่ยังลืมตาโพลงมองจ้องงามตาอยู่อย่างนั้น
งามตาดึงความคิดตัวเองกลับออกมา แสยะยิ้มเหี้ยม สะใจที่ทุกอย่างเป็นไปตามที่ตัวเองคิด
รำเพยกลับมาที่เรือนใหญ่ คิดถึงเรื่องจำเรียงก็เครียดขึ้นมาอีก นมขามคอยดูแลพัดวีให้อยู่ข้างๆ
“โธ่...นังจำเรียง ไม่น่าเลย...”
กล่ำหันไปถามแถน
“เกิดอะไรขึ้นพี่แถน”
“ตอนพาจำเรียงออกมา มีคนดักทำร้ายข้า แต่ข้าไม่รู้มันเป็นใคร”
“มันจะทำร้ายเอ็งทำไม หรือมันรู้ว่าเอ็งไปช่วยจำเรียง” นมขามว่า
“มันไม่รู้ดอกคุณนม ข้าคิดว่ามันจะทำร้ายจำเรียงอยู่แล้ว แต่ผิดแผนจึงเล่นงานข้าแทน”
กล่ำกลุ้มหนัก หน้าเศร้าลงไปอีก
“นี่แม่ดวงแขก็หายไปอีกคน ไม่รู้เป็นตายร้ายดีอย่างไรเหตุใดจึงเกิดเรื่องเลวร้ายในเรือนเรามากมายเช่นนี้”
กล่ำพูดแล้วจะร้องไห้ แถนตบบ่าเชิงปลอบ รำเพยปรารภขึ้น
“แปลก...แปลกเหลือเกิน”
“แปลกอย่างไรหรือคะคุณหนู”
“จริงอย่างกล่ำว่า เกิดเรื่องในเรือนเรามากมาย มากจนผิดปกติ ไหนจะเรื่องพิมพ์ จำเรียงแล้วยังดวงแขอีก ฉันว่ามีอะไรไม่ชอบมาพากลเสียแล้ว”
แถนนึกตาม
“นั่นมันสาวเรือนดอกเหมยทั้งหมดเลยนี่ขอรับ”
นมขามเอะใจ “จริงด้วย อย่างกับมีใครจงใจสร้างเรื่อง”
ทุกคนมองหน้ากันไปมา รับรู้ถึงสิ่งผิดปกติ
“ทุกอย่างเกิดขึ้นหลังจากงามตากลับเข้ามาในเรือน หรือว่า...”
กล่ำเอามือปิดปากตัวเอง ไม่กล้าพูดต่อ รำเพยคิดหนัก
ฝ่ายงามตายกถาดอาหารเข้ามาในห้องนอน ไต้ก๋งชางนั่งรออยู่ที่โต๊ะ
“สำรับมาแล้วค่ะคุณพี่”
ไต้ก๋งยิ้มให้ งามตาเดินไปนั่งข้างๆ ตักอาหารป้อนเอาใจ แน่นอนว่าอาหารนั้นผสมน้ำมันนางครวญเข้าไปเช่นเคย ไต้ก๋งชางกินอย่างเอร็ดอร่อย
งามตาลอบมองอย่างสาสมใจ รู้ดีว่าไต้ก๋งกำลังจะหลงใหลตนอีกครั้ง
“รสชาติดีเหลือเกิน”
“น้องลงครัวเองเลยนะคะ ทำแต่ของที่คุณพี่ชอบทั้งนั้น”
“น้องนี่รู้ใจพี่เสียจริง”
“คุณพี่ชอบไหมคะ”
งามตาพูดไปทำท่าเอียงอายไปด้วย ชางคว้าตัวงามตามาโอบ
“พี่ชอบเสมอที่ได้อยู่กับน้อง แต่คงจะมีความสุขมากกว่านี้ได้อีก หากได้มีครอบครัวที่สมบูรณ์พร้อม”
“คุณพี่หมายถึง...”
ไต้ก๋งชางจับมืองามตามาดอมดมด้วยความหลงใหล บอกอย่างมีความหวัง
“ถ้าเรามีลูกด้วยกัน พี่คงมีความสุขไม่น้อย”
“แล้วเหตุใดคุณรำเพยจึงไม่มีลูกล่ะคะ”
“อาจเป็นเรื่องของบุญวาสนา พี่จึงหวังเหลือเกินว่างามตาจะเป็นคนทำให้ความหวังพี่เป็นจริงได้”
งามตาทำเป็นเขินอาย “น้องก็...อยากช่วยให้คุณพี่สมหวัง”
“ถ้างามตามีลูกให้พี่ได้ พี่ก็จะยกทุกอย่างให้น้องและลูกของเราทั้งหมด”
“คุณพี่ช่างดีกับน้องจริงๆ”
งามตาสวมกอดไต้ก๋งชางด้วยแววตาเปล่งประกายเต็มไปด้วยความหวัง
ไต้ก๋งชางมองลึกซึ้ง ก้มลงหอมแก้มงามตา แต่จู่ๆ ก็หยุดชะงัก
งามตามองฉงนว่าไต้ก๋งเป็นอะไร ไต้ก๋งชางเอามือกุมอก หอบหายใจอย่างเจ็บปวด
“คุณพี่”
ไต้ก๋งชางหอบหนักขึ้นเรื่อยๆ ร่างกระตุก ยกมือกุมหัวอย่างทุกข์ทรมาน
งามตาลนลานตกใจมากว่าไต้ก๋งเป็นอะไร
“คุณพี่ เป็นอะไรไปคะ”
ไต้ก๋งชางยังไอไม่เลิก งามตาผงะถอยออกมาทำตัวไม่ถูก พอทำใจได้จึงเข้าไปประคองไต้ก๋ง
“คุณพี่”
แต่แล้วไต้ก๋งชางก็ลำลักออกมาครั้งใหญ่ งามตากรี๊ดกระโจนลงเตียงแทบไม่ทัน
บนที่นอนยามนี้มีเลือดกระเซ็นเลอะเต็มไปหมด ไต้ก๋งชางแตะที่ปากตัวเองเห็นเลือดติดอยู่สีหน้าตกใจ
งามตาหันรีหันขวาง ร้องตะโกนเรียกออกไปด้านนอก
“มีใครอยู่ไหม ใครก็ได้ช่วยด้วย ช่วยตามหมอมาที”
ไต้ก๋งชางดูเลือดที่เลอะมือตัวเอง ก่อนจะทรุดลงอย่างหมดแรง
คืนนั้น งามตาก้าวเท้าฉับๆ มาที่เรือนท้ายสวน เปิดประตูผลัวะเข้าไปข้างใน ทำเอาก้อนสะดุ้ง งามตากระแทกตัวลงนั่งอย่างหงุดหงิด
“ปึงปังเข้ามาเช่นนี้ข้าตกใจหมด”
“หุบปากได้ไหมพี่” งามตาตวาด
“อ้าว แล้วเอ็งนัดข้ามาทำไมวะนังงามตา”
“ข้าเพียงแต่หงุดหงิดไอ้ไต้ก๋งนัก”
งามตาหนักใจเรื่องอาการไต้ก๋งมาก ก้อนเหยียดยิ้มเยาะเย้ย
“ผัวเจ๊กเอ็งไม่เอาใจอย่างเคยหรืออย่างไร”
“ไม่ใช่ แต่จู่ๆ มันก็ป่วยหนัก ไอเป็นเลือดคล้ายคนใกล้ตายอย่างนั้น ฉันอยู่ด้วยแล้วรำคาญใจ”
ก้อนหัวเราะชอบใจเข้ามาโอบไหล่งามตา
“ข้าบอกแล้ว ว่าให้เลือกข้า อยู่กับข้าเอ็งไม่ต้องเหนื่อยทำสิ่งใด ข้ายินดีจะเอาอกเอาใจเอ็งทุกอย่าง”
“พี่ก็รู้ว่าฉันทำเพื่อใครแล้วยังจะพูดเช่นนี้อีก”
งามตาทำประชดใส่ก้อน ก้อนพูดปลอบ
“ข้ารู้ ข้ารอวันนั้นอยู่ ข้าเพียงแต่ไม่อยากให้เอ็งคิดมาก”
“พี่อยู่เฉยๆ ไปเถิด ให้ฉันอารมณ์เย็นแล้วฉันจะกลับ”
ก้อนเชยคางงามตามองลึกเข้าไปในดวงตา
“ก็ในเมื่อไอ้เจ๊กนั่นมันป่วยใยจึงต้องรีบกลับ ใช้เวลาอยู่ด้วยกันให้คุ้มค่าไม่ดีกว่ารึ”
ก้อนมองงามตาทั่วทั้งตัวด้วยความเสน่หา งามตาเบี่ยงตัวออก
“หากใครรู้ฉันหายไปนานจะไม่ดีนะพี่”
“ช่างไอ้คนพวกนั้นมันเถิดสนใจแต่ข้าก็พอ”
งามตาทำอิดออดพอเป็นพิธี แล้วเปลี่ยนเป็นยิ้มยั่วยวน
ก้อนยิ้มชอบใจ กอดงามตาพากันล้มลงไปบนแคร่
เช้าวันรุ่งขึ้น ไต้ก๋งชางนอนซมอยู่ในห้องคนเดียวไม่มีใครดูแล นอนไปได้สักพักก็เริ่มกระสับกระสายเหมือนคนฝันร้าย เหงื่อกาฬโทรมกาย ร้องคร่ำครวญหาแต่งามตาด้วยความถวิลหา
“งามตา...งามตา”
ไต้ก๋งชางลืมตาตื่นขึ้นมาลุกนั่ง มองไปรอบห้องก็ไม่เห็นงามตา และเริ่มไอถี่ๆ หอบหายใจอย่างเหนื่อยล้า แต่ยังเรียกหางามตาอยู่อย่างนั้น
“งามตา...อยู่ที่ไหน” ไต้ก๋งร้อนใจเหลือเกิน เมื่อไม่เห็นเมียรัก “งามตา”
ไต้ก๋งชางลุกลงเตียง เดินโซเซออกจากห้องไป
อ่านต่อตอนที่ 12
#เสน่ห์นางครวญ #ช่อง8 #thaich8