เสน่ห์นางครวญ ตอนที่ 10
บทประพันธ์ หงส์หยก บทโทรทัศน์ พิชฌสินี
อบเชยถือถาดสำรับหน้าตาตื่นออกมา แต่อารามรีบร้อนและตกใจจนทำจานชามข้าวหกหล่น ลนลานลงเก็บข้าวที่หก จนเสียงงามตาดังขึ้น
“นังอบเชย”
อบเชยสะดุ้ง ค่อยๆ หันไปมอง พยายามเก็บอาการถามไปด้วยน้ำเสียงเป็นปกติที่สุด
“ว่าอย่างไร”
งามตาเดินเข้ามามองอบเชยอย่างจ้องจับผิด
“ไหนว่าจะยกสำรับไปให้ข้ากับไต้ก๋ง มัวทำสิ่งใดอยู่”
อบเชยก้มหน้าหลบตา “ข้ากำลังจะยกขึ้นไปให้ แต่ระหว่างทางกลับพลาดทำหกเสียก่อน จึงลงมาจัดสำรับให้ใหม่”
งามตาพิจารณาท่าทีอบเชยนิ่งๆ อบเชยกลืนน้ำลาย กลัวถูกจับได้
“ซุ่มซ่ามเสียจริง ไปพบอะไรน่าตกใจงั้นหรือ มือไม้มันถึงได้อ่อนนัก”
งามตาถามหยั่งเชิง จ้องรำเพยเชิงคาดคั้น อบเชยตอบเลี่ยงๆ
“เปล่า ข้ารีบจนไม่ทันมองทางเอง จึงพลาดหกล้ม”
อบเชยใจเต้นระรัวกลัวจับได้ แต่แล้วงามตากลับยิ้มมาให้
“ถ้าเช่นนั้นคราวหน้าระวังหน่อยก็แล้วกัน ข้าจะกลับขึ้นไปรอที่ห้อง รีบยกสำรับไปล่ะ ข้ากับไต้ก๋งรอนานแล้ว”
อบเชยพยักหน้ารับเอาคำ งามตาเดินกลับไป อบเชยถอนใจอย่างโล่งอก
อบเชยเดินถือถาดสำรับลงบันไดมา ด้วยท่าทีร้อนรน ด้วยยังไม่หายตกใจกับเรื่องที่เห็นและได้ยิน พอเห็นสามสาวนั่งจับกลุ่มอยู่ที่ครัวก็แปลกใจ
“พวกเอ็งมาทำอะไรกันที่นี่”
“เอ็งมาก็ดี ข้าจะถามอยู่ว่าเมื่อครู่ได้ยินเสียงอะไรรึไม่” จำเรียงถามขึ้น
“เสียงอะไรรึ” อบเชยทำไก๋
“พวกข้าได้ยินเสียงของตกเสียงดังมาจากด้านบน จึงออกมาดู” ดวงแขบอก
พิมพ์เอ่ยขึ้นว่า “นึกว่าอีงามตาจะทำอะไรเอ็งเสียอีก”
อบเชยยิ้มบางๆ ตอบ
“ไม่มีอะไรดอก ข้าซุ่มซ่ามทำสำรับข้าวหกน่ะ”
จำเรียงมองจับพิรุธอบเชย ทว่าอ่านไม่ออกเลย เพราะอบเชยนิ่งมาก
“ข้าก็นึกว่างามตาจะทำอันใดเอ็ง แต่นี่เอ็งเสนอตัวไปหาข้าวปลาให้กินเช่นนี้คงไม่มีสิ่งใดดอกกระมัง”
จำเรียงพูดติดจะประชดนิดๆ ตามนิสัย ทำเอาอบเชยนึกเคือง
“ที่ข้าช่วยเพราะเรื่องน้ำใจเท่านั้นดอก”
“แหม จำเรียงมันก็พูดไปอย่างนั้น อย่ามีน้ำโหไปสิจ๊ะ” พิมพ์ไกล่เกลี่ย
“ไม่มีสิ่งใดก็ดี ข้าจะได้รีบไป”
พูดจบอบเชยก็เดินไปทางห้องนอนงามตาบนเรือนดอกเหมย จำเรียงลอบมองตามไป จับสังเกตท่าทีของอบเชย รู้สึกมีอะไรแปลกๆ
พองามตากลับเข้าห้องนอนมา ก็ขึ้นไปนอนเคียงกอดออดอ้อนไต้ก๋งชาง
“คุณพี่มาอยู่กับน้องเช่นนี้ มีความสุขหรือไม่”
ด้วยฤทธิ์เสน่ห์นางครวญ ไต้ก๋งชางมองงามตาอย่างหลงใหล ตอบเสียงหวาน
“มีสิจ๊ะ พี่มีความสุขยิ่งกว่าสิ่งใด”
งามตากอดออเซาะ “น้องก็มีความสุขเจ้าค่ะ สุขเสียจนคิดว่าเป็นฝันไป”
“เหตุใดน้องจึงคิดเช่นนั้น”
“ก็เมื่อก่อน คุณพี่ไม่เคยเมตตาน้องเช่นนี้ น้องกลัวเหลือเกินว่าคุณพี่จะหาความสุขชั่วครู่ชั่วยามจากน้องเท่านั้น”
งามตาแสร้งตีหน้าเศร้าให้ดูน่าสงสาร ไต้ก๋งเชยคางงามตามองจ้องให้คำมั่น
“ไม่ต้องกลัว พี่ไม่มีวันทำเช่นนั้น”
“น้องจะมั่นใจได้อย่างไร...อีกอย่างคุณพี่ก็มีคุณรำเพยอยู่แล้ว”
ไต้ก๋งชางได้ยินชื่อรำเพยก็หงุดหงิดขึ้นมาโดยไม่มีเหตุผล
“น้องอย่าพูดชื่อนี้ได้หรือไม่”
“แต่ คุณรำเพยเป็นเมียเอก มีสิทธิ์ทุกอย่างในตัวคุณพี่ยิ่งกว่าน้อง ความจริงคืนนี้คุณพี่ควรจะกลับไปหาคุณรำเพย”
“พี่ไม่อยากกลับ” ไต้ก๋งบอกเสียงเข้ม
“ถึงอย่างไรคืนนี้คุณพี่ก็ควรกลับไปเรือนใหญ่นะเจ้าคะ”
“พี่ไม่กลับ พี่อยากอยู่กับน้องที่นี่ตลอดไป”
“ตลอดไปเลยหรือเจ้าคะ”
งามตาทำเป็นก้มหลบด้วยความเขินอาย กลบแววตาล่อกแล่กมีพิรุธ
“ใช่ ให้พี่ได้อยู่กับน้องเถิด พี่ไม่อยากห่างจากน้องอีกเลยแม้ชั่วขณะเดียว”
ไต้ก๋งชางมองจ้องงามตาราวกับจะกลืนกิน
งามตายิ้มหวาน ในใจคิดแผนหาทางหลบไปหาก้อนให้ได้ นึกถึงคำสั่งหมอผีอินกำชับก่อนมาที่เรือนลำพระพาย
ในตอนนั้น บรรดาของขลังวางเรียงรายอยู่ในห้องทำพิธีแลดูเข้มขลังและน่ากลัวในที หมอผีอินหยิบกล่องยาออกมา ยื่นยาขวดหนึ่งให้ลูกสาว
“ยานี้จะช่วยเอ็งได้”
งามตามองฉงน “ยาอะไรหรือพ่อ”
“ผู้ที่ต้องมนต์เสน่ห์นางครวญ มักจะหลงใหลผู้ใช้จนไม่เป็นอันกินอันนอน นานวันเข้าร่างกายจะทรุดโทรมผ่ายผอม ยานี้จะช่วยให้มันนอนหลับได้”
“ฉันต้องใช้มันอย่างไร”
“เอ็งต้องเอายาผสมในกับข้าวมื้อเย็นให้ไอ้ไต้ก๋งกิน มันจะหลับเป็นตายจนรุ่งเช้า เอ็งก็จะได้นอนหลับพักผ่อนบ้าง ฮ่าๆๆๆ”
หมอผีอินหัวเราะร่า งามตารับขวดยาไปยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมาเต็มสีหน้า
นึกถึงยาที่พ่อให้มา งามตาคิดหาทางหนีทีไล่ จนเสียงอบเชยร้องเรียกเข้ามาเชิงขออนุญาต
“ท่านเจ้าคะ”
งามตาตะโกนบอกไป “เข้ามาได้”
ประตูค่อยๆ แง้มเปิดออก เห็นอบเชยยกสำรับเข้ามาวางบนโต๊ะในห้อง
“ของไต้ก๋งกับ...” อบเชยต้องยอมฝืนใจเรียก “คุณงามตาเจ้าค่ะ”
งามตายิ้มสมใจ วางท่าเชิดหยิ่ง ออกคำสั่งกับอบเชยว่า
“วางไว้ตรงนั้นล่ะ เดี๋ยวข้าจัดการเอง”
“เจ้าค่ะ”
อบเชยออกห้องไปปิดประตูลง
งามตามองถาดกับข้าวแล้วเอ่ยขึ้นว่า
“คุณพี่รอก่อนนะเจ้าคะ”
งามตาเอาตัวบังทำท่าเหมือนจะตระเตรียมอาหารการกินให้ไต้ก๋ง ก่อนจะหยิบขวดยาเสน่ห์จากห่อผ้าออกมา
ที่แท้อบเชยยังไม่ลงไป แอบแง้มประตูดูว่างามตาจะทำอะไร
และเห็นงามตาเปิดขวดยาออกมาเหยาะใส่ลงไปในอาหารด้วยสีหน้าเจ้าเล่ห์ อบเชยมองจ้องไม่วางตา
งามตามาหาก้อนตามนัด ถึงหน้ากระท่อมก็เคาะเรียก
“พี่ก้อน...พี่ก้อน”
ก้อนเปิดประตูออกมา ก็คว้าตัวงามตาเข้าไปในกระท่อม ปิดประตูลงแล้วกอดหอมงามตาด้วยความคิดถึง ถูกงามตาผลักออกอย่างแรง
“อะไรกันนี่พี่ก้อน”
“ก็ข้าคิดถึงเมียข้า ข้าจะกอดจะหอมให้หนำใจ ข้าทำสิ่งใดผิด”
“ฉันตกใจหมด วันหลังอย่าทำแบบนี้อีก ฉันก็นึกว่าเป็นพวกโจร”
ก้อนประชด “หากจะริเป็นโจรก็คงเพราะโกรธที่เมียตัวเอง คิดอยากเปลี่ยนใจไปเป็นเมียเจ๊กกระมัง”
“ฉันอุตส่าห์มาหาพี่ จะพูดประชดให้ได้สิ่งใด”
ก้อนทำไม่รู้ไม่ชี้ กอดงามตาแน่นขึ้นอีก
“ก็ข้าหวงเอ็งนัก ข้ารอจนคิดว่าเอ็งจะเปลี่ยนใจจากข้าเสียแล้ว”
งามตายิ้มยั่วยวนพูดเอาใจ
“ฉันรู้อยู่แก่ใจว่าเป็นเมียพี่ ฉันจะเปลี่ยนใจได้อย่างไร”
“ข้านึกว่าเอ็งอยากเป็นคุณนายจนตัวสั่นแล้วน่ะสิ
“ไม่ใช่ดอก ที่ฉันเข้าหาไต้ก๋งก็เพื่อแก้แค้นมันเท่านั่น”
ก้อนไม่เชื่อ “ขอให้เป็นการแก้แค้นจริงเถิด”
“ฉันไม่เคยพิศวาสไอ้เจ๊กนั่นเลยสักนิด”
“เอ็งพิศวาสข้าใช่หรือไม่”
“พี่ก้อนถามอะไรก็ไม่รู้”
งามตาทำเป็นเขินชม้ายชายตาให้ ก้อนพึงพอใจ
“ในโลกนี้ไม่มีใครดีกับเอ็งเท่าข้าอีกแล้ว”
“พี่ช่วยฉันมาตั้งหลายครั้ง อย่างไรฉันก็ไม่ทิ้งพี่ พี่ต้องช่วยฉันไปเรื่อยๆ นะ จำไว้ว่าหากวันใดฉันได้ดี พี่ก็จะสบายไปด้วย”
ก้อนมองตาลึกซึ้งด้วย เชื่อทุกคำที่งามตาบอก
“ข้าจะไม่ทรยศเอ็งแน่นอน งามตา”
ก้อนจูบหอมงามตาด้วยความหลงใหล งามตากอดตอบ ร่างทั้งคู่เอนลงบนแคร่ในกระท่อมนั้น
บนเรือนใหญ่บรรยากาศเงียบสงัด รำเพยนอนเหงาอยู่บนเตียงเพียงลำพัง มองที่นอนข้างๆ อันว่างเปล่า ซึ่งเคยมีไต้ก๋งชางนอนอยู่แล้วน้ำตาซึม
รำเพยลูบสร้อยทองจี้หยกที่ไต้ก๋งให้ไว้ หวนนึกถึงคืนนั้น
บนเตียงในห้องหอ ไต้ก๋งชางถอดหยกที่ห้อยสวมคอไว้ตลอดเวลา แล้วมาสวมให้รำเพยพร้อมให้คำมั่นสัญญา
“หยกชิ้นนี้พ่อให้กระผมติดตัวไว้ตั้งแต่เกิด กระผมขอมอบให้คุณรำเพยเป็นเครื่องหมายแทนคำสัญญา ว่านับแต่นี้กระผมจะดูแลคุณรำเพยให้ดีที่สุด จนชั่วชีวิตของกระผม”
รำเพยจับจี้หยกขึ้นมาดู สบตากับไต้ก๋งชาง ยิ้มชื่นสุขใจ
“การครองคู่กันไม่มีสิ่งใดสำคัญไปกว่าความซื่อสัตย์ ไต้ก๋งสัญญากับข้าได้ไหมว่าจะมีข้าแต่เพียงผู้เดียว ไม่มีเมียเล็กเมียบ่าวเหมือนชายอื่น”
“ขอรับ กระผมขอสาบานกับดวงวิญญาณท่านขุนทนงค์ ว่ากระผมจะซื่อสัตย์ต่อคุณรำเพย และหากวันใดกระผมผิดคำสาบานก็ขอให้มีอันเป็นไป...”
รำเพยดึงตัวเองกลับออกมา มองที่นอนว่างเปล่าน้ำตาไหลรินเป็นสาย เสียใจเหลือเกินที่ไต้ก๋งผิดคำสาบาน
ส่วนที่เรือนดอกเหมย ไต้ก๋งชางถูกทิ้งให้นอนอยู่คนเดียว จนเกิดอาการกระสับกระส่าย พร่ำเพ้อหางามตาเช่นเคย
“งามตา...งามตา...”
ฝ่ายอบเชยนอนไม่หลับเดินออกมาจากห้องผ่านหน้าห้องงามตา ได้ยินเสียงไต้ก๋งชางจึงหยุดฟัง
“งามตา...อยู่ที่ไหน...งามตา”
อบเชยเดินไปที่ประตูหน้าห้อง ลองจับดูพบว่าไม่ได้ล็อกจึงลองแง้มออกมองเข้าไปในห้อง เมื่อเห็นว่าไต้ก๋งชางนอนอยู่คนเดียวก็นึกสงสัย
“งามตาไม่อยู่หรอกรึ”
อบเชยคิดปราด เหลียวซ้ายแลขวาจนแน่ใจว่าไม่มีใครเห็น จากนั้นก็เปิดเข้าห้องไปปิดประตูลงอย่างแผ่วเบา
อบเชยเข้าห้องมาหยุดดูข้างๆ เตียง เรียกไต้ก๋งชางเบาๆ
“ไต้ก๋ง...เป็นอะไรหรือเจ้าคะ”
อบเชยยื่นมือไปแตะตัวดูอาการไข้ ไต้ก๋งชางเอาแต่ละเมอเพ้อหางามตาอยู่
“งามตา...งามตา”
มือไต้ก๋งชางป่ายปะไปมาควานหาตัวงามตา จนคว้ามืออบเชยมาได้และคิดว่าเป็นงามตา อบเชยผงะนิดๆ แต่ก็ไม่ได้ลุกหนี ไต้ก๋งชางคว้ามืออบเชยไปแนบอกไว้
“งามตา อย่าไปจากพี่ไป พี่คิดถึงน้องเหลือเกิน”
อบเชยนิ่งงันไป ครุ่นคิดอะไรบางอย่างแล้วยิ้มออกมา ยื่นมือไปจับมือไต้ก๋งชาง
“น้องกลับมาแล้วเจ้าค่ะ”
อบเชยลงนั่งริมเตียง มองหน้าไต้ก๋งชาง ก้มลงไปเหมือนจะจูบ แต่แล้วก็มีมือยื่นมาจิกผม กระชากตัวออกไปอย่างแรง
อบเชยถูกงามตาลากออกมาหน้าห้อง แล้วตบเปรี้ยงลงไปกองกับพื้น อบเชยตกใจสุดขีด
“เอ็งคิดจะทำอะไรอีอบเชย”
งามตาขึงตามองอบเชยด้วยความโกรธ
“ขะ...ข้า...ไม่ได้ทำอะไร”
งามตาไม่เชื่อ “แล้วที่เอ็งเข้าหาคุณพี่ถึงในห้องมันคือสิ่งใด”
“ข้านอนไม่หลับจึงออกมาเดินเล่น เห็นไต้ก๋งแต่เพ้อเหมือนไม่สบายจึงเข้าไปดู”
อบเชยหลบตาวูบ งามตาไม่เชื่ออยู่ดี
“ไม่สบายแล้วจะเข้าไปออเซาะจับมือถือแขนคุณพี่เพื่ออะไร”
งามตาแดเสียงใส่ พุ่งเข้าไปบีบคอเค้นให้สารภาพ อบเชยปฏิเสธพัลวัน
“ข้าบอกแล้วว่าข้าแค่เป็นห่วงไต้ก๋ง ไม่ได้คิดทำสิ่งใด”
“แน่รึ เอ็งคงไม่ได้คิดจะเป็นเมียไต้ก๋งใช่ไหม”
“เปล่า ข้าไม่ได้คิดเช่นนั้น”
ท่าทางอบเชยหลุกหลิกดูมีพิรุธ งามตาไม่เชื่อและยิ่งโกรธ
“กูไม่เชื่อ สารภาพมาเดี๋ยวนี้ว่าคิดจะทำอะไร”
งามตาจับหัวอบเชยกดลงกับพื้นเรือน
“ข้าบอกว่าเปล่าอย่างไรเล่า”
“ไม่บอกใช่ไหม ได้”
งามตาจับหัวอบเชยกระแทกกับพื้นติดๆ กัน ด้วยความโมโห
“กูบอกให้มึงพูดพูดออกมา พูด”
อบเชยกัดฟันข่มความเจ็บไว้ งามตากระชากหัวอบเชยขึ้นมาจะตบซ้ำ อบเชยได้จังหวะถีบงามตาออกเต็มแรงแล้ววิ่งหนีลงเรือนไป งามตากระโจนตามไปทันที
อบเชยหนีเข้ามามองในสวนข้างเรือน มีงามตาตามมาติดๆ อบเชยสะดุดล้ม งามตาตามมาทัน กระชากหัวอบเชยขึ้นมาตะคอกใส่
“คิดจะหนีกูรึอีอบเชย”
“ปล่อยข้า” อบเชยดิ้นหนีแต่ไม่เป็นผล
“ไม่ปล่อย จนกว่าเอ็งจะสารภาพว่าคิดจะทำอะไรกันแน่”
อบเชยเหลืออดโพล่งขึ้น “ข้ามิใช่คนเช่นเอ็ง ข้าไม่มีวันใช้วิธีสกปรกให้ได้เป็นเมียไต้ก๋ง”
งามตาโกรธจัดตบเปรี้ยง อบเชยล้มลงไปกองคาพื้นหญ้าเลือดกบปาก งามตาตามลงไปบีบคอคาดคั้นให้พูด
“ปากดีนักนะ เอ็งได้ยินอะไรมาถึงกล้าพูดเยี่ยงนี้”
“ข้าได้ยินหมดแล้วที่เอ็งพูดกับไอ้ก้อน คอยดูเถิดข้าจะฟ้องไต้ก๋งว่าเอ็งแอบคบชู้”
งามตาตบอีกเปรี้ยง ขย้ำคออบเชยแน่นขึ้นอีก
“เอ็งแอบได้ยินจริงๆ สินะ”
“ที่หายไปนี่เอ็งก็คงไปหาไอ้ก้อนใช่ไหม ถ้านายท่านรู้คงไม่เอาเอ็งไว้แน่”
อบเชยมองอย่างท้าทาย แต่งามตากลับดูไม่กลัวเลย
“ขี้ฟ้องนักก็ลองดู ดูซิว่าไต้ก๋งจะเชื่อใคร เมียรักอย่างข้า หรือขี้ข้าอย่างเอ็ง”
อบเชยโกรธจัดพูดท้าทายอีกว่า
“ถึงนายท่านจะไม่เชื่อ แต่นายท่านมีคุณรำเพยอยู่ ท่านรักคุณรำเพย ให้ตายท่านก็ไม่มีวันยกเอ็งขึ้นเป็นใหญ่”
งามตาหัวเราะเยาะ
“เช่นนั้นเอ็งก็เข้าใจใหม่เสียด้วย ตอนนี้ต่อให้เป็นนังรำเพยก็ทำอะไรข้าไม่ได้”
อบเชยประหลาดใจ “แน่ใจได้อย่างไร เอ็งทำสิ่งใดกับไต้ก๋ง”
“เอ็งพลาดเสียแล้วที่ไม่ร่วมมือกับข้าแต่แรก คิดใหม่ได้นะนังอบเชย เลือกข้างให้ถูกแล้วเอ็งจะได้อยู่อย่างสุขสบาย หรืออยากจะเป็นขี้ข้าตลอดไป”
อบเชยนิ่งงันไป มองงามตาด้วยสีหน้าหวาดหวั่น เปลี่ยนท่าที
“ข้าก็ไม่ได้อยากเป็นศัตรูกับเอ็งหรอก”
งามตาขมวดคิ้ว มองฉงน
“แล้วเอ็งต้องการสิ่งใด”
“ข้าช่วยเอ็งได้ อยู่ที่เอ็งจะเชื่อหรือไม่เท่านั้น”
งามตาแปลกใจในท่าทีอบเชย ที่เปลี่ยนไปชนิดที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
รุ่งเช้าวันต่อมา รำเพยก้าวลงบันไดเรือนใหญ่มาเตรียมไปวัด เจอนมขามกับสุ่นยืนรออยู่ รำเพยมองไปทางเรือนดอกเหมย เอ่ยถามคุณนมขึ้นว่า
“นมจ๊ะ คุณพี่ออกไปตลาดหรือยัง”
“ยังไม่ได้ออกไปเจ้าค่ะ”
“แล้วนี่คุณพี่อยู่ที่ใด ได้กินข้าวเช้าแล้วหรือยัง”
นมขามฟังแล้วยิ่งหน้าเสียเข้าไปอีก
“ยังเจ้าค่ะ ไต้ก๋ง...เอ้อ...อยู่ที่เรือนดอกเหมยทั้งคืน ยังไม่กลับออกมาเลยเจ้าค่ะ”
รำเพยหน้าเศร้าลง นมขามทั้งสงสารและเห็นใจ
“ให้นมไปตามไต้ก๋งดีหรือไม่เจ้าคะ เผื่อไต้ก๋งอยากไปวัดกับเราด้วย”
“ไม่ต้องหรอกจ้ะ ฉันไม่อยากกวนคุณพี่”
รำเพยเดินนำไปที่ท่าน้ำ นมขามตามไปด้วยพร้อมตระกร้าใส่สังฆทาน
ไม่นานต่อมา รำเพยกับนมขามถวายสังฆทานแก่หลวงพ่อดำอยู่บนกุฏิ หลวงพ่อสวดมนต์ให้พรสองนายบ่าวกรวดน้ำร่วมกัน
หลังกรวดน้ำเสร็จ หลวงพ่อดำทักถามขึ้น
“วันนี้โยมชางไม่มาด้วยกันหรือ”
รำเพยชะงักไปนิดๆ ให้คำตอบที่ดูเป็นปกติที่สุด
“คุณพี่ไม่สบายเจ้าค่ะหลวงพ่อ”
“คราวก่อนที่ไต้ก๋งมา อาตมาก็เห็นยังสุขภาพดีอยู่ เป็นอะไรไปเล่า”
“คุณพี่กำลังลงทุนเปิดห้างกับแขกฝรั่งของขุนพิเศษเจ้าค่ะ จึงทำงานแทบไม่ได้หลับได้นอน ทำให้ล้มป่วย”
“ทำงานหนักนั้นดี แต่โยมก็ควรเตือนโยมชางให้พักบ้าง รอดตายมาได้หนหนึ่งแล้ว ไม่ควรล้มป่วยไปเพราะงานหนักดอกนะ”
หลวงพ่อดำพูดสอนให้แง่คิด นมขามทนไม่ได้แทรกขึ้นว่า
“ถ้าป่วยกายเพราะงานก็ดีสิเจ้าคะ กลัวจะป่วยใจเพราะสตรีเป็นเหตุมากกว่า”
หลวงพ่อดำฟังแล้วแปลกใจ
“โยมหมายถึงสิ่งใดรึ”
“ที่อิฉันพาคุณรำเพยมาวันนี้ก็ด้วยเรื่องนี้ล่ะเจ้าค่ะ”
รำเพยสะกิดนมขามพร้อมทำหน้าดุใส่เชิงเตือนให้หยุดพูด แต่นมขามทำไม่รู้ไม่ชี้
หลวงพ่อดำแปลกใจมากยิ่งขึ้น “เกี่ยวกับโยมชางหรือ โยมรำเพย”
รำเพยเอาแต่เงียบ ลังเลว่าควรพูดดีไหม จนนมขามคะยั้นคะยอให้เล่า
“เล่าไปเถิดเจ้าค่ะคุณรำเพย หลวงพ่อท่านจะได้หาทางช่วย”
รำเพยใคร่ครวญครุ่นคิด ก่อนจะถามหลวงพ่อดำกลับไปว่า
“หลวงพ่อคิดว่าจะมีสิ่งใดที่ทำให้คนคนหนึ่งเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือได้ ในชั่วข้ามคืนเจ้าคะ”
หลวงพ่อดำขมวดคิ้ว สนใจ รำเพยเล่าเรื่องเกี่ยวกับสามีให้หลวงพ่อฟังโดยละเอียด
อีกฟาก ที่ครัวชั้นล่างเรือนดอกเหมย สี่สาวทำขนมเช่นทุกวัน อบเชยเจียนใบตองไปเงียบๆ ส่วนคนอื่นๆปั้นขนมไปคุยกันไป
“พวกเอ็งเห็นเหมือนข้ารึไม่”
“เห็นอะไรจำเรียง” พิมพ์ถาม
“ก็ไต้ก๋งน่ะสิ ปกติต้องตื่นเช้าไปตลาด แต่วันนี้เอาแต่ขลุกอยู่กับอีงามตา”
“จริงด้วย ตะวันจะตรงหัวอยู่แล้วยังไม่คิดทำงานทำการ ประหลาดนัก”
ดวงแขได้แต่ปรามสองสาว
“อย่านินทานายแบบนี้ เดี๋ยวใครมาเห็นจะว่าเอาได้นะ”
“ข้าพูดเรื่องจริง อีงามตามันไม่รู้ไปใช้เล่ห์กลประการใด ไต้ก๋งถึงหลงมันนัก”
“นั่นสิ มันร้ายนัก ข้านะถึงจะเคยฝันอยากเป็นคุณนาย แต่ข้าก็ไม่เคยคิดทรยศผู้มีพระคุณอย่างมันเลย”
อบเชยได้ยินถึงกับชะงักเจียนใบตองพลาดมีดบาดเข้าให้
“โอ๊ย”
สามสาวหันไปดูอบเชย ดวงแขอยู่ใกล้วางงาน หันไปถามอย่างเป็นห่วง
“เป็นอะไรรึไม่อบเชย”
“ข้า...ไม่เป็นไร ข้าเผลอทำมีดบาดน่ะ”
“ดูสิเลือดออกใหญ่แล้ว มาล้างน้ำตรงนี้ก่อนเถิด”
ดวงแขดึงมืออบเชยไปจุ่มลงในชามน้ำล้างมือตรงหน้า จำเรียงมองอบเชยอย่างขัดตา จนมีเสียงงามตาดังขึ้น
“อบเชย”
สี่สาวหันไปมอง เห็นงามตาเดินเชิดเข้ามา
“คุณงามตา”
“ข้ากับไต้ก๋งหิวแล้ว รีบยกสำรับขึ้นไปให้ข้าบนห้องด้วย”
จำเรียงโมโหแหวใส่ทันที
“เอ็งเป็นใคร มีสิทธิ์อะไรมาสั่งพวกข้า”
“ถามอะไรโง่ๆ ก็สิทธิ์ในการเป็นเมีย อย่างไรล่ะ” งามตากระแทกเสียงใส่แล้วหันไปกำชับอบเชย “รีบขึ้นไปล่ะ แล้วก็ให้อบเชยยกขึ้นไปเท่านั้น คนอื่นไม่ต้องมาแส่”
งามตายิ้มเยาะพวกจำเรียงแล้วเดินเชิดออกไป เห็นอบเชยเลี่ยงไปจัดสำรับให้ จำเรียงก็ยิ่งไม่พอใจ
อบเชยยกอาหารขึ้นมา เคาะประตูห้องเรียก แล้วเปิดเข้าไป เห็นงามตากำลังออเซาะเอาใจไต้ก๋ง แม้ไม่ชอบแต่ก็ต้องทำเป็นนอบน้อม
“อาหารมาแล้วเจ้าค่ะ”
“ดี วางไว้ตรงนั้นแล้วออกไปได้แล้ว”
อบเชยวางถาดอาหารตรงโต๊ะมุมห้อง งามตาเหลือบมองมา ทั้งมองสบตากันอย่างรู้กันสองคน แล้วอบเชยก็ออกไป
งามตาตักอาหารใส่จานเล็ก ตักป้อนไต้ก๋งชางอย่างเอาอกเอาใจ
“เดี๋ยวน้องป้อนนะคะคุณพี่”
ไต้ก๋งชางกินอาหารที่งามตาป้อนอย่างเอร็ดแอร่ม
“ได้กินจากมือน้องป้อนแล้วทำให้อาหารมื้อนี้อร่อยมากขึ้นหลายเท่า”
งามตาทำเป็นเขิน “คุณพี่เอาใจน้องเกินไปแล้วล่ะค่ะ”
“ไม่เกินไปดอก น้องทำอะไรพี่ก็พอใจทั้งสิ้น”
“คุณพี่พอใจทุกอย่างที่น้องทำจริงหรือคะ”
“จริงสิ พี่ไม่โกหกแน่นอน”
“ถ้าอย่างนั้น น้องจะขออะไรสักอย่างเป็นการตอบแทนได้ไหมคะ”
ไต้ก๋งชางเลิกคิ้วแปลกใจ งามตายิ้มหวาน
“น้องอยากมีบ่าวสักคนมาไว้ใช้งาน ถ้าน้องจะขอแม่อบเชยไว้ดูแลน้องสักคนจะได้ไหมคะคุณพี่”
“แต่อบเชยเป็นคนของรำเพย อบเชยจะยอมหรือ”
“ต้องยอมสิเจ้าคะ หากเป็นคำสั่งของคุณพี่แล้วล่ะก็”
ไต้ก๋งชางนิ่งคิด แต่พองามตาเข้ามากอดพะเน้าพะนอเอาใจ ด้วยมนต์นางครวญก็โอนอ่อนยอมให้ทุกอย่าง
“ได้สิจ๊ะ น้องอยากได้อะไร พี่ให้ได้ทุกอย่าง”
งามตายิ้มกริ่มสมใจ ป้อนข้าวเอาใจผัวต่อไป
สามสาวทำงานเสร็จมานั่งคุยกันตรงมุมเตรียมอาหารใต้ถุนเรือน จำเรียงเปิดประเด็นขึ้นว่า
“นี่ พวกเอ็งคิดว่ามันมีอะไรแปลกๆ ไหม”
“แปลกเรื่องอะไรรึ” พิมพ์ถาม
“เอ็งสังเกตไหมว่าตั้งแต่นังงามตากลับมา ในเรือนเราก็มีคนเปลี่ยนไปด้วย”
ดวงแขงง “ในเรือนนี้มีแค่เราสี่คนกับงามตาเท่านั้น จะเป็นใครได้”
“ใครไม่อยู่ในที่นี้เล่า” จำเรียงว่า
สองสาวชะงักไปนิดหนึ่ง จนพิมพ์นึกได้ก่อน
“อบเชยน่ะรึ”
จำเรียงพยักหน้า “อีอบเชยมันทำท่าทางพิกล แถมอีงามตาก็เรียกใช้แต่มัน มันผิดวิสัย”
“คิดมากไปกระมัง อบเชยจงรักภักดีต่อนายท่านทั้งสองมากกว่าใคร ไม่มีทางจะเข้าข้างงามตาไปได้ดอก”
พิมพ์หมั่นไส้ดวงแข “แหม แม่คนใจงาม หัดมองทางอื่นเสียบ้าง ข้าว่าที่จำเรียงพูดก็ดูมีมูลนะ”
“เอ็งเห็นเหมือนข้าใช่ไหมนังพิมพ์”
“ใช่ คนเรามันเปลี่ยนกันได้ บางทีเราก็ไม่รู้หรอกว่าไอ้งูที่เลี้ยงไว้มันมีพิษหรือไม่จนกว่าจะโดนมันแว้งกัดเท่านั้นละ”
จำเรียงพยักพเยิดเห็นด้วยกับพิมพ์เต็มที่ ดวงแขไม่สบายใจที่สี่สามต้องมาแตกคอกัน
หลังฟังเรื่องจบแล้ว เห็นหลวงพ่อดำก็นิ่งงันไป จนรำเพยต้องถามขึ้น
“หลวงพ่อคิดว่าเกิดสิ่งใดขึ้นกับคุณพี่เจ้าคะ”
รำเพยมองอย่างมีความหวังว่าจะได้คำตอบ แต่หลวงพ่อดำตอบมาเรียบๆ
“อาตมาคงตอบคำถามโยมไม่ได้มาก แต่โยมจำไว้เถิดว่าไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นเองโดยไม่มีเหตุให้เกิด”
นมขามแปลกใจ “หมายความว่าอย่างไรเจ้าคะ”
“ความทุกข์ดับได้ด้วยการรู้เหตุแห่งทุกข์ฉันใด ปัญหาก็สิ้นสุดได้ด้วยการรู้เหตุแห่งปัญหาฉันนั้น”
“หลวงพ่อหมายความว่าเรื่องของคุณพี่มีสาเหตุ แต่อิฉันยังไม่ทราบหรือเจ้าคะ”
หลวงพ่อดำพยักหน้านิ่งๆ นมขามหน้ามุ่ย
“แต่เรื่องเกิดขึ้นปุบปับเช่นนี้ จะให้จับต้นชนปลายอย่างไรได้”
“ถูกของโยม ตอนนี้ทุกอย่างเพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น”
รำเพยหน้าเสีย “หลวงพ่อพูดเหมือนว่าจะมีปัญหาที่ใหญ่หลวงกว่านี้”
หลวงพ่อดำบอกด้วยสีหน้าสงบนิ่งเหมือนเดิม
“คนเราเกิดมาล้วนพบเจอปัญหาทั้งสิ้น โยมจึงต้องมีสติอยู่เสมอ เพื่อที่เมื่อใดปัญหาใหญ่เข้ามา โยมก็จะมีปัญญารับมือได้อย่างไรเล่า โยมต้องใช้สติในการหาเหตุที่เกิด เพื่อจะแก้ปัญหานั้นให้ได้”
นมขามกับรำเพยมองหน้ากัน ต่างคนต่างเตรียด ไม่เข้าใจคำสอนที่หลวงพ่อดำบอกนัก
ในเวลานั้น แถนกำลังคุยอยู่กับชายคนหนึ่งหน้าเรือนใหญ่ ด้วยสีหน้าเคร่งเครียดทั้งสองฝ่าย
“ต้องขออภัยด้วยขอรับที่ไต้ก๋งไปตามที่นัดหมายไว้ไม่ได้”
ที่แท้เป็นนายทวนคนสนิทของขุนพิเศษที่ถูกส่งมาตามตัวไต้ก๋งชางถึงเรือน และออกอาการไม่พอใจ
“หากไต้ก๋งไปไม่ได้ เหตุใดไม่ส่งคนไปแจ้งท่านขุนก่อน”
“ไต้ก๋งไม่สบายขอรับ ในเรือนวุ่นวายมากจึงไม่ได้ส่งคนไปแจ้ง กระผมต้องขออภัยด้วย”
“คำขอโทษมันใช้ไม่ได้ดอก รู้ไหมว่าท่านนัดแขกฝรั่งไว้แล้วไม่ไปตามนัดนั้นเสียหายมากเพียงใด อย่างไรเสียข้าก็ต้องพบไต้ก๋งให้ได้”
ทวนจะขึ้นเรือนให้ได้ แถนขวางไว้แข็งขัน
“มิได้ขอรับ”
“ถอยไป อย่างไรข้าก็ต้องถามไต้ก๋งให้รู้ความให้ได้”
ทวนไม่ยอม จะขึ้นเรือนท่าเดียว แถนต้องขวางสุดกำลัง
ระหว่างนี้รำเพยเพิ่งกลับจากวัด พร้อมนมขาม เดินมาเห็นเหตุวุ่นวายหน้าเรือนพอดี
“มีเรื่องใดกันรึ
ทวนหันไปเจอรำเพยก็ชะงัก รีบยกมือไหว้ รำเพยจำได้
“นายทวน เหตุใดมาถึงเรือนฉันได้”
“คุณรำเพยมาพอดีเลยขอรับ กระผมขอถามเรื่องไต้ก๋งสักหน่อย”
“มีเรื่องอะไรเกี่ยวกับคุณพี่หรือ”
“วันนี้ไต้ก๋งนัดหมายกับท่านขุนว่าจะเข้าไปพบแขกฝรั่งของท่าน แต่ไม่ไปตามนัด ท่านขุนรออยู่พักใหญ่เห็นว่าไม่มาจึงส่งกระผมมาตามขอรับ”
รำเพยตกใจ “จริงหรือ ฉันไม่ทราบเรื่องนี้มาก่อน”
“เห็นบ่าวว่าไต้ก๋งไม่สบายหนัก กระผมอยากทราบว่าเป็นอย่างไรบ้างขอรับ”
รำเพยอึ้งไป มองหน้าแถนแว่บหนึ่ง แล้วตามน้ำไปก่อน “คุณพี่ไข้ขึ้นสูง ไม่รู้สึกตัวจ้ะ แต่ฉันไม่ทราบเรื่องนัดหมายเพราะคุณพี่ไม่ได้บอก ฉันต้องฝากไปขอโทษท่านขุนกับมิสเตอร์ไมเคิลด้วย”
“เช่นนั้นกระผมจะไปเรียนให้ท่านขุนทราบตามนี้ ส่วนเรื่องการนัดหมาย คงต้องรอให้ไต้ก๋งหายดีก่อน”
รำเพยครุ่นคิด แล้วก็บอกกับนายทวนว่า
“เรื่องนัดหมายฉันจะคุยกับคุณพี่ให้ ได้ข่าวอย่างไรจะส่งคนไปบอก”
“ได้ขอรับ กระผมจะกลับไปเรียนท่านขุน”
“ขอบใจมากนะจ๊ะ ฉันจะรีบแจ้งไปให้เร็วที่สุด”
นายทวนยกมือไหว้รำเพยแล้วเดินกลับออกไป
รำเพยกลุ้มใจ เดินไปที่เรือนดอกเหมยทันที นมขามตามไปติดๆ
ขณะที่งามตากำลังป้อนมะม่วงให้ไต้ก๋งชางอย่างมีความสุขอยู่ในห้องนอนนั้น ประตูห้องก็เปิดออกอย่างแรง ก่อนจะเห็นคุณรำเพยก้าวเข้ามาในห้อง มองทั้งคู่อย่างขุ่นเคือง งามตาตกใจ
“อุ๊ย คุณรำเพย เหตุใดจึงพรวดพราดเข้ามาในห้องเช่นนี้”
รำเพยไม่สนใจงามตา “น้องมีเรื่องต้องคุยกับคุณพี่ค่ะ”
ไต้ก๋งชางมองรำเพยนิ่ง ตอบกลับไปอย่างเย็นชา
“เรามีอะไรต้องคุยกัน”
“คุณพี่นัดกับท่านขุนไว้แล้วเหตุใดจึงไม่ไปตามนัด คุณพี่ลืมหรือ”
รำเพยขึ้นเสียงดังใส่ ไต้ก๋งชางพยายามนึกแต่ก็นึกไม่ออก
“ข้าไม่เห็นจำได้”
“คุณพี่ลืมได้อย่างไรเจ้าคะ รู้ไหมว่าทำแบบนี้เสียมารยาทมาก”
“ข้าบอกว่าลืมก็คือลืม จะเซ้าซี้ให้ได้สิ่งใด”
นมขามทนไม่ไหว “ที่ต้องเซ้าซี้เพราะตั้งแต่ไต้ก๋งพอมาอยู่ขลุกกับนังหญิงแพศยานี่ก็เสียงานเสียการน่ะสิเจ้าคะ”
งามตาโกรธแว้ดใส่คุณนม
“อีแก่นี่ กล่าวหาข้าหรือ ข้าไม่ได้ทำอะไรผิด คุณพี่อยากมาอยู่กับข้า”
งามตากอดแขนไต้ก๋งชางออเซาะต่อหน้ารำเพย นมขามเห็นยิ่งโมโห
“นี่เอ็งกล้าเรียกไต้ก๋งเหมือนคุณรำเพยเลยรึ มันจะมากไปแล้ว”
“ทำไมข้าจะเรียกไม่ได้ ในเมื่อข้าเป็นเมียไต้ก๋งแล้ว พวกของของเก่าๆโทรมๆ ไม่มีใครเขาเอาไว้ประดับเรือนหรอกนะ ไสหัวกลับเรือนไปเสีย”
งามตาเชิดคอ ยิ้มเย้ย นมขามโกรธจนตัวสั่น
“อีนังนี่ ผีเจาะปากมาพูดแท้ ขอแม่ตบเสียหน่อยเถอะวะ”
ขาดคำนมขามตบงามตาเปรี้ยง งามตาไม่สู้ถลาไปเกาะแขนไต้ก๋งบีบน้ำตาออเซาะดูน่าสงสาร
“คุณพี่ช่วยด้วย มันจะรังแกน้อง”
ไต้ก๋งชางโกรธจัดขึงตามองจะจัดการนมขาม แต่รำเพยมาขวางไว้ด้วยสุดทน ขึ้นเสียงใส่
“ถ้าคุณพี่ทำอะไรนมขามล่ะก็ น้องจะไม่ยอมคุณพี่อีกต่อไป”
“รำเพย ถอยไป”
“ไม่ค่ะ ให้มันรู้กันไปว่าคุณพี่กล้าปกป้องคนอื่นแทนน้องแล้ว”
“ก็เพราะมีเมียชอบใส่ร้ายหาเรื่องคนอื่นเช่นนี้ไง ข้าจึงต้องทำเช่นนี้” ชางขึ้นเสียง
รำเพยไม่ยอมแล้ว “เปล่าเลยค่ะ น้องไม่เคยเป็น แต่ที่ต้องเป็นก็เพราะผัวมันใฝ่ต่ำ ไปคว้าเอาผู้หญิงชั้นต่ำมาทำเมีย เชิญคุณพี่หลงมัวเมาในตัณหาเสียให้พอใจเถอะค่ะ แต่ระวังบารมีที่สั่งสมมามันจะหมดเข้าสักวัน”
“รำเพย”
ไต้ก๋งชางเงื้อมือจะตบรำเพย รำเพยยืนนิ่งไม่กลัว แต่แล้วไต้ก๋งชางก็ปวดหัวแปลบขึ้นมา
ไต้ก๋งชางเงื้อมือค้าง เพราะจู่ๆ ก็เกิดปวดหัวขึ้นมาอย่างรุนแรง มือที่เงื้อจะตบเมียเปลี่ยนเป็นไปกุมขมับแล้วทรุดลงไปกับพื้นห้อง
งามตากับรำเพยอุทานลั่น “คุณพี่”
ไต้ก๋งชางปวดหัวในท่าทีทรมานทุรนทุรายเหมือนจะขาดใจตาย งามตาจะเข้าไปดูแต่ถูกนมขามขวางไว้
“อีแก่ ถอยไป”
“กูไม่ไป คุณรำเพยเข้าไปดูไต้ก๋งเถอะเจ้าค่ะ”
รำเพยตะโกนบอกบ่าวด้านนอก
“ใครก็ได้ มาช่วยคุณพี่ที เร็ว”
บ่าวชายรีบเข้ามาช่วยกันพยุงไต้ก๋งชางออกไป นมขามขวางงามตาไว้ ก่อนจะรีบตามไปพร้อมรำเพย ทิ้งงามตาให้ฮึดฮัดอยู่คนเดียว
ยามเย็น พระอาทิตย์ใกล้ตกดินรอมร่อ คุณรำเพยเฝ้าดูไต้ก๋งชางที่เวลานี้นอนนิ่งไม่ได้สติด้วยจิตใจร้อนรุ่มเป็นห่วงสามี มีนมขามและกล่ำอยู่ด้วย
หมอยานายเขียวถูกเรียกมาดูอาการไต้ก๋ง จับชีพจรตรวจอาการอยู่สักพักก็ทำหน้านิ่วคิ้วขมวด จนรำเพยเอ่ยถามขึ้น
“เป็นอย่างไรบ้างจ๊ะหมอ พอจะรู้หรือไม่ว่าคุณพี่เป็นอะไร”
หมอดูไต้ก๋งชางอีกสักพักแล้วก็ส่ายหัว ถอดใจ
“กระผมตรวจละเอียดแล้วไม่พบความผิดปกติแต่อย่างใดขอรับ”
“หมอตรวจถี่ถ้วนแล้วหรือ เหตุใดไม่พบสาเหตุ” คุณนมแปลกใจ
“ไต้ก๋งมีอาการหายใจไม่ออกคล้ายมีลมขัดในเส้นเลือด ทำให้เลือดเดินไม่สะดวก เบื้องแรกเหมือนถูกพิษแมลง แต่จับชีพจรพบว่าเต้นปกติ จึงคิดว่าไม่ใช่ขอรับ”
กล่ำชะเง้อคอเข้ามาดูแล้วออกความเห็นว่า
“แล้วกัน หากไม่เป็นสักโรคแล้วจะเป็นสิ่งใด ผีเข้างั้นรึ”
นมขามฟาดเผียะเข้าที่ต้นแขน กล่ำโวยวาย
“คุณนมตีอิฉันด้วยเหตุใดเจ้าคะ”
“ตีให้หายปากเสียอย่างไรเล่า ผีข้งผีเข้าอะไรกัน”
นมขามจะดุอีก รำเพยขอไว้
“อย่าเอาเรื่องกล่ำเลยนม มันแค่เสนอความเห็นเท่านั้น”
“บุญของเอ็งนะที่คุณรำเพยขอไว้”
กล่ำคอหด หน้าจ๋อย
“ฉันขอบคุณหมอมากนะจ๊ะที่มาช่วยดูคุณพี่ นี่ก็ค่ำมากแล้ว ฉันจะให้คนไปส่งที่เรือน” รำเพยหันมาบอกกับกล่ำ “กล่ำ บอกคฑาเอาเรือออกหน่อย”
กล่ำพยักหน้ารับแล้วรีบกุลีกุจอลุกขึ้นพาหมอออกไป
รำเพยเข้าไปดูไต้ก๋งชาง จับมือมากุมไว้เป็นห่วงผัวเหลือเกิน
กล่ำกับหมอเขียวเดินมาที่ศาลาท่าน้ำ
“รอตรงนี้สักประเดี๋ยวนะเจ้าคะคุณหมอ อิฉันจะเรียกบ่าวให้เอาเรือออกก่อน”
หมอพยักหน้ารับเอาคำ กล่ำเดินจ้ำออกไปทางเรือนบ่าวชาย เจอสี่สาวเรือนดอกเหมยเดินสวนมาพอดี ด้วยท่าทางร้อนใจ แต่ละนางแย่งกันถามเรื่องอาการของไต้ก๋งเป็นการใหญ่
“พี่กล่ำ ไต้ก๋งเป็นอย่างไรบ้าง” จำเรียงถามก่อนใคร
“หมอว่าไต้ก๋งเป็นอะไร แล้วรักษาหายไหม” พิมพ์ซัก
กล่ำเหวอไป รีบห้ามสี่สาว
“โอ๊ย ใจเย็นๆ ทีละคนได้รึไม่ ข้าตอบไม่ทัน”
พอพิมพ์กับจำเรียงหยุด อบเชยถามขึ้นบ้าง
“แล้วตกลงไต้ก๋งเป็นอย่างไรพี่กล่ำ”
“หมอว่าไม่พบสิ่งผิดปกติ แต่กลับมีอาการคล้ายคนโดนพิษ ไม่รู้ว่าเป็นอะไรแน่”
ดวงแขคิดตาม “แปลก...แล้วไต้ก๋งอาการหนักมากไหม”
“หนักมาก.....” กล่ำลากเสียง “เป็นตายเท่ากันเชียวล่ะ แถมหน้าตางี้ซีดเซียวราวกับป่วยมาแรมเดือน นี่ก็ไม่รู้จะรักษาได้อย่างไร”
พิมพ์ตกใจ “เป็นถึงขนาดนั้นเชียวหรือ”
“ขนาดนั้นน่ะซี ข้านะสงสารไต้ก๋งกับคุณรำเพยเหลือเกิน”
กล่ำหน้าเศร้าลง จำเรียงได้ฟังก็ยิ่งโกรธ
“ที่ไต้ก๋งเป็นขนาดนี้ต้องเป็นเพราะอีงามตาแน่ๆ”
อบเชยติง
“เหตุใดไปกล่าวหางามตาเล่าจำเรียง”
“ไม่เห็นรึ ตั้งแต่มันกลับมาก็สร้างแต่ความฉิบหายให้เรือนไม่รู้จักจบจักสิ้นนี่ไต้ก๋งก็มาล้มป่วยอีก คอยดูถ้าไต้ก๋งเป็นอะไรไปจะได้เห็นดีกัน”
จำเรียงผลุนผลันออกไป อบเชยเรียกไว้แต่ไม่ทัน
“จำเรียง เดี๋ยวก่อน จะทำอะไรน่ะ จำเรียง”
จำเรียงมุ่งหน้ากลับเรือนดอกเหมย อบเชยรีบตามไป พิมพ์กับดวงแขมองหน้ากันเลิ่กลั่กก่อนจะตามไปด้วย
บรรยากาศในห้องนอนงามตายามนี้อึมครึมดูน่ากลัว งามตาหยิบกล่องใส่บึ้งออกมาวางตรงหน้า แววตาเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นมาดหมาย
“ถึงเวลาที่ข้าต้องให้อาหารเอ็งแล้วสินะ”
งามตาเปิดกล่องออก เมื่อมองไปบนฝาห้องเห็นว่า งามตายื่นแขนออกไปหยิบมีดออกมาแล้วกรีดลงไปที่แขนเพื่อเริ่มต้นทำพิธี
แต่ทันใดนั้นเองประตูห้องก็เปิดผางออก งามตาตกใจรีบเอาตัวบังกล่องใส่บึ้งไว้แล้วดึงกองผ้านุ่งแถวนั้นมาปิดไว้ไม่ให้จำเรียงเห็น ก่อนจะหันขวับมามองจำเรียงที่เวลานี้ยืนจ้องมองมาอย่างโกรธขึ้ง
“อีงามตา อีงูพิษ”
จำเรียงไม่พูดพร่ำทำเพลง พุ่งเข้ามาจิกหัวงามตาแล้วตบจนหน้าหัน งามตางงว่าเกิดอะไรขึ้นตวาดใส่
“อีจำเรียง อีหมาบ้า เป็นบ้าอะไรของเอ็ง”
“เอ็งต่างหากที่ผีบ้ามันเข้าสิง ถึงได้คิดทำร้ายไต้ก๋ง”
“ข้าน่ะรึคิดทำร้ายคุณพี่”
“ไม่ต้องมาตีหน้าซื่อ ข้ารู้นะว่าเอ็งตั้งใจวางยาไต้ก๋ง”
งามตาอึ้งไปนิดๆ ปฏิเสธลั่น
“วางยาอันใดกัน ข้าไม่รู้เรื่อง”
“อย่ามาปดข้า ตั้งแต่เอ็งกลับมาไต้ก๋งก็เปลี่ยนไป วันนี้ก็เกิดล้มป่วยขึ้นอีก ต้องเป็นเพราะเอ็งแน่”
จำเรียงชี้หน้าด่า งามตาเถียงกลับ
“อย่ากล่าวหาข้านะ เอ็งต่างหากที่ขี้อิจฉาถึงได้หาเรื่องมาใส่ความข้า”
“คนอย่างเอ็งมีเหตุอันใดต้องใส่ความ สันดานชั่วนัก ใครๆก็รู้เช่นเห็นชาติ”
“ชักจะปากดีขึ้นทุกวันแล้วนะ ระวังเถิด ข้าจะฟ้องคุณพี่ให้ลงโทษเอ็ง”
“เอาเลย ข้าไม่กลัวหรอก ขี้ข้าอย่างเอ็งใช้วิธีสกปรกจนได้เป็นเมียเข้าหน่อยก็ทำวางก้าม ไหนดูหน่อยซิว่าจะดีแต่ปากจริงรึไม่”
ขาดคำจำเรียงถลันเข้าไปกระชากคองามตาบีบเต็มแรงด้วยความโมโห
งามตาดิ้นสู้สุดพลัง จำเรียงผลักงามตาไปชิดฝาเรือนทั้งจิกทั้งบีบกะเอาตาย
ฝ่ายงามตาก็ไม่ยอมจิกหัวจำเรียงกลับแล้วเอาเล็บข่วนหน้าจนจำเรียงร้องกรี๊ด
งามตาได้ทีจะหนี จำเรียงหันกลับมาทันตามไปคว้าตัวไว้จนงามตาเสียหลักล้มไปด้วยกัน
จำเรียงตามไปจิกหัวงามตาขึ้นจะตบซ้ำ แต่กลับมีคนจับแขนจำเรียงรั้งไว้เสียก่อน เมื่อหันไปดู ปรากฏว่าเป็นอบเชย
“นี่เอ็ง”
“มากับข้า เดี๋ยวนี้”
อบเชยดึงแขนจำเรียงขึ้นลากออกจากห้องไป จำเรียงขัดขืนไม่ยอมโวยวายลั่น
“หยุดนะ มาห้ามทำไม ปล่อยข้า ปล่อย”
อบเชยลากจำเรียงออกไปอย่างทุลักทุเล งามตารอดมาได้ หอบหายใจมองตามจำเรียงอย่างอาฆาตแค้น
อบเชยลากจำเรียงลงเรือนมา จำเรียงโมโหสุดขีด สะบัดตัวออก ร้องโวยวาย
“นังอบเชยเอ็งมาห้ามข้าทำไมข้าจะจัดการมันได้อยู่แล้ว”
อบเชยตอบกลับด้วยความเอือมระอา
“หยุดสักทีเถอะ โวยวายเช่นนี้ไม่อายผู้อื่นบ้างหรือ”
“อีงามตาต่างหากที่ต้องอายเพราะทำแต่เรื่องเสื่อมเสียในเรือน”
“เขาจะทำอะไรก็ช่างสิ แต่อย่าสร้างปัญหาขึ้นมาอีก นายท่านสั่งสอนเท่าไรเอ็งไม่จำเลยหรือ”
“เอ็งจะปล่อยอีลูกหมอผี นั่งชูคอเป็นคุณนายอยู่ในเรือน ทั้งที่มันทำไต้ก๋งป่วยงั้นรึ”
“เอ็งรู้อย่างไรว่างามตาเป็นคนทำ” อบเชยพูดแทบเป็นตวาดใส่
จำเรียงเห็นอบเชยพูดแปลกๆ ก็มองอย่างระแวงระวัง
“ข้าว่าเอ็งชักจะแปลกเข้าไปทุกทีแล้วอบเชย”
“แปลกอย่างไร”
“เหตุใดเอ็งพูดเข้าข้างอีงามตามันเหลือเกิน หรือว่าเอ็งจะเปลี่ยนใจไปเข้าข้างมันแล้ว”
จำเรียงมองจับผิด อบเชยอึกอัก ทำเสียงแข็งสู้
“ข้าไม่ทำเช่นนั้นแน่ แต่ที่ข้าเตือนเพราะไม่อยากให้มีเรื่องวุ่นวาย แค่นี้คุณรำเพยก็ทุกข์ใจมากพอแล้ว”
จำเรียงอึ้งนิ่งงันไป เมื่อได้ยินชื่อคุณรำเพย
“จริงของเอ็ง”
“ข้าถึงขอร้องเอ็งอยู่นี่อย่างไรเล่า ค่อยๆ คิดอย่าเพิ่งวู่วามข้าว่าต้องมีทางออกที่ดีกว่านี้แน่”
อบเชยพูดจาหว่านล้อม แม้จะยังไม่พอใจอยู่มาก แต่จำเรียงก็พยักหน้าทำเป็นยอมไปก่อน
ฝ่ายงามตานั่งอยู่คนเดียวในห้อง มองรอยแผลที่กรีดเพื่อเลี้ยงบึ้งอย่างเจ็บใจ ในหัวคิดถึงคำพูดจำเรียงที่ด่าว่าตนอย่างสาดเสียเทเสีย
“คนอย่างเอ็งมองตาก็เห็นถึงไส้แล้ว อย่ามาปดให้มากความอีกเลย ตั้งแต่เอ็งกลับมาไต้ก๋งก็เปลี่ยนไป มาวันนี้ก็เกิดล้มป่วยขึ้นอีก ต้องเป็นเพราะเอ็งแน่”
“เอาเลย! ข้าไม่กลัวหรอก ขี้ข้าอย่างเอ็งใช้วิธีสกปรกจนได้เป็นเมียเข้าหน่อยก็ทำวางก้าม ไหนดูหน่อยซิว่าจะดีแต่ปากจริงรึไม่”
ยิ่งคิดงามตาก็ยิ่งเคียดแค้นชิงชังจำเรียงทบทวี
“อีจำเรียง…เห็นทีมึงกับกูจะอยู่ร่วมโลกกันไม่ได้เสียแล้ว”
งามตายกแขนตัวเองขึ้น หยิบมีดมากรีดแขนตัวเองอีกครั้ง เลือดค่อยๆ ซึมออกมาหยดลงไปบนพื้นห้อง
ก่อนจะเห็นตัวบึ้งค่อยๆ ไต่ออกดูดกินเลือดอย่างหิงวกระหาย งามตากัดฟันทนเจ็บไว้ ยิ้มเยือกเย็นอย่างพึงพอใจ ในแววตาอันมาดหมาย
ไต้ก๋งชางยังนอนไม่ได้สติอยู่ในห้องนอนบนเรือนใหญ่ ขณะรำเพยถือถาดใส่ยาต้มมานั่งริมเตียงข้างๆ สามี เอามือไปแตะหน้าผากดูอาการ สีหน้าเป็นกังวล ห่วงไต้ก๋งชางมาก
สักครู่หนึ่ง ไต้ก๋งชางค่อยๆ ฟื้นลืมตาตื่นขึ้นมา รำเพยเห็นก็ดีใจ
“คุณพี่เป็นอย่างไรบ้างคะ”
ไต้ก๋งชางหันไปมอง เห็นรำเพยเป็นงามตา
“งามตา...งามตา”
ไต้ก๋งชางคว้าแขนรำเพยไว้ แต่พอลุกขึ้นมองชัดๆ เห็นเป็นรำเพยก็ผลักออก
รำเพยตกใจน้อยใจ แต่ก็พยายามตั้งสติ ถามไต้ก๋งชางด้วยน้ำเสียงปกติ
“คุณพี่ฟื้นแล้วหรือคะ น้องต้มยามาให้ คุณพี่กินก่อนนะคะ”
รำเพยหยิบถ้วยยาตักใส่ช้อนเป่า แล้วยื่นไปป้อนให้ แต่ไต้ก๋งชางเมินหน้าหนี
“ข้าไม่กิน”
“แต่ยานี้เป็นยาบำรุง หมอสั่งให้ต้มให้กินเช้าเย็น คุณพี่ทำงานหนัก ถึงได้ล้มป่วย กินสักหน่อยจะได้ดีขึ้น”
ชางขึ้นเสียงแทบเป็นตวาด “ข้าบอกแล้วอย่างไรว่าข้าไม่กิน”
รำเพยคะยั้นคะยอให้ไต้ก๋งชางกินทาให้ได้
“คุณพี่กินเถอะนะคะ เดี๋ยวน้องป้อนให้”
พร้อมกับว่า รำเพยยื่นช้อนไปจะป้อนยาให้สามี แต่แล้วจู่ๆ ไต้ก๋งชางก็ปวดหัวจี้ดขึ้นมา อาละวาดใส่เมีย
“บอกว่าไม่ก็ไม่สิ”
ไต้ก๋งชางโมโหปัดถ้วยยาหลุดจากมือรำเพยตกลงพื้นห้อง ถ้วยยาแตกกระจายเสียงดังเปรื่องปร่าง น้ำยาร้อนๆ กระเด็นใส่มือรำเพยจนเธออึ้งไป แต่ก็ทำเป็นฝืนยิ้มให้เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ไม่เป็นไรค่ะ น้องเก็บเอง”
รำเพยลงไปเก็บเศษถ้วยที่แตกบนพื้น ไต้ก๋งชางมองด้วยแววตาเย็นชา รำเพยหยิบเศษถ้วยกระเบื้องชิ้นหนึ่งขึ้นมา แต่กลับพลาดถูกเศษกระเบื้องบาดเข้า
“โอ๊ย”
ไต้ก๋งชางหันไปมอง เห็นเลือดไหลซึมออกมาจากมือรำเพย
วินาทีนั้นเองภาพเหตุการณ์ต่างๆ ในอดีต ผุดซ้อนขึ้นมาในห้วงคิด ตั้งแต่ตอนไต้ก๋งชางขอรำเพยแต่งงาน กระทั่งมาถึงวันแต่งงานหวานชื่น สองคนไปทำบุญที่วัดด้วยกัน
ไต้ก๋งชางชะงักงัน ยกมือกุมหัวตัวเองร้องขึ้นมาอย่างเจ็บปวดทุกข์ทรมาน
“ไม่...โอ๊ย...ปวด”
รำเพยกุมแผลที่มือหันไปมองสามีด้วยสีหน้าตื่นตกใจ
“คุณพี่ เป็นอะไรหรือคะ”
ไต้ก๋งชางจ้องหน้ารำเพย ภาพในอดีตตีกลับเข้ามาในหัวอีกระลอก และเริ่มปวดหัวหนักขึ้น รำเพยมองสงสัยว่าไต้ก๋งชางเป็นอะไร ยื่นมือไปจะแตะตัว แต่แล้วภาพรำเพยตรงหน้าก็กลายเป็นภาพใบหน้างามตา ไต้ก๋งชางปัดมือรำเพยออก ตวาดลั่น
“อย่ามายุ่งกับข้า”
รำเพยผงะไป ไต้ก๋งชางลุกลงจากเตียงแล้ววิ่งหนีออกจากห้องไป
อีกฟากที่กระท่อมท้ายสวน ก้อนกำลังนอนหลับอยู่ ยินเสียงดังสวบสาบขึ้นเหมือนมีใครเดินเข้ามา ก้อนสะดุ้งตื่นเงี่ยหูฟัง เสียงฝีเท้านั้นเงียบไป ก้อนคาใจเลยลุกออกไปดู แต่ไม่เห็นใครอยู่หน้ากระท่อม ก้อนมองด้วยความหวาดระแวง
พอหันกลับ ก็เห็นใครคนนั้นหยุดยืนอยู่ด้านหลัง
“ปั้ดโธ่ นังงามตา ตกใจหมด”
งามตามายืนส่งยิ้มมาให้ก้อน
“ฉันเองน่ะสิพี่ก้อน หรือพี่คิดว่าผู้ใด”
“ข้า...ช่างมันเถอะ เอ็งมาหาข้าเอาป่านนี้มีเรื่องใด”
“พี่คิดว่าฉันมาหาถึงที่จะมีเรื่องใดเล่า”
“ข้าไม่รู้ เห็นพักนี้เอ็งพิศวาสไอ้เจ๊กนั่นเหลือเกิน ไม่มีเหตุคงไม่มาหาข้ากระมัง”
ก้อนพูดประชดนิดๆ งามตาหัวเราะ
“พี่นี่ฉลาดใช้ได้ ถูกแล้วฉันมีเรื่องให้พี่ช่วย”
ก้อนแค่นหัวเราะ
“ถ้าเกี่ยวกับไอ้เจ๊กนั่นข้าไม่ช่วยดอก”
“ไม่เชิง...แต่เกี่ยวกับความเป็นอยู่ของฉันในเรือน อย่างที่ฉันเคยบอกว่าพี่ต้องช่วยฉันถ้าหากอยากอยู่ด้วยกันอย่างสุขสบาย”
ก้อนมองสงสัย งามตายิ้มเจ้าเล่ห์
ส่วนไต้ก๋งชางเดินโซเซขึ้นเรือนดอกเหมยมา ด้วยท่าทางร้อนใจ ตรงดิ่งไปที่ห้องนอนร้องเรียกหางามตา
“งามตา...งามตา”
แต่พอเปิดประตูห้องเข้าไป กลับไม่มีใครอยู่ ไต้ก๋งชางมองหาจนทั่วก็ไม่เจอ
“งามตา...งามตาอยู่ที่ไหน งามตา”
ไต้ก๋งเดินออกไปตามหางามตาจนทั่วเรือน พอไม่เจอก็ยิ่งหงุดหงิดหงุ่นง่าน ตะโกนร้องหาดังลั่น
“งามตา ออกมาหาพี่เถิด งามตา”
สี่สาวทำขนมอยู่ชั้นล่างได้ยินเสียงเอ็ดตะโรก็วิ่งขึ้นมาดู พอเห็นไต้ก๋งชางวิ่งวุ่นอยู่ก็ตกใจ
“ไต้ก๋ง ฟื้นแล้วหรือเจ้าคะ” พิมพ์ถาม
ไต้ก๋งชางหันมามองทุกคนตาขวาง ใบหน้าซีดเซียวตวาดออกไป
“พวกเอ็ง ตอบข้ามา งามตาอยู่ที่ไหน”
จำเรียงหมั่นไส้ “อีงามตาอีกแล้วหรือเจ้าคะ”
“งามตาอยู่ที่ไหนบอกให้มาพบข้าเดี๋ยวนี้”
สี่สาวมองหน้ากันเลิ่กลักไปมา ดวงแขตอบด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก
“แม่งามตาไม่อยู่ที่นี่เจ้าค่ะ”
“ไม่อยู่ที่นี่แล้วอยู่ที่ใด อย่าปดข้า ไปตามงามตามา”
“งามตาไม่อยู่ที่นี่จริงๆเจ้าค่ะไต้ก๋ง แต่ถ้าไต้ก๋งอยากพบ อิฉันจะไปตามให้” จำเรียงบอก
“ข้าไม่เชื่อ”
ไต้ก๋งชางพูดเหมือนคนไม่มีสติ หวาดระแวง ใกล้จะคุ้มคลั่ง จำเรียงเห็นยิ่งหงุดหงิด
“งามตาไม่อยู่จริงๆ เจ้าค่ะ มันหายหัวไปไหนไม่รู้ ไต้ก๋งเลิกสนใจมันเถิด มันไม่กลับเรือนมาหาไต้ก๋งตอนนี้แน่”
“พวกเอ็งมันไม่ได้เรื่องสักคน คนหายไปทั้งคนกลับไม่รู้ว่าอยู่ที่ใด ข้าจะไม่ถามอีพวกโง่อีกแล้ว ข้าจะไปหางามตาด้วยตัวเอง”
ไต้ก๋งชางโลดแล่นลงจากเรือนไป
จำเรียงเท้าสะเอวมองตามด้วยความโมโห พิมพ์กับดวงแขมองหน้ากันงงๆ ในขณะที่อบเชยกลับยืนมองตามนิ่งๆ ลอบยิ้มมุมปากนิดๆ
งามตารีบร้อนกลับเรือนดอกเหมยพร้อมก้อน หยุดสั่งเสียกันตรงใต้ถุนเรือน
“ฉันกลับก่อนนะพี่ ส่วนเรื่องที่ฉันขอ ฉันจะบอกวันเวลาอีกที”
“ได้...ข้าจะรอ รับรองเอ็งไม่ผิดหวังแน่”
สองคนมองหน้ากันอย่างรู้ใจ ก้อนจับมืองามตามาก้มลงจูบด้วยความรัก แต่จู่ๆ ก็มีคนมากระชากร่างก้อนออกอย่างแรง แล้วต่อยจนมันล้มลงไป
ก้อนเช็ดเลือดมุมปากหันขวับมามองพอเห็นเป็นไต้ก๋งชางก็ตกใจ
“ไต้ก๋ง”
งามตามองไต้ก๋งอึ้งๆ
“คุณพี่มาที่นี่ได้อย่างไร”
“ไอ้ก้อน มึง”
ไต้ก๋งชางไม่ตอบ แต่กลับพุ่งเข้าไปจะต่อยก้อนอีก งามตาห้ามพัลวัน
“คุณพี่อย่าทำแบบนี้ค่ะ อย่า”
“ปล่อยข้า ข้าจะสั่งสอนมัน มันจะทำมิดีมิร้ายเมียข้า”
ก้อนยกมือห้ามไต้ก๋งชางมองงามตาเชิงถามว่าควรทำยังไง งามตามองดุ
“ไต้ก๋งข้า...ข้าไม่ได้คิดจะทำเช่นนั้นนะขอรับ
“แต่ข้าเห็นเอ็งจับมือถือแขนงามตาแบบนี้จะให้คิดเช่นไร”
งามตาช่วยก้อนยังจับตัวไต้ก๋งไว้
“คุณพี่ใจเย็นก่อนนะคะ คงเป็นเรื่องเข้าใจผิดกันเท่านั้น”
“เข้าใจผิดเรื่องใด”
“น้องมาขอให้นายก้อนช่วยงาน แต่นายก้อนเห็นว่ามือน้องเป็นแผลจึงเข้ามาช่วยดู ไม่ได้มีอะไรมากกว่านั้นเลยนะคะ”
ไต้ก๋งชางชะงักไป เริ่มนิ่งลง ก้อนยกมือไหว้ไต้ก๋งชางปลกๆ พูดอ้อนวอน
“กระผมสาบานขอรับว่าไม่มีวันคิดเกินเลยกับ...เมียไต้ก๋งเป็นอันขาด”
งามตาแสร้งทำเป็นหน้าเศร้าดูน่าสงสาร ไต้ก๋งชางมองสงสัย
“น้องเป็นแผลที่ใด ใครทำอะไรน้อง”
งามตายื่นแขนให้ดู
“น้องพลาดถูดมีดบาดค่ะ”
ไต้ก๋งชางเห็นแขนงามตาเป็นแผลจริงๆ ก็เชื่อ งามตาตีหน้าเศร้าสำทับอีก
“หากคุณพี่โกรธจะลงโทษน้องก็ได้แต่อย่าทำร้ายบ่าวเลย”
“พี่จะเชื่อน้อง แต่อย่าให้เห็นว่าไอ้ก้อนมันใกล้น้องอีก ไม่อย่างนั้นพี่ไม่ปล่อยมันไว้แน่”
“ค่ะ ในเมื่อไม่มีอะไรแล้ว เรากลับเรือนกันเถิดนะคะคุณพี่”
งามตาดึงแขนไต้ก๋งชางให้ขึ้นเรือนไปด้วยกัน โดยลอบมองมาทางก้อนเชิงบอกให้กลับไป ก้อนมองตอบอย่างเจ็บใจ
ในเวลาต่อมา สี่สาวช่วยกันทำขนมอยู่ แต่จู่ๆ จำเรียงก็โพล่งขึ้นอย่างหงุดหงิด
“โอ๊ย! ข้าจะไม่ทนอีกต่อไปแล้ว”
“เป็นอะไรจำเรียง จู่ๆ ก็โวยวาย ข้าตกใจหมด” พิมพ์ถาม
“ก็เรื่องอีงามตาอย่างไรกัน ข้าจะไม่ทนให้มันวางก้ามอยู่ที่เรือนนี้อีกต่อไปแล้ว”
อบเชยพูดปรามจำเรียง
“เอ็งจะทำอะไร”
“ข้าจะไปฟ้องคุณรำเพยเรื่องวันนี้น่ะสิ”
“ข้าเตือนเอ็งแล้วว่าอย่าสร้างเรื่อง เหตุใดไม่เชื่อข้าบ้าง”
“ข้าเชื่อ แต่ข้าทนมานานแล้ว เอ็งทนได้ทนไป แต่ข้าจะไม่ยอมให้เกิดเรื่องบัดสีในเรือนขึ้นอีก หลบไป”
จำเรียงผลักอบเชยที่ขวางทางออก ดวงแขเรียกไว้
“จำเรียง อย่าไปนะ จำเรียง”
จำเรียงไม่ฟังตั้งท่าจะเดินไปทางเรือนใหญ่ แต่จู่ๆ ก็ต้องชะงัก เมื่อเห็นงามตาเดินเข้ามาขวางทางไว้
“จะไปไหนรึแม่จำเรียง”
“ไม่ใช่เรื่องของเอ็ง”
งามตายิ้มเยาะ “อุ๊ยตาย ยังไร้มารยาทสันดานไพร่เหมือนเคย”
“ข้าเกิดเป็นไพร่ สันดานมันก็เป็นไพร่ ข้าไม่คิดอยากชูคอไปเป็นคุณนายแต่สันดานข้างในสกปรกเหมือนบางคน”
“เฮ้อ ข้าถามดีๆ แท้ๆ แต่กลับได้ยินคำพูดไม่รื่นหูกลับมา น่าเสียใจนัก แต่เอาเถอะข้าไม่ถือ เพราะวันนี้ข้าอารมณ์ดี”
จำเรียงจะเถียง แต่อบเชยมาขวางไว้
“คุณงามตามาถึงที่นี่ มีอะไรจะให้พวกเราช่วยหรือเจ้าคะ”
จำเรียงได้ยินสรรพนามที่อบเชยเรียกงามตาก็ไม่พอใจมาก “อบเชย นี่เอ็งเรียกมันคุณอย่างนั้นรึ”
อบเชยถามงามตาโดยไม่ฟังจำเรียง “ว่าอย่างไรล่ะเจ้าคะ”
งามตาเชิดยิ้มพอใจ สั่งจำเรียงว่า
“ข้าจะวานเอ็งให้จัดขนมไปให้คุณพี่เสียหน่อย”
พิมพ์สวนขึ้นทันที “ข้าไม่ทำ”
“ไม่เป็นไร เพราะข้ามีคนเต็มใจทำให้ จริงไหมอบเชย”
งามตามองไปยังอบเชย สามสาวอึ้งไปทั้งแถบ
จำเรียงหันมาถามอบเชยเสียงขุ่น “อบเชย หมายความว่าอย่างไร”
“หมายความว่าตั้งแต่นี้ อบเชยจะต้องมารับใช้ข้าเป็นการส่วนตัว มีหน้าที่ทำทุกอย่างที่ข้าขอ แล้วก็ไม่ต้องนั่งในครัวช่วยพวกเอ็งทำขนมอีกต่อไป”
ดวงแขไม่อยากเชื่อ “อบเชย...เรื่องจริงหรือ”
อบเชยก้มหน้า ไม่สบตาใครเลย งามตากอดอกวางอำนาจเต็มที่
“เรื่องจริง คุณพี่อนุญาตข้าแล้ว” งามตาเบ่งเต็มที่ แล้วสั่งอบเชยว่า “อบเชย เอ็งไปทำตามที่ข้าบอก ปล่อยอีพวกบ่าวก้นครัวมันอยู่ที่นี่ ข้าไม่อยากให้คุณพี่รอ”
“เจ้าค่ะ คุณงามตา”
อบเชยหลีกไปทำตามที่สั่ง งามตาเดินหัวเราะสะใจขึ้นเรือนไป
จำเรียงโกรธแค้นจนตัวสั่น
ในขณะที่รำเพยนั่งตรวจดูเอกสารค่าเช่าตลาดอยู่ มีนมขามนั่งข้างๆ คอยดูแล เห็นจำเรียงขึ้นเรือนมาหาด้วยท่าทีรีบร้อนก็แปลกใจ
“จำเรียง รีบร้อนมาที่นี่มีอะไรหรือ”
จำเรียงนั่งลง ไหว้รำเพยแล้วรายงานเรื่องงามตา
“คุณรำเพยเจ้าขา อย่าหาว่าอิฉันเสียมารยาทเลย แต่อิฉันทนเห็นเรื่องอุบาทว์ชาติชั่วในเรือนนี้ไม่ได้อีกต่อไปแล้วเจ้าค่ะ
“มีเรื่องอะไรอีก เกี่ยวกับเรือนดอกเหมยรึ”
“เจ้าค่ะ วันนี้อีงามตามันมาสั่งอิฉันราวกับเป็นบ่าว แถมไต้ก๋งแทนที่จะรักษาตัวให้หายก็มาหามันถึงเรือน อิฉันไม่รู้จะทำเช่นไรแล้ว”
รำเพยก้มมองแผลเศษแก้วบาดที่มือ สีหน้าเศร้าลง
“ถึงจำเรียงไม่ฟ้อง ฉันก็พอจะรู้ ฉันทำอะไรไม่ได้แล้วล่ะ”
“ไม่ได้นะเจ้าคะ...คุณรำเพยจะปล่อยให้เป็นแบบนี้ไม่ได้
“แล้วจะให้คุณรำเพยทำอย่างไร ไต้ก๋งหลงอีงามตาหัวปักหัวปำ ต่อให้เอาช้างมาฉุดก็คงไม่ยอมกลับเรือนง่ายๆ”
“อิฉันก็ไม่รู้เจ้าค่ะแต่อิฉันรู้สึกว่าเรื่องนี้ต้องไม่ชอบมาพากล”
“อย่างไรกันจำเรียง”
จำเรียงลดเสียงลง บอกกับรำเพย
“วันก่อนบ่าวเข้าไปที่ห้องของมัน เห็นมันทำท่าทางลับๆ ล่อๆ เจ้าค่ะ”
นมขามกับรำเพย มองหน้ากันอย่างแปลกใจ
“เอ็งเห็นมันทำอะไรนังจำเรียง” คุณนมถาม
“เหมือนมันจะเลี้ยงตัวประหลาดไว้ในห้อง บ่าวเห็นไม่ชัดนักแต่รู้สึกเหมือนมันมีขนยุบยับและมีขายั้วเยี้ยด้วยเจ้าค่ะ โอ๊ย...ขนลุก”
รำเพยแปลกใจ “ตัวประหลาดอย่างนั้นหรือ”
“หรือนี่จะเป็นสาเหตุที่หลวงพ่อดำให้เราหาคำตอบเจ้าคะ”
รำเพยนึกถึงสิ่งที่หลวงพ่อดำบอกได้ ครุ่นคิดพักหนึ่ง
“แต่ฉันยังไม่แน่ใจว่าเป็นเรื่องนี้ ฉันควรทำอย่างไรดีจ๊ะนม”
นมขามคิดหนัก จำเรียงเสนอตัวขึ้นว่า
“ให้อิฉันช่วยสิเจ้าคะ คุณนม คุณรำเพย”
“เอ็งจะทำอะไรนังจำเรียง”
“อิฉันจะจับตาดูนังงามตาให้ ถ้ามันใช้วิธีสกปรกจริง วันนึงเราต้องรู้แน่เจ้าค่ะ”
“แล้วมันจะไม่เป็นอันตรายกับจำเรียงหรือ”
“อิฉันจะระวังเจ้าค่ะ ถ้าต้องเสี่ยงแล้วกำจัดนังงามตาได้ อิฉันก็ยินดี”
จำเรียงพูดด้วยสีหน้ามุ่งมั่นมาดหมาย รำเพยสบตานมขามอย่างหวาดหวั่น
เช้าวันนี้ จำเรียง พิมพ์ และดวงแขเดินถือถาดขนมมาส่งแม่ค้าที่ตลาดตามเคย จำเรียงและพิมพ์เดินนำลิ่วๆ ไป ดวงแขรีบเดินตามให้ทันกัน แต่มีคนพลุกพล่าน แถมถือของพะรุงพะรังจนสะดุด เกือบทำกระจาดขนมตก ดีที่มีชายคนหนึ่งมาช่วยรับไว้ทัน ดวงแขมองหน้าชายคนนั้นท่าทีเขินอาย
“ขอบใจจ้ะ”
“ไม่เป็นไรจ้ะ แม่ดวงแขกำลังจะเอาขนมไปส่งที่ร้านใช่หรือไม่ ให้ฉันช่วยเถิด”
“เอ๊ะ รู้จักชื่อฉันได้อย่างไรจ๊ะ”
“เอ่อ...ขอโทษที่ทำให้ตกใจ ฉันชื่อยอด ปลูกผักมาขายที่ตลาดนี้แหละจ้ะ เห็นแม่ดวงแขมาส่งขนมบ่อยๆ ได้ยินแม่ค้าเขาเรียกกันน่ะ มา ให้ฉันช่วยเถิด”
ยอดแนะนำตัวแล้วแย่งถาดขนมมาถือ
ดวงแขอายม้วน “ขอบใจจ้ะ”
ด้านจำเรียงและพิมพ์ ส่งขนมให้นางแย้มแม่ค้าเจ้าประจำอย่างเร็วรี่ ด้วยท่าทีหงุดหงิดอารมณ์เสีย ดวงแขเดินตามมาสมทบพร้อมยอด
แย้มเห็นหันไปทัก “เอ้า มากันแล้ว ข้ารออยู่พอดี
“ขอโทษด้วยจ้ะพี่แย้ม”
“ไม่เป็นไรๆ ทันพอดี แล้วทำไมมากันแค่สามคน อบเชยไปไหนเสียล่ะ”
จำเรียงพาล “ก็เพราะมันนั่นแหละทำให้พวกฉันสายอย่างนี้”
แย้มงง “ทำไมรึ”
“ก็นังอบเชยมันไม่ยอมมาช่วยกันทำขนม ปล่อยพวกเราสามคนทำกันงกๆ”
จำเรียงเสริมพิมพ์ว่า “เกือบจะมาส่งขนมไม่ทันเพราะมันแท้ๆทีเดียวมัวแต่ไปเป็นขี้ข้ารับใช้นัง”
ชุ่มพูดสวนเดินเข้ามาสมทบ “นี่ๆๆ พวกเอ็งเห็นไต้ก๋งชางมาตรวจตลาดหรือไม่”
“ไต้ก๋งชางตรวจตลาดมีอะไรแปลกตรงไหน” แย้มถาม
“แปลกสิ! ก็ครั้งนี้ไต้ก๋งพานังงามตามาด้วย!”
“นังงามตา”
จำเรียงและพิมพ์อุทานพร้อมกันสบตากันอย่างไม่พอใจ
แย้มถามอย่างไม่อยากเชื่อ “นังงามตาน่ะรึเป็นไปได้อย่างไรกัน”
“ก็เป็นไปแล้วล่ะพี่ เห็นว่านังงามตาแต่งเนื้อแต่งตัวเสียงาม ออดอ้อนให้ไต้ก๋งให้ซื้อข้าวของให้ จนชาวบ้านเขาลือทั่วตลาดว่านังงามตาขึ้นมาเป็นคุณนายคนใหม่ของไต้ก๋งเสียแล้ว” ชุ่มว่า
“นังงามตามันเป็นได้แค่ขี้ข้าเท่านั้น พี่อย่าพูดเหลวไหล” จำเรียงด่า
ชุ่มยัวะ “เอ้า นังจำเรียง ข้าก็พูดอย่างที่ได้ยินมา นังงามตามันทำท่าเป็นคุณนายไต้ก๋งจริงนี่หว่า”
“แต่คุณรำเพยต่างหากที่เป็นคุณนายของไต้ก๋งตอนนี้” ดวงแขบอก
“แล้วคุณรำเพยไปไหนเสียล่ะ ทำไมปล่อยให้นังงามตาชูคอต่อหน้าคนทั้งตลาดอย่างนั้น” แย้มถาม
“หรือคุณรำเพยจะยอมให้นังงามตาเป็นเมียไต้ก๋งอีกคนแล้ว” ชุ่มซัก
สามสาวมองหน้ากันตอบไม่ถูก จำเรียงโมโหคับแค้นใจเดินหุนหันออกไป
“จำเรียง นั่นเอ็งจะไปไหน”
“ข้าก็จะไปดูให้เห็นกับตาน่ะสิ”
“ข้าไปด้วย”
พิมพ์วิ่งตามจำเรียงไป ดวงแขร้องถามก็ไม่มีใครสน
“เดี๋ยวสิ ตระกร้าพวกนี้เล่า”
“ถ้าแม่ดวงแขไม่ว่าอะไร ให้ฉันช่วยถือกลับไปส่งเถิดจ้ะ”
ดวงแขยิ้มอาย
งามตาในชุดเสื้อผ้าใหม่สีสันสดใสสะดุดตา เดินเคียงคู่ไต้ก๋งชางมาในตลาด มีอบเชยคอยตามรับใช้ ถือของให้ ชาวบ้านเหลียวมองสลอนพร้อมกับซุบซิบอึงมี่ งามตาปรายตามองอย่างสมใจ
“อบเชย ทำไมชาวบ้านถึงมองข้าเยี่ยงนั้นล่ะ ข้ามีอะไรผิดปกติรึ”
“คงเพราะคุณงามตาสวยเด่นกว่าใครน่ะเจ้าค่ะ” อบเชยพูดเอาใจ
“งั้นรึ แล้วข้าสวยพอจะเป็นเมียไต้ก๋งหรือไม่”
“เจ้าค่ะ”
งามตาหัวเราะคิกชอบอกชอบใจ
ทั้งสองเดินผ่านร้านขายผ้าที่ใหญ่ที่สุดในตลาด งามตาหยุดมองอย่างตื่นตา
“มีอะไรรึ”
“ผ้าร้านนี้เขาว่างามที่สุดในย่านนี้ ขอน้องเข้าไปดูสักหน่อยนะคะ”
“ได้สิจ๊ะ ไปกันเถอะ”
งามตาหันไปยื่นกระเป๋าให้อบเชยถือ “ถือไว้แล้วรอข้าอยู่ตรงนี้”
อบเชยรับไว้ พยายามเก็บอาการ “เจ้าค่ะ”
“ไปกันเถอะค่ะคุณพี่”
สองคนพากันเข้าร้านไป
ภายในร้านขายผ้า เต็มไปด้วยม้วนผ้าแพรพรรณหลากสีสันคุณภาพดี งามตามองอย่างตื่นตา ไต้ก๋งชางยิ้มชื่นปล่อยให้งามตาเลือกผ้าไปอำเภอใจ แขกขายผ้าเจ้าของร้านเดินผ่านงามตาเข้ามาต้อนรับไต้ก๋งชาง
“เชิญจ้ะนายจ๋า”
“ผ้าสวยๆ ทั้งนั้นเลย น้องเคยแต่เดินผ่านไปมา ไม่เคยมีปัญญาเข้ามาสักครั้ง” งามตาลูบไล้ผ้าสวยอย่างตื่นเต้น
“เลือกเอาผืนที่ชอบกลับไปด้วยสิจ๊ะ”
งามตายิ้มดีใจ สอดตามองหาผืนที่สวยที่สุดจนเจอที่ถูกใจลูบผ้าผืนนั้นพลางถามราคา
“ผืนนี้สวยจริง เท่าไหร่รึ”
“สีนี้มีน้อยราคาแพง” แขกเจ้าของร้านเอามือปัดผ้าตรงที่งามตาลูบ
“งั้นรึ” งานตาจับอีกผืน “แล้วผืนนี้ล่ะ”
“ผืนนี้แพงมากมาจากฝรั่งเศส” เจ้าของร้ายปัดตรงที่งามตาจับอีก
“แล้วผืนนั้นเล่า”
งามตาขยับจะเข้าไปจับดู คราวนี้แขกขายผ้าเข้ามาขวางไว้
“ผืนนี้แพงที่สุด ปักมือดิ้นทอง”
งามตาบอกทันที “ข้าเอาผืนนี้”
แขกขายผ้าไม่ยอมขายให้ปฏิเสธลั่น “ไม่ได้”
งามตาฉุนกึก “ทำไมจะไม่ได้”
ไต้ก๋งชางก็งง “นั่นสิ ทำไมจะไม่ได้”
“อีนี่นายจ๋า ผ้าผืนนี้ราคาแพง แม่งามตาซื้อไม่ได้หรอกจ้ะนาย”
งามตาตาลุกวาวด้วยความโกรธที่โดนดูถูก
“นี่ไอ้แขกตัวเหม็น เอ็งดูถูกข้ารึ”
“อีนี่ฉานพูดความจริงนะจ๊ะนายจ๋า”
ไต้ก๋งชางโกรธ ต่อยเปรี้ยงจนแขกเซไป ไม่เท่านั้นชางยังเดินเข้าหาจะต่อยซ้ำ แขกถอยหลังหนีออกไปนอกร้านอย่างหวาดกลัว
“เอ็งกล้าดีอย่างไรถึงมาดูถูกเมียข้า งามตาอยากได้ผ้าผืนไหนในร้านของเอ็งก็ได้ทั้งนั้น ข้าจะซื้อผ้าทั้งหมดที่เอ็งมี หรือจะให้ซื้อร้านทั้งร้านก็ยังได้ คราวหน้าคราวหลังอย่าริอ่านดูถูกงามตาอีกเข้าใจหรือไม่”
“เข้าใจแล้วจ้ะนายจ๋า”
ไต้ก๋งชางกระชากเสื้อแขกอย่างดุดัน งามตาตามออกมาแสร้งทำเป็นห้าม ชาวบ้านเริ่มมุงดู แล้วพากันซุบซิบอื้ออึง
“อย่าเจ้าค่ะคุณพี่ แค่มันพูดจาดูถูกน้องเล็กน้อยเท่านั้น น้องทนได้เจ้าค่ะ”
“ไม่ได้ พี่ต้องสั่งสอนให้มันรู้สำนึกจะได้ไม่มีใครกล้าดูถูกน้องได้อีก”
“พอเถิดเจ้าค่ะ น้องไม่อยากให้มือไต้ก๋งต้องเปื้อนเลือดสกปรกของมัน”
ไต้ก๋งปล่อยแขกอย่างแรงแล้วจูงแขนงามตาออกไป “ก็ได้ มานี่สิ”
ไต้ก๋งชางจูงมืองามตาไปกลางลานตลาด ประกาศก้อง
“พวกเอ็งจงจำไว้ ต่อจากนี้ไปงามตาคือเมียของข้า ดูถูกงามตาเท่ากับดูถูกข้าด้วย จำเอาไว้”
ชาวบ้านฮือฮา พากันรวมกลุ่มซุบซิบด้วยความสงสัย อบเชยมองเหตุการณ์เงียบๆ ด้วยสีหน้าเรียบเฉย งามตายิ้มกริ่มสาสมใจคล้องแขนไต้ก๋งออดอ้อนออเซาะ วางท่าเหมือนคุณนายก็ไม่ปาน
จำเรียงกับพิมพ์ยืนดูอยู่ไกลๆ จำเรียงหมั่นไส้สุดขีดจะเดินเข้าไปเอาเรื่อง พิมพ์ดึงไว้ ส่ายหน้าห้าม
“อย่านะ น้ำกำลังเชี่ยวเอ็งอย่าเอาเรือไปขวางเลย”
“แล้วดูนังอบเชยสิ ยืนเป็นขี้ข้ามันอยู่ได้ ข้ารำคาญนัก”
ชาวบ้านสองสามคนแถวนั้นหันมาเห็นสองสาว จึงเดินเข้ามาถามอย่างสงสัย
“พวกเอ็งเป็นคนในเรือนดอกเหมยนี่ เอ็งรู้หรือไม่ว่าอีงามตามันไปเป็นเมียไต้ก๋งตั้งแต่เมื่อใด”
คนแรกถาม คนที่สองก็สงสัยพอกันซักต่อ “นั่นสิ แล้วคุณรำเพยล่ะ คุณรำเพยไปไหนเสีย”
“โอ๊ย อยากรู้นักก็ไปถามไต้ก๋งเองสิ พิมพ์กลับเรือน”
จำเรียงเดินนำพิมพ์กลับเรือนอย่างไม่สบอารมณ์
กลับถึงเรือนดอกเหมย จำเรียงอารมณ์เสียเรื่องงามตา ยกขันน้ำขึ้นดื่มเอาๆ หวังจะดับอารมณ์พลุ่งพล่าน
“อีงามตามันชักจะกำเริบขึ้นทุกวัน พวกเอ็งเห็นมันลอยหน้าลอยตาที่ตลาดหรือไม่ นังอบเชยก็อีกคนประจบสอพลอมันอยู่ได้ไม่เกรงใจคุณรำเพยเสียบ้าง อีงามตาหน้าด้านก็วางทำท่าอย่างกับเป็นเมียใหญ่ มีบ่าวเดินตาม” จำเรียงหงุดหงิด หันมาโวยกับพิมพ์ “โอ้ย ถ้าเอ็งไม่ห้ามข้านะ ข้าจะวิ่งเข้าไปตบๆ เอายางอายออกมาจากหน้ามันเสียบ้าง”
“ข้าก็อยากตบมันเช่นกัน แต่เอ็งก็เห็นว่าไต้ก๋งท่าทางหลงมันอย่างกับอะไร ขืนเราเข้าไปตบมันสุ่มสี่สุ่มห้า เราอาจจะโดนอย่างไอ้แขกนั่นก็ได้”
“มันก็เป็นขี้ข้าเหมือนกับเรา ข้าไม่ยอมมุดหัวอยู่ในกระดองยอมมันไปตลอดหรอกนะ” พิมพ์บอก
ดวงแขบอกอย่างปลงๆ “เราจะทำอะไรได้ ตอนนี้นายท่านรักงามตามาก”
“รักเริกอะไร หลงน่ะสิไม่ว่า นังงามตามันคงมีไม้เด็ดอะไรที่เราไม่รู้ ไต้ก๋งถึงหลงมันหัวปักหัวปำ”
จำเรียงใคร่ครวญครุ่นคิด จนคิดอะไรบางอย่างออก บอกสองสาวว่า
“พวกเอ็งช่วยเตรียมกับข้าวกันไปก่อนข้ามีธุระต้องไปทำ”
จำเรียงลุกจะเดินออกไป พิมพ์รีบถาม
“เอ็งจะไปทำอะไร ที่ไหน”
“ธุระ แถวนี้แหละ เดี๋ยวข้ามา”
ดวงแขเรียกไว้ “เดี๋ยว ธุระเอ็งคืออะไร ให้ข้าไปด้วยสิ ข้าอาจช่วยได้ก็ได้นะ”
จำเรียงมองดวงแขอย่างชั่งใจก่อนจะบอกว่า “เอ็งช่วยไปเตรียมกับข้าวในครัวก่อนแล้วกัน”
ดวงแขมองอย่างงงๆแต่ก็ยอมไป
จำเรียงกระซิบบอกพิมพ์เบาๆ “เอ็งมากับข้าก็ได้ แต่เอ็งต้องช่วยข้าด้วย”
พิมพ์มองฉงนชั่วครู่ แล้วตัดสินใจพยักหน้ารับ
พิมพ์เดินกระวนกระวายอยู่ตรงหัวบันเรือนดอกเหมย ชะเง้อมองไปที่ทางเดินด้านหน้าคอยดูว่าไต้ก๋งกับงามตากลับมาหรือยัง สลับกับมองไปที่ประตูห้องงามตา
ส่วนจำเรียงเดินเข้ามาในห้องงามตา กวาดสายตาสำรวจหาสิ่งผิดปกติ ตรงดิ่งไปค้นที่เตียง สำรวจใต้หมอน สอดมือหาในปลอกหมอน หรือแม้กระทั่งใต้เตียง แต่ไม่เห็นมีอะไร จำเรียงหงุดหงิดผิดหวังแต่ยังไม่ยอมแพ้ ค้นตามตู้ ลิ้นชักต่างๆ ทุกซอก แต่ก็ไม่มีอะไรผิดปกติ จำเรียงเกือบจะถอดใจเดินออกไปนอกห้อง แต่พลันหูก็ได้ยินเสียงกุกกักดังขึ้นจากมุมหนึ่ง
จำเรียงชะงัก สีหน้าเต็มไปด้วยความสงสัย ค่อยๆ เดินตามเสียงนั้น ก้มตัวลงฟังพบว่าเสียงดังมาจากใต้ตู้เสื้อผ้าแน่นอน พอเอามือควานหาก็ไปเจอกล่องไม้ใบหนึ่ง ลั่นกุญแจไว้
งามตาเดินควงคู่ไต้ก๋งชางเข้ามาด้วยสีหน้าชื่นมื่น พิมพ์ตื่นตกใจ มองไปยังประตูหน้าห้องงามตาแล้วร้องขึ้นด้วยเสียงดังลั่น
“ไต้ก๋ง กลับมาแล้วหรือเจ้าคะ”
“มีอะไร ทำไมต้องทำหน้าตื่นด้วย”
ไต้ก๋งไม่คิดอะไร แต่งามตามองพิมพ์อย่างสงสัย พิมพ์หลบตาวูบกลัวจับได้
จำเรียงพยายามเปิดกล่อง แต่เป็นไปอย่างยากลำบาก ด้วยกุญแจนั้นปิดล็อกแน่นหนา
“ไต้ก๋งกลับมาเร็วจังเลยนะเจ้าคะ นึกว่าจะไปนานกว่านี้เสียอีก”
จำเรียงได้ยินเสียงพิมพ์ก็ยิ่งลนลาน เหลียวไปมองประตูอย่างร้อนรนใจ มองกล่องอย่างลังเล
ฝ่ายพิมพ์มีท่าทีลุกลี้ลุกลน และพยายามตะโกนเสียงดังให้จำเรียงรู้ตัว
“วันนี้ที่ตลาดเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ ไต้ก๋งดูเหนื่อยๆ นะเจ้าคะ”
งามตารำคาญ “โอ๊ย อยู่ใกล้กันแค่นี้เอ็งจะตะโกนให้ได้ยินไปถึงท้ายตลาดหรืออย่างไร ร้อนก็ร้อนยังมาโหวกแหวกอยู่ได้รำคาญจริง”
“นั่นสิ เอ็งจะเสียงดังทำไมฮึ”
“คุณพี่ขา น้องเพลียเหลือเกิน เราขึ้นไปพักบนห้องกันดีกว่าเจ้าค่ะ”
“ไปสิจ๊ะ”
งามตาจะพาไต้ก๋งขึ้นห้อง พิมพ์ตกใจรีบเข้าไปขวาง
“ไม่ได้เจ้าค่ะ”
งามตางงหนัก “ทำไม นั่นมันห้องข้าทำไมข้าจะขึ้นไปไม่ได้”
“เอ่อ... ก็.. ไต้ก๋งกลับมาเหนื่อยๆ พักกินน้ำเย็นๆ ก่อนเถิดเจ้าค่ะเดี๋ยวพิมพ์ไปเอามาให้นะเจ้าคะ”
“ไม่ต้อง เดี๋ยวข้าให้อบเชยเอาขึ้นไปให้เอง ทีนี้หลบไปได้แล้ว ไต้ก๋งกับข้าจะขึ้นไปพักผ่อน”
พิมพ์พยายามถ่วงเวลาไว้ “เดี๋ยวก่อน”
“หลบไป”
ไต้ก๋งตวาด พางามตาเดินผ่านไปอย่างไม่แยแส งามตามองยิ้มเยาะพิมพ์ ในขณะที่พิมพ์มองตามอย่างกังวล
ด้านจำเรียงพยายามมองลอดเข้าไปในกล่อง จนได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักของงามตากับไต้ก๋งดังมาจากหน้าห้อง จำเรียงตกใจ หันรีหันขวางหาทางหนีทีไล่
“เข้าไปในห้องก่อนนะเจ้าคะ”
“ทำไมเล่า พี่อยากกอดเมียในเรือนตัวเองไม่ได้หรือ”
จำเรียงรีบเก็บกล่องไว้ที่เดิม แต่ด้วยความรีบร้อนทำให้กล่องเอียงไม่ได้อยู่ในที่ทางเดิม ประตูเปิดผางเข้ามาร่างจำเรียงหายไปแล้ว หน้าต่างห้องเปิดอยู่ ผ้าม่านพลิ้วไหวไปตามแรงลม งามตามองหน้าต่างด้วยสีหน้าคลางแคลงใจ รับรู้ถึงความไม่ชอบมาพากล ไต้ก๋งมองฉงน
“มีอะไรรึ”
“ไม่มีอะไรเจ้าค่ะ น้องคงลืมปิดหน้าต่าง”
งามตาเดินไปดูที่หน้าต่างบานที่เปิดอยู่ เห็นหลังจำเรียงไวๆ แล้วนึกเอะใจเหลียวขวับไปมองกล่องบึ้งที่ซ่อนอยู่ พอพบว่ากล่องเอียงกะเท่เร่ออกจากใต้ตู้ที่ซ่อน ก็หันขวับมองกลับไปในป่าข้างเรือนอย่างเคียดแค้น
“อีจำเรียง”
อ่านต่อ ตอนที่ 11
#เสน่ห์นางครวญ #ช่อง8 #thaich8