เสน่ห์นางครวญ ตอนที่ 8
บทประพันธ์ : หงส์หยก บทโทรทัศน์ : พิชฌสินี
อีกฟากหนึ่ง หมอผีอินนั่งอยู่ในวงสายสิญจน์ นับลูกประคำทำพิธีสวดเพื่อเสริมพลังมนต์เสน่ห์นางครวญ
ในขณะที่งามตามองลุ้นสุดขีดเมื่อเห็นไต้ก๋งชางค่อยๆ ยกแก้วน้ำมะตูมขึ้นทำท่าจะดื่ม
หมอผีอินตั้งสมาธิสวดบริกรรมอย่างหนัก คลี่ยิ้มร้ายออกมาเต็มสีหน้าคิดว่าแผนสำเร็จแน่
ไต้ก๋งชางดื่มน้ำมะตูมเข้าไปครึ่งแก้ว พบว่ารสชาติอร่อยถูกลิ้นก็หันไปยิ้มบอกรำเพยว่า
“หอมหวานชื่นใจจริงๆ”
“รสชาติดีอย่างที่บอกไว้จริงด้วยนะคะคุณพี่”
ขุนพิเศษกับเดือนเดินมาสมทบ พูดชมไต้ก๋งชางยกใหญ่
“แขกฝรั่งชมกันใหญ่ว่ารสชาติแปลกไม่เหมือนใคร ความคิดไต้ก๋งนี่ดีจริงๆ”
“ไม่ใช่ความคิดกระผมหรอกขอรับ แต่บ่าวช่วยเสนอให้ ต้องขอบใจมันมากกว่า”
“ดีๆ ไม่ว่าผู้ใดจะเสนอก็ดีทั้งนั้น”
“ยังมีน้ำดื่มเตรียมไว้อีกมาก ถ้าต้องการเพิ่มบอกดิฉันได้นะคะ” เดือนว่า
“ไม่เป็นไรค่ะคุณพี่ น้องไม่รับเพิ่มแล้ว”
ไต้ก๋งชางเห็นของรำเพยดื่มหมดแล้วก็เสนอขึ้น
“ของน้องรำเพยหมดแล้ว จะดื่มของพี่ก็ได้”
งามตาได้ยินก็ตกใจ ยิ่งเห็นรำเพยเยื้อนยิ้ม ยื่นมือมาแตะแก้วเหมือนจะดื่มเข้าไป งามตายิ่งหงุดหงิด
“ไม่ดีกว่าค่ะเชิญคุณพี่ดื่มเถิด ป้าช้อยอุตส่าห์นำมาให้ น้องเกรงใจค่ะ”
รำเพยดันแก้วคืนไป งามตาโล่งใจ
“เช่นนั้นก็ได้ พี่จะดื่มให้หมดเอง”
รำเพยพยักหน้าให้ ในที่สุดไต้ก๋งชางก็ดื่มน้ำจนหมดแก้ว
งามตามองสะใจสมใจ แววตาวาวโรจน์
“คราวนี้ล่ะ ถึงตากูสักที”
ไต้ก๋งชางยังยืนคุยกับขุนวิเศษต่อ งามตาหลบออกไป
ที่ป่าช้า หมอผีอินบริกรรมคาถาด้วยน้ำมันนางครวญไปเรื่อยๆ บรรยากาศรอบข้างดูขมุกขมัวน่ากลัว ลมโหมพัดรุนแรงขึ้นวูบใหญ่ ตามมาด้วยเสียงกรีดร้องโหยหวนทุกข์ทรมานของผีนางจัน
“โอ๊ย...”
หมอผีอินหัวเราะสะใจ
“ร้องเข้าไป ทรมานเข้าไปอีก ยิ่งเสียงครวญครางของเอ็งดังเท่าไร ไอ้ไต้ก๋งมันก็ยิ่งรักยิ่งหลงลูกกูมากขึ้นเท่านั้น ฮ่าๆๆๆ”
เสียงหัวเราะของหมอผีร้ายดังประสมไปกับเสียงกรีดร้องของผีนางจันดังก้องไปทั่วบริเวณ
ไต้ก๋งชางดูงิ้วเสร็จออกมาคุยกับฝรั่งอย่างคล่องแคล่วพร้อมกับพวกขุนพิเศษ อบเชยกับดวงแขมองมาจากมุมหนึ่ง แววตาของอบเชยนั้นเป็นประกายเจิดจ้ามองไต้ก๋งอย่างปลาบปลื้ม
“คุณรำเพยนี่โชคดีจริงนะดวงแข”
“โชคดีอย่างไรหรือ”
“โชคดีที่มีสามีที่เก่ง ขยันทำมาหากิน รวมถึงรักและเชิดชูคุณรำเพยคนเดียวเช่นนายท่านอย่างไรเล่า”
ดวงแขมองไต้ก๋งกับรำเพยด้วยความชื่นชมอย่างบริสุทธิ์ใจ เออออไปกับอบเชย
“จริงด้วย ไต้ก๋งท่านเป็นคนดี ถึงเราไม่ได้เป็นภรรยาท่านก็เลี้ยงดูอย่างสุขสบาย ไต้ก๋งเองก็โชคดีเช่นกันที่มีคุณรำเพยเป็นภรรยา”
“อย่างนั้นรึ”
“ผัวเมียนั้นหากศีลไม่เสมอกันย่อมครองเรือนอย่างมีความสุขมิได้ คุณรำเพยเธอเป็นคนดี เมตตาต่อเราไม่ต่างจากไต้ก๋ง ดีสมกันเช่นนี้ ควรแล้วที่จะครองคู่กัน”
“ถึงอย่างไรข้าก็อิจฉาคุณรำเพยอยู่ดี”
ดวงแขแปลกใจ “เหตุใดพูดเช่นนั้นเล่า”
“ข้าล้อเล่นน่ะ ข้าอยู่สุขสบายอย่างนี้จะต้องอิจฉานายท่านเพื่ออะไร”
อบเชยพูดกลบเกลื่อน แล้วทำเป็นเสมองไปทางอื่น ดวงแขยิ้มปลื้มมองผู้เป็นนายอย่างชื่นชม
อบเชยยิ้มร้าย แววตาซ่อนซุกความริษยาไว้ลึกล้ำ
เสียงแถนร้องทักดังขึ้นในจังหวะนี้
“อ้าว สองสาว มาทำอะไรอยู่ตรงนี้ ไม่ไปชมงานหรือ”
ดวงแขหันไปเจอแถนก็หลบตาวูบด้วยความเขินเพราะแอบชอบอยู่
“ว่าจะไปอยู่พอดี แล้วพี่เล่าไม่อยู่เป็นเพื่อนพี่กล่ำหรือ” อบเชยบอก
“นังกล่ำมันจะไปดูยี่เก พี่เลยว่าจะมาเดินเล่นสักหน่อย แต่พอเห็นแม่หญิงแถวนี้ก็เปลี่ยนใจเสียแล้ว”
“เพราะอะไรรึพี่แถน” ดวงแข
แถนตอบยิ้มๆ
“ได้เจอน้องอบเชยคนงามทั้งที พี่จึงอยากชวนไปดูยี่เกด้วยกัน น้องอบเชยจะรังเกียจรึไม่จ๊ะ”
ดวงแขสะกิดอบเชยเชิงบอกให้ตอบรับ แต่อบเชยกลับเมินใส่ บอกอย่างไม่ไว้หน้าว่า
“รังเกียจจ้ะพี่”
แถนหน้าเสีย “โธ่...ใยน้องอบเชยไม่รับไมตรีของพี่”
“ฉันไม่ชอบดูยี่เกน่ะจ้ะ ชวนแม่ดวงแขไปเดินดูของแล้วด้วย ไว้โอกาสหน้าค่อยมาชวนใหม่นะจ๊ะ” อบเชยปฏิเสธขำๆ หันมาทางดวงแข “ไปเถอะ”
อบเชยดึงดวงแขพากันออกไปเลย แถนหน้าจ๋อยมองตามอย่างเสียดาย
ฝ่ายจำเรียงกับพิมพ์แยกมาเดินเที่ยวงานในตลาดกันสองคน ต่างชักชวนดูนั่นนี่อย่างสนุกสนาน จำเรียงชวนพิมพ์คุยเรื่องคณะลิเกที่เพิ่งไปดูมา
“คณะยี่เกที่มาเปิดวิกให้ชมวันนี้สนุกนัก พ่อพระเอกก็หน้าหวานจับใจ ข้าเห็นแล้วอยากจะชมมันเสียทั้งคืนไม่ต้องกลับเรือนมันละ” จำเรียงยิ้มน้อยยิ้มใหญ่
“เอ็งพูดอะไรไม่อายชาวบ้านชาวช่อง เกิดใครได้ยินเข้าจะไม่งาม” พิมพ์ติง
จำเรียงโอ๊ย งามไม่งามช่างมันปะไร ข้าคนธรรมดาหาใช่ผู้ดีตีนแดงที่ไหน
“แต่ตอนนี้เราก็มิใช่พวกบ่าวพวกไพร่ ต้องหัดสงวนท่าทีไว้ เผื่ออนาคตเป็นใหญ่เป็นโต คนจะได้ไม่ครหา”
จำเรียงงง “เป็นใหญ่เป็นโตอย่างไร”
“แหม ก็เผื่อข้ามีวาสนาได้เป็นคุณหญิงกับเขาบ้างน่ะสิ”
จำเรียงฟังแล้วหมั่นไส้ กอดอกเบ้ปากพูดอย่างไม่สบอารมณ์
“เฮอะ คุณหญิงหรือ ฝันลมๆแล้งๆ ไม่ได้เป็นขี้ข้าในเรือนก็ดีถม เอ็งก็รู้ว่าไต้ก๋งชุบเลี้ยงเราในฐานะใด”
“ทำเป็นว่าข้า อย่าคิดว่าข้าไม่รู้นะว่าเอ็งก็หวังตำแหน่งคุณนายลำพระพายอยู่”
“ที่เอ็งรู้เพราะเอ็งคิดเหมือนข้าน่ะสิ นังพิมพ์”
พิมพ์ค้อนควักใส่จำเรียงที่รู้ทัน
“แล้วข้าจะฝันไม่ได้หรือ ถึงไต้ก๋งจะเชิดชูคุณรำเพยนักหนา แต่ข้าก็ยังสาวยังสวย ยังมีโอกาสอีกมาก ข้าว่าไม่ใช่แค่เอ็งดอก อีนังสองคนที่อยู่กับเราก็มิได้ต่างกัน”
“ข้าไม่รู้มันคิดเช่นใด แต่ถ้ายังมีคุณรำเพย ไต้ก๋งไม่ชายตาแลพวกเราดอก”
พิมพ์ฮึดฮัดไม่พอใจ แล้วก็พลันเหลือบมองไปมุมหนึ่งเห็นงามตาทำลับๆ ล่อๆ อยู่
“ข้าว่าเราลืมไปผู้หนึ่งหรือไม่”
“จะมีผู้ใดอีก นังพิมพ์”
“จำไม่ได้หรือว่ามีอีขี้ข้าไม่เจียมตนอยู่คนหนึ่ง ที่มันพยายามจะเผยอชูคอเป็นใหญ่แต่สุดท้ายต้องระเห็จออกจากเรือน”
เมื่อมองตามไปจำเรียงเห็นงามตากำลังแอบมองไปยังไต้ก๋งชาง ก็ยิ้มเจ้าเล่ห์นึกสนุกขึ้นมา
“ไปทักทายเพื่อนเก่าเสียหน่อยดีรึไม่นังพิมพ์”
พิมพ์พยักหน้าแล้วทั้งสองก็เดินเข้าไปหางามตา
จำเรียงกับพิมพ์เดินเข้ามาใกล้ๆ งามตา ทำเป็นคุยกันเองสองคนแต่จงใจพูดกระทบงามตาทุกคำ
“อุ๊ย ดูซิว่าข้าเจอใคร”
“ไหน เอ็งเจอผู้ใดจำเรียง ข้าไม่เห็นเลย”
งามตาจำเสียงสองคนได้ รู้ว่าเป็นพิมพ์กับจำเรียงแต่ทำเป็นไม่สนใจและไม่หันมามมอง
“ดูดีๆ สิ เอ็งจำไม่ได้หรือว่ามีอีขี้ข้าที่พยายามใส่ความข้าว่าเป็นขโมย แต่สุดท้าย ตัวเองนั่นแหละที่ถูกถีบหัวส่งออกมาเหมือนหมาข้างถนน”
“แหม ข้าจำไม่ได้หรอก พวกหมาขี้เรื้อนหัวเน่า จะมีค่าอันใดให้ข้าสนใจ”
พร้อมกับว่าพิมพ์จิกตามองไปที่งามตา แล้วก็หัวเราะสะใจกับจำเรียง สุดท้ายงามตาก็ทนไม่ไหว หันมาหาคู่ปรับ
“พวกเอ็งพูดถึงผู้ใด”
จำเรียงลอยหน้าลอยตาทำไม่รู้ไม่ชี้
“อ้าว งามตา อยู่ตรงนี้ดอกหรือ”
จำเรียงแสร้งขอโทษทำเป็นเพิ่งเห็น “ข้าขอโทษ ข้าไม่เห็นว่าเอ็งอยู่ที่นี่”
งามตาไม่เชื่อ “แน่ใจรึว่าพวกเอ็งไม่เห็น แล้วที่เอ็งว่าเป็นหมาอยู่นั่นเอ็งหมายถึงใคร”
“โธ่ งามตา พวกข้าก็แค่พูดถึงพวกหมาขี้เรื้อนริมถนนเท่านั้น ไม่ได้ตั้งใจว่ากระทบกระเทียบผู้ใด”
“แต่ถ้ามันไปสะกิดใจเอ็ง ก็ช่วยมิได้ เพราะพวกมีชนักติดหลัง ใครว่าสิ่งใดก็ย่อมร้อนรนเป็นไฟอยู่นั่นเอง จริงไหมเล่า”
จำเรียงทำเชิดพูดเหน็บงามตาอีก งามตาไม่ยอมเถียงกลับไป
“ข้าไม่ได้มีชนักใดทั้งสิ้น เอ็งต่างหากอีจำเรียง ริอ่านทำตัวเป็นโจรแล้วยังลอยหน้าลอยตาอยู่ในเรือนท่าน ไม่เรียกหน้าด้านแล้วจะเรียกว่ากะไร”
“ข้าไม่ได้ขโมย เอ็งต่างหากที่ขโมยของท่านแล้วใส่ความข้า ถ้าท่านทั้งสองไม่เมตตาข้า ป่านนี้ข้าคงมีสภาพทุเรศทุรังไม่ต่างจากเอ็ง”
งามตายิ้มหยัน “ทำเป็นเหยียบหัวผู้อื่น สันดานกูกับมึงก็ขี้ข้าพอกันนั่นล่ะวะ”
“ถึงกูจะมาจากขี้ข้า แต่กูไม่ต่ำช้า วางแผนกลั่นแกล้งจนผู้อื่นเกือบตายเช่นมึง คนอย่างมึงมันคิดได้แต่เรื่องจัญไร สมควรแล้วที่ออกไปจากเรือนนายข้าเสียได้ แผ่นดินมันจะได้สูงขึ้น”
“อีจำเรียง มันจะมากไปแล้วนะ”
งามตาโกรธสุดขีดพุ่งเข้าหาเงื้อมือจะตบ จำเรียงไม่กลัว ยื่นหน้าเข้าใส่พูดท้าทาย
“เข้ามาสิวะ กูไม่กลัวมึงดอก แน่จริงก็เข้ามา”
“ท้าทายกูหรือ ได้ ไม่รู้ฤทธิ์อีงามตาเสียแล้ว”
งามตาคว้าคอจำเรียงหมับ จำเรียงร้องกรี๊ดจะสะบัดออกแต่งามตาไม่ปล่อย
พิมพ์ตกใจผงะถอยห่าง ทำอะไรไม่ถูก ชาวบ้านใกล้ๆ ได้ยินเสียงเอะอะ ก็เริ่มหันมามอง บางคนหยุดดู
งามตากับจำเรียงยื้อยุดกันไปกันมาจนวุ่นวายไปหมด ก้อนเดินผ่านมาแถวนั้นพอดี มันฝ่าชาวบ้านที่ล้อมอยู่เข้าไปดู เห็นงามตากับจำเรียงกำลังทั้งตบทั้งดีวุ่นวายไปหมด พิมพ์หันมาเจอก้อนจึงขอให้ช่วย
“พี่ก้อน ช่วยด้วย ช่วยจำเรียงที นังงามตามันทำร้ายจำเรียง”
ก้อนหยุดมองรอจังหวะจนเห็นจำเรียงผลักงามตาออกมา และงามตาถลันจะไปตบจำเรียงอีก ก้อนสบช่องรีบเข้าขวางไว้
“พอได้แล้วนังงามตา”
งามตาชะงัก “พี่ก้อน”
“มากับข้า เดี๋ยวนี้” ก้อนคว้าแขนงามตาจะลากไป
งามตาไม่ยอม สลัดออกเต็มแรง “ถอยไปพี่ ฉันจะสั่งสอนอีนี่ให้มันหลาบจำ”
“ข้าไม่ไป”
“ฉันบอกให้ถอยไง”
งามตาผลักออก แต่ก้อนดึงตัวงามตาไว้ งามตาได้แต่ฮึดฮัดจะเข้าไปให้ได้ ก้อนไม่พูดไม่จา ลากแขนงามตาออกไปเลย
“ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้ พี่ก้อน ปล่อย”
งามตาร้องโวยวายแต่ก็ถูกก้อนลากตัวออกไปจนได้ พิมพ์รีบเข้าไปดูจำเรียง ในขณะที่จำเรียงมองตามงามตาไปอย่างแค้นใจ
ก้อนลากงามตามาที่ท้ายตลาด งามตาสะบัดแขนออก โวยใส่อย่างอารมณ์เสีย
“พี่ก้อน พี่จะลากฉันออกมาทำไม ฉันเกือบจะตบอีจำเรียงให้มันช้ำในตายได้อยู่แล้ว”
“ที่ข้าพาเอ็งออกมา เพราะไม่อยากให้เรื่องมันใหญ่โตน่ะสิวะ เอ็งลืมแล้วรึว่านี่มันงามต้อนรับแขกบ้านแขกเมือง หากเรื่องเสียหายไปถึงเบื้องบนจะทำอย่างไร”
งามตาอึ้งนิ่งงันไป
“ก็ข้าโมโหอีจำเรียงจนลืมตัว”
“เอาเถิด ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป แล้วนี่เอ็งเป็นอย่างไรบ้าง”
“พี่ถามข้าเรื่องใดเล่า เรื่องที่อีจำเรียงตบข้า หรือว่าเรื่องที่ข้าให้พี่ช่วย”
“เรื่องน้ำมะตูมนั่นน่ะรึ ข้าเอาไปให้ไต้ก๋งดื่มแล้ว เอ็งไม่ได้ดูอยู่หรือ”
“ฉันแอบดูอยู่ แล้วก็ว่าจะถามพี่เรื่องนี้พอดี”
“ถามว่ากระไร”
งามตาลดเสียงให้เบาลงแล้วทำเป็นเข้าไปกระซิบก้อน
“หลังจากไต้ก๋งดื่มน้ำเข้าไปแล้วเป็นอย่างไร”
ก้อนคิดแล้วก็ตอบมาเฉยๆ ไม่ได้แสดงท่าทีประหลาดอะไร
“ก็ไม่เห็นเป็นอย่างไร มันออกไปรับแขกกับคุณรำเพยปร๋ออยู่โน่นไง”
งามตาแปลกใจ “ไม่ได้พูดถึงฉันเลยรึ”
“ทำไมต้องพูดถึงเอ็งด้วยวะ” ก้อนชักเอะใจ “หรือว่าในน้ำมะตูมนั่นมันมีอะไร”
งามตารีบบ่ายเบี่ยงไม่อยากบอกให้ก้อนรู้
“ไม่มีดอกพี่ ฉันก็แค่ถามเผื่อไต้ก๋งจะชอบใจบ้างเท่านั้น”
“นี่เอ็งยังอาลัยอาวรณ์ไอ้เจ๊กนั่นอีกหรือ มันไล่เอ็งออกจากเรือนเสียอย่างนั้น เป็นข้าคงโกรธจนไม่เผาผีกันแล้ว”
“จะทำอย่างไรได้ เป็นบ่าวในเรือนนั่นก็สุขสบายกว่าเป็นลูกหมอผีก็แล้วกัน”
“เอ็งผิดเสียแล้วอีงามตา ยอมเป็นบ่าวไอ้เจ๊กนั่นไปทั้งชาติก็ไม่วันได้เชิดหน้าชูตา สู้เป็นเมียข้าออกหน้าเสียยังดีเสียกว่า”
“เป็นเมียพี่เนี่ยนะ”
งามตาพูดเหยียดๆ ก้อนเข้าประชิดเชยคางงามตามองจ้อง โลมเลียไปทั้งตัวอย่างหลงใหล
“ข้ากับเอ็งคุ้นเคยกันอยู่ หากเอ็งเป็นเมียข้า ข้าจะให้เอ็งเป็นที่หนึ่งไม่ต้องเป็นสองรองใคร ไม่ดีรึ”
ก้อนโอบร่างงามตา โน้มหน้าจะหอมแก้ม แต่งามตาเบี่ยงหลบห้ามไว้
“ฉันยังไม่พร้อม...พี่ก้อน”
ก้อนไม่พอใจ “อะไรกัน ข้าก็ช่วยเอ็งตั้งมาก จะตอบแทนข้าสักหน่อยไม่ได้หรือ”
“ฉันบอกแล้วอย่างไรว่าไม่พร้อม”
“แต่ข้าคิดถึงเอ็งจวนจะขาดใจอยู่แล้ว”
งามตาเอามือแตะปากก้อน เชิงให้หยุดพูด มองตาออดอ้อน เว้าวอนขอร้อง
“งานแบบนี้นานทีมีสักครั้ง ฉันยังอยากเดินเที่ยวให้สนุกมากกว่าจะคิดทำอย่างอื่น”
“แล้วข้าจะต้องรอถึงเมื่อใด”
“ฉันไม่หนีไปไหนหรอกจ้ะพี่ แต่พี่พาฉันชมงานต่อสักประเดี๋ยวเถิด แล้วคืนนี้ฉันจะตอบแทนพี่แน่นอน”
งามตายิ้มยั่วยวน ก้อนพอใจ พยักหน้าตกลง
งามตากับก้อนกลับเข้างานมาอีกครั้ง งามตามองหาไต้ก๋งชางจากตรงมุมรับรองและรอบๆ อย่างร้อนใจ สักพักก็เห็นไต้ก๋งชางเดินมาจากทางหนึ่งพร้อมกับรำเพย จึงทำทีเป็นชวนก้อนเดินไปทางนั้น
“พี่ก้อน ฉันอยากไปดูตรงนั้นหน่อยนะ”
งามตาเดินดุ่มออกไปทางไต้ก๋งชางกับรำเพยเลย ก้อนหันมาเห็นก็รีบตาม
งามตาเดินอ้อมไปด้านหลังไต้ก๋งชางกับรำเพย รอจนได้จังหวะก็แกล้งเดินชนจนรำเพยซวนเซไปเกือบล้ม งามตาแสร้งหันไปจะขอโทษ
“อุ๊ยขอโทษ เป็นอะไรรึไม่”
งามตาทำเป็นชะงัก เมื่อเห็นว่าชนกับใคร รำเพยกับไต้ก๋งเองก็ตกใจที่เจองามตาที่นี่
“งามตา”
ก้อนตามมาเห็นจึงแอบสังเกตการณ์อยู่ไกลๆ
งามตาทำเป็นขอโทษไต้ก๋งชางกับรำเพย เหมือนรู้สึกผิดกับเรื่องที่เกิดขึ้นในเรือน
“อิฉันขอโทษเจ้าค่ะที่เดินชน อิฉันไม่ได้ทันมอง”
“ไม่เป็นไรดอก ฉันก็ไม่ทันมองเหมือนกัน”
งามตาเหลือบมองไต้ก๋งแว่บหนึ่ง เพื่อสังเกตท่าที
“ไม่คิดเลยว่าจะได้เจอไต้ก๋งกับคุณรำเพยที่นี่ คิดว่าจะอยู่ดูแลแขกฝรั่งเสียแล้ว”
“พวกท่านไปเดินชมงานกันอยู่ ข้าจึงพาน้องรำเพยออกมาชมงาน”
ไต้ก๋งชางตอบไปตามมารยาท รำเพยถามขึ้นว่า
“นี่งามตาก็มาเที่ยวเหมือนกันหรือ”
“เห็นเขาว่างานนี้จัดใหญ่โตนัก ไต้ก๋งให้มีทั้งงิ้ว ทั้งยี่เกมากมาย อิฉันจึงมาเที่ยวงานรื่นเริงตามประสาเจ้าค่ะ”
งามตาคอยลอบมองว่าไต้ก๋งจะมีปฏิกิริยาอะไรกับตนหรือไม่ แต่เขายังนิ่งเฉย จนรำเพยถามแทนอีก
“แล้วตอนนี้งามตาเป็นอย่างไร สบายดีหรือไม่”
“ก็ยังอยู่ดีมีสุข ไม่ตายง่ายๆ หรอกเจ้าค่ะ” งามตาประชดในที
รำเพยอึดอัด ไต้ก๋งชางเอ่ยขึ้นอย่างไม่พอใจว่า
“ไม่ตายก็ดีแล้ว เอ็งจะได้เอาเวลาไปทำประโยชน์ ไม่ต้องคอยสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่น”
งามตาหน้าชาไปนิดๆ แปลกใจว่าทำไมไต้ก๋งไม่มีท่าทีสนใจไยดีตนเลย จึงตอกกลับอย่างไม่ยี่หระว่า
“อิฉันยังมีเวลาทำประโยชน์อีกมากเจ้าค่ะ ตราบใดที่อิฉันยังไม่ตายล่ะก็...”
อบเชยกับดวงแขตามเข้ามาสมทบในจังหวะนี้ และได้ยินเข้า อบเชยจึงรีบไล่งามตาไปทันที
“รู้ตัวก็ดีแล้ว เอ็งจะได้เลิกมาเซ้าซี้นายข้าเสียที”
งามตาหันขวับไปทางอบเชยมองอย่างไม่พอใจ
“อะไรกัน จะรุมข้าอีกแล้วรึ แหม นายว่าขี้ข้าพลอยเสียจริง”
“พวกข้าเปล่า เอ็งต่างหากจงใจชนคุณรำเพยก่อน ผู้ใดกันแน่ที่ตั้งใจหาเรื่อง”
“ดวงแขพูดจริงหรือ” รำเพยตกใจพอๆ กับแปลกใจ
“จริงเจ้าค่ะ อบเชยเป็นพยานได้ ทีนี้คุณรำเพยรู้แล้วใช่หรือไม่เจ้าคะว่าไล่มันออกไป ไม่ให้เป็นเสนียดแก่เรือนนั้นดีหนักหนาแล้ว”
“อีอบเชย มึง...”
อบเชยขึงตามองจิก ไม่ยอมเหมือนกัน
“อย่ามาทำกิริยาต่ำๆ ที่นี่ ข้าไม่รู้เอ็งต้องการสิ่งใด แต่เลิกมายุ่งกับนายข้าเสีย นายข้ามีแขก ไม่ควรเสียเวลาสักวินาทีเพื่อพูดกับคนเช่นเอ็ง”
อบเชยพูดด่านิ่งๆ งามตามองตาขวางไม่พอใจ
“ไปจากตรงนี้กันเถิดเจ้าค่ะ”
อบเชยพาทุกคนออกไปจากตรงนั้น งามตามองอย่างเจ็บแค้นใจ
งามตาเดินกลับมาหาก้อน ซึ่งเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด และพยายามพูดปลอบ
“งามตา เอ็ง...”
“พาฉันไปจากตรงนี้ ฉันเบื่อ”
งามตากระแทกเสียแล้วเดินสะบัดๆออกไป ก้อนตามไปติดๆ
งามตาเดินอยู่ในงานกับก้อน แต่ไม่ได้พูดอะไรสักคำ เพราะในใจมัวแต่คิดเรื่องไต้ก๋งชาง
ไล่มาตั้งแต่หมอผีอินบอกเรื่องแผนการกับงามตา
“เอ็งรู้หรือไม่ว่าไต้ก๋งจะมาร่วมงานต้อนรับแขกฝรั่งเพื่อนของหลวงวิเศษ ไต้ก๋งเลยจ้างทั้งยี่เกทั้งงิ้วมาเล่นให้ดู”
“งานที่ชาวบ้านว่านั่นเอง”
“ใช่ แล้วคราวนี้ล่ะ ที่เอ็งจะได้ทุกอย่างสมใจ”
“อย่างไรกันพ่อ”
หมอผีอินคิดแผนร้ายขึ้นอีก
“จะมีคนไปที่ตลาดมากมาย จะไม่มีใครสังเกตเห็นเอ็ง คราวนี้ก็เป็นทีของเอ็ง...เอ็งต้องหาโอกาสเอาน้ำมันเสน่ห์นางครวญให้มันกิน คืนนี้”
“คืนนี้”
“ใช่ คืนนี้ อย่ารอช้า โอกาสนั้นมีไม่มาก เมื่อมีแล้วก็จงฉกฉวยมันให้ได้ พวกมันทำพวกเอ็งเจ็บแสบอย่างไร เอ็งต้องเอาคืนอย่างสาสม”
งามตาได้เห็นกับตาว่าไต้ก๋งชางตื่มน้ำมะตูมเข้าไปจนหมดแก้ว
เมื่อนึกถึงงามตาก็ยิ่งหงุดหงิดสุดขีด บ่นบ้าในใจ
“เป็นไปได้อย่างไร ไอ้ไต้ก๋งมันก็ดื่มน้ำเข้าไปแล้ว เหตุใดยังเมินเฉยต่อข้า”
งามตากระวนกระวายอยากรู้สาเหตุ แต่พอหันไปเห็นก้อนยังตามต้อยๆ อยู่ จึงคิดหาทางสลัดให้หลุด
“พี่ก้อน”
“ว่ากระไรจ๊ะ”
“พี่รู้ใช่รึไม่ว่าฉันกำลังหงุดหงิด”
“ข้ารู้ แต่เอ็งเล่นไม่พูดจาเช่นนี้ข้าก็ไม่รู้ว่าจะช่วยอย่างไรได้”
“พี่อยากช่วยให้ฉันหายหงุดหงิดหรือไม่”
“ถ้าช่วยได้ข้าก็ช่วย เอ็งจะให้ข้าทำสิ่งใด”
“ฉันหิวน้ำ อยากหาน้ำมาดับร้อนสักหน่อย พี่ช่วยไปหามาให้ได้หรือไม่”
ก้อนงงๆ ว่าทำไมงามตาใช้ให้ไปซื้อน้ำ แต่ก็พยักหน้าตกลง
“ได้ ถ้าแค่นั้นช่วยได้ข้าจะไปซื้อให้”
“ดี ฉันจะรอพี่อยู่ที่นี่ รีบไปแล้วรีบมาล่ะ”
รอจนก้อนพ้นตัวไป งามตามองซ้ายแลขวา แล้วหลบออกจากงานไปในทันที
ที่ป่าช้า หมอผีอินกำลังทำพิธีอยู่ เสียงร้องโหยหวนของผีนางจันดังไปทั่วป่าช้า
“พี่แก้ว...พี่แก้ว”
หมอผีอินได้ยินชื่อนี้ก็รู้สึกแปลกๆ แต่ก็ยังทำพิธีต่อ
งามตาหนีก้อนมาได้ เดินดุ่มเข้ามาพ่อ มาถึงก็ร้องโวยวายดังลั่น
“พ่อ หยุดเดี๋ยวนี้”
เสียงกรีดร้องที่ดังอยู่ก็เงียบไป หมอผีอินถูกขัดพิธีก็หงุดหงิด หันไปหางามตาด้วยความโมโห
“อีงามตา เอ็งมาได้อย่างไร”
“หยุดเสียทีพ่อ ไม่ต้องทำมันแล้วพิธงพิธีบ้านี่”
“เรื่องอันใดของเอ็งอีก มาถึงก็โวยวายฟังไม่ได้ศัพท์”
“ข้าบอกว่า ไม่ต้องทำมันแล้วอย่างไร ไอ้เสน่ห์นางครวญบ้าบอนี่ ไม่เห็นได้ผล พ่อหลอกข้าชัดๆ”
หมอผีอินสงสัย ลุกออกจากสายสิญจน์เดินมาหางามตา ถามย้ำด้วยความแปลกใจ
“เอ็งว่าอย่างไรนะ ไม่ได้ผลงั้นรึ”
“ข้าให้มันดื่มน้ำตามที่พ่อสั่งหมดแล้ว แต่พอข้าไปเจอมันมันก็ไม่สนใจข้า ไหนเล่าที่ว่ามันจะต้องคลานมาขอความเมตตาจากข้า”
งามตาบ่นบ้าด้วยความไม่พอใจเอามากๆ หมอผีอินไม่เชื่อ
“มันจะเป็นไปได้อย่างไร พิธีเสน่ห์นี้ได้ผลชะงัดทุกครั้ง ตอนข้าเรียนวิชากับอาจารย์ที่ฝั่งขะโน้นไม่เคยมีผิดพลาดสักครั้ง”
“แต่คราวนี้มันพลาด มันจะเป็นอะไรได้ถ้ามันไม่ใช่เรื่องโกหกหลอกลวง”
หมอผีอินยัวะ เหมือนโดนลูกสาวดูถูกวิชาของตน
“บ๊ะ! อีลูกปากเสีย มาว่าวิชาข้าไม่ดีเสียได้ ทั้งของทั้งคาถามาข้าดั้นด้นไปหาของดีของแท้มาทั้งหมดแล้วเอ็งมาโวยวายเอาอะไรอีก”
“ถ้าพ่อว่ามันดีนัก มันต้องไม่มีอะไรพลาดสิ”
“เอ็งว่ามันไม่ได้ผลก็แสดงว่าต้องมีสิ่งที่พลาด แต่มันจะเป็นเรื่องใดได้เล่า”
งามตาชะงัก นิ่งนึก หมอผีอินหัวเสียมากขึ้น จนนึกถึงเสียงร้องคร่ำครวญของนางจันเมื่อกี้
“เอ็งมั่นใจรึไม่ว่าคนบ้าที่เอ็งหลอกมาเป็นสาวพรหมจรรย์”
งามตานิ่งไป เริ่มไม่ค่อยแน่ใจ
“ทำไมพ่อถามเช่นนี้”
“เอ็งมั่นใจใช่ไหมว่าอีจันมันบริสุทธิ์ แล้วเสียงโหยหวนของมันที่ร้องหาไอ้คนชื่อแก้วมันคือผู้ใด”
งามตาอึกอัก “ข้า...ข้าไม่รู้ วันๆ มันพร่ำเพ้อร้องหาผัว ข้าก็คิดว่ามันคิดไปเองน่ะสิพ่อ”
“แสดงว่าเอ็งไม่มั่นใจ”
งามตาเงียบไม่ยอมตอบ หมอผีอินโกรธมาก เตะข้าวของระบายอารมณ์
“ปัดโธ่โว้ย อีงามตา อีลูกโง่ ถ้าเอ็งไม่แน่ใจแล้วเอ็งจะหลอกมันมาเพื่ออะไร สิ่งนี้ใช่ไหมที่ทำให้พิธีข้าไม่ได้ผล ข้าจะด่าเอ็งว่าอะไรดีให้สมความโง่ของเอ็ง”
“โอ๊ยพ่อ ก็บอกแล้วว่าฉันไม่รู้ พ่ออย่าโวยวายได้ไหม”
“ไม่ได้ ข้าลำบากไปหาของมาตั้งเท่าไร นี่ต้องมาเริ่มพิธีใหม่ทั้งหมด ไม่รู้จะเสียเวลาเท่าใด โธ่เอ๊ย”
หมอผีอินฮึดฮัดไม่พอใจ งามตาเซ็งที่เรื่องกลายเป็นแบบนี้
ที่โรงต่อเรือ ในเรือนลำพระพาย เช้าวันใหม่
ขณะที่ไต้ก๋งชางต่อเรืออย่างขะมักเขม้นอยู่คนเดียวในโรงต่อเรือ ไต้ก๋งมัวแต่สนใจตรงหน้าจนไม่ได้มองว่าใครเดินเข้ามา สักพักมีมือหนึ่งยื่นแก้วน้ำชามาให้ ไต้ก๋งชางเห็นแค่มือที่ยื่นมาคิดว่าเป็นรำเพยจึงเผลอจับมือเข้า
“ขอบใจมากจ้ะน้องรำเพย”
ไต้ก๋งชางจับไว้พลางเงยหน้าขึ้นมาแล้วก็ต้องตกใจเมื่อกลายเป็นอบเชย
อบเชยอึ้งๆนิดๆ แอบหน้าแดง /ไต้ก๋งชางรีบปล่อยมือด้วยความตกใจก่อนจะขอโทษ
“ข้าขอโทษ ข้าไม่คิดว่า...”
“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ นายท่านไม่ได้ตั้งใจ ข้าก็ผิดที่ไม่ได้บอกก่อน”
ไต้ก๋งชางอึดอัดทำตัวไม่ถูก ทำเป็นหันไปสนใจงานตรงหน้า อบเชยเห็นว่าไต้ก๋งไม่ได้ไล่หรือต่อว่าอะไรจึงสบโอกาสคุกเข่าลงคุยกับไต้ก๋ง
“ข้าได้ยินว่านายท่านกำลังต่อเรืออยู่ เพิ่งได้มาเห็นกับตาก็วันนี้เอง มันคือเรือแบบใดหรือเจ้าคะ”
“เรือสำเภาน่ะ เอ็งรู้จักไหม”
“เคยได้ยินบ้างเจ้าค่ะ ว่าพวกคนจีนโล้สำเภาเอาของมาขายที่ท่าน้ำ”
“ใช่ เรือแบบนั้นล่ะ”
“นายท่านจะสร้างเรือสำเภาไปทำไมหรือเจ้าคะ”
อบเชยทำเป็นถามอย่างตื่นเต้นสนใจตาเป็นประกาย ไต้ก๋งผ่อนคลายเหมือนได้เพื่อนคุย
“เมื่อก่อนข้าเดินเรือไปค้าขายหลายที่ โดยเจ้าเรือสำเภานี่ล่ะ ข้าจึงอยากสร้างมันไว้ระลึกว่าข้าเคยเป็นใครและมาจากไหน”
“นายท่านเคยไปค้าขายหลายที่นี่เองจึงพูดได้หลายภาษา เมื่อคืนพบเชยเห็นแล้วปลื้มใจแทนคุณรำเพยจริงๆ นายท่านนี่เก่งเหลือเกินนะเจ้าคะ”
“ข้าไม่เก่งเท่าใดหรอก อาศัยค้าขายมานานมากกว่า”
“ไม่หรอกเจ้าค่ะ นายท่านเก่งจริงๆ นายท่านค้าขายก็เก่ง ความสามารถก็มาก อย่างงานเมื่อคืนที่นายท่านช่วยจัดการก็ตื่นตาตื่นใจนัก”
“เอ็งจะยอข้าเกินไปแล้วกระมังอบเชย”
ไต้ก๋งชางไม่ได้คิดอะไรเลย แต่อบเชยมองด้วยแววตาชื่นชมและมีความหวังบางอย่างในใจ
“ไม่เกินไปเจ้าค่ะ อบเชยยังพูดกับแม่ดวงแขว่าเพราะนายท่านเป็นเช่นนี้ คุณรำเพยจึงเป็นหญิงที่โชคดีนัก”
ไต้ก๋งชางขำ หัวเราะนิดๆ กำลังจะตอบ แต่มีเสียงรำเพยดังขัดขึ้น
“กำลังพูดถึงข้าอยู่หรือ”
อบเชยชะงัก มองไปเห็นรำเพยเดินเข้ามาก็ผิดหวังที่ถูกขัดจังหวะ ไต้ก๋งชางยิ้มกว้างดีใจ
“น้องรำเพย”
รำเพยเข้ามาพร้อมถาดน้ำชาเช่นกัน แต่พอเห็นมีถาดน้ำชาวางอยู่ ก็ทักขึ้น
“น้องว่าจะเอาชามาให้เสียหน่อย แต่แม่อบเชยเอามาให้แล้วดอกหรือ”
อบเชยทำเป็นนอบน้อมเอาใจรำเพยทันที
“เจ้าค่ะ บ่าวได้ชาดีมา จึงชงมาให้นายท่านลองชิม เสร็จจากที่นี่อิฉันก็ว่าจะไปหาคุณรำเพยอยู่พอดี”
“อบเชยนี่รู้งานเสียจริง ขอบใจมากนะ เดี๋ยวฉันดูแลคุณพี่เอง ฝากอบเชยเอาถาดน้ำชานี้ไปเก็บหน่อยเถิด”
รำเพยยื่นถาดน้ำชาที่ถือมาให้อบเชย สาวเรือนดอกเหมยเลยจำใจต้องลุกออกไปอย่างเสียดาย
รำเพยปรายตามองตามนิดหนึ่ง ด้วยสีหน้าสงสัย แต่ก็ทำเป็นไม่มีอะไร
อบเชยกลับมาที่เรือนดอกเหมย หงุดหงิดไม่ชอบใจที่รำเพยเข้ามาขัดจังหวะ สามสาวนั่งแกะสลักผลไม้อยู่ด้วยกัน ดวงแขหันมาเห็นก็ร้องทัก
“อ้าวแม่อบเชย กลับมาแล้วไปไหนมา เหตุใดไม่อยู่ช่วยพวกข้าทำขนม”
อบเชยไม่อยากบอกใครว่าไปหาไต้ก๋งชางมา พูดเลี่ยงไปว่า
“ข้า...ไปที่โรงต่อเรือ คุณรำเพยให้ข้าเอาน้ำชาไปให้นายท่าน”
จำเรียงได้ฟังก็ขัดหู
“เอ็งน่ะรึเอาน้ำไปให้นายท่าน เหตุใดต้องเป็นเอ็งด้วย”
“เอ็งก็รู้ว่านายท่านสั่งอะไรข้าก็ต้องทำ ข้าขัดท่านได้ด้วยหรือ”
“จริงอย่างเอ็งว่า แต่พวกข้าก็อยู่เรือนนี้มานานเท่าๆ กับเอ็ง คุณรำเพยยังไม่เคยไว้ใจให้ใกล้ชิดไต้ก๋งขนาดนี้สักครั้ง”
พิมพ์ท้วงผสมโรง แถมมองจ้องหน้าจำเรียงอย่างรู้เท่าทัน
“ถ้าเอ็งไม่บอกว่าคุณรำเพยใช้ ข้าคงนึกว่าเอ็งเสนอหน้าไปเองเสียแล้วกระมัง”
จำเรียงเหน็บแนม ยิ้มเหมือนรู้เท่าทันเช่นกัน อบเชยโกรธแต่ต้องเก็บข่มอาการไว้
“เป็นไปไม่ได้หรอก คุณรำเพยคงเห็นว่าอยู่กันมาก็ชั่วระยะเวลาหนึ่งจึงไว้ใจกันได้มากกว่า”
“นั่นสิ ไต้ก๋งน่ะย้ำนักย้ำหนาว่าอยู่ร่วมเรือนกันควรไว้ใจกัน รู้รักสามัคคีกัน” พิมพ์ว่า
“แต่ถ้ามีนังงูพิษตัวไหนมันแอบซ่อนอยู่ในเรือน เราก็ไม่อาจรู้ได้เลยนะนังพิมพ์”
จำเรียงจงใจพูดกระทบกระเทียบอบเชย
“ข้าก็ได้แต่หวังให้มันไม่คิดแว้งกัดนายท่านสักวัน จริงไหมนังจำเรียง”
“ข้าเห็นด้วย ฮะๆๆๆ”
จำเรียงกับพิมพ์หัวเราะคิกคักกันสองคน อบเชยเจ็บใจแต่ไม่อยากให้เรื่องลุกลาม
อีกฝั่ง หมอผีอินนั่งเลือกว่านที่จะนำมาใช้ทำพิธีอีกครั้ง งามตามองพ่อด้วยสีหน้าหงุดหงิด
“แล้วนี่เราจะทำอย่างไรต่อไปดีพ่อ ข้าต้องหาเหยื่อใหม่กระนั้นหรือ”
“ใช่ ถ้าเอ็งยังอยากจะใช้วิธีนี้ เอ็งก็ต้องหาคนที่เป็นสาวพรหมจรรย์จริงๆ มาให้ได้ ไม่อย่างนั้นชาตินี้ทั้งชาติ ไอ้สิ่งที่เอ็งหวังไว้ก็ไม่มีทางได้”
“แล้วข้าจะไปหามาจากที่ไหน”
“ข้าจะไปรู้หรือ ขนาดเอ็งยังดูไม่รู้ว่าอีบ้ามันมีผัวแล้ว ข้าก็จนใจจะตอบ”
“ถ้าพ่อพูดเช่นนั้น ให้พลิกแผ่นดินหาก็ไม่เจอดอก”
หมอผีอินหัวเราะหึๆ “จะยากอะไรเล่า หากหาไม่เจอ ก็ใช้เลือดเอ็งนั่นล่ะ เอ็งก็ไม่เคยมีผัวกับเขาเหมือนกันไม่ใช่หรือ”
งามตาเหมือนโดนว่ากระทบ เพราะตนก็ไม่ได้บริสุทธิ์ใจเรื่องนี้ เลยทำโวยวายกลบเกลื่อน
“พ่อจะใช้เลือดข้าได้อย่างไร คิดจะฆ่าลูกตัวเองอย่างนั้นรึ”
“ถ้าข้าฆ่าลูกในไส้ตัวเองได้ลงคอ คงไม่ลำบากหาสารพัดวิธีมาช่วยเอ็งเช่นนี้ดอก”
“แล้วไป”
หมอผีอินทำหน้าครุ่นคิด
“ไอ้ของแบบนี้จริงๆมันก็ดูยาก แต่อย่างไรก็คงต้องหาให้ได้ ไม่แน่อาจจะต้องเป็นเด็กรุ่นๆ ที่เพิ่งแตกเนื้อสาว อาจจะพอมีความหวังอยู่บ้าง”
งามตาหงุดหงิดงุ่นง่าน คิดหนักว่าจะไปหญิงสาวพรหมจรรย์คนนั้นมาจากไหนดี
เช้าวันใหม่ งามตากระเดียดกระจาดไปขายขนมที่ตลาด มองหาเหยื่อสาวรายใหม่ พอเดินผ่านไปเรื่อยๆ เจอสาวแต่ละคน งามตาก็ได้แต่คิดในใจ
“อีนี่ก็แก่ใกล้เข้าโลง อีนังนั่นก็มีผัวแล้ว พวกแม่ค้าในตลาดส่วนใหญ่ก็ออกเรือนไปแล้วทั้งนั้น นั่นก็ไม่ นี่ก็...”
งามตาหยุดแล้วบ่นออกมาอย่างหงุดหงิด
“หงุดหงิดจริงโว้ย ไม่ได้ดั่งใจสักอย่าง”
งามตากวาดมองไปรอบๆ ต่อ สักพักก็เห็นเด็กสาวคนหนึ่งมาซื้อของที่แผงผักในตลาด เด็กสาวคนนั้นยังดูอ่อนเยาว์อยู่มาก งามตาเห็นก็สนใจ เข้าไปทักทันที
“นี่ แม่หนูจ๊ะ”
เด็กสาวคนนั้นหันมาหางามตา
“ว่าอย่างไรจ๊ะ”
“คือ ฉันมีขนมมาขายจ้ะ แม่หนูสนใจขนมอร่อยๆ ไหม ฉันขายไม่กี่สตางค์ หากแม่หนูอุดหนุนฉัน ฉันจะแถมให้ชิ้นหนึ่งเลย”
เด็กสาวลังเล แต่มองเห็นขนมในกระจาดดูน่าทานก็ชักสนใจ
“แถมให้ฉันจริงหรือ”
“จริงซี แม่หนูเลือกได้เลย มีทั้งเปียกปูน ใส่ไส้ ขนมตาล ลองเลือกดูก่อนนะจ๊ะ”
เด็กสาวก้มลงเลือกขนมตาเป็นประกาย งามตามองจ้องอย่างหมายมาด
แต่แล้วจู่ๆ ก็มีชายคนหนึ่งก็เดินเข้ามาหา เรียกเด็กสาวอย่างมักคุ้นกัน
“บัว อยู่นี่เอง”
เด็กสาวชื่อบัวหันไปยิ้มให้ “พี่ชม ไหนว่าพี่จะคุยกับเพื่อนสักพักอย่างไรเล่า”
“ข้าคุยไม่นานดอก เอ็งต่างหากเหตุใดเดินเร็วนัก ข้าหันกลับมาก็ไม่เจอเสียแล้ว ระวังหน่อย กำลังท้องอ่อนๆอยู่แท้ๆ”
“ข้ากำลังเลือกดูขนม พี่มาช่วยข้าเลือกสิ น่ากินทั้งนั้น”
บัวชี้ชวนให้นายชมสามีดูขนมในกระจาด งามตาเซ็งผิดหวังมาก
เวลาผ่านไป งามตาเดินกระฟัดกระเฟียดมาอีกมุมในตลาด หงุดหงิดที่หาหญิงพรหมจรรย์ไม่ได้สักที จำเรียงกับดวงแขเดินเอาขขนมมาส่งในตลาด พอจำเรียงเห็นงามตาก็ได้ทีพูดจาเยาะเย้ยถากถาง
“ต๊าย ดูสิแม่ดวงแข แม่ค้าบ้านไหนมันหิ้วกระจาดใส่ขนมเหลือเต็มถาดเช่นนั้น สงสัยรสชาติจะไม่ได้เรื่อง จึงไม่มีผู้ใดอยากซื้อ”
งามตาหันขวับไปทางเสียง ขึงตาใส่จำเรียง
“อีจำเรียง มึงอีกแล้วรึ”
“เออกูเอง มีอะไรหรืออีลูกหมอผี”
“เปล่า กูก็ไม่มีอะไรร้อก แค่ผ่านมาเท่านั้น ไม่คิดว่าจะมีอีพวกผีพรายมันมากรีดร้องให้รำคาญหูอยู่แถวนี้”
“มึงว่าผู้ใด้เป็นผีพราย ฮะ”
“ผู้ใดหาเรื่องกูก่อนกูก็ว่าอีคนนั้นนั่นล่ะ แหม สะเออะมาว่ากระทบผู้อื่น ตัวเองก็เป็นแค่อีขี้ข้าในเรือนเบี้ย ไม่ได้ดีกว่ากูสักเท่าใดดอก”
จำเรียงโมโห ดวงแขเห็นท่าไม่ดีพยายามห้าม
“จำเรียง อย่ามีเรื่องกันเลย กลับเรือนเราเถิด”
“ไม่ต้องมาห้าม ข้าไม่กลับ! คราวก่อนในงานท่านขุนมันก็ท้าทายข้าทีหนึ่งแล้ว”
“หน็อย อีจำเรียง มึงพูดใหม่ได้นะ ผู้ใดกันแน่ที่พูดจาหาเรื่องก่อน มึงไม่ใช่รึที่พูดจาเหน็บแนมคนอื่นก่อน แบบนี้เขาเรียกว่าอะไร สันดานไพร่ใช่รึไม่”
ดวงแขดึงแขนจำเรียง แต่คราวนี้จำเรียงไม่ยอม
“อีนี่...คราวก่อนกูพลาดมาทีหนึ่งแล้ว คราวนี้กูจะไม่ยอมอีก หากกูไม่ตบมึงให้ลงไปกราบตีนกูได้ วันนี้ไม่ต้องมาเรียกกูอีจำเรียง”
จำเรียงถลันเข้าใส่จะตบงามตา ดวงแขดึงจำเรียงรั้งไว้
“จำเรียง อย่าทำเช่นนี้เลย”
“ปล่อยข้า ข้าจะตบมันให้หลาบจำ”
“เอาซี่ ตบกูสักที อย่าดีแต่ปาก เข้ามาเลยโว้ย”
งามตาไม่กลัวยื่นหน้าเข้าไปหา ท้าเหย็งๆ จำเรียงร้องกรี๊ดอย่างขัดใจ ชาวบ้านเริ่มเข้ามามุงมากขึ้น
ดวงแขตัดสินใจร้องให้คนช่วยห้าม “ช่วยด้วยเจ้าค่ะ ใครก็ได้ช่วยห้ามที”
ชาวบ้านเข้ามามุงลังเลว่าจะทำอย่างไรดี จนมีเสียงแม่ค้าคนหนึ่งร้องดังขึ้น
“โปลิศ...โปลิศมาเจ้าค่า”
พอชาวบ้านได้ยินคำว่าโปลิศก็แตกฮือ วิ่งวุ่นโกลาหลไปหมด ดวงแขได้ทีลากจำเรียงออกไป จำเรียงยังโวยวายไม่เลิก
งามตารีบเก็บของหนี แต่ไม่วายหันไปคาดโทษจำเรียง
“อีจำเรียง...มึงจำไว้ ถึงทีกูเมื่อไหร่ กูจะกำจัดมึงเป็นคนแรก”
งามตาพูดด้วยความแค้น ก่อนจะรีบหลบออกไป
งามตาเจียดกระจาดขนมเดินลัดเลาะมาตามทางเดินข้างวัดจะกลับบ้าน เตะนั่นเตะนี่ข้างทางระบายอารมณ์ เด็กผมเปีย3 คนหน้าตาแก่นกะโหลกวิ่งเล่นอยู่แถวนั้น เห็นงามตาเดินหน้าหงิกก็หยุดพูดล้อเลียน
เด็กเปรต1 เปิดฉากขึ้นว่า “เฮ้ย นั่นอีลูกหมอผีท้ายตลาดนี่”
เด็กเปรต2 จำได้ “จริงด้วย ข้าจำได้ แม่ข้าเล่าให้ฟัง พวกเอ็งดูหน้ามันซี สงสัยจะโดนของเสียแล้ว”
“โดนของอะไรวะ” เด็กเปรต3 งง
“เสกหนังควายเข้าท้องกระมัง ดูสิ หน้าหงิกยังกับยักษ์ขมูขี ฮ่าๆๆ” เด็กเปรต1 บอก
จากนั้นเด็กเปรตทั้งสามก็พากันหัวเราะเยาะเย้ยอย่างสนุกสนาน งามตาหงุดหงิด คิดจะเดินหนี พอเห็นงามตาไม่ตอบโต้ เด็กเปรต1 ยิ่งได้ใจพูดล้ออีก
“ไปไหนก็ไปเลย อีลูกหมอผี...อีลูกหมอผี”
“อีลูกหมอผี...อีลูกหมอผี...อีลูกหมอผี”
เด็กๆ พากันหัวเราะสนุกสนาน จนงามตาทนไม่ไหว หันไปขึงตามองอย่างโกรธกริ้ว
“ไอ้เด็กปากเปราะ เจอฤทธิ์กูหน่อยปะไร”
พูดจบงามตาก็คว้าขนมในกระจาดขว้างใส่หัวเด็กพวกนั้น
“ช่วยด้วย อีลูกหมอผีมันแกล้งข้า”
งามตาวิ่งไล่เอาขนมปาใส่ไม่ยอมหยุด จนเด็กๆ วิ่งกระเจิงหนีหายเข้าไปในวัด
“จะหนีไปไหนล่ะโว้ย แน่จริงกลับมาสิวะไอ้เด็กผี กลับมา”
งามตาจะตามไปปาขนมใส่อีก แต่ก็มีหญิงสูงวัยคนหนึ่งชื่อ เอิบ นุ่งขาวห่มขาวเดินออกมาขวางไว้ก่อน
“หยุดเถิด อย่าทำเช่นนี้เลยลูก”
“ถอยไป ข้าจะจัดการไอ้เด็กพวกนั้น มันอยากปากเสียมาว่าข้าก่อนเอง”
“คำพูดพวกนั้นไม่มีค่าราคาอะไรดอก อย่าให้มันมาทำร้ายจิตใจลูกเลย เมื่อเขาว่าก็จงปล่อยวาง อย่าคิดแค้นผู้อื่นเลย มันเป็นบาป” เอิบอบรมในที
งามตาขัดหู “นี่เอ็งเป็นใคร จะมาสั่งสอนข้าเพื่อสิ่งใด เป็นผู้ทรงศีลมาจากไหนรึ”
“แม่ไม่ได้เป็นผู้ทรงศีลจากไหน แม่เพียงแต่มาปฏิบัติธรรมแถวนี้ จึงผ่านมาเห็นลูกเข้าก็เท่านั้น”
งามตาชะงักมองเอิบอย่างพิจารณา เห็นแต่งตัวเรียบร้อยดูสงบเสงี่ยมก็นึกอะไรได้ เปลี่ยนท่าที พูดจาอ่อนหวานด้วย
“น้ามาปฏิบัติธรรมงั้นหรือจ๊ะ”
“ใช่จ้ะ แม่ปฏิบัติธรรมมานานตั้งแต่ยังเด็ก รู้แจ้งว่าบาปกรรมนั้นมีจริง จึงอยากให้ลูกหยุดทำเช่นนี้เสีย”
“ปฏิบัติธรรมมานานเช่นนี้ แสดงว่าถือพรหมจรรย์ด้วยใช่หรือไม่”
เอิบแปลกใจนิดๆ “ใช่ ลูกถามทำไมหรือ”
“ไม่มีอะไรดอก หนูก็แค่ถามเป็นความรู้ เอาอย่างนี้ หนูไม่คิดร้ายกับเด็กพวกนั้นแล้วก็ได้ หนูจะเชื่อที่น้าพูด”
เอิบยิ้มดีใจที่งามตาคิดได้ งามตามองขนมในกระจาดคิดปราดเดียว
“หนูขอไถ่โทษที่ทำรุนแรงไปเมื่อครู่ หนูขอยกขนมนี้ให้ น้าเอามันไปกินเถิด ถือเสียว่าหนูทำทานไถ่บาปก็แล้วกัน”
เอิบลักเลนิดๆ แต่เห็นว่างามตาอุตส่าห์ให้เลยรับ
“ขอบใจลูกมาก แม่จะนำมันไปถวายพระด้วย บุญจะได้ตกมาถึงลูกนะ”
งามตาพยักหน้ารับ ยิ้มร้าย
งามตาแอบตามมาซุ่มดูนางเอิบ เห็นเอิบนั่งพักอยู่ตรงมุมที่ไม่ค่อยมีผู้คน ก่อนจะหยิบขนมขึ้นมาแกะจะกิน งามตามองลุ้นระทึก จนเห็นเอิบกินขนมเข้าไปเคี้ยวตุ้ยๆ
งามตามองจ้องนัยน์ตาวาวโรจน์ ในขณะที่เอิบเริ่มเวียนหัว
“เป็นอะไรไปนี่ ทำไมเวียนหัวอย่างนี้...”
เอิบลุกขึ้น พยายามทรงตัวไม่ให้ล้ม แต่ก็ต้านฤทธิ์ยาที่งามตาใส่ไว้ในขนมไม่ไหว ร่างร่วงลงสลบไป
งามตายิ้มชั่วสะใจสมใจที่ทุกอย่างเป็นไปตามแผน
คืนพระจันทร์เต็มดวง เห็นหมอผีอินช่วยงามตาลากร่างของนางเอิบมาที่ป่าช้า แล้วลากเข้าไปในวงล้อมสายสิญจน์ ไม่รอช้าหมอผีอินเริ่มทำพิธีแบบเดียวกับที่ทำกับนางจัน รีบบริกรรมคาถา จนกระทั่งตะวันตกดิน
งามตาเอากล่องที่ใส่ตัวบึ้งออกมาให้หมอผีอินเหมือนเดิม เพื่อทำพิธีต่อไป
หมอผีอินกำลังจะกรีดแขนขาของนางเอิบ แต่ทันใดนั้นนางเอิบก็ลืมตาขึ้นมาเสียก่อน
พอเห็นหมอผีอินกำลังจะเอามีดแทงตัวเองก็กรีดร้องขึ้นมา
“ลูกจะทำอะไร”
หมอผีอินตกใจไม่คิดว่ายาจะหมดฤทธิ์เร็วขนาดนี้ หันไปสั่งงามตา
“งามตา จับตัวมันไว้”
งามตาลนลานเข้ามาจับตัวเอิบตามที่พ่อสั่ง เอิบดิ้นด้วยความกลัว
“ปล่อยข้า อย่าทำอะไรข้า ปล่อย”
“อยู่เฉยๆ เดี๋ยวทุกอย่างก็เรียบร้อย”
เอิบดิ้นหนักขึ้น หมอผีอินไม่สนจรดปลายมีดกรีดลงที่แขนเอิบทันที เอิบกรีดร้องด้วยความเข็บปวด หมอผีอินไม่รอช้ากรีดที่ข้อมือข้อเท้าอีกข้างต่อ
เอิบเหลือบมองหมอผีอินกับงามตา ใกล้จะขาดใจตายแล้ว รวบรวมเรี่ยวแรงพูดกับพ่อลูกใจบาปเหมือนปล่อยปลง
“บาปกรรม...มีจริง...ไม่มีใครหนีพ้น”
“แต่วันนี้บุญที่มึงสะสมมาก็ช่วยมึงไม่ได้ มึงต้องตายที่นี่วันนี้เท่านั้น”
หมอผีอินไม่แยแส หันไปสั่งงามตา
“ปล่อยมันออกมา เร็วเข้า”
งามตาปล่อยมือจากเอิบ หันไปหยิบกล่องบึ้งออกมา เอิบเริ่มชักดิ้นชักงอ ร่างกระตุกด้วยความทรมานกรีดร้องลั่นป่าช้า หมอผีอินรีบพนมมือท่องคาถา งามตานั่งใกล้ๆ เอิบ ปล่อยตัวบึ้งลงบนร่างหญิงชะตาขาด
เอิบมองเห็นตัวบึ้งถึงกับเบิกตาโพลง ส่งเสียงกรีดร้องโหยหวนดังขึ้นอีกครั้ง บึ้งยักษ์ดูดกินเลือดตรงรอยที่หมอผีกรีดไว้ เพียงไม่นานร่างของเอิบก็เริ่มคล้ำลงๆ จนกระทั่งเอิบขาดใจตาย
หมอผีอินมองอย่างสะใจ หัวเราะดังลั่นที่ทำสำเร็จอีกครั้ง
คืนเดียวกันนี้ ไต้ก๋งชางกางภาพร่างของอาคารทรงฝรั่งหลังหนึ่งในรำเพยดู รำเพยมองอย่างตื่นตา
“เป็นอย่างไร ดูดีรึไม่น้องรำเพย”
“นี่หรือคะ ห้างที่คุณพี่ตั้งใจจะเปิดร่วมกับแขกฝรั่งเพื่อนขุนวิเศษ”
“ใช่จ้ะ เขาชื่อมิสเตอร์ไมเคิล เป็นชาวอังกฤษ เราคุยกันวันนั้นแล้วถูกคอ จึงสนใจลงทุนร่วมกัน พี่มี่ที่อยู่ผืนหนึ่ง เห็นว่าทำเลดีเลยเสนอไป มิสเตอร์ไมเคิลจึงนำไปให้เพื่อนออกแบบอีกที”
“ตึกใหญ่โตโอ่อ่าเชียวค่ะคุณพี่”
รำเพยมองรูปนั้นอย่างชื่นชม เพราะทั้งสวยทั้งแปลกตาอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน แต่สักพักสีหน้าก็เริ่มเปลี่ยนเป็นกังวล
“แต่ห้างใหญ่โตเช่นนี้เห็นจะต้องใช้อัฐมากโข”
“เรื่องทุนฝั่งนั้นเขาจะช่วยส่วนหนึ่ง ส่วนเราก็ไปดูแลอีกทีเท่านั้น”
“หากเขาไว้ใจได้ก็น่าร่วมลงขันด้วย ตอนนี้พวกฝรั่งเข้ามาทำมาหากินมากเหลือเกิน หากผูกมิตรย่อมดีกว่าเป็นศัตรู”
“พี่ก็คิดอย่างน้องรำเพย จึงเอามาปรึกษา น้องเห็นว่าดีใช่หรือไม่”
“ดีค่ะคุณพี่ น้องสนับสนุนคุณพี่อยู่แล้ว น้องเชื่อว่าคุณพี่จะทำมันได้ดีเหมือนคราวช่วยเจ้าคุณพ่อสร้างตลาดลำพระพาย”
ชางมองรำเพยอย่างซาบซึ้งใจ โอบกอดเมียรัก
“พี่นี่โชคดีนัก น้องรู้ไหม”
“โชคดีอย่างไรคะ”
“ไม่ใช่เรื่องลงทุนที่มีมิตรสหายดีเท่านั้น แต่พี่ยังโชคดีที่มีเมียดี คอยสนับสนับสนุนและคอยให้กำลังใจพี่อย่างดีเสมอ”
รำเพยมองค้อนนิดๆ พองาม “คุณพี่พูดยอน้องอีกแล้ว”
“พี่พูดความจริง เพราะพี่จะมาถึงวันนี้ไม่ได้เลย ถ้าไม่มีแรงสนับสนุนที่ดีเช่นน้องรำเพยและทุกคนที่ช่วยเหลือพี่”
ไต้ก๋งชางมองภาพร่างตึกที่ตั้งใจจะสร้าง พูดบอกเมียรักอย่างมุ่งมั่น
“น้องรอดูเถิด สักวันหนึ่งพี่จะทำให้ครอบครัวของเราอยู่สุขสบาย มีกินมีใช้ไม่ขาด น้องจะได้ไม่ต้องอายใครที่เลือกแต่งงานกับคนพลัดถิ่นเช่นพี่”
ชางโอบรำเพยไว้ ทั้งสองยิ้มให้กันอย่างมีความหวัง
เช้าวันต่อมางามตาอยู่บนเรือนในห้องนอนของตัวเอง มองน้ำมันเสน่ห์นางครวญขวดใหม่ ก่อนจะเอาน้ำมันนั้นมาถูตามเนื้อตัวพร้อมกับบริกรรมคาถาสำทับ
“เสน่หานางครวญ จงบังเกิดมนต์รัญจวน ให้ไต้ก๋งชางหวนคิดถึงข้า จับจิตจับใจรักใคร่ นะเมตตา นะหลงใหล นะโหยหา นะคร่ำครวญ...”
งามตาบริกรรมคาถาด้วยแววตาเคียดแค้นคิดว่าต้องเอาคืนให้ได้
หลังจากนั้นก็เทน้ำมันลงไปในโถเกี๊ยวกุ้งที่อยู่ตรงหน้าอย่างหมายมาด
หมอผีอินเดินเข้ามาดู ถามงามตาขึ้น
“เอ็งต้องทำให้ไต้ก๋งชางกินอาหารที่เตรียมไว้ให้หมด”
“ไม่ต้องห่วงพ่อ ข้าอุตส่าห์จ้างหญิงชาวจีนในตลาดให้ช่วยทำเกี๊ยวกุ้งสูตรพิเศษทั้งที...ไต้ก๋งชางจะต้องติดใจไม่รู้ลืมแน่นอน”
งามตาปิดฝาโถใส่เกี๊ยวกุ้งนึ่ง ยิ้มกระหยิ่มว่าแผนการต้องสำเร็จแน่ๆ
งามตามารอก้อนที่กระท่อมท้ายสวน สักพักก้อนก็มาถึง พอเจองามตาก็เข้าไปกอดทันที
“ข้าคิดถึงเอ็งเหลือเกินอีงามตา”
งามตาตกใจ ทำหน้ารังเกียจแต่พอคิดว่าต้องใช้งานก็ทำเป็นโอนอ่อน
“พี่ก้อน มาแล้วหรือ ฉันกำลังอยากเจออยู่เชียว”
“เอ็งนี่มันลีลานัก กว่าจะยอมใช้หนี้ให้ข้าก็หลายเพลา สงสัยต้องคิดดอกเบี้ยให้คุ้ม”
งามตาแสร้งทำเป็นเขินอาย
“พี่นี่ก็...พูดอะไรก็ไม่รู้ ฉันเคยผิดสัญญากับพี่ด้วยหรือ”
“เอ็งไม่เคยผิดสัญญาดอก ไหนมาให้ข้าชื่นชมเอ็งสักหน่อย”
ก้อนทำท่าจะหอมแก้ม งามตาเบี่ยงตัวหลบ
“แหม ใจเย็นสิพี่”
“ข้ารอมานานแล้ว จะให้เย็นอะไรอีกเล่า”
“ฉันรู้ว่าพี่คิดถึงฉัน แต่ไหนๆจะคิดดอกเบี้ยทั้งที ก็ต้องเอาต้นให้คุ้มก่อนมิใช่รึ”
“ต้นอะไรของเอ็งอีก”
งามตากระซิบใกล้ๆ หูก้อน
“ในเมื่อพี่อยากคิดดอกเบี้ยเพิ่ม พี่ก็ต้องช่วยฉันอีกสักครั้งก่อน มันถึงจะคุ้มกัน”
ก้อนฟังแล้วก็ไม่พอใจ ผลักงามตาออก โวยวาย
“ช่วยอะไรอีก ข้าช่วยเอ็งไปตั้งหลายครั้งแล้ว ยังไม่พออีกรึ”
งามตาทำเป็นตีหน้าเศร้าให้ดูน่าสงสาร
“ยังน่ะสิพี่ แต่ฉันรู้ว่าพี่มีน้ำใจและหวังดีกับฉัน ฉันจึงอยากให้พี่ช่วยไงล่ะ”
“แล้วคราวนี้ข้าจะช่วยอะไรเอ็งได้”
ก้อนดูอ่อนลง งามตาเห็นว่าเข้าทางก็รีบพูดอ้อน
“ไม่ยากหรอกพี่ คล้ายกับคราวก่อน แค่เอาอาหารไปให้ไอ้ไต้ก๋งกินเท่านั้น”
“อาหารอะไร แล้วเหตุใดเอ็งต้องพยายามเอานั่นเอานี่ไปให้มันกินด้วย”
“ฉันมีแผนเอาคืนพวกมันน่ะสิ แต่ฉันยังบอกพี่ไม่ได้ตอนนี้”
ก้อนมองงามตาอย่างคลางแคลงใจ แต่ก็ไม่กล้าปฏิเสธ
“ข้าน่ะช่วยเอ็งได้อยู่แล้ว...แต่ ถ้าจะให้ช่วย ก็ต้องมีอะไรมัดจำ”
ก้อนมองงามตาด้วยความหื่นกระหาย งามตารังเกียจ หาทางบ่ายเบี่ยงไป
“ฉันไม่มีมัดจำให้ดอก...ฉันมีแต่รางวัลใหญ่ให้พี่เท่านั้น พี่จะเอารึไม่”
ก้อนตื่นเต้น “รางวัลใหญ่งั้นหรือ”
“ใช่ ถ้าทำสำเร็จ ทั้งต้น ทั้งดอก ฉันจะตอบแทนพี่อย่างคุ้มค่า”
งามตาลูบใบหน้าก้อนส่งสายตายั่วยวนมาให้ ก้อนถึงกับกลืนน้ำลาย
นมขามเดินก้าวฉับๆ มาที่เรือนบ่าวชายพร้อมกับกล่ำ ดูรีบร้อนเป็นพิเศษ พอมาถึงก็ตะโกนลั่น
“พวกเอ็ง มีผู้ใดเห็นไอ้ก้อนรึไม่ ข้ามีงานให้มันช่วย”
แถนออกมาจากเรือนบ่าว พอเห็นว่าเป็นนมขามก็เข้ามาหา
“คุณนม ตามไอ้ก้อนอยู่หรือขอรับ”
“เออสิวะ ข้าจะให้มันไปช่วยผ่าฟืน แต่นี่ข้าเดินหารอบบ้านก็ไม่เห็นหัว อย่าบอกนะว่าที่เรือนนี่ก็ไม่อยู่อีก”
แถนมองหาจนทั่วแต่ก็ไม่เห็น
“ไม่อยู่ขอรับ กระผมกลับมาเอาของสักพักแล้วก็ไม่เห็น”
“ถ้าไม่อยู่เรือนนี่แล้วจะอยู่ที่ใด้ล่ะเจ้าคะคุณนม” กล่ำว่า
“สงสัยจะหนีไปแอบหลับอีกตามเคย ขี้เกียจตัวเป็นขน”
นมขามฮึดฮัดขัดใจ แถนเสนอขึ้น
“ให้กระผมช่วยหาไหมขอรับ มันอาจจะหลบไปอยู่กระท่อมท้ายสวนก็ได้”
“จริงด้วยเจ้าค่ะ มันชอบหลบไปนอนที่นั่น”
“ไม่ต้อง หาไม่เจอข้าก็ใช้คนอื่น เดี๋ยวเจอตัวข้าค่อยด่ามันสักที จะได้หายสันหลังยาวเสียบ้าง”
นมขามตัดใจจะเดินกลับเรือน แต่พอหันไปก็เห็นก้อนเดินมาพอดี
“อ้าว มาพอดีเชียว”
ก้อนถือห่อของบางอย่างในมือ แปลกใจที่นมขามมาถึงเรือนบ่าวแต่เช้า
“มายืนออเสียเต็มหน้าเรือน มีเรื่องอะไรกันรึขอรับคุณนม”
“มาได้จังหวะจริงพ่อคุณ เกือบโดนข้าสวดไปแล้วไหมเล่า”
“คุณนมหมายถึงอะไรขอรับ”
“คุณนมกำลังหาตัวเอ็งอยู่น่ะซีไอ้ก้อน ว่าจะให้ไปช่วยผ่าฟืน เอ็งหายไปไหนมา”
ก้อนรีบนึกหาเหตุมาแก้ตัวทันที
“ข้าไม่ค่อยสบายน่ะขอรับจึงหลบไปนอนพัก”
นมขามมองก้อนอย่างจับพิรุธ ไม่ค่อยเชื่อนัก
“ร้อยวันพันปีข้าไม่เคยเห็นเอ็งป่วย วันนี้เกิดสำออยอะไรขึ้นมาหือ”
“กระผมไม่ได้สำออยนะขอรับ คนเราต่อให้แข็งแรงแค่ไหนก็เจ็บป่วยได้เหมือนกัน ทีคุณนมเดินสามก้าวจะเป็นลมกระผมยังไม่ว่า”
“เอ๊ะ นี่เอ็งย้อนข้ารึ”
“เปล่าขอรับ…แล้วนี่คุณนมมีเรื่องอะไรจะให้กระผมช่วยหรือ”
นมขามนึกได้ว่าต้องใช้งานเลยใจเย็นลงก่อน
“ข้าจะให้เอ็งไปช่วยผ่าฟืน ไต้ก๋งสั่งข้าไว้ก่อนออกไปข้างนอกว่าให้บ่าวมาช่วยผ่าให้เสร็จให้หมดก่อนค่ำ จะได้มีฟืนไว้หุงหาอาหาร”
ก้อนได้ยินว่าไต้ก๋งชางไม่อยู่ก็ตกใจ
“นี่ไต้ก๋งไม่อยู่หรือ”
“ใช่ ออกไปธุระกับแขกฝรั่ง สงสัยอะไรงั้นรึ”
“กระผมถามเฉยๆเท่านั้นขอรับ เอ่อ คุณนมจะให้กระผมช่วยไม่ใช่หรือ รีบไปเถิด เดี๋ยวจะค่ำเสียก่อน”
ก้อนตัดบทแล้วเดินนำไปทางเรือนใหญ่ทันที นมขามมองตามก้อนด้วยแววตาสงสัย
ก้อนผ่าฟืนอยู่คนเดียวจนเวลาผ่านไปสักพักใหญ่ ได้ฟืนกองโต ชักเริ่มเหนื่อยและหิว มันจึงออกมานั่งพัก ใช้ผ้าขาวม้าเช็ดหน้าเช็ดตา พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นใบตองห่อเกี๊ยวกุ้งที่งามตาฝากมาให้ไต้ก๋ง
“จะฝากไปให้ไอ้เจ๊กนั่นด้วยเหตุใดกัน ข้าต่างหากที่ควรได้กิน”
ก้อนมองแล้วยิ้ม คิดอะไรได้ ลุกไปหยิบห่อใบตองนั้นมา
“ขอข้าชิมสักหน่อยเถอะวะ อยากรู้มันจะอร่อยเอร็ดสักแค่ไหน”
ก้อนเปิดห่อใบตองออก แล้วกินเกี๊ยวที่งามตาฝากมาอย่างเอร็ดแอร่มจนหมด
ก้อนกลับไปทำงานผ่าฟืนต่อ แต่สักพักก็เริ่มรู้สึกแปลกๆ เริ่มปวดท้องถี่ๆ และปวดรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ
ก้อนเอามือกุมท้องแล้วทรุดลงกับพื้น ขวานในมือร่วงหล่นลงพื้น ร่างกายร้อนรุ่มเหงื่อแตกโทรมกาย เริ่มมึนๆ มองไปทางไหน ก็เห็นเป็นภาพซ้อน สักพักเริ่มได้ยินเสียงหัวเราะโหยหวนแปลกๆ
ก้อนมองไปรอบๆ พยายามหาว่าเป็นเสียงอะไร สีหน้าแววตาเต็มไปด้วยความหวาดระแวง
มีเสียงฝีเท้าคนดังขึ้นด้านหลัง ก้อนหันไปมองเห็นนางเอิบยืนจ้องอยู่
“เอ็ง...เอ็งเป็นใคร”
เอิบไม่ตอบแต่แสยะยิ้มมาให้ ก้อนผวากลัว
“กูถามว่ามึงเป็นใคร”
มีเสียงฝีเท้าดังขึ้นอีกทางหนึ่ง ก้อนหันไป คราวนี้เป็นเอิบอีก
ทั้งสองเอิบเดินเข้าหาก้อน ด้วยสายตาเย็นชา ก้อนกลัวจับจิต
“พ...พวกมึงจะทำอะไรกู”
เอิบเข้ามาหาก้อน จับตัวไว้ มองอย่างเคียดแค้น
“มึงฆ่ากูทำไม”
เลือดค่อยๆ ไหลย้อยออกมาจากหน้าเอิบ ผิวค่อยๆ คล้ำขึ้นเรื่อยๆ เหมือนตอนโดนพิษบึ้ง
“มึงต้องตาย”
ก้อนกลัวจนตัวสั่น ลนลาน ร้องลั่น พยายามแกะมือออก เอิบหัวเราะสะใจ ก้อนดิ้นหนีสุดแรงเกิดจนรอดออกมาได้ มันวิ่งหนีออกไปจากตรงนั้นโดยไม่คิดชีวิต
ก้อนวิ่งเตลิดหนีมาจนถึงบ้านหมอผีอิน มองไปทั่วบริเวณบรรยากาศดูวังเวงเหมือนไม่มีคนอยู่เลย ก้อนร้องตะโกนเรียกหางามตาขึ้นไปบนเรือนทันที
“งามตา อยู่รึไม่ งามตา”
เงียบสงัดไม่มีเสียงตอบมา ก้อนโมโหตะโกนเรียกดังกว่าเดิม
“นังงามตา ออกมาพบข้าเดี๋ยวนี้”
รอสักพักใหญ่ก็ไม่มีคนออกมา ก้อนเลยคิดจะเดินขึ้นเรือน แต่แล้วก็เหมือนมีเสียงคนมาหยุดด้านหลัง ก้อนดีใจหันไปหาคิดว่าเป็นงามตา แต่ปรากฏว่าเป็นผู้หญิงคนหนึ่งหน้าตาซีดเซียว สีหน้านิ่งเรียบเฉยดูไร้อารมณ์
“ปัดโธ่เอ๊ย ข้าตกใจหมด เอ็งเป็นใคร อยู่เรือนนี้ดอกรึ”
หญิงสาวคนนั้นไม่ตอบ ก้อนไม่รู้จะทำยังไงเลยถามต่อ
“ข้ามาพบอีงามตา เอ็งรู้จักมันหรือไม่”
หญิงสาวเพียงพยักหน้ารับ ด้วยใบหน้านิ่งเฉยเหมือนเดิม ก้อนเริ่มหงุดหงิด
“ถ้าเช่นนั้นเอ็งตอบข้าทีว่าที่นี่มันไม่มีคนอยู่หรืออย่างไร เรียกไปก็ไม่มีใครตอบ”
หญิงสาวคนนั้นส่ายหน้าอีก ฟ้าเริ่มมืดลงทุกทีๆ
“อะไรกัน แต่ข้าถามคนในตลาดมาแล้วว่านี่เรือนหมอผีอิน เอ็งอย่ามาโกหกข้าดีกว่าข้าไม่เชื่อดอก”
หญิงสาวยืนจ้องก้อนนิ่งๆ ไม่แสดงท่าทีอะไร ก่อนจะพูดออกมาน้ำเสียงยานคางเย็นเยียบ
“ต า ย...”
ก้อนชะงัก หันไปมองอีกครั้ง พบว่าหญิงสาวมีแววตาดุดันขึ้น
“ผู้บุกรุก มันต้องตาย”
ทันใดนั้นเองหญิงสาวรูปงามก็กลายร่างเป็นผีพรายหน้าตาน่าเกลียดน่ากลัว พุ่งเข้ามาบีบคอก้อนหมับ และออกแรงบีบแรงจนก้อนหายใจไม่ออก พยายามร้องตะโกนให้คนช่วยแต่ก็พูดไม่ได้
จู่ๆ ฟ้าเริ่มมืดขึ้น ลมข้างนอกโหมพัดแรง ยินเสียงหมาหอนเห่ารับเป็นทอดๆ บรรยากาศวังเวงน่ากลัว
ผีพรายบีบคอก้อนแน่นขึ้นๆ แววตาอาฆาตแค้นสุดจะประมาณ ก้อนสู้ไม่ได้ทรุดลงใกล้จะหมดแรง แต่จู่ๆ ผีพรายก็กรีดร้องเสียงโหยหวนแล้วร่างสลายหายไปโดยไม่ทราบสาเหตุ
ก้อนล้มตึงลงกับพื้น หอบหายใจรวยรินใกล้หมดสติเต็มทน พลันสายตาเหลือบไปเห็นเท้าของใครคนหนึ่งเดินเข้ามาใกล้ๆ แต่ยังไม่ทันได้เงยมองให้เต็มตาก็สลบเหมือดไปก่อน
จึงไม่รู้ว่า ที่แท้เป็นหมอผีอินยืนมองก้อนอยู่ด้วยความสงสัย
ก้อนนอนสลบอยู่บนชานเรือน สักพักก็ถูกน้ำสาดอย่างแรงจนสะดุ้งตื่น ลุกพรวดขึ้นนั่งด้วยความตกใจ พอเงยหน้ามองก็เห็นหมอผีอินยืนจ้องอยู่
“มาพบผู้ใดที่เรือนข้า”
ก้อนยกมือไหว้ปลกๆ ด้วยความกลัว เพราะไม่เคยเห็นหน้าหมอผีอินมาก่อน
“ข้า...ข้า...มาดี อย่าทำอะไรข้าเลย”
“แน่ใจหรือว่าเอ็งมาดี ตอบความจริงข้ามาเดี๋ยวนี้ ไม่เช่นนั้นข้าจะ...”
หมอผีอินขู่ แถมทำท่าเหมือนจะทำร้าย ก้อนกลัวเอามือบังตัวเองเองไว้ จนเสียงงามตาดังขึ้น
“ผู้ใดมารึพ่อ”
ก้อนจำเสียงได้ หันขวับไปเจองามตาเดินเข้ามา งามตาถึงกับเหวอ ตกใจที่ก้อนบุกมาถึงเรือน
“พี่ก้อน มาที่นี่ได้อย่างไร”
“ข้าถามคนในตลาดมาน่ะสิวะ ข้ามีเรื่องต้องคุยกับเอ็ง”
“นี่เอ็งรู้จักลูกสาวข้างั้นรึ”
งามตาพูดแทนก้อนว่า
“นี่พี่ก้อน บ่าวที่เรือนไต้ก๋งชาง ฉันให้มาช่วยเอาอาหารไปให้ไต้ก๋งวันนี้”
“อย่างนั้นหรือ แล้วเหตุใดไอ้บ่าวนี่ถึงต้องรีบร้อนมาหาเอ็งถึงเรือน”
อินหันไปถามก้อนตาขวาง ก้อนอึกอักเพราะนึกขึ้นได้ว่าตนทำงานไม่สำเร็จ
“นั่นสิ...พี่ก้อน ของที่ฉันฝากไปเป็นอย่างไรบ้าง”
ก้อนอึกอักไม่ตอบสักที จนหมอผีอินชักรำคาญเลยช่วยขู่
“ตอบลูกข้าไปสิวะ มัวอมพะนำอะไรอยู่”
“ข้าขอโทษ...ข้า...”
ก้อนพนมมือไหว้ ตัวสั่นด้วยความกลัว งามตาไม่เข้าใจ ถามย้ำ
“ขอโทษ หมายความว่าอย่างไรกัน”
“คือ...อาหารที่เอ็งฝากข้า...ไต้ก๋งชางไม่อยู่ ข้าเลย...กินไปเสียแล้ว”
งามตาเหวอไป แทบจะกรี๊ดออกมา พุ่งเข้าไปตบตีก้อนพัลวันด้วยความโมโห
“ไอ้พี่ก้อน ไอ้โง่ รู้ไหมทำอะไรลงไป”
ก้อนเอามือปัดป้อง แต่งามตาก็ยังทุบอยู่อย่างนั้น จนหมอผีอินต้องมาลากออกไป
“พอก่อน เดี๋ยวมันก็มาตายคาเรือนข้าหรอก”
“ก็ดูมันสิพ่อ มันทำแผนข้าเสียหมด”
หมอผีอินมองเชิงห้ามไม่ให้พูดอะไร นั่นละงามตาถึงสงบลง
“ข้าไม่ได้ตั้งใจ ข้าทำงานเหนื่อย ข้าหิว ข้าก็กิน ข้าทำผิดอันใด”
“ผิดสิ พี่ไม่รู้ดอกว่าในนั้นมันมีอะไร”
“แล้วมันมีสิ่งใดเล่า”
งามตาชะงัก เงียบไปดื้อๆ ก้อนถามจี้ทันที
“เอ็งใส่อะไรลงไปกับข้าวนั่น ถึงกำชับนักหนาว่าต้องเป็นไต้ก๋งชางเท่านั้น ไม่ใช่ข้า”
งามตาอึกอักนึกหาข้ออ้างแทบไม่ทัน “ฉัน...ฉันก็แค่ใส่สลอดลงไปหวังจะแก้แค้นมันเท่านั้น”
“แล้วเหตุใดข้าถึงเห็นภาพหลอน ผีผู้หญิงที่ไหนไม่รู้เต็มไปหมดมันไม่ใช่แค่สลอดเป็นแน่”
“บอกว่าแค่สลอดไงเล่า นี่พี่พูดไม่รู้เรื่องรึ”
งามตาตั้งท่าจะเถียง จนหมอผีอินรำคาญ ตะโกนแทรกขึ้น
“หยุด อย่ามาเอะอะเสียงดังในเรือนข้า หากอยากเถียงกันก็ไปเถียงกันนอกเรือนโน่น ไป”
งามตาหน้าเบ้กอดอกขัดใจ ก้อนเองก็ไม่พอใจงามตาเหมือนกัน
งามตาเดินออกมาหน้าเรือนพร้อมกับออกปากไล่ก้อนอย่างไม่ไยดี
“พี่กลับไปเลยนะ อย่ามาให้ฉันเห็นหน้าอีก ฉันอุตส่าห์ไว้ใจพี่ ไม่คิดเลยว่าพี่จะทำเช่นนี้”
“เอ็งไม่ต้องมาเฉไฉ บอกข้ามาเดี๋ยวนี้ว่าความจริงเอ็งใส่อะไรไว้ ข้าเกือบตายแล้วรู้หรือไม่”
“ก็ฉันตั้งใจให้ไต้ก๋งชางกิน แต่พี่ดันกินเข้าไปเสียเอง ที่จริงพี่เป็นคนทำพลาดเอง พี่ควรจะยอมรับผิด ไม่ใช่มาตีโพยตีพายใส่ฉัน”
งามตาตะคอกใส่ จนก้อนอึ้ง หน้าจ๋อยลงถนัด
“เออๆ ข้ารู้แล้วว่าข้าผิด แต่มันพลาดไปแล้วนี่หว่า”
“ยอมรับได้ก็ดี จะได้ไม่โง่ทำเรื่องที่ฉันไม่ได้สั่งอีก”
งามตามองก้อนอย่างไม่พอใจ ก้อนพยายามง้อ
“งามตา ข้าขอโทษ ข้ายอมรับผิดแล้ว”
“ยอมรับแล้วจะทำอย่างไรได้ ไอ้ที่กินเข้าไปนั่นมันเอาคืนได้ไหม”
“ข้ารู้ว่ามันเอาคืนไม่ได้ แต่เอาอย่างนี้ไหม คราวหน้าเอ็งก็ทำมาใหม่ ข้าสาบานว่าคราวนี้จะต้องลงท้องไอ้ไต้ก๋งอย่างแน่นอน”
งามตาลังเล ไม่เชื่อใจนักว่าก้อนจะทำตามสัญญา
“แล้วถ้าพลาดอีก พี่จะรับผิดชอบอย่างไร”
“ข้ายอมชดใช้ด้วยชีวิตยังได้ ถ้าเพื่อเอ็งแล้วล่ะก็”
งามตานิ่งงันไป คิดหนักว่าควรทำอย่างไรต่อดี
“ก็ได้ คราวหน้าพี่ต้องเอามันไปให้ไต้ก๋งชางกินให้ได้ พี่กลับไปได้แล้ว ไว้ข้าจะนัดพี่ออกมาอีกที”
ก้อนจะจับมืองามตามากุม แต่งามตาชักมือกลับ ก้อนเสียดายแต่ก็จำใจต้องกลับเรือนไป
รอจนก้อนพ้นเรือนไปแล้ว หมอผีอินจึงตามออกมาหางามตา
“จะไว้ใจมันได้จริงรึนังงามตา”
“ก็ต้องลองดู ถ้าไม่ใช่มันก็ไม่มีใครอีกแล้วที่พอจะเข้าไปในเรือนนั้นได้”
“ดีที่ข้าเก็บน้ำมันนางครวญไว้อีกครึ่งไม่เช่นนั้นคงพลาดอีกซ้ำสอง”
“แล้วเหตุใดไอ้ก้อนมันถึงเห็นภาพหลอนได้เล่าพ่อ”
“น้ำมันนางครวญ จะมีผลก็ต่อเมื่อทำพิธีบริกรรมคาถาด้วยเท่านั้น หากไม่ใช่ มันจะทำให้คนที่กินเข้าไปเห็นภาพหลอนจนอาจสติวิปลาส ไอ้นี่มันรอดมาได้ก็บุญแล้ว”
“ฮึ ทำไมนะถึงเสียแผนครั้งแล้วครั้งเล่า ครั้งหน้าจะต้องไม่พลาดอีก ข้ารอวันที่จะเอาคืนพวกลำพระพายไม่ไหวแล้ว”
งามตามองตามก้อนตาขุ่น วางแผนชั่วต่อไป
รำเพยอาบน้ำเสร็จ มานั่งหวีผมอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง ส่วนไต้ก๋งชางยังนั่งเคร่งอยู่กับเอกสารตรงหน้ากองพะเนินที่โต๊ะทำงานในห้องนอน รำเพยลุกเดินมาหา บอกให้พักด้วยความเป็นห่วงสามี
“พักบ้างเถิดค่ะคุณพี่ น้องเห็นนั่งมานานแล้ว”
ชางละสายตาจากงานตรงหน้า นวดหัวคิ้วเบาๆ คลายเครียด
“ไม่ได้หรอกน้องรำเพย คิดจะทำการใหญ่ทั้งที หากไม่ตั้งใจกับมัน งานจะประสบผลสำเร็จได้อย่างไร”
“นี่เอกสารเรื่องห้างฝรั่งที่คุณพี่ว่าวันก่อนหรือคะ”
“ใช่จ้ะ พี่คุยกับมิสเตอร์ไมเคิลแล้ว หากทุกอย่างพร้อมคงเริ่มก่อสร้างได้เลย”
เห็นไต้ก๋งชางพูดอย่างมุ่งมั่น รำเพยก็อดมองชื่นชมไม่ได้
“เห็นคุณพี่ตั้งใจเช่นนี้ น้องก็อวยพรให้ทุกอย่างราบรื่นเช่นกันค่ะ”
ไต้ก๋งชางยิ้มรับ แล้วก็นึกอะไรได้
“จริงสิ ลืมไปว่าวันรุ่งน้องจะไปวิปัสสนากับคุณเดือนภรรยาขุนพิเศษใช่หรือไม่”
“ใช่ค่ะ ไปสามวันสามคืนจึงจะกลับ”
“เช่นนั้น คืนนี้พี่คงต้องกอดน้องให้หายคิดถึงเสียหน่อยแล้ว”
รำเพยก้มหน้าเอียงอาย
“ดูพูดเข้า น้องยังไม่ได้จากไปไหนนะคะ เดี๋ยวก็กลับมา”
“ถ้าไม่ติดว่ามีงานอีกหลายอย่าง พี่ก็คิดว่าจะตามไปด้วยเหมือนกัน”
“คุณพี่อยู่ดูแลทางนี้เถิดค่ะ น้องจะไปเอาบุญมาฝาก เผื่อว่ากุศลที่ทำคราวนี้จะช่วยให้งานคุณพี่ประสบผลสำเร็จด้วยดี”
ไต้ก๋งชางลุกไปหา กอดรำเพยไว้ในวงแขนอย่างแสนรัก
“น้องรำเพยรู้ไหมว่า ซินแสบนเรือเคยทำนายชีวิตของพี่ไว้เรื่องหนึ่ง”
“เรื่องใดคะ”
“ซินแสท่านว่า วันใดที่พี่นอกใจภรรยาดวงชะตาจะถึงกาลวิบัติ”
รำเพยตกใจ “จริงหรือเจ้าคะ น้องไม่เคยรู้มาก่อน”
“ซินแสท่านทำนายไว้ตั้งแต่ครั้งที่เดินเรือมาสยาม แต่ว่า มันไม่มีทางเป็นไปได้ เพราะพี่มีภรรยาที่ดีแสนดีอยู่แล้ว จะคิดเปลี่ยนใจไปหาหญิงอื่นได้อย่างไร”
รำเพยหน้าเศร้าลง คิดแล้วก็อดกังวลไม่ได้
“เวลายังอีกยาวไกลนัก ใครจะไปรู้ว่าวันหนึ่งคุณพี่อาจเปลี่ยนใจ”
ไต้ก๋งชางจับตัวรำเพยให้หันมามองหน้ากัน พูดเสียงจริงจัง
“จะไม่มีวันนั้นเด็ดขาด เพราะได้เลือกแล้วว่าจะรักมั่นคงเพียงน้องเท่านั้น หากแม้นว่าพี่คิดนอกใจต่อน้องเมื่อใด ขอให้มีอันเป็นไป”
รำเพยตกใจ รีบปิดปากไต้ก๋ง “คุณพี่ อย่าเจ้าค่ะ ห้ามพูดเรื่องเช่นนี้ให้น้องได้ยินอีกเป็นอันขาด”
“พี่แค่อยากเล่าให้น้องฟังเท่านั้น”
“ความเป็นความตายเป็นเรื่องธรรมดาของชีวิตก็จริง แต่ในเมื่อเรายังอยู่ด้วยกันตอนนี้ ใยต้องพูดเรื่องไม่เป็นมงคลให้ไม่สบายใจด้วยล่ะคะ”
“พี่ขอโทษนะที่ทำให้น้องไม่สบายใจ พี่จะไม่พูดเรื่องนี้อีก”
ไต้ก๋งชางกอดปลอบ รำเพยกอดตอบ สีหน้าสบายใจขึ้น
รุ่งเช้า ที่โรงครัวเรือนลำพระพาย กำลังวุ่นวายเตรียมสำรับกับข้าวมื้อเช้ากันวุ่นอยู่ ต่างคนต่างเตรียมอาหารไม่ได้หยุดมือ
ก้อนแอบย่องเข้ามาพร้อมกับถ้วยใส่ผัดนกกวักของงามตา มองจนแน่ใจว่าไม่มีใครเห็น เพราะทุกคนกำลังยุ่งไม่มีใครสนใจ ก่อนเห็นถาดสำรับอาหารของไต้ก๋ง กำลังจะวางจานผัดนกกวักลงไป แต่มีเสียงนมขามดังขึ้น
“ไอ้ก้อน”
ก้อนสะดุ้ง รีบวางจานผัดนกกวักลงในถาดแล้วหันไปหา เห็นนมขามมายืนเท้าเอวจ้องอยู่
“คุณนม”
“มาทำอันใดในเรือนครัวแต่เช้า งานการไม่มีทำดอกรึ”
ก้อนยิ้มให้ “มีขอรับ แต่กระผมได้กลิ่นกับข้าวมันหอมนัก เลยเดินเข้ามาดู”
“เอ็งนี่ตะกละนัก งานการยังไม่ทำ คิดจะกินก่อนเสียแล้ว”
ก้อนเห็นว่านมขามไม่ได้สนใจเรื่องที่ตนเอาอาหารมาวางปนในสำรับ ก็โล่งใจ
“ก็กระผมหิวนี่ขอรับ”
“ข้ารู้ แต่อีพวกบ่าวในเรือนครัวนี่มันก็ทำงานงกๆ หิวไส้จะขาดพอกัน แต่มันก็ยังดีกว่าเอ็ง อย่างไรรู้ไหม”
“อย่างไรขอรับ”
“ก็ตรงที่อย่างน้อยมันก็ทำงานให้เสร็จก่อนจึงค่อยกิน ไม่เหมือนเอ็งที่ข้าสั่งให้ทำอะไรก็ทำครึ่งกลางๆแล้วหายหัวไปตั้งแต่ตะวันยังไม่ตกดิน”
ก้อนนึกขึ้นได้เรื่องผ่าฟืนเมื่อวาน เลยหน้าเหวอไป
“เรื่องนั้น กระผมบอกคุณนมแล้วนี่ขอรับว่ากระผมไม่สบาย”
“แต่เอ็งจะทิ้งงานไปแบบนี้ไม่ได้ แล้วนี่ หาหยูกยามากินหรือยัง”
“กินแล้วขอรับ อาการดีขึ้นมาก กระผมสาบานว่าจะผ่าฟืนให้เสร็จหมดภายในวันนี้ จะไม่หนีงานอีกแล้วขอรับ”
“ดีแล้ว ทำให้ได้อย่างที่พูดแล้วกัน แล้วข้าจะมาดูอีกที”
นมขามพูดจบก็หันไปสั่งบ่าวในครัวทำงานต่อ ก้อนโล่งใจ
ฝ่ายงามตาอยู่ในห้องบนเรือนคนเดียว นั่งพนมมือตั้งสมาธิเตรียมทำพิธี งามตามองกล่องที่ใส่ตัวบึ้งตรงหน้า แล้วเริ่มบริกรรมคาถา
“เสน่หานางครวญ จงบังเกิดมนต์รัญจวน ให้ไต้ก๋งชางหวนคิดถึงข้า จับจิตจับใจ รักใคร่ นะเมตตา นะหลงใหล นะคร่ำครวญ...”
ด้านกล่ำช่วยนมขามตั้งสำรับมื้อเช้าให้ไต้ก๋งชางบนชานเรือนใหญ่ ไม่นานนักไต้ก๋งก็เดินมาลงนั่งล้างมือ พลางมองอาหารตรงหน้า เห็นมีจานผัดนกกวักที่ก้อนแอบเอามาวางอยู่ด้วย ก็แปลกใจ
“จานนี้หน้าตาแปลกนัก ข้าไม่เคยเห็นมาก่อน มันเรียกว่าอะไรหรือ”
กล่ำกับนมขามรอรับใช้อยู่ด้วยกัน เข้ามาดูใกล้ๆ
“น่าจะเป็นผัดนกกวักนะเจ้าคะ” กล่ำบอก
“ผัดนกกวักงั้นรึ ชื่อแปลกนัก”
นมขามประหลาดใจมาก “วันนี้มีผัดนกกวักด้วยรึ ข้าไม่ได้สั่งให้บ่าวทำแล้วมันมาได้อย่างไร”
“นั่นน่ะสิเจ้าคะ อิฉันก็สงสัยอยู่”
ไต้ก๋งชางมองสองคน สงสัยเลยถามขึ้น
“มีอะไรรึเปล่าทั้งสองคน”
“อิฉันกับนังกล่ำคิดว่ามีบ่าวตั้งสำรับผิด เอาผัดนกกวักมาปนกับของไต้ก๋งเจ้าค่ะ”
“บ่าวต้องขอโทษนะเจ้าคะ เดี่ยวบ่าวจะเอาไปเก็บให้”
พร้อมกับว่ากล่ำเดินมาจะหยิบชามออก
ในเวลาเดียวกัน ที่เรือนหมอผีอิน งามตานั่งขัดสมาธิ ตรงหน้าจุดเทียน ท่องคาถาไปเรื่อยๆ แววตามุ่งมั่นมาดหมายต้องการเอาชนะเต็มที่
“จงรักข้า...หลงข้า...รักข้า...หลงข้า...”
ไต้ก๋งร้องห้ามกล่ำไว้
“ไม่ต้องหรอกกล่ำ”
ไต้ก๋งชางยิ้มให้ แล้วตักผัดนกกวักขึ้นมาชิม พบว่ารสชาติอร่อยก็ยิ้มพอใจ
“รสชาติดีนี่ ไม่ต้องเอาไปเก็บหรอก ข้ากินง่ายอยู่ง่าย อะไรก็กินได้ทั้งนั้น”
ที่บ้านหมอผีอิน งามตายังท่องคาถาไม่หยุดหย่อน พอถึงจังหวะหนึ่งก็ชูแขนข้างหนึ่งขึ้น หยิบมีดข้างๆ ตัวมากรีดแขนข้างนั้น จนเลือดหยดลงไปเลี้ยงตัวบึ้ง
กล่ำกับนมขามโล่งใจที่ไต้ก๋งไม่ว่า กล่ำรีบเอออตาม
“เจ้าค่ะ ถ้าอย่างนั้นไต้ก๋งกินให้อร่อยนะเจ้าคะ ถ้ารสชาติถูกใจจะมาจากไหนก็ไม่สำคัญหรอกเจ้าคะ” กล่ำหันไปพยักพเยิดกับนมขาม “ใช่ไหมเจ้าคะคุณนม”
ไต้ก๋งชางหัวเราะแล้วตักกับข้าวกินอย่างเอร็ดอร่อย
อ่านต่อ ตอนที่ 9
#เสน่ห์นางครวญ #ช่อง8 #thaich8