xs
xsm
sm
md
lg

เสน่ห์นางครวญ ตอนที่ 7 งามตาแค้น!ถูกเฉดหัวพ้นเรือนลำพระพาย

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


เสน่ห์นางครวญ ตอนที่ 7

บทประพันธ์ หงส์หยก : บทโทรทัศน์ พิชฌสินี

ไต้ก๋งชางเรียกบ่าวทุกคนมารวมกันหน้าเรือนใหญ่ ประกาศเรื่องหัวขโมยขึ้นเรือนให้ทุกคนฟัง

“ทุกคนจงฟังข้า เมื่อวานมีไอ้โจรมันลอบเข้ามาขโมยสมบัติของคุณรำเพยถึงที่เรือน มีผู้ใดเห็นคนท่าทางลับๆ ล่อแถวเรือนหรือไม่”
ทุกคนซุบซิบๆ กันอึงมี่ แต่ก็ไม่มีใครตอบ จนไต้ก๋งต้องถามย้ำ
“ข้าถามว่ามีใครรู้หรือไม่”
ทุกคนเงียบลง สนเป็นคนพูดขึ้นว่า
“พวกบ่าวหญิงไม่มีใครเห็นหรอกเจ้าค่ะ เมื่อวานอยู่ช่วยงานที่เรือนครัวเสียจนดึกกันทุกคน”
“แล้วเรือนบ่าวชายเล่า” ชางถาม
“พวกกระผม มีส่วนหนึ่งช่วยงานช่างอยู่ที่เรือนด้านหลังขอรับ” สุ่นบอก
เชี่ยวเสริมว่า “ส่วนพวกกระผมอีกส่วนหนึ่ง ตามพี่แถนออกไปช่วยชาวบ้านขนของที่วัดขอรับ”
ชางหันมาถามแถน “จริงอย่างที่มันว่าหรือไม่แถน”
“จริงขอรับไต้ก๋ง ไม่มีใครหายไปเลยขอรับ”
“ไม่มีผู้ใดเห็นเลยงั้นหรือ”
ไต้ก๋งชางหน้าเครียด ไล่สายตามองไปที่บ่าวทุกคน และสังเกตว่ามีคนหายไป
“แน่ใจหรือว่าอยู่ครบทุกคน”
แถนและทุกคนทำหน้างง ไต้ก๋งชางบอกเองว่า
“แล้วไอ้ก้อนเล่า มีผู้ใดเห็นมันบ้างหรือไม่”
บ่าวทุกคนมองหาก้อนจนทั่ว ก็ไม่เจอจริงๆ
ระหว่างนี้ นมขามเดินเข้ามาพร้อมคุณรำเพยได้ยินพอดี นึกขึ้นได้ว่าเจอก้อน มาลากลับบ้าน
“นมรู้เจ้าค่ะว่าไอ้ก้อนอยู่ที่ใด”
“มันอยู่ที่ใด บอกกระผมมาเถิด หากมันริเป็นโจรจะได้ลงโทษให้หลาบจำ”
“มันหอบผ้าผ่อนมาขอลากลับเรือนไปเยี่ยมแม่ที่ป่วยตั้งแต่เมื่อวาน นมบอกให้มันรีบไปจึงไม่ได้แจ้งให้ไต้ก๋งทราบก่อนเจ้าค่ะ”
ไต้ก๋งชางมีสีหน้าผิดหวังนิดๆ เมื่อเอาผิดใครไม่ได้ก็ไม่รู้จะทำอย่างไรดี
“ถ้าอย่างนั้นก็เหลือเพียงวิธีเดียว แยกย้ายกันไปค้นเรือนทุกหลังให้หมด หากเจอสิ่งใดผิดปกติให้มาบอกข้าทันที”
“เจ้าค่ะ” / “ขอรับ”
บ่าวทุกคนรับคำแล้วแยกกลับเรือนไปค้นหาร่องรอย เห็นไต้ก๋งชางหน้าเครียดจัด รำเพยจึงเดินเข้าไปปลอบ

แถนนำพวกบ่าวชายเข้ามาค้นในเรือนนอนบ่าวชายทุกซอกทุกมุม ทั้งรื้อค้นกองผ้าออกมาเทดูสารพัดแต่ก็ไม่เจออะไร
“พวกเอ็งเจอพวกเครื่องเพชรอันใดหรือไม่” แถนร้องถามไปทางหนึ่ง
สุ่น เชี่ยว และ ท้วมเข้ามาบอก สุ่นรายงานแถนเป็นคนแรกว่า
“ข้าไม่เจอสิ่งใดเลย”
ตามด้วยเชี่ยว “ใช่ มีแต่ข้าวของของพวกบ่าวทั้งสิ้น”
“ไม่เจอสิ่งใดเลยรึ”
พวกบ่าวชายพยักหน้าหงึกหงัก แถนหน้าเครียด

กล่ำเปิดประตูเข้าในเรือนบ่าวหญิง พร้อมบ่าวคนอื่นๆ งามตากำลังเก็บข้าวของอยู่รีบทำเป็นลงไปนอนซม กล่ำสั่งการทันที
“พวกเอ็งช่วยกันค้นให้หมด เจอสิ่งใดผิดปกติรีบบอกข้าทันที”
กล่ำ สน รื่นกับบ่าวคนอื่นๆ เข้ามาค้นทันที
โดยกล่ำกับสนรีบไปรื้อกองผ้านุ่งของงามตา งามตารีบลุกขึ้นโวยวาย
“อีกล่ำ อีสนมึงจะทำอันใด”
“กูก็จะค้นของมึงน่ะสิวะ เครื่องเพชรคุณรำเพยหายไป กูจะดูว่ามึงขโมยไปหรือไม่”
กล่ำคุ้ยกองผ้างามตาต่อ งามตารีบไปห้ามไว้ทั้งๆ ที่ยังเจ็บ
“ไม่ได้ มึงจะค้นของกูเช่นนี้ไม่ได้”
งามตาจะห้ามสนกับกล่ำ แต่สนไม่ฟังผลักงามตาออก
“โอ๊ย อีนี่ น่ารำคาญจริง”
งามตาถูกผลักจนกระเด็นร้องโอดโอย เริ่มปวดแผลขึ้นมาอีก
“โอย…อีสนมึง”
สนลุกชี้หน้าด่า “ใกล้ตายอยู่รอมร่อยังทำเก่ง ไหนมึงบอกสิว่าเหตุใดกูถึงยุ่งกับของของมึงไม่ได้”
“นี่ของๆ กู มึงต่างหากเป็นผู้ใดถึงกล้าค้น มึงจำไว้ถ้ากูไม่ให้หมาที่ไหนก็ยุ่งกับของกูไม่ได้”
“อีนี่ปากเก่งนัก โดนตบสักทีปะไรจะได้ตายสมใจ”
สนโมโหเงื้อมือจะตบ แต่นมขามมาขวางไว้
“หยุดเดี๋ยวนี้”
สนแปลกใจ “คุณนม มาขวางทำไมล่ะเจ้าคะ ไม่เห็นหรือว่ามันปากเสียแค่ไหน”
“ข้าเห็น แต่ถึงมันจะปากเปราะเช่นไร เอ็งก็ไม่มีสิทธิ์ทำอะไรมัน ลืมแล้วรึว่าไต้ก๋งให้เอ็งมาทำสิ่งใด”
สนหน้าง้ำไม่พอใจ งามตาเชิดใส่ แต่สักพักเสียงกล่ำก็ร้องดังขึ้น
“คุณนมคุณนมเจ้าขา เจอแล้วเจ้าค่ะ”
ทุกคนหันไปมองกล่ำเป็นตาเดียวกัน
“เจอสิ่งใดนังกล่ำ”
กล่ำหยิบของบางอย่างขึ้นมาจากกองผ้างามตาเอามาให้นมขาม งามตาเห็นก็ตกใจ
“สร้อยทองเจ้าค่ะ อยู่ในกองผ้าของอีงามตา
ในมือกล่ำเป็นสร้อยเส้นที่ไต้ก๋งให้งามตาไว้ นมขามหันขวับไปมองงามตาโกรธขึ้งเอาเรื่อง งามตาเหวอไปเลย
“สันดานโจรนี่รักษาไม่หายจริงๆ”
“ม…ไม่ใช่นะเจ้าคะ นั่นมันสร้อยที่ไต้ก๋งให้ข้าไว้” งามตาพยายามอธิบาย
“จับได้คาหนังคาเขาขนาดนี้ยังจะปดอีกรึ” คุณนมไม่เชื่อ
“ข้าพูดจริง พวกเอ็งเข้าใจผิด ไต้ก๋งให้ข้าไว้จริงๆ”
“นังขี้ปดพูดจาปลิ้นปล้อนไม่เว้นแต่ล่ะวัน” นมขามสั่งบ่าวทันที “พวกเอ็งช่วยกันจับมันไปให้ไต้ก๋งเร็วเข้า”
งามตาอึ้งหนัก บ่าวเข้ามารุมจับตัวพัลวัน งามตาไม่ยอม โวยลั่น
“พวกเอ็งจะทำอะไรข้า หยุดนะ ข้าไม่ได้โกหก ไม่เชื่อไปถามไต้ก๋งสิ ข้าไม่ได้โกหก”
บ่าวลากตัวงามตาออกไปเลย ได้ยินเสียงลูกสาวหมอผีอินร้องโวยวายไปตลอดทาง

ไม่นานต่อมา งามตาโดนหิ้วปีกมาเหวี่ยงลงที่พื้นหน้าบันไดเรือนใหญ่อย่างแรง พวกบ่าวช่วยกันเข้ามารุมจับตัวงามตาไว้ไม่ให้หนี สนรีบรายงานไต้ก๋งทันที
“ไต้ก๋งเจ้าขา เจอตัวอีหัวขโมยแล้วเจ้าค่ะ”
“กูบอกแล้วอย่างไรว่ากูไม่ใช่ขโมย ปล่อยกู”
ไต้ก๋งหันไปถามสน
“นี่มันเรื่องใดกันอีก”
กล่ำเอาสร้อยทองของงามตาออกมาให้ไต้ก๋งดู
“พวกข้าจับได้ว่าอีงามตามันขโมยสร้อยทองมาเจ้าค่ะ นี่ใช่สร้อยของคุณรำเพยหรือไม่เจ้าคะ”
ไต้ก๋งชางมองที่สร้อยทอง รู้สึกคุ้นๆ งามตารีบพูดขึ้น
“ไต้ก๋งบอกพวกมันไปสิว่าข้าไม่ได้ขโมย ไต้ก๋งจำไม่ได้หรือว่าให้ข้าเองกับมือไต้ก๋งให้ฉันไว้เป็นรางวัลตอนที่ฉันช่วยจับไอ้เลื่อน ไต้ก๋งต้องช่วยฉันนะ”
ไต้ก๋งชางอึ้งไป รำเพยก็สงสัยด้วย
“คุณพี่ งามตาพูดจริงหรือไม่คะ”
ชางนิ่งนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ตอนตามจับคนเผาตลาด และงามตาวางแผนล่อ จนจับตัวเลื่อนมาลงโทษได้ ไต้ก๋งชางยื่นถุงใส่ของให้งามตาเป็นรางวัล
“ข้าให้ ขอบใจที่เอ็งช่วยจับตัวไอ้เลื่อน”
งามตาดีใจ “ไต้ก๋งให้ข้าหรือ ในห่อผ้านี้คือสิ่งใด”
“ไม่ต้องถามมาก รีบรับไปเสีย ไว้กลับเรือนเอ็งก็รู้เอง”
งามตารับถุงผ้ามา นัยน์ตาเป็นประกายเจิดจ้าด้วยความดีใจ

ไต้ก๋งดึงตัวเองกลับมา เห็นทุกคนมองมายังตนเป็นตาเดียวกันรอฟังคำตอบ
“จริง พี่ให้งามตาไว้เอง เป็นค่าตอบแทนครั้งที่มันช่วยจับคนเผาตลาด”
“เห็นไหม ข้าไม่ได้ขโมย ปล่อยตัวข้าเดี๋ยวนี้”
บ่าวที่จับตัวงามตามาถึงกับทำหน้าไม่ถูก โดยเฉพาะสน ไต้ก๋งหันไปสั่งเสียงเข้ม
“ปล่อยตัวงามตาได้แล้ว”
พวกบ่าวจำต้องปล่อยตัวงามตา ลูกสาวหมอผีเอามือปัดเนื้อตัวมองพวกสนอย่างโมโหและโกรธแค้น
สักพักแถนกับบ่าวที่ไปค้นเรือนบ่าวชายก็เข้าสมทบ
“ไต้ก๋งๆ ข้าค้นจนทั่วเรือนบ่าวชายหมดแล้วไม่พบสิ่งใดเลยขอรับ”
ไต้ก๋งฟังแล้วเครียด หันไปถามนมขาม
“คุณนม นอกจากเรื่องสร้อยงามตาแล้ว ไม่เจอสิ่งใดอีกเลยหรือ”
“ไม่มีสิ่งใดเลยเจ้าค่ะ”
“ขโมยอาจจะมาจากนอกเรือนก็ได้นะคะคุณพี่”
นมขามนิ่งคิด แล้วนึกบางอย่างออก
“หรือว่า...จะเป็นฝีมือไอ้ก้อนเจ้าค่ะ เมื่อวานที่มันมาลากลับบ้าน มันทำท่าลับๆ ล่อๆ แหม.. เจ็บใจนักที่หลงเชื่อว่ามันจะกลับไปเยี่ยมแม่ไอ้ก้อนมันน่าจะเอาออกจากเรือนไปแล้ว ในห่อผ้านั่น...”
ไต้ก๋งเริ่มเครียดที่หาตัวคนร้ายไม่ได้ งามตานึกได้ รีบพูดขัดขึ้นว่า
“เดี๋ยวก่อน ไต้ก๋ง”
“เอ็งมีเรื่องใดจะพูดอีก”
“ข้าเพียงแต่นึกสิ่งใดได้ จึงอยากจะบอก แต่ไม่รู้ว่าไต้ก๋งจะเชื่อข้าหรือไม่”
“เรื่องไอ้โจรนี่น่ะรึ”
“ใช่ ข้าว่าไต้ก๋งอาจจะลืมที่ใดที่หนึ่งไป”
ชางแปลกใจ “ข้าให้คนออกค้นจนทั่วแล้ว มีที่ใดที่ข้ายังไม่ได้ไปอีกเล่า”
งามตายิ้มยืดอย่างเป็นต่อ

ไต้ก๋งชางพาบ่าวกับรำเพยมาที่เรือนดอกเหมยตามที่งามตาออกความเห็น สี่สาวเห็นคนเข้ามารุมค้นก็ตกใจ ออกมาหารำเพยกับไต้ก๋ง
“นี่มันเกิดเหตุอันใดกันเจ้าคะ จึงต้องค้นเรือนกันให้วุ่นเช่นนี้”
“มีคนลอบเข้ามาขโมยเครื่องทองของฉัน ไต้ก๋งสั่งให้หาตัวคนร้ายให้ได้” รำเพยบอก
ดวงแขน้อยใจ “แม้แต่พวกเราก็ต้องถูกค้นด้วยหรือเจ้าคะ”
“จะเป็นผู้ใดก็ต้องค้นทั้งสิ้น จะปล่อยไปไม่ได้” ชางประกาศคำสั่งไปยังบ่าวน้ำเสียงเข้ม “พวกเอ็งค้นทั้งใต้มุ้งใต้หมอนให้หมด อย่าให้เหลือแม้แต่จุดเดียว”
บ่าวเข้าไปค้นตามสั่ง จำเรียงบ่นบ้าด้วยความรำคาญ
“อีคนไหนหนอ มันช่างทำตัวจัญไรเช่นนั้นเรือนที่ให้ที่อยู่ที่นอนยังริทำตัวเป็นโจรได้ เลี้ยงไม่เชื่องจริงๆ”
พิมพ์โมโห “เพราะมันแท้ๆ ถึงได้วุ่นวายไปหมดเช่นนี้”
อบเชยกับดวงแขมองรำเพย เห็นใจ แต่พิมพ์กับจำเรียงกับทำหน้าหงุดหงิดไม่พอใจ

เย็นนั้นทั้งสี่สาวมาอาบน้ำที่ท่าน้ำ พร้อมกล่ำ รื่น และโรย ต่างคนต่างพูดถึงเรื่องหัวขโมยผู้อุกอาจ
“พูดถึงไอ้หัวขโมยแล้วมันน่าเจ็บใจนัก กล้าดีอย่างไรถึงกับลอบขึ้นเรือนลำพระพาย” โรยฮึดฮัด
“หากมันรู้ถึงขนาดที่ว่าคุณรำเพยเก็บสมบัติไว้ที่ใด ข้าว่าต้องเป็นคนในไม่ผิดแน่” รื่นว่า
พิมพ์ขึ้นจากคลองมาร่วมวงสนทนาด้วย
“ข้าเห็นด้วยกับพี่รื่น แล้วข้าก็คิดว่าข้ารู้ด้วยว่ามันคือผู้ใด”
“เอ็งคิดว่าเป็นผู้ใด” โรยถาม
“ก็อีบ่าวก้นครัวที่ชื่องามตาอย่างไรเล่า” พิมพ์บอก
ดวงแขทักท้วง “เหตุใดเอ็งคิดเช่นนั้น”
“สันดานหยาบเช่นนั้นให้ตายก็เลี้ยงไม่เชื่องดอก” พิมพ์ว่า
อบเชยแสดงความเห็นท้วงติงขึ้นมาว่า
“อย่าคิดกล่าวหาผู้ใดโดยไม่มีหลักฐาน หากไม่ใช่งามตาขึ้นมาจะทำอย่างไร
“นี่ยังคิดเข้าข้างมันอีกรึข้าเตือนเอ็งกี่ครั้งแล้วอบเชยว่าอีนังนั่นมันไว้ใจไม่ได้คอยดูเถิด หากวันใดจับได้ว่ามันขโมยของ กูจะแช่งให้มันไม่ตายดี” จำเรียงโมโห
ดวงแขปราม “ตายจริง จำเรียง อย่าพูดสาปแช่งผู้อื่นเช่นนั้น เดี๋ยวก็เข้าตัวหรอก”
“เข้าก็เข้าสิวะ กูไม่กลัวดอก”
จำเรียงเดินเชิดไปผลัดผ้านุ่งตรงราว ทุกคนตามมา จำเรียงหยิบผ้านุ่งตัวเองที่วางไว้ ดึงขึ้นมาสวมทับผ้าที่เปียกเตรียมเปลี่ยน ปรากฏว่ามีสร้อยทองหล่นออกมาจากผ้านุ่งฝืนนั้น ทุกคนเห็นต่างพากันอึ้งไปทั้งแถบ
ดวงแขร้องทักขึ้นเป็นคนแรก “จำเรียง นี่มันอะไรกัน”
กล่ำหยิบสร้อยขึ้นมาดู โรยตามไปดูใกล้ๆ ถามขึ้น
“นี่มันสร้อยของคุณรำเพยใช่หรือไม่”
จำเรียงทั้งอึ้งทั้งตกใจ รีบแก้ตัวพัลวัน
“ไม่นะ ข้าไม่รู้ว่ามันมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร ข้าไม่รู้เรื่อง”
ทุกคนมองจำเรียงอย่างคลางแคลงใจ รื่นตะโกนขึ้นเสียงดังลั่น
“มีบ่าวอยู่แถวนี้หรือไม่ จับอีหัวขโมยไปให้ไต้ก๋งเดี๋ยวนี้”
สักพักบ่าวที่อยู่แถวนั้นก็เข้ามารุมจับจำเรียง โดยที่จำเรียงร้องโวยวายไม่ยอมท่าเดียว
งามตามาแอบดูจากมุมหนึ่ง ยิ้มสะใจที่เห็นจำเรียงถูกจับ

จำเรียงถูกจับมาคุกเข่าที่ลานหน้าบันไดเรือนใหญ่ สามสาวที่เหลือตามมาด้วย จำเรียงปฏิเสธเสียงดังลั่น
“ปล่อยกู กูไม่ได้ทำ ปล่อยกูสิวะ”
จำเรียงดิ้นหนีไม่ยอมท่าเดียว บ่าวที่จับตัวอยู่ต้องกดหัวลงไปแนบพื้นเรือน
ไต้ก๋งชาง รำเพยพร้อมด้วยนมขาม ลงบันไดมาดูด้วยความตกใจ
“นี่มันเรื่องใดกัน เหตุใดจับจำเรียงมาที่นี่”
“พวกอิฉันจับหัวขโมยตัวจริงได้แล้วเจ้าค่ะไต้ก๋งคุณรำเพย” กล่ำรายงาน
รำเพยตกใจ “หัวขโมย ผู้ใดหัวคือหัวขโมย”
“แม่จำเรียงนี่อย่างไรล่ะเจ้าคะ ตอนพวกอิฉันไปอาบน้ำที่ท่า เจอสร้อยทองตกมาจากผ้านุ่งแม่จำเรียง ใช่ของคุณรำเพยหรือไม่เจ้าคะ” รื่นว่า
กล่ำรีบเอาสร้อยทองที่เก็บได้ให้ดู รำเพยเห็นแล้วอึ้งหนัก
“จำเรียง ทำเช่นนี้กับฉันได้อย่างไร”
“เป็นสร้อยของน้องจริงอย่างนั้นหรือ” ชางถาม
รำเพยพยักหน้า ยังไม่อยากเชื่อว่าคนขโมยเป็นเด็กสาวคนสนิท จำเรียงปฏิเสธลั่น
“ไม่ อย่าไปฟังพวกบ่าวมันนะเจ้าคะ อิฉันถูกใส่ร้ายอิฉันไม่เคยคิดทรยศคุณรำเพย ไอ้สร้อยนี่มันมาอยู่ในผ้านุ่งได้อย่างไรอิฉันก็ไม่รู้”
ไต้ก๋งชางมองจำเรียงด้วยสีหน้าลำบากใจ
“คราวก่อนเรื่องงามตาข้าอาจจะเข้าใจผิด แต่ในเมื่อสร้อยนี้เป็นของน้องรำเพย เอ็งยังจะกล้าปฏิเสธอีกหรือ”
“อิฉันไม่ได้ทำนะเจ้าคะ อิฉันพูดจริงทุกอย่าง”
“รับสารภาพเสียเถิด โทษหนักจะได้กลายเป็นเบา”
“อิฉันไม่ใช่ขโมยจะให้สารภาพได้อย่างไร”
“เห็นแก่ที่น้องรำเพยเมตตาเอ็ง ข้าจึงยังให้โอกาส แต่ถ้าเอ็งไม่ยอมรับ หากต้องเฆี่ยนเพื่อให้เอ็งสารภาพข้าก็ทำได้ จะลองดูหรือไม่”
จำเรียงตกใจกลัว สะบัดจนหลุด แล้วคลานเข้าไปกอดขารำเพย ร้องขอความเห็นใจ
“ไม่นะเจ้าคะ ฮือ คุณรำเพยช่วยจำเรียงด้วย”
รำเพยอึกอัก สงสารแต่ไม่รู้จะทำยังไง
“จะไม่รับสารภาพใช่หรือไม่” ชางหันไปทางแถน “แถน สุ่น เชี่ยว จับจำเรียงมัดเดี๋ยวนี้”
พวกแถนจะเข้ามาจับ จำเรียงกอดขารำเพยแน่นไม่ยอมปล่อย
“คุณรำเพยช่วยด้วยเจ้าค่ะ ช่วยด้วย”
พวกแถนดึงตัวจำเรียงออก จำเรียงขืนตัวสุดกำลัง แต่ก็สู้แรงไม่ได้สุดท้ายก็ถูกจับมัดโยงกับคานใต้ถุนเรือนใหญ่
จำเรียงร้องไห้ปานจะขาดใจตาย มิ่งเดินเข้ามาพร้อมหวาย ทันทีที่ไต้ก๋งชางพยักหน้า มิ่งก็ลงหวายทันที
จำเรียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดทรมาน รำเพยถึงกับทนดูไม่ได้ต้องมองหนีไปทางอื่น
งามตาแอบดูอยู่มุมหนึ่งตั้งแต่ต้น มองอย่างสะใจ
“อีจำเรียง คิดจะสู้กับคนอย่างกูงั้นรึ ไม่มีวันเสียล่ะ”
งามตามองจำเรียงที่โดนโบยด้วยรอยยิ้มสะใจสมใจ

พิมพ์กับอบเชยช่วยกันประคองจำเรียงที่ระบมไปทั้งตัวกลับเรือนดอกเหมย งามตาจะกลับเรือนพอดี พิมพ์เห็นก่อนเลยทักขึ้น
“นั่น งามตาไม่ใช่หรือ”
งามตาหยุดคุยกับสี่สาวเช่นกัน
“นึกว่าผู้ใด แม่สาวเรือนดอกเหมยนั่นเอง” งามตาทำเป็นเพิ่งมองเห็นจำเรียง “อุ๊ย แล้วนั่นแม่จำเรียงโดนอะไรมาถึงได้ยับเยินไปทั้งตัวเช่นนั้น”
งามตามองเยาะเย้ย จำเรียงโกรธจัด
“อีงามตา มึงใช่ไหมที่ใส่ร้ายกู”
“ตายจริง ข้าจะไปใส่ร้ายอะไรเอ็งได้ หรือว่าที่เอ็งเป็นเช่นนี้เพราะเอ็งไปขโมยของใครมา คิดไม่ผิดจริงๆที่ข้าบอกให้ไต้ก๋งไปค้นเรือนดอกเหมย”
“อีงามตา”
จำเรียงถลันตัวพุ่งไปหางามตา อบเชยดึงไว้
“หยุดเถิดจำเรียง เอ็งบาดเจ็บอยู่ไม่ใช่รึ”
พิมพ์มองหน้างามตาจ้องจับผิด “ข้าเห็นเอ็งนอนซมอยู่ไม่เท่าไร นี่ลุกขึ้นเดินเหินจนมาสาระแนเรื่องผู้อื่นได้แล้วหรือ”
งามตาเงียบไป พิมพ์คาดคั้นต่อ
“หรือที่ทำเป็นเจียนตายเพราะแสร้งทำอยากให้คนสงสารเท่านั้น”
“ข้าไม่ได้แสร้งทำ แต่ข้าก็ไม่จำเป็นต้องทำตัวอ่อนปวกเปียกเช่นใครบางคน”
“โถ ทำเป็นพูดดี ข้าว่าเอ็งโกหกมาแต่แรก ที่จริงแล้วเอ็งไม่ได้เป็นอะไร เรื่องสร้อยทองคุณรำเพยก็เป็นแผนของเอ็งใช่หรือไม่”
งามตาไม่มีทางยอมรับ “เรื่องใดมากล่าวหาข้าเล่า”
“ก็ถ้าเอ็งไม่คิดแผนชั่ว เอ็งจะรู้ได้อย่างไรว่ามีของซ่อนอยู่ที่เรือนดอกเหมย”
“อย่าคิดว่าผู้อื่นจะตีสองหน้าเก่งเหมือนเอ็ง ทำเป็นพูดให้ร้ายข้า แต่ความจริงเอ็งอาจจะวางแผนเองทั้งหมดก็ได้”
“มันจะมากไปแล้วนะ ข้าไม่จิตใจต่ำช้าเหมือนเอ็งดอก”
งามตาลอยหน้าลอยตาใส่เหมือนเหนือกว่า
“พอเถิดทุกคน อย่าทะเลาะกันเลย งามตา เอ็งอย่าทำอย่างนี้เลย กลับตัวกลับใจเถิด แค่นี้ทุกคนก็เดือดร้อนมากพอแล้ว” อบเชยว่า
“พูดอย่างนี้เอ็งจะบอกว่าข้าเป็นคนผิดรึ หุบปากไปเลยนะ อีพวกหมาหมู่ชั้นต่ำอย่างเอ็งไม่มีสิทธิ์จะเผยอหน้ามาสั่งสอนข้า”
งามตาชี้หน้าด่ากราดทั้งสี่สาว จำเรียงถุยน้ำลายใส่หน้า
“ถุย ถ้าพวกกูเป็นหมา มึงก็ต่ำกว่าหมาเสียอีก จิตใจสกปรกชั่วช้าเหมือนพวกสัตว์นรก”
“มึงว่ากูรึ หน็อย อยากตายคาตีนกูแล้วปะไร”
งามตาโกรธจัดถีบเข้าที่ท้องจำเรียงเต็มแรง สาวๆ ที่เหลือกรี๊ดลั่น อบเชยประคองจำเรียงพาหลีกไป แต่จำเรียงไม่ยอมสลัดจนหลุดเข้าปะทะกับงามตา ทั้งตบทุบถองกันวุ่นวายไปหมด
พิมพ์ตกใจแต่กลับยืนดูเฉยๆ ไม่เข้าไปห้าม อบเชยเข้าไปห้ามจนเกือบโดนลูกหลง

งามตากับสี่สาวถูกคุมตัวกลับมาที่เรือนใหญ่อีก ไต้ก๋งชางมองทุกคนด้วยสีหน้ากลัดกลุ้มใจมาก
“มีเรื่องกันไม่เว้นแต่ละวัน ให้ข้าได้อยู่สุขสงบสักวันมันจะตายหรือ”
สี่สาวก้มหน้าสำนึกผิด ดวงแขทำหน้าจะร้องไห้ พิมพ์ทำเฉยไม่รู้ไม่ชี้ จำเรียงเหลือบมองงามตาด้วยความโกรธแค้น งามตาก็ขึงตาใส่ไม่ยอมเหมือนกัน
“อิฉันพยายามห้ามแล้วเจ้าค่ะไต้ก๋ง อิฉันขอโทษ…” อบเชยว่า
“พอ ไม่ต้องขอโทษอีกแล้ว ข้าฟังคำขอโทษจนเอียนข้าควรทำอย่างไรกับพวกเอ็งดี”
จำเรียงรีบฉวยโอกาสขอความเมตตาจากไต้ก๋ง
“ไต้ก๋ง ได้โปรดเชื่ออิฉันสักครั้งเถิดเจ้าค่ะ อีงามตามันมาหาเรื่องพวกอิฉันก่อน มันทำร้ายอิฉันซ้ำยังใส่ร้ายเรื่องขโมย อิฉันไม่ผิดนะเจ้าคะ”
“นังขี้ปด จนป่านนี้แล้วยังกล้าขอความเมตตาอีกรึ” งามตาหันไปฟ้องไต้ก๋งกลับ “ไต้ก๋งเจ้าขา อิฉันถูกทำโทษปางตายแล้วจะกล้าทำผิดได้อีกเช่นไรเจ้าคะ”
“เอ็งต่างหากพูดปด ไต้ก๋งเจ้าขา มันทำร้ายอิฉันก่อนเจ้าค่ะ สามคนที่เหลือเป็นพยานได้”
“ไม่จริงเจ้าค่ะ มันต่างหากที่...”
จำเรียงกับงามตาไม่มีใครยอมใครทำท่าจะเถียงกันไม่เลิก จนไต้ก๋งชางหมดความอดทน
“ข้าบอกให้พอ! ฟังไม่เข้าใจกันหรือ”
จำเรียงกับงามตาเงียบไป
“ข้ากับน้องรำเพยเลี้ยงพวกเอ็งให้สุขสบายเพียงนี้ เหตุใดยังไม่รู้รักสามัคคีข้าไม่เข้าใจจริงๆ”
รำเพยเสริมด้วยน้ำเสียงเด็ดขาดว่า “ฉันช่วยเหลือทุกคนไว้ เพราะอยากให้ทุกคนมีชีวิตใหม่ แต่หากรังแต่จะสร้างความทุกข์ใจเช่นนี้เห็นทีฉันคงต้องคิดใหม่”
จำเรียงตกใจ “คุณรำเพยพูดเช่นนี้หมายความว่าเช่นไรเจ้าคะ
รำเพยมองหน้าไต้ก๋งชาง เห็นสีหน้าลำบากใจของสามี ไต้ก๋งบอกเสียงเข้ม
“ผู้ใดสร้างปัญหา ผู้นั้นต้องออกจากเรือน งามตา จำเรียง เก็บข้าวของแล้วออกจากที่นี่ไปเสีย”
งามตาได้ยินก็อึ้งไปที่ผิดแผน ลุกขึ้นโวยวายไม่ยอม
“ได้อย่างไรกัน อีจำเรียงมันหาเรื่องอิฉัน เหตุใดอิฉันจึงต้องออกจากเรือน”
“เพราะข้าเคยปรานีเอ็งมาครั้งหนึ่งแล้ว แต่ก็ยังไม่หยุด ข้าไม่ชอบคนกินบนเรือนขี้รดบนหลังคา ออกจากเรือนนี้ไปซะ”
งามตาเหวอไป จำเรียงร้องไห้โฮ
“ไม่นะ ไม่…บ่าวไม่ไป ฮือ…”
งามตาแค้นสุดจะประมาณ “มึงทำเช่นนี้กับกูได้อย่างไรกัน”
สักพักบ่าวชายจำนวนหนึ่งก็ขึ้นมาบนเรือน ไต้ก๋งชางประกาศก้อง
“พาพวกมันออกไป”
พวกบ่าวลากตัวจำเรียงกับงามตาออกไป จำเรียงร้องไห้เหมือนจะขาดใจตาย ขณะที่งามตาตะโกนสาปแช่งด้วยความแค้น
“ไอ้พวกขี้ข้า ปล่อยกูเดี๋ยวนี้นะ มึงกล้าทำกับกูเช่นนี้เท่ากับมึงลองดี กูไม่ยอมแน่ กูจะกลับมาเอาคืนทุกอย่างจากพวกมึง วันหนึ่งกูจะเหยียบหน้าพวกมึงด้วยตีนกูเอง”
ไต้ก๋งยืนมองจนจำเรียงกับงามตาพ้นเรือนไป

เวลาผ่านไป ไต้ก๋งชางนั่งตรวจบัญชีสีหน้าเคร่งเครียดอยู่บนชานเรือน มีรำเพยนั่งดูอยู่เงียบๆ จนเห็นรื่นช่วยยกถาดป้านน้ำชามาให้รำเพยบอกกับรื่น
“กลับเรือนไปก่อนเถิด ข้าจะยกน้ำไปให้คุณพี่เอง”
รื่นวางถาดลงแล้วออกไป รำเพยชงชาให้สามี
“น้ำชาค่ะคุณพี่”
ชางเงยหน้ามอง “น้องรำเพย”
“เห็นคุณพี่อยู่ที่นี่ตั้งแต่เกิดเรื่อง น้ำสักหยดก็ไม่ได้แตะ ดื่มสักหน่อยนะคะ”
ไต้ก๋งชางจิบน้ำชา บอกรำเพยเสียงเศร้า
“ขอบใจมาก แล้วก็ขอโทษที่พี่ไม่สามารถหาของเหล่านั้นมาคืนน้องรำเพยได้”
รำเพยนั่งลงข้างๆ พูดปลอบ
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะคุณพี่ สมบัติพวกนั้นแค่ของนอกกาย หากเราขยันทำมาหากิน วันหนึ่งเราก็มีใหม่ได้ คุณพี่อย่ากังวลเลยนะคะ”
ไต้ก๋งชางจับมือรำเพยมากุม เริ่มจะยิ้มได้
“น้องรำเพยรู้ไหมว่าอะไรคือสิ่งที่พี่ภูมิใจที่สุดที่ได้มาอยู่เรือนแห่งนี้”
รำเพยยิ้มตอบ “เรื่องที่เจ้าคุณพ่อวางใจให้คุณพี่ดูแลเรือนนี้หรือคะ”
“นั่นก็ส่วนหนึ่ง แต่สิ่งที่พี่ภูมิใจยิ่งกว่า คือการได้ดูแลสิ่งที่มีค่าที่สุดของท่านขุน ซึ่งก็คือน้องรำเพย”
รำเพยซาบซึ้งใจ “คุณพี่”
“ของบางสิ่งยิ่งอยู่นานก็เสื่อมค่าเสื่อมราคา แต่สำหรับสิ่งมีค่าชิ้นนี้ที่ท่านขุนได้มอบให้พี่พี่กลับยิ่งรักและเทิดทูนมากขึ้นทุกวัน ช่างโชคดีเหลือเกินที่ได้หญิงสาวที่มากไปด้วยเมตตาเช่นน้องมาเป็นแม่ศรีเรือน”
ไต้ก๋งชางสบตามองลึกซึ้ง รำเพยสบตาตอบ ไต้ก๋งชางสวมกอดรำเพยไว้เต็มรัก

ฟากงามตา กลับมาถึงบ้านพร้อมความโกรธแค้นที่อัดแน่นอยู่ในใจ แต่พบว่าบ้านทั้งหลังเงียบราวกับไม่มีใครอยู่ งามตาเดินขึ้นเรือนมา ตะโกนเรียกหมอผีอินเสียงดังลั่น
“พ่อ...พ่อ”
ไม่มีใครตอบกลับมา งามตาเดินมองหาจนทั่วเรือน ก็ไม่มีวี่แววผู้เป็นพ่อ
“ไม่อยู่รึนี่…หากไม่ไปบ่อนคงข้ามแดนไปหาของพวกนั้นอีกแน่”
งามตาหงุดหงิดเขวี้ยงข้าวของไปโดนฝาเรือน ส่งให้ฝุ่นกระจายคละคลุ้งไปทั่ว ต้องเอามือปัดฝุ่นอย่างรำคาญ แต่แล้วจู่ๆ ก็รู้สึกว่ามีบางอย่างกำลังไต่อยู่บนไหล่ตัวเอง เอามือปัดไปโดนก็ต้องชะงัก พอเหลือบไปมองเห็นก็กรีดร้องดังลั่นเรือน เพราะที่ไหล่มีตัวบึ้งใหญ่ยักษ์เกาะอยู่
“แอร๊าย ออกไป ใครก็ได้ช่วยด้วย”
งามตาสะบัดอย่างแรงแต่ทำอย่างไรมันก็ไม่หลุดออก
“ช่วยด้วยๆๆ” งามตาแหกปากร้องตะโกนลั่นให้คนช่วย จนสักครู่จึงมีเสียงคุ้นหูดังขึ้น
“หยุด อยู่เฉยๆ”
งามตาชะงัก ยืนตัวเกร็ง หมอผีอินปรากฏตัวขึ้น เข้ามาบริกรรมคาถาพึมพำสักพักตัวบึ้งก็หลุดออกมา
หมอผีอินจับตัวบึ้งไปใส่กล่องปิดฝาไว้ราวกับเป็นสัตว์เลี้ยงแสนรัก งามตามองค้อนบ่นบ้าด้วยความโมโห
“พ่อกลับมาเมื่อไหร่ แล้วเหตุใดถึงเอาไอ้ตัวประหลาดนี่มาไว้ในบ้าน น่าขยะแขยง”
“ข้าต่างหากที่ต้องถาม เอ็งมาที่นี่ได้อย่างไร เหตุใดไม่อยู่เรือนไอ้ไต้ก๋ง”
งามตาอึ้งไปทันที

เมื่อหมอผีอินได้ฟังเรื่องราวที่งามตาเล่าจบลงก็โกรธจัด
“ไอ้ไต้ก๋ง มันกล้าทำกับลูกหมอผีอินเช่นนี้เชียวรึ”
งามตาพูดด้วยความเจ็บแค้น
“ใช่ พวกมันจับข้าเฆี่ยนให้ทรมาน ซ้ำยังไล่ข้าออกมาเหมือนหมูเหมือนหมา พ่อต้องช่วยข้า..ข้าจะเอาคืนพวกมัน”
“เอ็งจะให้ข้าช่วยอย่างไร”
“เสน่ห์เล่ห์กลของพ่ออย่างไรเล่า พ่อว่าพ่อมากฝีมือเรื่องนี้นักไม่ใช่หรือ”
หมอผีอินหัวเราะ ทำหน้าเจ้าเล่ห์
“สุดท้ายเอ็งก็ต้องมาอ้อนวอนข้าสินะ”
“ฉันไม่อยากเสียเวลาอีกแล้วฉันยากเอาชนะพวกมัน พวกมันต้องชดใช้”
หมอผีอินฟังแล้วหัวเราะชอบใจใหญ่
“เอ็งมาได้ถูกเวลา ข้าข้ามแดนไปเขมรคราวนี้ ได้ของดีอย่าบอกใคร รับรองว่า ไม่ว่าชายใดหากเอ็งหมายจะได้ มิต้องเข้าไปถึงที่ แต่คราวนี้มันจะเป็นฝ่ายคลานมาขอความเมตตาจากเอ็งเอง
งามตาประหลาดใจมาก อยากรู้ทันทีว่าคืออะไร
หมอผีอินลุกไปหยิบกล่องที่ใส่ตัวบึ้งออกมา งามตาเห็นแล้วขยะแขยง
“พ่อ ไอ้ตัวประหลาดนี่อีกแล้วหรือ”
“มันคือตัวบึ้งอย่างไรเล่า เห็นอย่างนี้มันมีพิษสงอย่างที่เอ็งคาดไม่ถึงเชียวละ”
“อย่างไรกัน”
“เพราะมัน ชอบลิ้มรสเลือดสดๆ ยิ่งกว่าสิ่งใดน่ะสิวะ”
งามตาตกใจ “เลือด ไอ้ตัวนี้มันกินเลือดหรือพ่อ ตัวประหลาดเช่นนี้พ่อจะเลี้ยงมันไว้เพื่ออะไร”
“เพราะตัวบึ้งยิ่งร้ายกาจเท่าใด ประโยชน์ก็ยิ่งมากเท่านั้น ถ้าเอ็งอยากรู้ เอ็งจะลองทดสอบดูไหมเล่า”
“พ่อจะให้ข้าทำสิ่งใด”
“การจะทำให้มันเชื่อง ต้องใช้เลือดของคนเลี้ยงในครั้งแรก”
ขาดคำหมอผีอินก็ดึงแขนงามตามา แล้วหยิบมีดมากรีดที่แขนทันที
“โอ๊ย...พ่อทำอะไรน่ะ”
งามตามร้องลั่นด้วยความเจ็บปวดและโมโห หมอผีอินหัวเราะลั่นปล่อยแมงมุมยักษ์ใส่แขนลูกสาว
ตัวบึ้งได้กลิ่นคาวเลือด มันก็รีบไต่ไปดูดเลือดของงามตาทันที งามตาร้องไม่หยุด ทั้งกลัวทั้งขยะแขยง
“ดี กรีดร้องเข้าไป ยิ่งกรีดร้องดังเท่าไร ฤทธิ์ของมันจะยิ่งร้ายกาจมากขึ้นเท่านั้น แต่จงจำไว้ว่าหลังจากนี้เอ็งจะไม่ต้องทรมานเช่นนี้อีก”
หมอผีอินหัวเราะสะใจ งามตาดีดดิ้นทุรนทุรายเหมือนจะขาดใจ

อีกฟาก รำเพยมานั่งซึมหน้าเศร้าอยู่คนเดียวบนชานเรือนใหญ่ ไต้ก๋งชางออกเห็นจึงเดินเข้ามานั่งคุยด้วย
“น้องรำเพย เป็นอะไรไปหรือ พี่เห็นน้องดูไม่สบายใจเลย”
“น้องเพียงแต่คิดถึงแม่จำเรียงน่ะค่ะ”
“เสียใจที่พี่ต้องลงโทษจำเรียงอย่างนั้นหรือ”
“เปล่าค่ะ เพียงแต่ใจหายที่ว่าน้องอุตส่าห์ตั้งใจสอนวิชาอาชีพ เพื่อที่วันหนึ่งทุกคนที่เรือนดอกเหมยจะได้ไม่ลำบาก แต่ไม่คิดเลยว่าจะใช้ทางลัดแบบนี้”
“พี่ก็เสียใจไม่ต่างกัน พี่รู้ว่าน้องผูกพันกับหญิงสาวพวกนั้นเพียงใด”
“นั่นสิคะ แม้เพียงคนเดียวก็รู้สึกใจหายขนาดนี้แล้ว”
ไต้ก๋งชางโอบไหล่รำเพย พูดปลอบ
“แต่พี่ว่ามันไม่ได้สิ้นไร้หนทางเสียทีเดียว”
“หลักฐานมีอยู่ขนาดนี้แล้ว จะมีหนทางใดอีกกันคะ”
“พี่อาจจะคิดมากไปว่าจำเรียงไม่ใช่คนร้าย ทุกอย่างมันดูจงใจไปหมด แต่อย่างไรเสียเมื่อหลักฐานอยู่ในมือก็จำต้องลงโทษเพื่อไม่ให้ผู้อื่นทำตามอีก”
“ถ้าอย่างนั้นแสดงว่าจำเรียงต้องพิสูจน์ตัวเองให้ได้ว่าบริสุทธิ์สินะคะ”
ไต้ก๋งชางพยักหน้า รำเพยไม่วายกลุ้มใจ

หลังจากใช้ตัวบึ้งดูดเลือดงามตาแล้ว หมอผีอินก็เก็บตัวบึ้งกลับเข้าที่เดิมมองอย่างพอใจ งามตาเอนตัวพิงผนังอย่างหมดแรง มองพ่ออย่างไม่เข้าใจ
“ข้าบอกให้พ่อช่วยทำเสน่ห์ให้ไม่ใช่หรือ แล้วนี่มันอะไรกัน”
“เอ็งนี่ใจร้อนนัก ข้าบอกแล้วไม่ใช่หรือว่าต้องใช้เลือดของคนเลี้ยงมันจึงจะเชื่อง”
“แล้วเหตุใดต้องเป็นเลือดของข้า พ่อจะฆ่าข้าหรือ”
“เอ็งบอกข้าว่าต้องการทำเสน่ห์ข้าก็ช่วยเอ็งอยู่นี่อย่างไรเล่า”
“หมายความว่าอย่างไรกันพ่อ”
หมอผีอินยิ้มร้าย
“เอ็งพูดเองไม่ใช่รึว่าหากมัดใจไอ้ไต้ก๋งชางได้ ทุกอย่างที่เรือนนั่นก็จะเป็นของเอ็ง ถึงเวลานั้นหากเอ็งต้องการแก้แค้นหรือเอาคืนผู้ใดก็ไม่ใช่เรื่องยาก”
“พ่อจะให้ข้าทำเสน่ห์เล่ห์กลหรือ”
“ใช่…มันคือเสน่ห์เล่ห์กล แต่เสน่ห์คราวนี้ ร้ายกาจกว่ามากนัก”
หมอผีอินมองที่กล่องเก็บบึ้ง พลางอธิบาย
“มันมิใช่เพียงพิธีทำธรรมดา แต่เอ็งต้องหมั่นเติมความขลังให้มัน เมื่อเลี้ยงบึ้งจนเชื่อง เอ็งจะสามารถใช้เลือดมันผสมกับว่านนางครวญ เมื่อนั้นเอ็งจึงจะสามารถใช้มันได้…เสน่ห์นางครวญ….เสน่หาที่ต้องแลกด้วยชีวิต”
“ต้องแลกด้วยชีวิตเชียวรึ”
ผู้เป็นพ่อเงียบงันไปครู่หนึ่ง แล้วจึงบอกด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า
“อยู่ที่เอ็งแล้ว อีงามตาว่าจะสมัครใจทำหรือไม่”
งามตามองตัวบึ้ง กล้าๆ กลัวๆ

ดึกสงัด หมอผีอินพางามตามาทำพิธีตรงชานเรือนกลางแสงจันทร์ สองพ่อลูกนั่งอยู่ในวงล้อมสายสิญจน์ ท่ามกลางแสงเทียนสว่างไสว
หมอผีอินบริกรรมคาถาพึมพำ ในมืองามตาถือของบางอย่างกำไว้แน่น กลุ่มสีดำทะมึนค่อยเคลื่อนตัวออกจากเงาจันทร์ รัศมีเรืองรองปรากฏขึ้นอีกคราว
“คืนนี้แค่สวดเรียกวิญญาณผีป่า ให้มันสถิตในน้ำมันพรายรวมกับพวกผีที่มีอยู่เดิม ในวันรุ่งก่อนพระอาทิตย์ขึ้น เอ็งจงเร่งเอาว่านนางครวญมาขัดถูตามตัว”
“ว่านนางครวญ มันอยู่ที่ใด” งามตาอุทานอย่างตื่นเต้น
“ข้าบดละเอียดไว้ให้เอ็งแล้ว มันถูกผสมกับใบรักซ้อน ปะปนน้ำมันเสน่ห์เข้าไป เอ็งถูให้ทั่วตัว นึกถึงใบหน้าผู้ที่เอ็งต้องการให้มาเสน่หา นึกถึงมันให้มากๆ”
“ทำแค่นี้รึพ่อ”
“ภายในคืนพรุ่งนี้ ต้องหาหญิงสาวบริสุทธิ์มาสังเวยต่ออาคม”
“สังเวย เราต้องฆ่าคนรึ” งามตาแปลกใจ
อินพยักหน้า “เราต้องทำให้มันตายช้าๆ ให้มันร้องคร่ำครวญมากเท่าไหร่ยิ่งดี ยิ่งคร่ำครวญมาก ก็จะยิ่งเพิ่มกำหนัดให้กับผู้ที่ต้องการให้เสน่หามากขึ้นเท่าทวีคูณ”
“แล้วศพมันเล่าพ่อ จะทำเช่นใด”
“ข้ากำจัดวิญญาณมันให้อยู่กับเหล่าน้ำมันพราย เพื่อความขลังของอาคม ส่วนศพข้าจะหาทางกลบเกลื่อนหลักฐาน ไม่ให้ผู้ใดล่วงรู้”
“เช่นนั้นเรามิต้องฆ่าคนอยู่ร่ำไปรึ”
“ใช่ แต่เมื่อไต้ก๋งและเรือนนั่นอยู่ในมือเอ็ง วิญญาณเสริมอาคม คงไม่จำเป็นอีกต่อไปจริงหรือไม่”
งามตาคิดตาม แล้วยิ้มออก
“เมื่อข้าได้ทุกอย่างมาไว้ในกำมือ สิ่งใดก็ไม่มีความหมาย ไม่ว่าไอ้อีผู้ใด หากขวางข้า มันก็อยู่ร่วมโลกกับข้าไม่ได้”
งามตายิ้มร้ายกาจออกมาเต็มสีหน้า

เรือนพระพายทั้งหลังเด่นตระหง่านอยู่ใต้แสงพระจันทร์เต็มดวงสุกสว่าง เคล้ากับเสียงนกกลางคืนร้องครางอยู่บนคาคบต้นไม้ ไม่ทันไรเหล่านกก็บินหนีกระเจิงราวกับมีศัตรูมุ่งร้าย
พลันเสียงเอะอะของบ่าวบนเรือนใหญ่ดังขึ้นมา พร้อมกับเสียงตะโกนก้องของหัวหน้าโจรที่ก้าวขึ้นมาปล้นเรือนลำพระพาย
“จับตัวพวกมันไว้ ผู้ใดขัดขวางฆ่ามันให้สิ้น”
รำเพยกำลังเคลิ้มหลับสะดุ้งตื่น ลุกพรวดออกจากห้องนอนมองไปทางนอกชานหน้าประตูขึ้นเรือน เห็นโจรนับสิบ คาดผ้าดำปิดบังใบหน้า ถือดาบในมือพากันวิ่งกรูขึ้นมาบนเรือน
บ่าวไพร่พากันตื่นตระหนกตกใจร้องระงม รำเพยเห็นนมขามถูกโจรจับตัวไปรวมกับพวกบ่าวก็ตกใจ
“นมขาม”
หัวหน้าโจรเข้ามาฉุดกระชากรำเพยไปรวมกับพวกนมขาม
“ปล่อยข้า คุณพี่ คุณพี่อยู่ที่ใด ช่วยน้องด้วย”
ท่ามกลางเหตุการณ์ชุลมุน ไอ้เสือหัวหน้าโจรหัวเราะดังลั่น สั่งการลูกน้อง
“ค้นให้ทั่ว มีสมบัติอันใดขนเอามาให้หมด เร็ว”
มีบ่าวชายคนหนึ่งฮึดสู้ แต่พริบตาก็ถูกพวกโจรรุมฆ่าต่อหน้าต่อตา ทุกคนกรีดร้องด้วยความหวาดกลัว
“อยากได้สิ่งใดก็เอาไป อย่าฆ่าอย่าแกงกันเลย อย่าทำคนของข้า” รำเพยร้องบอก
สมุนโจรที่หายเข้าไปในห้องหลายคน พากันขนสมบัติลงออกมาสมทบกันตรงชานเรือน นมขามทนไม่ไหว วิ่งเข้าไปฉวยดาบจากมือโจรใกล้ๆ หมายแทงมัน ปากร้องบอกคุณหนูของนาง
“หนีไปคุณรำเพย..หนีไป”
สิ้นเสียงตะโกนร่างนมขามก็ถูกมีดแทงเข้าที่ท้องจังๆ หญิงชราเบิกตาค้างชะงักงันแน่นิ่งไป พวกบ่าวชายในเรือนพากันฮึดสู้พุ่งเข้าใส่อย่างไม่เกรงกลัว แต่ก็สู้ไม่ได้ ถูกปลิดชีวิตลงราบคาบ
รำเพยฉวยจังหวะช่วงชุลมุนวิ่งหนีลงเรือนไป มีเสียงโจรวิ่งไล่หลังตามมาหมายเอาชีวิต
“ฆ่ามัน”
รำเพยวิ่งหนีลงมายังหน้าเรือน พวกโจรตามลงมาติดๆ รำเพยเมื่อมีใครคนหนึ่งออกมาขวางทางไว้ เมื่อเงยหน้ามอง ปรากฏว่าเป็นไต้ก๋งชาง
“คุณพี่”
จากสีหน้าดีใจรำเพยกรีดร้องสุดเสียง เมื่อมีดาบเล่มหนึ่งฟันฉับเข้าที่ร่างไต้ก๋งชางต่อหน้าต่อตา เลือดพุ่งกระเซ็นโดนเนื้อตัวรำเพยเต็มไปหมด
หัวของไต้ก๋งชางขาดกระเด็นลงไปกองกับพื้น รำเพยช็อกตาตั้ง กรีดร้องสุดเสียง
“คุณพี่”

ที่แท้รำเพยฝันร้าย เธอสะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึก ลืมตาขึ้นมาด้วยสีหน้าตื่นตระหนก พยายามเรียบเรียงความคิด ทุกอย่างในห้องและนอกเรือนเงียบสงบไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น เมื่อมองไปข้างๆ ตัว เห็นไต้ก๋งนอนอยู่ก็ดีใจโผเข้ากอดซบอกสามีแน่น ร้องไห้สะอึกสะอื้นอย่างคนขวัญเสีย
“คุณพี่...คุณพี่จริงใช่ไหมคะ”
ไต้ก๋งชางตกใจตื่น ยิ่งเมื่อเห็นรำเพยร้องไห้ก็รีบกอดปลอบขวัญ
“น้องรำเพย ฝันร้ายหรือ ฝันร้ายรึนี่...โถ..ขวัญเอ๊ย ขวัญมา”
รำเพยละล่ำละลักบอกเสียงเครือสั่น
“น้องฝันว่าโจรขึ้นบ้าน มันมาปล้นเรือนเรา น้องเห็นคุณพี่…ตาย…น้องกลัว”
ไต้ก๋งชางพบว่ารำเพยกลัวจริงๆ จึงปลอบแล้วปลอบอีก
“ไม่เป็นไร ไม่มีโจรที่ใดทั้งนั้น”
ไต้ก๋งชางลูบหลังเบาๆ รำเพยสงบลงแต่ยังหวาดหวั่นไม่หาย
“คุณพี่ยังอยู่ตรงนี้กับน้องใช่ไหมคะ”
“พี่อยู่ตรงนี้กับน้องอย่างไรเล่า มันเป็นแค่ฝันเท่านั้น”
“แค่ฝันเท่านั้น…แค่ฝัน”
รำเพยพึมพำตามเสียงสั่น กอดไต้ก๋งชางแน่น น้ำตาซึมกลัวไม่หาย
“ไม่เป็นไรแล้วคนดีของพี่…เป็นไร”
ไต้ก๋งชางปลอบจนรำเพยเริ่มสงบลง
“น้องนี่แย่จริง ฝันเรื่องใดก็ไม่รู้ ไม่มงคลเสียเลย”
“น้องรำเพยไม่เคยได้ยินหรือว่า ฝันร้ายจะกลับกลายเป็นดี ไม่แน่ฝันคราวนี้อาจนำสิ่งดีมาให้เรือนเราก็ได้”
“น้องก็หวังให้เป็นเรื่องดี…แต่ถ้าไม่ละคะ”
“ถ้าเช่นนั้นพาน้องรำเพยไปวัดหรือไม่ ไหว้พระทำบุญสักหน่อยจะได้สบายใจขึ้น”
รำเพยคิดตามแล้วเห็นด้วย
“ดีเหมือนกันค่ะคุณพี่”
ไต้ก๋งชางลูบหลังปลอบอีกครั้ง สีหน้ารำเพยดีขึ้นแต่ยังกังวลไม่คลาย

เช้าวันต่อมา กล่ำเดินมาเห็นก้อนนั่งเหม่ออยู่ที่เรือนบ่าวชาย ก็นึกสงสัยเลยเข้าไปนั่งด้วยพลางถามไถ่
“ไอ้ก้อน วันนี้ไม่ไปช่วยไอ้พวกที่เรือนมันทำงานรึ”
ก้อนขยับตัวรับรู้แล้วหันมา แต่ไม่พูดอะไรเอาแต่ถอนหายใจ
“มีเรื่องใดหนักอกหนักใจรึ ข้าเห็นเอ็งนั่งเหม่อ”
“ข้าก็แค่...กำลังคิดถึงคนบางคน”
กล่ำหัวเราะ “นี่เอ็งกำลังมีความรักรึไอ้ก้อน ผู้ใดดวงซวยเข้าแล้ววะ”
“โธ่ ข้าก็แค่อดคิดถึงมันไม่ได้เท่านั้น”
“เห็นเงียบๆ หงิมๆ เอาเรื่องเหมือนกันนะเอ็ง บอกมาว่าคือผู้ใด หากข้าช่วยเป็นแม่สื่อแม่ชักให้ได้ ข้าจะช่วย”
“เอ็งช่วยไม่ทันเสียแล้ว เพราะมันไม่ได้อยู่ในเรือน”
กล่ำชะงัก นึกได้
“ไอ้ก้อน เอ็งอย่าบอกนะว่า เอ็งชอบอี...อีงามตา”
ก้อนยิ้มกรุ้มกริ่มเมื่อนึกงามตา กล่ำตกใจอ้าปากค้าง
“หา ไอ้ก้อน เอ็งพูดเล่นพูดจริงวะนี่”
“ข้าจะโกหกเพื่อสิ่งใด”
“ผู้หญิงอย่างนังงามตา เอ็งรักหลงเข้าไปได้อย่างไร ให้เป็นเมียแบบไม่เสียสักอัฐยังไม่เอา”
“ก็มันสวยถูกใจข้า จะให้ทำเช่นไรได้”
“ไอ้ก้อน เอ็งนี่ไม่ตาฝ้าฟางก็ใกล้บอดเต็มที ผู้หญิงที่เรือนนี้มีออกถม ทำไมไม่มองหาไว้เป็นเมียสักคนเล่า”
“คงไม่ไหวกระมัง เรือนครัวก็มีแต่รุ่นราวคราวเดียวกับเอ็ง หากให้หา ข้าคงไม่รู้เอามาเป็นเมีย รึเป็นแม่กันแน่”
กล่ำพยักหน้าคล้อยตาม จนนึกได้ว่าโดนหลอกด่า
“ไอ้ก้อน หน็อยยย”
กล่ำโกรธยกเท้าขึ้นจะถีบ แต่ก้อนไหวตัวฉากหลบไปเสียก่อน
“ไอ้ก้อน ไอ้ปากเปราะ”
ก้อนหัวเราะเสียงดังทั้งๆ ที่วิ่งไปไกลลิบแล้ว กล่ำฮึดฮัดไม่พอใจ

ไต้ก๋งชางพารำเพยมาถวายสังฆทานหลวงพ่อดำ เสร็จแล้วก็พากันมาไหว้พระในโบสถ์ รำเพยมีสีหน้าท่าทีดูสบายใจขึ้นมาก หลังออกมาจากโบสถ์มา ไต้ก๋งชางยิ้มมอง
“เป็นอย่างไร สบายใจมากขึ้นหรือไม่”
“ดีขึ้นมากค่ะคุณพี่ แต่ถึงอย่างไรน้องก็ยังคิดว่าฝันนั้นเหมือนจริงมากจนรู้สึกกลัว คุณพี่ต้องระวังตัวไว้ด้วยนะคะ”
“ไม่ต้องห่วง พี่จะดูแลตัวเองอย่างดีที่สุดเพื่อน้อง”
ไต้ก๋งชางประคองรำเพยเดินมาด้วยกัน จนมาถึงมุมหนึ่งในวัด
ยินเสียงสีซอดังแว่วมาเป็นเพลงเศร้าๆ สองคนมองไปเพื่อหาต้นทางของเสียงจนเจอ แล้วก็อึ้งไปทั้งคู่
มุมหนึ่งข้างรั้ววัด เห็นจำเรียงนั่งสีซอแลกเงินชาวบ้านอยู่ดูน่าเวทนา คนที่เดินผ่านแล้วเมตตาก็จะโยนเบี้ยให้จำเรียงยกมือไหว้ขอบคุณเก็บเศษเงินใส่ย่าม
สักครู่หนึ่งก็มีเด็กเกเรกลุ่มหนึ่งผ่านมา พอเห็นจำเรียงแต่งตัวมอซอก็พากันหัวเราะเยาะ แล้วปาก้อนหินก้อนกรวดใส่อย่างคึกคะนอง ไม่ฟังเสียงขอร้องของจำเรียง
“อย่า อย่าทำข้า”
จำเรียงตะโกนไล่ เด็กก็ยังไม่ไป รำเพยทนไม่ไหวเข้าไปช่วย
“หยุด หยุดเดี๋ยวนี้ออกไปนะ”
ไต้ก๋งชางตามไปช่วยด้วย
“หยุดรังแกผู้อื่นเดี๋ยวนี้”
พอไต้ก๋งชางมาช่วย เด็กก็หยุดขว้างก้อนหินแล้ววิ่งหนีไป จำเรียงเงยหน้ามองเห็นว่าเป็นทั้งสองคนก็ร้องไห้แล้วไหว้ขอบคุณ
“คุณ…คุณเจ้าขา ขอบคุณเจ้าค่ะ”
รำเพยนั่งลงปลอบจำเรียง
“ไม่เป็นไรแล้วจำเรียง”
จำเรียงเข้าไปกอดขารำเพยแล้วร้องห่มร้องไห้คร่ำครวญ
“คุณเจ้าขา…จำเรียงทรมานเหลือเกินเจ้าค่ะ ตั้งแต่ออกมามีแต่คนรังแกจำเรียงจำเรียงไม่เหลือใครแล้ว ฮือ…ให้จำเรียงกลับไปอยู่กับคุณนะเจ้าคะ”
รำเพยมองไต้ก๋งชางขอความเห็น
“ข้าก็อยากช่วย แต่ในเมื่อเอ็งเป็นขโมยจะให้ข้าเห็นใจได้เช่นไร”
“จำเรียงไม่ใช่ขโมยนะเจ้าคะ มันเป็นแผนของอีงามตา มันใส่ร้ายจำเรียง คุณต้องเชื่อจำเรียงนะเจ้าคะ”
รำเพยเริ่มใจอ่อน สงสารพยายามช่วยจำเรียง
“คุณพี่…เห็นจำเรียงเป็นเช่นนี้น้องทนไม่ได้ค่ะ ในเมื่อยังพิสูจน์ความผิดไม่ได้ก็ให้จำเรียงกลับไปอยู่ที่เรือนก่อนไม่ได้หรือคะ”
ไต้ก๋งชางเองก็สงสาร แต่จำต้องทำใจแข็งเพื่อตัดปัญหา
“ไม่ได้หากพี่ใจอ่อนสักคราวหนึ่ง ใครๆ จะพากันครหาในตัวพี่ได้ น้องรำเพยเห็นใจพี่เถิด”
“คุณพี่ หากจำเรียงเป็นขโมยจริง เหตุใดถึงต้องมานั่งขอทานเช่นนี้ คุณพี่ลองคิดดูใหม่อีกสักครั้งเถิดเจ้าค่ะ น้องขอร้อง”
รำเพยหน้าเศร้า จำเรียงก็เอาแต่สะอื้น ไต้ก๋งชางคิดหนัก ในที่สุดไต้ก๋งชางก็ประคองรำเพยลุกขึ้น บอกกับจำเรียงว่า
“จำเรียง ลุกขึ้นเถิด ในเมื่อข้าไม่มีหลักฐานใดที่จะเอาผิดเอ็ง ข้าก็จะให้โอกาสเอ็งอีกสักครั้ง เรื่องที่เคยเกิดขึ้นข้าไม่ติดใจสิ่งใดอีกแล้ว”
จำเรียงมองไต้ก๋งชางเหมือนไม่เชื่อหูตัวเอง รำเพยยิ้มออก
“ขอบพระคุณมากเจ้าค่ะไต้ก๋ง ขอบคุณ…บุญคุณนี้อีจำเรียงจะไม่ลืมชั่วชีวิต”
จำเรียงก้มลงกราบทั้งสองคน ร้องไห้อย่างหนักหน่วง ด้วยความดีใจ
งามตามาแอบดูอยู่มุมหนึ่ง ดวงตาวาววับด้วยความแค้น ที่จำเรียงถูกช่วยไว้อีก

ที่วัด เวลาเย็นใกล้ค่ำ นางจันคนบ้าที่อาศัยหลับนอนอยู่ในวัด กำลังเดินร้องรำทำเพลงอยู่คนเดียว
“พี่แก้ว…พี่แก้วจ๋า…พี่แก้วอยู่ไหน”
จันเดินไปสายตาเหม่อลอย ผู้คนที่เดินผ่านมองกันอย่างรังเกียจ บางคนก็ซุบซิบ
“นั่นอีจัน มันสติวิปลาส วันๆเอาแต่ร้องหาผัว แต่ความจริงแล้วไม่มีผู้ใดหรอก มันคิดเอาเองทั้งเพ”
“น่าสงสาร…ญาติมิตรก็ไม่มี”
“นั่นสิ แต่อย่าเข้าไปยุ่งเลย ข้ากลัวมันจะทำร้ายเอา”
งามตามาแอบดูจันอยู่มุมหนึ่งอย่างสนใจ นึกถึงคำพูดพ่อ
“ภายในคืนพรุ่งนี้ ต้องหาหญิงสาวบริสุทธิ์มาสังเวยต่ออาคม”
งามตายิ้มชั่ว รอจนคนอื่นเดินผ่านไปหมด เห็นนางจันเดินมา งามตาก็ออกไปขวางไว้
“เอ็งชื่อจันใช่หรือไม่”
จันมองงามตา ไม่รู้ว่าเป็นใคร
“จัน…ใช่ๆ…ฉันชื่อจัน”
“ข้าได้ยินว่าเอ็งกำลังตามหาพี่แก้วอยู่รึ”
จันมองเหม่อ หน้าเศร้า
“ใช่พี่แก้ว…ฉันกำลังตามหาพี่แก้ว คนรักของฉัน”
“ข้ารู้ว่าพี่แก้วของเอ็งอยู่ไหน”
จันตาลุกวาว ตื่นเต้นขึ้นมาทันที เข้าไปเขย่าตัวงามตาแรงๆ
“จริงเหรอ เอ็งเจอพี่แก้วแล้วเหรอ เขาอยู่ไหน พาข้าไปหาพี่แก้วสิ”
งามตาเริ่มกลัวขึ้นมา
“ได้ๆ เอ็งปล่อยข้าก่อนแล้วข้าจะพาไป”
จันครุ่นคิด แล้วก็พยักหน้ารัวๆ ยอมปล่อยงามตา
“พี่แก้วอยู่ไหน รีบพาข้าไป เดี๋ยวพี่แก้วหายไปอีก”
“พี่แก้วบอกว่าจะรอเอ็งอยู่ที่ป่าฝั่งโน้น…เอ็งต้องไปเจอเขาตอนพระอาทิตย์ตกดิน ไม่เช่นนั้นเขาจะไม่มาพบเอ็งอีก”
“ไม่จริง พี่แก้วต้องไม่ทิ้งข้า ข้าอยากเจอพี่แก้ว”
“งั้นเอ็งไปกับข้า”
“ไปๆ”
งามตาลอบยิ้มสมใจที่หลอกจันได้สำเร็จ สองคนพากันเดินออกไป

ที่ป่าช้าหลังวัด หมอผีอินรออยู่ที่นั่น สักครู่จึงเริ่มทำพิธีในวงล้อมสายสิญจน์ บริกรรมคาถาไปด้วย ท้องฟ้าเริ่มมืดลง พระอาทิตย์ค่อยๆ ตกดิน ลมพัดแรงบรรยากาศดูน่ากลัว หมอผีอินลืมตาขึ้น มองกล่องใส่ตัวบึ้งที่ใช้ทำพิธีด้วยสีหน้ามาดหมาย
“คอยดูเอาเถิด ทุกอย่างจะเป็นของลูกข้า อีกไม่นานดอก”
หมอผีอินพูดอย่างมั่นใจ

งามตาเดินนำจันมาตามทาง มุ่งหน้าสู่ป่าช้า จันก้าวตามติดๆ ยังคงไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรกับชีวิต เอาแต่พึมพำถึงชื่อคนรักไม่หยุด
“พี่แก้ว…ข้าจะได้เจอพี่แก้วแล้ว”
จันตามงามตาเข้าไปเรื่อยๆ ฟ้าก็เริ่มมืดลงทุกที จากทางเดินธรรมดาเริ่มถูกล้อมด้วยป่าทึบ
พลันสายตาของงามตามองไปเห็นหมอผีอินกำลังนั่งอยู่ในวงล้อมสายสิญจน์ ท่ามกลางเปลวเทียนส่องสว่าง
ท้องฟ้ามืดมิด จันสอดตามองหาคนรักไปรอบทิศ
“พี่แก้วอยู่ไหน…พี่แก้ว…”
จันมองหารอบตัวแล้วก็ไม่เจอใคร เริ่มกลัว
“ที่นี่มันคือที่ใดกัน”
งามตาหันมามองนิ่งๆ ไม่ยอมตอบ จันเห็นบรรยากาศดูน่ากลัวก็เริ่มหวาดหวั่น
“ไหนเล่าพี่แก้วของข้า”
“ใจเย็นเถิด เดี๋ยวเอ็งจะได้เจอพี่แก้วแน่”
“จริงหรือ พี่แก้วอยู่ที่นี่จริงหรือ”
“ข้าไม่โกหกเอ็งดอก”
จันยิ้มคิดว่าจะได้เจอคนรักของตนแน่แล้ว งามตาแสยะยิ้มอาศัยทีเผลอฟาดจากด้านหลังเต็มแรง จันถึงกับสลบไปทันที งามตาโยนท่อนไม้ทิ้งไป หมอผีอินเข้ามาดู พอเห็นว่าจันหมดสติก็ยิ้มร้ายสมใจ
“เรียบร้อย ไม่มีอะไรน่าห่วง”
“เริ่มพิธีได้หรือยังพ่อ จะไม่มีผู้ใดมาเห็นใช่รึไม่”
หมอผีอินพยักหน้า พนมมือบริกรรมคาถา สักพักก็มีเสียงโหยหวนของผีพรายดังขึ้น
“ข้าสั่งพวกผีพรายเฝ้ารอบๆ ไว้แล้ว จะไม่มีผู้ใดเข้ามาได้แน่ รีบเข้าเถิด เดี๋ยวจะไม่ทันการ”
ผีหมอผีอินกับงามตาช่วยกันลากร่างของจันเข้าไปในวงล้อมสายสิญจน์ทันที

ร่างที่สลบไสลไม่ได้สติของจัน อยู่ในวงล้อมสายสิญจน์ ถูกมัดแขนและขาเอาไว้ไม่ให้ดิ้นหนีไปได้ งามตาเริ่มมีท่าทีหวาดหวั่น
“อีจัน...มันตายแล้วรึพ่อ”
“ยัง แค่สลบไปเท่านั้น”
“พ่อจะฆ่ามันรึ”
“ข้าไม่ได้เป็นคนฆ่ามัน เอ็งคอยดูเถิด”
หมอผีอินบริกรรมคาถาเปิดประตูวิญญาณ แล้วหยิบมีดหมอคมกริบออกมาจากย่าม กรีดที่ข้อมือและข้อเท้าของจัน เมื่อมีดเฉือนเข้าที่ร่าง จันกระตุกพรืดสะดุ้งสุดตัว ร้องโอดโอยครวญครางด้วยความเจ็บปวด เลือดไหลเป็นทางยาว
“โอ๊ย...โอย...”
หมอผีอินบริกรรมคาถาอยู่ใกล้ๆ จันร้องขอความช่วยเหลือด้วยความทรมาน
“ช่วยข้าด้วย...โอ๊ย...ข้าเจ็บ ช่วยด้วย อ๊าย...”
งามตาหงุดหงิด “ร้องเสียงดังน่ารำคาญนัก เดี๋ยวใครก็ได้ยินเข้าหรอก”
หมอผีอินไม่ได้สนใจมันยิ่งจันร้องโหยหวนออกมาได้เท่าใด กลับเป็นความพึงพอใจมากเท่านั้น
“ยิ่งมันร้องคร่ำครวญมากเท่าไหร่ยิ่งดี ผู้ที่เอ็งต้องการเสน่หา มันก็จะคร่ำครวญหาเอ็งมากขึ้นเป็นเท่าทวีคูณ”
เมฆดำค่อยๆ เคลื่อนเข้าบดบังแสงจันทร์ หมอผีอินลืมตามองไปที่จันแล้วเอื้อมมือกดคอมันไว้อย่างเลือดเย็น งามตาเดินเข้ามาหา หมอผีอินสั่งเสียงเหี้ยม
“จัดการมัน”
งามตาปล่อยตัวบึ้งออกจากกล่อง ตัวบึ้งค่อยๆ คืบคลานเข้าไปหาร่างนางจันที่นอนหายใจรวยรินอยู่
หมอผีอินมองอย่างสะใจ ตัวบึ้งไต่ไปจนถึงคอ ค่อยๆ ดูดเลือดของนางจันกิน
พออิ่มเอม ตัวบึ้งก็ปล่อยพิษออกมา ร่างนางจันเริ่มกระตุก ชักอย่างทรมาน พิษของตัวบึ้งทำให้ร่างของนางจันค่อยๆ คล้ำลงเรื่อยๆ
งามตามองด้วยความสะใจ สักพักจันก็เบิกตาโพลงขยับตัวกระตุกเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะแน่นิ่งสิ้นใจไป

ร่างของจันนอนนิ่งไม่ไหวติง หมอผีอินยิ้มสะใจ จากนั้นก็จัดการ จับร่างของจันขึ้นมา กรีดเอาเลือดสดจากบริเวณคอ เลือดของจันค่อยๆ ไหลลงมาในขวดเล็กๆ ที่รองไว้ หมอผีอินยิ้มร้ายแววตาโหดเหี้ยมสุดจะประมาณ
งามตามองอย่างหวาดเสียว ก่อนจะเอาว่านนางครวญมาถูตามตัว พลางบริกรรมคาถาไปด้วย
“รักกู...หลงกู...รักกู...หลงกู...”
งามตายื่นว่านนางครวญให้พ่อ หมอผีอินเริ่มทำพิธี เอาเลือดผสมกับว่านนางครวญและใบรักซ้อน และน้ำมันเสน่ห์พร้อมบริกรรมคาถาต่อเนื่อง
จนกระทั่งเวลาใกล้รุ่งสาง ในที่สุดหมอผีอินก็ถือน้ำมันนางครวญไว้ในมือ
หมอผีอินยื่นมันไปให้งามตา งามตารับไป มองอย่างหมายมาด
“รักกู...หลงกู...รักกู...หลงกู...”
เสียงของงามตาดังกึกก้องไปทั่วทั้งป่าช้า

จำเรียงเดินขึ้นมาบนเรือนดอกเหมย ดวงแขเห็นเป็นคนแรก รีบเข้าไปต้อนรับด้วยความดีใจ
“จำเรียง ข้าดีใจจริงๆที่เอ็งกลับมา”
อบเชยตามมาติดๆ “ตอนอยู่นอกเรือนคงลำบากใช่หรือไม่ ตอนนี้เอ็งกลับมาแล้วก็ไม่ต้องห่วงนะ งามตามันก็ออกไปแล้ว คงไม่เกิดเหตุอะไรขึ้นอีก”
จำเรียงไม่พอใจ เมื่อนึกถึงงามตา
“ข้าก็ขอให้เป็นอย่างนั้น ขออย่าให้อีงามตากลับมา ข้าไม่อยากจองเวรจองกรรมกับใครนาน”
“สิ่งใดผ่านไปแล้วก็ให้มันผ่านไปเถิด ไต้ก๋งกรุณาเอ็งขนาดนี้แล้ว ต่อไปก็ตั้งใจช่วยเหลืองานท่านให้ดีเพื่อตอบแทนเถิด” ดวงแขเตือนกลายๆ
อบเชยบอกกับจำเรียงว่า “อีกไม่กี่วันก็จะมีงานใหญ่แล้ว ข้ากำลังต้องการคนช่วยเตรียมงานอยู่พอดี เอ็งกลับมาข้าจะได้เบาแรง”
พิมพ์ยืนมองเฉยๆ นึกไม่พอใจนิดๆ ที่เห็นจำเรียงกลับมา แต่สุดท้ายก็ทำเป็นยินดี
“ข้าเห็นด้วย ไต้ก๋งกรุณาเอ็งมาก อย่าให้ท่านคิดว่าเมตตาผิดคนล่ะ”
“เอ็งพูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไรนังพิมพ์” จำเรียงขัดหู
“ก็หมายความตามที่พูดนั่นละ อยู่เรือนท่านก็ควรจะสร้างความสบายใจให้ท่าน ไม่ใช่คอยแต่หาเรื่องบ่าวจนเกือบกระเด็นออกจากเรือน”
จำเรียงโกรธ รู้ว่าพิมพ์ประชดประชันแดกดันตน
“อีพิมพ์ นี่เอ็งว่าข้างั้นรึ”
“ข้าไม่ได้ว่า แต่สิ่งที่ข้าพูดมันล้วนมาจากการกระทำของเอ็งทั้งสิ้น”
“หน็อย ทำเป็นพูดดี ความจริงเอ็งมันก็งูพิษไม่ต่างจากอีงามตาดอก”
“แต่งูพิษมันก็ทำร้ายเฉพาะผู้ที่ทำร้ายมันก่อน ไม่ใช่พวกหมาบ้ากัดไม่เลือกเช่นบางคน”
“เอ๊ะ อีนี่ วอนโดนตบปากสักทีแล้วปะไร”
จำเรียงขึ้นเสียงใส่พิมพ์แถมยังเงื้อมือจะตบ แต่อบเชยตวาดขึ้นก่อน
“หยุดเดี๋ยวนี้”
จำเรียงชะงักลดมือลง อบเชยด่าว่าทั้งสองคนตรงๆ
“ทำเป็นอ้างบุญคุณไต้ก๋ง แต่คนที่สำนึกในบุญคุณพวกไหนกันจึงชอบสร้างแต่ความวุ่นวายในเรือนเช่นนี้”
“ก็นังพิมพ์มันประชดใส่ข้าก่อน”
“ไม่ใช่ข้านะ นังจำเรียงต่างหากที่ทนฟังไม่ได้เอง”
“พอสักที หยุดทะเลาะกันเดี๋ยวนี้ ไม่ว่าพวกเอ็งจะคิดอะไรก็จงหัดสงบปากสงบคำเสียบ้าง ไม่อย่างนั้นข้านี่แหละจะบอกไต้ก๋งให้ไล่พวกเอ็งออกไปให้หมด หากอยากลองดูก็เชิญ”
อบเชยขู่ด้วยสีหน้าเอาจริง จำเรียงกอดอกฮึดฮัด พิมพ์ก็ไม่ชอบใจ ดวงแขได้แต่เงียบไม่กล้าเถียงด้วย

รุ่งเช้าของวันต่อมา ชาวบ้านพ่อค้าแม่ขายในตลาดต่างพากันแตกตื่นกับข่าวใหญ่ เมื่อมีชายชาวบ้านคนหนึ่งวิ่งเข้ามาในตลาด
“ช่วยด้วย ช่วยด้วย อีจันมันผูกคอตายอยู่หลังตลาด”
ชาวบ้านตื่นตกใจสุมหัวรวมกลุ่มซุบซิบทั้งตลาด และรีบแห่ไปดูศพจันที่หลังตลาดทันที
งามตาและหมอผีอินพากันเข้ามาสมทบในที่เกิดเหตุกับคนอื่นๆ เพื่อประเมินสถานการณ์
ผู้ใหญ่ด้วงและลูกบ้านจำนวนหนึ่งที่อยู่ในนั้น พากันสันนิษฐานความเป็นไปอันนำมาสู่ความตายของจัน
“มันคงเศร้าใจที่ชีวิตไม่มีผู้ใด อีจันนี่น่าเวทนานัก”
“หรือมันเสียใจที่ชีวิตตกต่ำ ถึงต้องทำเช่นนี้”
ชายชาวบ้าน1 ว่า และสังเกตเห็นรอยกรีดที่เนื้อตัวของจัน
“แต่เหตุใดที่ข้อมือข้อเท้ามีรอยกรีด อาจจะมีผู้ไม่ประสงค์ดีฆ่ามัน”
ชายชาวบ้าน 2 เพ่งมอง แสดงความเห็นอย่างไม่พอใจ
“ใครโหดเหี้ยมปานนี้ เจ้าประคู้ณ ขอให้ผีอีจันตามไปหักคอมัน”
งามตาเริ่มยืนไม่ติดที่ หันไปสบตาผู้เป็นพ่อแวบหนึ่ง หมอผีอินสรุปตัดบท
“เร่งเอาศพมันไปฝังที่ป่าช้าเถิด เดี๋ยวจะไม่น่าดูมากกว่านี้”
“เดี๋ยวข้าคงต้องไปแจ้งทางการก่อน” ผู้ใหญ่ด้วงบอก
“เดินทางไปอีกตั้งไกล ผู้ใดจะอยู่ดูศพมัน เอาไปไว้วัดก่อนไม่ดีรึผู้ใหญ่”
ผู้ใหญ่ด้วงใคร่ครวญก่อนจะพยักหน้าบอก
“เช่นนั้นก็ได้ ผู้ใดจะอยู่เฝ้าศพมันก่อนได้บ้าง”
แต่ละคนพากันเงียบงัน ต่างก็อ้างธุระปะปังที่ต้องทำ
ชาวบ้านหญิงคนหนึ่งหันมาบอกกับเพื่อนที่ยืนอยู่ด้วยกัน
หญิงชาวบ้าน3 เอ่ยขึ้นว่า “เขาว่าคืนนี้จะมีงานที่ตลาด อีจันดันมาตาย ใครจะกล้าไปดูวะ”
หญิงชาวบ้าน4 เออออด้วย “นั่นสิ ข้าคนหนึ่งละ ที่ไม่ออกจากบ้านคืนนี้”
งามตาได้ยินเรื่องงานคืนนี้ นึกสงสัยแต่ไม่ได้ถามออกไป
ผู้ใหญ่ด้วงเห็นมีแต่คนซุบซิบเรื่องงานคืนนี้ แต่ไม่มีใครอาสาเฝ้าศพ เลยถามย้ำอีก
“ว่าอย่างไร ผู้ใดจะช่วยบ้าง”
ชาวบ้านยกมือขึ้นกล้าๆ กลัวๆ ต่างพูดปฏิเสธกันกันพัลวัน
“ข้าต้องไปขายของ คงช่วยไม่ได้ หากใครรู้ว่าไปโดนตัวศพมาใครจะกล้าซื้อของ” ชายชาวบ้าน1 บอก
ชายชาวบ้าน2 ก็ว่า “ข้าด้วย ข้าต้องพาแม่เข้าไปพระนครไม่ว่างเช่นกัน
“ข้าด้วยๆๆ”
พอเห็นว่าไม่มีคนคิดช่วย ผู้ใหญ่ด้วงก็รีบตัดบท
“หยุด ไม่ต้องพูดอ้างสิ่งใด ปล่อยไว้ก็จะอุจาดตาเสียเปล่าๆ ข้าจะเกณฑ์คนมาจัดการเอง”
“ส่วนเรื่องที่พวกเอ็งกลัว ไม่ต้องห่วง พวกเอ็งจะสำเริงสำราญตามสะดวกใจ ข้าหมอผีอินจะสะกดวิญญาณมันไม่ให้หลอกหลอนพวกเอ็งได้”
คำพูดของหมอผีอินทำให้ชาวบ้านดูโล่งใจขึ้น ผู้ใหญ่ด้วงหันไปสั่งผู้ช่วย
“รีบจัดการเร็วเข้าเถิด ก่อนจะเอิกเกริกไปมากกว่านี้”
ชายชาวบ้านสองสามคน เข้ามาช่วยกันหามศพจันขึ้นรถลากที่เตรียมรอไว้ก่อนแล้ว

ชาวบ้านในตลาดต่างซุบซิบถึงการตายของจัน หมอผีอินนั่งสูบยาอยู่มุมหนึ่งในตลาดกับงามตา ยิ้มพอใจ
“เรื่องใหญ่โตขนาดนี้พ่อมันใจหรือว่าจะไม่มีรู้แน่”
“หากไม่มั่นใจข้าคงมีชื่อเป็นหมอผีอินถึงทุกวันนี้ไม่ได้”
“อย่างไรก็ได้ ขอให้ข้าไม่เดือดร้อนก็พอ”
“เอ็งใจเย็นเถิด คนที่เป็นเดือดเป็นร้อนจะไม่ใช่เอ็งอย่างแน่นอน”
“ถ้าไม่ใช่ฉันแล้วเป็นผู้ใดเล่าพ่อ”
“ไอ้พวกเรือนลำพระพายนั่นอย่างไร เอ็งรู้หรือไม่ว่าไต้ก๋งจะมาร่วมงานต้อนรับแขกฝรั่งเพื่อนของหลวงวิเศษ ไต้ก๋งเลยจ้างทั้งยี่เกทั้งงิ้วมาเล่นให้ดู”
งามตาคิดตาม “งานที่ชาวบ้านว่านั่นเอง”
“ใช่ แล้วคราวนี้ล่ะ ที่เอ็งจะได้ทุกอย่างสมใจ”
“อย่างไรกันพ่อ”
หมอผีอินคิดแผนร้ายขึ้นมาอีก
“จะมีคนไปที่ตลาดมากมาย จะไม่มีใครสังเกตเห็นเอ็ง คราวนี้ก็เป็นทีของเอ็ง...เอ็งต้องหาโอกาสเอาน้ำมันเสน่ห์นางครวญให้มันกิน คืนนี้”
“คืนนี้” งามตาตกใจ
“ใช่ คืนนี้ อย่ารอช้า โอกาสนั้นมีไม่มาก เมื่อมีแล้วก็จงฉกฉวยมันให้ได้ พวกมันทำพวกเอ็งเจ็บแสบอย่างไร เอ็งต้องเอาคืนอย่างสาสม”
หมอผีอินหยิบของสิ่งหนึ่งออกมาจากย่าม เป็นขวดน้ำมันว่านนางครวญ
“ข้าจะอยู่ทำพิธีเสน่ห์นางครวญที่ป่าช้า เอ็งต้องทำให้ได้ อย่าได้พลาดอีก”
งามตายิ้มพอใจ นัยน์ตาวาวโรจน์ขึ้นมา
“ข้าจะไม่พลาดเป็นแน่”

บรรยากาศที่เรือนดอกเหมยในตอนสาย คึกคักเป็นพิเศษ ดวงแข อบเชย จำเรียง และพิมพ์ กำลังเตรียมตัวจะไปร่วมงานฉลองคืนนี้ บ่าวหญิงหลายคนเข้ามาช่วยกันทำขนมข้าวต้มมัด ขนมลูกชุบและขนมเม็ดขนุนจำนวนมาก
บ่าวจำนวนหนึ่งแยกตัวนั่งห่างออกไป ต่างตั้งอกตั้งใจสานชลอมเล็กๆ ไว้หลายอัน เพื่อเอาไว้แบ่งใส่ขนม เป็นของติดไม้ติดมือสำหรับแขกที่มาได้นำกลับไปบ้านด้วย
นมขามเข้ามาดูยิ้มพอใจเดินมาสั่งอบเชยที่ช่วยสานชะลอมอยู่
“เอาตาถี่ๆ หน่อย ชะลอมจะได้สวย รู้รึไม่ ว่าฝีมือพวกเอ็งจะเดินทางไกลไปถึงเมืองฝรั่งเชียวนะโว้ย”
“ฝีมือพวกข้าก็สวยอยู่แล้ว คุณนมไม่ต้องห่วงไปหรอกเจ้าค่ะ”
“ทำเป็นพูดดี ขอให้ได้อย่างราคาคุยแล้วกันนังอบเชย ไม่ใช่สานชะลอมเสียกลายเป็นตาข่ายดักปลา”
อบเชยค้อนควักให้ แล้วสานตะกร้าต่อ สามสาวที่เหลือหัวเราะขำ
นมขามเดินไปดูอีกมุมหนึ่ง เห็นกล่ำกำลังยกถาดขนมที่นึ่งเสร็จแล้วไปวาง
กล่ำเดินเลี่ยงไปรออีกทางหนึ่งรอเวลา เมื่อเห็นเม็ดขนุนในถาดพักเย็นพอชิมแล้วก็แอบหยิบเข้าปาก แต่ต้องร้องลั่น
“ว้าย” ด้วยเม็ดขนุนร้อนจี๋ติดคาอยู่กับฟัน กล่ำร้องลั่นดึงทิ้งแทบไม่ทัน
“นังกล่ำ ทำอะไรของเอ็ง”
“ม…เม็ดขนุนมันร้อนเจ้าค่ะ”
กล่ำใช้มือพัดลิ้นตัวเองให้คลายร้อน นมขามบ่นกล่ำใหญ่
“ตะกละเสียจริงนะเอ็ง ดี สมแล้ว ให้ลิ้นมันพองตายไปเสียก็ดี”
สี่สาวกับพวกบ่าวในนั้นพากันหัวเราะขำ กับความตะกละของกล่ำ

บรรยากาศยามค่ำคืนนี้ที่ตลาดคึกคัก ผู้คนหนาตา คล้ายกับงานวัดขนาดย่อมๆ ยังไงยังงั้น มีธงราวกระดาษแก้วหลากสีติดประดับรายรอบตลาด กลุ่มแม่ค้าเปลี่ยนมาเป็นขายอาหารตอนกลางคืน ผู้คนเดินจับจ่ายใช้สอยกันมากมายดูสนุกสนาน
สักครู่หนึ่ง รำเพยและไต้ก๋งชางก็เดินเข้ามาในตลาด พร้อมพวกสี่สาวเรือนดอกเหมย มีกล่ำกับแถนตามมาคอยดูแลเจ้านายด้วย ชาวบ้านร้านตลาดต่างมองมายังไต้ก๋งกับภรรยาด้วยสายตาชื่นชม ไต้ก๋งชางทักทายกลุ่มชาวบ้านอย่างเป็นกันเอง
ไต้ก๋งชางกับรำเพยเดินไปที่เรือนรับรองของขุนพิเศษที่ตลาด ขุนพิเศษและภรรยาพาแขกมาถึงที่นั่นก่อนแล้ว กำลังนั่งสนทนากับเหล่าแขกฝรั่งอย่างออกรส
เมื่อขุนพิเศษเห็นไต้ก๋งมาก็รีบลุกไปต้อนรับ
“ไต้ก๋ง คุณรำเพย เชิญนั่งก่อน”
ไต้ก๋งชางไปนั่งรวมกับกลุ่มขุนพิเศษ กล่าวทักทายแขกด้วยภาษาฝรั่งอย่างคล่องแคล่ว
ไต้ก๋งชางแนะนำรำเพยให้แขกรู้จัก รำเพยยิ้มยกมือไหว้อ่อนช้อยตามแบบยิ้มสยาม
สี่สาวเรือนดอกเหมยรู้สึกตื่นตาตื่นใจกับงานวันนี้มาก ได้แอบยืนมองทั้งสองคนอยู่ห่างๆ
“ข้าไม่รู้มาก่อนเลยว่าไต้ก๋งพูดภาษาฝรั่งได้” พิมพ์ยิ้มปลื้ม
“ข้าเคยได้ยินชาวบ้านพูดกันว่าไต้ก๋งถนัดทั้งจีนไทยฝรั่ง จึงได้ดิบได้ดีมาจนทุกวันนี้…คุณรำเพยโชคดีนักที่ได้สามีเช่นนั้น”
จำเรียงพูดเหมือนยินดีแต่จริงๆ ในใจเต็มไปด้วยความอิจฉาริษยา
“ไต้ก๋งเองก็โชคดีที่มีภรรยาอย่างคุณรำเพยเช่นกัน สตรีเช่นคุณรำเพยไปออกงานที่ใดสำรวม กิริยาวาจาดี ไม่ทำให้ไต้ก๋งขายหน้า” ดวงแขบอก
“แต่ข้าว่าคงจะทำให้ไต้ก๋งขายหน้าน้อยกว่า ถ้าพวกเอ็งไม่ยืนนินทานายอยู่แถวนี้”
ทั้งสามคนชะงัก หยุดพูดทันที อบเชยบอกต่อว่า
“ไปหาที่นั่งกันเถิด อย่าเดินไปมาให้วุ่นวายนัก คนอื่นเห็นเขาจะว่าเอาได้”
อบเชยเดินนำทุกคนไป ดวงแขตามไปอย่างว่าง่าย แต่พิมพ์กับจำเรียงเบะปาก ไม่ชอบใจ

งามตาเดินมาหลังตลาด มองไปรอบๆ เหมือนรอคอยใครสักคน สักพักก็มีคนเดินมาด้านหลังแล้วกอดเอวหมับ งามตาตกใจผลักออกอย่างแรง แต่พอหันไปปรากฏว่าเป็นก้อนนั่นเอง
“ไอ้…พี่ก้อน”
“เจอกี่ครั้งก็ทำเป็นผลักไสข้าตลอดเลยนะ อีงามตา”
งามตารีบแก้ตัว ทำเป็นพูดดีกับก้อน
“ฉันขอโทษ ฉันนึกว่าจะมีใครมาทำร้าย จึงต้องป้องกันตัว”
“เอาเถิด ข้าไม่ได้ถือดอก แค่เอ็งนัดข้ามาเจอที่นี่ข้าก็ดีใจแล้ว”
ก้อนพูดพร้อมเอามือเชยคางมองจ้องหน้างามตาด้วยสายตากรุ้มกริ่ม
“ฉันก็ดีใจที่เจอพี่”
“ข้าเจ็บใจเหลือเหลือเกินที่ไอ้เจ๊กนั่นมันไล่เอ็งออกจากเรือน จะพบแต่ละคราวถึงลำบากเช่นนี้”
“ข้าก็เจ็บใจเช่นกัน แต่เอาเถิด พี่มาวันนี้ก็ดีแล้ว”
“ใช่ คนในเรือนต่างพากันออกมาชมงานคราวนี้หมด ไม่มีใครสนใจข้า ข้าจะได้มีเวลาอยู่กับเอ็งเต็มที่”
ก้อนเข้าไปโอบเอวงามตา งามตาแอบเบะปากรังเกียจ แต่ก็แกล้งโอนอ่อนไปก่อน
“ว่าอย่างไร เราจะใช้เวลาด้วยกันที่ใดดีเล่า”
ก้อนจะหอมแก้มงามตา แต่ลูกสาวหมอผีเล่นตัว ยั้งไว้ก่อน
“แหม พี่นี่ก็ ใจร้อนจริง ไม่คิดจะออกไปเดินชมงานกับเขาหน่อยรึ”
“ไอ้งานรื่นเริงพวกนี้ข้าไม่สนใจดอก ข้าสนใจเอ็งมากกว่า”
“แต่งานแบบนี้นานๆ ทีถึงจัดสักคราว ข้าก็เพิ่งมาถึง จะให้…ไปอยู่กับพี่เลยก็น่าเสียดาย”
งามตาทำเป็นเขินอายเหมือนจะไม่ยอมง่ายๆ ก้อนเริ่มหงุดหงิด
“อย่างไรกัน เอ็งบอกว่านัดข้าออกมาเพราะอยากเจอ พอข้ามาเอ็งทำเป็นกระบิดกระบวน เอ็งต้องการสิ่งใดแน่”
“โธ่ พี่ก้อน ที่ฉันอยากเจอพี่นั้นเป็นความจริง แต่ที่ฉันอยากชมงานก็เป็นความจริงเช่นกัน”
งามตาช้อนตามองออดอ้อน ก้อนรับรู้ว่างามตาไม่ได้ต้องการแค่นั้น
“ข้าว่าเอ็งไม่ได้อยากชมแต่งานเสียแล้วกระมัง”
งามตายิ้มเจ้าเล่ห์
“พี่นี่รู้ใจฉันเสียจริง”
“คนอย่างเอ็งข้ารู้ไส้รู้พุงดีทั้งหมด ที่เอ็งให้ข้าออกมาคงเพราะต้องการให้ข้าทำสิ่งใดบางอย่างใช่หรือไม่”
งามตาหัวเราะคิก เกาะแขนก้อนพลางกระซิบบอกข้างหู
“ใช่แล้ว ข้ามีเรื่องให้พี่ช่วย”
“เรื่องใดกัน”
“พี่เกลียดไอ้เจ้าบ้านลำพระพายนั่นใช่หรือไม่ ถ้าพี่คิดเช่นนั้น ช่วยข้าสักหน่อยเถิด ถึงเวลาที่พี่จะได้เอาคืนมันแล้ว”
งามตายิ้มร้าย ก้อนสงสัยว่างามตาจะให้ช่วยทำอะไร

ไต้ก๋งชางกับรำเพยและแขกมาถึงหน้าโรงงิ้ว ไต้ก๋งชางบอกกับขุนพิเศษและแขกว่า
“กระผมขอเชิญทุกท่านมาชมงิ้วนะขอรับ วันนี้กระผมให้ขอให้ทางคณะแสดงเรื่องที่กระผมชอบ หวังว่าจะถูกใจทุกท่าน เชิญครับ”
ขุนพิเศษพยักหน้ารับ แล้วพาแขกฝรั่งเข้าไปในโรงงิ้วก่อน
ไต้ก๋งชางกับรำเพยจะตามไป แต่กล่ำยืนบิดไม่มาไม่ยอมเข้า รำเพยเลยถาม
“กล่ำ รออะไรอยู่หรือ เหตุใดยืนนิ่งไม่ยอมเข้าไป”
กล่ำมองหน้าแถนตีแขนเชิงให้ช่วยพูด แถนทำหน้าหน่ายๆ แล้วโพล่งขึ้น
“คืออย่างนี้ขอรับ นังกล่ำมันบอกกับกระผมว่าไม่อยากดูงิ้ว แต่มันกลัวไต้ก๋งว่าเลยไม่กล้าพูดขอรับ”
กล่ำตกใจ ตีแขนแถนอีก
“ทำไมพูดเช่นนั้นเล่าพี่แถน”
“ก็เอ็งบอกว่าไม่อยากดูไม่ใช่รึ”
“ข้าบอกให้พี่ช่วยขออนุญาตไต้ก๋ง มิใช่ไปฟ้องว่าข้าไม่อยากดูงิ้ว”
“อ้าว ข้าพูดความจริงแล้วเอ็งจะต้องการสิ่งใดอีก”
“ไปพูดเช่นนั้นเดี๋ยวไต้ก๋งก็ว่าข้าได้หรอก เราตามมารับใช้ท่านนะ”
เห็นแถนกับกล่ำเถียงกันไม่เลิก ไต้ก๋งชางเลยห้ามทัพไว้
“พอเถิดไม่ต้องเถียงกัน ข้ายังไม่ทันได้ว่าอะไรเลย”
กล่ำหน้าง้ำ ค้อนควักใส่แถน รำเพยขำบอกกล่ำขึ้นว่า
“คุณพี่กับฉันไม่โกรธหรอก หากกล่ำจะอยากไปดูอย่างอื่น”
“จริงหรือเจ้าคะคุณรำเพย”
“จริงสิจ๊ะ ฉันให้พวกกล่ำตามมาก็หวังจะให้พักผ่อนไปด้วย หากมาคอยตามแต่พวกฉันก็คงไม่สนุกจริงไหม”
“น้องรำเพยพูดถูก เอ็งอยากดูสิ่งใดเล่า”
กล่ำก้มหน้าบอกเขินๆ
“อิฉันอยากดูยี่เกเจ้าค่ะไต้ก๋ง คุณรำเพย”
“ถ้าเช่นนั้นเอ็งไปดูยี่เกเถิด หากจบแล้วค่อยกลับมา”
“จริงหรือเจ้าคะ อิฉันไปดูยี่เกได้ใช่ไหมเจ้าคะ”
ไต้ก๋งชางพยักหน้าให้ กล่ำยิ่งดีใจ เขย่าตัวแถนใหญ่
“ไต้ก๋งอนุญาตแล้ว ฉันไปดูได้แล้ว ไปเถิดพี่แถน ไปเป็นเพื่อนข้าหน่อย”
แถนพยักหน้าแบบตัดรำคาญไป สักพักเสียงดนตรีโหมโรงงิ้วก็ดังขึ้น
“งิ้วจะเริ่มแล้ว เราเข้าไปดูกันเถอะค่ะคุณพี่”
รำเพยกับไต้ก๋งชางจะเดินเข้าโรงงิ้ว กล่ำมองตามไปที่เวที
แต่พอพระเอกงิ้วออกมา กล่ำก็ถึงกับตะลึง แถนที่กำลังจะเดินไปงงว่ากล่ำเป็นอะไรเลยมาตาม
“นังกล่ำ ไหนว่าจะดูยี่เกไม่ใช่รึ แล้วยืนเป็นบื้ออะไรอยู่ตรงนี้เล่า”
แถนจะดึงแขนกล่ำแต่กล่ำขืนตัวไว้
“ข้าไม่ไปแล้วพี่”
“อะไรของเอ็งวะ”
“ข้าไม่ไปแล้ว ดูซี พระเอกงิ้วหน้ามนก็ดีไม่ใช่น้อย ข้าไม่ดูแล้วยี่เก ข้าจะดูงิ้ว ไปเถอะ ชักช้าจะไม่ทันการ”
พูดจบกล่ำก็ลากแถนไปดูงิ้วลิกงลิเกไม่สนแล้ว แถนเกาหัวงงๆ

ด้านไต้ก๋งชางพารำเพยเดินชมงาน ดูนั้นนี้โน้นอย่างมีความสุข สี่สาวตามมาด้วยกันออกอาการตามจริตใครมัน
ดวงแขมองอย่างตื่นตา จำเรียงทำหน้าเบื่อหน่าย พิมพ์ลอบสังเกตอาการทุกคนอยู่เงียบๆ ส่วนอบเชยคอยชี้สั่งให้ทุกคนเดินไปทางนั้นทางนี้ จนจำเรียงทำฮึดฮัดใส่เป็นพักๆ
งามตาแอบมองอยู่อีกมุมหนึ่ง จดสายตามองสองผัวเมียด้วยความริษยา คิดจะเอาคืนให้ได้
งามตาเงยหน้ามองท้องฟ้า ดูเวลา แล้วเดินสวนผู้คนตรงไปยังร้านขายน้ำดื่มแถวนั้น
ช้อย แม่ค้าขายน้ำเมื่อเห็นงามตาก็ทักทายอย่างดี
“รับน้ำอะไรดีจ๊ะ”
“ป้าช่วยฉันสักอย่างหนึ่งได้หรือไม่”
งามตายิ้มให้ช้อย แต่แววตากลับดูเย็นชาน่ากลัว

ฝ่ายก้อนกลับเข้ามาที่เรือนรับรองแขกในงาน เห็นไต้ก๋งกับรำเพยอยู่กันตามลำพังจึงเข้าไปรายงาน
“ไต้ก๋งขอรับ กระผมมีเรื่องจะเสนอขอรับ”
“ว่าอย่างไรไอ้ก้อน”
“เมื่อสักครู่กระผมออกไปชมงานแล้วได้ชิมน้ำมะตูมอยู่เจ้าหนึ่ง รสชาติดีนักขอรับกระผมจึงเสนอว่านำมาให้แขกฝรั่งกิน”
“น้ำมะตูมรึ” รำเพยสนใจ
“ขอรับ ป้าช้อยเจ้าของร้านแกก็ยินดีเห็นว่าอยากให้แขกต่างเมืองได้ลิ้มรสน้ำมะตูมของเมืองสยาม จึงอยากขอพบได้ก๋งเพื่อขออนุญาตขอรับ”
ไต้ก๋งชางคิดปราดเดียวแล้วยิ้มบอก
“ดีเหมือนกัน แม่ค้าผู้นั้นรอข้าอยู่ใช่หรือไม่”
“ขอรับ”
“เช่นนั้นก็เรียกให้เข้ามาพบข้า”
ก้อนเลี่ยงออกไปไม่นาน ก็กลับเข้ามาพร้อมกับป้าช้อย
“เอ็งหรอกรึ เจ้าของน้ำมะตูม”
“เจ้าค่ะ”
“เห็นบ่าวของข้าว่าน้ำมะตูมของเอ็งรสชาติดีนัก ข้าจึงสนใจอยากนำไปให้แขกบ้านแขกเมืองได้ชิม เอ็งจะยินดีหรือไม่”
“ยินดีนักเจ้าค่ะไต้ก๋ง ข้ารับรองว่าน้ำมะตูมของจะไม่ทำให้ไต้ก๋งขายหน้าเป็นแน่”
“หากเอ็งมีจิตคิดแบ่งปันข้าก็ไม่ขัด เช่นนั้นก็ไปจัดมาให้ครบคน ราคาทั้งหมดเท่าไหร่ก็แจ้งมา”
“ข้าไม่เอาเงินดอกเจ้าค่ะ ขอแค่ได้พิสูจน์ฝีมือให้เลื่องลือไปถึงเมืองไกล”
ไต้ก๋งชางหัวเราะพอใจ
“ข้าขอบใจเอ็งมาก เช่นนั้นจะช้าอยู่ไย เร่งไปจัดมาเถิด”
ช้อยพยักหน้าแล้วกลับไปที่ร้านอย่างดีใจ

เมื่อกลับมาถึงร้าน ช้อยพบว่างามตายืนรออยู่ก่อนแล้ว บอกกับงามตาอย่างดีใจ
“ไต้ก๋งให้จัดการลำเลียงเข้าไปบริการแขกได้เลย”
งามตายิ้มสมใจที่ทุกอย่างเข้าแผน
“ข้ายินดีด้วย คราวนี้ที่ร้านป้าคงได้ลูกค้าเพิ่มทวีคูณเป็นแน่”
“เป็นอย่างที่เอ็งบอกจริงๆ ด้วย ว่าหากเสนอให้ไต้ก๋งนำไปเลี้ยงแขกได้ข้าจะได้อัฐมาก ขอบใจเอ็งมากนะ”
“ไม่เป็นไร ข้าเพียงแต่แนะนำสิ่งที่ถูกที่ควรเท่านั้น”
“อย่างไรข้าก็ต้องขอบใจ คราวหลังจะให้ข้าช่วยสิ่งใดอีกก็ได้ ข้ายินดี”
“จริงหรือ ป้าจะช่วยฉันจริงหรือ”
“จริงสิวะ”
งามตายิ้มกระหยิ่ม หยิบน้ำแก้วใหญ่ลวดลายสวยงามขึ้นมา
“ถ้าเช่นนั้น ข้าฝากแก้วนี้สำหรับไต้ก๋งชางหน่อย จะได้หรือไม่”
งามตายื่นแก้วให้ ช้อยรับไปอย่างยินดี โดยไม่รู้แผนของงามตา

หลังจากแขกมารวมตัวกันเรียบร้อย บ่าวก็นำน้ำมะตูมที่ไต้ก๋งชางกับรำเพยให้เตรียม ออกมาให้แขกรำเพยอธิบายสรรพคุณน้ำมะตูมให้แขกฟัง
“น้ำมะตูมนี้สรรพคุณดีนักนะเจ้าคะ นอกจากช่วยดับกระหายแล้วยังช่วยขับลมอีกด้วย ลองชิมดูนะเจ้าคะ”
พอแขกดื่มเข้าไป ต่างก็ชมว่าอร่อยทั้งแถบ รำเพยกับไต้ก๋งชางยิ้มหน้าบาน
ไต้ก๋งชางยืนสนทนากับคนอื่นอยู่ชั่วครู่ก็นึกได้ว่าตนยังไม่ได้น้ำมะตูมเหมือนคนอื่น จึงหันมาทางรำเพย
“แล้วเหตุใดพี่ไม่มีน้ำมะตูมเช่นคนอื่นเล่า”
รำเพยหัวเราะขัน แต่ละคนพากันหัวเราะตาม สักครู่บ่าวชายนำแก้วน้ำแก้วใหญ่เข้ามาส่งให้
“มาแล้วขอรับไต้ก๋ง ป้าช้อยแกบอกว่าพิเศษสำหรับไต้ก๋งทีเดียวขอรับ”
ในแก้วน้ำมะตูมที่ว่า มีลอยดอกมะลิลอยสองสามดอกเพิ่มกลิ่นหอมและความสวยงาม รำเพยเห็นก็ยิ้มชื่นชม
“มีดอกมะลิประดับเสียด้วย เห็นทีแม่ช้อยคงประทับใจคุณพี่เข้าเสียแล้ว”
ไต้ก๋งชางยิ้มขำ พูดหยอกรำเพยกลับไป
“น้องจะลองชิมแก้วนี้กับพี่ไหมเล่า เผื่อว่าจะมีสิ่งใดพิเศษ”
“ไม่เจ้าค่ะ เห็นทีผู้จัดน้ำแก้วนี้คงอยากให้คุณพี่ผู้เดียวกระมัง”
รำเพยเยื้อนยิ้ม ไต้ก๋งชางหัวเราะชอบใจ
งามตาชะเง้อชะแง้ ลุ้นระทึกว่าไต้ก๋งชางจะดื่มน้ำหรือไม่ พอเห็นไต้ก๋งเอาแต่พูดคุยกับรำเพยไม่กินสักที ก็หงุดหงิดขัดอกขัดใจ บ่นบ้าออกมา
“มัวแต่พิรี้พิไรอยู่นั่น อีเมียก็จริต อีผัวก็กระบิดกระบวน เมื่อใดจะกินเข้าไปสักที”

สายตาที่เพ่งมองเริ่มมีความหวัง เมื่อเห็นไต้ก๋งชางยกแก้วน้ำทำท่าจะดื่ม งามตาลุ้นระทึก

อ่านต่อ ตอนที่ 8

#เสน่ห์นางครวญ #ช่อง8 #thaich8


กำลังโหลดความคิดเห็น