xs
xsm
sm
md
lg

เสน่ห์นางครวญ ตอนที่ 9 ไต้ก๋งชางหลงเสน่ห์งามตาหัวปักหัวปำ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


เสน่ห์นางครวญ ตอนที่ 9

บทประพันธ์ : หงส์หยก บทโทรทัศน์ : พิชฌสินี

ขณะที่สี่สาวพร้อมกับบ่าวคนอื่นๆ กำลังทำขนมสำหรับไปส่งขายที่ตลาดอยู่ แถนขึ้นเรือนดอกเหมยมาเห็นสาวๆ นั่งคุยหัวเราะหัวใคร่กันอยู่ ก็อดไม่ได้ที่จะเข้าไปพูดจาหยอกล้อเล่นด้วย

“แม่หญิงทั้งหลาย ทำขนมอะไรกันนี่ หอมไกลไปถึงหน้าเรือนเชียว”
พิมพ์เห็นแถนก็นึกหมั่นไส้ ตอบกลับไปว่า
“แหม พ่อคู้ณ จมูกดีจริงนะ อยู่ถึงหน้าเรือนก็ได้กลิ่น เหมือนตัวอะไรน้อ...”
แถนสะดุ้ง “โธ่...พี่ไม่ใช่ไอ้พวกสี่ขานะน้องพิมพ์ จะได้จมูกดีแบบนั้น”
“พิมพ์มันก็พูดตามที่มันคิดแหละพี่ ก็พี่เล่นพูดว่าได้กลิ่นมาตั้งแต่โน่น” จำเรียงผสมโรง
แถนเหวอที่โดนตอกกลับ สาวๆ แถวนั้นพากันหัวเราะขำกันหมด มีแต่ดวงแขที่รู้สึกเห็นใจแถน พูดปรามคนอื่น
“อย่าไปแกล้งพี่แถนสิพวกเอ็ง”
“แหม ปกป้องกันจริงนะ คนบ้านนี้” พิมพ์หมั่นไส้
“ช่วยไม่ได้นี่จ๊ะน้องพิมพ์ ญาติกันก็ต้องช่วยเหลือกัน” แถนหันไปหาดวงแข “จริงไหม”
ดวงแขหัวเราะขำ พิมพ์มองค้อน
“ให้ข้ามีญาติร่วมเรือนบ้างปะไร จะได้มีคนช่วยบ้าง”
“ดวงแขเขาเป็นญาติเลยมีไมตรีกับพี่ แต่ไม่รู้จะมีแม่หญิงแถวนี้ใจดีให้ขนมพี่กลับไปกินหรือเปล่า”
แถนพูดอ้อนใส่อบเชย แต่ถูกอบเชยเบะปากใส่
“ขนมทำไว้ตั้งมาก แม่อบเชยให้พี่แถนกลับไปชิมสักหน่อยคงไม่เป็นไรกระมัง” ดวงแขว่า
อบเชยทำหน้าหงิก เชิดใส่แถน พวกจำเรียงพากันหัวเราะใหญ่
“พี่แถนอยากชิมงั้นรึ”
“ใช่สิจ๊ะน้องอบเชย”
“หากอยากชิม ก็ไปขอให้คุณนมที่เรือนทำโน่น นี่ของซื้อของขายให้ชิมไม่ได้ดอก”
แถนจ๋อย “โธ่ น้องอบเชย เหตุใดตัดรอนพี่นัก”
“ข้าไม่ได้ตัดรอน แต่ข้าว่าพี่ไปทำงานของตนเสียเถิด ดีกว่ามาเดินลอยชายอยู่นี่ ปกติเวลานี้ไต้ก๋งต้องออกตรวจตลาดแล้วไม่ใช่รึ”
แถนนึกได้ “จริงด้วย”
“ถ้าเช่นนั้นก็รีบไปเสียไป หากไต้ก๋งหาพี่ไม่เจอ เดี๋ยวจะโดนดุเอา”
จำเรียงแกล้งพูดขู่ แถนรีบดีดตัวลุกขึ้นวิ่งกลับเรือนทันที สาวๆ ยิ่งขำ
ไต้ก๋งชางค่ำคืนนั้น แต่นอนไม่หลับกระสับกระส่ายไปมาในหัวคิดถึงแต่งามตา
ตั้งแต่ตอนเจองามตาครั้งแรกที่ตลาด จนรับเข้ามาในบ้าน แหละงามตาแกล้งทำเป็นเจ็บขา ให้ไต้ก๋งชางอุ้มไปส่งที่เรือนบ่าว ไต้ก๋งชางนอนละเมอเพ้อพร่ำถึงแต่งามตา ไม่เป็นอันหลับอันนอน
“งามตา...งามตา…”

รุ่งเช้า ไต้ก๋งชางเดินออกมาจากเรือน ด้วยสีหน้าหมองคล้ำเหมือนคนอดนอนทั้งคืน
แถนเตรียมรถรออยู่หน้าเรือนใหญ่ พอหันไปเห็นไต้ก๋งชางยืนนิ่ง มองเหม่อเหมือนคนไม่ได้สติ
แถนเห็นไต้ก๋งชางดูแปลกๆไปเลยเข้ามาทัก
“ไต้ก๋งขอรับ”
ไต้ก๋งชางเงียบเหมือนคิดอะไรบางอย่างอยู่ แถนเรียกซ้ำ
“ไต้ก๋งขอรับ เราจะไปตลาดกันหรือยังขอรับ”
ไต้ก๋งชางหันมาตอบแถน ดูเย็นชากว่าปกติ
“ไปสิแถน”
“ถ้าเช่นนั้นเชิญไต้ก๋งขึ้นรถขอรับ”
“แต่ข้าจะไม่ไปตลาด”
แถนงง “ว่าอย่างไรนะขอรับ”
“บ้านหมอผีอิน”
แถนถามย้ำอีกครั้งเพราะไม่แน่ใจ
“ไต้ก๋งจะไปบ้านผู้ใดขอรับ”
ไต้ก๋งชางมองไป ตาขวาง
“ข้าจะไปบ้านหมอผีอิน”
ไต้ก๋งชางพูดจริงจัง น้ำเสียงดูน่ากลัว แถนไม่อยากจะเชื่อ

แถนกำลังเอาเรือออก เพื่อจะไปบ้านหมอผีอิน ไต้ก๋งชางยืนรออยู่ทางทางร้อนรน อยากจะรีบไปไวๆ จึงเร่งแถน
“แถน เร่งหน่อยได้หรือไม่ บ่ายคล้อยมากแล้ว”
“สักครู่นะขอรับไต้ก๋ง น้ำมันเข้าไปเสียเต็มเรือ ต้องวิดออกก่อน กระผมเกรงว่าไต้ก๋งจะนั่งไม่สบาย”
“ช่างมันเถิด รีบเข้า แล้วนี่เอ็งรู้จักบ้านหมอผีอินใช่หรือไม่”
“รู้ขอรับ อยู่ท้ายตลาดโน่น ชาวบ้านแถวนั้นรู้จักกันทั้งนั้น แต่ต้องไปทางเรือจะไวกว่าทางรถขอรับ”
แถนตอบพลางจัดการเอาเรือออกจากท่า ไต้ก๋งชางร้อนใจอยู่อย่างนั้น

นมขามเดินมาจากมุมหนึ่ง พอเห็นแถนกับไต้ก๋งรีบเร่งเอาเรือออกก็เดินเข้ามาถาม
“ไต้ก๋งเจ้าคะ”
“คุณนม”
ไต้ก๋งชางตกใจนิดๆ หลบตาวูบ นมขามมองทั้งคู่ด้วยความสงสัย
“จะไปที่ใดกันหรือเจ้าคะไต้ก๋ง ถึงให้ไอ้แถนรีบร้อนเอาเรือออก”
“ไต้ก๋งให้ข้าพาไปบ้านหมอผีอินน่ะคุณนม” แถนบอก
นมขามแปลกใจ “ว่าอย่างไรนะไอ้แถน เมื่อกี้ข้าฟังผิดไปรึไม่”
“ไม่ผิดดอกป้า..ไต้ก๋งให้ข้าไปส่งที่เรือนหมอผีอิน”
นมขามทักท้วงไต้ก๋งขึ้น “แต่ว่าไต้ก๋งต้องออกไปตรวจตลาดไม่ใช่หรือเจ้าคะ”
ไต้ก๋งชางอึกอักรีบหาข้อแก้ตัว
“ข้า...อยากจะไปขอโทษงามตาที่เคยทำไม่ดีไว้กับมันน่ะคุณนม”
“เหตุใดต้องขอโทษเจ้าคะ ในเมื่อมันเองก็ทำพวกเราไว้เจ็บแสบนัก ไต้ก๋งยังเคยโกรธแค้นมันมาก แต่วันนี้กลับให้อภัยเสียง่ายๆ”
นมขามถามด้วยความสงสัย จนไต้ก๋งชางที่อยู่ในมนต์สะกดเริ่มไม่พอใจ
“นั่นมันเป็นเรื่องในอดีตไปแล้ว เวลานี้ข้าจะให้หรือไม่ให้อภัยผู้ใดก็ย่อมได้ นมจะถามให้มากความไปเพื่ออะไรกัน”
ถูกไต้ก๋งขึ้นเสียงใส่ ทำเอานมขามหน้าเสีย อึ้งไปชั่วอึดใจหนึ่ง
“เปล่าเจ้าค่ะ อิฉันแค่สงสัย เพราะไต้ก๋งไม่เคยเป็นเช่นนี้”
“ข้าจะเป็นเช่นไรหรือไปที่ใดมันก็เรื่องข้า คุณนมอย่าถามนักเลย เสียเวลาข้ามากแล้ว ไปแถน รีบไปเร็ว”
ไต้ก๋งชางรีบร้อนลงเรือออกไปเลย ท่ามกลางความงุนงงสัยสัยของนมขาม

อีกฟากหนึ่ง รำเพยในชุดขาว นั่งสมาธิอยู่ใต้ร่มไม้ใหญ่ แต่สีหน้าดูว้าวุ่นเป็นกังวลบางอย่าง เฝ้าถอนหายใจไปมา สุดท้ายลืมตาขึ้น คุณเดือนที่นั่งอยู่ไม่ห่างกันนักรับรู้ได้ บอกโดยไม่ลืมตามามองว่า
“ให้จิตไปกำหนดจับอยู่ที่ลมหายใจเข้าออก”
รำเพยหันไปทางเดือนด้วยสีหน้ากริ่งเกรง
“ค่ะ”
รำเพยหลับตาลงอีกครั้งตามคำแนะนำของเดือน แต่ไม่อาจเข้าสู่สมาธิได้เลย สีหน้ายังคงเต็มไปด้วยวี่แววกังวลชัดแจ้ง

ทางด้านหมอผีอินยืนรอการมาถึงของไต้ก๋งชาง อยู่ที่หน้าบันไดขึ้นเรือน เหมือนรู้เวลา งามตาเดินลงมาหาพ่อ ถามอย่างเป็นกังวลใจ
“พ่อแน่ใจใช่ไหมว่าจะไม่พลาดอีก”
“จะเป็นอย่างไรเดี๋ยวเอ็งก็รู้ กลับขึ้นเรือนไปก่อนเถิดไป”
“ให้ฉันกลับขึ้นเรือนด้วยเหตุใด”
“ข้าบอกให้ขึ้นเรือนไปอย่างไรเล่า ไม่ต้องถามมาก”
หมอผีอินขึ้นเสียงใส่ลูกสาว งามตาฮึดฮัดขัดใจ แต่ก็ต้องจำยอมขึ้นเรือนไป
หมอผีอินยิ้มกระหยิ่ม มองไปที่ทางเข้าบ้านรอคอยอย่างใจเย็น
“เอ็งคอยดูฤทธิ์ของเสน่ห์นางครวญที่แท้ให้ดีเถิด อีงามตา”

ไม่นานนัก ไต้ก๋งชางก็เดินเข้ามา มีแถนหยุดยืนรออยู่ห่างออกไป หมอผีอินยืนวางมาดอยู่ ไต้ก๋งชางยกมือไหว้หมอผีอินที่เคยไม่ชอบขี้หน้า แล้วทำท่าจะขึ้นเรือนไป
“ข้ามาขอพบงามตา งามตาอยู่รึไม่”
หมอผีอินยืนขวางทางเอาไว้ ยิ้มหยัน มือนับลูกประคำบนคอเล่น ไว้ท่าที
“จะมาตามมันไปทำโทษเรื่องใดอีก”
“ไม่...ข้าไม่ได้มาด้วยเรื่องนั้น”
“แต่ไต้ก๋งไล่ลูกสาวข้าออกจากเรือนแล้วมิใช่หรือ ในเมื่อไม่คิดจะเมตตามัน แล้วจะมาหามันเพื่อสิ่งใด”
ไต้ก๋งชางหน้าเสีย “ข้า...ข้าแค่อยากมาขอโทษ ที่ทำรุนแรงคราวนั้น”
“ขอโทษ ข้าหูฝาดไปรึไม่ วันนี้ไต้ก๋งชางจะมาขอโทษอีงามตา บ่าวที่ถูกไล่ตะเพิดออกมาจากเรือนราวกับหมูหมา”
เห็นหมอผีอินยักท่าไม่ยอม ชางก็ยิ่งร้อนรุ่มใจ
“ให้ข้าพบงามตาเถิด งามตาอยู่บนเรือนรึไม่”
“ถึงไต้ก๋งอยากพบก็พบไม่ได้ดอก งามตาไม่อยู่ อีกนานกว่าจะกลับ”
ไต้ก๋งชางผิดหวัง แต่ดึงดันจะอยู่รอพบงามตาให้ได้
“ถ้าเช่นนั้นข้าจะรอ”
“คงไม่เหมาะกระมัง เดี๋ยวใครผ่านมาเห็นจะเป็นที่ครหาเอาได้”
“แต่ข้าอยากพบงามตา พ่อหมอให้ข้าอยู่ที่นี่เถิด”
ยิ่งเห็นไต้ก๋งชางร้อนรนกระวนกระวาย หมอผีอินก็ยิ่งชอบใจ
“อย่างไรก็ไม่ได้ ไต้ก๋งกลับไปที่เรือนก่อนเถิด หากมันกลับมา ข้าจะบอกให้มันเข้าไปพบที่เรือนลำพระพายเอง”
แม้ไม่พอใจในคำตอบ แต่เมื่อทำอะไรไม่ได้ไต้ก๋งก็จำต้องยอมถอย
“เช่นนั้นก็ได้ แต่ถ้างามตากลับมา ได้โปรดให้ไปพบข้าเร็วที่สุดได้หรือไม่”
“ข้าคงได้แค่บอก ส่วนมันจะไปรึไม่ ก็ให้มันตัดสินใจเอาเอง”
ไต้ก๋งชางคิดปราดเดียว หยิบถุงเงินออกมายื่นให้หมอผีอิน
“ข้าไม่มีสิ่งใดจะให้แทนคำมั่นว่าข้ามาพบด้วยใจจริง ข้าวานพ่อหมอช่วยบอกให้งามตาไปพบข้าเถิด ข้าขอร้องล่ะ”
หมอผีอินมองถุงเงินยิ้มพอใจ รีบคว้าหมับ
“เอาเถิด เรื่องนั้นข้าจะจัดการให้”
ไต้ก๋งชางยิ้มได้ ก่อนจะหันกลับเดินออกไปพร้อมกับแถนที่รออยู่
หลังไต้ก๋งชางพ้นสายตาไปแล้ว หมอผีอินหัวเราะร่าอย่างผู้ชนะ
“ฮ่าๆๆ คราวนี้ข้าจะได้เป็นพ่อตาไต้ก๋งชาง ไอ้อีหน้าไหนที่มันเคยหมิ่นข้า จะได้รู้ว่าข้า...หมอผีอินผู้นี้มิควรดูถูกอีกต่อไป”
หมอผีอินแสยะยิ้ม สะใจสมใจในชัยชนะของตน

ระหว่างทางเดินไปยังท่าเรือ ไต้ก๋งชางคอยหันหลังกลับไปชะเง้อชะแง้มองไปที่เรือนหมอผีอินอย่างกระวนกระวาย แถนสังเกตเห็นก็อดถามขึ้นไม่ได้ด้วยท่าทีนอบน้อม
“ไต้ก๋ง กระผมขอถามสักเรื่องหนึ่งได้ไหมขอรับ”
“เรื่องอะไรรึ”
“เรื่องที่ไต้ก๋งมาที่นี่ ไต้ก๋งมีเรื่องด่วนอันใดจึงอยากพบนังงามตามันหรือขอรับ”
ไต้ก๋งชางอึกอักพูดแก้ตัวไป
“เอ็งไม่ได้ยินที่ข้าพูดรึ ว่าข้ารู้สึกผิดที่ทำกับมันรุนแรง จึงอยากขอโทษก็เท่านั้น”
แถนยิ่งงง “รู้สึกผิด ต่องามตาน่ะรึขอรับ”
“ใช่ ข้าจะรู้สึกผิดต่อสิ่งที่ทำลงไปไม่ได้หรือ”
“อย่าว่ากระผมพูดจายอกย้อนเลยนะขอรับ แต่ไต้ก๋งลืมแล้วหรือว่าที่ทำโทษ ก็เป็นเพราะงามตาทำร้ายคนในเรือนเราเกือบตาย”
ไต้ก๋งชางหลบตาแถน พูดบ่ายเบี่ยง
“แต่เอ็งก็รู้ว่ามันเป็นหญิง ข้าไม่ควรลงโทษเสียหนักมือเช่นนั้น ไม่ว่าผู้ใดก็ย่อมไม่พอใจ จริงรึไม่”
แถนยังสงสัยอยู่แต่ไม่อยากเซ้าซี้มาก จึงรับเอาคำ
“ขอรับ”
“ข้าก็แค่อยากรับผิดชอบในฐานะนายเก่ามันเท่านั้น ไม่มีอะไรมากดอก รีบกลับเรือนเถิด ข้ามีงานอีกมาก ไม่อยากถึงเรือนค่ำ”
แถนพยักหน้าแล้วไปจัดการเอาเรือออกให้ไต้ก๋ง ไต้ก๋งชางโล่งใจ

ทางด้านกล่ำกับนมขามหิ้วกระจาดใส่ของเดินมาตามทาง สองคนกำลังไปช่วยงานที่เรือนดอกเหมย นมขามเดินหน้านิ่วคิ้วขมวดมาตลอดทาง เหมือนคิดอะไรอยู่ กล่ำเลยทักขึ้น
“คุณนมเจ้าขา อิฉันเห็นคุณนมหน้านิ่วคิ้วขมวดมาตั้งแต่เช้าแล้ว คุณนมมีเรื่องใดคิดมากอยู่หรือไม่เจ้าคะ”
นมขามถอนหายใจออกมาดังเฮือก หยุดเดินท้าวเอวหมับ พูดเซ็งๆ
“จะพูดว่าไม่มีก็ใช่ที่ เอ็งคิดถูก ข้ามีเรื่องกลุ้มใจอยู่”
“กลุ้มใจเรื่องใดเจ้าคะ ตอนนี้เรือนเราก็สงบดีไม่ใช่รึ”
“ข้าเคยคิดว่าสงบดังที่เอ็งว่า แต่พอข้าไปที่ท่าน้ำเมื่อครู่ เห็นทีคงต้องคิดใหม่”
กล่ำฟังแล้วแปลกใจ
“คุณนมไปเห็นสิ่งใดมาเจ้าคะ”
“นังกล่ำ เอ็งว่ามีสิ่งใดที่ทำให้คนเราเปลี่ยนไปเพียงชั่วข้ามคืนบ้างหรือไม่”
กล่ำคิดตาม “เอ ไม่มีดอกเจ้าค่ะ คนเราจะเปลี่ยนกันง่ายๆ ได้อย่างไร”
“นั่นสิ คนเราไม่มีทางเปลี่ยนกันได้ ข้าอาจจะคิดมากไปเอง”
เห็นนมขามดูกลัดกลุ้มใจเอามากๆ กล่ำยิ่งสงสัย
“คุณนมถามเรื่องนี้ขึ้นมาด้วยเหตุใดเจ้าคะ หรือว่าเกี่ยวกับไต้ก๋ง”
นมขามลำบากใจมาก จะพูดดีหรือไม่ หันซ้ายแลขวาแล้วกระซิบกับกล่ำ
“เมื่อครู่ ข้าเห็นไต้ก๋งให้ไอ้แถนมันเอาเรือออก บอกว่าจะไปบ้านหมอผีอิน”
กล่ำแปลกใจ ปนงุนงุน
“บ้านหมอผีอิน ก็บ้านนังงามตาสิเจ้าคะ”
“ใช่ ไต้ก๋งบอกข้าเอง ข้าไม่อยากเชื่อเลย”
“ไต้ก๋งไล่มันออกไปแล้ว จะต้องไปที่นั่นอีกด้วยเหตุใดล่ะเจ้าคะ”
“นั่นล่ะสิ่งที่ข้าสงสัย ไต้ก๋งจะไปที่นั่นเพื่ออันใดกัน”
นมขามครุ่นคิด อยากรู้สาเหตุ แต่ก็ได้แต่สงสัยเพราะไม่รู้จะไปพิสูจน์ยังไง

ฝ่ายรำเพยนั่งทำสมาธิด้วยจิตใจร้อนรุ่ม กระสับกระส่ายไปมา จนเดือนที่นั่งข้างๆ กัน รับรู้ได้
“เป็นอะไรไปรึแม่รำเพย”
“น้องไม่รู้เหมือนกันค่ะ รู้สึกจิตใจมันร้อนลุ่มยิ่งนัก ไม่อาจข่มจิตให้นิ่งได้เลยค่ะ”
“มิน่าล่ะ แม่รำเพยถึงได้ดูกระสับกระส่ายไปมาอยู่ตลอดเวลา”
“น้องไม่มีสมาธิเลย ใจห่วงอยู่ก็แต่ที่เรือน”
“ถ้าจิตใจไม่นิ่งฝืนทำสมาธิไปก็คงไม่เป็นผล ถ้าห่วงเรื่องใดก็กลับไปจัดการให้หมดห่วงก่อนจะดีกว่านะแม่รำเพย”
“น้องต้องขอประทานโทษคุณพี่ด้วยนะคะที่ไม่อาจอยู่ทำสมาธิให้ครบ 3 วัน 3 คืน ตามที่รับปากกับคุณพี่ได้”
“ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ ไว้คราวหน้าพี่จะชวนมาร่วมบุญใหม่นะจ๊ะ”
“งั้นน้องลานะคะคุณพี่”
เดือนรับไหว้ รำเพยเก็บของแล้วลุกเดินออกไป

งามตาเดินลงเรือนมาอย่างรู้เวลา ถามพ่อเรื่องไต้ก๋งชางทันที
“พ่อ..สำเร็จแล้วใช่ไหม”
หมอผีอินหันมาทางามตา ยิ้มกระหยิ่มพอใจ
“คนอย่างหมอผีอินมีรึจะทำไม่สำเร็จ”
งามตาดีใจ “นี่พ่อไม่ได้หลอกฉันใช่ไหม”
“จริงสิวะ สิ่งที่ข้ากับเอ็งพยายามมาทั้งหมดมันได้ผลแล้ว ต่อไปนี้เอ็งจะได้ครอบครองทุกอย่างที่เอ็งต้องการ ดีใจไหมเล่า”
“ดีใจสิพ่อ แต่เสียดายนักที่พ่อบอกว่าฉันไม่อยู่ มิเช่นนั้นฉันจะกลับเรือนพร้อมไต้ก๋งให้อีพวกบ่าวทั้งหลายมันประจักษ์เสียทีว่าทำอะไรอีงามตาผู้นี้ไม่ได้”
งามตาพูดอย่างย่ามใจในชัยชนะของตน หมอผีอินปราม
“อย่ารีบร้อนไปเลย อย่างไรเสียเอ็งก็ได้ไปอยู่แล้ว แต่จะไปง่ายๆมันไม่สะใจ ข้าต้องทำให้มันทรมานเจียนตายเสียก่อนจึงสาสมกับที่มันทำกับเอ็ง”
งามตาพรายยิ้มเหมือนคิดได้
“จริงด้วย ให้มันโหยหา คร่ำครวญ เสน่หาต่อข้ามากๆ คราวนี้ละถึงจะเป็นทีของข้าเสียที”
งามตาหัวเราะสะใจ หมอผีอินก็เช่นกัน
สายตาของงามตาเต็มไปด้วยประกายมาดหมายจะเอาคืนให้สาสม

รำเพยในชุดนุ่งขาวห่มขาว เพิ่งกลับจากวัด เดินขึ้นเรือนมาพร้อมกับรื่นและโรยที่ช่วยถือห่อผ้าสัมภาระและหีบเชี่ยนหมาก
“พวกเอ็งเอาของไปเก็บ แล้วเตรียมน้ำให้ข้าอาบเสียหน่อย เหนียวตัวเหลือเกิน”
รื่นกะโรยรับเอาคำ “เจ้าค่ะ”
สักพักก็ได้ยินเสียงปึงปัง เหมือนคนเดินขึ้นมาบนเรือน ทุกคนชะงักหันไปมอง ปรากฏว่าเป็นไต้ก๋งชางเดินขึ้นเรือนมา
รำเพยดีใจ “คุณพี่ กลับมาแล้วหรือคะ ทำไมวันนี้กลับมาเร็วนัก”
ไต้ก๋งชางหยุดเดิน มองรำเพยด้วยสายตาเมินเฉย ตอบห้วนๆ
“พี่มีงานต้องสะสางจึงรีบกลับ”
“คุณพี่มาเหนื่อยๆ กินน้ำกินท่าก่อนไหมคะ น้องจะให้บ่าวไปนำมาให้”
“ไม่เป็นไร พี่อยากจัดการงานให้เรียบร้อย เสร็จแล้วจะนอนพักสักหน่อย อากาศร้อนเหลือเกิน”
ไต้ก๋งตอบด้วยน้ำเสียงที่ดูเย็นชากว่าปกติ แล้วเดินหนีรำเพยเข้าห้องไปดื้อๆ
รำเพยเห็นท่าทีนั้นก็แปลกใจว่าสามีเป็นอะไร แถมยังไม่ทักตนที่เพิ่งกลับมาสักคำ รื่นกับโรยต่างมองหน้ากันอย่างงุนงงเช่นกัน

นมขามกับกล่ำช่วยสี่สาวทำขนมอยู่ที่เรือนดอกเหมย แต่ขณะที่ทำไป ก็พากันพูดเรื่องที่ไต้ก๋งชางออกไปบ้านหมอผีอิน และพากันกันคาดคะเนไปต่างๆ นานา
“อย่าบอกนะว่าไต้ก๋งจะรับอีงามตากลับมาอยู่ที่เรือน” กล่ำปรารภขึ้น
“ไม่มีทาง คนต่ำทรามปานนั้น ขืนเอามันกลับเข้าเรือน คุณรำเพยได้เอาเรื่องแน่”
“ใช่เจ้าค่ะ ตอนทำโทษมัน ใครๆ ก็รู้ว่าไต้ก๋งเกลียดมันเข้าไส้” พิมพ์บอก
“แต่ไต้ก๋งดูร้อนใจ ข้าเองก็ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องใด”
“รอถามพี่แถนดูดีกว่าเจ้าค่ะคุณนม อีกเดี๋ยวก็คงกลับแล้ว” กล่ำว่า
“ดีเหมือนกัน ข้าก็รออยู่ ถ้ามันมาจะได้ถามให้รู้ความ”
ไม่นานนักแถนก็รีบร้อนเดินขึ้นเรือนมา นมขามเห็นก็กวักมือเรียกทันที
“ไอ้แถน มาหาข้าตรงนี้ก่อน”
แถนมองจนแน่ใจว่าไม่มีใครตามมา ก็เดินมาสมทบกับนมขาม
“ขอรับคุณนม”
“ข้าอยากรู้เรื่องไต้ก๋ง รีบเล่ามาให้แจ้งใจ ไต้ก๋งไปเรือนหมอผีอินด้วยเรื่องใด”
แถนหนักใจ ถอนหายใจเฮือกใหญ่
“เฮ้อ..ข้าควรบอกดีหรือไม่ขอรับ”
“อ้าว เหตุใดไม่ควรบอก มีเรื่องอันใดงั้นรึ” จำเรียงสงสัย
“ข้าก็พูดไม่ถูก มันแปลกๆ อย่างไรบอกไม่ถูก” แถนบอก
ดวงแขซักว่า “แปลกอย่างไรหรือพี่แถน”
แถนหน้าเครียดจัด ก้มลงทำท่ากระซิบบอกทุกคน
“อย่าหาว่าข้าพูดพล่อยๆ เลยนะ แต่ข้าว่าไต้ก๋งดูจะพิศวาสนังงามตาเข้าแล้ว”
ทุกคนได้ยินต่างก็ตกใจ โดยเฉพาะนมขาม โวยขึ้นมากลางวงเสียงดังลั่น
“หุบปากเอ็งประเดี๋ยวนี้ เป็นไปไม่ได้ เอ็งก็เห็นว่าไต้ก๋งรักคุณรำเพยผู้เดียว”
“ตอนแรก ข้าก็คิดเหมือนคุณนม แต่จากที่เห็นวันนี้ข้าเริ่มไม่มั่นใจเสียแล้ว”
อบเชยถามแทนทุกคน “พี่ไม่มั่นใจเรื่องใด”
“ก็ไต้ก๋งไปขอพบงามตาถึงเรือน บอกว่าอยากไถ่โทษเรื่องเก่าๆ แต่พอหมอผีอินบอกว่าไม่อยู่ ท่าทางไต้ก๋งร้อนรนจนข้าหวั่นใจ”
“อกอีแป้นจะแตก ฟ้าจะถล่มตรงหน้าข้าเสียแล้วกระมัง”
นมขามตกใจกว่าใครยกมือทาบอก ก่อนจะเดินไปเอนหลังพิงเสาเรือนเอามือโบกพัดไปมา เหมือนจะเป็นลม ดวงแขเข้ามาดูแล
“คุณนมเจ้าขา ดูท่าทีก่อนเถิด บางทีมันอาจไม่เหมือนกับที่เราคิดก็เป็นได้”
“ขอให้เป็นเช่นนั้นเถิดแม่ดวงแข เพราะข้าไม่อยากเห็นเรือนเราร้อนเป็นไฟ”
“จะกลัวอะไรล่ะเจ้าคะคุณนม ถ้าอีงามตามันกลับมาจริง อีจำเรียงนี่แหละที่จะทำให้มันร้อนยิ่งกว่าจนทนอยู่ไม่ได้”
จำเรียงพูดด้วยความเจ็บแค้นที่มีต่องามตา พิมพ์เสริมว่า
“อิฉันด้วยเจ้าค่ะ อิฉันขอสาบานด้วยชีวิตว่ามันต้องไสหัวออกไปจากเรือนเยี่ยงหมาข้างถนนเหมือนคราวก่อน”
“ใจเย็นก่อน ถึงข้ากังวลข้าก็ไม่อยากคิดไปไกล คุณรำเพยเพิ่งกลับจากวิปัสสนา อย่าให้เธอรู้เรื่องนี้เด็ดขาด” คุณนมกำชับหนักแน่น
ทุกคนพยักหน้ารับเอาคำ จำเรียงมีท่าทีเซ็งๆ พิมพ์ก็ด้วย อบเชยนิ่งฟังเก็บข้อมูลอยู่เงียบๆ

รำเพยปรุงบุหงารำไปอยู่ที่ครัวบนเรือน มีรื่นและโรยเป็นลูกมือ พอเปิดโถกระเบื้องบุหงาก็เห็นควันกรุ่นจากเทียนอบลอยขึ้นมา
“หอมเหลือเกินเจ้าค่ะ ใช้ได้แล้วหรือเจ้าคะ” โรยยิ้มถาม
“ยังไม่เสร็จดอกนะ ข้าจะอบร่ำไว้ทั้งคืน พรุ่งนี้ค่อยใส่น้ำปรุงกับพิมเสนจึงจะเสร็จ พวกเอ็งเอาของไปเก็บก่อน”
รื่นกับโรยช่วยกันเอาของไปเก็บ
พออยู่คนเดียว รำเพยนึกถึงตอนที่ไต้ก๋งชางรีบร้อนเข้าห้องไม่สนใจตนก็นึกน้อยใจพอๆ กับแปลกใจ
ระหว่างนี้ อบเชยขึ้นเรือนมาถือจานขนมมาด้วย หยุดมองท่าทีรำเพยอยู่ครู่หนึ่งจึงเดินเข้ามาหา
“คุณรำเพยเจ้าขา เหตุใดอยู่คนเดียวล่ะเจ้าคะ บ่าวหายไปไหนกันหมด”
“ฉันให้บ่าวเอาของไปเก็บน่ะ แม่อบเชยมาที่นี่เสียค่ำ มีเรื่องอะไรรึ”
อบเชยนั่งลงที่พื้น มองขนมที่ตนทำแล้วยื่นให้รำเพยชิม
“อิฉันอยากให้คุณรำเพยชิมขนมทองเอกที่อิฉันทำเจ้าค่ะ ทีแรกอิฉันรอที่เรือนคิดว่าคุณรำเพยจะไปเสียอีก”
รำเพยนึกได้ “จริงสิ วันนี้ฉันยังไม่ได้ไปดูงานที่เรือนดอกเหมยเลย”
“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ที่อิฉันมาเพราะถามคุณนมแล้วเห็นว่าคุณรำเพยยุ่ง จึงมาหาที่เรือนใหญ่เองดีกว่า”
“ขอโทษด้วยนะ ช่วงนี้มีงานหลายเรื่อง ฉันก็ลืมไปเลย”
รำเพยถอนหายใจ ดูเหนื่อยๆ อบเชยมองนิดหนึ่งแล้วถามขึ้น
“ช่วงนี้ที่เรือนเรามีเรื่องให้ทำมากมายเลยนะเจ้าคะ อิฉันเห็นไต้ก๋งก็ยุ่งๆ พอกัน”
“คุณพี่น่ะหรือ รายนั้นงานมากไม่ได้ขาดอยู่แล้วล่ะจ้ะ”
“นั่นสิเจ้าคะ ไต้ก๋งน่ะมีงานมาก แต่ก็แปลก ขนาดงานยุ่งนักยังมีเวลาไปหาแม่งามตาถึงเรือนได้”
รำเพยนิ่งงันไปทันทีเมื่อได้ยิน
“อบเชยว่าอย่างไรนะ คุณพี่น่ะหรือไปหางามตา”
อบเชยทำเป็นตกใจที่เหมือนเผลอพูดหลุดปากไป ไม่กล้าพูดต่อ
“ขอโทษเจ้าค่ะ อิฉันไม่ควรเอ่ยชื่อนี้ใช่ไหมเจ้าคะ”
“ไม่เป็นไร เล่ามาเถิด คุณพี่ไปเรือนนั้นได้อย่างไรกัน”
“อิฉันฟังมาอีกทีเจ้าค่ะ เห็นว่าไต้ก๋งรีบร้อนไปบ้านหมอผีอิน อยากขอโทษขอโพยงามตาที่เคยลงโทษรุนแรง แต่พอไม่ได้พบก็ร้อนใจนัก”
“คุณพี่น่ะหรือจะทำแบบนั้น เหตุใดฉันไม่เคยรู้มาก่อน”
“อิฉันก็ไม่ทราบเจ้าค่ะ แต่...คุณรำเพยไม่คิดว่ามันแปลกหรือเจ้าคะ”
อบเชยถามหยั่งเชิง รำเพยรู้สึกไม่สบายใจ แต่เก็บอาการไว้
“แล้วฉันควรคิดอย่างไรล่ะแม่อบเชย”
“ไม่แน่...ไต้ก๋งอาจจะอยากเชิดหน้าชูตาบ่าวมาเป็นเมียเข้าสักวันน่ะสิเจ้าคะ”
แววตารำเพยเริ่มแสดงความหวั่นใจออกมาแว่บหนึ่ง แล้วก็ทำเฉไฉอีก
“ไม่มีทางดอก คุณพี่เคยสาบานกับฉันไว้ว่าจะไม่ทำเช่นนั้น ถ้าจะให้ฉันคิด ฉันก็เชื่อว่าคุณพี่คงรู้สึกผิดจริงๆ ล่ะกระมัง”
รำเพยฝืนยิ้ม ทำเป็นไม่คิดอะไร แต่ความจริงแล้วกังวลลึกๆ ในใจ อบเชยสังเกตอาการก็พอเดาออก แต่ไม่ได้พูดอะไรออกไป

ไต้ก๋งชางเก็บตัวอยู่แต่ในห้องปิดประตูเงียบงัน นอนขดกายท่าทีหนาวเหน็บ ถึงขนาดต้องหยิบเอาผ้ามาห่มมาคลุมร่างเอาไว้ ปากยังร้องเรียกหางามตาอยู่อย่างนั้น
“งามตา...งามตา”
ไต้ก๋งเห็นงามตาปรากฏขึ้นตรงหน้า ก็ยิ้มดีใจ มองอย่างหลงใหลอย่างมาก
“งามตาเอ็งมาหาพี่แล้วรึ พี่คิดถึงเอ็งเหลือเกิน” ไต้ก๋งเปลี่ยนสรรพนามเรียกขานงามตาอย่างรักใคร่
งามตายิ้มหวาน มองยั่วยวน ไต้ก๋งชางรีบลุกขึ้นไปหาจะคว้าตัวมากอด แต่พอถึงยื่นมือออกไปกลับเจอแต่ความว่างเปล่า ร่างงามตาสลายไป ไต้ก๋งชางล้มคะมำลงกับพื้น รู้สึกปวดหัว ตาลาย
“ทำไมข้าทรมานอย่างนี้ ข้าเป็นอะไรไป”
มีเสียงเคาะประตูห้องดังขึ้นสองครั้งพร้อมเสียงเรียกของรำเพยดังเข้ามา
“คุณพี่ อยู่หรือไม่เจ้าคะ”
“งามตา”
ไต้ก๋งชางคิดว่าเป็นงามตารีบลุกขึ้น เร่งมาเปิดประตู เมื่อเห็นเป็นรำเพยก็ชะงัก
“น้องรำเพย”
ไต้ก๋งผิดหวังเดินกลับเข้าห้องไปด้วยท่าทีหงุดหงิด รำเพยตามไปถามไถ่ด้วยความเป็นห่วง
“คุณพี่ น้องเห็นคุณพี่มาถึงก็เอาแต่เก็บตัวเงียบ น้องเป็นห่วงจึงขึ้นมาดู คุณพี่เป็นอะไรหรือไม่คะ”
ไต้ก๋งชางตอบโดยไม่หันมามอง ด้วยน้ำเสียงห้วนและขุ่นเขียว
“พี่ไม่เป็นไร”
รำเพยไม่เชื่อ ถามอย่างเป็นห่วง
“จริงหรือคะ แต่คุณพี่หน้าซีดเช่นนี้ ให้น้องเรียกหมอมาดูดีกว่านะคะ”
ไต้ก๋งชางรำคาญ ตอบกลับไปเสียงแข็งกร้าว
“ไม่ต้อง พี่บอกแล้วอย่างไรว่าไม่เป็นอะไร น้องรำเพยกลับไปเถิด”
รำเพยรู้สึกแปลกใจเอามากๆ เพราะสามีไม่เคยพูดจากับตนด้วยน้ำเสียงแบบนี้
“คุณพี่ เหตุใดพูดเหมือนไล่น้องอย่างนี้ล่ะคะ”
ไต้ก๋งชางหันมาขึ้นเสียงใส่ “พี่พูดเช่นนี้ แล้วมันเป็นอย่างไรรึ”
รำเพยอึ้งไป น้ำตารื้นขึ้นมาด้วยความเสียใจ
“เปล่าค่ะ แต่คุณพี่ไม่เคยเป็นเช่นนี้มาก่อน”
“พี่เป็นเช่นนี้มานานแล้ว น้องต่างหากที่ไม่เคยรู้ว่าแท้จริงพี่เป็นเช่นไร”
รำเพยอึ้งหนัก น้ำตาหยดริน “คุณพี่”
“อย่าได้คิดว่าน้องจะรู้จักตัวพี่ดีไปหน่อยเลย ออกไปจากห้องพี่เสีย พี่ไม่อยากพบหน้าผู้ใดทั้งนั้น”
ไต้ก๋งชางเดินหนีไปนั่งที่เตียงนอน รำเพยน้ำตาร่วง ทั้งน้อยใจและเสียใจทำอะไรไม่ถูก
“ออกไป” ชางหันมาไล่ซ้ำ
รำเพยวิ่งร้องไห้ออกจากห้องไปทันที

รำเพยหนีมานั่งร้องไห้อยู่ที่ศาลาท่าน้ำหลังเรือน สีหน้าสับสน ทั้งตกใจ ทั้งเสียใจ และประหลาดใจที่ถูกไต้ก๋งชางพูดจาทำร้ายน้ำใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน จนกระทั่งนมขามเดินมาเห็น ร้องทักขึ้นอย่างตกใจ
“คุณหนู เกิดอะไรขึ้นเจ้าคะ เหตุใดร้องไห้เช่นนี้”
รำเพยผวาตัวเข้ากอดคุณนมราวกับยึดเป็นที่พึ่ง สะอื้นไห้ พยายามรวมรวมสติพูดกับนมขาม
“ฉันไม่รู้จะพูดอย่างไรดี นมจ๋า...คุณพี่...คุณพี่ไม่เหมือนคนที่ฉันเคยรู้จักเลย”
นมขามลูบเรือนผมเบาๆ “หมายความว่าอย่างไรเจ้าคะ”
รำเพยละตัวออกมา “คุณพี่ขึ้นเสียงใส่ฉัน พอฉันเป็นห่วงจะตามหมอก็ถูกไล่ออกมา ทำไมจู่ๆคุณพี่ถึงเปลี่ยนไปเช่นนี้ได้”
นมขามพยายามคิดหาคำมาปลอบโยน
“โธ่ คนดีของนม ไม่เป็นไรนะเจ้าคะ ไต้ก๋งอาจจะแค่เหนื่อยจากงาน จึงอารมณ์ไม่ดีเท่านั้น ไม่มีอะไรน่ากังวลดอกเจ้าค่ะ”
รำเพยโผเข้าไปกอดนมขามแน่น ร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่อย่างนั้น นมขามกอดปลอบพูดไม่ออก กลัวสิ่งที่คิดจะเป็นจริง

ค่ำคืนนั้น ไต้ก๋งชางนอนหลับไปแล้ว โดยนอนหันหลังให้ภรรยา
รำเพยเหลือบมอง กังวลใจว่าสามีเป็นอะไร พยายามข่มตานอนเพื่อจะได้ไม่คิดมาก แต่ฝั่งไต้ก๋ง นอนได้สักพักก็ออกอาการกระสับกระส่าย พูดงึมงำฟังไม่ได้ศัพท์เหมือนคนละเมอ จนรำเพยรู้สึกผิดปกติ ลุกขึ้นมาดู เอื้อมมือไปจะแตะตัวปลุกถามไถ่ แต่ชื่อที่ไต้ก๋งชางละเมอออกมาทำให้ชะงักไป
“งามตา...งามตา”
“คุณพี่”
“งามตา...เอ็งอยู่ที่ใด...พี่คิดถึง...อยากเจอเอ็งเหลือเกิน”
รำเพยนิ่งไป ก่อนจะค่อยๆ ดึงมือกลับ ล้มตัวลงนอนเงียบๆ น้ำตาคลอเบ้า เหลือบมองไต้ก๋งชางอย่างไม่สบายใจ

ตอนสายวันต่อมา งามตาเพิ่งตื่นนอน ลุกบิดขี้เกียจ ผมเผ้ายุ่งเหยิง แล้วเดินออกมาจากห้อง หมอผีอิน เตรียมของบางอย่างใส่กล่องอยู่ตรงโถงทำพิธี พอเห็นลูกสาว ผู้เป็นพ่อก็พูดแดกดันเอาว่า
“ตื่นซะที นังลูกขี้เกียจ ตะวันจะตรงหัวอยู่แล้ว ไม่เห็นรึ”
“ข้าไม่เห็น แล้วข้าก็ไม่อยากให้พ่อบ่นด้วย นี่พ่อรู้ไหมว่าพ่อจะด่าว่าข้าอย่างนี้ ไม่ได้อีกแล้ว เพราะว่าข้ากำลังจะเป็นเจ้าคนนายคน”
งามตากอดอกพิงเข้ากับประตู ท่าทางเชิดๆ หมอผีอินทำหน้าหน่าย
“ข้ารู้ว่าวาสนาลูกสาวข้ามันสูงนัก สูงยิ่งกว่านกที่มันบินอยู่บนฟ้า แต่เคยได้ยินรึไม่ว่านกที่ตื่นก่อนมันก็จับหนอนได้ก่อนเช่นกัน”
งามตาหงุดหงิด “โอ๊ย สำบัดสำนวนนัก ข้าไม่เข้าใจดอก แล้วก็ไม่ต้องบ่นด้วย ข้าไม่อยากฟัง”
“ไม่อยากฟังก็ต้องฟัง เพราะข้าจะบอกให้เอ็งเตรียมตัวได้แล้ว”
งามตางง “เตรียมตัวอะไรอีกล่ะพ่อ”
หมอผีอินหยิบกล่องที่ตัวเองเตรียมไว้ยื่นให้งามตา
“เอ็งจะต้องไปอยู่ที่เรือนไอ้ไต้ก๋งแล้ว ข้าจะให้เอ็งเอาไอ้นี่ไปด้วย”
งามตาเปิดกล่องดู พอเห็นเป็นตัวบึ้งอยู่ในนั้นก็แหวใส่ทันที
“พ่อ ไอ้ตัวประหลาดนี่อีกแล้วรึ”
งามตาเบะปาก ทำท่ารังเกียจเสียเต็มประดา
“เอ็งจำที่ข้าบอกได้หรือไม่ ว่ามนต์นางครวญเอ็งจะต้องรักษาความขลังของมันเสมอ เพราะฉะนั้นเอ็งต้องเอามันไปด้วย”
“ข้าจำได้ แต่ถ้าข้าอยากทำพิธีอีกค่อยมาที่นี่ไม่ได้รึ”
“ไม่ได้! เอ็งต้องทำพิธีอยู่เรื่อยๆอย่าให้ขาด ถ้าเอ็งไม่ทำ พลังของเสน่ห์นางครวญก็จะเสื่อม เอ็งจะแลกกับที่เอ็งทำมาทั้งหมดหรือไม่เล่า”
“เรื่องอะไรจะยอมเล่า”
“ถ้าไม่ยอมก็จงเอามันไป ทำความคุ้นเคยกับมัน เลี้ยงมันตามที่ข้าบอก ถ้าพลังของมันกล้าแกร่ง พลังของเสน่ห์นางครวญก็ยิ่งมากขึ้นตามไปด้วย”
หมอผีอินพยักพเยิดให้งามตารับกล่องที่ใส่ตัวบึ้งไป งามตาไม่ชอบใจแต่ต้องรับอย่างเสียไม่ได้

งามตากลับมาเก็บมุ้งหมอนที่นอนในห้อง นึกถึงสิ่งที่หมอผีอินพูดกำชับเรื่องมนต์เสน่หา
“เอ็งต้องต่ออายุมนต์นางครวญอยู่เรื่อยๆ อย่าให้ขาด ถ้าเอ็งไม่ทำ มนต์ก็จะเสื่อม เอ็งจะแลกกับที่เอ็งทำมาทั้งหมดหรือไม่เล่า”
งามตากัดฟัน แววตาแข็งกร้าว เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นและต้องการเอาชนะ
“ข้าจะไม่ยอมให้สิ่งที่ข้าทำสูญเปล่าเป็นอันขาด”
งามตามองกล่องบึ้ง ก่อนจะมองแผลที่มีรอยกรีดเลือดใหม่ๆ ที่แขนตัวเองด้วยสีหน้าเหี้ยมเกรียม

ไต้ก๋งชางมานั่งตรวจเอกสารอยู่ที่ห้องทำงาน สีหน้าเคร่งเครียดไม่พูดไม่จากับใคร รำเพยมาถึงหน้าห้อง แอบแง้มประตูดู กังวลเรื่องที่ชางขึ้นเสียงใส่เมื่อคืน แต่เป็นห่วงมากกว่าเลยตัดสินใจเรียก
“คุณพี่คะ”
ไต้ก๋งชางเงยหน้าขึ้นมอง
“มีอะไร”
รำเพยเดินเข้ามาในห้อง ท่าทางสงบเสงี่ยม ไต้ก๋งชางมองมานิ่งๆไม่แสดงอาการใดๆ /รำเพยถามขึ้น
“คุณพี่สะดวกคุยหรือไม่เจ้าคะ”
“น้องรำเพยมีอะไรก็ว่ามาสิ”
“ช่วงบ่ายคุณพี่มีธุระหรือไม่คะ น้องอยากชวนคุณพี่ไปทำบุญที่วัด”
“ไปวัด ไปด้วยเหตุใดกัน”
“น้องเห็นวันสองวันนี้ คุณพี่ดูมีเรื่องกังวลจึงอยากชวนไปถวายสังฆทาน กับหลวงพ่อดำ ให้ท่านรดน้ำมนต์เผื่อคุณพี่จะได้สบายใจขึ้นค่ะ”
ไต้ก๋งชางฟังแล้วก็ก้มลงมองงานตรงหน้าไม่ได้สนใจรำเพย
“ถ้าแค่นั้นพี่ไปวันอื่นได้ พี่ต้องจัดการงานตรงหน้าก่อน เชิญน้องไปเถิด”
“แต่วันนี้เป็นวันพระด้วยนะคะ ปกติเราก็ไปด้วยกัน คุณพี่ไปสักประเดี๋ยวคงไม่เสียเวลาหรอกกระมังคะ”
ไต้ก๋งชางชะงัก ตบโต๊ะดังปังด้วยความโกรธ ตวาดเสียงดังลั่น
“ถ้าพี่จะไม่ไปแล้วน้องจะเดือดร้อนอะไรนักหนารึ”
รำเพยตกใจมาก
“คุณพี่...น้องแค่...อยากให้คุณพี่ไปด้วยกันเท่านั้น”
“แต่วันนี้พี่ไม่อยากไป ขอร้องอย่าได้เซ้าซี้พี่ และวันหลังถ้าไม่อนุญาต ก็ไม่ต้องมายุ่มย่ามในห้องนี้อีก”
ไต้ก๋งชางลุกเดินหนีออกจากห้องไปเลย ทิ้งรำเพยให้ยืนน้ำตาซึม พูดไม่ออกอยู่ลำพัง

ไต้ก๋งชางเดินมาถึงหน้าเรือนบ่าวด้วยความรีบร้อน ตะโกนเรียกหาแถนเสียงดัง
“แถน อยู่รึไม่ ออกมาพบข้าเดี๋ยวนี้”
แถนได้ยิน เร่งรุดออกมาหาทันที
“ขอรับ มาแล้วขอรับได้ก๋ง”
ไต้ก๋งชางสีหน้าหงุดหงิด สั่งแถนทันที
“ไปเอาเรือออกเดี๋ยวนี้ ข้าจะไปบ้านหมอผีอิน”
แถนทั้งตกใจทั้งแปลกใจที่ไต้ก๋งจะไปบ้านหมอผีอินอีกแล้ว
“ไต้ก๋งจะไปที่นั่นอีกแล้วหรือขอรับ”
“ใช่ เอ็งสงสัยอะไรหรือ”
“ปะ...เปล่าขอรับ แต่กระผมคิดว่าในเมื่อไต้ก๋งให้อัฐหมอผีอิน เพื่อให้งามตามาที่นี่แล้ว เหตุใดต้องไปที่นั่นอีก”
“ข้าเป็นนายเอ็ง ข้าสั่งให้ทำเอ็งก็ทำไม่ต้องถามมากไม่ได้รึ”
“แต่...”
แถนอึกอักจนไต้ก๋งชางหงุดหงิด รีบตัดบท
“เอ็งจะไปหรือไม่ไป ถ้าเอ็งอิดออดนักข้าจะได้ไม่รออีก”
“กระผมไม่ได้อิดออดนะขอรับ”
“ไม่ต้องมาปดข้า ถ้าเอ็งไม่อยากไปข้าจะไม่บังคับเอ็งดอก ทางแค่นี้ข้าใช้บ่าวคนอื่นก็ย่อมได้ เชิญเอ็งอยู่ที่นี่ให้สบายใจเถิด”
ไต้ก๋งชางพูดแค่นั้นก็เดินดุ่มตรงไปที่ศาลาท่าน้ำ แถนงงมาก เพราะไต้ก๋งไม่เคยฉุนเฉียวแบบนี้

ไต้ก๋งชางรีบร้อนมาที่ท่าน้ำ คิดจะเอาเรือออกด้วยตัวเอง แต่กลับพบว่ามีเรือลำหนึ่งมาจอดเทียบท่าอยู่ก่อนแล้ว
ไต้ก๋งมองหาว่าใคร พอเห็นคนที่ขึ้นมาจากเรือก็ถึงกับตะลึง
เป็นงามตานั่นเองเดินขึ้นมาจากเรือลำนั้น ตรงมาหาไต้ก๋งชางที่ยืนงงอยู่
“ไต้ก๋งจะไปไหนหรือเจ้าคะ” ไต้ก๋งชางไม่ตอบ “หรือว่า จะมารองามตา”
“แล้วเอ็งคิดว่ามาทำสิ่งใด”
“ไต้ก๋งคงไม่ได้มารออิฉันหรอกกระมัง ไต้ก๋งเกลียดอิฉัน จะมารอได้อย่างไร” งามตาประชดส่ง
“ใช่ ข้าเคยเกลียดเอ็ง แต่ถ้าข้าบอกว่ากำลังจะไปหาเอ็ง เอ็งจะเชื่อหรือไม่”
“ไต้ก๋งน่ะหรือไปหาอิฉัน หากบอกว่าเรียกให้มารับโทษ ยังจะน่าเชื่อเสียกว่า”
งามตาทำเป็นกระเง้ากระงอดตัดพ้อสีหน้าเศร้าสร้อย
“ข้าจะลงโทษเอ็งไปเพื่ออะไร ในเมื่อข้ารู้สึกผิดต่อเอ็งขนาดนี้”
“ไต้ก๋งรู้สึกผิดต่ออิฉันหรือเจ้าคะ”
“ใช่ ข้าเพียงแต่เกิดรู้สึกผิดที่ทำไม่ดีกับเอ็งเอาไว้ จึงอยากพบ”
“ไต้ก๋งต้องการพบข้าด้วยเรื่องใดแน่”
งามตาถามหยั่งเชิง ไต้ก๋งชางมองหน้างามตาอย่างหลงใหล พูดเสียงจริงจัง
“ถ้าข้าจะขอไถ่โทษต่อเอ็ง ให้เอ็งกลับมาอยู่ที่เรือนนี้ได้รึไม่”
งามตาลอบยิ้มสมใจ แต่ยังไม่วายทักท้วง
“บ่าวออกไปพร้อมกับเสียงแช่งเสียงด่า จะมีผู้ใดอยากคบหาด้วย”
“แล้วเอ็งจะให้ข้าทำเช่นไร เอ็งจึงจะกลับมา”
“จะกลับมาอยู่ทั้งที ขอให้มีสิ่งเชิดชูได้บ้างแค่นั้นเจ้าค่ะ”
“เอ็งต้องการสิ่งใด เร่งบอกข้ามาเถิด”
“ถ้าอยากให้บ่าวกลับมาอยู่ที่เรือน บ่าวขอไปอยู่เรือนดอกเหมยได้ไหมเจ้าคะ”
ไต้ก๋งชางตอบทันที “เรือนดอกเหมย ได้สิ ตกลง”
“จริงๆ นะเจ้าคะ”
“จริงสิ เอ็งมาอยู่เสียวันนี้เถิดนะ ไม่ต้องกลับเรือนให้เสียเวลา”
งามตาลิงโลดในใจ แต่ทำเป็นอิดออดเล่นตัว
“แต่ว่า...คุณรำเพยจะไม่พอใจเอาได้นะเจ้าคะ พวกบ่าวที่เรือนด้วย คงไม่มีอยากต้อนรับอิฉันหรอกเจ้าค่ะ”
“น้องรำเพยไม่ว่าหรอก ข้าจะอธิบายให้เขาฟังเอง พวกบ่าวก็เช่นกัน”
งามตามองหน้าไต้ก๋งยิ้มยั่วยวนหว่านเสน่ห์ แล้วก้มลงกราบแนบอกอย่างจงใจ
ไต้ก๋งชางร้อนวูบวาบไปทั้งร่าง ยิ่งเข้าใกล้งามตา ยิ่งรู้สึกเสน่หาจนยากจะหักห้ามใจ
สองสายตาประสานกันนิ่งนาน ก่อนที่มือหนึ่งของไต้ก๋งชางค่อยๆ ยกขึ้นมาสัมผัสใบหน้างาม เชยคางมองจ้อง
“ของมีค่าอยู่ตรงหน้าข้าแล้ว ข้าตามืดบอดผลักไสออกไปได้เช่นไร”
“พูดเช่นนี้ประเดี๋ยวใครได้ยินเข้า จะพากันเข้าใจผิดนะเจ้าคะ”
“ที่นี่ข้าเป็นใหญ่ ขืนใครพูดไม่ดีได้มีเรื่องกับข้าแน่”
“พาบ่าวไปที่เรือนดอกเหมยก่อนเถิดเจ้าค่ะ บ่าวยังไม่อยากเป็นขี้ปากผู้ใด”
ไต้ก๋งชางค่อยละมือลงแล้วลุกขึ้นอย่างเชื่อฟัง แม้จะรู้สึกเสียดายโอกาสก็ตาม
สองชายหญิงพากันเดินไปทางเรือนดอกเหมย โดยไม่เห็นว่าตรงมุมหนึ่งนมขามกับกล่ำแอบดูอยู่

พอไต้ก๋งชางกับงามตาเดินพ้นศาลาท่าน้ำออกไป นมขามซึ่งดูอยู่ตั้งแต่ต้นก็ถามกล่ำขึ้นทันที
“นังกล่ำ บอกข้าทีสิ นี่ข้าไม่ได้หูฝาดใช่หรือไม่”
กล่ำทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ ย้อนถามคุณนมเช่นกัน
“คุณนมก็บอกอิฉันทีสิเจ้าคะ ว่าอิฉันไม่ได้ฝัน อิฉันไม่อยากเชื่อเลยว่าไต้ก๋งที่ดีและซื่อสัตย์กับคุณรำเพยมาตลอดจะเป็นเช่นนี้”
นมขามหน้าเครียด กระวนกระวายหนัก
“โธ่เอ๋ย ไต้ก๋ง มาเสียเชิงชายกับอีงามตา ถ้าคุณรำเพยเห็นภาพบาดตาเช่นนี้จะทำเช่นไร”
กล่ำสายหัวดิก คิดไม่ตกเหมือนกัน

ขณะที่สี่สาวกำลังช่วยจัดข้าวของอยู่บนเรือนดอกเหมย ได้ยินเสียงคนเดินขึ้นบันไดมาบนเรือน
“สงสัยคุณนมจะมาเสียแล้วกระมัง เตรียมหยิบข้าวของไปเถิด”
อบเชยเรียกทุกคนให้เตรียมตัว แต่พอเห็นว่าใครขึ้นเรือนมาก็อึ้งกันไปทั้งแถบ
เป็นไต้ก๋งชางนั่นเองเดินนำงามตาขึ้นมาบนเรือนดอกเหมย งามตาชูคอด้วยท่าทางหยิ่งผยอง จำเรียงตกใจมากที่เห็นคู่ปรับกลับมาที่เรือนนี้ได้
“อีงามตา”
“ใช่ข้าเอง เอ็งจำไม่ผิดหรอก” งามตาทักตอบ
พิมพ์แปลกใจมาก “เอ็งกลับมาที่นี่ได้อย่างไร”
งามตาหัวเราะ หันไปทางไต้ก๋งชาง
“ถ้าอยากรู้ เหตุใดไม่ถามไต้ก๋งเองเล่า”
ทุกคนได้แต่แปลกใจเรื่องงามตา ไต้ก๋งชางคิดสักพักก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงทรงอำนาจว่า
“งามตาจะมาอยู่ที่เรือนนี้”
อบเชย จำเลียง และพิมพ์ยืนอึ้ง ตกตะลึง แทบพูดอะไรไม่ออก
“อยู่เรือนนี้ หมายความว่าอย่างไรเจ้าคะ” จำเรียงถามด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ
งามตาเดินเข้าไปใกล้สี่สาว ไล่สายตามองหน้าทีละคน สบตายิ้มหยัน
“อย่างที่ได้ยินนั่นล่ะ งามตาจะได้มาช่วยงานพวกเอ็งที่เรือนดอกเหมย แล้วก็จะมาอยู่ร่วมกับทุกคนที่นี่ด้วย”
สี่สาวมองหน้ากันแล้วอึ้งไป ไม่อยากจะเชื่อ งามตาพูดเย้ยอีกว่า
“คราวนี้ได้ยินชัดแล้วใช่ไหม”
“ไต้ก๋ง เหตุใดทำเช่นนี้ อีนังนี่มันเป็นหัวขโมย แถมคิดจะกลั่นแกล้งพวกเรา ให้มันกลับมาก็เหมือนเอาตัวเสนียดจัญไรเข้าเรือน” จำเรียงโกรธสุดขีด ด่าไม่ไว้หน้า พิมพ์ก็เช่นกัน
“ใช่เจ้าค่ะ พวกเราไม่มีวันร่วมเรือนกับนังสวะชั้นต่ำนี่แน่”
ทั้งพิมพ์กับจำเรียงโวยวายใหญ่โต อบเชยยืนประเมินสถานการณ์เงียบๆ ส่วนดวงแขหน้าเสียไปแล้ว ไต้ก๋งชางโกรธจัด
“แต่ข้าเป็นเจ้าบ้านที่นี่ จะให้ผู้ใดอยู่หรือไปก็ย่อมได้ พวกเอ็งเป็นแค่ผู้อาศัย ไม่มีสิทธิ์มาต่อว่าข้า”
อบเชยพยายามคลี่คลายสถานการณ์ให้สงบลง
“แต่ นายท่านเจ้าขา ที่เรือนตอนนี้ห้องหับก็มีผู้อาศัยหมดแล้ว เห็นทีจะรับคนเพิ่มไม่ได้ดอกเจ้าค่ะ”
“ข้าคิดเรื่องนี้ไว้แล้ว ข้าจะให้จำเรียงไปนอนห้องเดียวกับพิมพ์ ห้องของจำเรียงเก่าข้าจะให้งามตาอยู่ที่นั่น”
สี่สาวฟังแล้วก็ยิ่งอึ้งหนัก จำเรียงตกใจสุดขีดที่ไต้ก๋งยกห้องตนให้งามตาอยู่
“ห้องของอิฉันหรือเจ้าคะ”
“เอ็งมีปัญหาอะไรหรือจำเรียง” ไต้ก๋งจ้องหน้า
จำเรียงหลบตาวูบ จิกตามองงามตาอย่างเจ็บใจ
“เหตุใดไต้ก๋งถึงยกห้องของอิฉันให้มัน อิฉันอยู่มาก่อน แล้วก็ไม่ใช่ขี้ข้าเช่นมัน”
“นี่ข้าคงเลี้ยงเอ็งให้สุขสบายเกินไปสินะ ถึงได้พูดจากดขี่ผู้อื่นเช่นนี้”
จำเรียงจะเถียงอีก แต่ดวงแขสะกิดห้ามไว้ และช่วยแก้ให้จำเรียง
“จำเรียงไม่ได้คิดเช่นนั้นดอกเจ้าค่ะ แต่แค่ไม่พอใจที่ต้องย้ายออกกะทันหัน”
“จริงเจ้าค่ะ ห้องแม่จำเรียงก็มีข้าวของมากมาย คงย้ายออกภายในวันนี้ไม่ได้” อบเชยว่า
“พวกเอ็งนี่เหตุใดมากเรื่องนักนะ” ไต้ก๋งชางขัดใจ
งามตาลอบยิ้มเยาะสะใจ แล้วเล่นละครบทเศร้าอีก
“ไม่เป็นไรดอกเจ้าค่ะไต้ก๋ง ข้ารู้ว่าแม่หญิงพวกนี้รังเกียจข้า ข้าขอกลับไปอยู่เรือนข้าเสียก็ได้ จะได้ไม่ต้องอยู่ให้เป็นที่ขัดเคืองใจผู้อื่น”
จำเรียงเบ้ปาก ยิ่งเห็นก็ยิ่งหมั่นไส้ แต่ไต้ก๋งชางกลับปกป้องงามตาขึ้นอีกเสียงดังลั่น
“ไม่ต้อง หากข้าบอกว่าให้เอ็งอยู่ที่นี่ ผู้ใดก็ห้ามข้าไม่ได้ หากผู้ใดคิดขัดคำสั่งข้าก็ลองดู ไอ้คนผู้นั้นมันจะได้ระเห็จออกจากเรือนแทนเอ็ง”
จำเรียงไม่ยอม โวยวายเสียงดัง
“ไต้ก๋ง หากคุณรำเพยรู้เรื่องนี้ อาจจะไม่พอใจนะเจ้าคะ”
ไต้ก๋งชางไม่สะทกสะท้านกับคำพูดของสี่สาว ขึ้นเสียงใส่อย่างดุดันเย็นชา
“คนที่ไม่พอใจคือพวกเอ็งนั่นแหละ ถ้าใครไม่ยอมทำตามคำสั่งข้า ก็เชิญออกจากเรือนนี้ไป ข้าไม่ต้องการเห็นหน้าพวกเอ็งอีก ออกไป”
จำเรียงมองไต้ก๋งอย่างเจ็บใจ ดวงแขทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ จำเรียงฮึดฮัด พิมพ์ก็ได้แต่ทำหน้าเซ็ง อบเชยนิ่งดูสถานการณ์ พิมพ์จับมือจำเรียงกับดวงแข พูดประชดใส่ไต้ก๋งชาง
“ไปเถิด เจ้าบ้านท่านไม่ให้อยู่ จะอยู่ให้รกหูรกตาท่านไปทำไม”
พิมพ์ลากทั้งสามคนลงจากเรือนไป อบเชยรีบตามไปด้วย งามตายิ้มเยาะ มองตามอย่างสะใจ

สี่สาวเดินลงมาจากเรือน อบเชยทำหน้านิ่งทั้งที่ในใจเดือดพล่านโกรธสุดขีด ต่างกับพิมพ์และจำเรียงที่ชักสีหน้ามาแต่ไกล ดวงแขซึมเหมือนจะร้องไห้ออกมาได้ตลอดเวลา
นมขามกับกล่ำรออยู่หน้าเรือน พอเห็นทั้งสี่คนมาพร้อมหน้าก็ถามขึ้นทันที
“เล่ามาเร็วเข้า..เรื่องเป็นเช่นไร”
อบเชยบอกขึ้นมาอย่างเหลืออด
“ไต้ก๋งจะให้อีงามตามาอยู่เรือนนี้น่ะสิคุณนม”
“อกอีแป้นจะแตก”
“อกอีกล่ำก็จะแตกเหมือนกัน โธ่เอ๊ย ไต้ก๋งนะไต้ก๋ง ทำไมเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือเช่นนี้ไปได้”
นมขามโมโห “แล้วเหตุใดพวกเอ็งไม่อยู่ขวางไว้ ปล่อยให้มันมาชูคอในเรือนอยู่ได้”
พิมพ์หน้าคว่ำ บอกด้วยความหงุดหงิด
“จะขวางได้อย่างไรเจ้าคะ ในเมื่อไต้ก๋งไล่พวกข้าลงมาเอง”
นมขามไม่อยากเชื่อ “เอ็งพูดจริงรึ”
“จริงเจ้าค่ะ ยิ่งไปกว่านั้นกว่านั้นไต้ก๋งยังจัดห้องหับให้มันอย่างดีด้วย พวกข้าไม่มีสิทธิ์โต้แย้งได้เลยเจ้าค่ะ” จำเรียงยืนยัน
ดวงแขนึกถึงรำเพยแล้วหนักใจไม่ต่างจากทุกคน
“สงสารก็แต่คุณรำเพย ถ้ารู้เรื่องนี้เข้าจะทำเช่นไร”
นมขามจะเป็นลม กล่ำเข้าไปประคองไว้ทัน
“โธ่ คุณรำเพยของบ่าว...เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้”
ทุกคนต่างพากันเครียดทั้งแถบ กับเหตุการณ์วันนี้

ไต้ก๋งชางประคองพางามตาเข้าไปในห้องพัก งามตากวาดสายตามองท่าทางพอใจ
“น้องชอบรึไม่งามตา”
“ชอบสิเจ้าคะ ผู้หญิงต่ำต้อยเช่นงามตา ได้ขึ้นมาอยู่บนเรือนนี้ ก็นับเป็นบุญแล้ว ขอบคุณไต้ก๋งนะเจ้าคะ ที่ยอมให้บ่าวขึ้นมาอยู่เรือนนี้”
“พี่บอกแล้วว่าพี่รู้สึกผิด ต่อแต่นี้หากต้องการสิ่งใดก็บอกพี่ อย่าได้เกรงใจ”
งามตาหันมามองไต้ก๋งชางในระยะประชิด พลางยิ้มยั่ว
“ถ้าบ่าวอยากรู้ว่า ไต้ก๋งเมตตามากมายเช่นนี้ด้วยเหตุใด จะบอกได้รึไม่เจ้าคะ”
“เอ็งอยากรู้จริงหรือ”
งามตาพยักหน้าส่งประกายตาแวววาวชวนเสน่หา ในที่สุดไต้ก๋งชางก็ทนไม่ไหวรั้งตัวงามตาเข้ามากอด
“ถ้าพี่บอกว่าพี่มีใจเสน่หาแก่น้องเล่า”
งามตาสะใจสมใจที่ไต้ก๋งหลงใหลตน แต่ทำเป็นตีหน้าเศร้าไม่มั่นใจ
“บ่าวจะเชื่อไต้ก๋งได้อย่างไร ก่อนหน้าไต้ก๋งยังรังเกียจบ่าว เหมือนบ่าวเป็นตัวประหลาดในเรือนนี้”
“นั่นมันคืออดีต แต่ตอนนี้พี่รู้แล้วว่าเอ็งดีแสนดีเพียงใด มาอยู่กับพี่เถิด พี่จะให้เจ้าอยู่เป็นเมีย ได้เชิดหน้าชูตาไม่แพ้ใคร”
“แล้วคุณรำเพยเล่าเจ้าคะ จะเอาไปไว้ที่ใด”
“น้องอย่าได้กลัว พี่จะบอกรำเพยเองว่าทุกอย่างเกิดจากความต้องการของพี่”
“ไต้ก๋งไม่ได้โกหกอิฉันใช่ไหมเจ้าคะ”
“ไม่ดอกงามตา...พี่รักน้อง ถึงเวลานี้ต่อให้มีรำเพยอีกกี่หมื่นกี่แสนคนก็ขัดพี่ไม่ได้”
ไต้ก๋งชางลูบไล้ใบหน้างามตาอย่างอ่อนโยน สายตามองจ้องราวกับจะกลืนกิน
“ตามแต่ใจเถิดเจ้าค่ะ ขอแต่รักและเอ็นดูเมียบ่าวเช่นอิฉัน ไม่ทอดทิ้งอิฉันก็พอ”
“พี่ไม่มีวันทิ้งน้อง...งามตา”
ไต้ก๋งชางก้มลงจูบงามตาอย่างอ่อนละมุน งามตายอมโอนอ่อนตามโดยไม่ขัดขืน ร่างทั้งสองค่อยๆ เอนลงไปบนที่นอน

นมขาม กล่ำ พร้อมด้วยสี่สาวกลับขึ้นมาบนเรือน ทั้งสี่สาวเห็นขนมที่ทำค้างไว้ แต่ก็ไม่มีแก่จิตแก่ใจจะทำต่อ จำเรียงบ่นขึ้น
“สงสัยจะไม่ได้ทำเสียแล้วกระมังขนมนี่ เสนียดเต็มเรือน ขืนทำไป เอาไปให้หมามันคงกินไม่ลง”
อบเชยเก็บข้าวของที่วางระเกะระกะอยู่ บอกกับทุกคน
“ช่างมันเถิด ช่วยเอาของพวกนี้ไปเก็บก่อน ร้อนใจไปจะทำสิ่งใดได้”
“ข้าช่วยเองแม่อบเชย”
ดวงแขเข้าไปช่วยอบเชยเก็บข้าวของ พิมพ์เอาแต่กอดอกยืนเฉย ชะเง้อชะแง้ มองเข้าไปในเรือนด้วยความอยากรู้
กล่ำกับนมขามก็ด้วย เพราะเห็นว่าไต้ก๋งหายไปนานโขแล้ว
“นี่ก็นานแล้ว เหตุใดไต้ก๋งยังไม่ออกมาอีก”
กล่ำถามขึ้นก่อนใคร นมขามกระวนกระวายใจไม่แพ้กัน
“ถ้ารู้ข้าจะมายืนอยู่กับพวกเอ็งรึ”
ทุกคนต่างเงียบพูดไม่ออกกันอยู่ชั่วครู่ ในที่สุดจำเรียงก็ทนไม่ไหว ปาของลงพื้นลุกขึ้นโวยวายดังลั่น
“โอ๊ย ข้าทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว”
นมขามแปลกใจ “จำเรียง เอ็งคิดจะอะไร”
“ข้าก็จะไปบอกคุณรำเพยน่ะสิ ข้าปล่อยให้อีงามตามันทำเรื่องชั่วข้ามหัวคุณรำเพยอีกไม่ได้แล้ว”
กล่ำตาโตด้วยความตกใจ รีบห้ามจำเรียง
“ไม่ได้นะจำเรียง ถ้าเกิดคุณรำเพยรู้จะต้องเป็นเรื่องใหญ่โตแน่”
พิมพ์กลับเห็นด้วย เข้าข้างจำเรียง
“จะกลัวอะไร มันอยากแส่หาเรื่องก่อนนี่ แม่อบเชยกับดวงแขก็เห็นด้วยใช่หรือไม่”
“ข้าแล้วแต่คุณนมก็แล้วกัน” อบเชยว่า
ดวงแขอึกอักเกรงคุณรำเพยจะไม่สบายใจ “ข้าด้วย...”
ทุกคนหันไปมองนมขามเชิงถาม คุณนมคิดหนัก ก่อนจะตัดสินใจเด็ดขาด
“ข้าเห็นด้วย เราควรจะแจ้งแก่คุณรำเพย”
“คุณนม ไม่กลัวคุณรำเพยจะทะเลาะกับไต้ก๋งหรือเจ้าคะ” กล่ำท้วง
“วันนี้ไม่รู้ วันหนึ่งเรื่องก็แดงขึ้นมาจนได้ เพราะตอนนี้ไต้ก๋งกำลังหลงมันหน้ามืดตามัว สู้บอกให้รู้ไปเลยดีกว่าจะได้ตัดไฟแต่หัวลม ก่อนที่ทุกอย่างจะสาย”
กล่ำนิ่งไปเริ่มเห็นด้วย จำเรียงเสนอตัวขึ้น
“อิฉันขอไปกับคุณนมนะเจ้าคะ”
นมขามพยักหน้าให้ “ไปเถิด อย่าเสียเวลาเลย”
นมขามเดินลงเรือนไปพร้อมจำเรียง คนอื่นๆ ลงนั่งรอฟังข่าวด้วยสีหน้าหวั่นใจมาก

รำเพยไหว้พระสวดมนต์อยู่ในห้องพระบนเรือนใหญ่ด้วยท่าทีอันสงบ พอเสร็จก็ลุกจะกลับห้อง แต่พอเปิดประตูออกมา ก็เจอนมขามกับจำเรียงพอดี ทั้งสองดูรีบร้อน หน้าตาตื่นตกใจขณะบอกรำเพย
“คุณรำเพยอยู่ที่นี่เอง นมมีเรื่องต้องบอกคุณรำเพยเจ้าค่ะ”
รำเพยสงสัย “เรื่องใดหรือจ๊ะนม รีบร้อนมาขนาดนี้เรื่องสำคัญหรือไม่”
“สำคัญมากเจ้าค่ะ เกี่ยวกับไต้ก๋ง แต่อิฉันกับคุณนมไม่รู้จะบอกอย่างไรดี อยากให้คุณรำเพยไปเห็นเองมากกว่า” จำเรียงบอก
รำเพยตกใจ “เกิดอะไรขึ้นกับคุณพี่”
นมขามกับจำเรียงมองหน้ากันอย่างลำบากใจ นมขามจับมือรำเพย
“คุณรำเพย ไต้ก๋ง พานังงามตากลับมาที่เรือนเจ้าค่ะ”
รำเพยตกใจมาก “ว่าอย่างไรนะ งามตากลับมาที่นี่”
จำเรียงเป็นคนตอบว่า “เจ้าค่ะ พวกอิฉันก็ไม่ทราบว่าไต้ก๋งเป็นอะไร แต่พอมาถึงก็ไล่พวกอิฉันลงจากเรือน ซ้ำยังยกห้องของจำเรียงให้มันอีก”
รำเพยอึ้งไป ไม่อยากจะเชื่อ
“ไม่จริง คุณพี่ไม่มีวันทำแบบนั้น”
“แต่นี่คือเรื่องจริงนะเจ้าคะ นมถึงอยากให้คุณหนูไปดูให้เห็นกับตา เพราะตอนนี้นมไม่รู้จะทำอย่างไรดีแล้วเจ้าค่ะ”
รำเพยเสียใจร่างซวนเซไปจนนมขามต้องประคองไว้

รำเพยขึ้นเรือนดอกเหมยมาหยุดยืนอยู่หน้าห้องจำเรียงที่ไต้ก๋งชางยกให้งามตา ทำใจอยู่สักพัก ด้วยไม่อยากเชื่อว่าที่นมขามกับจำเรียงพูดจะเป็นจริง แล้วตัดสินใจเปิดประตูเข้าไป
ไต้ก๋งชางกับงามตามกำลังนอนกอดกันอยู่บนเตียง รำเพยเห็นภาพนั้นถึงกับอึ้งตะลึงตะไล
เสียงเปิดประตูเรียกให้ไต้ก๋งชางกับงามตาที่นอนกอดกันอยู่หันมามอง พองามตาเห็นว่าเป็นรำเพยก็แกล้งร้องกรี๊ดลั่นห้องทำเป็นตกใจกลัว ไต้ก๋งชางก็ตกใจไม่แพ้กัน
“รำเพย”
รำเพยช็อก ยืนนิ่งเป็นหิน น้ำตาเต็มตาค่อยๆ ร่วงรินออกมาเป็นสาย พูดไม่ออก วิ่งออกไปเลย
งามตาแสร้งตกใจได้ชั่วครู่ก็ลอบยิ้มร้ายสมใจ แล้วทำเป็นบอกไต้ก๋งให้ตามไป
“ไต้ก๋งเจ้าขา ตามคุณรำเพยไปเถิดเจ้าค่ะ ไปอธิบายให้เธอเข้าใจ”
ไต้ก๋งชางนิ่งงันไป คิดอยู่ชั่วครู่ แล้วก็ตัดสินใจเมินรำเพย
“ไม่ต้องสนใจดอก ไว้ข้าจะอธิบายทีหลัง”
“แต่ไต้ก๋งอาจจะมีปัญหาได้”
“พี่ไม่สน ตอนนี้พี่อยากอยู่กับงามตา ไม่สนใจสิ่งอื่นอีกแล้ว”
ไต้ก๋งชางจับไหล่งามตาให้มองหน้ากันด้วยแววตาลึกซึ้ง กอดงามตาไว้
งามตายิ้มร้าย สะใจที่ทุกอย่างเป็นไปตามที่ตนหวัง

นมขาม กล่ำและสี่สาวรออยู่ที่หน้าเรือน จนเห็นรำเพยวิ่งพรวดพราดลงเรือนมา ในสภาพน้ำตาน้ำตานองหน้า นมขามตกใจรีบเข้าไปหารำเพย
“คุณหนูเจ้าขา เกิดอะไรขึ้นเจ้าคะ”
รำเพยมองนมขามทั้งน้ำตา พูดเสียงสั่น ยังรับไม่ได้กับสิ่งที่เห็น
“นมปล่อยฉัน ฉันอยากอยู่คนเดียว”
รำเพยปลดมือนมขามออก แล้วรีบเดินหนีไป กล่ำหน้าเหวอไม่รู้ต้องทำยังไง
“คุณนม ทำอย่างไรดีเจ้าคะ”
“จะทำอะไรเล่า ตามคุณรำเพยไปสิ” คุณนมบอกสี่สาวว่า “ฝากดูทางนี้ด้วยนะ”
นมขามกับกล่ำรีบตามรำเพยไป
สี่สาวมองหน้ากันด้วยรู้สึกหวาดหวั่น รับรู้ถึงความไม่มั่นคงในชีวิตแล้ว

รำเพยหลบมาร้องไห้คนเดียวในห้อง นมขามกับกล่ำตามมาได้ยินเสียงร้องไห้ของรำเพยก็สงสาร นมขามเคาะประตูห้องเรียกรำเพย
“คุณหนู...ขอนมเข้าไปหาได้ไหมเจ้าคะ”
รำเพยไม่ตอบเอาแต่ร้องไห้ นมขามจับดูประตูพบว่าไม่ได้ล็อก จึงหันไปบอกกล่ำ
“เอ็งรอตรงนี้ก่อน ข้าเข้าไปเอง”
นมขามเปิดประตูเดินเข้าไปหารำเพยนั่งร้องไห้อยู่ ลงนั่งข้างๆ แล้วกอดรำเพยไว้
รำเพยปล่อยโฮออกมาอย่างสุดกลั้น นมขามลูบหลังปลอบ
“คนดีของนม...อย่าร้องไห้เลยนะเจ้าคะ”
“ฉันเชื่อใจคุณพี่มาตลอด แต่กลับถูกหักหลัง ฉันไม่รู้ต้องทำอย่างไรดี”
“คุณหนูเจ้าขา ใจเย็นไว้ก่อนเถิดเจ้าค่ะ มันอาจจะไม่ใช่อย่างที่คุณหนูคิดก็ได้”
“แต่ฉันเห็นกับตาขนาดนั้น จะให้คิดอย่างไรได้อีก”
“ไต้ก๋งแค่ตามืดบอดไปชั่วคราวเท่านั้นเจ้าค่ะ...นังงามตามันอาจจะใช้วิธีสกปรกมายั่วยวนไต้ก๋งให้หลงผิดก็เป็นได้”
รำเพยละตัวออกจากนมขาม
“ไม่จริงหรอกนม ถ้าคุณพี่มั่นคงในคำสาบานจริง คงไม่มีอะไรมาทำให้เปลี่ยนได้”
นมขามลูบหลังปลอบ สงสารรำเพย แล้วก็ฉุกคิดขึ้นมาได้
“แต่ไต้ก๋งไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน อาจจะมีอะไรไม่ชอบมาพากลก็ได้นะเจ้าคะ”
“อย่างไรกันจ๊ะนม”
“คนเราไม่มีทางเปลี่ยนได้ในชั่วข้ามคืน ยกเว้นว่ามีคนใช้พวกเสน่ห์เล่ห์กลอะไรเท่านั้นเจ้าค่ะ”
รำเพยอึ้งไป “เสน่ห์...อย่างนั้นหรือ”
“ทีแรกนมก็ไม่อยากเชื่อ แต่เมื่อได้เห็นกับตาถึงคิดว่าเป็นไปได้เจ้าค่ะ”
รำเพยหน้าเครียดขึ้นมาทันที
“แล้วเป็นการทำเสน่ห์จริง ฉันจะช่วยคุณพี่ได้อย่างไร”
นมขามนิ่งคิด “อาจมีแต่หลวงพ่อดำที่พอจะตอบเรื่องนี้ได้ เราไปที่วัดแล้วให้หลวงพ่อท่านช่วยเรื่องนี้ดีไหมเจ้าคะ”
รำเพยใครคร่วญ แล้วพยักหน้ารับทันที แม้ลึกๆ จะเป็นกังวลไม่คลาย

ก้อนเดินมาที่เรือนครัว กะว่าจะมาหาอะไรกิน แต่พอมาถึงก็พบว่าทุกคนไม่ได้สนใจทำกับข้าว เอาแต่ล้อมวงซุบซิบอะไรกันบางอย่าง โดยมีกล่ำเป็นแม่งาน ก้อนขยับเข้าไปแอบฟังใกล้ๆ
“นังงามตามันกลับมาแล้วจริงหรือนี่” รื่นถามย้ำ
“แถมยังกลับมาพร้อมไต้ก๋งด้วย เป็นไปได้อย่างไร” โรยว่า
“เป็นไม่ได้ก็เป็นไปแล้ว ไม่ใช่แค่นั้นนะ ไต้ก๋งยังไล่แม่จำเรียงไปนอนกับแม่พิมพ์ แล้วยกห้องให้เป็นของนังงามตา ไม่รู้ไปพิศวาสกันมาจากที่ใด”
ก้อนได้ยินก็ถึงกับอึ้งไป แต่ยังเก็บอาการไว้
“ไต้ก๋งน่ะหรือชอบนังงามตา แล้วคุณรำเพยเล่า” บ่าวคนหนึ่งถาม
“ข้าก็กลุ้มเรื่องนี้อยู่ คุณรำเพยพอเห็นไต้ก๋งกับอีงามตาอยู่ด้วยกัน ก็ร้องห่มร้องไห้ปานจะขาดใจ ข้าล่ะสงสารนายข้าเหลือเกิน”
กล่ำเล่าด้วยสีหน้าท่าทางไม่พอใจ ก้อนแอบฟังอยู่ สุดท้ายก็ทนไม่ไหวเตะข้าวของแถวนั้นเสียงดัง
กล่ำตกใจ หันไปเห็นก้อนทำหน้าบูดบึ้งโกรธแค้นอยู่ก็แปลกใจ
“ไอ้ก้อน เอ็งมาตั้งแต่เมื่อใด”
“เรื่องของกู ไม่ต้องมายุ่ง”
ก้อนโกรธจัด ตะคอกกล่ำ แล้วเดินพรวดพราดออกไปเลย กล่ำงง

งามตาเดินออกมาจากห้อง เจอสี่สาวกำลังเก็บกวาดในเรือนอยู่ งามตาได้ทีวางอำนาจสั่งสี่สาวเสียงดัง
“พวกเอ็งรีบไปเตรียมข้าวปลาอาหารไป ข้ากับไต้ก๋งหิวแล้ว เย็นนี้เราจะกินข้าวกันในห้องของข้า”
งามตาเน้นเสียงคำว่าของข้าและทำท่าเชิดใส่ทุกคน
จำเรียงได้ยินถึงกับปาผ้าเช็ดตู้ที่ถืออยู่ลงพื้น หันไปทำเสียงประชดใส่งามตา
“ขอประทานโทษนะเจ้าคะ แต่อิฉันต้องเรียนให้ทราบว่าอิฉันไม่ทำเจ้าค่ะ” จำเรียงบอก
“เอ็งมีปัญหาอันใด”
พิมพ์เดินมายืนข้างจำเรียง ผสมโรงด่าว่างามตาอีกคน
“พวกเรามีนายเพียงสองคน คือไต้ก๋งกับคุณรำเพย ส่วนอีพวกไพร่ที่เผยอตัวขึ้นมาเป็นนาย ไม่ได้อยู่ในสายตา”
พิมพ์พูดใบหน้ายิ้มแย้ม แต่ขึงตาจิกใส่งามตาเต็มที่ งามตาไม่ยี่หระ
“เช่นนั้นข้าต้องให้พวกเอ็งเข้าใจเสียใหม่แล้ว ว่าข้านี่ล่ะที่จะมาเป็นเมียอีกคนของไต้ก๋ง ทีนี้พวกเอ็งจะยอมทำได้หรือยัง”
“พูดขนาดนี้ยังไม่เข้าใจอีกรึ อีลูกหมอผีเอ็งควรรู้เสียบ้าง ต่อให้ไต้ก๋งยกเอ็งขึ้นมาเป็นเมียจริง ข้าก็ไม่มีวันฟังคำสั่งเอ็ง” จำเรียงบอก
“คนเดียวที่ข้ายอมให้เหนือกว่ามีแต่คุณรำเพยเท่านั้น พวกขี้ข้าชั้นต่ำข้าไม่ยอมรับ” พิมพ์ว่า
งามตาเจ็บใจ พิมพ์กับจำเรียงหัวเราะเยาะจนงามตาเริ่มโกรธ
“อีพวกนี้ มึง”
อบเชยแทรกขึ้นว่า “พอเถิดงามตา”
“อบเชย เอ็งก็จะหาเรื่องข้าอีกคนรึ”
“ข้าเปล่า แต่ข้าแค่ไม่อยากมีเรื่องกันที่นี่ ตั้งแต่เอ็งกลับมาเรือนก็วุ่นวายมิได้หยุด หากเกรงใจกันบ้างก็อย่าทำเช่นนี้” อบเชยบอกด้วยน้ำเสียงขริงจัง
“ก็คนอยู่เรือนเดียวกันมันเป็นอย่างนี้แล้วจะไม่ให้ข้าโกรธได้อย่างไร”
“แต่เอ็งต้องแจ้งแก่ใจด้วยว่า ไม่ใช่ทุกคนที่จะยอมรับเอ็ง หากอยากอยู่ให้คนรักก็ต้องทำตัวให้น่านับถือ ไม่ใช่สักแต่จะวางอำนาจ”
อบเชยพูดด้วยเหตุผล จนงามตาเงียบไป พิมพ์กับจำเรียงยืนเยาะเย้ยอยู่ด้านหลัง
พอเห็นงามตาเงียบมีท่าทีอ่อนลง อบเชยเลยพูดดีๆ ด้วย
“หากเอ็งหิวจริง ในครัวข้ากับดวงแขทำข้าวแช่ไว้ คงพอกินเป็นของว่างไปก่อนได้ ข้าจะยกไปให้เอ็งกับไต้ก๋งเอง”
“ได้ เอ็งนี่มันก็พอพูดรู้เรื่องนี่อบเชย ไม่เหมือนบางพวก สักแต่จะเห่าไม่เข้าเรื่อง รีบยกขึ้นไปล่ะ ข้าหิวไส้จะขาดอยู่แล้ว”
จำเรียงกับพิมพ์เจ็บใจที่ถูกงามตาเหน็บแนมอีก ดวงแขก็เอาแต่เงียบช่วยอะไรไม่ได้
“นังอบเชย เอ็งไม่น่าไปช่วยมันเลย” จำเรียงโมโห
อบเชยไม่โต้ตอบใดๆ ครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่ในใจ

งามตาโมโหที่ถูกพวกสี่สาวขัดใจ เดินปึงปังจะกลับห้อง แต่พอถึงเชิงบันไดก็ถูกก้อนกระโจนเข้ามาดักหน้าไว้เสียก่อน
“พี่ก้อน”
ก้อนเดินเข้าหางามตา อย่างเอาเรื่อง
“เจอตัวสักที นังตัวดี นังแพศยา”
ก้อนคว้าแขนงามตาไว้ แต่ถูกงามตาสะบัดออกเต็มแรง
“ทำอะไรน่ะ มาถึงก็ว่าฉันฉอดๆ ฉันไปทำอะไรให้พี่”
“ไม่ต้องมาตีหน้าซื่อ อีพวกบ่าวมันโพนทะนาไปทั่วเรือนว่าไต้ก๋งพาเอ็งกลับมา แถมหาห้องหับให้อยู่อย่างดี ยิ่งข้าได้มาเห็นเอ็งที่นี่ข้าก็เข้าใจแล้ว”
“เข้าใจ เข้าใจว่าอย่างไร”
“เข้าใจว่าเอ็งคิดคบชู้อย่างไรเล่า เอ็งหลอกให้ข้าไม่รู้ตั้งกี่ครั้ง แต่พอไต้ก๋งให้ อยู่ที่นี่ก็กลับยอมง่ายๆ อย่างนี้ไม่เรียกคบชู้สู่ชายแล้วจะเรียกว่าอะไร”
งามตาอึ้ง รีบปฏิเสธเสียงแข็ง
“เหตุใดพี่พูดจาเช่นนี้ ไต้ก๋งขอให้ข้ามาที่นี่ จะเรียกว่าคบชู้ได้อย่างไร”
“อย่าคิดว่าข้าไม่รู้ว่าสันดานเอ็ง เอ็งมันทะเยอะทะยาน ทำสิ่งใดก็ได้เพื่อตัวเอง ข้ามันโง่ที่ยอมช่วยเอ็ง แล้วก็ปล่อยให้เอ็งหักหลังข้า”
“หยุดนะพี่ก้อน ฉันไม่เคยทำอย่างนั้น พี่กลับไปเดี๋ยวนี้”
ก้อนฟังแล้วถึงกับจุก แค่นหัวเราะด้วยความเจ็บใจ
“เอ็งกล้าไล่ข้าหรือ มาอยู่ไม่ทันข้ามวันกล้าไล่ข้า ข้าละอยากจะรู้จริงๆ ว่าถ้าไต้ก๋งรู้ว่าเอ็งเคยเป็นเมียข้าจะทำหน้าเช่นไร”
งามตาแหวใส่ “หยุดพูดพล่อยๆ นะ ข้าไม่เคยตบแต่งกับพี่ จะให้เรียกว่าเป็นเมียได้อย่างไร”
“แต่ข้าได้เชยชมความสาวของเอ็งเป็นคนแรก คอยดูเถิด ข้าจะประกาศให้ทั่ว ว่าเอ็งเป็นเมียข้า ดูซิ ไอ้เจ๊กนั่น มันจะเอาเอ็งทำเมียได้ลงอีก”
ก้อนพูดด้วยควาเสียใจและโกรธปนกัน งามตาอึ้งไป กลัวความแตก ทำเป็นน้อยใจ
“พี่กล้าทำกับฉันขนาดนั้นเชียวหรือ นี่คือสิ่งที่พี่ทำกับคนที่พี่เคยบอกว่ารักนักรักหนาอย่างนั้นหรือ”
“ข้าทำได้มากกว่านี้อีก หากเอ็งยังคิดจะอยู่ที่นี่ในฐานะเมียไต้ก๋งล่ะก็...”
ท่าทางเอาจริงของก้อน ทำเอางามตาคิดหนัก เปลี่ยนท่าทีอ่อนลง
“ถ้าอย่างนั้น แสดงว่าพี่ไม่ได้เข้าใจฉันอย่างแท้จริงเลย”
งามตาพูดพร้อมกับตีหน้าเศร้า น้ำตาคลอ ก้อนแปลกใจ
“เอ็งหมายความว่าอย่างไร”
งามตาร้องไห้ เช็ดน้ำตาป้อยๆ มองก้อนด้วยสีหน้าน้อยใจระคนผิดหวัง
“พี่ไม่รู้หรือ ว่าที่ฉันทำทุกอย่างเพื่อให้ได้กลับมาเรือนนี้ แท้จริงเป็นเพราะใคร”
ก้อนยังไม่เข้าใจ งามตาแสร้งเล่นละครต่ออย่างสมบทบาท
“ข้าไม่เข้าใจ เอ็งอธิบายให้ข้าเข้าใจหน่อยเถิด”
“พี่ก้อนจ๋า ที่ฉันกลับมาที่นี่เพราะฉันอยากเจอพี่ พี่ไม่รู้ดอกว่าตอนที่ฉันออกจากเรือนไป ฉันคิดถึงพี่แทบทุกวันทุกคืน ในเมื่อฉันได้โอกาสกลับมาที่นี่ ใยพี่ถึงเชื่อคำของพวกบ่าวมากกว่าฉันเล่า”
ก้อนอึ้งไป ใจอ่อนยวบ สงสารงามตา เสียงอ่อนลง
“นี่เอ็งพูดจริงรึ”
“จริงสิจ๊ะพี่ คืนนี้ฉันตั้งใจจะไปหาพี่ ไม่คิดเลยว่าพี่จะมาต่อว่าฉันเช่นนี้”
งามตาเช็ดน้ำตาด้วยความเสียใจ ก้อนหลงกลสงสารจับมืองามตามากุมไว้ จะเช็ดน้ำตาให้
แต่แล้วทั้งคู่ก็เสียงฝีเท้าของใครบางคน เดินเข้ามาใกล้ๆ ก้อนกับงามตาหันไปมองตกใจ
“เสียงอะไรน่ะ”
เป็นอบเชยนั่นเองถือถาดสำรับกำลังขึ้นบันไดเรือนมา และได้ยินคำพูดของสองคนเข้าพอดี

เมื่อก้อนเดินมาดูใกล้ๆ อบเชยตกใจกลัว รีบหนีไปได้อย่างหวุดหวิด

อ่านต่อ ตอนที่ 10

#เสน่ห์นางครวญ #ช่อง8 #thaich8


กำลังโหลดความคิดเห็น