เสน่ห์นางครวญ ตอนที่ 6
ผ้านุ่งถูกมือมืดโรยหมามุ่ยใส่ สาวๆคันคะเยอยกเรือน
บทประพันธ์ : หงส์หยก บทโทรทัศน์ : พิชฌสินี
ที่แท้งามตาฝันร้าย กำลังกรีดร้องลั่นห้อง
“อย่า...อย่าทำข้า...อร๊ายยยย”
กล่ำสะดุ้งตื่นขึ้น ลุกขึ้นมาตวาดด้วยความหงุดหงิด
“อีงามตา กรีดร้องอะไรของเอ็ง ข้าจะนอน”
งามตาสะดุ้งตื่นขึ้นมาเหงื่อกาฬแตกพลั่ก มองหน้ากล่ำด้วยความหวาดกลัว
“ไป...ไปให้พ้นนะอีผีร้าย...ไป”
กล่ำเขย่าตัวเรียกสติงามตา “เป็นอะไรอีงามตา นี่ข้าเอง กล่ำไง”
“เอ็ง…เป็นคนหรอกรึ”
“ถ้าเป็นผีข้าคงบีบคอเอ็งเป็นคนแรก หน็อย...มาอาศัยเรือนร่วมกับข้า ยังปากหมาว่าข้าเป็นผี”
งามตาค่อยได้สติ เหลียวมองไปรอบๆ ห้องด้วยสายตาหวาดระแวง ก่อนจะผวาตัวเข้าหากล่ำ
“ข้าเจอผี...ผีมันหลอกข้า”
“ผี..ผีที่ใด”
“ที่นี่แหละ ข้านอนหลับไปไม่เท่าใด ก็ถูกมันหลอก”
“ข้ามาอยู่ที่นี่จนหัวจะหงอก ยังไม่เคยเห็นผีสักคราว”
“ข้าเห็นจริงๆ ตัวหนึ่งข้าจำได้ว่าคือไอ้...”
งามตายั้งปากไว้แค่นั้น ไม่อยากให้กล่ำรู้ว่าตนรู้จักไอ้เลื่อน
“ไอ้อะไร”
“เปล่า…เป็นหญิงนุ่งสไบสีเขียว ผมยาว หน้าตาน่ากลัวมาก”
กล่ำมองงามตาแบบไม่ค่อยเชื่อ
“สงสัยเอ็งจะปวดท้องจนเพ้อเสียแล้วกระมัง”
“ข้าไม่ได้เพ้อนะ ข้าเห็นจริงๆ พี่ต้องช่วยข้านะ”
“ถ้าผีมาข้าก็ช่วยเอ็งไม่ได้หรอก ถ้าเอ็งจับไข้ก็นอนไปเถิดไป๊ พรุ่งนี้ข้าจะไปลากับนมขามให้”
กล่ำตัดบทแล้วล้มตัวลงนอน งามตาโล่งใจ แต่ยังหวาดระแวงไม่เลิก
วันรุ่งขึ้น พอรำเพยรู้เรื่องอาการป่วยของงามตาจากคุณนมก็แปลกใจ
“แม่งามตาอยู่ๆ ก็มีไข้รึ”
“เจ้าค่ะ แถมยังบอกว่าหนักหัวมากท่าทางจะไม่สบายหนักเจ้าค่ะ”
ไต้ก๋งชางอยู่กับรำเพยด้วย ถามขึ้นว่า
“แล้วนี่มีใครหาหยูกหยาให้มันกินหรือยัง”
“นมให้บ่าวต้มยาให้แล้วเจ้าค่ะ แต่ไม่ดีขึ้นเลย”
“ถ้าเป็นขนาดนี้ เราให้คนไปตามหมอมาดีไหมคุณพี่” รำเพยหารือสามี
“ดีเหมือนกัน พี่ก็ไม่อยากได้ชื่อว่าแล้งน้ำใจ” ชางบอกกับนมขามว่า “นมช่วยไปตามหมอมาดูงามตามัน แล้วก็เรียกหมอผีอินพ่อมันมาดูอาการเถิด”
“เจ้าค่ะ นมจะรีบให้บ่าวมันจัดการให้ เฮ้อ ไม่รู้มีเรื่องใดนักนะเจ้าคะ นังงามตานี่”
นมขามพูดพลางถอนหายใจ
“โธ่ นมจ๋า เรื่องเจ็บไข้ไม่มีใครรู้ล่วงหน้า ช่วยรักษากันไปเถิด เจ้าคุณพ่อของฉันก็เคยสอนไว้ว่าต้องหัดเมตตาต่อคนอื่นไม่ใช่หรือ”
นมขามมองค้อน “เจ้าค่ะ ต้องหัดมีเมตตา”
ฝ่ายไต้ก๋งยิ้มภาคภูมิใจ พลางหันมาถามนมขาม
“ข้านี่ดวงดีแท้ๆ นมว่าไหม”
“ดวงดีเรื่องใดเจ้าคะ”
“ก็ข้าได้มาพบขุนทนงค์พ่อตาผู้ให้ชีวิต แถมยังได้เมียประเสริฐยิ่งนัก ชาตินี้ข้าจะต้องการสิ่งใดอีกเล่า”
รำเพยเขินอายรีบปฏิเสธ
“คุณพี่พูดเกินไปแล้วเจ้าค่ะ”
“พี่ไม่ได้พูดเกินจริง หากไม่เชื่อน้องถามนมขามสิ”
“นมเห็นด้วยเรื่องคุณรำเพยมีเมตตา แต่ไม่เห็นด้วยเรื่องไต้ก๋งไม่ขาดสิ่งใดเจ้าค่ะ”
นมขามยิ้มเป็นนัยสำทับ
“แล้วข้ายังขาดสิ่งใดอีกเล่า”
“ยังขาดคุณหนูตัวน้อยๆ มาเป็นโซ่ทองคล้องใจเจ้าค่ะ นมอยากมีโอกาสเลี้ยงดูลูกของคุณท่านทั้งสอง เมื่อไหร่จะมีโอกาสนั้นเจ้าคะ”
“ข้าคิดเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน ก็ขึ้นอยู่กับบุญวาสนาแล้วว่าวันนั้นจะมาถึงเมื่อไหร่ จริงไหมจ๊ะน้องรำเพย”
รำเพยอายหน้าแดง ไต้ก๋งชางหัวเราะชอบใจ
หน้าเรือนบ่าวยามบ่ายแท้ๆ แต่บรรยากาศกลับดูขมุกขมัวน่ากลัว หมอผีอินมาถึงหน้าเรือนบ่าวตะโกนเรียกงามตา
“งามตา”
งามตาไม่ตอบกลับมาผิดวิสัย หมอผีอินตะโกนเรียกอีก
“นังงามตา ข้ามาแล้ว”
หมอผีอินยืนนิ่ง แต่สักพักก็รู้สึกว่ามีลมพัดวูบมาแปลกๆ เมื่อมองไป ก็รับรู้ได้ถึงพลังบางอย่างปกคลุมเรือนทาสอยู่
หมอผีอินก้าวเท้าช้าๆ เข้ามาในห้อง เจองามตานอนปวดหัวทุรนทุรายอยู่ในนั้น
“โอย ปวด ปวดเหลือเกิน...”
หมอผีอินมองไปรอบบ้าน สัมผัสรับรู้ได้ถึงพลังบางอย่าง
“โอย ข้าปวด ข้าไม่ไหวแล้ว ช่วยข้าด้วย”
งามตายังดิ้นอย่างทุกข์ทรมานไม่หยุด มือกุมหัวตัวเองเหมือนจะระเบิดออกมาแทบขาดใจ
หมอผีอินนั่งสมาธิ หลับตาพึมพำคาถาฟังไม่ได้ศัพท์
ทันใดนั้นลมก็พัดแรงขึ้น เสียงหัวเราะโหยหวนดังขึ้นรอบเรือน
หมอผีอินท่องคาถาต่อไปไม่ยอมแพ้ งามตายิ่งกรีดร้อง พอท่องถึงบทสุดท้าย ลมก็พัดประตูเรือนปิดดังโครม จนสั่นไหวไปทั้งเรือน
พออินลืมตาขึ้นมาก็มองเห็นผีนางตานี ห่มสไบสีเขียว นุ่งผ้าโจงกระเบนสีเขียวเลื่อมพราย ยืนเหยียบหัวงามตาอยู่ ผีร้ายก้มลงมามองหมอผีอินอย่างท้าทาย ดวงตาแดงฉาน น่ากลัว
“มึงงั้นหรือ ที่คิดท้าทายกู”
“รีบออกไปจากลูกข้า มิเช่นนั้นเอ็งเจ็บตัวแน่”
“กูไม่กลัวมึง มีดีอันใดก็เอาออกมา กูจะเหยียบหัวลูกมึงเช่นนี้ จนกว่าอีนี่มันจะรู้จักที่ต่ำที่สูง”
งามตาที่นั่งอยู่ได้ยินเสียงผีพูดอยู่บนหัว ก็หวาดกลัวสุดกำลัง
“พ่อ...ผู้ใดอยู่บนหัวข้า ข้ากลัว เอามันออกไป ช่วยข้าด้วย”
“กูบอกให้มึงออกไป”
“กูไม่ไป กูจะเหยียบมันให้ตายคาตีนกู ให้มันรู้ว่าไม่ควรลบหลู่ข้า”
“ได้...ไม่ไปใช่หรือไม่”
หมอผีอินหลับตาท่องคาถา มือล้วงเข้าไปในย่าม หยิบข้าวสารเสกออกมาปาไปบนศีรษะงามตา
ผีนางตานีกรีดร้องโหยหวนดังขึ้น งามตาได้ยินถนัดชัดเจน จนต้องเอามือปิดหูตัวสั่นงันงก
นางตานียังไม่ออกไป มองมายังหมอผีอินด้วยแววตาแข็งกร้าวกว่าเดิม
“มึงทำอันใดกูไม่ได้หรอก”
“เดี๋ยวมึงจะได้รู้ฤทธิ์กู อีผีร้าย”
หมอผีอินหยิบข้าวสารเสกขึ้นมาบริกรรมคาถาอีกครา ผีร้ายหัวเราะเยาะไม่สะทกสะท้าน
หมอผีอินเอามีดขึ้นมากรีดแขนตัวเองให้เลือดไหลปนไปกับข้าวสารเสก แล้วซัดใส่นางตานีทันที
ทันใดนั้นเองก็ได้ยินเสียงร้องโหยหวยหวนทุกข์ทรมานเหลือแสนดังขึ้น หมอผีอินได้ทีหยิบมีดหมอแล้วแทงเข้าไปซ้ำๆ วิญญาณร้ายกรีดร้องสุดเสียง ก่อนที่ร่างจะสลายหายไป
จำเรียงมาด้อมๆ มองๆ ไปที่เรือนครัวเหมือนมองหาใครบางคน นมขามเตรียมกับข้าวอยู่ เดินออกมาเจอจำเรียงซุ่มอยู่ก็ตกใจ
“โอ๊ย คุณพระคุณเจ้า ผีบ้านผีเรือน”
จำเรียงผงะถอยไป นมขามพอเห็นว่าเป็นใครก็โวยใส่
“ปัดโธ่ ตกอกตกใจหมด เอ็งมาทำอะไรที่นี่นังจำเรียง”
“ขอโทษเจ้าค่ะคุณนม อิฉันแค่เดินผ่านมาทางนี้ เลยจะแวะดูอะไรสักหน่อย”
“ดูอะไร ที่นี่เรือนครัว มีแต่พริกแต่แกง มีอะไรให้เอ็งอยากดูงั้นรึ”
คุณนมมองจ้อง จนจำเรียงอึกอัก
“คือ...อิฉันมาตามหาคนเจ้าค่ะ ได้ยินว่ามีบ่าวคนใหม่มาอยู่ อาจจะรู้จักกันจึงอยากมาดูหน้า”
“นังงามตางั้นหรือ วันนี้มันไม่สบาย กลับไปพักที่เรือนตั้งแต่เมื่อบ่ายโน่นแล้ว”
“ไม่สบายหรือเจ้าคะ แปลกจริง เพิ่งมาอยู่แท้ๆ” จำเรียงตั้งข้อสังเกต
“ข้าก็ว่าแปลก แต่จะทำอันใดได้”
“จริงของคุณนมเจ้าค่ะ เยี่ยงนี้จะทำงานได้อย่างไรก็ไม่รู้นะเจ้าคะ” จำเรียงว่า
“ใช่ แต่นังงามตาจะทำงานได้หรือไม่ก็ไม่ใช่กงการใดของเอ็งมิใช่หรือ”
จำเรียงชะงักไปนิดหนึ่ง
“คุณนมว่าอย่างไรนะเจ้าคะ”
“ข้าบอกว่า ไม่ใช่กงการอันใดของเอ็ง เอ็งมีหน้าที่ใดก็จงทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีเถิด ส่วนเรื่องคนอื่นก็อย่าไปยุ่งนักเลย จะเดือดร้อนตัวเปล่าๆ”
นมขามพูดจบก็เดินกลับเข้าเรือนครัวไป จำเรียงแอบเจ็บใจ
หลังไล่นางตานีไปเรียบร้อยแล้ว ลมที่เคยพัดแรงก็กลับสงบนิ่งลง หมอผีอินหันมาบอกงามตา
“มันไปแล้ว”
งามตาเอามือออกจากหูช้าๆ เหลียวมองไปรอบๆ
“แล้วเหตุใดผีนางตานีมันถึงอาฆาตเอาได้ เพิ่งมาอยู่แท้ๆ”
“นางตานีรึพ่อ”
“มันยืนเหยียบหัวเอ็งไว้ บอกว่าเอ็งไปลบหลู่มัน เอ็งไปทำสิ่งใดผิดที่ผิดทางไว้”
งามตานึกถึงตอนตามก้อนออกไปที่ดงกล้วย แล้วโมโหที่โดนด่าปรามาส เตะของเซ่นไหว้กระจัดกระจาย แต่ไม่กล้าบอกพ่อ เฉไฉไปเรื่องอื่น
“ช่างมันเถิดพ่อ ข้าไม่ตายก็บุญแล้ว”
“ไหนแรกเอ็งบอกข้าว่าจะไปอยู่เรือนใหญ่อย่างไรเล่า ที่นี่คับแคบแถมยังมีพวกผีร้ายอีก เอ็งจะอยู่ได้อย่างไร”
“คิดว่าข้าอยากอยู่รึ ใครจะรู้เล่าว่ามันจะให้มาอยู่เรือนขี้ข้า”
“แสดงว่ามันไม่พิศวาสเอ็งสักนิด”
งามตาไม่ตอบ หมอผีอินเข้าใจหัวเราะเยาะลูกสาว
“ข้าคิดอยู่แล้วว่าต้องเป็นเช่นนี้ ไหนเอ็งมั่นใจหนักหนาไม่ใช่หรือว่าไอ้ไต้ก๋งจะหลงเอ็งหัวปักหัวปำ”
“ข้าไม่คิดว่าไอ้เจ๊กนั่นมันจะรักภักดีเมียมันขนาดนี้นี่พ่อ”
“เช่นนั้นเอ็งรู้แล้วใช่รึไม่ว่า ไอ้เจ๊กนั่นไม่ใช่คนโง่ มันไม่ยอมให้เอ็งหลอกเอาสมบัติมันได้ง่ายๆ ดอก”
งามตาแล้วจะให้ฉันทำอย่างไรเล่าพ่อ
หมอผีอินยิ้มเจ้าเล่ห์
“เอ็งก็รู้ว่ามีพ่อเป็นหมอผีอย่างข้า แล้วจะช่วยเอ็งได้เช่นไร”
“จะให้ฉันทำเสน่ห์เล่ห์กลเหมือนพวกที่มาพบพ่อน่ะรึ ฉันไม่เอาด้วยหรอก”
“เหตุใดพูดเช่นนั้น”
“ของดีฉันมีอยู่กับตัว ไม่จำเป็นต้องใช้เสน่ห์พวกนั้นล่อให้มันมาติดกับหรอก”
“ข้ากลัวจะเป็นแค่คำคุยน่ะสิวะ”
“คนอย่างอีงามตาไม่มีแค่คำคุยหรอกพ่อ ฉันอยากได้อะไรฉันต้องได้ พ่อคอยดูก็แล้วกัน”
งามตาบอกด้วยแววตาแข็งกร้าว หมอผีอินมองเอือมๆ
“เออ ก็ได้ ตามใจเอ็ง”
“พ่อกลับไปก่อนเถิด ไว้มีอะไรฉันจะให้คนไปตาม”
หมอผีอินพยักหน้า ลุกขึ้นจะเดินออกไป แล้วก็หันมาอีก
“ข้าลืมถามอะไรเอ็งอย่าง“
“อะไรพ่อ”
“วันพรุ่งข้าจะข้ามแดนไปหาของดี คงสี่ห้าวันจะกลับมา แต่ข้าไม่มีอัฐติดตัวเลย เอ็งมีให้ข้ายืมก่อนรึไม่”
งามตาเซ็ง “อีกแล้วรึพ่อ ฉันเพิ่งมาอยู่แค่คืนเดียว จะเอาอัฐที่ใดมาให้ ถ้าอยากได้ก็เอาไอ้ของขลังพวกนั้นไปขายโน่นฉันไม่มีหรอก”
“บ๊ะ เอ็งนี่มันขัดใจข้าเสียจริงอุตส่าห์ช่วย อัฐก็ไม่ได้ แถมถูกไล่อีก อีลูกไม่รักดี”
หมอผีอินด่างามตาแล้วเดินออกอย่างเจ็บใจ งามตาทำหน้าเบื่อหน่าย
เวลานั้น ไต้ก๋งชางง่วนอยู่ตรงท่าน้ำบริเวณด้านหลังเรือน นำเอาไม้สำหรับต่อเรือสำเภามาวางเรียง มองกองไม้ตรงหน้าอย่างมุ่งมั่นมาดหมาย ก่อนจะลงมือเอาไม้มาเรียงต่อกัน ทำเป็นท้องเรือ
พอเสร็จชางก็หยิบกล่องไม้ใบหนึ่งออกมาจากกระเป๋าเสื้อ เปิดออกเผยให้เห็นว่า ข้างในเป็นเปียผมที่เขาเคยตัดทิ้งอยู่ในนั้น ชางหยิบเปียผมขึ้นมามองจ้อง พูดกับผมเปียเหมือนเป็นสัญลักษณ์แทนตน
“เราต่างฝ่าฟันมรสุมมาด้วยกันจนมีวันนี้ได้ ถึงวันนี้เราจะแยกจากกันแล้ว แต่เจ้าก็จะเป็นเครื่องเตือนใจข้าไม่ให้ข้าลืมชาติกำเนิดของตัวเอง”
ชางบรรจงวางเปียลงไปในท้องเรือ ก่อนจะเอาไม้อีกแผ่นปิดทับไว้
หมอผีอินเดินออกมาจากเรือนบ่าว กำลังอารมณ์เสียได้ที่ แต่พอเห็นไต้ก๋งชางก็พุ่งเข้าไปทักทันที
“ข้าก็นึกว่าผู้ใดกัน ดูท่าทางสง่างามนักไม่เหมือนบ่าวไพร่คนอื่น ที่แท้ ก็เจ้าบ้านคนใหม่แห่งเรือนลำพระพายนี่เอง”
“ไม่เจอกันเสียนานเชียวหมอผีอิน”
“ดีใจยิ่งนักที่ไต้ก๋งยังจำข้าได้”
“ข้าเห็นว่าลูกสาวพ่อหมอเจ็บไข้ ตอนนี้เป็นอย่างไรบ้างเล่า”
“มันถูกวิญญาณร้ายคิดเอาชีวิต แต่ข้าจัดการแล้ว ตอนนี้คงไม่เจ็บไข้อันใดอีก”
ชางนิ่วหน้า “วิญญาณร้าย นี่หมอพูดเรื่องอะไรกัน”
“เรื่องนี้ล่ะที่ข้าอยากพูดกับไต้ก๋ง ไต้ก๋งรู้หรือไม่ว่าที่เรือนแห่งนี้มีผีร้ายอาศัยอยู่”
ไต้ก๋งชางหัวเราะ ไม่เชื่อนัก
“ข้านึกว่ามีแต่งามตาเท่านั้นที่จับไข้ แต่ดูแล้วเอ็งก็คงป่วยไข้ไม่แพ้กัน”
“ข้าไม่ได้ป่วย แต่ข้าพูดเรื่องจริง เรือนนี้มันไม่ปลอดภัย อยู่ไปก็จะฉิบหายจากพวกผีร้าย หากไต้ก๋งไม่เชื่ออยากลองดูก็ย่อมได้”
หมอผีอินพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังมาก ไต้ก๋งจึงลองถามหยั่งเชิง
“แล้วถ้าหากเรือนข้ามีผีพวกนั้นจริงจะทำสิ่งใดได้เล่า”
หมอผีอินยิ้มเจ้าเล่ห์
“ถามถูกคนแล้ว ข้านี่แหละที่ช่วยไต้ก๋งได้”
“พ่อหมอจะช่วยอะไรข้า”
“เพียงแค่ไต้ก๋งตอบแทนข้าด้วยอัฐเล็กๆ น้อยๆ ข้าก็จะช่วยปัดเป่าวิญญาณร้ายพวกนั้นให้ดีไหมเล่า”
“แล้วข้าก็จะปลอดภัยจริงงั้นหรือ”
หมอผีอินพยักหน้า ไต้ก๋งคิดปราด ก่อนจะยิ้มบอก
“แต่ ข้ามิใช่พวกที่เชื่อผีสางเสียด้วยสิ”
“ไต้ก๋งหมายความว่าอย่างไร”
“เคยได้ยินคำกล่าวนี้หรือไม่ ‘ผู้มีใจตั้งมั่นย่อมชนะฟ้า ผู้ไร้ความตั้งมั่นฟ้าย่อมชนะคน’ หมายความว่า...ข้านั้นเชื่อในตัวเองมากกว่าสิ่งที่จับต้องไม่ได้”
“ไต้ก๋งจะไม่ตอบตกลงเช่นนั้นสินะ”
“การจะทำให้เรือนอยู่สงบสุขและปลอดภัย คนในเรือนต้องมีหัวใจเป็นหนึ่งเดียว หากไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ จะทำพิธีกรรมอันใดก็ไร้ประโยชน์”
ไต้ก๋งชางเดินมาใกล้ชี้ไปทางหน้าเรือน หมอผีอินผงะเล็กน้อย
“เชิญกลับไปเถิดข้าไม่ต้องการความช่วยเหลือใดจากพ่อหมออีก”
ไต้ก๋งชางพูดด้วยน้ำเสียงเด็ดขาดเอาจริง จนหมอผีอินจำใจต้องกลับไป
ฝ่ายงามตาเดินเข้ามาหยุดตรงตีนบันไดเรือนใหญ่ เหลียวซ้ายแลขวาจนแน่ใจว่าไม่มีใครผ่านมาจึงก้าวเท้าขึ้นบันได จนมีเสียงดังขัดจังหวะขึ้น
“นั่นผู้ใด”
งามตาชะงักหันไปเจอนมขามยืนอยู่
“คุณนม”
“เออข้าเอง เอ็งมาทำอันใดที่เรือนนี้เห็นว่าจับไข้ หายดีแล้วรึ”
“หายดีแล้วเจ้าค่ะ”
“เหตุใดไม่นอนพักก่อน แล้วเอ็งจะขึ้นเรือนไปพบผู้ใด”
งามตาอึกอัก “เอ่อ...ฉันอยากพบ...คุณรำเพยเจ้าค่ะ”
“อยากพบคุณรำเพย มีเรื่องใดรึ”
“ฉันอยากขอบคุณคุณรำเพย ที่อุตส่าห์ให้บ่าวไปตามพ่อมาให้เจ้าค่ะ”
“เอ็งขึ้นไปไม่ได้ คุณรำเพยกำลังมีแขกคนสำคัญเอ็งมาเวลาอื่นเถิด”
“แขก...ใครหรือเจ้าคะคุณนม”
นมขามมองดุ “ไม่ใช่กงการอันใดที่เอ็งจะต้องรู้ ถ้าหายดีแล้วเข้าไปช่วยเรือนครัวต่อไม่ดีกว่ารึ”
งามตายังไม่อยากไป ทำท่าอิดออด
“ฉันยังเหนื่อยๆ อยู่ ยังทำงานไม่ไหวหรอกเจ้าค่ะ”
นมขามมองจ้องด้วยความสงสัย สักพักรื่นก็วิ่งเข้ามาด้วยท่าทางร้อนรนใจ
“นมขาม แย่แล้วเจ้าค่ะ”
“มีการใดหน้าตาตื่นมาเช่นนี้”
“ไอ้เทียบกับไอ้ทับ มันชกกันอยู่ที่สวนหลังเรือนเจ้าค่ะ”
นมขามตกใจมาก ยกมือทาบอก
“อกอีแป้นจะแตก มันเป็นพี่น้องกันมิใช่รึ”
“เจ้าค่ะ เห็นว่ามันแย่งผู้หญิงคนเดียวกัน คุณนมช่วยไปห้ามมันเถิดเจ้าค่ะ ตอนนี้ผู้ใดห้ามปรามมันก็ไม่ฟัง”
“ไป งั้นรีบไป พาข้าไปเร็วเข้า”
นมขามร้อนใจเร่งตามรื่นออกไป ลืมเรื่องงามตาที่ยังยืนอยู่เสียสิ้น หญิงสาวยิ้มมุมปากครุ่นคิดอะไรบางอย่างในหัว
คุณเดือนภรรยาขุนวิเศษ มาพบคุณรำเพยที่เรือนใหญ่ เมื่ออยู่กันลำพัง เดือนจึงเปิดกล่องที่นำมาด้วยให้ดู ในกล่องเห็นสร้อยทองแหวนพลอยน้ำดีกับกำไลทองอยู่หลายอัน รำเพยมองด้วยท่าทีประหลาดใจ
“สร้อยนี้ลูกน้องขุนพิเศษเอามาขัดดอกไว้แล้วไม่มาไถ่คืน ส่วนแหวน คุณพี่ได้พลอยเมืองจันท์น้ำงามมาเมื่อหลายเดือนก่อนจ้ะ”
“น้ำงามมากเลยเลยค่ะคุณพี่ พลอยชั้นดีเช่นนี้เอาไว้ประดับแหวนคงสวย”
“ทีแรกพี่ว่าจะเอาไปทำแหวน แต่นึกแล้วสมบัติตัวเองก็มีตั้งมากจึงคิดว่าน้องรำเพยอาจจะอยากได้”
“น้องน่ะหรือคะ”
“ใช่จ้ะ น้องรำเพยก็เป็นถึงคุณนายเรือนลำพระพาย มีเครื่องเพชรเครื่องทองพวกนี้ติดตัวไว้บ้างก็น่าจะดี จริงไหมจ๊ะ”
“น้องไม่ได้ยึดติดในข้าวของพวกนี้หรอกค่ะคุณพี่ เอามาก็มีแต่จะเก็บไว้ ไม่ได้ใส่ออกงานที่ใด”
“แต่แหม...เราคนรู้จักกันมาก็นาน พึ่งพากันมาก็มาก พี่เห็นว่าเป็นของดีจึงอยากให้น้องเก็บไว้”
รำเพยมีสีหน้าอึดอัดลำบากใจ “น้องคงรับเอาไว้ไม่ได้หรอกค่ะคุณพี่”
ภรรยาขุนพิเศษจับมือรำเพย สบตาขอความเห็นใจ
“หญิงงามย่อมคู่ควรกับของงามของมีค่า อย่าปฏิเสธเลยนะจ๊ะ”
“น้องเกรงใจค่ะ เครื่องเพชรเครื่องทองใช่ของถูก”
“อย่าเกรงใจเลยจ้ะ ช่วยรับไปสักคราว ถือว่าพี่ขอร้องก็แล้วกัน”
“แต่...” รำเพยจะปฏิเสธ แต่เดือนคาดคั้นอ้อนวอนน่าสงสาร
“นะจ๊ะ ถ้าน้องไม่รับคราวนี้ หากพี่กลับไปแล้วท่านขุนเห็นว่าพี่ขนข้าวของพวกนี้ออกมา พี่จะต้องโดนต่อว่าแน่ๆ”
รำเพยแปลกใจ “นี่ท่านขุนไม่รู้เรื่องที่คุณพี่นำของพวกนี้มาหรือคะ”
เดือนอึ้งไปนิดหนึ่ง อึกอักไม่กล้าพูด
“คือ...พี่...”
รำเพยเหมือนจะเข้าใจแล้วว่าเดือนต้องการอะไร
“ถ้าเช่นนั้นน้องจะช่วยรับไว้ก็ได้ค่ะ”
เดือนดีใจ “จริงหรือจ๊ะน้องรำเพย”
“ค่ะ อย่างที่คุณพี่ว่า เราพึ่งพากันมาก็มาก เมื่อถึงคราวคุณพี่เดือดร้อน น้องก็ต้องช่วย เดี๋ยวน้องไปหยิบอัฐมาให้นะคะ”
เดือนยิ้มรับแกนๆ รำเพยยิ้มตอบไม่ได้ถือสา ก่อนจะลุกหายเข้าห้องไป
งามตาแอบมองอยู่ตรงมุมหัวบันไดเรือน เห็นของมีค่าก็ตาลุกวาวอยากได้บ้าง
งามตาหลบมานั่งที่ศาลาในสวน บ่นงึมงำอย่างคับอกคับใจ
“นี่ข้าต้องจมปลักอยู่ในครัวถึงเมื่อไหร่ ทำไมข้าถึงไม่มีชีวิตสุขสบายอย่างคนอื่นเขาเสียที”
งามตาฮึดฮัดด้วยความคับแค้นใจ จนมีเสียงทักดังเข้ามา
“ร้อนอกร้อนใจเรื่องใดรึ”
งามตาเหลียวขวับไปมอง แล้วต้องตกใจ เมื่อเห็นเป็นรำเพยเดินเข้ามา
“คุณรำเพย”
งามตารีบลุกเลี่ยงไปนั่งกับพื้น วางกิริยานอบน้อมอย่างเจียมตน เสแสร้งบีบน้ำตาให้ดูน่าสงสาร รำเพยมองท่าทีงามตาอย่างแปลกใจ
“นมขามบอกว่าเอ็งดีขึ้นแล้วข้าจึงมาเยี่ยมแต่นี่เอ็งกลับร้องไห้ มีใครทำอะไรหรือ”
งามตาเช็ดน้ำตา ตอบแบบไม่เต็มเสียงนัก
“ไม่มีอะไรเจ้าค่ะ บ่าวแค่คิดถึงพ่อ”
“งั้นหรือ จริงสิ ปกติเอ็งอยู่กับพ่อตลอดสินะ”
“เจ้าค่ะ เมื่อก่อนตอนอยู่ที่บ้านมีแต่บ่าวเท่านั้นที่ดูแลพ่อ แต่ตอนนี้ไม่มีใครดูแลพ่อแล้ว บ่าวเลยนึกถึงพ่อขึ้นมาเจ้าค่ะ”
งามตาตีทำหน้าเศร้าให้ดูน่าสงสาร รำเพยซึ่งผูกพันกับพ่ออยู่แล้วก็ยิ่งเข้าใจ
“ข้าเข้าใจ...เพราะข้าเองก็คงไม่ได้เจอคุณพ่อของข้าอีกแล้ว”
“เจ้าค่ะ”
“เอาอย่างนี้ เพื่อให้เอ็งหายเศร้า ข้าจะพาเดินชมเรือนรอบๆดีหรือไม่
งามตาได้ยินก็ตาวาววาบขึ้นมาอย่างดีใจ
“คุณรำเพยพูดจริงหรือเจ้าคะ”
“จริงสิ เอ็งอยากไปดูที่ใดข้าจะพาไป”
“เรือนดอกเหมยเจ้าค่ะ บ่าวอยากไปดูเรือนนั้นนมขามบอกว่าที่นั่นมีแต่แม่หญิงสวยงาม แล้วก็มีการทำขนมกัน บ่าวเลยอยากไปดูเจ้าค่ะ”
“เรือนดอกเหมยงั้นรึ”
รำเพยมองงามตา เห็นแววตาเว้าวอนที่มองมาก็สงสาร
ทันทีที่รำเพยพางามตาพ้นบันไดเรือนขึ้นมาบนเรือนดอกเหมย งามตาถึงกับตกตะลึงในความสวยงามบนเรือน
“เรือนนี้ช่างสวยงามนัก”
“เอ็งคงรู้เรื่องเรือนดอกเหมยมาบ้างแล้วใช่รึไม่”
“พอรู้มาบ้างเจ้าค่ะ เห็นว่าเรือนนี้สร้างไว้ให้หญิงที่ไต้ก๋งชางรับไว้เลี้ยงดูใช่หรือไม่เจ้าคะ”
“ใช่ แต่ไม่ถูกทั้งหมด ข้าจะเล่าให้เอ็งฟัง”
รำเพยเดินพางามตาชมในเรือนดอกเหมย
“เอ็งอาจจะคิดว่าเรือนนี้คุณพี่สร้างไว้เพื่อหญิงที่รับไว้เป็นเมีย แต่ความจริงแล้วที่เรารับเลี้ยงหญิงเหล่านี้ไว้ เพราะพวกหล่อนฐานะยากจนหรือต้องการความช่วยเหลือ คุณพี่จึงรับไว้เพื่อให้ได้ฝึกอาชีพ”
รำเพยเดินนำไปชมในส่วนต่างๆ ของเรือน งามตามองอย่างริษยา
“แล้วเหตุใดจึงต้องสร้างให้ใหญ่โตนักล่ะเจ้าคะ”
“ข้าตั้งใจจะให้พวกนางฝึกทำขนม คุณพี่เห็นว่าให้ไปสอนไม่เป็นที่เป็นทางจะดูไม่ดี เรือนดอกเหมยนี้จึงถูกสร้างขึ้น” รำเพยบอก
ดวงแข อบเชย จำเรียง และพิมพ์ รีบออกมาต้อนรับรำเพย
“คุณรำเพย เชิญนั่งก่อนสิเจ้าคะ”
ทั้งสี่คนพารำเพยเข้าไปนั่งในเรือน งามตาตามมาด้วย ดวงแขต้อนรับอย่างเคารพนพนอบ
“คุณรำเพยจะรับน้ำใดดีเจ้าคะ วันนี้ที่เรือนทำน้ำสมุนไพรไว้หลายอย่างทีเดียว”
“ไม่ต้องลำบากหรอก ข้ามาเดินเล่นยังไม่หิว”
ทั้งสี่สาวมองมาทางงามตาด้วยท่าทางแปลกใจ รำเพยแนะนำอย่างเป็นทางการ
“นี่งามตา..บ่าวที่เรือนครัว”
ดวงแข อบเชย จำเรียง และพิมพ์ มองงามตาอย่างพินิจพิเคราะห์
จู่ๆ จำเรียงก็นึกได้เบิกตาโตขึ้นมา งามตาเองก็จำหน้าจำเรียงได้ แต่ทำเป็นเมินไม่สนใจ
“มันเพิ่งหายไข้ วันนี้เลยพักไม่ได้ให้เข้าครัว เห็นว่าอยากมาดูพวกเอ็งทำขนม ข้าก็เลยพามา วันนี้ทำขนมใดรึ”
“บัวลอยไข่หวานเจ้าค่ะ” อบเชยบอก
รำเพยหันมาทางงามตา
“เอ็งอยากลองทำบัวลอยไข่หวานบ้างหรือไม่”
“อยากเจ้าค่ะคุณรำเพย”
“ถ้าเอ็งอยากลองทำก็ให้พวกนี้สอนให้” รำเพยไล่สายตามองสี่สาว “พวกเอ็งยอมรับลูกศิษย์คนนี้หรือไม่”
อบเชยกะดวงแขประสานเสียงอย่างยินดี “รับเจ้าค่ะ”
พิมพ์แค่ยิ้มรับเอาคำ ส่วนจำเรียงมองเขม่น ไม่ตอบ
“จำเรียงเหมือนมีความในใจอันใด”
“ไม่มีดอกเจ้าค่ะ เพียงแต่อิฉันเป็นแต่ทำ สอนใครไม่เป็นเจ้าค่ะ” จำเรียงหันไปทางงามตา “ให้คนอื่นสอนก็แล้วกัน
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวเราช่วยๆ กันสอนช่วยๆ กันดูก็ได้” ดวงแขว่า
“ถ้าเช่นนั้น ข้าฝากมันด้วยก็แล้วกัน ค่อยบอกค่อยสอนเอา ผิดนิดผิดหน่อยก็ไม่ต้องถือสากัน ข้ากลับละ”
รำเพยบอกแล้วเดินออกไปเลย
รำเพยกลับมาพักที่เรือนใหญ่ เล่าเรื่องงามตาไปหัดทำขนมให้สามีฟัง ไต้ก๋งชางที่นั่งตรวจเอกสารเช่าตลาดอยู่ ได้ยินเข้าก็หัวเราะขำ
“คุณพี่หัวเราะเรื่องใดคะ”
“ไม่มีเรื่องใดหรอกจ้ะ แต่พอพี่นึกว่าให้งามตาไปทำขนมก็อดขำไม่ได้”
“คุณพี่พูดเหมือนกับว่าแม่งามตาจะทำไม่ได้”
ไต้ก๋งชางยิ้มขัน
“น้องอาจจะไม่เคยรู้ แต่ครั้งที่ยังขายขนมอยู่ตลาดฝีมือของงามตานั้นเป็นที่เลื่องลือนัก”
“อร่อยมากเลยหรือเจ้าคะ”
“ไม่ใช่จ้ะ แต่เขาลือว่าขนมของงามตาให้กินดินกินกรวดยังดีเสียกว่าไงเล่า”
ไต้ก๋งชางหัวเราะขำอีก รำเพยมองค้อนๆ ไม่จริงจังนัก
“เหตุใดคุณพี่ไปล้อเลียนเขาเช่นนั้น”
“เรื่องจริงนะน้องรำเพย ขนมแม่งามตานั่น ข้าเคยซื้อให้บ่าวในครัวชิม ทุกคนแทบจะขว้างทิ้ง ทั้งแข็งทั้งหยาบเหมือนกินกรวดกินทราย ให้หัดทำขนมเสียได้ก็ดี จะได้มีฝีมือกับเขาบ้าง”
ไต้ก๋งชางพูดแล้วหันกลับไปดูเอกสารต่อ
ที่ครัวบนเรือนดอกเหมย งามตาช่วยสี่สาวทำบัวลอยไปได้สักพักก็เริ่มชวนคุย
“นี่พวกเอ็ง ข้าถามอะไรหน่อยได้รึไม่”
“ถามอะไรรึ” อบเชยถาม
“ข้าเห็นพวกเอ็งหน้าตาออกจะสะสวย เหตุใดไม่ใช้ความสวยให้เป็นประโยชน์เล่า”
พิมพ์งง “เอ็งหมายถึงเรื่องใด”
“ก็เรื่องไต้ก๋งชางน่ะสิ”
ดวงแขยิ่งงง “ความสวยกับไต้ก๋งเกี่ยวกันเช่นไรหรือ”
“เกี่ยวกันสิ เขาว่าสตรีมีความงามเป็นอาวุธ หากใช้ให้ถูก ไม่แน่ พวกเอ็งอาจไม่ต้องมานั่งทำขนมให้เหนื่อยแรงเช่นนี้ก็ได้” งามตายิ้มกริ่ม
จำเรียงโพล่งขึ้น “เอ็งพูดเหมือนจะให้พวกเราจับไต้ก๋งทำผัว”
หญิงสาวทั้งสี่คนมองหน้ากัน งามตาหัวเราะคิกคัก
“เอ็งนี่ก็ไม่โง่นัก”
อบเชยไม่พอใจ “นี่เอ็งรู้หรือไม่ว่าพูดสิ่งใดอยู่”
“ข้ารู้สิ แล้วข้าก็ไม่คิดว่าพวกเอ็งจะพอใจกะอีแค่นั่งทำขนมนี่ด้วย” งามตามองสี่สาวอย่างรู้ทัน
“เหตุใดเอ็งถึงคิดว่า พวกข้าอยากจะเหยียบหน้าผู้มีพระคุณข้า ด้วยการทำเช่นนั้น” อบเชยไม่พอใจมากขึ้น
“อ้าว หรือข้าพูดไม่จริง แค่มองหน้าข้าก็เห็นสันดานหมดแล้วนี่…ให้ข้าร่วมมือกับพวกเอ็งไหม ข้าช่วยได้นะ รับรองพวกเอ็งจะได้ทุกอย่าง”
ดวงแขจ้องหน้างามตา โกรธกรุ่นๆ
“นับว่าเป็นคราวเคราะห์ของเรือนแน่แท้ ที่ได้เอ็งเข้ามาเป็นบ่าว”
งามตาเป็นฝ่ายงง “หมายความว่าเช่นไร”
“ก็หมายความพวกว่าพวกข้าไม่ได้คิดต่ำช้าเช่นเอ็งไงเล่า” พิมพ์บอกแทนคนอื่นๆ
งามตาโกรธ “อีนี่ เอ็งว่าข้ารึ”
จำเรียงด่า “เออสิวะ หากเอ็งคิดว่าสันดานทุกคนเหมือนเอ็งหมด เอ็งคิดผิดแล้ว”
อบเชยเสริมว่า “ใช่พวกข้าอาจจะกินบนเรือน แต่ไม่เคยคิดขี้รดหลังคาอย่างเอ็ง ท่านทั้งสองให้ที่พักพิงพวกข้า ข้าก็ต้องตอบแทนบุญ ความคิดต่ำช้าเช่นเอ็ง ไม่เหมาะทั้งเรือนดอกเหมยและเรือนบ่าว น่าจะนอนอยู่กับพวกหมาใต้ถุนเรือนเสียมากกว่า”
“นี่ข้าแนะนำหนทางให้กลับมาว่าข้ารึ อีพวกโง่ อย่าคิดว่าข้ากลัวนะ”
งามตาละมือจากงาน ถะตัวถอยหนีพร้อมสู้ อบเชยตอกกลับ
“เออ ข้าก็ไม่กลัวเอ็ง อีปากพล่อย ไม่รู้ผู้ใดสั่งสอนให้คิดระยำตำบอน เก่งกล้าผิดที่ผิดทาง ให้ข้าตบเรียกสติสักทีเป็นไร”
งามตาถอยไปปากยังด่าไม่หยุด แถมขู่กลับ
“อีพวกหมาหมู่ ยังไม่รู้จักกูดี กูลูกหมอผีอิน...ขืนพวกมึงกล้าลองดี พวกมึงต่างหากที่จะซวย”
“กูไม่กลัวมึงหรอก อยากรู้นักว่าอีลูกหมอผีมันจะเก่งสักเท่าใด”
ขาดคำของจำเรียง ทั้งพิมพ์และจำเรียง เดินดาหน้าเข้าหาโดยไม่กลัวคำขู่ งามตาถอยหนีจนไปชนผนังเรือน เลยทำท่าจะหนี จำเรียงรู้ทันขวางทางไว้ พิมพ์รีบจับงามตาไว้
งามตาดิ้นหนีแหกปากร้องโวยวายลั่นเรือน จำเรียงเข้ามาจิกหัวตบเปรี้ยงงามตาร่วงลงไปกองกับพื้น แล้วตามไปคร่อมร่างไว้
“กินบัวลอยสักหน่อยปะไร จะได้หุบปากหมาๆ ได้บ้าง”
จำเรียงหันไปคว้าเม็ดบัวลอยที่ปั้นไว้เอามาบดละเลงใส่หน้างามตา งามตากรี๊ดลั่น อบเชยเห็นท่าไม่ดีรีบบอกดวงแขให้ช่วยห้าม
“ตายจริง หยุดเดี๋ยวนี้ หยุด ดวงแขช่วยกันห้ามที”
ดวงแขลังเลทำอะไรไม่ถูก จำเรียงกับพิมพ์หัวเราะสะใจ งามตามองจ้องหน้าจำเรียงแค้นสุดจะประมาณ
“คิดว่ามึงรุมกูได้คนเดียวรึ”
งามตาอาศัยตอนพิมพ์หัวเราะ คว้ากะละมังใส่มะพร้าวขูดขึ้นมา เทใส่หัวจำเรียงจนฝ่ายนั้นอึ้งไป งามตาเป็นฝ่ายหัวเราะบ้าง
“อีงามตา”
จำเรียงโกรธ หยิบถาดขนมใกล้ตัวปาใส่งามตา แต่งามตาหลบได้แล้วหันไปหยิบไม้พายขว้างใส่พิมพ์บ้าง พิมพ์ร้องกรี๊ดๆ วิ่งหลบให้วุ่น แล้วไปชนจำเรียงจนล้มไปด้วยกัน
งามตาได้ทีเอาแป้งในถาดยีหัวทั้งสองคนอย่างสะใจ
จำเรียงกับพิมพ์ร้องกรี๊ดๆๆ เพราะทำอะไรไม่ได้ อบเชยกับดวงแขมองกลุ้มใจ
หลังลงจากเรือนมา งามตาเดินจ้ำพรวดๆ ปากยังก่นด่ามาตลอดทาง
“อีพวกเรือนดอกเหมย อีหมาหมู่ คอยดู กูจะกลับไปเอาคืนพวกมึงแน่”
งามตาเดินมาด้วยความโมโหไม่ได้มองทาง จนชนเข้ากับไต้ก๋งชางเข้าอย่างจัง
“ว้าย”
ไต้ก๋งชางประคองงามตาไว้
“เป็นอะไรหรือไม่”
งามตาจะหันไปโวย แต่พอเป็นไต้ก๋งชาง ก็รีบผละออก
“ข้าขอโทษ ข้าไม่ทันได้มองทาง”
เมื่อเห็นสภาพงามตาผมเผ้ายุ่งเหยิง แถมยังเต็มไปด้วยกากมะพร้าว ชางก็สอบถามแปลกใจ
“ช่างมันเถิด แล้วเหตุใดสภาพเอ็งเป็นเยี่ยงนี้”
งามตาอึกอักไม่กล้าบอก
“ถ้าข้าบอกความจริงกับไต้ก๋ง ไต้ก๋งจะยอมเชื่อข้าหรือ”
“บอกข้ามาเถิด หากข้าช่วยได้ข้าจะช่วย”
“ไต้ก๋งแน่ใจหรือว่าช่วยเหลือข้า”
“ตอนนี้เอ็งเป็นคนในเรือนของข้า หากเกิดสิ่งใดกับเอ็งข้าก็ต้องให้ความยุติธรรม”
“แล้วถ้าข้าบอกว่าโดนแม่สี่สาวที่เรือนดอกเหมยนั่นรังแกล่ะเจ้าคะ”
“เอ็งบอกว่าใครกันนะ”
งามตาแสร้งทำเป็นบีบน้ำตาให้ดูน่าสงสารมากขึ้น
“ใช่เจ้าค่ะ ไต้ก๋งได้ยินไม่ผิด คุณรำเพยให้ข้าไปช่วยทำขนมที่เรือน แต่ไม่รู้ข้าทำสิ่งใดไม่ถูกใจ ถึงได้กลายเป็นเช่นนี้ได้”
“ข้าไม่อยากจะเชื่อ…”
“ไต้ก๋งจะไม่เชื่อข้าก็ได้ แต่ไต้ก๋งก็เห็นแล้วว่าเป็นเช่นไร หากไต้ก๋งเป็นเจ้าเรือนนี้ได้โปรดอย่าเข้าข้างคนผิด ช่วยให้ความยุติธรรมแก่งามตาด้วยเถิดเจ้าค่ะ”
ไต้ก๋งชางหลงคารมและเริ่มสงสาร งามตาลอบยิ้มเจ้าเล่ห์สมใจ
นมขามเดินมาจากมุมหนึ่งเห็นเหตุการณ์ตั้งแต่แรก และเห็นสายตานั้นของงามตาเข้าพอดี
ด้วยความร้อนใจนมขามจึงรีบมาหารำเพย เล่าเรื่องงามตาที่เห็นให้ฟัง รำเพยฟังแล้วไม่อยากจะเชื่อ
“งามตาน่ะหรือไปยั่วยวนคุณพี่”
“เจ้าค่ะ นมเห็นมากับตาเมื่อครู่ว่ามันพูดจาออดอ้อนไต้ก๋ง ซ้ำยังบอกว่าแม่สี่สาวนั่นรังแกมันอีก”
“แต่นมก็บอกฉันอยู่ว่าแม่งามตาเลอะเทอะไปทั้งตัว งามตาอาจจะพูดจริงก็ได้”
“คุณรำเพยเชื่อคนอย่างมันได้อย่างไรเจ้าคะ ไม่แน่มันอาจจะไปหาเรื่องแม่สี่คนนั้นก่อนก็ได้”
“แล้วถ้าเป็นอย่างนั้นจริงจะทำเช่นไร”
“ให้มันกลับไปอยู่ที่บ้านมันเถิดเจ้าค่ะ ขืนเลี้ยงมันไว้ ไต้ก๋งคงใจอ่อนกับมันสักวัน”
“นมขาม พูดเช่นนี้ก็เหมือนดูถูกคุณพี่” รำเพยติติง
“นมมิได้ดูถูกเจ้าค่ะ แต่นมเพียงแค่เตือน เราควรตัดไฟเสียแต่หัวลมนะเจ้าคะ”
“ฉันไม่เห็นว่ามีไฟตรงไหนเลยนะจ๊ะ” รำเพยว่า
“พูดเช่นนี้ คุณรำเพยจะเลี้ยงมันต่อรึเจ้าคะ”
“คุณพี่เองก็ได้โอกาสจากเจ้าคุณพ่อจึงมีวันนี้ได้ ใครๆ ก็ล้วนอยากได้โอกาส เราดูมันไปก่อนสักพักเถอะ”
“โธ่ คุณของนมจะเมตตาผิดคนหรือเปล่าก็ไม่รู้”
“นึกว่าเวทนามันเถอะนะจ๊ะ ฉันเชื่อว่าความเมตตาจะให้คนอย่างงามตาไม่คิดคดทรยศต่อคนในเรือนนี้ได้”
“ขอให้ความเมตตาของคุณรำเพย ได้ผลจริงเถิดเจ้าค่ะ”
นมขามพูดประชดประชันยังไม่พอใจเรื่องงามตาเท่าไร รำเพยได้แต่กลุ้ม
ไต้ก๋งชางมาที่เรือนดอกเหมยเพื่อคุยกับสี่สาวให้รู้เรื่อง สี่สาวถึงกับหน้าเสียเมื่อไต้ก๋งมาต่อว่าตนถึงเรือน
“ตั้งแต่เข้ามาอยู่ในเรือนก็ทะเลาะกันไม่เว้นวัน ข้าจะทำอย่างไรกับพวกเอ็งดี”
งามตาแอบยิ้มสะใจที่สี่สาวโดนดุ อบเชยเอ่ยขึ้นว่า
“พวกอิฉันขอประทานโทษไต้ก๋งเจ้าค่ะ อิฉันพยายามห้ามแล้วแต่ก็ไม่มีใครฟัง”
“อิฉันก็ต้องขอประทานโทษที่ช่วยอะไรไม่ได้เลยเจ้าค่ะ เป็นเพราะความใจร้อนของแม่จำเรียงแท้ๆ ถึงเกิดเรื่องขึ้น” ดวงแขเสริม
จำเรียงยัวะ “อ้าว มาโทษข้าได้อย่างไร ต้องไปโทษอีบ่าวปากพล่อยนั่นต่างหากที่มาหาเรื่องข้า”
“ข้าเห็นด้วย ถ้ามันไม่มาพูดเช่นนั้นบ่าวก็ไม่ทำสิ่งใดหรอกเจ้าค่ะ” พิมพ์ผสมโรง
งามตาหรือจะยอม “เอ๊ะ เหตุใดพูดเช่นนี้ พวกเอ็งมิใช่หรือที่รุมข้า”
“แต่เอ็งไม่ใช่หรือที่พูดว่า...”
พิมพ์ค้างคำทำเป็นไม่กล้าพูด
ชางซัก “พูดอะไรว่ามา”
งามตาตกใจรีบแทรกขึ้น “ไต้ก๋งอย่าไปฟังมันเจ้าค่ะ”
“เอ็งหยุดก่อน ปล่อยให้แม่พิมพ์พูดให้จบ”
“พูดว่า...แหม...บ่าวรู้สึกกระดาก”
ชางหงุดหงิด “ถ้าเช่นนั้นข้าจะลงโทษพวกเอ็ง”
จำเรียงพูดออกมาแทนว่า “นังงามตาบอกให้พวกเรายอมเป็นเมียไต้ก๋งเจ้าค่ะ”
ชางอึ้งไป อบเชยกับดวงแขกระดากอายก้มหน้างุด พิมพ์บีบน้ำตาร้องไห้ ส่วนจำเรียงรีบปิดปากตัวเองว่าไม่น่าหลุดออกไป
ไต้ก๋งชางอึ้งมองงามตาอย่างกระอักกระอ่วน และไม่พอใจ งามตารีบแก้ตัว
“บ่าวไม่ได้หมายความเช่นนั้นนะเจ้าคะ บ่าวเพียงแต่พูดหยอกเล่น แต่พวกมันหมายจะทำจริงเจ้าค่ะ จึงได้กินปูนร้อนท้อง”
จำเรียงแหวใส่ “อีตอแหละ...”
“ข้าไม่ได้เป็นคนพูด เอ็งนั่นแหละพูดเองว่าจะจับไต้ก๋งชางทำผัว”
ชางพูดห้ามแทบเป็นตวาด “หยุด เลิกเถียงกันสักที”
สี่สาวกับงามตาหยุดเถียงกันแทบจะทันที
“จะมีเรื่องกันไปถึงเมื่อไร จะให้ข้าอกแตกตายไปเลยหรือไม่ถึงจะหยุดได้”
สี่สาวกับงามตาถึงกับพูดไม่ออก ไต้ก๋งชางพูดต่ออย่างมีอารมณ์
“พวกเอ็งอยู่ร่วมบ้านเดียวกัน มีอะไรย่อมต้องถ้อยทีถ้อยอาศัย มิใช่เอาอารมณ์ตัวเองเป็นใหญ่ เรือนนี้ข้าให้อยู่ร่วมกัน หากอยู่ไม่ได้ก็ออกไปเสีย”
สี่สาวได้ยินก็ตกใจ รีบก้มลงกราบขอโทษ ร่ำร้องอ้อนวอนไต้ก๋งชางเป็นการใหญ่
พิมพ์อ้างว่า “ไม่ได้นะเจ้าคะ หากข้ากลับไปพ่อแม่ต้องฆ่าข้าตายแน่”
“อิฉันด้วยเจ้าค่ะ อิฉันไม่มีที่พึ่งอื่นอีกแล้ว อย่าไล่ดิฉันเลยนะเจ้าคะ” อบเชยบอก
ไต้ก๋งชางอึดอัดเมินมองไม่อยากสนใจอีก จนมีเสียงรำเพยดังเข้ามาว่า
“แต่น้องว่าคุณพี่ให้โอกาสอีกสักครั้งเถอะนะคะ”
ชางอึ้ง “น้องรำเพย”
รำเพยเดินมาสมทบ มีนมขามตามมาด้วย รำเพยผู้แสนดีพูดกับสามีว่า
“หญิงเหล่านี้ไม่มีที่พึ่งอื่น หากไล่ไปผู้คนจะหาว่าเราแล้งน้ำใจนะคะ”
ไต้ก๋งชางนิ่งไป
“จากวันนี้เรามาเริ่มต้นกันใหม่ สิ่งใดเกิดขึ้นแล้วก็ขอให้แล้วไปเถอะค่ะ”
ไต้ก๋งชางพยักหน้ารับเอาคำ สี่สาวมองหน้ากันยิ้มโล่งใจ มีแต่งามตาที่ขัดใจไม่หาย ไต้ก๋งหันมาทางงามตาคาดโทษ
“เอ็งก็เหมือนกันงามตา หากมีเรื่องกับใครอีก เอ็งก็จะอยู่ที่นี่ต่อไปไม่ได้เหมือนกัน”
งามตาทำเป็นก้มหน้ารับเอาคำ แต่สายตาที่เหลือบมองไต้ก๋งชางกับรำเพยเต็มไปด้วยความเคียดแค้น
พอกลับถึงเรือน งามตาอาบน้ำล้างทั้งหัวและตัวจนเรียบร้อย หยิบกระจกสี่เหลี่ยมเล็กๆ ที่แขวนไว้ตรงข้างฝา ส่องดูใบหน้าอีกครั้ง เห็นว่าไม่มีร่องรอยฟกช้ำ แต่กลับเจ็บตรงบั้นเอว จากการถูกถีบล้มลงไป งามตาบีบนวดพลางก่นด่าสาปแช่ง
“คอยดูนะอีพวกหมาหมู่ ถีบเอวกูจนยอกไปหมด กูจะทำให้พวกมึงรู้ว่า คนอย่างกูมีดีกว่าพวกมึงหลายเท่านัก วันใดไต้ก๋งเข้ามาสยบใต้ตีนกู วันนั้นพวกมึงจะถูกเขี่ยออกไปทีละคน ไม่เว้นแม้แต่นังรำเพย”
แววตางามตาวาวโรจน์จนดูน่ากลัว
กลางดึกคืนหนึ่ง รำเพยไหว้พระสวมมนต์และไหว้อัฐิขุนทนงค์ในห้องพระเสร็จ ก็ลุกขึ้นเตรียมเข้านอน แต่ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงดังสวบสาบมาจากนอกเรือน รำเพยสงสัยเลยเดินไปดูชัดๆ ที่หน้าต่าง แล้วเห็นบางอย่าง
“นั่น แม่งามตาไม่ใช่รึ ดึกดื่นป่านนี้จะไปที่ใดกัน”
งามตาถือห่อผ้าในมือทำท่าลับๆ ล่อๆ เดินไปทางเรือนดอกเหมย รำเพยได้แต่มองอย่างแปลกใจ ว่าดึกดื่นค่อนคืนป่านนี้ งามตาไปทำอะไร
รุ่งเช้า สาวๆ เรือนดอกเหมยสาวอาบน้ำทีท่าน้ำเสร็จแล้ว ขึ้นจากน้ำด้วยกระโจมอก จากนั้นสี่สาวก็เดินขึ้นมาบนฝั่งเดินไปทางราวผ้าถึงที่ตากไว้ผลัดผ้านุ่งก่อนขึ้นเรือน
ระหว่างทางที่สี่สาวเดินมา ต่างคนต่างก็เริ่มคันคะเยอ เกาตามเนื้อตามตัวไม่หยุด
“ทำไมอาบน้ำแล้วยิ่งคันล่ะ” พิมพ์บ่นขึ้นเป็นคนแรก
ตามด้วยจำเรียง “โอ๊ย อีผ้านุ่งนี่มันใส่อะไรไว้ ทำไมมันคันยิบไปทั้งตัวเยี่ยงนี้”
“จริงด้วย ดูสิ ข้าเกาจนแดงเถือกไปหมดแล้ว”
อบเชยกับดวงแขก็มีสภาพไม่ต่างกัน
“ตั้งแต่ขึ้นจากท่าน้ำมาข้าก็เริ่มรู้สึกแปลกๆแล้ว เอ็งล่ะอบเชย”
“ข้าก็ด้วย ดูเหมือนจะเป็นจากผ้านุ่งนี่” อบเชยบอก
จำเรียงเกาไปทั้งตัวจนเริ่มทนไม่ไหว
“ไม่ไหวแล้วโว้ย ผิวข้าถลอกปอกเปิกหมดแล้ว ช่วยทำอะไรสักทีสิ”
“ใจเย็นก่อนได้ไหม พวกข้าก็ไม่ต่างจากเอ็งหรอกจำเรียง” ดวงแขพยายามปลอบ
อบเชยเกาไปมองผ้านุ่งไป แล้วนึกอะไรขึ้นมาได้
“อาการเช่นนี้มันเหมือนตอนที่ข้าเคยโดน…”
“โดนอะไรหืออบเชย” พิมพ์สงสัย
อบเชยมองหน้าทั้งสามสาวหน้าเสีย
สักพักดวงแขก็เริ่มหน้าซีด หายใจหอบ อบเชยหันไปเห็นเข้า
“แม่ดวงแข”
ดวงแขเริ่มหายใจถี่ ตัวสั่นสะท้าน เริ่มชักล้มตึงลงไป สามสาวตกใจ ปรี่เข้าไปดูอาการ
นมขามถูกตามมาดูอาการดวงแขที่เรือนดอกเหมย
“แม่ดวงแข โธ่...แม่ดวงแขเป็นอย่างไรบ้าง”
ดวงแขนอนหายใจหอบไม่ได้สติ เนื้อตัวแดงไปหมด ตัวเกร็งมือหงิกและชักกระตุกเป็นระยะ นมขามแตะหน้าผากและจับเนื้อตัวดวงแขด้วยสีหน้าวิตก
“ตัวร้อนเป็นไฟรุมเยี่ยงนี้ ท่าจะไม่ดีแล้ว”
“ในหมู่บ้านที่อิฉันเคยอยู่ เคยมีคนแพ้หมามุ่ยถึงตาย อาการเยี่ยงดวงแขไม่มีผิดเลยเจ้าค่ะ” อบเชยว่า
จำเรียงมองสภาพดวงแขแล้วนึกสยองรู้สึกขยาด
“มันผู้ใดกล้าทำเช่นนี้ ชั่วช้านัก”
“ข้าไม่คิดเลยว่าแค่หมามุ่ยจะทำให้เจ็บหนักเยี่ยงนี้”
นมขามได้แต่ถอนหายใจกลุ้มหนัก หันไปบอกอบเชย
“อบเชย เอ็งรีบไปบอกพวกบ่าวชาย ให้ไปขุดเอารากหมามุ่ยมาตำให้ละเอียด แล้วเอามาให้พวกที่ถูกพิษทาเถิด พิษจักแก้พิษกันได้”
“เจ้าค่ะคุณนม”
อบเชยรีบออกไป นมขามมองดวงแขหน้าเครียด
ด้านไต้ก๋งชางนั่งกินข้าวมื้อเช้าอยู่กับรำเพยบนเรือนใหญ่ มีกล่ำคอยดูแลเรื่องสำรับ พอไต้ก๋งรู้เรื่องสี่สาวเรือนดอกเหมยโดนหมามุ่ยก็ถึงกับวางตะเกียบลง
“หมามุ่ย ผู้ใดเล่นพิเรนทร์นัก”
“อิฉันก็ไม่ทราบเจ้าค่ะไต้ก๋ง แต่ทั้งสามสาวเล่าตรงกันว่าพอขึ้นจากท่าน้ำตอนเช้า แม่สี่สาวนั่นก็คันคะเยอไปทั้งตัวเสียแล้ว…แต่ไม่ใช่แค่นั้นนะเจ้าคะ” นมขามรายงาน
“มีเรื่องใดอีก”
“ก็แทนที่จะแค่คัน แต่แม่ดวงแขกลับเป็นลมล้มชักไปเลย อิฉันไปดูอาการที่เรือนแล้วคิดว่าแม่ดวงแขต้องแพ้หมามุ่ยแน่เจ้าค่ะ”
“แล้วแบบนี้แม่ดวงแขจะเป็นเช่นไร”
“ถ้าแก้พิษทัน พ้นคืนนี้คงดีขึ้น แต่ถ้าไม่ อิฉันก็ไม่อยากจะคิดเลยเจ้าค่ะ”
ไต้ก๋งชางหน้าเครียด ยิ่งโกรธมาก
“เห็นทีข้าจะต้องจัดการขั้นเด็ดขาดเสียแล้ว”
ไต้ก๋งชางหันไปสั่งแถนที่นั่งอยู่
“แถน เอ็งเรียกบ่าวทุกผู้ให้มาพบข้า ข้าจะสอบสวนว่าผู้ใดเป็นคนก่อการนี้”
“ขอรับไต้ก๋ง”
ไต้ก๋งชางลุกลงเรือนไป รำเพยมองตาม นึกเป็นห่วง หันไปสั่งกล่ำ
“กล่ำ เอ็งช่วยข้าสักอย่างหนึ่งได้หรือไม่”
กล่ำมองคุณรำเพยรอฟังคำสั่ง
บ่าวในเรือนแทบทุกคน มาชุมนุมพร้อมหน้ากันที่ลานด้านหน้าบันไดเรือนใหญ่ ไต้ก๋งชางประกาศเสียงกร้าว
“เมื่อคืนนี้มีผู้เอาหมามุ่ยไปใส่ผ้านุ่งของแม่หญิงเรือนดอกเหมย ทำให้แม่ดวงแขเกือบตายผู้ใดก่อการนี้ให้รีบรับมาเสีย โทษหนักจะได้เป็นเบา”
บรรยากาศเงียบงัน ไม่มีใครยอมรับความผิด ไต้ก๋งชางยื่นคำขาดอีกครั้ง
“หากไม่มีใครรับสารภาพ ข้าจะถามอีกครั้งว่าเห็นผู้ใดท่าทางมีพิรุธหรือไม่”
งามตาก้มหน้างุด ทำทีเหลียวมองไปทางอื่นไม่กล้าสบตาไต้ก๋ง
“บอกมาทีละคนเมื่อคืนพวกเอ็งทำอะไรอยู่ที่ใด”
“บ่าวกับนังโรยเก็บครัวแล้วเข้านอนจนย่ำรุ่งเลยเจ้าค่ะ” นมขามบอก
ชางมองงามตาเป็นคนต่อไป ลูกสาวหมอผีตอบอย่างฉะฉาน
“บ่าวกวาดลานครัวแล้วเข้านอนจนรุ่งเช่นกันเจ้าค่ะ”
รำเพยเอ่ยถามขึ้นว่า “แล้วกลางดึกได้ลุกไปทำอะไรหรือไม่”
งามตาชะงักไปนิดหนึ่ง ก่อนจะตอบรำเพยด้วยท่าทีแข็งกร้าว
“บ่าวไม่ได้ลุกไปไหนเลย”
“แต่เมื่อคืนข้าเห็นเอ็งจากห้องพระ ออกมาเดินลับๆ ล่อๆ อยู่แถวเรือนครัวมิใช่รึ”
งามตาสะดุ้งนิดๆ นิ่งงันไป จนไต้ก๋งชางถามย้ำ
“งามตา เอ็งได้ออกมาอย่างที่คุณรำเพยว่าหรือไม่”
“บ่าวยอมรับเจ้าค่ะว่าออกมาจริง แต่บ่าวออกไปเพราะปวดเบาเท่านั้น เรื่องอื่นบ่าวไม่รู้ไม่เห็นเจ้าค่ะ”
“ไหนเมื่อครู่ว่าไม่ได้ออกไปไหน” ชางจ้องหน้า
“บ่าวลืมเจ้าค่ะ เห็นเป็นเรื่องเล็ก ไม่คิดว่าจะมีใครหยุมหยิมเก็บมาพูด”
ไต้ก๋งชางยังไม่เชื่อ รำเพยถามขึ้นอีกว่า
“แต่ก่อนหน้าเอ็งทะเลาะกับแม่หญิงเรือนดอกเหมยไม่ใช่รึ”
งามตาโกรธ ตวัดสายตามองรำเพยด้วยความไม่พอใจ
“ข้ามีเรื่องกับแม่หญิงเรือนนั้นจริง แต่เหตุใดข้าต้องกลั่นแกล้งพวกนางด้วย”
“ข้าอยากจะเชื่อใจเอ็ง แต่ข้าเป็นคนเห็นกับตา จะให้ข้าทำเช่นไรได้”
“ถ้าเช่นนั้นคุณรำเพยก็พิสูจน์มาสิเจ้าคะ ว่าอิฉันทำจริง”
งามตามองรำเพยอย่างท้าทาย ไต้ก๋งชางรับคำท้าแทน
“ได้ เช่นนั้นข้าจะช่วยเอ็งพิสูจน์ความจริงเอง” ไต้ก๋งหันไปทางแถน “แถน เอ็งกับบ่าวคนอื่นช่วยไปค้นที่เรือนงามตา หาหลักฐานที่เกี่ยวข้องแล้วกลับมารายงานต่อข้า”
งามตาไม่ได้มีท่าทีหวาดหวั่นแต่อย่างใด กลับนั่งชูคอย่ามใจว่าเรื่องราวไม่มีทางสาวมาถึงตน
แถนพยักหน้ารับ กำลังจะออกไป แต่รำเพยพูดขึ้นก่อน
“ไม่ต้องไปหรอกค่ะคุณพี่”
ไต้ก๋งชางมองฉงน ครู่เดียวกล่ำก็เดินเข้ามาพร้อมกับห่อผ้าห่อหนึ่ง
“ของที่คุณรำเพยให้อิฉันหามาแล้วเจ้าค่ะ”
รำเพยยิ้มเยือกเย็น กล่ำวางผ้าลงตรงหน้าไต้ก๋งชาง แล้วใช้ใบตองจับอีกทีไม่ให้เศษหมามุ่ยโดนมือ
“ยังมีเศษฝักหมาหมุ่ยหลงอยู่ในใบตอง ยัดใส่ย่ามไว้อีกทีเจ้าค่ะ อิฉันพบมันอยู่หลังเรือนครัว ตรงแถบที่มีกองผ้าโจงทับกันอยู่”
ทุกคนเหลียวมองมายังงามตาเป็นตาเดียว งามตาอึ้งไปเลย
“ว่าอย่างไร นี่เป็นของเอ็งใช่หรือไม่” รำเพยถาม
“ไม่จริง นี่ไม่ใช่ของข้า อีกล่ำมันใส่ร้ายข้า มันอาจจะเป็นของอีกล่ำก็ได้”
“เมื่อวานข้าอยู่ช่วยในครัวจนค่ำ มีคนเห็นตั้งมากมาย เอ็งใส่ร้ายข้ามิได้ดอก”
งามตาอึ้งหนักเข้าไปอีก นางโรยบ่าวคนหนึ่งก็พูดแทรกขึ้นว่า
“เมื่อวานเย็นข้าออกไปตัดลูกมะกรูด ข้าเห็นอีงามตามันกำลังเก็บหมามุ่ยอยู่ในดงเจ้าค่ะ ย่ามถุงนี้ละเจ้าค่ะเป็นของมัน”
งามตาแหวใส่ “อีโรย นี่มึงช่วยกันรุมกูรึ เห็นว่ากูหัวเดียวกระเทียมลีบใช่ไหมอีพวกหมาหมู่”
“หลักฐานและพยานพร้อมหมดเช่นนี้ เอ็งยังจะเถียงอีกรึ” ชางเสียงดัง
“ข้าไม่ได้ทำ พวกมันใส่ร้ายข้า” งามตาปฏิเสธลั่น
ไต้ก๋งชางสั่งการไปทางบ่าวมือโบย
“ไอ้มิ่ง นำมันไปโบยด้วยหวาย 50 ทีให้ยอมรับสารภาพ”
สิ้นคำสั่ง งามตาถูกมิ่งและบ่าวชายสองสามคนคุมตัวออกไป ท่ามกลางเสียงร้องตะโกนไม่ขาดปาก
“อย่ามาต้องตัวกู...กูถูกใส่ร้าย กูไม่ได้ทำ..ปล่อย..ปล่อยกู ปล่อยสิวะ”
งามตาส่งเสียงร้องเอะอะโวยวายลั่นเรือน จนกระทั่งถูกลากตัวออกไป
ร่างงามตาถูกมัดโยงกับคานใต้ถุนเรือน และถูกมิ่งเฆี่ยนตามคำสั่งไต้ก๋งชางที่ยืนดูอยู่ไม่ไกล
มิ่งหวดลงมาซ้ำๆ งามตาอดกลั้นอดทนต่อความเจ็บปวด ขณะโดนหวายโบยลงที่หลังแต่ละไม้
“หวดลงไปอีก เอาให้มันหลาบจำ เสียทีข้าอุตส่าห์ไว้ใจมัน มันกลับคิดแค้นไม่เลิกรา ใจคอโหดร้ายยิ่งนัก”
กล่ำเข้ามาพร้อมถังใส่น้ำเกลือ มิ่งหยุดโบย กล่ำเดินเข้าไปหางามตา
“มึงจะทำอะไร” งามตาโวยวาย
“ข้าก็เอาน้ำมาล้างแผลให้เอ็งอย่างไรเล่า”
กล่ำสาดน้ำเข้าที่กลางหลังงามตาอย่างจัง เสียงร้องด้วยความปวดแสบปวดร้อนจากน้ำเกลือดังกึกก้อง
“อ๊ายยย...น้ำเกลือ...อีกล่ำ มึงแกล้งกูรึ คอยดูนะมึง”
ไต้ก๋งชางประกาศต่อหน้าทุกคน
“ฉันเป็นคนสั่งเอง”
รำเพยตกใจ
“คุณพี่ต้องทำถึงขนาดนี้เลยหรือคะ”
“เจ็บเพื่อจะได้จำ จะได้ไม่ทำเยี่ยงนี้อีก แต่หากมีคราวต่อไป มันจะถูกทำโทษยิ่งกว่านี้หลายเท่านัก”
งามตาแค้นใจกับคำพูดของชาง
“นายมิ่งจับมันไปมัดไว้ที่ไต้ต้นหูกวาง จนกว่าจะรู้สำนึก”
งามตาร้องกรี๊ดดีดหนีไปมา ส่งให้แผลที่โดนโบยเจ็บปวดทรมานมากขึ้น ไต้ก๋งชางประกาศก้องกับบ่าวทุกคนว่า
“ขอให้ทุกคนจำเอาไว้อยู่ร่วมเรือนกันก็ควรรู้รักสามัคคี เอาใจเขามาใส่ใจเราและช่วยเหลือกัน ไม่ใช่คิดแค้นอิจฉาริษยา รังแต่จะทำให้ไม่มีความสงบสุขการกลั่นแกล้งแม้เพียงเล็กน้อยก็อาจทำให้ผู้อื่นถึงตายได้ อย่าให้ข้ารู้ว่าผู้ใดคิดก่อการเยี่ยงนี้อีกมิเช่นนั้นจะต้องถูกลงโทษสถานหนัก”
พูดจบไต้ก๋งชางก็กลับขึ้นเรือน รำเพยมองงามตาอย่างเวทนา ขณะที่งามตามองตามทั้งแค้นใจเจ็บใจ
เวลาผ่านไป ดวงแขอาการเริ่มดีขึ้น แต่ยังนอนซมอยู่ อบเชยมาดูแลเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้ พิมพ์เอายามาให้ดวงแขดื่ม ดวงแขทำหน้าแหย
“ทนเอาหน่อยนังดวงแข กินยาแล้วจะได้ดีขึ้น” พิมพ์ปลอบ
จำเรียงนั่งเฝ้าอยู่ด้วย สะใจที่งามตาโดนลงโทษหนัก
“สมน้ำหน้าอีลูกหมอผีปากเปราะนั่น คิดจะเอาคืนพวกข้า แต่กลับใช้วิธีโง่ๆ จนแม่ดวงแขเกือบตาย โดนโบยอย่างนี้เสียได้ก็ดี”
จำเรียงพูดไปก็เกาไป ยังไม่หายแค้น
“นังนั่นมันร้ายนัก เสียดาย ข้าน่าจะได้เป็นคนโบยมันกับมือ” พิมพ์ว่า
“หากคนแพ้หมามุ่ยเป็นข้า ถ้าตายเป็นผีข้าจะตามไปหักคอมัน” จำเรียงอาฆาตแค้นไม่หาย
อบเชยปราม
“พอเถิดพิมพ์ จำเรียง เท่านี้งามตามันคงเข็ดหลาบไปอีกนาน เอ็งจะคิดแค้นมันให้ได้สิ่งใดอีก จำที่นายท่านสอนไม่ได้รึ”
จำเรียงโมโห “โอ๊ย เมตตางูเห่าเช่นนั้น ระวังเถิด วันหนึ่งมันจะกลับมาฉกเอ็งตาย”
ดวงแขเอ่ยขึ้นอย่างคนอ่อนแรง
“พอเถิด อโหสิกรรมให้งามตาเสียมันคงไม่ได้ตั้งใจ ข้ารอดมาได้ก็นับว่าบุญแล้ว”
จำเรียงหงุดหงิด “นี่ก็อีกคน ใจบุญสุนทานกันเข้าไป จะตายอยู่แล้วยังไม่รู้ตัว”
อบเชยดุ “จำเรียง”
จำเรียงทำลอยหน้าลอยตาไม่รู้ไม่ชี้ อบเชยถอนหายใจกลุ้มๆ
ฝ่ายงามตาถูกนำไปมัดโยงแขนไว้กับต้นหูกวางต้นใหญ่ โชคร้ายที่ใต้ต้นหูกวางดันมีรังมดอยู่ ไม่นานมดแดงก็รุมกัดไปตามแขนขา งามตาปวดแสบปวดร้อนเกินจะบรรยาย ทรมานทรกรรมจากการถูกเฆี่ยนและจับมัดอยู่ที่นี่
งามตาน้ำตานองหน้า มองไปบนเรือนใหญ่อย่างเจ็บแค้น แผลที่โดนโบยก็เริ่มบวมเจ็บปวดสุดจะประมาณ
ขณะที่งามตาใกล้จะสลบนั้น ก็รับรู้ว่ามีคนมายืนอยู่ตรงหน้า พอเงยหน้าขึ้นมองเห็นก้อนยืนอยู่ ก้อนรีบปิดปากงามตาไว้ไม่ให้พูด
“เงียบไว้ เดี๋ยวใครรู้ว่าข้ามาที่นี่”
ก้อนเอาน้ำแช่ใบยาสูบทาตามแขนขาให้งามตาด้วยความสงสาร
“ข้าคงช่วยเอ็งได้เท่านี้ น้ำใบยาสูบจะไล่แมลง อย่างน้อยพวกทาก พวกมดก็คงไม่เล่นงานเอ็งหนักหนาไปกว่านี้”
งามตาถามด้วยน้ำเสียงอ่อนแรงเต็มทน
“พี่มาช่วยฉันทำไม”
“ข้าก็เป็นห่วงเอ็งอย่างไรเล่า ดูสภาพเอ็งเถิด รอดมาก็บุญแล้ว”
“ฉันเจ็บเหลือเกินพี่ ไอ้พวกนั้นมันโบยเหมือนฉันไม่ใช่คนคิดแล้วก็แค้นพวกมันนัก”
งามตาพูดอย่างเจ็บแค้น น้ำตาคลอ
“ข้าก็อยากช่วยแต่ข้าไม่รู้จะช่วยเอ็งได้อย่างไร”
“พี่อยากช่วยฉันงั้นหรือ ถ้าเช่นนั้นพี่ก็ช่วยแก้มัดให้ข้าสิ แล้วเราก็หนีไปด้วยกัน ไปอยู่กันฉันผัวเมียอย่างไรเล่า”
ก้อนฟังแล้วลังเล ไม่กล้าช่วย
“ข้าทำอย่างนั้นไม่ได้”
“ทำไมเล่า”
“ถ้าข้าแก้มัดเอ็งแล้วมีใครรู้เข้า ข้าจะโดนไปด้วยน่ะสิวะ”
“ที่แท้พี่มันก็พวกขี้ขลาดตาขาว”
“ข้าไม่ใช่พวกตาขาว แต่เอ็งคิดดู หากไม่มีข้าแล้วใครจะช่วยเอ็งได้อีก”
งามตาคิดตาม ท่าทีนิ่งลง
“จริงของพี่”
งามตานึกแผนอะไรอะไรบางอย่างออก
“หากพี่ช่วยแก้มัดฉันไม่ได้ พี่ช่วยฉันอย่างหนึ่งได้หรือไม่ แล้วฉันจะตอบแทนพี่อย่างงาม”
งามตายิ้มเจ้าเล่ห์ ก้อนสงสัยว่าให้ทำอะไร
วันใหม่ รำเพยสอนสี่สาวทำขนมอยู่ที่เรือนดอกเหมย โดยมีก้อนแอบซุ่มดูอยู่มุมหนึ่ง มองจนแน่ใจว่าทุกคนอยู่ที่เรือนนี้หมด ก้อนจึงลอบเดินไปทางเรือนใหญ่
ก้อนลักลอบขึ้นมาบนเรือนใหญ่ เดินเรื่อยจนมาถึงหน้าห้องพระ พอเห็นว่าไม่มีใคร จึงแอบเปิดประตูเข้าห้องพระไป
เมื่อเข้ามาในห้อง ก้อนค้นข้าวของในห้องจนไปถึงหีบใบหนึ่งที่วางอยู่ด้านหลังแท่นบูชา มีโซ่คล้องอยู่
ก้อนใช้ขวานที่พกมาด้วย ฟันโซ่ที่คล้องจนขาด เปิดหีบใบนั้นออกมาดูแล้วตาโตเป็นไข่ห่านเมื่อพบว่าด้านในกล่องเป็นเพชรพลอยและเครื่องทองที่รำเพยรับซื้อมาจากเดือน
ก้อนมองไปทางประตูจะโกยเพชรพลอยและเครื่องทองใส่ห่อผ้า แต่จู่ๆ ก็มีเสียงคนเดินมาที่หน้าห้องพระ ก้อนรีบหาที่ฉากหลบ มีเสียงนมขามดังขึ้น
“นังโรย ข้าบอกเอ็งกี่คราวแล้วว่าปัดกวาดห้องพระแล้วให้ปิดห้องก่อนกลับเรือน สอนไม่รู้จักจำ”
นมขามกับกล่ำเดินมาที่หน้าห้องพระ เห็นประตูแง้มเปิดอยู่
“เอ อิฉันปิดแล้วนะเจ้าคะ” โรยบอก
“ก็เห็นอยู่ว่าไม่ได้ปิดยังจะแก้ตัวอีก ดูสิ เปิดไว้เช่นนี้ไม่ใช่แต่พวกแมลงมันจะเข้าไป แต่โจรมันจะได้เข้าไปด้วย
“เจ้าค่ะคุณนม วันหลังอิฉันจะไม่ลืมเจ้าค่ะ”
ก้อนหลบอยู่ที่ข้างตู้ในห้องพระ มองลุ้นระทึก
“อย่าให้ข้ารู้เชียวว่าเอ็งทำเช่นนี้อีก ไม่อย่างนั้นข้าจะลงโทษ”
โรยหน้าจ๋อยก่อนจะเดินไปปิดประตู ก้อนได้จังหวะจะออกไป แต่แจกันทองเหลืองในห้องกลับตกลงกระทบพื้นเสียงดัง นมขามชะงักหันไปมอง แล้วเปิดเข้าไปดูทันที แต่ในห้องไม่เห็นอะไร
“สงสัยลมพัดแรงจนของตกละมังคะคุณนม” โรยว่า
“ช่างเถิด พรุ่งนี้ค่อยมาจัดแต่เช้า รีบกลับเรือนเสีย ใกล้ค่ำแล้วเดี๋ยวพวกงูเงี้ยวเขี้ยวขอมันจะออกมา”
นมขามปิดประตูห้องพระลง สักพักก้อนจึงค่อยๆ ปีนกลับเข้ามาจากหน้าต่าง นึกโล่งใจ
“อีแก่ ทำกูจะหัวใจวายแล้วปะไร”
ก้อนมองซ้ายขวา แน่ใจว่าไม่มีใครกลับมาแล้ว ก็กวาดเครื่องเพชรเครื่องทองพวกนั้นใส่ห่อผ้าทันที
ก้อนกระโดดลงจากเรือนทางหน้าต่าง กำลังจะออกไป แต่มีเสียงนมขามดังขึ้น
“ไอ้ก้อน”
ก้อนตกใจหันไปทางเสียง นมขามเดินมาหามองจับพิรุธ
“เอ็งมาทำอะไรแถวเรือนใหญ่นี่ งานไม่มีทำหรอกรึ”
ก้อนอึกอักยังไม่ตอบ กอดห่อผ้าไว้แน่น นมขามสังเกตเห็น
“แล้วนั่นหอบผ้าผ่อนมาจะไปที่ใด”
“ข้า...ข้าก็มาเรื่องนี้นี่ล่ะคุณนม”
“เรื่องอันใดของเอ็ง”
“ข้าจะมาขอพบได้ก๋ง ข้าอยากจะขอลากลับบ้านไปหาแม่สักสองสามวัน”
นมขามมองก้อน ยังไม่ค่อยเชื่อนัก
“ร้อยวันพันปีข้าไม่เคยเห็นเอ็งคิดอยากกลับบ้าน แล้วเหตุใดวันนี้ถึงอยากกลับ”
“แม่ข้าไม่สบาย จะให้ข้าอยู่โดยไม่ดูดำดูดีได้อย่างไรที่ข้ารีบร้อนมาเรือนใหญ่ก็เพราะเหตุนี้”
“อย่างนั้นหรือ”
ก้อนพยักหน้า พยายามเก็บอาการให้ไม่น่าสงสัย
“ถ้าเอ็งรีบนักก็ไปเถิด ส่วนเรื่องของเอ็งข้าจะแจ้งไต้ก๋งเอง”
“ขอบคุณมากคุณนม ข้าลาละ”
ก้อนรีบร้อนออกไป นมขามมองตามด้วยสีหน้าสงสัย
ตอนเย็น กล่ำพางามตากลับมาที่เรือน งามตานอนซมเพราะเจ็บแผล กล่ำเอายามาทาให้ มองงามตาอย่างเวทนา
“อีงามตาเอ๊ย เอ็งเจ็บแค้นแม่หญิงเรือนนั้นขนาดไหนก็ไม่เห็นต้องกลั่นแกล้งเขาเช่นนี้เลย”
“ไม่ต้องพูดดี เอ็งไม่ใช่หรือที่รวมหัวกับคุณรำเพย ทำให้ข้าต้องมีสภาพเช่นนี้”
“ข้าไม่ได้อยากทำเช่นนั้น แต่ผิดก็ต้องว่าไปตามผิด หากเอ็งไม่ได้ทำ จะมีใครกล่าวหาเอ็งได้”
“เอ็งไม่ใช่ข้า เอ็งไม่รู้หรอกว่าอีสี่คนนั้นมันทำข้าไว้เจ็บใจเช่นไร”
“เอ็งเคยได้ยินคำว่าน้ำขุ่นไว้ในน้ำใสไว้นอกหรือไม่ หากเขาว่ากล่าวสิ่งใดแก่เอ็งก็ทำเฉยเสียจะได้ไม่เกิดเรื่อง”
“เฉยอีกแล้วรึ เวลาข้าโดนรังแกทีไรทุกคนได้แต่บอกให้ข้าอดทน เหตุใดไม่มีคนเห็นใจข้าบ้างว่าข้ารู้สึกเช่นไร”
“คนเราน่ะโกรธเกลียดแค้นใครก็ได้ แต่เอ็งไม่ควรเอาคืนเขาด้วยวิธีเช่นที่เอ็งทำ ปรับปรุงตัวเสียก่อนที่เอ็งจะไม่ได้อยู่เรือนนี้อีก”
กล่ำพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง งามตายังไม่พอใจ
“ถ้าต้องอยู่รองมือรองตีนคนอื่นจนแก่เหมือนนมขามหรือมึง กูไม่ได้อยากอยู่นักหรอก”
“เอ๊ะ อีนี่ กูอุตส่าห์หวังดีมาว่ากูอย่างนี้รึ”
กล่ำชักโกรธเลยเอาแกล้งเอายาป้ายแผลงามตาแรงๆ
“โอ๊ย นี่มันตีนคนรึควายทำไมหนักเช่นนี้”
กล่ำปาอุปกรณ์ทำแผลทิ้ง หมดอารมณ์ช่วยงามตา
“กูมันควาย แต่ควายอย่างกูก็ยังรักเจ้าของที่ให้ข้าวให้น้ำมัน คนอย่างเอ็งเสียอีกที่ไม่รู้จักบุญคุณ ดีแต่คิดแค้นคนอื่น รู้เช่นนี้กูไม่ช่วยให้เมื่อยมือดอก”
กล่ำเดินปึงปังออกไป ปล่อยให้งามตาอยู่คนเดียว งามตามรอจนกล่ำพ้นเรือนไปจึงค่อยๆ ลุกขึ้นมองหาทางหนีทีไล่ จะออกไปเจอก้อน
ก้อนเอาของมาให้งามตาตามนัดที่กระท่อมท้ายสวน พอแกะห่อผ้าออกมา เห็นเครื่องเพชรเครื่องทองมากมาย งามตาเนื้อเต้นตาลุกวาว กอบสมบัติมาไว้ในมือด้วยความตื่นเต้น
“อีรำเพยมันเก็บสมบัติไว้มากมายถึงเพียงนี้เชียวรึ”
งามตาหยิบเครื่องเพชรเครื่องทองมาเชยชมชิ้นนั้นชิ้นนี้ ลองเอาสร้อยเอากำไลมาใส่ แต่พอหันไปเห็นก้อนมองอยู่ก็วางลง
“มองอะไรของพี่”
“ก็มองว่าเอ็งใส่ของพวกนี้แล้วดูมีสง่าราศี สวยขึ้นเป็นกองน่ะสิวะ”
“ฉันไม่ได้ปลาบปลื้มกับสมบัติพวกนี้หรอกนะ ฉันแค่สะใจที่พี่เอามันมาจากนังรำเพยได้เท่านั้น”
“เอ็งจะให้ข้าเอามาเพื่อสิ่งใดก็ช่างเถอะ แต่ข้าจะบอกว่ามันไม่ได้มีเพียงเท่านี้ มันยังมีเก็บไว้อีกเป็นหีบ แต่ข้ากลัวใครจับได้จึงรีบออกมา”
“แค่นี้ก็พอจะทำให้พวกมันร้อนรนจนอยู่ไม่ได้แล้ว จะมีอีกมากมายเท่าใดข้าไม่สน”
“แล้วเอ็งจะให้ข้าซ่อนของพวกนี้ไว้ที่ใด”
“ฉันจะฝากพี่ไว้ก่อน ถ้าพวกมันรู้ว่าสมบัติหายไปมันต้องออกตามหาแน่ ไว้ฉันพร้อมเมื่อไรเราจะหนีไปด้วยกัน”
งามตามองเครื่องเพชรที่ได้มา ยิ้มกระหยิ่มพอใจ ก้อนเข้ามาโอบเอวทวงถามสัญญา
“เอ็งจะให้ข้ารอเพียงอย่างเดียวเองรึ”
ก้อนมองงามตาเต็มไปด้วยความปรารถนา งามตารู้แต่หาทางบ่ายเบี่ยง
“ฉันยังเจ็บแผลอยู่ ไม่มีกะจิตกะใจอยากทำอะไรทั้งสิ้น”
“แต่เอ็งก็เป็นเมียข้าแล้ว ข้าจะต้องรอไปถึงเมื่อใด”
“รอวันที่ฉันได้ออกไปจากไอ้เรือนสับปะรังเคนี่ก่อนน่ะสิ”
ก้อนอารมณ์เสียผละออกด้วยหน้าบูดบึ้ง งามตามดูออกกลัวก้อนไม่ช่วยเลยรีบอ้อน
“โธ่พี่ก้อน อย่าน้อยใจไปเลย เรายังมีเวลาอยู่ด้วยกันอีกโข”
งามตาลูบไล้ใบหน้าก้อนช้อนตามองยั่วยวนออดอ้อน ก้อนใจอ่อนยวบ
“เอ็งมั่นใจรึว่าจะไม่ปล่อยให้ข้ารอเก้ออีก”
“แน่สิจ๊ะพี่ ไม่เกินเพ็ญหน้าฉันจะมาหาพี่…เราหาใช่คนอื่นคนไกลมิใช่หรือ”
ก้อนยิ้มพอใจ เชื่อที่งามตาพูด งามตาซบไหล่ก้อนแต่แอบยิ้มร้าย และแอบหยิบสร้อยทองเส้นหนึ่งยัดใส่ผ้าโจงของตัวเองโดยที่ก้อนไม่เห็น
เช้าวันใหม่ รำเพยกับนมขามรีบร้อนมาหาไต้ก๋งชางถึงห้องทำงานดูตกใจมาก ไต้ก๋งชางมองด้วยสีหน้าแปลกใจ นมขามเอ่ยขึ้นอย่างร้อนใจว่า
“ไต้ก๋ง เกิดเรื่องใหญ่แล้วเจ้าค่ะ”
“มีเรื่องใดรึ”
นมขามมองหน้ารำเพยเครียดๆ รำเพยตัดสินใจบอกไต้ก๋งชางไป
“คุณพี่ เครื่องเพชรเครื่องทองที่คุณเดือนนำมาขายกับน้องหายไปค่ะ”
ชางตกใจ “หายไปได้อย่างไร วันก่อนยังอยู่ดีไม่ใช่รึ”
“น้องก็ไม่ทราบเจ้าค่ะ ตอนเช้านี้ไปดูที่ห้องก็เหมือนมีคนมารื้อค้นเสียแล้ว ข้าวของก็หายไปด้วย”
“จะฝีมือใครก็ตาม ข้าต้องสืบให้รู้จนได้” ชางโกรธจัด ร้องเรียกหาแถน “แถน เอ็งอยู่ที่หน้าห้องรึไม่”
แถนรีบเข้ามาในห้อง
“กระผมอยู่นี่ขอรับ”
“ไปเรียกบ่าวทุกคนมารวมตัวกัน ข้าจะสืบว่าผู้ใดเข้ามาขโมยของของคุณรำเพย”
“ขอรับ”
แถนรีบออกไป รำเพยมองตามหนักใจกลุ้มใจเหลือเกิน ชางหน้าเครียดจัด
อ่านต่อ ตอนที่ 7
#เสน่ห์นางครวญ #ช่อง8 #thaich8