xs
xsm
sm
md
lg

เสน่ห์นางครวญ ตอนที่ 5 งามตาบุกเรือนคุณรำเพย ขอเป็นเมียบ่าวไต้ก๋ง

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


เสน่ห์นางครวญ ตอนที่ 5
งามตาบุกเรือนคุณรำเพย ขอเป็นเมียบ่าวไต้ก๋ง

บทประพันธ์ : หงส์หยก บทโทรทัศน์ : พิชฌสินี

เช้าวันนี้ ไต้ก๋งชางกับรำเพยพากันมาทำบุญให้ท่านขุนทนงค์ที่วัดลำพระพาย หลังไหว้พระเสร็จ ก็พากันเดินออกจากโบสถ์จะกลับเรือน แต่แล้วมองไปเห็นจำเรียงเข็นร่างนายผันผู้เป็นพ่อซึ่งป่วยหนัก ใส่เกวียนเข้ามาในวัด ร้องไห้คร่ำครวญเป็นที่น่าเวทนา

“ฮือ…พ่อจ๋า ฉันจะทำอย่างไรดี แม่ก็มาจากไปแถมพ่อป่วยเช่นนี้ ฉันไม่รู้จะทำอย่างไรแล้ว”
จำเรียงเข็นเกวียนมาหยุดมุมหนึ่งของวัด ไต้ก๋งชางเห็นเข้าก็สงสาร
“ดูสิ น่าเวทนานัก แถวบ้านเรานี้ยังมีคนลำบากอีกมากเลยนะน้องรำเพย”
จำเรียงเหลือบมองเห็นไต้ก๋งชางกับรำเพยก็ยิ่งร้องไห้หนัก
“น้องขอเข้าไปดูนะคะคุณพี่”
ไต้ก๋งชางพยักหน้าให้ รำเพยเลยเดินไปหาจำเรียง เอ่ยถามขึ้น
“พ่อของเอ็งป่วยเป็นอะไรหรือ”
จำเรียงมองพ่อ ผันไอโขลกๆ เหมือนคนจะขาดใจ
“เป็นฝีในท้องเจ้าค่ะ” จำเรียงบอก
“ตายจริง โรคร้ายแรงขนาดนั้นเชียวหรือ”
รำเพยทำท่าจะเข้าไปดูใกล้ๆ
จำเรียงห้ามไว้ “คุณอย่าเข้ามาใกล้เลยเจ้าค่ะ เดี๋ยวจะติดโรคไปด้วยเปล่าๆ”
“พ่อเอ็งป่วยขนาดนี้ไม่พาไปหาหมอรึ”
จำเรียงตีหน้าเศร้า น้ำตาคลอ
“อิฉันไม่มีอัฐจะจ่ายค่าหยูกยาเจ้าค่ะ ตั้งแต่พ่อเจ็บก็ทำงานไม่ได้ อิฉันความรู้ก็ไม่มี ไปรับจ้างใครเขาก็ไม่รับเพราะกลัวติดโรค แม่ก็เพิ่งเสียไป อิฉันไม่รู้จะทำอย่างไรแล้วเจ้าค่ะ”
“ชะตาคล้ายแม่อบเชยเสียจริง เราให้เงินเขาไปรักษาพ่อดีไหมคะคุณพี่”
“ดีเหมือนกันนะ”
จำเรียงเห็นไต้ก๋งชางจะหยิบเงินให้ ชิงพูดขึ้นก่อน
“ถ้าจำไม่ผิด พวกท่านคือไต้ก๋งชางกับคุณรำเพยเจ้าของตลาดใช่ไหมเจ้าคะ”
“ใช่แล้ว”
จำเรียงรีบก้มกราบ ไต้ก๋งชางกับรำเพยตกใจ
“ฟ้าเห็นใจอีจำเรียงแล้ว ไต้ก๋งเจ้าขารับจำเรียงไว้เป็นบ่าวในเรือนอีกสักคนเถอะนะเจ้าคะ”
“เอ็งพูดอะไร เหตุใดมาขอร้องข้าเช่นนี้”
“อิฉันเคยได้ยินที่ตลาดเล่ากันว่า ไต้ก๋งกับคุณรำเพยน้ำใจประเสริฐนัก โชคดีที่อิฉันได้พบคุณท่านทั้งสองในวันนี้ คุณท่านช่วยเหลืออิฉันกับพ่อเถอะนะเจ้าคะ”
ไต้ก๋งเกรงใจภรรยา รำเพยมองสงสารจำเรียง
“เขาน่าสงสารจริงๆ นะคะคุณพี่…ถ้าน้องจะ…”
ไต้ก๋งชางรีบพูดสวนปฏิเสธ
“พี่ต้องขอโทษน้องกับแม่หญิงคนนี้ด้วย แต่เรือนเราคงรับคนเพิ่มไม่ได้อีกแล้ว”
รำเพยมองอ้อนวอน “คุณพี่”
ผันโก่งคอไอโขลกๆ อาการหนัก จำเรียงลูบหลังพ่อร้องไห้โฮ
“พ่อเป็นยังไงบ้างพ่อ”
ไต้ก๋งชางหยิบเงินมาให้จำเรียง
“อย่างไรเสียข้าก็จะช่วยเหลือเอ็ง เอ็งรับเงินนี้ไปรักษาพ่อเถอะ”
จำเรียงทำเป็นฝืนใจรับเงินมาจากไต้ก๋ง รำเพยจำต้องยอม

จำเรียงเดินออกมาที่ด้านหลังวัด ด้วยอาการหงุดหงิดที่ไต้ก๋งชางไม่ยอมรับตนเป็นบ่าว
“ไหนว่าไต้ก๋งชางมีเมตตา เหตุใดไม่ยอมรับข้าไว้ในเรือนเล่า”
จำเรียงนั่งลงอย่างหงุดหงิด สักพักก็มีคนเดินมาหยุดตรงหน้า พอเงยหน้ามองก็เห็นเป็นนายผันผู้พ่อ ยืนหนีบไหเหล้า เมาแอ่นอยู่ไม่ได้ป่วยไข้เจียนตายอย่างเมื่อครู่
“ซื้อมาอีกแล้วรึพ่อ กินเข้าไปเถอะ จะได้ตายคาไหเหล้านั่นล่ะ”
“พูดมากจริงอีจำเรียง ไหนเอ็งบอกแกล้งเจ็บแล้วไต้ก๋งจะรับเอ็งไปอยู่ด้วย ข้าไม่เห็นเขาจะสนใจเอ็งสักนิด”
“พ่อก็ได้ยินว่าไต้ก๋งบอกบ่าวมีเต็มเรือน รับอีกไม่ได้แล้ว”
“หึ เอ็งน่ะไม่รู้อะไร คุณรำเพยเป็นคนขี้สงสาร เอ็งคงไม่น่าเวทนาพอละมัง เขาถึงไม่รับเอ็ง”
“โอ๊ย...แล้วทำอย่างไรถึงจะน่าเวทนาล่ะ นี่พ่อก็ไอจนคอแทบจะหลุดอยู่แล้ว”
“ข้าได้ยินมาจากพวกแม่ค้าว่า คนก่อนที่ไต้ก๋งรับทั้งแม่เจ็บหนักพ่อก็ตายอีก”
“จริงรึ แล้วข้าจะทำอย่างไรดีเล่า พ่อยังไม่ตายนี่”
จำเรียงโวยวาย ผันทำไม่รู้ไม่ชี้กระดกเหล้าใส่ปากไป จำเรียงมองพ่อแล้วนึกแผนอะไรได้
“ข้ารู้แล้วว่าจะทำอย่างไรดี”
“อย่างไร”
“พ่อกลับไปบ้านนอกก่อนได้ไหม ข้าจะได้แสร้งทำเป็นว่าพ่อตายแล้ว”
“เฮ้ย คนยังเป็นๆ อยู่จะให้แสร้งตายได้อย่างไรวะ”
“ได้สิพ่อ ข้าจะบอกทุกคนว่าพ่อเจ็บหนักตายไปแล้ว เขาจะได้สงสารรับข้าไปอยู่ด้วยไง เอาเงินนี่ไปก็ได้ ข้าให้ ไปซื้อเหล้ากินให้หนำใจเลย...นะพ่อนะ”
จำเรียงยัดเงินที่ไต้ก๋งชางให้มาใส่มือพ่อ ผันรับมาท่าทีลังเล
จำเรียงยิ้มเจ้าเล่ห์มั่นใจในแผนการของตน

วันเวลาล่วงผ่าน เรือนร้างปรับปรุงใกล้แล้วเสร็จ มีคนงานเข้ามาช่วยตกแต่งอยู่ไม่ขาด วันนี้ไต้ก๋งชางพาภรรยามาดู รำเพยถึงกับตกตะลึงในความสวยงาม ชางโอบไหล่รำเพย มองดูเรือนหลังงามอย่างภาคภูมิใจ
“เป็นอย่างไรบ้างน้องรำเพย”
“ไม่น่าเชื่อว่าปรับปรุงเรือนใหม่แล้วจะสวยงามได้ถึงเพียงนี้”
“น้องรำเพยชอบเรือนนี้หรือไม่”
“คุณพี่ตั้งใจปรับปรุงใหม่ทั้งที น้องต้องชอบสิคะ”
“งั้นหรือ แล้วถ้าหากพี่บอกว่าตั้งใจยกเรือนนี้ให้น้องเล่า”
รำเพยแปลกใจ
“ให้น้องหรือคะ”
ไต้ก๋งชางจับมือรำเพย มองตาลึกซึ้ง
“พี่มีทุกอย่างในวันนี้ได้เพราะท่านขุนเป็นผู้ให้ แต่พี่ไม่เคยมีสิ่งใดที่จะมอบให้น้องได้ด้วยน้ำพักน้ำแรงของตน”
ไต้ก๋งชางพารำเพยเดินเข้าไปดูเรือนดอกเหมยใกล้ๆ
“พี่จึงคิดอยากมอบเรือนนี้เป็นของขวัญให้น้องรำเพย”
รำเพยอึ้งไปด้วยความซาบซึ้ง “คุณพี่”
“ได้โปรดรับเรือนนี้ไว้เถิด พี่จะตั้งชื่อมันว่า ‘เรือนดอกเหมย’ ไว้เป็นสัญลักษณ์ถึงดอกไม้งามที่พี่ได้อดทนรอเพื่อจะได้ชื่นชม…เช่นน้องรำเพย”
รำเพยเต็มตื้น มองตาไต้ก๋งชางน้ำตาคลอ
“ขอเพียงคุณพี่สัญญาว่าจะไม่มีใครอื่นมาเป็นเจ้าของมันอีก น้องก็ยินดีแล้วค่ะ”
“พี่สัญญา จะไม่มีผู้ใดเป็นเจ้าของเรือนนี้อีก นอกจากแม่ดอกเหมยของพี่คนนี้ เพียงคนเดียว”
ไต้ก๋งชางโอบรำเพยไว้ มองไปยังเรือนด้วยกันอย่างมีความสุข

วันเดียวกันนี้ จำเรียงมาหารำเพยที่เรือน ด้วยท่าทีน่าสมเพชเวทนา ร้องห่มร้องไห้คร่ำครวญว่านายผันผู้เป็นพ่อตายแล้ว ตรไม่มีที่พึง รำเพยใจอ่อนจึงอ้อนวอนสามียอมให้ตนรับจำเรียงไว้เป็นบ่าวช่วยทำขนมอีกคน ไต้ก๋งไม่อยากขัดใจเมีย จึงยอมตามใจ
จำเรียงยิ้มเจ้าเล่ห์สมใจ

ตกตอนกลางคืน สี่สาวซึ่งต้องมานอนรวมกันในห้องเดียวกันที่เรือนบ่าว พิมพ์กับดวงแขช่วยกันเอาเสื่อเอามุ้งมากาง จำเรียงยืนมองเฉยๆ โดยไม่เข้าช่วย พอเห็นว่าที่คับแคบน่าจะนอนไม่สบายก็คิดแผนขึ้น พอทุกคนเข้านอน จำเรียงก็แกล้งทำเป็นไอโขลกๆ เสียงดัง
“จำเรียง เอ็งเป็นอะไรของเอ็ง”
จำเรียงไอหนักมาก เหมือนคนป่วยหนัก
“ฉันเหมือนจะไม่สบายน่ะ รู้สึกไม่ค่อยดีตั้งแต่เย็นแล้ว”
ดวงแขถามจำเรียงด้วยความเป็นห่วง พิมพ์ลอบมองจำเรียงเงียบๆ
“เอ็งไม่สบายหรือ ขอยาคุณนมมากวาดคอไหม”
“ไม่ต้องๆ ดึกแล้วรบกวนคุณนมเปล่าๆ”
จำเรียงทำเป็นไอใส่คนอื่นอีก อบเชยทำท่ารังเกียจ
“เอ็งเป็นเช่นนี้แล้วพวกข้าจะนอนได้เช่นไรเล่า”
“ข้าอาจจะติดโรคฝีในท้องจากพ่อข้า”
พิมพ์ตกใจ กลัว ร้องดังลั่น “ว้าย...ฝีในท้องรึ”
จำเรียงไอไม่หยุด แถมยังทำเป็นหายใจหอบเหมือนคนไม่มีแรง สามสาวที่เหลือจำต้องลุกออกไปนอกมุ้ง จำเรียงแอบยิ้ม
“ขืนข้านอนข้างมันข้าต้องติดโรคแน่ๆ ข้าไม่เอาด้วยหรอก” อบเชยบ่น
“ข้าก็ด้วย แต่ถ้าไม่นอนที่นี่ คืนนี้เราไปอยู่ที่ไหนกันล่ะ”
“ก็นอนที่นี่นั่นแหละจ้ะ” พิมพ์บอก
อบเชยกับดวงแขมองพิมพ์ด้วยสีหน้าสงสัย จนเห็นพิมพ์เดินไปปลดสายบัวมุ้งทีละข้างๆ
“ถ้าอยากป่วยนัก ก็ให้โดนยุงกัดตายเสียเลยเป็นไง”
พิมพ์ปลดมุ้งใส่ตัวจำเรียง เล่นเอาจำเรียงทั้งตกใจทั้งโกรธ ลืมตัวลุกขึ้นปัดให้วุ่น
“นังพิมพ์ ทำอะไรของเอ็ง จะแกล้งข้ารึ”
พิมพ์ยิ้มเยาะ “อ้าวลุกไหวแล้วหรือ ไหนเอ็งบอกว่าป่วยหนักหนาไงเล่า”
จำเรียงอึ้งไป สองสาวโต้เถียงกันไปมา ดวงแขกับอบเชยมองกังวล
“ข้า...ข้าก็ป่วยอยู่ แต่เอ็งแกล้งข้าเช่นนี้ ข้าก็นอนไม่ได้น่ะสิ”
“แล้วทีเอ็งแกล้งป่วยไม่ให้คนอื่นนอนในมุ้งเล่า”
“ข้าบอกแล้วอย่างไรว่าไม่ได้แกล้ง”
“โกหก เมื่อเย็นเอ็งยังขโมยขนมดวงแขไปเป็นของตัวเอง คนอย่างเอ็งคิดว่าข้าจะเชื่อหรือ”
“นี่เอ็งว่าข้าเป็นพวกปลิ้นปล้อนเชื่อไม่ได้หรือ”
“ข้าไม่ได้พูด เอ็งพูดออกมาเอง ยอมรับแล้วหรือว่าเป็นพวกปลิ้นปล้อน ขี้โกหก ขี้เกียจ”
จำเรียงโกรธตัวสั่น
“อีพิมพ์ ถ้าวันนี้เลือดหัวมึงไม่ออกอย่าเรียกกูว่าอีจำเรียง”
จำเรียงถลันเข้าไปจิกหัวแล้วตบพิมพ์เปรี้ยง พิมพ์กรี๊ดลั่น สองสาวตบกันชุลมุนไปหมด ดวงแขตกใจเปิดประตูออกไปตะโกนให้คนช่วย
“ช่วยด้วยเจ้าค่ะ ช่วยด้วย ใครก็ได้ช่วยห้ามที”
นมขามกับกล่ำได้ยินเสียงเอ็ดอึง รีบวิ่งเข้ามาดู
“โอ๊ย ตายแล้ว เกิดอะไรขึ้น นังกล่ำ ช่วยกันแยกเร็ว
กล่ำรีบเข้าไปช่วยห้าม แต่ก็เกือบโดนลูกหลงไปด้วย
นมขามจับตัวพิมพ์ไว้ อบเชยช่วยอีกแรง จำเรียงยังไม่ยอมโวยวายเสียดังไม่หยุด

ไต้ก๋งชางกับรำเพยกลุ้มหนักเมื่อรู้เรื่องสี่สาวจากนมขาม ชางวางถ้วยชาลงค่อนข้างแรงอย่างไม่สบอารมณ์
“มาอยู่ได้ไม่เท่าไหร่ก็มีเรื่องเสียแล้ว ต่อไปจะอยู่ร่วมเรือนกันได้อย่างไร”
“อิฉันก็สุดปัญญาจะคิดเจ้าค่ะ ไม่รู้จะทะเลาะอะไรกันนักหนา แค่นี้อิฉันกับนั่งกล่ำก็ห้ามจนไม่เป็นอันหลับอันนอนแล้ว” นมขามบ่น
รำเพยนิ่งคิด พยายามหาวิธีแก้ไข
“เป็นเพราะเรือนบ่าวคับแคบไปแล้วหรือเปล่าคะคุณพี่”
ชางคิดตาม “คงเป็นอย่างที่น้องว่า เรารับคนมามากเช่นนี้ เรือนบ่าวเดิมอาจจะอยู่ไม่สบายจนเกิดปัญหาได้”
“คับที่อยู่ได้ คับใจอยู่ยากนะเจ้าคะ ต่อให้เรือนอยู่สบาย แต่ไม่รู้รักสามัคคีก็อยู่ไม่ได้ดอกเจ้าค่ะ” นมขามว่า
“แต่ปลูกเรือนต้องตามใจผู้อยู่เหมือนกันนะจ๊ะนม ถ้าเรือนอยู่ไม่สบาย ใจคนจะสบายได้อย่างไร”
นมขามฟังแล้วถึงกับถอนหายใจเฮทอกใหญ่
“คุณของนมช่างน้ำใจงามเสียจริง ไม่รู้แม่สี่สาวนั่นจะสำเหนียกถึงความเมตตานี้ไหม จะได้ไม่คอยสร้างปัญหาอีก”
“ไม่พูดอย่างนี้สิจ๊ะนม เป็นเจ้าบ้าน คนในบ้านมีเรื่องก็ต้องช่วยแก้เป็นธรรมดา”
“แล้วคุณจะแก้ปัญหาอย่างไรเจ้าคะ”
ไต้ก๋งชางครุ่นคิดว่าควรทำอย่างไร
“หากจะสร้างเรือนขึ้นใหม่อีกสักหลังคงไม่ดีแน่ นอกจากจะเสียเวลาแล้วยังสิ้นเปลืองอยู่มาก”
“แต่หากไม่ทำสิ่งใด เห็นทีต้องไล่บางคนกลับบ้านไปเสียเจ้าค่ะ”
รำเพยเหมือนจะนึกอะไรออก
“น้องว่าพอมีทางออกนะคะคุณพี่”
“ทำอย่างไรหรือน้องรำเพย”
“ก็เรือนดอกเหมยอย่างไรเล่าคะน้องอยากให้สี่คนนั้นไปอยู่ช่วยดูแลน้องจะได้มีที่ทางไว้ทำขนมด้วย ดีไหมคะ”
“พี่ยกมันให้น้องแล้ว น้องอยากทำสิ่งใดก็ได้ ดีเหมือนกัน แยกเรือนออกไปเสียจะได้ไม่วุ่นวาย”
“ผู้คนก็จะได้ไม่ติฉินนินทาคุณพี่ด้วยว่าให้หญิงอื่นมาอยู่ร่วมเรือน”
“ไต้ก๋งกับคุณรำเพยแน่ใจหรือเจ้าคะว่าจะไม่มีเรื่องวุ่นวายในภายหลัง” นมขามทักท้วง
“ถ้าได้อยู่สบายแล้วใครยังคิดก่อเรื่องวุ่นวายอีก เห็นทีคงต้องไล่ออกไปอยู่ที่อื่นแล้วละคุณนม”
ไต้ก๋งชางพูดอย่างมั่นใจ นมขามจำต้องเออออไปด้วย

หลายเดือนผ่านไป ดวงแขกับพิมพ์มาส่งขนมที่ตลาด มีแม่ค้าทักทายทั้งสองสาวอย่างมักคุ้น
“แม่พิมพ์ แม่ดวงแขเอาขนมมาส่งหรือหน้าตาหน้ากินทีเดียว มีอะไรบ้างล่ะวันนี้” แม่ค้า1 ทักถาม
“มีขนมตาล ขนมใส่ไส้ แล้วก็เปียกปูนจ้ะ” พิมพ์บอก
“ฉันกับคนที่เรือนทำมามากโข หากขายดีละก็ช่วยบอกต่อด้วยนะว่าเป็นขนมจาก...เรือนดอกเหมย”
แม่ค้า2 ฟังแล้วแปลกใจ
“เรือนดอกเหมย ที่ใดกัน ทั้งสองคนไม่ได้อยู่ที่บ้านลำพระพายแล้วหรือ”
พิมพ์กับดวงแขมองหน้ากันแล้วยิ้มขำๆ
“ฉันยังอยู่ที่บ้านลำพระพายสิจ๊ะ จะไปอยู่ที่ไหนได้” พิมพ์บอก
แม่ค้า1 งงไม่หาย “แล้วเรือนดอกเหมยที่ว่านี่คือที่ใดเล่า”
“ก็เป็นเรือนใหม่ที่ไต้ก๋งให้พวกฉันไปอยู่น่ะสิ” ดวงแขว่า
“ใช่จ้ะ เพิ่งปรับปรุงเสร็จไม่นานนี้ เป็นเรือนไม้หลังใหญ่ สวยงามมาก ที่ทางก็กว้างขวาง พวกฉันจะทยอยขนของเข้าไปเร็วๆ นี้แล้ว” พิมพ์เสริม
“แหม...ไต้ก๋งชางกับคุณรำเพยนี่ใจกว้างเสียจริง” แม่ค้า2 แซว
แม่ค้า1 เสริมว่า “พวกข้าดีใจด้วยนะ ได้อยู่เรือนใหญ่โต แถมไต้ก๋งชางก็เลี้ยงดูอย่างดีใครจะน่าอิจฉาเท่าสาวที่…เรือนชื่อว่าอะไรนะแม่ดวงแข”
“เรือนดอกเหมยจ้ะ”
แม่ค้า1 กะแม่ค้า2 ทวนชื่อพร้อมๆ กัน “เรือนดอกเหมย ชื่อเพราะเสียจริง”
แม่ค้ากับพิมพ์และดวงแขหัวเราะชอบใจใหญ่
พิมพ์กับดวงแขส่งขนมเสร็จก็เดินออกไป พอทั้งคู่ไปพ้นสายตา แม่ค้าก็เริ่มนินทาทันที
“ไต้ก๋งชางแต่งงานไม่ทันไร พอร่ำรวยบารมีมากเข้าหน่อย ก็รับเมียบ่าวเข้าบ้านตั้งสี่คนทีเดียว”
แม่ค้า2 เสริมว่า “นั่นสิ แถมหารือนใหม่ให้อยู่อีกคุณรำเพยนี่ใจกว้างเป็นแม่น้ำแท้ๆ”
พ่อแม่ค้าพูดจบก็ได้ยินเสียงคนปัดกระจาดตกดังโครม พอหันไปดูก็พบว่าเป็นงามตา
“อีงามตา หงุดหงิดอะไรมาอีกกินอะไรผิดสำแดงมารึ” แม่ค้า1 ด่า
“ใช่ ข้ากลืนอะไรไม่ลง อยากจะอ้วกกับความใจกว้างเป็นแม่น้ำของคนบางคน”
งามตาทิ้งกระจาดแล้วเดินหุนหันออกไปเลย พวกแม่ค้ามองตามงงๆ

ดวงแขกับพิมพ์ถือขนมจะไปส่งอีกที่หนึ่ง งามตาตามหลังมา ยิ่งเห็นยิ่งไม่ชอบขี้หน้าเลยแสร้งทำเดินออกไปเฉียดทั้งสองคน พอได้จังหวะก็เบียดจนพิมพ์เซล้ม กระจาดใส่ขนมตกพื้นเกลื่อนกลาด
“ตายจริง ขนมข้า” พิมพ์เงยหน้ามามองงามตางงๆ “นี่เอ็ง”
งามตาเสแสร้งทำเป็นตกใจ
“อุ๊ยตายแล้ว ข้ารีบเลยไม่ทันมอง”
พิมพ์ลุกขึ้นได้ก็หันมาเอาเรื่องงามตาทันที
“ทางเดินออกกว้าง หากระวังเอ็งคงไม่ชนพวกข้า”
“ก็บอกแล้วอย่างไรว่าข้าไม่ได้ดั้งใจ”
“เอ็งน่ะรึไม่ตั้งใจ ข้าเห็นนะว่าเอ็งจงใจเบียดข้า”
งามตาทำไม่รู้ไม่ชี้ ดวงแขพยายามจะห้ามพิมพ์
“ไม่เป็นไรหรอกพิมพ์ มันตกพื้นแล้วก็เอาไปทิ้งเสีย”
“ไม่ได้ ข้าไม่ยอม หากข้าทำตกเองข้าจะไม่โกรธเช่นนี้ แต่อีนังนี่มันใจเบียดข้าข้าไม่ยอมแน่ถ้าวันนี้ข้าไม่ได้สั่งสอนมัน ข้าจะไม่ยอมกลับเรือน”
“เออ เข้ามาสิวะ อย่าคิดว่าคนอย่างกูจะยอมกูรู้ว่าพวกมึงมาจากไหน อย่าคิดว่ามาจากเรือนใหญ่แล้วจะทำสิ่งใดก็ได้”
“เออ ถ้าข้าทำได้แล้วจะทำไม”
“กูก็จะให้ขนมวิเศษวิโสกินไม่ได้อย่างไรเล่า”
งามตามองท้าทาย แล้วเอาเท้าเหยียบบี้ๆ ขนมบนพื้นจนเละ พิมพ์โกรธสุดขีด
“อีนี่ หน็อย ขอกูตบสั่งสอนทีเถิด”
พิมพ์ถลันตัวพุ่งเข้าไปจะตบงามตา แต่ดวงแขขวางไว้
“มาขวางข้าทำไมเล่า ข้าจะตบมัน”
“อย่าทำเช่นนี้เลยพิมพ์อย่าลืมสิว่าคนในตลาดรู้จักเรา หากใครเห็นเข้าเขาจะต่อว่าไต้ก๋งกับคุณรำเพยได้”
“แต่ว่า…”
ดวงแขขอร้องดีๆ “เชื่อข้าเถิด ถือว่าข้าขอสักครั้ง อย่ามีเรื่องเลย”
พิมพ์คุมแค้นมองงามตาอย่างเจ็บใจ คว้าตะกร้าใส่ขนมแล้วเดินหุนหันออกไปโดยมีดวงแขตามไปติดๆ
งามตาเท้าสะเอวยิ้มเยาะด้วยความสะใจ

ที่เรือนดอกเหมยเช้าวันนี้ แถนทำหน้าที่จุดประทัดหลังพิธีไหว้เจ้าตามธรรมเนียมจีน พอเสียงประทัดดังขึ้นแถนก็ดีดตัววิ่งหนีออกมาท่าทีน่าขัน เด็กๆ ที่มาร่วมงานพากันหัวเราขำแถนยกใหญ่ ไต้ก๋งชางยืนต้อนรับทักทายชาวลำพระพายที่มาร่วมยินดีอยู่หน้างาน สักครู่หนึ่งจึงเห็นรำเพยเดินยิ้มเข้ามาหา
“เหนื่อยไหมคะคุณพี่”
“ไม่เหนื่อยหรอกจ้ะ น้องล่ะ”
“เหมือนคุณพี่ค่ะ คุณพี่ก็ควรจะพักบ้างนะคะ ต้อนรับแขกตั้งแต่เช้าแล้ว”
“ไม่เป็นไรหรอก คนมายินดีตั้งมากมาย ถ้าไม่อยู่ต้อนรับเขาจะว่าเอาได้”
ผู้หลักผู้ใหญ่ และชาวบ้านเข้ามาแสดงความยินดีกับไต้ก๋งไม่ขาดสาย
“ยินดีกับเรือนใหม่ด้วยนะไต้ก๋ง เรือนช่างใหญ่โต สวยงามมากเลยทีเดียว”
“ขอให้อยู่กันร่มเย็นเป็นสุขนะจ๊ะ มีแต่สิริมงคลเกิดกับทุกคนจ้ะ”
“ชอบใจมากๆ”
“เชิญเข้าในงานก่อนนะจ๊ะ พิธีใกล้จะเริ่มแล้ว”
รำเพยกับไต้ก๋งชางพาแขกเข้าไปในงาน
เป็นพิธีไหว้เจ้าทางจีน แลเห็นข้าวของ อาหารไหว้วางเต็มไปหมด ชาวบ้านมามุงรอกันเต็ม
ส่วนพิธีทางไทย มีการทำบุญเจริญพระพุทธมนต์ขึ้นบ้านใหม่ทุกคนในเรือนมาร่วมพิธีด้วย
ไต้ก๋งชางนั่งอยู่ข้างรำเพยฟังสวดอย่างตั้งใจ
ไต้ก๋งกับรำเพยช่วยกันถวายสังฆทานพระด้วยสีหน้าชื่นมื่น

หลังเสร็จพิธี มีการตั้งโต๊ะแจกอาหารชาวบ้านที่มารอรับอยู่มากมาย ไต้ก๋งชางกับรำเพยช่วยกันแจกอาหารให้ชาวบ้านด้วยตัวเองอย่างมีความสุข นมขามยืนมองภาพนั้นอยู่กับแถนและกล่ำ ยิ้มปลื้มตื้นตันใจ แถนทักนมขาม
“คุณนมยิ้มอะไรรึ ข้าเห็นยืนยิ้มหน้าบานตั้งแต่เมื่อเช้า”
“ข้ายิ้มเพราะข้ามีความสุขน่ะสิวะไอ้แถน”
กล่ำมองตามนมขาม
“แหม ดูมีความสุขจริงด้วย เพราะยิ้มกว้างไปจนจะถึงหูแล้ว”
“ใช่ ข้าดีใจที่เห็นบ้านเราอยู่กันอย่างมีความสุข เช่นนี้ท่านขุนจะได้ตายตาหลับ”
นมขามเป็นปลื้มอยู่อย่างนั้น ชวนแถนกับกล่ำเข้าไปช่วยไต้ก๋ง
ขณะเดียวกันจำเรียง อบเชย ดวงแข และพิมพ์ ยืนมองเรือนดอกเหมยท่าทางตื่นเต้น อยู่อีกมุมหนึ่ง
“เรือนดอกเหมย...ข้าไม่คิดเลยว่าวันหนึ่งจะได้อยู่เรือนใหญ่โตโอ่อ่าเช่นนี้” จำเรียงตื่นเต้นมาก
อบเชยก็ด้วย “เป็นบุญของพวกเราแล้วที่ไต้ก๋งให้ความช่วยเหลือ”
“ท่านให้ทั้งที่กินที่นอนสุขสบาย บุญคุณนี้ข้าจะไม่มีวันลืมเลย” ดวงแขเต็มตื้น
“ข้าก็เช่นกัน” พิมพ์บอก
ระหว่างนี้ งามตาเดินมาหยุดซุ่มดูอยู่ไกลออกไป มองเรือนดอกเหมยบ่นบ้าออกมาด้วยแววตาริษยา
“มีความสุขกันเข้าไปเถอะพวกมึง”

คณะงิ้วถูกว่าจ้างให้มาร่วมเฉลิมฉลอง ตั้งเวทีอยู่ข้างๆ เรือนดอกเหมย เวลานี้เล่นเรื่อง “ลิขิตเลือดมังกร” อยู่บนเวที ไต้ก๋งชาง รำเพย นมขาม บ่าวในเรือนทุกคน สี่สาว และชาวบ้านต่างนั่งดูงิ้วอย่างสนุกสนาน
ไต้ก๋งชางสีหน้าอิ่มเอิบ ท่องกลอนเพลงงิ้วอย่างมีความสุข
“อนิจจังนั้นสถาพรดุจพิภพจบสวรรค์
มิมีรักใดนิรันดร์แม้นานนับดับสูญ
ไม่อาจเทียบแสงและเงาที่เพิ่มพูน
สายลมอาดูรแสงจันทร์ฝันคืน...”
ชางจับมือรำเพยไว้ รำเพยหันมามองไต้ก๋งชางยิ้มๆ แล้วท่องเพลงงิ้วไปพร้อมๆ กัน
“ลิขิตแห่งมังกรหาญกล้า อดทนฝ่าชะตาหวังสุขสม
ผ่านวสันต์เศร้าเหมันต์ระทม จากอารมณ์ล้วนก่อเกิดมา
เพียงพบว่าอำนาจฤาวาสนา ล้วนไร้ค่าในกาลอวสาน”
ชางยิ้มทึ่ง “คุณรำเพยจำได้แล้วรึ”
“จำได้ขึ้นใจค่ะ เพราะคุณพี่พาฉันไปดูตั้งกี่รอบแล้วก็จำไม่ได้”
ชางหัวเราะขันตัวเอง
“เหตุใดคุณพี่จึงชอบงิ้วเรื่องนี้นัก”
“เพราะพระเอกของเรื่องยึดถือความภักดีเป็นที่ตั้ง และเนื้อเรื่องนั้นคอยเตือนใจพี่ให้นึกถึงสัจธรรมของชีวิตว่าในโลกนี้ล้วนไม่มีสิ่งใดแน่นอน มีเพียงความดีเท่านั้นที่จะทำให้ผู้คนนึกถึงเราตลอดไป”
รำเพยพยักหน้ารับเอาคำ เข้าใจและชื่นชมในความคิดของไต้ก๋งชาง
งามตามองจ้องทั้งสองผัวเมีย คิดจะทำอะไรบางอย่าง

หลังงานฉลองจบลง บ่าวช่วยกันเก็บข้าวของไปเช็ดล้าง ไต้ก๋งชางออกไปส่งแขก ส่วนรำเพยนั่งพักอยู่ที่ชานเรือน สักครู่กล่ำก็รีบร้อนเข้ามาหา
“คุณรำเพยเจ้าขา มีคนมาขอพบเจ้าค่ะ”
รำเพยแปลกใจ “ผู้ใดหรือกล่ำ”
ยังไม่ทันที่กล่ำจะตอบ เสียงใครคนหนึ่งก็ดังขึ้นมาเจ้าตัวจะมาถึง
“ข้าเอง”
งามตาเดินเข้ามาหยุดยืนตรงหน้างามตา รำเพยขมวดคิ้วมองฉงน
“ที่แท้ก็เอ็งนี่เอง”
งามตายืนค้ำหัว ท่าทางยโสโอหัง ไม่แสดงความเคารพรำเพยสักน้อย นมขามที่นั่งอยู่ด้วยมองตำหนิดูแคลน
“มาเรือนนาย เหตุใดยืนค้ำหัวไม่รู้จักสัมมาคาราวะ”
งามตายืนอยู่อย่างนั้นไม่แยแส นมขามจำได้
“ถ้าจำไม่ผิด เอ็งคือลูกสาวหมอผีอินใช่หรือไม่”
“ถูก...ข้าชื่องามตา ลูกสาวหมอผีอิน แล้วข้าก็ไม่ใช่บ่าวเรือนนี้ เหตุใดต้องก้มหัว”
นมขามโมโหจะดุด่า รำเพยมองปราม
“เอาเถิดนมขาม มีเรื่องใดก็พูดมา”
“ข้าอยากพบไต้ก๋งชาง”
รำเพยแปลกใจ “เอ็งอยากพบคุณพี่...ด้วยเรื่องอันใด”
“เรื่องสำคัญและข้าก็จะพูดกับไต้ก๋งชางเท่านั้น” งามตาบอก
“ข้ากับคุณพี่เป็นผัวเมียกัน ก็หมายรวมถึงคนๆ เดียวกัน อย่าเล่นลิ้นเรื่องมาก ไม่อย่างนั้นข้าจะไล่เอ็งกลับไปเสีย”

งามตาตกใจเมื่อถูกรำเพยไล่ส่ง จำต้องลดท่าทีแข็งกร้าวลง
“ข้ามาพบไต้ก๋ง ก็เพราะว่า...ข้าอยากเข้ามาขอทำงานที่นี่”
รำเพยและนมขามพากันตกตะลึง นมขามบอกปิดทางเหมือนรู้เท่าทัน
“เอ็งทำงานที่นี่ไม่ได้ เรือนนี้ไม่รับบ่าวเพิ่มอีกแล้ว”
งามตายิ้มเยาะ “ข้าคิดแล้วว่าต้องพูดเช่นนี้ แต่...ถ้าข้ามาขอสมัครใจเป็นอย่างอื่นเล่า”
“เอ็งจะสมัครทำสิ่งใด”
“ข้าก็จะ...สมัครเป็นเมียบ่าวอย่างไรเล่า”
รำเพยอึ้ง คาดไม่ถึงว่างามตาจะกล้าพูดจาออกมาโต้งๆ แบบนั้น คุณนมก็เช่นกัน
“ข้าเห็นที่เรือนนี้รับเมียบ่าวเอาไว้ก็มาก รับข้าอีกคนจะเป็นไรไป ได้ยินกว่าคุณรำเพยใจกว้างเป็นแม่น้ำไม่ใช่รึ”
นมขามสุดทนโกรธแค้นแทนนาย ชี้หน้าด่ากราด
“หน็อย..อีลูกหมอผี พูดได้ไม่อายปาก”
“ข้าพูดเรื่องจริง เหตุใดต้องอาย”
นมขามหันไปทางพวกบ่าว “ไอ้อีผู้ใดอยู่แถวนี้ ช่วยมาลากอีตัวกาลีออกไปจากเรือนที”
บ่าวที่ทำงานกันอยู่แถวนั้นพากันวิ่งเข้ามา งามตาตกใจลนลานถามเสียงสั่น
“นี่พวกเอ็งจะทำอะไรข้า”
“ลากมันออกไปจากเรือน เดี๋ยวนี้” นมขามประกาศก้อง
บ่าวสองสามคนกรูกันเข้ามาที่งามตา งามตาตกใจร้องลั่น

งามตาด่าทอไม่ยินยอมให้จับ จนเกิดความชุลมุนวุ่นวาย
“ปล่อยสิวะ อย่าเอามือสกปรกมาโดนตัวกู”
ระหว่างกำลังยื้อยุดกันอยู่นั้น เสียงทรงอำนาจของไต้ก๋งก็ดังเข้ามา
“หยุดเดี๋ยวนี้”
ทุกคนหันไปมอง เห็นไต้ก๋งชางเดินเข้ามาถามเสียงเข้ม
“นี่มันเรื่องใดกัน”
“ลูกหมอผีอินผู้นี้ มันบังอาจเข้ามาสมัครเป็นเมียบ่าวของไต้ก๋งเจ้าค่ะ” คุณนมบอก
ไต้ก๋งชางชะงักไป มองมาทางงามตาท่าทางไม่พอใจ
“คิดพิเรนทร์เช่นไร จะเข้ามาสมัครเป็นเมียข้า”
“ข้าแค่จะมาของานทำที่เรือนนี้ เพราะเห็นว่าไต้ก๋งและคุณรำเพยมีเมตตากับคนตกทุกข์ได้ยาก ข้าก็กำลังเดือดร้อน เหตุใดจะรับข้าไว้ไม่ได้”
“ดูพูดเข้า เอ็งน่ะหรือตกทุกข์ได้ยาก อย่ามาโกหกหน่อยเลย” นมขามขัดตาไม่พอใจ
“ข้าไม่ได้โกหกข้าทำงานหาเช้ากินค่ำ เงินทองกว่าจะได้มาสักเฟื้องก็แสนลำบาก ที่ข้ากล้ามาของานทำ เพราะเห็นว่าคราวหนึ่งเคยทำประโยชน์ให้ไต้ก๋งหรอก”
รำเพยแปลกใจ “เอ็งทำประโยชน์อะไรให้คุณพี่”
งามตามองหน้าไต้ก๋งชาง
“ไม่เชื่อก็ถามไต้ก๋งสิ ว่าถ้าไม่ได้ข้า ป่านนี้จะรู้หรือไม่ว่าใครเผาตลาด”
รำเพยอึ้งไป มองไต้ก๋งเชิงถามเอาคำตอบ
“จริงหรือคะคุณพี่”
“ใช่ ไต้ก๋งยังมอบเงินนี้เป็นของรางวัลแก่ข้าด้วย”
งามตาชูถุงเงินให้ดูเชิงโอ้อวด รำเพยมองมาทางไต้ก๋งรอคำตอบ
“ข้าให้เป็นสินน้ำใจ หากคิดว่าสิ่งนั้นให้ไว้เพื่อพิศวาสล่ะก็ เอ็งคิดผิดถนัด”
งามตาอวดเก่งต่อ “ข้าไม่ได้คิดว่าเป็นเรื่องพิศวาส เพียงแต่ข้าอยากให้ไต้ก๋งช่วยเหลือข้าเป็นการตอบแทนบ้าง ไหนว่ามีเมตตานักไม่ใช่หรือ”
ไต้ก๋งชางลำบากใจ งามตามองท้าทาย
“แล้วถ้าเอ็งมาอยู่ที่นี่ เอ็งจะทำประโยชน์ใดได้บ้าง”
“ข้าทำได้ทุกอย่าง ขอแค่ไต้ก๋งตอบตกลงเท่านั้น”
“ได้ ข้าจะให้งานเอ็งทำ แต่ต้องแลกกับสิ่งหนึ่ง”
“อะไรหรือ” งามตามองฉงน
“จะอยู่เรือนนี้ เอ็งต้องเคารพนพนอบต่อเมียข้า ต่อทุกคนที่อยู่มาก่อน...หากอยากให้ข้าให้งานเอ็ง เอ็งต้องกราบขอโทษคุณรำเพยกับนมขามเดี๋ยวนี้” ไต้ก๋งบอกเสียงแข็ง
“ว่าอย่างไรนะ”
งามตาอึ้งนิ่งงันไป ไม่คิดว่าไต้ก๋งจะทำอย่างนี้
“จะทำหรือไม่ทำ ถ้าไม่ทำก็กลับเรือนเอ็งไปเสีย”
รำเพยตกใจที่เห็นสามีเอาจริง ทักท้วงขึ้นว่า
“คุณพี่ อย่าถึงขนาดต้องกราบเลย”
“เจ้าของเรือนที่เอ็งจะมาอยู่ ถือว่ามีบุญคุณล้นหัว หากแค่นี้ยังทำไม่ได้ จะไปตายที่ไหนก็ไป”
งามตาขบกรามแน่นจนเป็นสันนูน นึกแค้นเคืองที่ไต้ก๋งชางไม่สนใจไยดีตน แต่ก็ไม่มีทางเลือก จำต้องก้มลงกราบรำเพยกับนมขาม
นมขามยิ้มเยาะสมเพช งามตาได้แต่เก็บความแค้นไว้ในใจ

ออกมาพ้นเรือน งามตาเดินฮึดฮัดบ่นบ้ามาตามทาง โมโหเอามากๆ
“อีพวกผู้ดีจอมปลอม พอร่ำรวยเข้าหน่อยทำเป็นวางอำนาจถ้าไม่กินสมบัติเก่ามึงก็มีแต่ตัวเหมือนกูล่ะวะ”
งามตากระฟัดกระเฟียดไม่พอใจใหญ่จะกลับเรือนตัวเอง
แต่จู่ๆ ก็มีใครบางคนมารวบกอดร่างจากด้านหลัง งามตาตกใจผลักออกทันทีพอเห็นว่าเป็นก้อนก็ตกใจ
“เดี๋ยวนี้แรงเยอะจริงนะ ผลักข้าเสียแรงเชียว...อีงามตา”
งามตาโมโหเมื่อเห็นเป็นใคร “ไอ้ก้อน”
“ใช่ พี่เองไงเล่าจ๊ะน้องงามตา”
“เอ็งมาได้อย่างไร แอบตามข้ามารึ”
“แค่เอ็งมาที่ครู่เดียวเขาก็พูดกันให้ลั่นเรือนแล้ว เหตุใดข้าจะตามเอ็งมาไม่ได้”
“อย่าบอกนะว่าเอ็ง...”
ก้อนทำหน้าล้องามตา
“ได้กราบเจ้านายข้า เอ็งพอใจไหมเล่า อยากมาอยู่เรือนนี้ไม่ใช่รึ”
งามตาโกรธจะเข้ามาทุบตี ก้อนจับรวบมือไว้
“นี่เอ็ง...ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้”
“ไม่ปล่อย ข้าอยากจะเชยชมเนื้อนวลอีกสักครู่ไม่ได้หรือ...ข้ากับเอ็งมันก็คนคุ้นเคยกันอยู่”
งามตาผลักก้อนออก มองอย่างรังเกียจ
“อย่ามาทำรุ่มร่ามใส่ข้า เพราะต่อไปนี้ข้าจะอยู่ในฐานะเมียบ่าวของไต้ก๋ง”
ก้อนหัวเราะเยาะ “เอ็งน่ะหรือเมียบ่าว ฝันอยู่หรืออีงามตา”
“ข้าไม่ได้ฝัน แล้วข้าก็จะไม่หยุดแค่นี้ด้วย”
“หวังไว้สูงระวังตกมาจะเจ็บตัวเล่า อย่าคิดจะเป็นเมียบ่าวเลย ยอมเป็นเมียไอ้ก้อนยังดีเสียกว่า”
งามตาผลักก้อนแล้วถอยหนี พร้อมพูดขู่
“อย่าเข้ามาใกล้ข้าแล้วก็อย่าลืมด้วย ว่าข้าเก็บความลับอะไรของเอ็งไว้อยู่ในที่ของเอ็งเฉยๆเถอะถ้าเอ็งไม่อยากเดือดร้อน”
งามตารีบเดินหนีไป ก้อนมองตามด้วยความเจ็บใจ

หมอผีอินดีใจจนเนื้อเต้น ที่ลูกสาวจะได้เข้าไปอยู่ในเรือนไต้ก๋งชาง
“นี่เขาให้เอ็งอยู่เรือนใหญ่นั่นเลยรึ”
“ใช่พ่อ”
“นับว่าเป็นวาสนาของเอ็งแน่แท้ เอาไว้ว่างๆ จะเข้าไปเยี่ยม”
“อุ๊ย..อย่าเพิ่งไปหาข้าตอนนี้นะพ่อ ขืนพ่อเข้าไปจุ้นจ้าน ข้าอาจจะถูกต่อว่าเอาได้ เอาไว้ให้ข้าเป็นคนสำคัญของที่นั่นก่อน ข้าจะมารับพ่อไปอยู่ด้วย”
“คนสำคัญ?..อย่างไรวะ”
“ความจริงที่ข้าเข้าไปอยู่เรือนนั่น เพราะข้าตั้งใจว่าจะทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้เป็นเมียไต้ก๋ง”
อินฟังแล้วตกใจ “เฮ้ย...เขาว่าไต้ก๋งมีเมียอยู่แล้วหลายคนไม่ใช่รึ”
“นังพวกนั้นไต้ก๋งรับเอาไว้เพราะสงสาร แต่ไม่ได้เอามาเป็นเมีย เพราะเกรงใจอีนังคุณรำเพย แต่ข้านี่แหละจะทำให้ไต้ก๋งใจแตกซ่านจนกู่ไม่กลับ” งามตาบอกอย่างอวดเก่งถือดี
“เอ็งพูดเหมือนมั่นใจว่าไต้ก๋งเขาจะหลงเสน่ห์เอ็ง”
“คนอย่างอีงามตา อยากได้อะไรต้องได้ พ่อคอยดู”
“อยากทำอะไรก็ทำ ได้ดิบได้ดีแล้วก็อย่าลืมพ่อเอ็งล่ะ”
“ไม่ต้องห่วง ฉันต้องอยู่เหนือพวกมันได้แน่ หากได้ขึ้นเป็นนายเมื่อใด จะให้พวกมันมากราบตีนฉันบ้าง คอยดู”
งามตาเดินฉับๆ เข้าห้องไปอย่างมาดหมาย หมอผีอินถอนหายใจมองตามลูกอย่างนึกปลง

วันต่อมา งามตาเดินทางมาถึงเรือนใหญ่แต่เช้าตรู่ รออยู่หน้าเรือนนานสองนาน แต่กลับไม่มีใครมารับสักคน ได้แต่ชะเง้อชะแง้สำรวจตรวจตราไปรอบๆ ค่อยก้าวเท้าเดินเรื่อยเข้าไป มองเรือนใหญ่อย่างชื่นชม
ลูกสาวหมอผีฝันหวาน ว่าตัวเองแต่งตัวดูดีเป็นนายของที่นี่ มีบ่าวคอยถือของและเชี่ยนหมากติดตามรับใช้ งามตายิ้มด้วยสีหน้าภูมิใจเต็มที่ จนมีเสียงหนึ่งทักขึ้นดับฝันเสียก่อน
“เอ็งมาทำอะไรที่เรือนนี้”
งามตาตื่นจากภวังค์หันไปเจอนมขามยืนจ้องอยู่อย่างไม่พอใจ
“นึกว่าใคร คุณนมนี่เอง”
“ใช่ข้าเอง ทำเป็นหูทวนลม ไม่ได้ยินที่ข้าบอกเอ็งหรือ”
“ข้าไม่ได้หูหนวก แต่ข้าแค่ไม่เข้าใจ ไต้ก๋งให้ข้ามาอยู่เรือนนี้ไม่ใช่รึ”
นมขามหัวเราะเยาะ “ท่าทางเอ็งจะเข้าใจผิดไปโข”
“ข้าเข้าใจอะไรผิด”
“ที่พักเอ็งไม่ได้อยู่ที่นี่”
“แล้วถ้าไม่ให้ข้าอยู่เรือนใหญ่ จะให้ข้าไปอยู่ที่ไหนเล่า”
นมขามชี้ไปทางเรือนบ่าว
“โน่น ที่ของเอ็งคือเรือนบ่าวอยู่ทางท้ายครัวโน่น ที่นี่เรือน...นาย”
นมขามเน้นตรงคำสุดท้ายให้ได้ยินชัดๆ
“เหตุใดให้ข้าไปอยู่เรือนบ่าว”
“ไต้ก๋งรับเอ็งมาเป็นบ่าว ไม่ให้อยู่เรือนบ่าวแล้วจะอยู่ที่ใด”
“ตอนรับข้า ไม่เห็นมีใครบอกว่าจะให้ข้าไปอยู่ที่นั่น”
“เอ็งมาของานบ่าว ย่อมต้องรู้ตัวสิว่าควรอยู่ที่ใดถ้าเอ็งไม่ชอบใจ จะกลับไปอยู่เรือนตน ก็คงไม่มีผู้ใดทักท้วงกระมัง”
งามตาขัดใจ นมขามมองเหยียดๆ งามตาไม่อยากถูกไล่อีกเลยรีบตัดบท
“เรือนบ่าวไปทางใดก็รีบนำเถิด มัวพูดพิรี้พิไร ข้าไม่ชอบฟัง”
งามตาทำเชิดใส่ นมขามรีบเดินนำออกไปทันที

หลังจากนมขามกับงามตาออกไปแล้ว รำเพยและไต้ก๋งชางเดินออกมายืนตรงระเบียงด้วยกันด้วยสีหน้ากลุ้มใจ ได้ยินที่งามตาเถียงกับนมขามทุกคำ
“ยังไม่ทันข้ามวันก็มีปัญหาเสียแล้ว อย่างนี้จะอยู่ที่นี่ได้ตลอดรอดฝั่งหรือไม่นะ”
“พี่ขอโทษที่จำต้องรับมันไว้ น้องคิดเสียว่าคราวหนึ่งมันเคยช่วยเหลือพี่ ต่อไปพี่จะไม่รับผู้ใดมาเพิ่มให้น้องเหนื่อยใจอีก
“เรื่องนั้นไม่เท่าไหร่ น้องหวั่นแต่ว่า งามตาเป็นคนไม่ยอมใคร จะเข้ากับพวกบ่าวได้หรือไม่มากกว่า”
“ผิดก็ว่ากันไปตามผิด หากมากเรื่องเกินกว่าควบคุมก็ไล่กลับเรือนเสียเท่านั้น”
“ถ้าคนพูดง่ายว่าง่ายเหมือนกันหมด มันก็ดีอยู่หรอกคุณพี่ น้องกลัวไม่ง่ายอย่างที่คิดน่ะสิคะ”
รำเพยพูดพลางถอนหายใจ เหมือนรู้ว่าปัญหาจะตามมาในไม่ช้านี้

อีกวันหนึ่ง ไต้ก๋งพารำเพยและสี่สาวมาทำบุญไหว้พระที่วัดลำพระพาย ไต้ก๋งชางหลับตาอธิษฐานอย่างตั้งใจอยู่ต่อหน้าองค์พระในโบสถ์เป็นนานสองนาน รำเพยมองอยู่ รอเขาอธิษฐานเสร็จจึงถามขึ้น
“คุณพี่ น้องเห็นคุณพี่อธิษฐานอย่างตั้งใจ บอกได้ไหมคะว่าคุณพี่ขออะไร”
“หากน้องอยากรู้พี่จะบอกให้ แต่เมื่อบอกไปไม่รู้ว่าจะสมหวังหรือไม่”
“ถ้าอย่างนั้นคุณพี่ไม่ต้องบอกก็ได้ค่ะ”
“ไม่เป็นไรดอก เพราะสิ่งนี้เกี่ยวข้องกับน้องรำเพยเช่นกัน”
“อย่างไรคะคุณพี่”
ไต้ก๋งชางมองที่องค์พระพุทธรูป แววตาเต็มไปด้วยความหวัง
“ไม่รู้ว่ามันจะมากเกินไปหรือไม่ แต่หากพี่ขอได้ พี่อยากให้เรามีเด็กๆ ไว้เป็นโซ่ทองคล้องใจ”
รำเพยเขินอาย “คุณพี่”
“ชีวิตนี้พี่มีทุกอย่างครบถ้วนแล้ว ขาดก็แต่พยานรักของเราเท่านั้น ไม่รู้ว่าน้องรำเพยจะเต็มใจทำให้อธิษฐานของพี่เป็นจริงหรือไม่”
รำเพยเขินอายหลบตาสามี อบเชยกับดวงแขแอบยิ้มเขินไปด้วย จำเรียงทำเชิดมองไปทางอื่นเหมือนไม่อยากฟัง ส่วนพิมพ์ยิ้มน้อยๆ เหมือนคิดอะไรบางอย่างอยู่

นมขามเดินนำงามตาไปยังเรือนครัว นมขามบรรยายหน้าที่ให้ฟัง
“ข้าจะให้เอ็งทำงานที่เรือนครัวนี่ เอ็งต้องตื่นแต่รุ่งสางมาช่วยดูแลหุงหาอาหารแล้วทำทุกอย่างแล้วแต่ข้าจะสั่ง”
งามตาชะงัก “เรือนครัว ที่ว่าให้งานข้าทำนี่คือเรือนครัวหรอกรึ”
“ใช่นี่แหละที่ของเอ็ง ทำไม เอ็งทำไม่ได้งั้นหรือ”
“ไม่ใช่ข้าทำไม่ได้ แต่…จะให้ตื่นแต่รุ่งมาทำงานได้อย่างไร”
“เอ็งมีปัญหาอันใด บ่าวคนอื่นข้าก็เห็นทำได้”
นมขามรำคาญ ย้ำบอกอีกครั้ง ทำท่าจะเดินออกไป งามตานึกอะไรขึ้นมาได้
“เดี๋ยว..แล้วแม่หญิงพวกเรือนดอกเหมยนั่น มีหน้าที่ใด”
“หน้าที่ของแม่หญิงเรือนนั้น คือช่วยคุณรำเพยทำขนมเพื่อเอาไปขายที่ตลาด”
งามตาเริ่มเห็นทางออก
“งั้นข้าขอไปช่วยงานที่เรือนนั่นได้ไหม”
“เอ็งจะไปทำงานที่เรือนดอกเหมยทำไม”
“ก็ข้าทำขนมได้ รับข้าไปทำงานที่เรือนนั่นอีกคนจะเป็นไรไป”
“ไม่ได้ ที่เรือนนั่นไม่รับคนเพิ่ม แล้วก็ไม่ใช่ว่าใครจะอยู่ก็ได้ ต้องได้รับการคัดเลือกจากคุณรำเพยกับไต้ก๋งแล้วเท่านั้น”
“เหตุใดต้องคัดเลือกด้วย”
“ก็เพราะต้องเป็นคนที่เหมาะสมเท่านั้นน่ะสิวะ อย่างเอ็งน่ะไม่มีหวัง”
งามตาโดนพูดจาดูถูก มีหรือจะยอม
“คุณนมรู้ได้อย่างไรว่าข้าไม่มีหวัง ให้ข้าไปขอคุณรำเพยเองดีไหม”
“ไม่ดี เอ็งเพิ่งเข้ามาวันแรกอย่าเพิ่งกวนใจเธอเลยดีกว่า”
“โอ๊ย...ไอ้นั่นก็ไม่ได้ ไอ้นี่ก็ไม่ได้ ทำไมมากเรื่องเสียจริง”
“เอ็งเข้าใจอะไรผิดไปกระมัง ผู้ใดกันแน่ที่เรื่องมาก ตั้งแต่มานี่เอ็งต่อรองข้าไม่ได้หยุดหย่อน”
“ก็ข้าไม่ได้คิดจะอยู่ที่นี่ในฐานะบ่าว”
“ผิดแล้วนังงามตา เอ็งนี่มันหวังสูงเพ้อเจ้อ ถ้าเอ็งไม่พอใจงานในครัว เอ็งจะทำงานอื่นก็ย่อมได้”
“งานอะไร”
“ขนขี้ควาย หรือไม่ก็พาควายออกไปเลี้ยง”
งามตาเบิกตาโต แสดงท่าทีรังเกียจ
“อี๊...เรื่องอันใดมาให้ข้าไปขนขี้ควาย คนเยี่ยงข้าต้องอยู่กับของสวย มิใช่ของเหม็น”
“ถ้าเอ็งไม่อยากขนขี้ควาย มีงานใดก็ทำเสีย ขืนมากเรื่องไม่หยุดหย่อน เอ็งได้กระเด็นกลับเรือนพ่อเอ็งเป็นแน่”
นมขามเดินออกไปเลย งามตาได้แต่ยืนคุมแค้นไม่พอใจ แต่ทำอะไรไม่ได้

หลังไหว้พระเสร็จ ไต้ก๋งชางก็เดินออกมายังหลังวัดเพื่อไหว้สุสานเพื่อนที่เรือแตก ไต้ก๋งนั่งสงบนิ่งรำลึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่ครู่ใหญ่ จึงลุกเดินมาหารำเพยที่ยืนรออยู่ไม่ห่าง
“เราไม่ได้มาที่นี่นานเหลือเกินนะคะ”
“พอได้กลับมาก็ทำให้หวนระลึกถึงหลายสิ่ง”
“คุณพี่นึกถึงเมื่อครั้งยังเดินเรือสำเภาอยู่หรือคะ”
“ครั้งยังเดินเรือด้วยกันกับสหายเหล่านี้ เราต่างมีความฝันว่าวันหนึ่งเราจะร่ำรวย มีที่ดิน และมีชีวิตที่มั่งคั่งกันทั้งนั้น”
“วันนี้คุณพี่ก็มีทุกสิ่งที่กล่าวมาแล้วนี่คะ”
“จริงอย่างน้องว่า แต่มันยังไม่ใช่ความฝันของพี่ทั้งหมด”
“คุณพี่ฝันถึงสิ่งใดอีกคะ”
“พี่เคยคิดว่าอยากเป็นเจ้าของเรือสำเภาสักลำ ไว้ออกเดินทางค้าขายด้วยตนเอง แต่เมื่อเรือแตกก็คิดว่าคงไม่มีโอกาสนั้นอีกแล้ว”
“ทำไมจะไม่มีละคะ ตอนนี้คุณพี่มีทุกอย่างพร้อมที่จะสร้างให้ความฝันนั้นให้เป็นจริงขึ้นมาได้”
ชางหันมามองหน้ารำเพยอย่างปลาบปลื้มใจที่เธอคอยสนับสนุนเขาเต็มเปี่ยม
“ขอบใจน้องรำเพยที่เกื้อหนุนพี่มาเสมอ พี่จะสร้างเรือสำเภาลำนั้นขึ้นมาด้วยมือของพี่เอง มิใช่เพื่อเดินทางค้าขาย แต่เพื่อไม่ให้พี่ลืมว่าตัวเองเป็นใครมาจากไหน และมาถึงวันนี้ได้อย่างไร”
ไต้ก๋งชางมองรำเพยอย่างมีความหวัง รำเพยยิ้มตอบเชิงให้กำลังใจสามี

นมขามสั่งงานงามตา
“เอ็งเก็บพริกพวกนี้แล้วเอาไปตำป่นให้ละเอียด เวลาทำพริกแกงจะได้ง่ายไม่ยุ่งยาก เข้าใจข้าไหม”
“เข้าใจเจ้าค่ะ”
“เข้าใจก็ไปทำงานของเอ็งได้แล้ว” นมขามสั่งกล่ำว่า “กล่ำ ข้าฝากดูนังนี่มันด้วย”
“เจ้าค่ะคุณนม”
นมขามเดินออกจากครัวไป งามตานั่งลงมองคนอื่นทำงานแล้วเบ้หน้า เลยโดนกล่ำดุ
“มองอะไรเล่า ทำงานของเอ็งไปสิวะ”
งามตาหันไปตำพริก คนอื่นก็ทำงานตัวเองไป งามตาตำพริกไปแกนตามสันดานขี้เกียจ

เวลาผ่านไปสักพัก งามตาชักเริ่มเมื่อย เห็นคนอื่นไม่ได้สนใจนัก เลยคิดแผนอะไรได้ จู่ๆ งามตาก็เอามือกุมท้องแล้วร้องโอดโอยลั่นครัว
“โอย...ปวดท้อง...ปวดเหลือเกิน”
ไม่เท่านั้นงามตายังทำเป็นหมดแรงทรุดลงไปกองคาพื้น ท่าทีเหมือนทรมานมากๆ กล่ำเข้ามาดู
“นังลูกหมอผี เป็นอะไรของเอ็ง”
“ข้าปวดท้องปวดมาก ข้าทนไม่ไหวแล้ว”
“ปวดตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมเอ็งไม่บอกข้าเล่า”
“ข้ามาทำงาน ไม่อยากเป็นภาระคนอื่น ข้าพยายามทนแล้ว แต่ข้า...”
งามตาทำเป็นกุมท้องเริ่มพูดไม่ออก กล่ำถอนหายใจ
“เช่นนี้แล้วจะทำงานได้อย่างไร เอ็งไปพักเสียไป”
“แต่ว่า ข้า...”
“ข้าบอกว่าไปก็ไปไงเล่า ข้าไม่อยากให้เอ็งมาตายคาเรือนต่อหน้าข้า ไป”
กล่ำเมินมองไม่สนใจ เดินไปทำงานต่อ งามตายิ้มเจ้าเล่ห์สมใจ

รำเพยกลับถึงเรือนพร้อมสี่สาว นมขามกับกล่ำเห็นรีบช่วยกันยกขันน้ำกับเชี่ยนหมากมาให้ตรงชานพักผ่อนบนเรือน
“ขอบใจมากจ้ะนม ฉันไม่อยู่ตั้งแต่เช้า ทุกอย่างในเรือนเรียบร้อยดีไหม”
นมขามกับกล่ำมองหน้ากันอึกอัก
“วันนี้ทุกอย่างยังเรียบร้อยดีเจ้าค่ะ แต่ไม่รู้จะเกิดอะไรขึ้นอีกหรือเปล่า” กล่ำบอก
“เหตุใดพูดอย่างนั้นเล่า”
“ก็เรื่องแม่งามตาที่เข้ามาอยู่ใหม่ตั้งแต่เมื่อวานน่ะสิเจ้าคะ” คุณนมบ่น
รำเพยนึกได้ “จริงสิ งามตาเป็นอย่างไรบ้าง”
นมขามทำสีหน้าลำบากใจ แล้วก็ถอนหายใจยาว
“นมให้มันไปช่วยงานที่เรือนครัวเจ้าค่ะ แต่ทำงานไม่ทันไรก็ลายออกเสียแล้วสั่งให้ทำอะไรก็ไม่ทำ บอกว่าเหนื่อยบ้าง ทำไม่ได้บ้าง ข้ออ้างมีสารพัด นมล่ะแสนจะเหนื่อยใจ”
รำเพยฟังแล้วกลุ้มใจ
“ฉันคิดไว้แล้วเชียว...เพราะฉันเจอแม่งามตาหลายครั้งก็มักนำแต่ปัญหามาให้ รู้สึกไม่ถูกชะตาด้วยเลย”
“นมก็คิดอย่างคุณรำเพยเจ้าค่ะ กลัวเหลือเกิน ว่าจะสร้างความวุ่นวายที่นี่”
“ฉันก็อยากทำอะไรสักอย่าง แต่เกรงใจคุณพี่จึงได้อยู่เฉยเช่นนี้ไงล่ะจ๊ะนม”
“ขอให้แม่นั่นอยู่แต่ในที่ของตนเถอะเจ้าค่ะ กลัวแต่จะเอาบุญคุณมาอ้างให้ได้อยู่สุขสบายในเรือนอีก”
รำเพยได้แต่ยิ้มฝืนๆ ทนรับฟังเรื่องงามตา
สี่สาวที่ยืนฟังอยู่ ได้แต่สงสัยว่างามตาเป็นใคร จำเรียงนิ่วหน้าเหมือนรู้สึกคุ้นชื่อชอบกล

พอออกจากครัวมาได้ งามตาก็ปัดเนื้อปัดตัวบ่นบ้าทันที
“ให้ตายข้าก็ไม่กลับไปตำพริกพวกนั้นหรอก เชิญอีพวกบ่าวมันทำกันไปเถอะ”
งามตามองไปที่เรือนครัวด้วยสายตาเหยียดหยัน พอมองเลยไปเห็นเรือนดอกเหมย ก็ยิ่งเจ็บใจ
“ไต้ก๋งนะไต้ก๋ง นึกว่าจะให้อยู่ที่สุขสบาย ดันให้มาจมปลักอยู่กับพวกชั้นต่ำเสียได้ทีอีนังสี่คนนั่นกลับให้อยู่เรือนใหญ่สุขสบายไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย”
งามตามองไปที่เรือนดอกเหมยด้วยความอิจฉาริษยา พอสะบัดตัวจะเดินกลับเรือนบ่าว แต่ได้ยินเสียงคนเดินมาเสียก่อนจึงหลบมุมดู เมื่อมองไปก็เห็นไต้ก๋งชางกลับมาจากวัดพร้อมแถน
“แถนเอ็งไปพักก่อนเถิด ไว้มีอะไรข้าจะเรียกใหม่”
“ขอรับไต้ก๋ง”
งามตาตาวาว คิดแผนขึ้นมาอีก พอแถนแยกตัวพ้นไป งามตาก็ทำเป็นสะดุดล้มร้องโอดโอย
“โอย...เจ็บเหลือเกิน ใครก็ได้ช่วยข้าที”
ไต้ก๋งได้ยินเสียงเดินมาดู พอเห็นเป็นงามตาก็ชะงักไป ร้องถามว่า
“งามตารึ นั่นเอ็งเป็นอะไรเล่า”
“ข้าสะดุดล้มเมื่อครู่...ข้าเจ็บมาก ลุกไม่ขึ้น ไม่รู้ว่าบาดเจ็บที่ใดหรือไม่”
ไต้ก๋งชางเดินเข้ามาช่วยดู งามตาลอบยิ้มสมใจ เข้าแผน
“ข้าไม่เห็นมีรอยฟกช้ำ เอ็งบาดเจ็บแน่รึ”
“แน่สิไต้ก๋ง ข้าเจ็บเหมือนกระดูกจะแตกเป็นเสี่ยงๆ ทรมานเหลือเกิน ข้าคงเดินกลับเรือนไม่ไหวแล้ว ไต้ก๋งช่วยพาข้ากลับเรือนได้รึไม่”
ชางอึ้งไป “ข้าจะไปตามบ่าวมาช่วยเอ็งก็แล้วกัน”
ไต้ก๋งชางจะเดินออกไป งามตาตกใจจับมือรั้งไว้
“เดี๋ยวก่อนสิเจ้าคะ”
ไต้ก๋งชางไม่พอใจ ดึงมือออกทันที
“ทำอันใดของเอ็ง”
“ไต้ก๋งคิดว่าข้าโกหกหรือ ข้าบาดเจ็บเช่นนี้จะไปโกหกเช่นใดได้อีก”
“ข้าไม่ได้คิดเช่นนั้นข้ากลัวผู้อื่นจะมองไม่ดี”
งามตาน้ำตาคลอ แลดูน่าสงสาร
“ช่วยเหลือข้าเถิด ตั้งแต่ข้ามาอยู่เรือนนี้ ไม่มีใครสักคนที่เมตตาข้า มีแต่ไต้ก๋งเท่านั้นที่สนใจใยดีบ้าง ช่วยข้าเถอะ ข้าขอร้อง”
งามตาร้องคร่ำครวญด้วยสีหน้าเศร้าสลด จนไต้ก๋งชางเริ่มสงสาร

ชางอุ้มงามตามาที่หน้าเรือนบ่าวมองหาจนทั่วก็ไม่มีใคร เพราะคนอื่นออกไปเรือนครัวกันหมด ไต้ก๋งชางพางามตาเข้ามาพักในห้องพัก คิดจะรีบออกไปโดยเร็ว
“เอ็งนอนพักเถิด เดี๋ยวข้าจะไปตามหมอมาให้”
ไต้ก๋งชางจะออกไป งามตาคว้ามือไว้ ชางตกใจ
“ไต้ก๋งจะไปแล้วหรือจ๊ะ”
ไต้ก๋งชางปลดมืองามตาออก ลูกสาวหมอผีตีหน้าเศร้าเสียใจ
“ข้ายังไม่ได้พูดขอบคุณสักคำ แต่ไต้ก๋งกลับรีบไปเช่นนี้ รังเกียจข้ามากเลยหรือ”
“ข้าไม่ได้รังเกียจเอ็ง แต่ข้าไม่ควรอยู่ที่นี่”
“เหตุใดไต้ก๋งจึงคิดว่าไม่ควรเล่า”
“เอ็งเป็นบ่าว ข้าเป็นนายหากใครมาเห็นเข้าจะไม่เหมาะ”
งามตาแสร้งทำทีเป็นน้อยใจหันหลังให้ พูดตัดพ้อ
“เพราะข้าเป็นบ่าวเท่านั้นหรือ ไต้ก๋งจึงไม่คิดช่วยข้า”
ไต้ก๋งชางส่ายหัวเบาๆ ลุกเดินออกไปเลย งามตายังไม่รู้ ทำน้ำเสียงออดอ้อน
“หมอยาใดข้าก็ไม่ต้องการหรอก เพียงแค่ไต้ก๋งช่วยนวดให้ข้าเท่านั้นก็คงหาย”
พร้อมกับว่างามตาลงนอนตะแคงหันหลังให้ ค่อยๆ เลิกผ้าโจงขึ้นมาเห็นขาอ่อนนิดๆ ท่าทียั่วยวน
จู่ๆ มีมือกำยำของผู้ชายสัมผัสลงมาที่ท่อนขาเนียนงามนั้น งามตาเคลิ้มหลับตาพริ้ม ยิ้มพอใจ พอมือนั้นลูบไล้มาถึงต้นขา งามตาก็หันมาคว้าตัวมากอดไว้
“ไต้ก๋ง...ข้า…”
งามตาลืมตาขึ้นมามอง พอเห็นว่าเป็นก้อนก็ตกใจระคนโกรธ ผลักมันกระเด็นไปชี้หน้าด่าทันที
“เอ็ง...ไอ้ก้อน เอ็งเข้ามาได้เช่นไร”
ก้อนหัวเราะเยาะ “ที่นี่เรือนบ่าวทำไมข้าจะเข้ามาไม่ได้”
งามตามองหาไต้ก๋ง “แต่...เมื่อกี้นี้”
“เอ็งมองไต้ก๋งรึ โน่น ไอ้ไต้ก๋งมันกลับเรือนไปหาเมียมันแล้ว โน่น”
“นี่ไต้ก๋งใช้ให้เอ็งมาหาข้ารึ”
“จะคิดเช่นนั้นก็ได้ เพราะไต้ก๋งให้ข้าพาเอ็งไปหาหมอ แต่ดูท่าแล้วเอ็งก็ไม่เห็นป่วยสักเท่าไรนี่”
“ข้าจะป่วยรึไม่แล้วเกี่ยวอะไรกับเอ็ง”
“เกี่ยวสิ เพราะข้าก็เป็นผัวคนหนึ่งของเอ็งที่เห็นเอ็งกำลังยั่วชายอื่นอยู่”
“หยุด! ข้าไม่เคยอยากเป็นเมียเอ็ง”
ก้อนโมโหใช้มือแกร่งบีบแก้มงามตาอย่างแรง
“แต่เอ็งเป็นไปแล้ว และก็จะไม่มีวันล้างความเป็นผัวของข้าออกไปได้”
งามตาแกะมือก้อนออกไป
“แกออกไปนะ” งามตาผลักก้อนออกไปนอกห้อง “ไปให้พ้นหน้าข้าไป”
ก้อนถูกงามตาผลักออกไป

ก้อนเดินออกจากเรือนบ่าวถึงตรงมุมป่ากล้วยด้านหลังเรือนแล้ว ตะโกนด่างามตามาว่า
“จำคำข้าไว้...เอ็งไม่มีทางเป็นเมียไอ้ไต้ก๋งมันได้ อย่าหวังสูงให้มากนัก เพราะถึงเอ็งฝันให้ตาย เอ็งก็ไม่มีทางสู้นังรำเพยกับอีสี่สาวนั่นได้หรอก”
“ไอ้ก้อนเอ็งแช่งข้าเหรอ”
งามตาโกรธเดินออกมาจากเรือนบ่าวไล่ตามไอ้ก้อนไปตรงป่ากล้วย เหยีบเอากระทงเซ่นไหว้ผีสางเจ้าที่เจ้าทาง แถมคว้าเอากระทงเซ่นไหว้ขว้างตามหลังก้อนไป
“ดูถูกข้าเข้าไปเถิด...คอยดูวันหนึ่งข้าจะเป็นนายพวกเอ็งทุกคน ถ้าข้าอยู่เหนือพวกเอ็งเมื่อไหร่ เอ็งจะต้องมากราบตีนอ้อนวอนขอความเมตตาจากข้า!
สีหน้างามตาเต็มไปด้วยแรงริษยา อัดแน่นไปด้วยแรงโกรธแค้นในใจ จึงเหยียบย่ำกระทงระบายอารมณ์ เตะกระทงกระเด็นไปตลอดทาง

อบเชย ดวงแข จำเรียง พิมพ์ กลับมาที่เรือนดอกเหมย เอาข้าวของเข้าไปเก็บที่ อบเชยเอ่ยขึ้นว่า
“เอ็งสามคนได้ยินที่คุณรำเพยพูดเมื่อครู่หรือไม่”
“เรื่องใดหรือ”
“เรื่องบ่าวใหม่ชื่องามตาอย่างไรเล่า มันเป็นใคร มาจากที่ไหนกัน” พิมพ์บอกเชิงถาม
“ข้าเหมือนเคยได้ยินชื่อนะ เหมือนว่าจะเป็นลูกสาวหมอผีอิน” อบเชยว่า
จำเรียงสะดุดหู “ลูกสาวหมอผีอินงั้นหรือ”
“ใช่ หมอผีที่อยู่ท้ายตลาด วันๆ เอาแต่เข้าบ่อนไก่กับหาของขลังนั่นล่ะ” อบเชยบอกอีก
“ถ้าเป็นนังลูกหมอผีนั่นต้องเป็นคนเดียวกับที่ข้าเคยเจอแน่” จำเรียงโมโห จำได้
“เอ็งเคยไปเจอแม่งามตานั่นที่ใดกันอีจำเรียง” อบเชยมองฉงน
“มันเคยหาเรื่องข้าที่งานโปรยทานที่นี่ นังนั่นมันปากเปราะแถมวาจากิริยาก็ชั้นต่ำ ถ้าเจออีกข้าไม่ปล่อยมันไว้แน่ ข้าจะตบมันให้หายแค้นเลยทีเดียว”
จำเรียงนึกถึงงามตาก็เจ็บใจ อบเชยรีบห้าม
“ไม่ได้ เอ็งจะทำอย่างนั้นไม่ได้”
“ทำไมข้าจะตบมันไม่ได้”
“อย่าลืมสิว่าไต้ก๋งกับคุณรำเพยรับเรามาเพราะความเมตตา เมื่อได้อยู่สุขสบายแล้วก็ไม่ควรสร้างปัญหาให้ท่าน” ดวงแขเตือนดีๆ
“อย่ามาพูดดีนักเลยนังดวงแข หากเอ็งไม่เคยเห็นฤทธิ์มันเหมือนข้า ก็อย่ามาสาระแนให้มากนัก”
จำเรียงเดินหุนหันออกไปพร้อมอารมณ์ขุ่นมัว ดวงแขมองตามถอนหายใจเซ็งๆ

งามตานอนห้องเดียวกับกล่ำ แต่กล่ำหลับไปนานแล้ว งามตานอนพลิกไปมาไม่สบายตัว สุดท้ายลุกตื่นขึ้นมาอย่างไม่สบอารมณ์ งามตามองไปทางหน้าต่างที่เปิดทิ้งไว้ พบว่าสายฝนโดนลมสาดพัดเข้ามา จึงลุกไปปิดหน้าต่าง เจอกล่ำนอนขวางเลยเอาเท้าเขี่ยให้พ้นๆ ไป
“บ๊ะ มีแต่พวกเกะกะ ไม่รู้จักจบจักสิ้น”
มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นสามครั้งในจังหวะนี้ งามตาเหลียวไปทางประตู
“ใครวะ”
ไม่มีเสียงตอบ งามตายิ่งอารมณ์เสีย
“ข้าถามว่าใคร”
งามตาลุกไปที่ประตู แต่พอเห็นว่าเงียบก็ตะโกนออกไปอีก
“ถ้าเอ็งคิดจะกวนข้าให้นอนไม่ได้ หากข้ารู้ว่าเอ็งเป็นใคร เอ็งโดนดีแน่”
เสียงนั้นยังเงียบอยู่ งามตาเปิดประตูออกไปดู

งามตาเดินออกมานอกเรือน มองจนทั่วกลับไม่มีใครก็นึกสงสัย
“ไม่มีใคร แล้วเมื่อครู่เสียงใครกัน”
ฝนหยุดตกแล้ว งามตาจะเดินกลับ พลันก็ได้ยินเสียงเรียกเสียงยานคางดังขึ้น
“งามตา…”
สายลมพัดพลิ้วต้องผิวกายพาให้เย็นยะเยือก งามตารับรู้ถึงบรรยากาศอันไม่ชอบมาพากล
“อะไรกันวะ นั่นใคร ใครเรียกข้า”
เสียงนั้นเงียบไป งามตารู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวแปลกๆ จะกลับเรือน แต่มีเสียงเรียกดังขึ้นอีก
“งามตา…”
งามตามสาวเท้ากลับเรือนไวๆ ไม่อยากหันไปมอง แต่ดันสะดุดกับอะไรบางอย่างล้มลงไม่เป็นท่า
“โอ๊ย”
ปรากฏว่าหัวเข่าครูดพื้นจนถลอกมีเลือดไหลซิบ งามตาจะลุกขึ้นก็ลุกไม่ไหว เสียงหมาหอนดังขึ้นอีก
“ซวยซ้ำซวยซ้อนอะไรอย่างนี้วะ”
งามตาใช้มือค้ำพื้นยันตัวลุกขึ้น แต่แล้วกลับรู้สึกว่ามีน้ำหยดลงมาบนหน้า งามตาชักทนไม่ไหวเมื่อสัมผัสถึงกลิ่นเหม็นเน่าโชยคละคลุ้งโชยมาแต่จมูกอย่างรุนแรงจนจะอาเจียน
“หรือว่าผีแถวนี้จะลองดีกับข้า…เอาสิวะ พ่อข้าเป็นหมอผี คิดจะลองดีกับข้าก็มาสิวะ”
งามตาเงยหน้าขึ้นคิดจะพูดท้าทายแต่พอเห็นร่างที่ยืนตรงหน้าก็อึ้งนิ่งงันไป
ที่แท้เป็นผีไอ้เลื่อนสภาพเนื้อตัวเขียวคล้ำ นุ่งผ้าโจงกระเบนสีมอซอไม่ได้ใส่เสื้อ ที่ท้องยังมีมีดเสียบคาอยู่ น้ำเหลืองน้ำหนองไหลเยิ้ม ดวงตาเหลือกลานจ้องเขม็งมองมา
“อ...ไอ้เลื่อน”
“งามตา...อีงามตา”
เลื่อนเดินเข้าหางามตามองจ้องอย่างอาฆาตแค้น
“นี่เอ็งตายไปแล้วไม่ใช่รึ
“อีงามตา” งามตาถอยหนี แต่ผีไอ้เลื่อนยิ่งเคลื่อนเข้ามาใกล้ทุกที “มึงต้องตาย”
ผีไอ้เลื่อนพุ่งเข้ามาจะบีบคอ งามตาขวัญแตกกระเจิง ลุกพรวดวิ่งออกไปโดยไม่คิดชีวิต งามตาวิ่งต่อไปจนถึงเรือน กำลังจะก้าวขึ้นบันได แต่กลับสะดุดหงายหลังล้มไม่เป็นท่า พอลุกขึ้นได้จะกลับเรือนอีกครั้ง แต่ปรากฏว่ามีใครมายืนขวางบันไดเรือนอยู่ พอเงยหน้ามองถึงกับตะลึงตะไล
เป็นผีนางตานีห่มสไบสีเขียวที่เห็นเมื่อครู่ ยืนถมึงทึงขวางอยู่ ดวงตาโบ๋ลึก ใบหน้าขาวซีดจ้องมองมาอย่างอาฆาตมาดร้าย
“มึงลบหลู่ต่อกู ย่ำของเซ่นไหว้กูป่นปี้ มึงต้องโดนดี”
ผีนางตานียื่นมือมาจะบีบคอ งามตากลัวจับจิตกรีดร้องสุดเสียง

“อย่า...อย่าทำข้า ข้ากลัวแล้ว...อย่า”

อ่านต่อ ตอนที่ 6

#เสน่ห์นางครวญ #ช่อง8 #thaich8


กำลังโหลดความคิดเห็น