เสน่ห์นางครวญ ตอนที่ 3
บทประพันธ์ : หงส์หยก บทโทรทัศน์ : พิชฌสินี
รำเพยกลัวจับใจ พยายามมองหาทางหนีทีไล่ พอก้อนจะโถมตัวเข้ามาหาก็ตัดสินใจยกเท้าถีบเต็มแรงจนร่างก้อนกระเด็นออกไป
“อีรำเพย”
ก้อนคำรามจะเข้ามาอีก รำเพยสู้ยิบตาหยิบข้าวของเท่าที่จะคว้าเอาได้แถวนั้นปาใส่ ก้อนยกมือกัน รำเพยสบช่องลุกหนี ก้อนไม่ยอมดึงแขนไว้ รำเพยกัดแขนก้อนจมเขี้ยว
“โอ๊ย”
พอได้โอกาสก็ถีบซ้ำเต็มตีน ส่งผลให้ผ้าที่ปิดหน้าก้อนเลื่อนลงมาจนเกือบเห็นหน้าชัดๆ ก้อนคว้าผ้าปิดหน้าไว้ทัน รำเพยรีบพุ่งไปผลักประตูให้เปิดออก รำเพยรีบวิ่งหนีออกไปในสวน ก้อนตามมา
“ไปตามจับมันมา เร็ว”
ก้อนวิ่งตามรำเพยไป เลื่อนตามไปด้วย
ทางด้านแถนกับกล่ำพาไต้ก๋งชางกลับมาถึงหน้าเรือนใหญ่ กล่ำมองไปเห็นร่างคนนอนกองอยู่ตรงตีนบันไดก็ชี้ให้ดู
“พี่แถน นั่นใครน่ะ”
ไต้ก๋งชางรีบเข้าไปดู แถนตามมา พอเห็นว่าเป็นขุนทนงค์ทั้งคู่ก็ตกใจอุทานลั่น
“ท่านขุน”
สองคนรีบประคองร่างขุนทนงค์ขึ้นมา
“ท่านขุน ท่านขุนขอรับ ฟื้นสิขอรับ” แถนเรียกสติ
“แถน ช่วยไปตามหมอมาก่อน ข้าจะพาท่านขุนไปบนเรือน”
แถนพยักหน้าจะลุกไป ไต้ก๋งชางประคองร่างท่านขุนไว้คนเดียว จู่ๆ ขุนทนงค์ก็ลืมตาขึ้น จับแขนเสื้อไต้ก๋งไว้
“ท่านขุน”
“ไม่…ต้อง…” ท่านขุนพยายามรวบรวมเรี่ยวแรงพูดบอก
“แต่ท่านขุนบาดเจ็บอยู่นะขอรับ”
“ไป…ช่วยรำเพย”
ชางแปลกใจพอๆ กับตกใจ “คุณรำเพยทำไมหรือขอรับ”
“มีคน…พารำเพย…ไปทางท้ายสวน…ช่วย...รำเพยด้วย”
ไต้ก๋งชางตกใจมองหน้าแถนเชิงหารือ
“ไต้ก๋ง รีบไปช่วยคุณรำเพยเถิด เดี๋ยวขุนทนงค์ข้าดูให้เอง” แถนบอกกับกล่ำ “กล่ำเอ็งไปตามหมอที”
“ได้จ้ะพี่แถน” กล่ำหันมาบอกกับไต้ก๋ง “ไต้ก๋งรีบไปตามคุณรำเพยเถอะ ไม่ต้องห่วงทางนี้”
ไต้ก๋งชางพยักหน้า แล้วออกวิ่งไปทางสวนหลังเรือนใหญ่ทันที
ด้านรำเพยวิ่งหนีมาในสวน ก้อนกับเลื่อนซึ่งใช้ผ้าดำปิดบังใบหน้าวิ่งไล่ตามมา รำเพยพยายามวิ่งเพื่อหาทางกลับไปเรือนใหญ่ แต่ไม่รู้ทิศทางเพราะรอบข้างมืดไปหมด
ก้อนสั่งเลื่อน “เอ็งไปดักไว้ อย่าให้หนีไปได้”
เลื่อนพยักหน้า รีบวิ่งไปดักหน้ารำเพยไว้
รำเพยเห็นเลื่อนจึงหลบไปอีกทาง ตะโกนร้องให้คนช่วย
“ช่วยด้วย ใครก็ได้ช่วยฉันด้วย”
รำเพยวิ่งหนีมาจนเริ่มจะหมดแรง โดยมีก้อนกับเลื่อนตามมาติดๆ จังหวะหนึ่งรำเพยเกิดสะดุดท่อนไม้ล้มลงกับพื้น ธิดาสุดสวาทของขุนทนงค์พยายามจะลุกขึ้นวิ่งต่อ แต่ก้อนตามมาทันเสียก่อน และจับตัวรำเพยไว้ได้
“มึงคิดว่าจะหนีได้เหรอ”
รำเพยร้องไห้ออกมาด้วยความกลัว พยายามดิ้นหนี แต่ถูกก้อนตบจนหน้าหัน แถมชกเข้าที่ท้อง ตัวงอเป็นกุ้ง ทั้งเจ็บจุก หมดแรงสู้ ก้อนขึ้นคร่อมร่างรำเพยหมายจะข่มขืนอีก รำเพยกรีดร้องสุดเสียงด้วยความกลัว แต่แล้วจังหวะนั้นก้อนก็ถูกใครบางคนเขวี้ยงก้อนหินใส่ขัดจังหวะ
“อะไรวะ”
“พวกเอ็งจะทำอะไรคุณรำเพย”
ก้อนกับเลื่อนหันไปเห็นไต้ก๋งชางยืนจังก้าอยู่ รำเพยอึ้งระคนดีใจ ก้อนเจ็บใจละตัวออกจากรำเพยควักมีดพกออกมา ไต้ก๋งชางถอยตั้งหลักคุมเชิง ก้อนเล็งแลจนสบช่องแทงมีใส่ไต้ก๋งชางทันที
ไต้ก๋งชางฉากหลบพร้อมสู้กลับหลบหลีกมีดของก้อนไปมา พอได้จังหวะหลบไปหลังก้อนก็ถีบเต็มแรงก้อนล้มคะมำจนมีดหลุดจากมือ ไต้ก๋งชางตามเข้าไปต่อยไม่ยั้ง ก้อนเลยสู้ล้มลุกคลุกคลานกันอยู่ตรงนั้น ชางกระโดดขึ้นคร่อมแล้วล็อคตัวก้อนไว้ กะจะดึงผ้าคลุมออก
ก้อนไม่ยอมให้ชางเห็นหน้า เหลือบมองไปเห็นมีดตกอยู่ไม่ไกลเลยคว้าขึ้นมาฟันเข้าที่แขนไต้ก๋ง แล้วรีบถอยออกมากะจะหนี ชางเลยคว้าก้อนหินขว้างใส่หน้าก้อนโดนจังๆ ก้อนซวนเซ ไต้ก๋งจะเข้าไปจับตัวก้อนอีก แต่พอหันไปเห็นเลื่อนจับตัวรำเพยก็ชะงัก
“ปล่อยข้านะ”
ก้อนสบโอกาสวิ่งหนีไปโดยเร็ว ชางเลือกเข้าไปช่วยรำเพยแทน เลื่อนรีบปล่อยตัวรำเพยด้วยความกลัววิ่งป่าราบหนีตามก้อนไป
“คุณรำเพย คุณรำเพยเป็นอะไรไหมขอรับ”
ชางพยุงรำเพยขึ้นมา เหลียวมองไปรอบๆ พบว่าก้อนกับเลื่อนหายตัวไปแล้ว
ชางกับรำเพยประคองพากันกลับมาที่เรือน รำเพยให้ไต้ก๋งพักที่บันได้เรือน ดูอาการด้วยความเป็นห่วง น้ำตาคลอ
“ไต้ก๋ง ไม่เป็นอะไรมากใช่ไหม ข้าขอโทษ ข้าไม่ได้ตั้งใจ”
“ไม่ใช่ความผิดคุณรำเพยขอรับ แค่คุณรำเพยปลอดภัยกระผมก็ดีใจแล้ว”
“แต่ถ้าไม่เป็นเพราะฉันไต้ก๋งก็ไม่เจ็บตัวเช่นนี้”
“แผลกายนั้นเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่หากกระผมปล่อยให้คุณรำเพยถูกทำร้าย คุณรำเพยจะมีแผลในใจไปทั้งชีวิต เอากระผมไปฆ่าเสียยังดีกว่าให้เป็นแบบนั้น”
“ไต้ก๋ง…”
“คุณรำเพยอย่าห่วงกระผมเลยขอรับ รีบไปดูแลท่านขุนเถิด”
รำเพยตกใจ
“เจ้าคุณพ่อเป็นอะไรงั้นหรือ”
“ท่านขุนตกบันไดตอนออกมาตามคุณรำเพยขอรับ กระผมให้แถนกับกล่ำดูแลให้ คุณรำเพยขึ้นไปหาท่านเถอะขอรับ”
รำเพยมองเป็นห่วง ไต้ก๋งชางพยักหน้าให้เชิงบอกว่าตนไม่เป็นไร
รำเพยรีบขึ้นเรือนมาหาขุนทนงค์ที่ห้อง ขุนทนงค์เห็นลูกสาวไม่เป็นอะไรก็ดีใจ
“เจ้าคุณพ่อ…”
“รำเพย ลูกปลอดภัยดีใช่หรือไม่”
“ลูกปลอดภัยเจ้าค่ะ ลูกขอโทษเจ้าคุณพ่อนะคะที่ไม่ระวังตัว”
“ไม่เป็นไร ลูกไม่เป็นไรพ่อก็ดีใจ” ท่านขุนหันมาทางชางที่ตามเข้ามา “ขอบใจมากนะไต้ก๋งที่ช่วยรำเพย”
ไต้ก๋งชางพยักหน้ารับ คลานเข่าเข้าไปหาขุนทนงค์ใกล้ๆเตียง
“กระผมเต็มใจช่วยลูกสาวของผู้มีพระคุณอย่างท่านขุนเสมอขอรับ”
“แล้วนี่เอ็งจับคนร้ายได้หรือไม่”
“พวกมันหนีไปได้ขอรับ รอบข้างมันมืดมาก แต่กระผมคิดว่าต้องเป็นคนในอย่างแน่นอน”
“คนในงั้นหรือ”
“ขอรับ คนร้ายรู้ทางหนีทีไล่ในสวนเป็นอย่างดี คงไม่ใช่คนอื่นไกลแน่ กระผมจะสืบเรื่องนี้เองขอรับ”
ขุนทนงค์เอนหลังกับเตียงอย่างเหนื่อยอ่อน
“ข้าให้ไต้ก๋งจัดการได้เต็มที่ ระหว่างนี้ข้าขอฝากให้ช่วยดูแลลูกสาวข้าด้วย”
“เจ้าคุณพ่อ”
“ไม่มีใครที่พ่อห่วงมากกว่าลูกอีกแล้วรำเพย”
รำเพยจับมือขุนทนงค์ไว้น้ำตาคลอ ชางเศร้าไปด้วย
มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น กล่ำเปิดประตูเข้ามากับหมอ
“หมอมาแล้วเจ้าค่ะท่านขุน”
ชางบอกกับรำเพยว่า “เราออกไปรอด้านนอกกันเถิดขอรับคุณรำเพย”
รำเพยพยักหน้ารับ แล้วลุกตามไต้ก๋งชางออกไป
ไต้ก๋งชาง รำเพยและกล่ำออกมาที่หน้าห้อง นมชาม และแถนรอยู่ด้านหน้า นมขามเข้ามาดูเนื้อตัวรำเพยด้วยความเป็นห่วง
“คุณรำเพย เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ ไม่บาดเจ็บตรงไหนใช่ไหมเจ้าคะ นมเป็นห่วงคุณรำเพยมาก นึกว่าจะเป็นอะไรไปเสียแล้ว”
“ฉันไม่เป็นไรแล้วจ้ะนม แค่ฟกช้ำนิดหน่อยเท่านั้น”
นมขามเห็นรอยฟกช้ำตามตัวรำเพยแล้วก็ยิ่งโกรธ
“ฮึ่ม...ไอ้คนชั่วที่ไหนนะมันทำกับคุณของนมได้ นมไม่ยอมแน่ นมต้องให้ตามตัวมันมาลงโทษให้ได้”
“ใจเย็นก่อนขอรับคุณนม กระผมรู้ว่าคุณนมโกรธ แต่เรื่องนี้กระผมจะจัดการเอง” ชางว่า
“ไต้ก๋งเห็นหน้าไอ้คนร้ายหรือ” กล่ำสงสัย
“กระผมไม่เห็นหน้าคนร้ายขอรับ แต่กระผมพอจะรู้ว่าหาคนร้ายได้จากที่ไหน”
“ไต้ก๋งจะทำอย่างไร”
“กระผมจะไปดูว่ามีใครในเรือนหายไป หรือบาดเจ็บที่หน้าผากหรือไม่ เพราะก่อนที่คนร้ายจะหนีไปกระผมขว้างหินใส่ คนร้ายน่าจะบาดเจ็บอยู่ขอรับ”
“แต่ถ้าไต้ก๋งจะไปดูตอนนี้มันอาจจะย้อนมาแก้แค้นไต้ก๋งก็ได้”
“กระผมจะระวังขอรับ แต่กระผมขอฝากคุณนมกับกล่ำช่วยดูแลท่านขุนด้วย จะเป็นการรบกวนหรือไม่ขอรับ”
“ไม่รบกวนหรอกจ้ะ ฉันเต็มใจอยู่แล้ว” กล่ำบอก
ชางพยักหน้ารับ จะออกไปตามตัวคนร้าย นมขามสังเกตเห็นแผลไต้ก๋งจึงเรียกไว้
“เดี๋ยวก่อนไต้ก๋ง”
“ขอรับ”
“นั่นไต้ก๋งบาดเจ็บอยู่ไม่ใช่รึ”
“ขอรับ แต่แผลแค่นี้ กระผมไม่รู้สึกเจ็บเท่าใดขอรับ”
นมขามทักท้วง “ฉันว่าไต้ก๋งไปทำแผลก่อนแล้วค่อยตามตัวคนร้ายดีไหม”
“ไม่ได้ขอรับ หากช้ากว่านี้มันอาจจะหนีไปได้ คุณนมไม่ต้องเป็นห่วงนะขอรับ กระผมจะจับตัวคนร้ายมาลงโทษให้ได้”
ไต้ก๋งชางขอตัวลงเรือนไป รำเพยมองตามด้วยความเป็นห่วง นมขามเริ่มรู้สึกดีกับไต้ก๋งมากขึ้น
ฝ่ายก้อนเดินโซซัดโซเซมาหลบอยู่มุมหนึ่งในสวน พอมองไปไม่เห็นใครตามมาก็ทิ้งตัวลงกับพื้น ก้อนเอามือจับที่หัวแล้วเห็นเลือดออกมาก ใจยังระแวงกลัวใครเห็น เลยกำดินขึ้นมาทาหน้าเพื่อกลบรอยแผลที่ไต้ก๋งชางขว้างก้อนหินใส่พลางกัดฟันอย่างเจ็บใจ
เสียงฝีเท้าดังขึ้นห่างจากไปไม่ไกลนัก ก้อนรีบหลบเข้ามุม แต่ปรากฏว่าเป็นเลื่อนตามมา
“พี่ก้อน พี่อยู่แถวนี้ไหมพี่ก้อน”
ก้อนออกมาจากที่ซ่อน “ข้าอยู่ทางนี้”
เลื่อนหันไปตามเสียง มองเห็นก้อนที่พักรักษาตัวอยู่ก็รีบเข้าไปหา
“แย่แล้วพี่ ไอ้เจ๊กนั่นมันกำลังออกตามหาตัวคนร้าย ตอนนี้มันกำลังไปที่เรือนบ่าว”
ก้อนคุมแค้น เจ็บใจ “ไอ้เจ๊ก มึงนี่ตามจองเวรกูไม่เลิกจริงๆ”
เลื่อนเริ่มกลัว บอกเสียงสั่น
“เราควรทำอย่างไรดีพี่ ถ้าถูกจับได้ มันคงไม่ปล่อยเราไว้แน่”
ก้อนกำมือแน่นพยายามข่มความโกรธ กลอกตาครุ่นคิดว่าควรทำอย่างไร
ขณะที่เลื่อนกำลังมองไปรอบๆ ก้อนหยิบหินขึ้นมาแล้วปาใส่หัวเลื่อนอย่างแรง ตรงจุดเดียวกับที่ไต้ก๋งชางปาใส่ตน
เลื่อนตกใจ “พี่ก้อน ทำอะไรของพี่”
ก้อนทำเป็นมองไปด้านหลังของเลื่อน
“ข้าเห็นเหมือนใครอยู่ด้านหลังเอ็ง เลยกะจะปาหินใส่ แต่กลับพลาดเสียนี่ ข้าไม่ได้ตั้งใจ”
“ทีหลังมีอะไรก็บอกข้าก่อนสิพี่ ข้าเลยพลอยระแวงไปด้วย โอย...เลือดไหลเลยรึนี่”
เลื่อนไม่ได้ติดใจอะไร ได้แต่คลำแผลที่หัวตัวเองไปมาด้วยความเจ็บ ก้อนลอบยิ้มชั่วสมใจ
ไต้ก๋งชางเดินมาถึงเรือนบ่าว ร้องตะโกนเข้าไปในเรือนเสียงดัง
“ทุกคนออกมารวมตัวหน้าเรือนกันให้หมด”
สนได้ยินเสียงเดินออกมาเป็นคนแรก บ่าวคนอื่นๆ ค่อยๆ ทยอยตามออกมา
ก้อนกับเลื่อนยืนคุยกันอยู่มุมหนึ่ง เลื่อนบุ้ยใบ้ไปทางชาง
“ไอ้ไต้ก๋งมันมาแล้ว”
“ออกไปก่อน เป็นอย่างไรเดี๋ยวก็รู้เอง”
ก้อนกับเลื่อนเดินออกมารวมแถวกับบ่าวคนอื่น ไต้ก๋งชางไล่สายตามองทุกคน จนหยุดมองที่ก้อน สนแปลกใจ ถามแทนทุกคน
“มีอะไรรึไต้ก๋ง เหตุใดมาเรียกพวกข้าดึกดื่นเช่นนี้”
“มีคนทำร้ายคุณรำเพย และข้าคิดว่าจะต้องเป็นคนในเรือนนี้ ข้าจะขอตรวจพวกเอ็งทุกคนเพื่อหาตัวคนร้าย ได้โปรดให้ความร่วมมือกับข้าด้วย”
บ่าวทุกคนส่งเสียง ฮือฮาซุบซิบกันเรื่องรำเพย ไต้ก๋งชางเริ่มเดินตรวจดูทีละคน บ่าวทุกคนให้ความร่วมมืออย่างดี
ก้อนก้มหน้าหลบเพื่อไม่ให้เห็นแผล จนกระทั่งไต้ก๋งชางเดินมาหยุดตรงหน้า สังเกตเห็นบางอย่าง จ้องมองก้อนนิ่ง
ฝั่งหมอตรวจอาการขุนทนงค์แล้วเอายาหม้อที่ต้มมาให้ดื่ม
“ดื่มยาก่อนท่านขุน”
“ไม่มีประโยชน์หรอกหมอ ฉันรู้ตัวดี”
“ท่านขุนอย่าคิดเช่นนั้น ถึงอย่างไรยาก็จะช่วยบรรเทาอาการได้บ้างดื่มเสียหน่อยเถิด”
ขุนทนงค์ยอมรับยาไปดื่ม แต่พอกินเข้าไปก็สำลักออกมา แล้วไออย่างรุนแรงออกมาเป็นเลือด หายใจหอบ อาการทรุดหนักลงอีก หมอตกใจเข้าไปช่วยพยุง
“ท่านขุนนอนพักก่อนเถิดขอรับ เดี๋ยวค่อยตื่นขึ้นมาดื่มยาที่เหลือ…”
ขุนทนงค์ยกมือห้าม พูดเสียงกระท่อนกระแท่น
“บอกแล้วว่า...ไม่มี...ประ...โยชน์...”
“ท่านขุน…”
“ช่วย...ตาม...ลูกสาวข้ากับไต้ก๋งชางมาที...”
ขุนทนงค์จับเสื้อหมอมองอย่างวิงวอน หอบหายใจ ใกล้จะหมดแรงเต็มที
ที่ลานหน้าเรือนบ่าว ไต้ก๋งชางมองก้อนที่ก้มหน้าหลบ รู้สึกผิดปกติเลยเรียก
“ไอ้ก้อน ไหนเงยหน้าขึ้นซิ”
ก้อนเสียววูบมองไต้ก๋งด้วยแววตาล่อกแล่ก กลัวจะถูกจับได้
“เงยหน้าเอ็งขึ้นเดี๋ยวนี้”
ก้อนเอาแต่ก้ม ไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมา ไต้ก๋งต้องพูดย้ำ
“ไม่ได้ยินที่ข้าพูดรึ เงยหน้าขึ้นมา”
ก้อนค่อยๆ เงยหน้าขึ้น ไต้ก๋งมองจ้องไปที่หัวของมัน แต่เพราะมีดินป้ายทับอยู่ และแถวนั้นมืดจึงเห็นไม่ค่อยถนัด ไต้ก๋งยื่นมือไปจะจับหัวก้อนดู ก้อนตกใจปัดมือไต้ก๋งออกอย่างแรง
“เอ็งจะทำอะไร”
“ข้าแค่จะดูว่าเอ็งมีรอยแผลอะไรรึไม่ เอ็งตกใจเรื่องใดกัน”
ก้อนอึกอัก “ข้าต้องตกใจสิวะ เอ็งไม่รู้รึ ว่าชาวสยามถือเรื่องหัวกบาลเป็นของสูง ใช่ว่าใครจะมาจับสุ่มสี่สุ่มห้าได้”
“ข้าไม่รู้มาก่อน ต้องขอโทษด้วย”
“ไม่ต้องมาขอโทษ เจ๊กอย่างเอ็งแค่มาอาศัยแผ่นดินสยามอยู่ ไม่มีวันเข้าใจชาวสยามไปได้ จริงหรือไม่วะพวกเอ็ง”
ก้อนหันไปถามบ่าวคนอื่น ที่ทำท่ากล้าๆ กลัวๆ
“เหตุใดทำสีหน้าเช่นนั้น พวกเอ็งไม่ต้องไปกลัวมัน ไอ้เจ๊กนี่ไม่ใช่นายเรา มันไม่มีสิทธิ์มาสั่งพวกเอ็ง ใครเห็นด้วยกับข้าเดินออกมาเลย”
บ่าวที่เหลือมองหน้ากันลังเลทั้งแถบ สักพัก สุ่น เชี่ยว ท้วม ก็ก้าวออกมา
“ข้าเห็นด้วย เป็นแค่เจ๊กพลัดถิ่นมาขออาศัย กล้าดียังไงมาสั่งพวกข้า”
“คนที่สั่งพวกข้าได้มีแต่ท่านขุนเท่านั้น” เชี่ยวเสริม
ท้วมตะเพิดส่ง “ถ้าไม่ใช่ท่านขุน พวกเราก็ไม่ฟัง เอ็งกลับไปซะไอ้เจ๊ก”
ก้อนสบช่องไล่ตะเพิดชางด้วย “พวกข้าไล่แล้ว กลับไปสิวะ ไป”
บ่าวที่เหลือเริ่มเออออตะโกนไล่ตามท้วมกะก้อน ไต้ก๋งชางทำอะไรไม่ถูก ก้อนยิ้มเยาะสะใจ เสียงแถนดังเข้ามา
“ไต้ก๋ง...ไต้ก๋ง”
ไต้ก๋งชางหันไปเจอแถนวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาหา
“มีอะไรรึแถน”
“ท่านขุน…เอ่อ...ไต้ก๋งรีบไปดูอาการท่านขุนเถิด เร็วเข้า…”
แถนถึงกับพูดไม่ออก ไต้ก๋งเริ่มเข้าใจ
“ท่านขุน”
แถนพยักหน้า วิ่งนำไต้ก๋งกลับเรือนใหญ่ ไต้ก๋งชางตามไป
ก้อนโล่งใจที่ไม่ถูกจับได้
ไต้ก๋งชางเข้ามาในห้องของขุนทนงค์ พบว่ารำเพยมาถึงก่อนแล้ว รำเพยจับมือพ่อไว้น้ำตาซึม ไต้ก๋งเข้าไปนั่งข้างๆ ขุนทนงค์ยิ้มให้ธิดากับไต้ก๋ง แต่ก็ดูอ่อนแรงเต็มทน
“มาแล้วหรือไต้ก๋ง ข้ากำลังรออยู่เชียว”
ไต้ก๋งชางเข้าไปหาขุนทนงค์ พยายามพูดให้บรรยากาศดีขึ้น
“ท่านขุน กระผมรึอุตส่าห์นึกเป็นห่วง แต่เห็นสีหน้าท่านขุนดีขึ้นก็เบาใจ อีกไม่นานคงหายดีเป็นแน่”
“อย่าปลอบใจข้าเลย เอ็งอาจจะเห็นว่าข้ายิ้ม แต่เอ็งก็รู้ดี ว่าร่างกายข้านั้นกำลังทุกข์ทรมานเพียงใด”
“ไม่หรอกขอรับ ท่านขุนยังแข็งแรง จะเป็นอะไรง่ายๆ ได้อย่างไร”
“ข้าเหนื่อยเหลือเกินแล้วไต้ก๋ง ถึงเวลาที่ข้าควรจะพักเสียที”
รำเพยก้มหน้า กลั้นก้อนสะอื้นสุดแรง ขุนทนงค์เรียกเสียงแผ่ว
“รำเพย…”
“ค่ะ เจ้าคุณพ่อ”
“จำสิ่งที่พ่อเคยบอกได้ไหม ว่าทั้งชีวิตนี้ไม่มีใครที่พ่อรักไปมากกว่าลูก”
“ลูกจำได้เจ้าค่ะเจ้าคุณพ่อ”
“แล้วลูกจำได้ไหมว่า พ่ออยากให้มีคนที่ดีมาดูแลลูกวันที่พ่อไม่อยู่แล้ว”
รำเพยเริ่มร้องไห้ พูดเสียงสั่นสะท้าน
“เจ้าคุณพ่ออย่าพูดเช่นนี้สิเจ้าคะ”
“ลูกเอ๋ย…คนเราเกิดมามีพบย่อมมีจาก สิ่งที่พ่อทำได้ก็คือเตรียมพร้อมทุกอย่างไว้ให้ลูกก่อนเราจะจากกันตลอดไป”
ท่านขุนยื่นมืออันอ่อนแรงไปจับมือรำเพยกับมือไต้ก๋งชางมากุมกันไว้
“ไต้ก๋ง…ข้าขอฝากสิ่งที่ข้ารักมากที่สุดไว้กับไต้ก๋งได้ไหม”
รำเพยมองไต้ก๋งชางด้วยสีหน้าตื่นตกใจ ไต้ก๋งชางก็เช่นเดียวกัน
“เจ้าคุณพ่อ”
ชางพยายามทัดทาน “แต่ท่านขุนขอรับ…กระผมจะดูแลคุณรำเพยดีเท่าท่านขุนได้อย่างไร”
“ไม่มีใครที่ดีกว่าไต้ก๋งอีกแล้ว ไต้ก๋งเป็นคนดีขยันทำมาหากิน ข้าเชื่อว่าข้ามองคนไม่ผิด ได้โปรดดูแลรำเพยแทนข้าด้วย”
“แต่ถ้าเลือกได้ลูกอยากให้เจ้าคุณพ่ออยู่กับลูกมากกว่า…”
“มันไม่มีวันนั้นอีกแล้วล่ะลูก สิ่งที่พ่อเสียดายที่สุดคือการไม่มีโอกาสได้อยู่ร่วมงานแต่งของลูก เพราะฉะนั้น…ช่วยทำตามที่พ่อขอสักครั้งได้ไม่ได้หรือ”
ขุนทนงค์มองรำเพยด้วยแววตาอ้อนวอน รำเพยมองหน้าพ่อน้ำตาเต็มตา
นมขามกับบ่าวคนอื่นๆ แถน กล่ำ สน ก้อน เลื่อน สุ่น ท้วม และเชี่ยว ยืนออรออยู่หน้าห้องขุนทนงค์ พอเห็นไต้ก๋งชางออกมา นมขามรีบถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง
“ท่านขุนเป็นอย่างไรบ้างไต้ก๋ง”
ไต้ก๋งชางมีหน้าลำบากใจ ทำใจอีกสักพักจึงบอกว่า
“ท่านขุนต้องการให้ทุกคนเข้าไปหาท่าน”
“หมายความว่าอย่างไร ท่านขุนไม่ได้เป็นอะไรมากใช่ไหม”
“กระผมบอกไม่ได้ แต่คิดว่าท่านคงมีเรื่องอยากบอกทุกคน รีบเข้าไปหาท่านเถิดขอรับ”
ไต้ก๋งชางก้มหน้า พยายามกลั้นน้ำตา
นมขามพอจะรู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้นก็ถึงกับยืนไม่อยู่ กล่ำต้องเข้ามาช่วยพยุง
บ่าวทุกคนเข้ามารวมในห้องของขุนทนงค์แล้ว นมขามยืนร้องไห้สะอื้นเหมือนคนจะขาดใจตาย บ่าวคนอื่นๆ ก็เริ่มร้องไห้ตามไปด้วย
“ทุกคน จงฟังคำขอร้องเป็นครั้งสุดท้ายจากข้า…”
ทุกคนใจหายใจหล่น มองไปที่ขุนทนงค์เป็นตาเดียว ตั้งใจฟัง
“นับแต่นี้ ข้าขอมอบอำนาจสิทธิ์ขาดในเรือนแห่งนี้และทรัพย์สินทั้งหมดให้กับไต้ก๋งชาง”
ไต้ก๋งชาง รำเพยรวมถึงคนอื่นถึงกับอึ้งไป
“ท่านขุน…”
ขุนทนงค์หันมองทุกคน น้ำตาคลอ สั่งเสียด้วยแรงเฮือกสุดท้ายที่มี
“ไต้ก๋งชางจะคอยดูแลคุณรำเพยและเรือนลำพระพายแห่งนี้ ขอให้ทุกคนยอมรับในตัวของไต้ก๋ง และเชื่อฟังเสมือนว่าเป็นคำสั่งจากข้า ข้าเชื่อว่าไต้ก๋งจะดูแลพวกเอ็งให้อยู่อย่างมีความสุขได้เช่นกัน”
บ่าวแต่ละคนฟังคำสั่งเสียของขุนทนงค์ต่างพากันร้องไห้ มีเพียงก้อนกัดกรามแน่นอย่างเจ็บใจที่ไต้ก๋งชางได้ทุกอย่างไป ขุนทนงค์หันมาเรียกรำเพยกับไต้ก๋งชางอีกครั้ง
“รำเพย…ไต้ก๋งชาง”
รำเพยเข้าไปจับมือขุนทนงค์อีกครั้ง ไต้ก๋งชางนั่งเฝ้าอยู่ไม่ห่าง
“ขอบใจมาก…ข้า...ไม่มีห่วงในสิ่งใดอีกแล้ว”
น้ำตาขุนทนงค์ค่อยๆ ไหลรินออกมาริมฝีปากแย้มนิดๆ ก่อนจะหลับตาลง จากไปอย่างสงบ รำเพยถึงกับปล่อยโฮออกมาโดยไม่อายใคร
“ไม่นะ เจ้าคุณพ่อ…เจ้าคุณพ่อ…อย่าทิ้งลูกไป เจ้าคุณพ่อ...”
ชางกับบ่าวทุกคนร้องครวญ “ท่านขุน”
ไต้ก๋งชางน้ำตาซึม นมขามเข้าไปกอดปลอบรำเพย พวกบ่าวต่างร่ำไห้ด้วยความเสียใจถึงขีดสุด
ข่าวการเสียชีวิต รู้ไปหมู่ทั่วบ้านลำพระพาย โดยเฉพาะในหมู่บรรดาแม่ค้าที่ตลาด
งามตานั่งขายของในตลาด ปัดแมลงวันไปมาอย่างเบื่อหน่าย แม่ค้า3 คน แผงข้างๆ พากันคุยเรื่องการเสียชีวิตของขุนทนงค์เมื่อคืนนี้
“นี่เอ็งได้ยินข่าวเรื่องขุนทนงค์แล้วหรือไม่” แม่ค้า1เอ่ยขึ้น
แม่ค้า2 ตกข่าว “ท่านขุนเป็นอะไรรึ”
งามตาได้ยินเรื่องขุนทนงค์ แอบฟังทันที
“เรื่องที่ท่านขุนสิ้นบุญแล้วตั้งแต่เมื่อคืนน่ะสิ” แม่ค้า1 บอก
งามตาตกใจ รีบถามแม่ค้าทั้งสองคนนั้นทันที
“ว่าอย่างไรนะ นี่พูดจริงรึ”
“ข้าจะล้อเล่นทำไม เขาพูดกันทั้งตลาดตั้งแต่เช้าแล้ว” แม่ค้า1 ว่า
“ใช่ ข้าไปถามพวกบ่าวในเรือนก็ยืนยันแล้วว่าเรื่องจริง” แม่ค้า3 เสริม
งามตาทำเป็นตีหน้าเศร้าร่วมวงไปด้วย
“ไม่อยากจะเชื่อ เหตุใดคนดีอย่างท่านขุนถึงจากไปไวนัก”
“นั่นน่ะสิ คนดีกลับตายไว แต่ไอ้พวกชั่วๆ กลับอยู่ค้ำฟ้า ข้าละไม่เข้าใจเลย”
แม่ค้าคนนั้นมองจิกมาที่งามตา แต่งามตาทำไม่รู้ไม่ชี้
“นี่ข้าตั้งใจว่าจะไปร่วมงานศพท่านเพื่อไปกราบลาครั้งสุดท้าย พวกเอ็งจะไปกับข้ารึไม่” แม่ค้า1 เอ่ยขึ้น
“ข้าจะไป เพราะถ้าไม่มีท่านขุน ข้าคงไม่มีที่ทำกินอยู่ทุกวันนี้” แม่ค้า2 บอก
“ข้าก็เช่นกัน” แม่ค้า3 หันมาทางงามตา “แล้วเอ็งเล่าอีงามตา”
งามตาทำเป็นอ้ำอึ้งนิดๆ หน่อยๆ พอเป็นพิธี
“ข้าก็อยากไปเช่นกัน ข้าเองก็ซาบซึ้งบุญคุณของท่านขุน ท่านช่วยข้ากับพ่อไว้มาก ถ้าพี่จะไปวันไหนบอกฉันด้วยนะจ๊ะ”
แม่ค้าพยักหน้า งามตาทำเป็นเศร้าไปด้วย แต่ลึกๆ สะใจที่รำเพยกำพร้าพ่อ
“จะว่าไป ข้ายังรู้มาอีกเรื่องด้วย” แม่ค้า3 กระซิบกระซาบ
“เรื่องอะไรรึ” แม่ค้า1 สนใจ
“ก็เรื่องไต้ก๋งชางอย่างไรเล่า บ่าวมันเล่าให้ข้าฟัง ว่าก่อนท่านขุนจะเสีย ท่านยกลูกสาวท่าน กับทรัพย์สมบัติให้ไต้ก๋งทั้งหมด”
งามตาฟังแล้วถึงกับนั่งไม่ติด
“ว่าอย่างไรนะ เป็นไปไม่ได้ ท่านขุนจะยกทุกอย่างให้ไต้ก๋งได้เช่นไร”
“เป็นไปไม่ได้แต่ก็เป็นไปแล้วล่ะวะอีงามตา” แม่ค้า3ว่า
“ข้าไม่เห็นว่าจะแปลก ได้ก๋งเองก็เป็นคนดี ขยันขันแข็ง ถ้าไม่ได้ไต้ก๋งท่านขุนคงไม่ร่ำรวยถึงเพียงนี้” แม่ค้า2 บอก
แม่ค้า1เห็นด้วย “จริงด้วย ไต้ก๋งได้รับผลตอบแทนเช่นนี้ก็ถือว่าเหมาะสมแล้วล่ะ”
พวกแม่ค้าคุยกันเรื่องไต้ก๋งและเออออเห็นดีตามกันไปหมด งามตายิ่งเจ็บใจ
หมอผีอินรู้เรื่องไต้ก๋งชางจากงามตาก็แปลกใจเป็นอย่างมาก
“ไอ้เจ๊กนั่น ทำงานรับใช้ขุนทนงค์ไม่กี่ปี แต่กลับได้เลื่อนขั้นเป็นลูกเขยเชียวรึ”
“ใช่น่ะสิพ่อ นี่เขาลือกันให้ลั่นตลาด ไม่ใช่แค่ได้นังรำเพยเป็นเมียนะ แต่ทรัพย์สมบัติยันที่ดินท่านขุนก็ยกให้ ตอนนี้บ่าวในเรือนต้องกราบไหว้มันกันหมด”
“คนอย่างขุนทนงค์ไว้ใจไอ้ไต้ก๋งถึงเพียงนี้เชียว ข้าไม่อยากจะเชื่อ”
“ข้าก็แทบไม่เชื่อหูตัวเองเหมือนกัน ใครจะคิดว่าเจ๊กสำเภาล่มมันจะได้ดิบได้ดีถึงเพียงนี้”
งามตาพูดแล้วยิ่งหงุดหงิด หมอผีอินเห็นเลยหัวเราะเยาะ
“หัวเราะอันใดกันพ่อ”
“ข้าหัวเราะเยาะเอ็งน่ะสิวะ ดูถูกมันไว้มาก แล้วดูสิว่าตอนนี้มันเป็นเช่นไร”
“บ๊ะ คนอย่างไอ้เจ๊กนั่นถ้าไม่ได้ขุนทนงค์จะมีกินมีใช้ขึ้นมาได้เช่นไร มันก็ไม่ต่างจากไอ้พวกปลิงคอยสูบเลือดสูบเนื้อคนอื่นเขาหรอก”
“ถึงมันจะเป็นปลิง มันก็เป็นปลิงที่เอ็งจะมองข้ามไม่ได้หรอกนะโว้ยอีงามตา”
“เพราะอะไรข้าถึงมองข้ามไม่ได้”
“เพราะตอนนี้เงินทองของขุนทนงค์ เป็นของมันทั้งหมดน่ะสิวะ อย่างไรเสียข้าก็ต้องพึ่งมันในภายภาคหน้า เอ็งต้องหัดทำดีกับมันไว้ พ่อจะได้สบายไปด้วย”
“ไปหัดทำดีกับมันคนเดียวเถอะ ถ้าไม่มีเหตุจำเป็น คนอย่างอีงามตาไม่มีวันบากหน้าไปขอเงินจากมันหรอก”
งามตาอวดเก่งใส่พ่อแล้วลุกหนีไปเลย หมอผีอินมองตามลูกสาวเซ็งๆ
ที่วัดลำพระพายในวันนี้ หลังงานเผาศพขุนทนงค์เสร็จสิ้น รำเพยจุดธูปไหว้โกศของขุนทนงค์เสร็จแล้วยืนมองด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย
ไต้ก๋งชางตามมายืนดูอยู่ด้านหลัง รำเพยเบือนหน้ามองเห็นว่าใครจึงพูดขึ้น
“ตอนนี้งานศพเจ้าคุณพ่อก็ผ่านไปแล้ว ข้ามีสิ่งหนึ่งอยากขอ ไต้ก๋งจะยอมรับฟังคำขอของข้าหรือไม่”
“หากเป็นสิ่งที่คุณรำเพยต้องการ กระผมยินดีเสมอขอรับ”
“ฉันอยากขอไว้ทุกข์ให้เจ้าคุณพ่อเป็นเวลาหนึ่งปี หลังจากนั้นค่อยคิดเรื่องแต่งงาน”
ไต้ก๋งชางนิ่งฟัง รำเพยพูดต่อว่า
“ฉันยังไม่พร้อมจะให้มีงานรื่นเริงช่วงนี้ อยากให้เกียรติกับการจากไปของเจ้าคุณพ่ออย่างถึงที่สุดก่อน”
รำเพยมองหน้าไต้ก๋งอย่างคาดหวัง ชางตอบรำเพยด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“กระผมรอได้เสมอขอรับ”
“ไต้ก๋งเข้าใจฉันใช่หรือไม่”
“ขอรับ กระผมถือว่าเกียรติของท่านขุนและคุณรำเพยสำคัญยิ่งกว่าสิ่งใด ต่อให้นานทั้งชีวิต กระผมก็จะรอ”
ไต้ก๋งชางมองรำเพยไม่หวั่นไหวกับคำตอบของตัวเอง
กลับถึงเรือน ไต้ก๋งชางเรียกทุกคนมาชุมนุมกัน ก่อนจะประกาศสิ่งที่ตนตั้งใจไว้
“ถึงแม้ท่านขุนจะจากพวกเราไปแล้ว ข้าอยากให้ทุกคนให้เกียรติคุณรำเพย และช่วยกันทำหน้าที่ของตนเองอย่างซื่อสัตย์เหมือนครั้งที่ท่านขุนยังมีชีวิตอยู่”
บ่าวทุกคนพยักหน้ารับ มีแต่ก้อนกับเลื่อนที่ไม่รู้สึกรู้สาอะไร
“แม้ข้าจะมีอำนาจในการดูแลทุกคน ข้าก็จะไม่ใช้อำนาจเพื่อกดขี่ใคร ทุกคนยังสามารถใช้ชีวิตอย่างสงบร่มเย็นภายใต้เรือนแห่งนี้ได้เช่นเดิม แต่…”
ไต้ก๋งชางมองไปที่ก้อนกับเลื่อน ตั้งใจสื่อความหมายบางอย่าง
“หากวันใดข้ารู้ว่ามีคนที่คิดคดทรยศต่อสิ่งที่ท่านขุนรัก ข้าจะไม่เอาไว้เด็ดขาด”
ก้อนจ้องหน้าชางอย่างไม่ยี่หระ ไต้ก๋งชางเดินตรวจดูบ่าวทุกคน มองหาคนที่ฉุดรำเพยอีกครั้ง แต่พอมองไปที่แผลก้อนกับเลื่อนปรากฏว่าแผลดีขึ้นมากแล้วจึงไม่สามารถทำอะไรได้
ก้อนได้แต่แอบมองไต้ก๋งชาง เก็บความเจ็บแค้นไว้ในใจ
ไต้ก๋งชางเดินออกมาตรงระเบียงชานเรือน ทอดสายตาไปไกล ราวกับคิดอะไรอยู่ แถนเดินมาหยุดข้างๆ เห็นไต้ก๋งดูไม่สบายใจจึงทักขึ้น
“ไต้ก๋ง มีเรื่องไม่สบายใจอยู่รึ เหตุใดถอนหายใจเช่นนั้น”
“จะว่าอย่างนั้นก็ได้ ข้าเจ็บใจที่ยังจับคนที่ทำร้ายคุณรำเพยไม่ได้”
“จริงสิ นี่มันก็ผ่านมาสักพักแล้วด้วย ข้าจำได้ว่าไต้ก๋งสงสัยคนใน ไต้ก๋งสงสัยใครกันแน่”
ไต้ก๋งมองแถนเหมือนไม่แน่ใจ แต่แล้วก็ตัดสินใจพูดออกมา
“ข้าสงสัย…ไอ้ก้อน”
“ไอ้ก้อนงั้นรึ เหตุใดไต้ก๋งปักใจเชื่อว่าเป็นมันเล่า”
“เอ็งจำได้หรือไม่ว่าข้าปาหินใส่หัวคนร้าย ข้ามั่นใจว่ามันจะต้องมีบาดแผลบริเวณนั้น แต่ถึงข้าจะสงสัยไอ้ก้อน ข้ากลับเห็นแผลที่หัวไอ้เลื่อนเสียนี่”
แถนคิดตาม สงสัยเหมือนกัน
“หากเป็นไอ้เลื่อนจริง มันจะยอมให้ไต้ก๋งเห็นแผลได้ง่ายๆ หรือ”
“ข้าถึงติดใจเรื่องนี้อยู่อย่างไรล่ะ ไม่แน่ไอ้เลื่อนมันอาจจะช่วยไอ้ก้อนอยู่ก็เป็นได้”
“แต่เราไม่มีหลักฐานอื่น หากป่านนี้แล้วยังจับไม่ได้ แผลของคนร้ายก็คงเกือบหายสนิทแล้ว”
“ใช่ คงไม่เหลือร่องรอยอันใดอีกแล้ว”
เห็นไต้ก๋งชางขมวดคิ้วหน้าเครียดไม่คลาย แถนเลยพูดปลอบว่า
“อย่าคิดมากเลยไต้ก๋ง ข้าว่าตอนนี้มันคงแค่หลบไปซ่อนตัว หากมันมุ่งจะทำร้ายคนในเรือนเช่นนี้ สักวันมันต้องแสดงตัวออกมาอีกจนได้”
“ถ้ามีใครคิดร้ายกับคุณรำเพยอีก ข้าไม่เอามันไว้แน่!”
ไต้ก๋งชางมองไปข้างหน้าด้วยสีหน้าเด็ดเดี่ยว
วันเดียวกัน หมอผีอินเสียพนันไก่ชนกลับมาบ้านเลยพาลอารมณ์เสียเตะข้าวของระบายอารมณ์
“เบื่อ เบื่อโว้ย”
งามตาได้ยินเสียงเอะอะเลยออกมาดู
“นึกอยู่เชียวว่าเสียงใครเอะอะลั่นบ้าน เสียพนันให้บ่อนไก่มาอีกล่ะสิ”
“เออสิวะ ข้าเกือบจะได้อยู่แล้วเชียว ฝั่งนั้นมันต้องโกงข้าแน่ ไก่มันถึงได้แรงดีนัก”
“ทำเป็นพาลเรื่องอื่นไปเรื่อย ก็แค่ดวงไม่ดีไม่ใช่รึ”
“แต่นี่ข้าเสียติดๆ กันมาหลายวันแล้วนะโว้ย ดวงคนเรามันจะเฮงซวยตลอดได้อย่างไร”
งามตาทำหน้าเบื่อที่พ่อพูดแต่เรื่องเดิมๆ
“ข้ามีวิธีแก้ดวงให้พ่อเอาไหมล่ะ”
“เอ็งพูดจริงรึ ทำอย่างไร ใครบอกเอ็งมา”
“ข้าคิดเองนี่แหละ ง่ายๆ แค่พ่อเลิกไปบ่อนแล้วทำมาหากินจริงจังเสียก็เท่านั้น”
อินยัวะ “นี่เอ็งว่าข้าเป็นพวกเกียจคร้านไม่รู้จักทำมาหากินรึ แล้วที่เอ็งมีบ้านอยู่มีข้าวกินทุกวันนี้มันมาจากใคร”
งามตาโอ๊ย ทวงบุญคุณกันอยู่ได้ ฉันซาบซึ้งบุญคุณพ่อเสียจะแย่แล้ว
“รู้จักบุญคุณคนก็ดี เอ็งจะได้หัดช่วยเหลือพ่อเอ็งบ้าง ตอนนี้เอ็งมีอัฐเท่าไร เอามาให้ข้ายืมก่อน ข้าจะเอาไปต่อทุน”
“ต่อทุน? อีกแล้วรึพ่อ”
“ทำไม เอ็งมีปัญหาอะไรกับข้างั้นรึ”
“ฉันบอกกี่ครั้งแล้วว่าไม่มี ลำพังแค่หาข้าวสารกรอกหม้อยังลำบาก ฉันไม่มีอัฐให้พ่อเอาไปละลายในบ่อนไก่นั่นหรอก”
หมอผีอินฟังแล้วหงุดหงิด ปัดข้าวของระบายอารมณ์อีก
“ปัดโธ่โว้ย เอ็งนี่ไม่ได้ดั่งใจข้าสักอย่าง ขัดใจข้าไปหมด ขออะไรก็ไม่เคยให้ เลี้ยงเสียข้าวสุกจริงๆ”
พูดจบหมอผีอินก็ลุกหนีออกไปเลย งามตาพยายามอดกลั้น
งามตาเดินหงุดหงิดบ่นบ้ามาที่ตลาด
“น่าเบื่อ เมื่อไหร่ข้าจะได้เป็นเศรษฐีกับเขาสักที เบื่อจริงโว้ย”
ขณะงามตาเตะข้าวของระบายอารมณ์ ก็มองเห็นแม่ค้าพ่อค้าพากันวิ่งสวนไปทางหนึ่ง เมื่อมองตาม ก็เห็นพ่อค้าแม่ขายพากันมุงดูบางอย่างอยู่จึงเดินเข้าไปดูด้วย แทรกตัวเข้าไปท่ามกลางฝูงคน อ่านข้อความในประกาศที่ติดอยู่บนผนังเสียงดัง
“ผู้ที่แจ้งเบาะแสคนวางเพลิงตลาด จะมีรางวัลให้อย่างงาม”
งามตาอ่านจบแล้วถึงกับตาลุกวาว
งามตาพาตัวเองมาหยุดที่บันไดหน้าเรือนใหญ่ขุนทนงค์อีกครั้ง มองชะเง้อขึ้นไปบนเรือน หวังให้มีคนเดินออกมา คราวนี้เป็นกล่ำที่ออกมาเห็นงามตาด้อมๆ มองๆ อยู่ เลยร้องเรียก
“นี่เอ็ง”
งามตาหันไปหากล่ำ “เรียกข้ารึ”
“เอ็งนั่นแหละ ข้าเห็นยืนมองสักพักแล้ว มาหาผู้ใดที่เรือนนี้รึ”
งามตาปรี่เข้าไปหากล่ำอย่างดีใจ
“ข้าจะมาพบไต้ก๋งชาง ไต้ก๋งอยู่รึไม่”
“เอ็งมาพบไต้ก๋งด้วยเรื่องใด ข้าจะได้ไปเรียนท่านถูก”
“เอ็งไปบอกไต้ก๋งว่าข้ามีเบาะแสเรื่องคนที่วางเพลิงตลาด ข้าต้องการพบไต้ก๋ง เร็วที่สุด”
งามตาบอกอย่างมั่นใจ กล่ำอึ้งไป
ระหว่างนี้เลื่อนบังเอิญเดินผ่านมาเห็นและได้ยินเข้าพอดี
“อีงามตา”
เลื่อนรีบวิ่งไปหาก้อนที่เรือนบ่าวทันที
ไต้ก๋งชางออกจากห้องทำงานบนเรือนใหญ่ เดินออกมาที่ชานเรือน มองไปเห็นนมขามยกสำรับมาให้รำเพย จึงหยุดแอบมอง
นมขามตักข้าวให้รำเพย แต่รำเพยกินไปได้นิดเดียวก็วางช้อนลง
“คุณรำเพยอิ่มแล้วหรือเจ้าคะ”
“จ้ะ นมให้คนมายกไปเก็บได้เลยนะจ๊ะ”
“แต่คุณรำเพยกินไปนิดเดียวเองนะเจ้าคะ น่าจะกินต่ออีกสักหน่อยจะได้มีอะไรตกถึงท้องบ้าง”
“ฉันไม่ค่อยหิวน่ะจ้ะ กินไปก็ไม่ค่อยรู้รส สู้เอาอาหารดีๆพวกนี้ไปให้บ่าวหรือคนอื่นกินยังดีเสียกว่า”
นมขามถอนหายใจ มองรำเพยด้วยความเป็นห่วง
“ตั้งแต่ท่านขุนเสีย นมเห็นคุณรำเพยกินก็ไม่ได้ นอนก็ไม่หลับมาเป็นเดือนแล้ว นมกลัวเหลือเกินเจ้าค่ะว่าคุณรำเพยจะไม่สบายไปอีกคน”
“ฉันแค่เหนื่อยจากงานเจ้าคุณพ่อน่ะจ้ะ พักสักหน่อยเดี๋ยวก็หาย”
“จริงหรือเจ้าคะ”
นมขามมองเหมือนไม่เชื่อ
“เดี๋ยวฉันไปดูเอกสารค่าเช่าตลาดเสร็จแล้วฉันจะไปพัก นมอย่าห่วงเลย”
รำเพยลุกขึ้นจะเดินออกไป แต่จู่ๆ ก็เกิดหน้ามืดเป็นลมทรุดลงไปกับพื้นเรือน
นมขามกะชางตกใจอุทานลั่น “คุณรำเพย”
ไต้ก๋งกระโจนเข้าไปประคองไว้ พลางหันไปบอกนมขาม
“เดี๋ยวกระผมพาคุณรำเพยไปพักเองขอรับ คุณนมช่วยตามหมอให้มาดูอาการคุณรำเพยแทนกระผมที”
“ได้จ้ะได้”
นมขามจะออกไปตามหมอ เจอกล่ำรีบร้อนวิ่งสวนขึ้นบันไดมาเสียก่อน
“ไต้ก๋งจ๊ะ ไต้ก๋ง มีเรื่องด่วนแล้วจ้ะ”
“อะไรของเอ็งอีกนังกล่ำ ไม่เห็นหรือว่าคุณรำเพยไม่สบาย”
กล่ำตกใจ ไต้ก๋งหันมาถามกล่ำ
“มีอะไรหรือกล่ำ”
“มีคนมาหาไต้ก๋งจ้ะ บอกว่าจะมาแจ้งเรื่องเบาะแสคนเผาตลาด”
ชางมองเป็นห่วงรำเพย แต่อีกใจก็อยากรู้ด้วย
“กล่ำ ไปบอกเขาให้รอข้าก่อน หากข้าเสร็จธุระแล้วจะรีบไป”
กล่ำพยักหน้าหงึกๆ แล้วรีบออกไป ชางอุ้มรำเพยไปที่ห้อง
ก้อนรู้เรื่องงามตามาพบชางจากเลื่อนก็ตกใจมาก
“อีงามตามมันกล้ามาถึงนี่เชียวรึ”
“ใช่จ้ะพี่ เมื่อเช้าฉันเห็นประกาศจะให้รางวัลอย่างงามกับคนที่มีเบาะแสเรื่องวางเพลิง มันต้องมาเพราะเรื่องนั้นแน่”
ก้อนกำมือแน่น กัดฟันอย่างเจ็บใจ
“อีคนใจคด ข้าคิดอยู่แล้วว่ามันต้องหักหลังเรา”
“ถ้ามันบอกไอ้เจ๊กพลัดถิ่นละก็เราแย่แน่ ทำอย่างไรดีพี่”
“เราต้องตัดไฟแต่หัวลมน่ะสิวะ”
ก้อนคิดปราดเดียว กระซิบบอกบางอย่างกับเลื่อน
เย็นนั้นงามตาพาตัวเองมานั่งรอไต้ก๋งชางอยู่หน้าเรือน แต่ไม่มีใครออกมาสักที งามตาลุกขึ้นมองหาคนในเรือนจนเริ่มหงุดหงิด จนมีเสียงสนดังขึ้น
“เอ็งคือคนที่มาพบไต้ก๋งใช่หรือไม่”
งามตาหันไปทางเสียงด้วยความดีใจ
“ใช่ ข้าเอง ว่าอย่างไร ไต้ก๋งให้ข้าพบได้แล้วรึ”
“ข้ามาบอกเอ็งว่าไต้ก๋งไม่อยู่ ให้เอ็งกลับไปก่อน”
“ได้อย่างไร ข้าอุตส่าห์รอเสียนาน ไม่รู้ล่ะ อย่างไรข้าก็จะรอ วันนี้ข้าต้องพบไต้ก๋งให้ได้”
“ไต้ก๋งท่านออกไปธุระ กว่าจะกลับคงค่ำ เอ็งอย่ารอเลย”
“แล้วถ้าข้ามาพรุ่งนี้ ข้าจะแน่ใจได้อย่างไรว่าจะได้พบไต้ก๋ง”
“เดี๋ยวข้าจะเรียนท่านให้เอง กลับเรือนเอ็งไปก่อนแล้วพรุ่งนี้ค่อยมาใหม่เถิด”
งามตามองสนอย่างไม่ค่อยเชื่อนัก แต่ทำอะไรไม่ได้เลยยอม
“ได้ ไว้ข้าจะมาใหม่ แต่เอ็งต้องรักษาคำพูดล่ะ ไม่อย่างนั้นเอ็งโดนดีแน่”
สนพยักหน้ารับขอไปที งามตาจำใจเดินออกจากเรือนไป พองามตาเดินพ้นประตูเรือนไป ไต้ก๋งชางก็เดินออกมา
“สน เมื่อครู่ใครเดินออกจากเรือนไปรึ”
สนตกใจหันเจอไต้ก๋งชางเดินมา
“ไต้ก๋ง”
“ใช่คนที่มาขอพบข้าหรือเปล่า”
“เจ้าค่ะ แต่เขาบอกว่ามีธุระเลยขอกลับก่อน พรุ่งนี้จะมาใหม่เจ้าค่ะ”
“งั้นหรือ…น่าเสียดาย ถ้าพรุ่งนี้เขามาใหม่รีบไปบอกข้าเลยนะ”
“เจ้าค่ะ”
ไต้ก๋งชางมองไปอย่างสงสัย แต่สักพักก็กลับขึ้นเรือนไป สนโล่งใจ
ใกล้ค่ำ ฟ้าเริ่มมืด งามตาเดินออกมาจากเรือนขุนทนงค์ด้วยความเซ็ง เดินมาสักพัก งามตารู้สึกเหมือนได้ยินเสียงฝีเท้าคนตามมา
“ใครน่ะ”
พอหันไปเสียงฝีเท้าก็หยุดลง งามตามองไปรอบๆ ฟ้าเริ่มมืด จึงเร่งสาวเท้าเดินเร็วขึ้น
เสียงฝีเท้ายังตามมาติดๆ งามตาก็ยิ่งเร่ง พอเดินไปสักพักเสียงนั้นก็เงียบหายไป
งามตาโล่งใจ เริ่มออกเดินต่อ แต่พอถึงมุมหนึ่งก็ถูกไอ้โม่งพุ่งมาจับตัวไว้
“อร๊ายยยย”
งามตากรีดร้องแต่กลับถูกไอ้เลื่อนในคราบไอ้โม่งปิดปากไว้ แล้วฉุดงามตาหายเข้าไปในสวน
งามตาโดนฉุดกระชากลากถูกเข้ามาในสวนตอนกลางคืน รอบข้างมืดมิดไม่มีใครตามมาได้ งามตาทั้งร้องทั้งดิ้นพยายามสู้ แต่ไอ้โม่งใช้แรงที่มีมากกว่าลากมาจนกระทั่งถึงมุมหนึ่ง
ไอ้โม่งเหวี่ยงร่างงามตาลงกับพื้น งามตาลุกขึ้นจะหนี ไอ้โม่งตามมาตบจนคว่ำแล้วขึ้นคร่อมหมายจะข่มขืน จับตัวงามตาไว้ไม่ให้ดิ้น งามตาพยายามดิ้นแล้วไม่เป็นผลเลยพูดขอร้อง
“ฮือ…พี่จ๋า อย่าทำอะไรฉันเลย”
“ไม่ต้องมาอ้อนวอน คนใจคดอย่างเอ็ง โดนแบบนี้ก็สมควรแล้ว ยอมเป็นของข้าเสียดีๆ”
เลื่อนถอดผ้าคลุมหน้าออก เพราะมั่นใจว่าความมืดทำให้มองไม่เห็นหน้ามัน จากนั้นก็ซุกไซ้ตามหน้าตา งามตากรีดร้องด้วยความรังเกียจ แต่ยังไม่ยอมแพ้ คิดหาทางเอาตัวรอด ดันตัวเลื่อนไว้
“แต่ฉัน...ฉันกำลังมีเลือดนะจ๊ะพี่”
“ข้าไม่ถือเรื่องนั้น เอ็งอยากปากสว่างเอาเรื่องพวกข้ามาบอกไอ้ไต้ก๋งเอง อย่างไรเสียเอ็งก็ไม่มีวันรอด”
เลื่อนซุกไซ้ก งามตาดีดดิ้นไม่ยอมง่ายๆ พยายามผลักออก
“ปล่อยกูนะ ปล่อยสิวะ”
งามตาตั้งสติได้ แกล้งทำเป็นสมยอมจนเลื่อนเริ่มได้ใจ เมื่อสบโอกาสก็กัดเข้าที่หูเลื่อนเต็มแรง
“โอ๊ย”
เลื่อนกุมหูร้องโอดโอย งามตาผลักเลื่อนจนมันล้มไปนอนแอ้งแม้งคาพื้น แสงจันทร์สาดส่องให้เห็นว่าเป็นใคร งามตาก็ตกใจมาก
“อ…ไอ้เลื่อน”
เลื่อนรีบเอาผ้าคลุมมาปิดหน้า
“คนอย่างเอ็งต่างหากที่ไม่มีวันทำอะไรข้าได้ จำไว้”
เลื่อนตกใจถลาเข้ามาคว้าขางามตาไว้ งามตาคว้าท่อนไม้ที่หล่นอยู่ข้างตัวตีเลื่อนอย่างแรง เลื่อนร้องลั่น งามตาวิ่งหนีไป เลื่อนมองตามเจ็บทั้งตัวเจ็บทั้งใจ
ก้อนรู้จากเลื่อนว่าปิดปากงามตาตามแผนสำเร็จก็หัวเราะสะใจ
“เอ็งทำดีมากไอ้เลื่อน คราวนี้อีงามตามันต้องปิดปากสนิทแน่ๆ ฮ่าๆ”
“จ้ะ พี่สบายใจได้เลย ฉันขู่มันไปแล้ว ถ้าแพร่งพรายความลับเรา เราก็จะโพนทะนาเรื่องของมัน”
เลื่อนหลบตาก้อน ไม่กล้าบอกความจริง ก้อนสังเกตเห็นแผลที่หูเลื่อน
“แล้วนั่นหูเอ็งไปโดนอะไรมา”
เลื่อนอึกอัก “คือ...ตอนนั้น...เอ่อ...อีงามตามันหมั่นเขี้ยวข้าละมังพี่”
“งั้นรึ เอ็งนี่มันร้ายนักไอ้เลื่อน ฮ่าๆๆ”
ก้อนหัวเราะชอบอกชอบใจ เลื่อนโล่งใจที่ก้อนเชื่อ
งามตากลับมาถึงบ้านด้วยสภาพสะบักสะบอม แค้นใจที่โดนเลื่อนหลอก จะหลบเข้าบ้าน หมอผีอินได้ยินเสียงคนมา เลยออกมาดู
“ทำไมกลับเอาป่านนี้ รู้ไหมนี่มันกี่โมงกี่ยาม”
พอเห็นสภาพงามตาก็ตกใจ
“งามตาเอ็งไปทำอะไรมา ทำไมสภาพเป็นเยี่ยงนี้”
งามตากัดฟันด้วยความเจ็บใจ หันมาทางอิน แววตาเคียดแค้น
“พ่ออยู่ก็ดี ฉันมีเรื่องอยากให้พ่อช่วย”
“ให้ข้าช่วย เรื่องอันใดกัน”
“ฉันอยากให้พ่อเสกหนังควายเข้าท้องคนหนึ่ง”
“เสกหนังควายเข้าท้อง นี่เอ็งไปโกรธแค้นใครมาถึงให้ข้าทำแบบนั้น”
“ใช่ ฉันทั้งโกรธทั้งเกลียดมัน ฉันอยากให้มันเจ็บปวด ทรมาน ใกล้ตายได้เท่าไหร่ได้ยิ่งดี”
เห็นงามตาพูดด้วยความโกรธแค้น หมอผีอินยิ่งสงสัย
“ใครทำอะไรเอ็ง”
“พ่อไม่ต้องรู้หรอก แค่รับปากว่าจะช่วยฉันก็พอ เข้าใจไหม พ่อต้องช่วยฉันนะ”
งามตาเข้าไปเขย่าตัวหมอผีอิน หมอผีอินตกใจผลักงามตาออก
“บ๊ะ เอ็งอย่าเพิ่งใส่อารมณ์ฉอดๆ จะให้ข้าฆ่าคนมันก็ต้องมีเหตุ ถ้าเอ็งมั่วแต่โวยวายข้าจะช่วยเอ็งได้อย่างไร”
งามตาเงียบงันไปสักครู่
“ฉันเปลี่ยนใจละ...ฉันมีวิธีของฉัน ฉันจะไปอาบน้ำแต่งตัวดีกว่า”
“แล้วเรื่องเมื่อกี้”
“ฉันจะจัดการด้วยวิธีของฉันเอง ฉันจะลากคอมันมาแก้แค้นให้ได้ คนอย่างอีงามตา…ไม่มีวันยอมตกเป็นเบี้ยล่างของใคร ไม่มีวัน”
พูดแค่นั้นงามตาก็กระแทกตีนเดินปึงปังเข้าห้องนอนไป หมอผีอินสะดุ้ง มองตามลูกสาวอย่างเหนื่อยใจ
“อีนี่ชักจะบ้าขึ้นทุกวัน”
เช้าวันต่อมา ไต้ก๋งชางเข้ามาดูรำเพยที่นอนพักอยู่ในห้อง เดินมานั่งลงข้างๆเตียง รำเพยค่อยๆลืมตาขึ้นมา พอเห็นว่าเป็นไต้ก๋งก็ลุกขึ้น แต่ยังไม่ค่อยมีแรง ไต้ก๋งชางเข้าไปประคอง รำเพยก็ขืนตัวไว้ ไต้ก๋งชางนึกขึ้นได้ผละออกจากรำเพย แต่ยังเป็นห่วงอยู่
“กระผมขอโทษขอรับคุณรำเพย”
“ไม่เป็นไร”
ไต้ก๋งชางถอยไปนั่งข้างเตียง ท่าทีสำรวม
“ตอนนี้อาการข้าดีขึ้นมากแล้ว ไต้ก๋งไม่ต้องเป็นห่วง”
“เห็นคุณรำเพยไม่เป็นอะไร กระผมก็สบายใจขอรับ”
ไต้ก๋งชางลุกขึ้น จะเดินออกไปนอกห้อง รำเพยถามขึ้น
“แล้วนี่ไต้ก๋งจะไปที่ใดหรือ”
“กระผมจะออกไปตรวจตลาดเช้า คุณรำเพยอยากกินอะไรเป็นพิเศษไหมขอรับ กระผมจะได้ซื้อเข้ามาให้”
“ไม่ละ เดี๋ยวฉันให้บ่าวทำอะไรง่ายๆ ให้กินก็พอ ไม่อยากรบกวน”
ไต้ก๋งชางซึมไปที่รำเพยพูดเหมือนไม่มีเยื่อใย
“ขอรับ…ถ้าอย่างนั้นกระผมขอตัว”
ไต้ก๋งชางหันหลังจะเดินออกไป รำเพยคิดอะไรได้จึงเรียกไว้
“ไต้ก๋ง”
ชางหันมา “ขอรับ”
“ขอบคุณไต้ก๋งช่วยดูแลทุกสิ่งทีเป็นของพ่อฉันอย่างดี ฉันขอให้ไต้ก๋งทำงานอย่างราบรื่นนะ”
ไต้ก๋งชางดีใจ ยิ้มกว้าง
“กระผมสัญญากับท่านขุนแล้วว่าจะดูแลทุกสิ่งที่เป็นของท่านขุนอย่างดี กระผมก็จะทำให้ได้ คุณรำเพยอย่าห่วงไปเลยขอรับ”
ไต้ก๋งชางมองรำเพยด้วยแววตาสื่อความหมายชัดแจ้ง รำเพยหวั่นไหวหลบตาวูบ เปลี่ยนไปพูดเรื่องอื่น
“รีบไปเถิด เดี๋ยวตลาดจะวายเสียก่อน”
ไต้ก๋งชางโค้งให้แล้วเดินออกไป รำเพยแอบยิ้ม
ไต้ก๋งชางออกมาตรวจตลาดในเวลาต่อมา เดินทักทายและเก็บค่าเช่าพ่อค้าแม่ค้าในตลาดด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส
“กินข้าวหรือยังแม่สร้อย...วันนี้ขายดีไหมพ่อดำ”
พอคล้อยหลังก็ได้ยินเสียงนินทาของชาวบ้าน3คนที่สุมหัวนินทาเขา
“นั่นอย่างไรเล่า ไต้ก๋งชาง”
“นี่น่ะหรือเจ๊กจีนที่ท่านขุนทนงค์ยอมยกทุกอย่างให้...ท่าทางไม่ได้เรื่อง”
“ข้าก็คิดเช่นนั้น วันๆเห็นแต่เดินเก็บค่าเช่าไม่ทำอะไร”
“ไม่รู้ท่านขุนคิดอะไรอยู่ บริวารท่านก็มากมาย เหตุไว้ใจไอ้เจ๊กหางเปียยาวเยี่ยงนี้”
“ไอ้พวกนี้มันเข้ามาหากินในสยาม เพราะหวังจะโกยเงินทองกลับไปให้พรรคพวกทั้งนั้น”
“ไม่แน่ เรื่องตลาดไฟไหม้กับเรื่องเหตุร้ายที่เรือนท่านขุนอาจจะเป็นเพราะมันก็ได้”
ไต้ก๋งชางชะงักงัน พยายามข่มใจไม่ให้โกรธ รีบเดินออกจากตลาด จู่ๆ ก็มีใครบางคนพุ่งมาดักหน้าไว้ ไต้ก๋งชางตกใจ แต่พอเห็นว่าเป็นงามตาก็แปลกใจ
“แม่หญิงงามตา…”
“ใช่ ข้าเอง คิดแล้วเชียวว่าไต้ก๋งต้องผ่านมาทางนี้”
“นี่เอ็งมาดักรอข้างั้นรึ”
“ไต้ก๋งพูดถูก ข้ามาดักรอตั้งแต่เช้าแล้ว เพราะมีเรื่องที่ต้องบอกไต้ก๋งให้ได้”
ไต้ก๋งชางฟังแล้วเอะใจขึ้นมา
“หรือว่าเอ็งคือคนที่ไปรอพบข้าที่เรือนเมื่อวาน”
“ใช่ เป็นข้าอีกเช่นกัน”
ไต้ก๋งชางมองอย่างไม่เชื่อนัก
“เอ็งน่ะหรือที่รู้ว่าใครคือคนที่เผาตลาด”
“ข้ารู้อะไรมากกว่าที่ไต้ก๋งคิด แต่คนอย่างข้าไม่มีทางพูดเปล่าๆ แน่”
“เอ็งต้องการสิ่งใดจากข้า”
“หากไต้ก๋งตกลงว่าให้เงินนำจับแก่ข้า ข้าจะยอมบอกทุกอย่างที่ข้ารู้”
งามตาพูดน้ำเสียงจริงจัง แต่ไต้ก๋งยังไม่เชื่ออยู่ดี
“แล้วข้าจะเชื่อได้อย่างไรว่าที่เอ็งพูดเป็นเรื่องจริง”
“ข้ามีวิธีจับให้ได้แบบคาหนังคาเขา อยู่ที่ว่าไต้ก๋งจะยอมเชื่อหรือไม่เท่านั้น”
ไต้ก๋งชางลังเลคิดไม่ตกว่าจะเชื่อหรือไม่ดี
ระหว่างนี้ก้อยแอบซุ่มดูอยู่มุมหนึ่ง เห็นงามตาคุยกับไต้ก๋งชางก็ไม่ไว้ใจ
ไต้ก๋งรีบร้อนกลับมาที่เรือนใหญ่ แถนตามมาด้วย
“แถน เอ็งช่วยไปตามบ่าวมากับข้าอีกสักสามคน ข้าจะขึ้นไปบนเรือนก่อน แล้วมาเจอกันตรงนี้”
“ขอรับไต้ก๋ง”
แถนแยกตัวไป ไต้ก๋งชางขึ้นเรือนไปยังห้องของตน เปิดลิ้นชักหยิบเงินที่เก็บไว้ออกมา ด้วยสีหน้าครุ่นคิด
งามตามารอชางอยู่ที่บริเวณหลังตลาด แต่รอนานแล้วไต้ก๋งยังไม่มาสักที งามตาร้อนใจจะเดินออกไปตามไต้ก๋งที่เรือน แต่พอเดินมาถึงมุมหนึ่งก็โดนคนดักจับตัวไว้
งามตาตกใจร้องกรี๊ดสุดเสียง “อร้ายยยย”
อ่านต่อ ตอนที่ 4
#เสน่ห์นางครวญ #ช่อง8 #thaich8