xs
xsm
sm
md
lg

เสน่ห์นางครวญ ตอนที่ 2

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


เสน่ห์นางครวญ ตอนที่ 2

บทประพันธ์ : หงส์หยก บทโทรทัศน์ : พิชฌสินี

ที่บริเวณหน้ากรมท่าเช้าวันนี้ แลเห็นผู้คนเดินเข้าออกขวักไขว่ ขุนทนงค์มาถึงพร้อมไต้ก๋งชาง รอสักครู่จึงมีคนมาเชิญพาเข้าไปด้านใน

ประตูห้องทำงานห้องหนึ่งเปิดออก เผยให้เห็นขุนพิเศษยืนรอต้อนรับอยู่แล้ว ยกมือไหว้ทักทายท่านขุนทนงค์ด้วยสีหน้ายิ้มแย้มเปี่ยมไมตรี
“ท่านขุน”
“ไม่ได้เจอกันสักพักแล้วสินะ ขุนพิเศษ”
ขุนพิเศษเชื้อเชิญขุนทนงค์กับไต้ก๋งชางนั่ง
“เชิญนั่งก่อนสิขอรับ” ขุนพิเศษมองไปยังไต้ก๋งชางอย่างพิจารณา “ผู้ที่ท่านขุนพามานี่คือใครกันหรือขอรับ”
ขุนทนงค์ถือโอกาสแนะนำสองฝ่ายให้รู้จักกัน
“ว่าจะแนะนำอยู่พอดี ไต้ก๋งชาง ไหว้ท่านขุนพิเศษเสียสิ” ชางยกมือไหว้ ขุนพิเศษรับไหว้ “นี่ไต้ก๋งชาง เป็นชาวจีนพลัดถิ่นที่ข้าช่วยเหลือไว้ครั้งสำเภาล่ม”
“กระผมขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยขอรับ”
ขุนพิเศษมองทึ่ง คาดไม่ถึง “นี่เอ็งพูดภาษาไทยได้ชัดเจนทีเดียว”
“แปลกใจล่ะสิ นี่คือเหตุผลที่ข้าต้องพาไต้ก๋งมาหาท่านที่นี่ยังไงล่ะ”
“อย่างไรกันขอรับ”
“เจ้าจีนพลัดถิ่นผู้นี้มีความสามารถหลากหลาย ค้าขายมาหลายที่จึงพูดได้หลายภาษา ข้าเห็นว่าน่าจะเป็นประโยชน์แก่ท่าน จึงพามาฝากตัว”
“งั้นรึ” ขุนพิเศษหันมาหาชาง “เอ็งถนัดภาษาใดบ้าง”
“ที่ถนัดพิเศษมีภาษาจีน ไทย และอังกฤษขอรับ”
“แปลเอกสารภาษาฝรั่งได้ไหม”
ชางตอบอย่างถ่อมตน “ถ้าท่านขุนกรุณา กระผมจะทำเต็มความสามารถขอรับ”
ขุนพิเศษฟังแล้วหัวเราะชอบใจ
“ไอ้นี่พูดจาเข้าที เอาอย่างนี้ ถ้าข้าเสนองานให้เอ็งมาช่วยแปลเอกสารเอ็งจะยินดีหรือไม่”
ชางดีใจ “ท่านขุนจะให้กระผมทำจริงหรือขอรับ”
“จริงสิวะ ถ้าเอ็งตกลง ข้าจะให้เอ็งนำงานกลับไปทำที่เรือนท่านขุนทนงค์ได้สัปดาห์ละครั้ง ไม่ต้องเข้านั่งประจำกระทรวง เอ็งเห็นเป็นเช่นไร”
“ขอรับ กระผมยินดีอย่างยิ่งขอรับ ขอบพระคุณมากขอรับท่านขุน”
ไต้ก๋งชางไหว้ขอบคุณขุนพิเศษด้วยความยินดี ขุนทนงค์ยิ้มปลื้ม

นับจากวันนั้น ไต้ก๋งชางนั่งทำงานที่ได้รับมอบหมายอย่างตั้งอกตั้งใจ เวลานี้นั่งแปลเอกสารอยู่ใต้ต้นไม้ข้างเรือนใหญ่
รำเพยแอบมองลงมาจากทางหน้าต่างห้องนอนบนเรือน ด้วยความชื่นชมและรู้สึกดีๆ กับไต้ก๋งชางมากขึ้น เมื่อออกมาจากห้องก็เจอกล่ำยืนรออยู่ รำเพยกระซิบบอกบางอย่างกับสาวใช้คนสนิท
สักพักก็เห็นกล่ำก็ยกน้ำไปให้ชาง ไต้ก๋งหนุ่มโค้งหัวขอบคุณ รำเพยแอบดูอยู่บนเรือน

วันต่อมาไต้ก๋งชางขึ้นไปกินข้าวกับขุนทนงค์บนเรือน พูดคุยกันอย่างถูกคอ รำเพยก็นั่งกินข้าวด้วย
ก้อนแอบดูด้วยความริษยาเช่นเคย

พองานแล้วเสร็จ ชางนำมาส่งให้ขุนพิเศษ ที่ห้องทำงานกรมท่า ท่านขุนมอบอัฐค่าจ้างแปลมาให้ ไต้ก๋งชางรับมายิ้มกว้างอย่างภาคภูมิ และดีใจมาก
กลับถึงเรือน ชางรีบนำเอาเงินมาให้ขุนทนงค์ ท่านขุนไม่ยอมรับ ชางยัดเยียดให้ แล้วรีบลงเรือนไปเลย ขุนทนงค์มองตามด้วยสีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิด
ค่ำคืนนั้น ขุนทนงค์นำเงินที่ได้จากชางมาเก็บไว้ในกล่องใบหนึ่ง ในนั้นมีอัฐอยู่จำนวนหนึ่ง ท่านขุนปิดกล่องเก็บคืนลิ้นชัก ลั่นกุญแจอย่างแน่นหนา สีหน้าขรึมเคร่งคล้ายกับคิดอะไรบางอย่างในใจ ก่อนจะรู้สึกเจ็บแปลบที่หน้าอก ขุนทนงค์กุมหน้าอก และไอออกมาอย่างหนัก

เช้าวันต่อมา รำเพยลงมาเดินเล่นในสวนสวย ชมดอกไม้อย่างเพลิดเพลิน จนมาถึงพุ่มไม่เลื้อยต้นใหญ่ ในสวน หญิงสาวหยุดยืนมองไปยังดอกไม้ดอกหนึ่ง แต่มันอยู่สูงเกินกว่าจะเอื้อมถึง
แม้รำเพยเขย่งเท้ายื่นมือขึ้นไปแต่ก็เด็ดไม่ถึง สักพักก็มีมือหนึ่งยื่นมาเด็ดดอกไม้ดอกนั้น รำเพยหันไปเจอไต้ก๋งชางยื่นดอกไม้มาให้
“ไต้ก๋ง มาที่นี่ตั้งแต่เมื่อไหร่”
“ตั้งแต่คุณรำเพยมองเจ้าดอกไม้ดอกนี้ขอรับ”
“งั้นหรือ ข้าก็แค่เห็นว่ามันสวยดี แต่ข้าไม่ได้อยากได้มันหรอกนะ”
“ดอกไม้งามย่อมเหมาะกับหญิงงาม กระผมเห็นว่าเหมาะกับคุณรำเพยจึงเด็ดมาให้ คุณรำเพยรับเจ้าจำปีดอกนี้ไปเถิดขอรับ”
ไต้ก๋งชางมองรำเพยอย่างมีความหมายลึกซึ้ง รำเพยลังเลอยู่ประเดี๋ยว จึงรับดอกไม้ไปทัดหู ชางลอบยิ้มดีใจที่รำเพยมีไมตรีตอบ
“ขอบใจ แดดเริ่มร้อนแล้ว กลับเข้าเรือนดีกว่า”
รำเพยจะเดินกลับเข้าเรือน ไต้ก๋งชางเรียกไว้
“คุณรำเพยขอรับ”
“ว่าอย่างไร”
ไต้ก๋งชางอึกอัก เหมือนมีอะไรอยากจะพูด แต่ไม่กล้า
“พูดมาเถิด ข้าไม่ต่อว่าอะไรเอ็งหรอก”
“หากกระผมอยากชวนคุณรำเพยไปดูงิ้วด้วยกัน คุณรำเพยจะว่าอย่างไรขอรับ”
รำเพยนิ่งไป ในใจหวั่นไหว แต่ก็ทำหยิ่งใส่
“ข้าไม่ชอบดูงิ้ว”
แต่เห็นไต้ก๋งชางหน้าเศร้าลง รำเพยเลยพูดปลอบ
“ข้าฟังภาษาพวกเอ็งไม่เข้าใจจึงไม่ชอบ มิใช่เพราะเอ็งชวน”
“ขอรับ แต่หากวันหนึ่งคุณรำเพยอยากดูงิ้ว ให้บอกกระผมนะขอรับ กระผมจะช่วยแปลให้คุณรำเพยฟัง”
“ทำไมเอ็งอยากให้ข้าไปดูงิ้วกับเอ็งเล่า”
“เพราะกระผม...อยากให้คุณรำเพยชอบ...เหมือนที่กระผมชอบ”
ชางตอบยิ้มๆ รำเพยหลบตาวูบอย่างรู้ความหมาย
ก้อนแอบดูอยู่มุมหนึ่งด้วยความเจ็บใจ

มองไปที่โรงงิ้ว พบว่ากำลังแสดงเรื่องความลับในหอแดง คนดูทยอยเดินเข้าไปจับจองที่นั่งอย่างมากมาย ไต้ก๋งชางกลับมาที่โรงงิ้วอีกครั้ง มองไปที่เวทีอย่างชอบใจ จะเดินเข้าไป เส็งคนเก็บเงินจำได้ ออกมาขวางไว้
“นี่ลื้อมาอีกแล้วรึ อั๊วบอกแล้วอย่างไรว่าอั๊วไม่คุยกับพวกไม่มีอัฐ ไปให้พ้น ไป”
ไต้ก๋งชางยิ้มตอบอย่างไม่ทุกข์ร้อน
“ทำไมลื้อถึงใจแคบนัก อั๊วอยากดูงิ้วเรื่องนี้มาก”
“คณะงิ้วต้องกินต้องใช้ ก็ต้องเก็บเงินคนดู ถ้าลื้ออยากดูไม่เสียอัฐก็ไปดูตามงานศาลเจ้าสิวะ”
เส็งพูดยังไม่ทันจบคำดี ชางก็หยิบถุงเงินเอามายัดใส่มือ เส็งเปิดถุงเงินออกเห็นเงินมากมายในนั้นก็ถึงกับอึ้ง เปลี่ยนท่าทีทันที
“อั๊วนึกแล้ว ว่าลื้อจะต้องเก็บเงินมาได้ ช่างมีความมุมานะเสียจริง มาเถิด อั๊วจะพาเข้าไปหาที่นั่งดีๆ จะได้ชมงิ้วอย่างเพลิดเพลิน เชิญๆ”
เส็งกุลีกุจอพาเข้าไปในโรงงิ้วอย่างพินอบพิเทา ไต้ก๋งชางยิ้มพอใจ

อีกวันหนึ่ง ไต้ก๋งชางขึ้นมาพบขุนทนงค์บนเรือน ท่านขุนได้ฟังที่ไต้ก๋งชางบอกก็แปลกใจ
“เอ็งจะเปิดตลาดใหม่ในที่ดินของข้างั้นรึ”
“ขอรับ กระผมสำรวจไปหลายแห่ง เห็นชาวบ้านนั้นทำไร่ทำสวน แต่กลับไม่มีตลาดที่จะใช้ขายของ กระผมเห็นท่านขุนมีที่ดินติดแม่น้ำ เดินทางสะดวกกระผมจึงคิดว่าควรสร้างตลาดขึ้นมาขอรับ”
“แต่ตลาดเก่าก็มีอยู่แล้ว บ้านแต่ละหลังเขาก็ปลูกของกินกันทั้งนั้น แล้วผู้ใดจะมาซื้อกินเล่าไต้ก๋ง”“กระผมรู้จักพ่อค้าชาวจีนที่มาค้าขายในสยาม พวกนี้จะหาที่ซื้อขายของไปเรื่อยๆ หากรู้ว่ามีตลาดแห่งใหม่แถมทำเลดี ขี้คร้านจะรีบเข้ามาติดต่อ เราเก็บค่าเช่าเท่านั้นก็คุ้มแสนคุ้ม”
ขุนทนงค์คิดตาม “ฟังแล้วก็เข้าท่าดี แล้วเอ็งจะเริ่มเมื่อใด”
“วันรุ่งขอรับ”
“หา วันรุ่ง ไม่เร็วไปรึ”
“หากมั่นใจก็อย่าลังเล ชักช้าผู้อื่นจะชิงไปทำเสียก่อนนะขอรับ”
“เอาเถิด เดินหน้าเร่งดำเนินการเสีย ต้องใช้อัฐสักเท่าใดก็ให้บอกมา”
ขุนทนงค์หยิบน้ำข้างกายขึ้นมาดื่ม พลันก็สำลักพรวดออกมา แล้วไอถี่ๆ หายใจเหนื่อยหอบ ต้องยกมือป้องปาก แต่พอเอาออกมาดู พบว่ามีเลือดแดงฉานติดมาด้วย ไต้ก๋งชางตกใจกับสิ่งที่เห็น
“ท่านขุน”
“เจ้าคุณพ่อ”
รำเพยเดินเข้ามาเห็นพอดี รีบถลาเข้ามาประคองขุนทนงค์
“เจ้าคุณพ่อ เลือด...เจ้าคุณพ่อไอเป็นเลือดเจ้าค่ะ”
“ไม่เป็นไรหรอก พักไม่นานก็หาย ไต้ก๋ง...พาข้าเข้าไปพักในห้องนอนเถิด”
รำเพยแปลกใจที่บิดาไม่ให้ตนพาเข้าห้อง จึงขัดขึ้นว่า
“ข้าจะพาเจ้าคุณพ่อไปพักเอง”
“ลูกรออยู่นี่เถิดรำเพย พ่อไม่เป็นไรดอก นอนพักประเดี๋ยวก็หาย”
“แต่ว่า...”
“ให้กระผมพาท่านขุนไปเถิดขอรับ”
ไต้ก๋งชางว่า พลางขยับไปประคองขุนทนงค์พาเข้าห้องนอนไป รำเพยมองตามด้วยความเป็นห่วง

ชางประคองพาท่านขุนลงนอนบนเตียง ขุนทนงค์หยุดไอแล้ว แต่ยังมีอาการเหนื่อยหอบให้เห็น ต่างคนต่างเงียบอยู่พักหนึ่ง ขุนทนงค์จึงหันมาหาไต้ก๋งชาง
“ข้า...คงอยู่ได้อีกไม่นาน”
ชางทำเป็นไม่สนใจ พูดเฉไฉไปเรื่องอื่น
“ให้กระผมตามหมอยาไหมขอรับ”
ขุนทนงค์ยกมือห้าม
“ไม่ต้องตามใครทั้งนั้น ข้ามีเรื่องจะพูดกับเอ็งแค่สองคน”
ไต้ก๋งชางมองฉงน ไม่เข้าใจนัก ขุนทนงค์พูดบอกด้วยน้ำเสียงเหนื่อยอ่อน
“จะหมอดี ยาดีแค่ไหนก็ไม่ช่วยหรอก ปีหลังมานี้ ข้าเจ็บออดๆ แอดๆ หมอยาเข้ามาดูหลายคราว ก็บอกว่าอาการน่าเป็นห่วง อยากให้เข้าไปรักษาในพระนคร”
“แล้วเหตุใดท่านขุนไม่ไปขอรับ”
“ข้าอยากตายที่เรือนนี้ มากกว่าไปตายที่อื่น แต่เรื่องนี้ข้าไม่ได้บอกรำเพย กลัวจะกังวลใจเกินกว่าเหตุ ลูกข้าคงทำใจไม่ได้เป็นแน่”
“แต่หากคุณรำเพยมารู้ทีหลัง อาจจะทำใจไม่ได้ยิ่งกว่านะขอรับ”
“เกิดแก่เจ็บตายมันเป็นเรื่องธรรมดาไต้ก๋ง คนเราเกิดมาชีวิตเดียวเท่านั้น ต่อให้ข้าอยากอยู่ค้ำฟ้า ข้าก็ทำไม่ได้”
“เรื่องนี้กระผมไม่เห็นด้วยขอรับ”
“เพราะอะไรล่ะ”
“กระผมเคยเกิดมาชีวิตหนึ่งแล้ว แต่กลับได้ชีวิตใหม่เพราะท่านขุน กระผมจึงไม่เชื่อว่าคนเราจะมีชีวิตเดียวได้ขอรับ”
ขุนทนงค์หัวเราะ แต่ดูอ่อนแรงเหลือเกิน
“ไม่ใช่ทุกคนที่จะได้ชีวิตใหม่นะไต้ก๋ง สำหรับข้ามันไม่มีปาฏิหาริย์อีกแล้ว”
ไต้ก๋งชางนิ่งฟัง พูดไม่ออก ขุนทนงค์บอกต่อว่า
“ไต้ก๋ง ข้าอาจจะหมดบุญเพียงเท่านี้ แต่เอ็งยังต้องมีชีวิตยืนยาวต่อไป เมื่อได้รับโอกาสเริ่มชีวิตใหม่ จงทุ่มเททำงานตอบแทนแผ่นดินนี้อย่างดีที่สุดเถิด”
“ท่านขุน...”
“ทีนี้รู้เหตุผลแล้วใช่ไหม ว่าเหตุใดข้าจึงเร่งให้เอ็งพิสูจน์ตัวเอง”
ไต้ก๋งชางนิ่งงันไป เครียดและเป็นกังวลตามไม่ได้

ทางด้านรำเพยหลบมานั่งหน้าเศร้าอยู่ที่ชานเรือน นมขามเดินเข้ามาเห็นก็ทัก
“เป็นอะไรเจ้าคะคุณรำเพย ใครทำอะไรให้ขุ่นเคืองใจถึงทำสีหน้าเช่นนั้น”
“จะใครเสียอีก ก็เจ้าคุณพ่อไงล่ะจ๊ะนม”
“ท่านขุนดุอะไรคุณรำเพยหรือเจ้าคะ”
“ไม่ใช่เรื่องนั้นหรอกจ้ะ แต่ ฉันแค่อดนึกน้อยใจไม่ได้ เจ้าคุณพ่อนะเจ้าคุณพ่อ เดี๋ยวนี้หายใจเข้าออกเป็นไต้ก๋งชางไปเสียหมด”
นมขามยิ้มขำ “โธ่ คุณของนม นมก็นึกว่าเรื่องใดเสียอีก”
“ดูเถอะ ขนาดเจ้าคุณพ่อเป็นลมไปต่อหน้า ท่านยังเรียกหาไต้ก๋งแทนที่จะเป็นฉัน สงสัยจะลืมว่ามีลูกสาวคนนี้อยู่เสียแล้ว”
นมขามนั่งลงข้างๆ พูดปลอบรำเพย
“ท่านขุนเรียกหาไต้ก๋ง คงเพราะเป็นผู้ชายด้วยกัน ดูแลกันง่ายกว่ากระมังเจ้าคะ”
“ฉันรู้จ้ะว่าเป็นหญิงคงช่วยท่านพ่อไม่ได้มาก แต่ก็ยังอดแปลกใจไม่ได้”
“เรื่องอะไรเจ้าคะ”
“เรื่องที่เจ้าคุณพ่อไว้ใจอีตาไต้ก๋งมากขนาดนี้น่ะสิจ๊ะ ฉันเห็นเจ้าคุณพ่อทำงานค้าขายกับคนตั้งมากมาย แต่ไม่เคยเห็นท่านไว้ใจใครเท่าไต้ก๋งเลย”
นมขามคิดตาม
“จริงของคุณรำเพยนะเจ้าคะ ขนาดเจ้าแถนทำงานมาหลายปียังไม่ได้ใกล้ชิดเท่า”
“ใช่ไหมล่ะจ๊ะ ทั้งที่เป็นคนต่างชาติต่างภาษาแท้ๆ”
“อาจจะเป็นเพราะไต้ก๋งมีความรู้หลายภาษา เวลาทำงานก็ดูเข้าที ท่านขุนถึงได้วางใจ แต่เรื่องแบบนี้คงต้องดูกันไปอีกนานเจ้าค่ะว่าดีจริงหรือไม่”
รำเพยพยักหน้ารับเชิงเห็นด้วย สายตามองเหม่อ คิดอะไรในหัวมากมายไปหมด
ก้อนแอบซุ่มดูอยู่มุมหนึ่ง ได้ยินก็ยิ่งเคือนแค้นไต้ก๋งคู่ปรับ
“มึงอีกแล้วรึ ไอ้ไต้ก๋ง”

ตกตอนบ่ายไต้ก๋งชางออกมาช่วยทำงาน ผ่าฟืนเลื่อยฟืนที่เรือนบ่าว ก้อนกับเลื่อนฝ่าฟืนอยู่ก่อนแล้วไม่ไกลกันนัก พอเห็นชางก็ทำเป็นพูดกระทบกระเทียบขึ้นมาลอยๆ
“ไอ้เลื่อน เอ็งเคยเห็นพวกคนมีหางรึไม่”
“คนเราจะมีหางได้อย่างไร ข้าเคยเห็นแต่พวกสัตว์อย่างหมูหมาเท่านั้นที่มีหาง”
“ได้สิวะ ก็ไอ้พวกมีหางเปียอย่างไรเล่า”
ก้อนกับเลื่อนประสานเสียงหัวเราะกัน ชางได้ยินได้แต่นิ่ง จนสนเดินมาถึงก็ร่วมวงกับเขาด้วย
“อ้าว แล้วไอ้พวกคนมีหางมันจะต่างจากพวกหมูหมาเช่นใด” สนแกล้งถาม
“ต่างสิวะ หมามันยังจงรักภักดีต่อนาย แต่ไอ้พวกคนมีหางมันคิดไม่ซื่อ ดีแต่จะหาประโยชน์จากแผ่นดินอื่น” ก้อนด่าว่า
สนเสริมทันที “อย่างนี้เลี้ยงไว้ จะไม่แว้งกัดเจ้านายเข้าสักวันรึ”
“เลี้ยงไว้ก็เสียข้าวสุกเปล่าๆ สิวะ ฮ่าๆๆ”
สน ก้อน และเลื่อนพากันหัวเราะเยาะหยามใส่ ไต้ก๋งชางหันไปพูดกับแถน
“แถน เอ็งเคยได้ยินสุภาษิตบทหนึ่งหรือไม่”
“สุภาษิตอันใดไต้ก๋ง”
“สุภาษิตที่ว่า หมาเห่าอย่าไปเห่าแข่งกับหมาอย่างไรเล่า”
พวกก้อนได้ยินถึงกับสะอึก แถนยิ้มสะใจ
“อ้อ เคยสิไต้ก๋ง แถวนี้มันมีหมาเยอะเสียด้วยสิ อย่าลดตัวไปเห่ากับมันเลย”
แถนกับชางหัวเราะให้กัน ก้อนกับเลื่อนมองอย่างเจ็บใจ

ไต้ก๋งชางมานั่งพักที่บริเวณหลังเรือนบ่าว แถนเอาน้ำชามาให้
“นี่ ไต้ก๋ง ดื่มเสียหน่อยจะได้หายเหนื่อย”
“ขอบใจมากแถน”
แถนลงนั่งข้างๆ พอนึกถึงเรื่องที่ก้อนล้อไต้ก๋งก็โกรธแทน
“นึกถึงเรื่องเมื่อครู่แล้วเจ็บใจ ไอ้พวกนั้นมันปากเปราะเสียจริง”
“ช่างเขาเถอะแถน พวกนั้นก็ดีแต่พูดอย่างที่ข้าว่า”
“ถามจริงเถอะไต้ก๋ง ทำไมไม่ยอมตัดเปีย จะได้ไม่โดนพวกมันล้ออีก”
“ข้าตัดเปียไม่ได้หรอกแถน”
แถนมองฉงนรอฟัง “เพราะอะไรเล่า”
“เพราะหางเปียเป็นสัญลักษณ์ความภักดีต่อแผ่นดินเกิด ข้าก็เป็นเจ๊กเป็นจีนดังที่มันว่า แล้วข้าจะลืมชาติกำเนิดตัวเองได้อย่างไร”
ชางพูดยิ้มๆ เหมือนไม่รู้สึกอะไร แถนมองทั้งเข้าใจและเห็นใจไต้ก๋งหนุ่ม

เย็นนั้น หมอผีอินหยิบเอากล่องใส่อัฐออกมาเปิดดู แต่ต้องชะงักเมื่อพบว่าทั้งกล่องว่างเปล่า อินหัวเสียโยนกล่องทิ้งโครมลงพื้น ตะโกนเรียกลูกสาวดังลั่น
“บ๊ะ เงินข้าหายไปไหนหมดวะ งามตา อีงามตา”
งามตาเดินเข้ามายืนพิงกรอบประตู ทำหน้าเบื่อหน่ายใส่
“มันจะไปไหนได้ล่ะพ่อ มันก็ไปละลายอยู่ในบ่อนไก่หมดแล้วนั่นไง”
“ไม่จริง วันก่อนข้าเล่นได้ตั้งมาก เสียแค่วันเดียวเงินจะหมดได้อย่างไร”
“เสียน้อยเสียมากก็คือเสีย บ้านเราไม่ใช่เศรษฐีเสียด้วย จะได้มีอัฐสำรองไว้เป็นหีบๆ ถ้าหมดเมื่อไหร่ก็คือหมด พ่อจะหวังอะไรอีก”
“แต่ข้าไม่คิดว่าจะไม่มีสักสตางค์ขนาดนี้ แล้วเอ็งเล่าอีงามตา ขายขนมอยู่เป็นวันๆ จะไม่ได้อะไรบ้างเลยรึ”
“ฉันบอกไปแล้วนี่ว่าไม่มี แค่ทุนทำขนมก็แทบจะไม่เหลือแล้ว”
อินหงุดหงิด หัวเสียทบทวี
“แล้วทีนี้ข้าจะทำเช่นไร เงินต่อทุนไม่มีแล้วเสียด้วย”
“ทำไมไม่ให้พวกสัมภเวสีที่เลี้ยงไว้มันช่วยเล่าพ่อ”
“ไปหวังอะไรกับไอ้พวกผีเร่ร่อน มันยังช่วยตัวเองไม่ได้แล้วจะช่วยข้าได้อย่างไร”
“งั้นข้าก็จนปัญญาละ สงสัยคราวหน้าจะต้องเชือดไก่ที่บ่อนกินเสียแล้วกระมัง”
ถูกลูกสาวพูดจาแดกดันหมอผีอินชักโกรธ “งามตา เอ็งหุบปากไปเลยนะ”
งามตาทำเชิดใส่ ไม่สนใจ อินนิ่งคิด
“เห็นทีข้าจะต้องกลับไปเรือนขุนทนงค์อีกรอบ”
“นี่พ่อยังจะไปที่นั่นอีกรึ”
“มันเป็นหนทางเดียว ถ้าเอ็งไม่ไปก็ตามใจ แต่ถ้าข้าได้อัฐมาเมื่อไหร่อย่าขอแบ่งก็แล้วกัน”
สีหน้าหมอผีอินมุ่งมั่นมาดหมายเอามากๆ งามตาถอนหายใจมองอย่างเบื่อหน่าย

วันนี้รำเพยออกมานั่งอยู่หน้าชานเรือนกับนมขามและบ่าวคนอื่นๆ ช่วยกันเตรียมทำอาหาร
นมขามคอยกำชับสั่งการ “นี่ๆ นังสน เอ็งนวดแป้งให้แรงๆ หน่อย อย่าทำเหมือนหมดแรงข้าวต้มอย่างนั้น”
“แรงแล้วนี่นม ถ้าจะให้แรงกว่านี้มานวดเอง” สนบ่น
“เอ็งนี่” นมขามเงื้อมือจะเขกกบาล สนรีบหดหัวหนีโดยไว
ระหว่างนี้กล่ำทะเล่อทะล่าขึ้นมาบนชานเรือน ตรงมาหารำเพยด้วยท่าทีรีบร้อน
นมขามเอ็ดเอา “นังกล่ำ รีบอะไรนักหนา เดี๋ยวก็หกล้มหัวร้างข้างแตก
“อิฉันรีบนี่จ๊ะคุณนม อิฉันมีเรื่องจะบอกคุณรำเพยเจ้าค่ะ”
รำเพยแปลกใจ “เรื่องอะไรจ๊ะกล่ำ”
กล่ำลงนั่งที่พื้นเรือน บอกรำเพยว่า
“หมอผีอินกับลูกสาวมาที่เรือนเจ้าค่ะ บอกว่าจะขอพบท่านขุน อิฉันบอกว่าท่านขุนไม่สบายให้กลับไปก่อน แต่สองคนนั้นไม่ยอม บอกว่าจะรอท่าเดียว”
“มาอีกแล้วหรือ”
“เจ้าค่ะ เราจะทำอย่างไรดีเจ้าคะคุณรำเพย”
รำเพยครุ่นคิดชั่วครู่ ก่อนจะลุกขึ้น
“คุณรำเพยจะไปไหนเจ้าคะ” แม่นมถาม
“ฉันจะไปคุยกับสองคนนั้นเองไงจ๊ะ นมรออยู่นี่ก่อน เดี๋ยวฉันมา”
รำเพยเดินลงเรือนไป นมขามมองเป็นห่วง

รำเพยออกมาพบสองพ่อลูกที่นั่งรออยู่ใต้ต้นไม้หน้าเรือนใหญ่
“เจ้าคุณพ่อจับไข้ ยังไม่ให้พบแขก ฉันให้บ่าวมาบอกแล้วมิใช่รึ”
“ข้ามีเรื่องรบกวนขุนทนงค์ ขอคุยด้วยไม่นานแล้วจะรีบไป”
“ไม่ว่าจะเรื่องใดตอนนี้ ฉันก็ให้ท่านพบเจ้าคุณพ่อยังไม่ได้ คงต้องมาใหม่วันอื่น”
งามตาแทรกขึ้นมาท่าทางไม่พอใจ
“บ๊ะ ไอ้พวกผู้ลากมากดีนี่ช่างจิตใจคับแคบ อ้างโน่นอ้างนี่ จริตเรื่องมากกันแท้”
หมอผีอินหันมาปรามลูกสาว
“งามตา ขอโทษคุณหนูรำเพยประเดี๋ยวนี้”
“ข้าพูดเรื่องจริง เหตุใดต้องขอโทษ”
รำเพยเหนื่อยใจ “เอาเถิด ข้าไม่ติดใจเอาความ แต่ไม่รู้ด้วยเหตุใด เจอลูกสาวเอ็งทีไรชอบทำเหมือนถูกผีเข้า จนข้าคิดว่าวิญญาณสัมภเวสีมันเข้ามาสิงลูกสาวเอ็งแทนเสียแล้ว”
งามตาตกใจที่โดนด่านิ่มๆ ไม่ไว้หน้าในเบื้องแรก และเปลี่ยนเป็นโกรธขึ้นมาทันที
“นี่เอ็งว่าข้าผีเข้ารึ”
หมอผีอินเกรงว่าจะไปกันใหญ่ รีบดึงแขนปรามงามตาให้ระงับอารมณ์
“อีงามตา หยุดเดี๋ยวนี้ กลับเรือนกับข้า ไป”
“มันด่าข้า พ่อมิได้ยินรึ เหตุใดต้องกลัวมัน ปล่อยข้า”
ยินเสียงงามตาด่าทอดังแว่วๆ มา

รำเพยขึ้นเรือนมา เจอไต้ก๋งชางเดินออกมาจากห้องนอนบิดาพอดี
“เสียงผู้ใดเอะอะโวยวายอยู่หน้าเรือนหรือขอรับคุณรำเพย”
“หมอผีอินกับลูกสาว บอกจะมาพบเจ้าคุณพ่อ พอข้าบอกว่าเป็นไข้ก็เอะอะโวยวายจะพบให้ได้”
“มาพบคนในเรือน แต่กลับตะโกนด่าเจ้าของเรือนปาวๆ มีคนเช่นนี้ด้วยรึ”
แทนที่จะตอบคำถามนั้น รำเพยกลับตั้งคำถามกลับถึงเรื่องที่อยากรู้มากกว่า
“เจ้าคุณพ่อเป็นเช่นไร”
“หลับไปแล้วขอรับ อาการยังทรงเหมือนคราวที่คุณรำเพยเข้าไปดู”
“ข้าจะไปอยู่เป็นเพื่อนเจ้าคุณพ่อ”
รำเพยขยับเดินไปได้ก้าวสองก้าว ก็เกิดหน้ามืดมีอาการซวนเซเหมือนจะล้ม ไต้ก๋งชางประคองไว้ได้ทัน
“ข้าว่าคุณรำเพยต่างหากที่ควรพัก”
รำเพยรู้ตัวรีบผละออกจากไต้ก๋งชาง
“ข้า...ไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย”
“ไม่เป็นได้อย่างไร กระผมเห็นอยู่ว่าคุณรำเพยจะเป็นลม”
ไต้ก๋งชางโอบประคองไว้อีก รำเพยขืนตัวไว้
“ข้าบอกว่าไม่ได้เป็นอะไรไง”
“ไม่เป็นก็ต้องพักขอรับ กระผมว่าคุณรำเพยคงเครียดเรื่องท่านขุนมากเกินไปแล้ว”
รำเพยขืนตัวไว้อีก ไต้ก๋งชางเลยดึงรำเพยเดินไปด้วยกันจนได้

ไต้ก๋งชางพารำเพยมาพักที่ใต้ต้นไม้ จัดหาพวกส้มโอมือมาให้ดม
“ส้มโอมือขอรับ คุณรำเพยดมเสียหน่อยจะได้สดชื่นขึ้น”
เบื้องแรกรำเพยทำท่าลังเลเหมือนไม่อยากรับ สุดท้ายก็ยอมรับไป
“ขอบใจ”
“กระผมรู้ว่าคุณรำเพยห่วงท่านขุน แต่คุณรำเพยต้องพักบ้างนะขอรับ ถ้าคุณรำเพยเป็นอะไรไปแล้วใครจะดูแลท่านขุนล่ะขอรับ”
“ก็เอ็งนี่ไงที่จะดูแลเจ้าคุณพ่อ เห็นเจ้าคุณพ่อชอบพอเอ็งนักไม่ใช่หรือ” รำเพยสัพยอก
“กระผมเป็นเพียงผู้อาศัย จะดูและได้ดีเท่าลูกสาวท่านได้อย่างไรขอรับ”
“อย่าทำพูดดีเลย ตอนนี้ท่านพ่อไม่เห็นหัวข้าอีกแล้ว”
“ไม่จริงขอรับ ท่านขุนเป็นห่วงคุณรำเพยมากกว่าใคร ซ้ำฝากให้กระผมดูแลคุณรำเพยอีกด้วย”
“ท่านพ่อน่ะหรือฝากเอ็งดูแลข้า”
“ขอรับ เพราะเหตุนี้กระผมถึงปล่อยให้คุณรำเพยเป็นอะไรไม่ได้ คุณรำเพยเชื่อกระผมเถอะขอรับ”
รำเพยยังไม่ค่อยเชื่อนัก ไต้ก๋งชางขยับเข้าไปนั่งใกล้ๆ ยื่นมือไปทำท่าจะวัดไข้ที่หน้าผาก รำเพยเอียงตัวหลบแต่จู่ๆ ก็วูบไปอีก ไต้ก๋งชางเลยรีบคว้าตัวมาโอบไว้จนเหมือนสองคนกอดกันอยู่
รำเพยมองหน้าไต้ก๋งชางอึ้งๆ หน้าแดงด้วยความเขินอายจะผลักไต้ก๋งออก แต่ชางคว้าข้อมือรำเพยไว้
“คุณรำเพยขอรับ...กระผม...”
เสียงก้อนดังขึ้น “ไอ้เจ๊ก! นั่นเอ็งจะทำอะไรคุณรำเพย”
ไต้ก๋งชางปล่อยมือรำเพย หันไปเจอก้อน จะอธิบาย
“เดี๋ยวก่อน กระผมไม่ได้…”
แต่ก้อนไม่ฟังพุ่งเข้ามาซัดหมัดเข้าที่หน้าชางจนล้มลงไปกองกับพื้น
“เอ็งล่วงเกินคุณรำเพย วันนี้ข้าไม่ปล่อยเอ็งไว้แน่ ตายเสียเถอะ”
ก้อนพุ่งเข้าไปชกไต้ก๋งชางอีก คราวนี้ชางสู้กลับ
ทั้งสองคนผลัดกันต่อยล้มลุกคลุกคลานเสียงดังเอะอะไปหมด รำเพยพยายามร้องห้ามแต่ไม่มีใครฟัง
“หยุดนะ ไต้ก๋งชาง ไอ้ก้อน หยุดสู้กันเดี๋ยวนี้”
เมื่อเห็นว่าไม่เป็นผลรำเพยจึงตะโกนเรียกคนอื่นให้มาช่วย
“ช่วยด้วย...ช่วยด้วย ใครอยู่แถวนี้บ้าง ช่วยแยกสองคนนี้ออกจากกันที”
สักพักแถนกับเลื่อน พร้อมบ่าวชายอีกคนก็วิ่งมาหา แถนกับเลื่อนช่วยกันแยกชางกับก้อนออกจากกัน ก้อนส่งเสียงโวยวายจะทำร้ายไต้ก๋งให้ได้
“ปล่อยกู ปล่อยสิวะ”
ไต้ก๋งชางเช็ดเลือดที่มุมปาก มองก้อนด้วยความเจ็บใจ

ก้อนกลับมาที่เรือน ในสภาพปากแตกหน้าช้ำไปหมด เลื่อนเอายามาให้ ก้อนเจ็บใจไม่หายที่โดนไต้ก๋งชางต่อยหน้ามา
“ไอ้เจ๊กนั่นมันชักจะกำเริบเสิบสานใหญ่แล้ว”
“พี่ไปทำอะไรมันเล่า มันถึงทำร้ายเอา”
“ข้าเห็นมันจะทำมิดีมิร้ายคุณรำเพย ข้าเลยเข้าไปห้าม แต่คุณรำเพยกลับช่วยมัน แถมยังปล่อยให้มันทำร้ายข้า เจ็บใจนัก”
“แล้วพี่จะทำอย่างไรต่อไป”
“ที่มันกล้าทำขนาดนี้ต้องเป็นเพราะท่านขุนให้ท้ายมันแน่ๆ ข้าต้องทำอะไรสักอย่างแล้ว...เอ็งต้องช่วยข้านะไอ้เลื่อน”
“ข้าจะช่วยอะไรพี่ได้”
ก้อนยิ้มเจ้าเล่ห์ คิดแผนชั่วขึ้นมาในใจ

หมอผีอินกลับมาที่บ้าน หงุดหงิดยืมเงินไม่ได้ งามตาโวยใส่หมอผีอิน
“ดูซิพ่อ อุตส่าห์ถ่อไปหาถึงเรือน อัฐสักแดงก็ไม่ได้แถมยังถูกลูกสาวมันด่าอีก ขายขี้หน้าชะมัด”
“ความผิดเอ็งนั่นล่ะ เอ็งไปพูดไม่ดีใส่เขา ข้าเลยต้องกลับมามือเปล่า”
“ไม่ใช่ความผิดข้า พวกมันอยากเรื่องมากเอง”
“ข้ารู้ว่าพวกนั้นมันเรื่องมาก แต่ถ้าเอ็งมีอัฐไม่มากเท่าเขา เอ็งก็ต้องพึ่งเขา”
“อย่าบอกนะว่าพ่อจะกลับไปอีก”
“เออสิวะ อย่างไรข้าก็ต้องกลับไป ข้าต้องยืมเงินขุนทนงค์มาให้ได้”
“แล้วทำไมพ่อไม่ยืมคนอื่น จะกลับไปให้มันด่าอีกทำไม”
“ต่อให้ถูกด่าข้าก็จะไป เพราะในเมืองนี้ไม่มีใครร่ำรวยเท่าขุนทนงค์อีกแล้ว”
“โอ๊ย ไม่หัดมีศักดิ์ศรีกับเขาเสียบ้าง”
“ศักดิ์ศรีช่วยให้เอ็งอิ่มท้องได้รึ เอ็งต้องรู้จักน้ำขุ่นไว้ใน น้ำใสไว้นอกบ้าง เอ็งถึงจะได้ทุกอย่างที่เอ็งต้องการ”
งามตากอดอก สีหน้าหงุดหงิดไม่คลาย
“เพราะไม่มีจะกินนี่ไง ถึงต้องคอยเป็นเบี้ยล่างไอ้ผู้ดีพวกนั้นอยู่เรื่อย อย่าให้วันไหนข้ากลายเป็นเศรษฐีขึ้นมาบ้างก็แล้วกัน”
งามตาเตะหม้อไหที่ตัวเองทำมาหากินกระจัดกระจาย น้ำตาลปี๊บ แป้งทำขนมหล่นเกลื่อน แล้วยังเอาเท้าเหยียบแป้งทำขนมระบายอารมณ์ จนฝุ่นคลุ้งเต็มบ้านไปหมด
“ทำอะไรของเอ็งวะ สกปรกหมดแล้วอีงามตา”
“สกปรกก็ช่างหัวมันปะไร”
“อ้าว อีนังนี่ ถ้าคนในตลาดมาเห็นเข้าใครเขาจะซื้อขนมเอ็ง”
“ไม่ซื้อก็ไม่ต้องซื้อ ข้าไม่ได้อ้อนวอนให้ใครมากิน แค่ตีนเหยียบนิดหน่อยทำเป็นกลืนไม่ได้ก็ตายไปเสีย”
“ดีแล้วที่ข้าไม่ค่อยได้กินขนมเอ็ง ไม่อย่างนั้นข้าคงตายคาเรือนไปเสียแล้ว”
หมอผีอินมองอย่างเอือมระอา เดินหนีเข้าห้องไป งามตาเซ็งหนัก

เช้านี้ ชางมาดูแลกิจการตลาดที่ปรับปรุงใหม่ เจองามตาขายขนมอยู่แต่คนเดินผ่านไปมาไม่สนใจ
“ขนมหวานจ้า ขนมหวาน...สดๆใหม่ๆ เลยจ้ะพี่จ๋า...ขนมหวานไหมจ๊ะ”
งามตาชะงัก เมื่อเห็นไต้ก๋งชางมาหยุดหน้าแผงขนม หงุดหงิดใส่ทันที
“นี่เอ็งอีกแล้วรึ”
“คราวนี้ข้าคงไม่ถามแล้วว่าจำข้าได้หรือไม่ แต่ข้าจะบอกว่าข้าจำแม่หญิงได้แม่น แม่หญิงงามตา”
“เอ็งจะมาพูดจากวกวนให้ได้อะไร หลบไป ข้าจะขายของ”
“ข้าไม่หลบ แม่หญิงมีอะไรรึไม่”
งามตาฉุน “เอ็งจะกวนข้าอีกแล้วรึ ข้าบอกแล้วไงว่าไม่ขายให้พวกเจ๊กไม่มีอัฐ”
“แล้วถ้าข้าบอกว่าข้ามีอัฐล่ะ”
งามตาไม่อยากเชื่อ “เอ็งว่าอย่างไรนะ”
“ข้านำอัฐมาด้วย ข้าจะช่วยแม่หญิงเหมาทั้งหมดนี่เลย”
งามตามองจ้อง ไม่อยากจะเชื่ออยู่ดี สักพักแม่ค้า1 หิ้วของมาขายเดินผ่านมาก็ทักไต้ก๋งชาง
“อ้าว ไต้ก๋ง มาตรวจตลาดเหรอจ๊ะ”
“ใช่จ้ะ วันนี้เป็นอย่างไรบ้างแม่เนียน ขายดิบขายดีไหมจ๊ะ”
แม่ค้า2ที่มาด้วยกันตอบด้วยสีหน้ายิ้มแย้มว่า “ขายดีจ้ะ ทำเลตรงนี้น่ะดีเชียว คนมาเดินมาก ตั้งแต่ทำใหม่นี่ข้าขายได้วันละหลายสตางค์”
“ใช่จ้ะ นี่ลูกค้าผ่านมาก็ชมว่าของหลากหลาย พวกพ่อค้าจีนที่เอาของมาตั้งก็ของดีๆ ทั้งนั้น” แม่ค้า1ว่า
“เห็นเขาบอกว่าตลาดนี่เป็นความคิดไต้ก๋ง ท่านขุนทนงค์นี่ไว้ใจคนไม่ผิดเลย” แม่ค้า2ชม
“ไม่ขนาดนั้นหรอกจ้ะ”
ไต้ก๋งชางคุยกับแม่ค้าทั้งสองสามคำจึงลาไป พอหันกลับมาหางามตาอีกรอบ ก็พบว่างามตามองอึ้งๆ
“ว่าอย่างไร แม่หญิงจะขายให้ข้าหรือไม่”
งามตาเปลี่ยนท่าทีเป็นเสียงหวานใส่ไต้ก๋งทันที
“แหม พี่จ๋า ขายสิจ๊ะ คนของท่านขุนอุตส่าห์จะอุดหนุน ข้าจะห่อให้อย่างดีไม่มีช้ำเลยจ้ะ”
ไต้ก๋งชางยิ้มพอใจ หยิบเงินออกมาจะจ่ายให้
งามตาเห็นเงินก็ตาลุกวาว กุลีกุลจอห่อขนมให้ แต่พอหันหลังก็แอบถุยๆ ใส่ขนมอย่างสะใจ

ไต้ก๋งชางเอาขนมของงามตามาแจกบ่าวในเรือน แถนเห็นขนมมากมายตรงหน้า ก็พุ่งเข้าหยิบมากิน
“โอ้โฮ ขนมมากมาย วันนี้ลาภปากไอ้แถนละ จะกินให้พุงกางเลยทีเดียว”
แต่กินไปได้คำเดียวก็คายทิ้งแทบไม่ทัน
“หือ...ไต้ก๋ง นี่ขนมใส่ไส้ หรือขนมใส่กรวด ทำไมไส้มันแห้งฝาดลิ้นเยี่ยงนี้”
นมขามกับกล่ำที่นั่งอยู่ด้วยถึงกับหัวเราะ กล่ำเข้ามาดู
“ไหนพี่แถน มันจะกินไม่ได้ขนาดนั้นเชียวหรือ”
กล่ำหยิบขนมตาลอีกอันไปกิน แล้วก็หน้าเหยเกพอๆ กับแถน
“เค็มเป็นน้ำทะเลเลยจ้ะคุณนม”
“นั่นขนมหวานไม่ใช่หรือ เพราะอะไรถึงเค็มไปได้ล่ะ” คุณนมว่า
“ไม่รู้จ้ะ แต่คนทำนี่ต้องทำขนมหวานไม่เป็นแน่ๆ”
สนลองหยิบขนมฝอยทองมาชิมบ้าง
“โอ๊ย...ขนมฝอยทองอะไรเหม็นคาวอย่างกับไข่เน่า”
นมขามฟังแล้วแปลกใจ เลยหันไปถามไต้ก๋งชาง
“แล้วขนมรสชาติกินไม่ได้นี่เอ็งไปซื้อมาจากไหนเสียเยอะแยะล่ะ”
“กระผมไปเหมามาจากแม่หญิงชื่องามตาในตลาดขอรับ”
“นั่นลูกสาวหมอผีอินไม่ใช่หรือ” นมขามรู้จัก
“ขอรับ กระผมเห็นขายไม่ค่อยดีจึงช่วยซื้อมา แต่ก็ไม่คิดว่ารสชาติจะไม่เหมือนกับขนมชาวสยาม”
แถนกับกล่ำและสนถึงกับหัวเราะพรืดออกมา
“ไม่ใช่ไม่เหมือนขนมนะ แต่ไม่เหมือนของที่กินได้เลยต่างหาก” กล่ำว่า
“ฉันว่าฉันทำขนมไม่ได้เรื่องแล้วนะ พวกนี้รสชาติแย่กว่าขนมที่ฉันทำเสียอีก” สนบอก
“ขนาดนั้นเลยหรือ”
แถนกับกล่ำหัวเราะคิกคัก ไต้ก๋งชางทำหน้างง
“พอได้แล้วพวกเอ็งน่ะ นี่ไต้ก๋ง”
ชางหันมาหา “ขอรับ”
“การมีน้ำใจต่อผู้อื่นชาวสยามถือเป็นสิ่งดี แต่เราควรช่วยแต่คนที่สมควรจริงๆ ไม่อย่างนั้นมันจะเป็นภัยต่อตัวเอง ไต้ก๋งจำไว้นะ”
ชางหน้าเจื่อนลงนิดหนึ่ง
“ขอรับ กระผมจะจำไว้”
นมขามมองไต้ก๋งชางขำๆ แถนกับกล่ำมองไต้ก๋งชางอย่างเอ็นดู

เย็นนั้นงามตาเดินนับเงินที่ไต้ก๋งชางเหมาซื้อของจนหมดมาอย่างสบายใจ
“เฮอะ ไอ้เจ๊กนั่น พูดดีเข้าหน่อยก็ให้อัฐมาตั้งมาก โง่จริงๆ”
งามตาเก็บเงิน เดินกลับบ้านไปทางหลังตลาด แต่พอถึงมุมหนึ่งก็เห็นชายสองคนกำลังทำท่าลับๆ ล่อๆคุยกันอยู่ งามตารู้สึกไม่ชอบมาพากลเลยไปซุ่มดู
เป็นก้อนกับเลื่อนนั่นเองทั้งคู่กำลังคุยกันหน้าตาเครียดเคร่ง
“เราจะทำแบบนี้จริงรึพี่”
“จริงสิวะ นี่เป็นวิธีเดียวที่จะเล่นงานไอ้เจ๊กนั่นได้”
“แต่นี่มันคือตลาดของท่านขุนนายเรานะ”
“ตลาดท่านขุนแล้วอย่างไร ไอ้เจ๊กนั่นเป็นคนออกความคิดเองว่าตลาดนี่ดีหนักหนา ลองดูถ้ามันพังไปต่อหน้า มันจะยังผยองได้อยู่รึไม่”
“แล้วถ้ามีใครมาเห็นเราสองคนเข้าล่ะ”
ก้อนฉุน “บ๊ะ เอ็งนี่ หลังตลาดร้างคนขนาดนี้ใครจะเห็น เอาของที่ข้าให้เตรียมมา แล้วจัดการเผาได้แล้ว”
“เผาตลาด”
งามตาอุทาน ด้วยความตกใจจนเผลอถอยหลังไปกระแทกข้าวของแถวนั้นจนเกิดเสียงดัง
ก้อนเหลียวขวับไปมอง “ใครวะ”

งามตาหันรีหันขวางทำท่าจะหนี แต่ไม่ทันก้อนกับสินตามมาเจอก่อน สองคนจับตัวไว้ ก้อนจำงามตาได้
“นี่เอ็ง…อีนังลูกสาวหมอผีไม่ใช่รึ”
“เอ็งได้ยินอะไรบ้าง บอกข้ามาเดี๋ยวนี้”
“อ…ไอ้พวกชั่ว ข้าได้ยินหมดแล้วว่าพวกเอ็งจะเผาตลาด ข…ข้าจะแจ้งทางการ”
ก้อนหัวเราะขำ
“ตำรวจ เอ็งถูกข้าจับได้เช่นนี้แล้วเอ็งยังมีหน้าจะไปแจ้งทางการได้อีกรึ”
เลื่อนไม่สบายใจ “เราปล่อยนังนี่ไปไม่ได้แน่ จัดการมันเสียดีไหม”
ก้อนครุ่นคิดว่าควรทำอย่างไร งามตาคิดปราด รีบเปลี่ยนท่าที หาวิธีเอาตัวรอด
“เดี๋ยวก่อนสิพี่จ๋า...ฟังข้าก่อน”
“อะไรของเอ็งอีก”
“ข้าสาบานว่าจะไม่แจ้งทางการก็ได้ แต่อย่าทำอะไรข้าเลยได้ไหม”
“ไม่ได้ ข้าจะปล่อยให้มีคนรู้เห็นไม่ได้ อีกอย่าง…คนอย่างเอ็งน่ะรึจะเชื่อได้”
“เชื่อได้สิจ๊ะ ข้าไม่บอกใครหรอก เพราะข้าก็ไม่ชอบที่นี่เหมือนกัน”
“แต่เอ็งขายของที่นี่ไม่ใช่รึ” เลื่อนท้วง
“พี่จำที่ข้าไปเรือนท่านขุนวันก่อนไม่ได้หรือ ข้ากับพ่อไปขอยืมเงินแต่ขออย่างไรก็ไม่ได้ ข้าไม่ชอบใจที่บ้านท่านขุนทำกับข้ามาตั้งแต่วันนั้นแล้ว”
ก้อนไม่เชื่อ “เอ็งพูดจริงหรือ อีลูกหมอผี”
“จริงจ้ะ ฉันสาบานด้วยชีวิตเลยว่าจะไม่มีใครรู้เรื่องนี้ ขอแค่พี่สองคนแก้แค้นท่านขุนให้ก็พอ”
ก้อนกับเลื่อนมองหน้ากัน แล้วก้อนก็ปล่อยตัวงามตาออก งามตาทำท่าจะวิ่งหนี แต่ก้อนยังดึงไว้
“เดี๋ยวก่อน ข้ายังไม่ปล่อยเอ็งไป ถ้าเอ็งคิดจะแก้แค้นท่านขุนจริง ก็ต้องช่วยพวกเราด้วย”
“จะให้ข้าช่วยยังไง ข้าไม่...”
ก้อนสวนออกมาว่า “ไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น แค่ช่วยดูต้นทางให้ก็พอ แค่นี้เอ็งก็เป็นพวกเดียวกับพวกข้าแล้ว”
งามตาอึกอัก ครุ่นคิดตัดสินใจ

ค่ำวันนั้น ไต้ก๋งชางมาพบขุนทนงค์ที่ห้องนอนบนเรือน ยื่นอัฐจำนวนมากโขในถุงให้ ท่านขุนมองฉงน
“เงินนี่มันอะไรกันไต้ก๋ง”
“ค่าเช่าตลาดกับค่าแปลกเอกสารขอรับ”
“อีกแล้วรึ ข้าบอกแล้วอย่างไร ว่าเงินจากน้ำพักน้ำแรงเอ็ง ข้าไม่รับ”
“ไม่ได้ขอรับ กระผมใช้ที่ดินท่านขุนทำมาหากิน งานเอกสารท่านขุนก็หาให้ กระผมคงถือเป็นของตนเองไม่ได้”
“ไต้ก๋งชาง เราทำงานเหนื่อยก็ควรได้ค่าตอบแทน เอ็งเก็บไว้เถิด คิดเสียว่าเป็นเบี้ยหวัดจากข้าก็ได้”
“อย่างนั้นกระผมยิ่งรับเงินไว้ไม่ได้ขอรับ แค่ท่านขุนให้ที่ซุกหัวนอน กระผมก็นับเป็นบุญคุณมากพอแล้ว ไม่เคยต้องการสิ่งใดอีก”
ไต้ก๋งชางไม่ยอมท่าเดียว ท่านขุนหัวเราะออกมา
“แล้ว…ถ้าข้าบอกให้เอ็งเก็บไว้เป็นสินสอดขอสาวเล่า”
ชางอึกอัก “กระผมจะไปสู่ขอแม่หญิงที่ไหนได้ขอรับ”
ขุนทนงค์มองอย่างรู้ทัน
“อย่าปิดข้าเลย ข้าพอรู้ว่าเอ็งมีหญิงสาวที่หมายปองแล้ว”
“กระผมยอมรับเรื่องนั้นขอรับ แต่แม่หญิงคนนั้น สำหรับกระผมคงเป็นไปไม่ได้”
“ทำไมเล่า”
“เธออยู่สูงเกินกว่าที่กระผมจะเอื้อมถึงขอรับ”
“นั่นละ เอ็งถึงต้องเก็บหอมรอมริบไว้ให้มาก จำคำข้าไว้ไต้ก๋ง ไม่มีสิ่งใดที่เอ็งเอื้อมไม่ถึง หากเอ็งเป็นคนดีและขยันทำมาหากิน”
“ไม่จริงหรอกขอรับ”
“จริงสิ ข้าเองก็เคยมีแต่ตัว แต่เพราะอดทนและพยายามถึงมีวันนี้ เชื่อข้าเถิดว่าถ้าให้เลือกระหว่างเงินทองและความดีแล้ว ความดีมีค่ากว่ามากนัก”
ไต้ก๋งชางพยักหน้า แต่ยังไม่แน่ใจ
“ท่านขุน กระผมขอถามสักเรื่องหนึ่งได้ไหมขอรับ”
“ได้สิ”
“เรื่องคุณรำ…”
ไต้ก๋งชางกำลังจะถาม แต่จู่ๆ ขุนทนงค์ก็ไอออกมาเสียก่อน ท่านขุนไอหนักจนหอบ ชางรีบเข้าไปช่วยประคอง
“กระผมว่าท่านขุนพักก่อนเถิดขอรับ”
“ไม่เป็นไร ข้าไม่เป็นไร”
ชางมองไปเห็นว่ายาวางอยู่ยังไม่พร่องเลยสักนิด จึงหยิบขึ้นมาดู
“เหตุใดท่านขุนไม่กินยาเล่าขอรับ”
ขุนทนงค์โบกมือเป็นเชิงห้ามไม่อยากกิน
“ไม่มีประโยชน์...”
ไต้ก๋งชางหยิบยามาจะให้ขุนทนงค์กินให้ได้ จนมีเสียงเอ็ดของรำเพยดังขึ้น
“จะทำอะไรน่ะ”
ชางหันไปหา “คุณรำเพย”
“จะเอายาให้เจ้าคุณพ่อกินหรือ เอามานี่ เดี๋ยวข้าป้อนยาท่านพ่อเอง”
“รำเพย พ่อไม่ได้เป็นอะไร ไม่ต้องกินก็ได้”
“ไม่ได้เจ้าค่ะ อย่างไรเจ้าคุณพ่อก็ต้องกินยา” รำเพยหันไปบอกชางว่า “เอ็งออกไปได้แล้ว เดี๋ยวข้าเฝ้าท่านพ่อต่อเอง”
ไต้ก๋งชางพยักหน้ารับ แล้วค่อยๆ เลี่ยงออกจากห้องไป รำเพยมองตามไม่ไว้ใจไต้ก๋งชางนัก

ไต้ก๋งชางลงบันไดมาหยุดมองไปบนเรือนใหญ่อีกครั้ง นึกถึงท่าทีรำเพยและความลับเรื่องอาการป่วยหนักของท่านขุนแล้วได้แต่ทอดถอนหายใจ ขณะจะหันตัวเดินกลับเรือน ก็เห็นแถนวิ่งหน้าตาตื่นตรงเข้ามาหา
“ไต้ก๋ง แย่แล้ว ที่ตลาดแย่แล้ว”
“ใจเย็นก่อนแถน เกิดอะไรขึ้นหรือ”
แถนหยุดหอบหายใจ
“ตลาด…ที่ตลาดไฟไหม้”
ชางตกใจ “ไฟไหม้”
“ใช่ ตอนนี้ไฟลามใหญ่แล้ว ข้าจะไปบอกท่านขุนก่อน...”
แถนทำท่าจะวิ่งขึ้นเรือนไป แต่ชางดึงไว้
“เดี๋ยวก่อน”
“มีอะไรรึ”
“อย่าเพิ่งไปบอกท่านขุน”
“ทำไมล่ะไต้ก๋ง”
“ข้าไม่อยากให้ท่านขุนเป็นกังวล เอ็งไปช่วยเกณฑ์บ่าวกับชาวบ้านมาดับไฟก็พอ เดี๋ยวที่ตลาดข้าไปดูเอง”
“เอาอย่างนั้นรึ”
ไต้ก๋งชางพยักหน้ายืนยัน แถนยอมทำตามวิ่งกลับไปที่เรือนบ่าว ไต้ก๋งรีบออกไปตลาดทันที

ฝ่ายรำเพยป้อนยาขุนทนงค์ จนกินไม่ไหว บอกให้รำเพยหยุดก่อน
“พอก่อนลูก พ่อกินยามากกว่านี้ก็ไม่ได้ช่วยให้ดีขึ้นหรอก”
“ทำไมเจ้าคุณพ่อพูดอย่างนี้ล่ะเจ้าคะ”
“พ่อพูดจริง นี่ก็รักษามาตั้งหลายหมอแล้ว ยาไทย ยาฝรั่ง ยาจีนกินมาหมด ถ้าหากมันจะดีขึ้นคงดีขึ้นนานแล้ว”
“ไม่เจ้าค่ะ ลูกไม่เชื่อว่าเจ้าคุณพ่อจะไม่หาย เจ้าคุณพ่อแค่ไม่ยอมรักษาตัว”
ขุนทนงค์ยกมือห้าม
“เชื่อพ่อเถิดรำเพย ลูกต้องยอมรับความจริง จะไม่มียาใดรักษาพ่อได้อีกแล้ว”
“เจ้าคุณพ่อจะทิ้งลูกไปไม่ได้นะเจ้าคะ”
รำเพยน้ำตารื้นโศกศัลย์
“รำเพยเอ๋ย โลกนี้ไม่มีสิ่งใดจีรัง เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไปเป็นเรื่องธรรมดา แต่หากจะมีสิ่งใดที่ทำให้พ่อไม่อยากจากไป สิ่งนั้นก็คือลูก”
ขุนทนงค์ลูบหัวรำเพย แววตาทั้งรักและเป็นห่วง
“พ่อเป็นห่วงลูกเหลือเกินรำเพย พ่ออยากให้มีคนที่ดีมาดูแลลูกตลอดชีวิตแทนพ่อได้ ใครสักคนที่ดีและรักลูกเหมือนกับพ่อ”
“ไม่มีใครดูแลลูกได้ดีกว่าเจ้าคุณพ่อหรอกเจ้าค่ะ”
“พ่อว่าพ่อเจอคนนั้นแล้ว อยู่ที่ว่าลูกจะยอมรับหรือไม่”
รำเพยแปลกใจ “ใครกันหรือเจ้าคะ”
“พ่อคิดจะฝากฝังลูกไว้กับไต้ก๋งชาง ลูกเห็นเป็นเช่นไร”
รำเพยชะงัก มีสีหน้าลำบากใจขึ้นมาทันที
“ลูก ไม่ได้ชอบพอในตัวเขาเยี่ยงหนุ่มสาว”
“ความรักนั้นต้องใช้เวลา แต่หากเลือกได้ พ่ออยากเลือกคนที่ดีให้ลูก ไต้ก๋งชางเป็นคนดี ขยันขันแข็งและซื่อสัตย์ เขาจะดูแลลูกได้ดีไม่แพ้ใคร”
รำเพยอึกอัก หน้าแดงนิดๆ ด้วยความขวยเขิน แต่แล้วกลับปฏิเสธเสียงแข็งออกมาอีก
“แต่ลูกยืนยันว่าไม่ได้รู้สึกอย่างนั้นกับไต้ก๋ง และคงจะไม่มีวันรักใครง่ายๆ หากเลือกได้ ลูกอยากจะออกเรือนไปกับชายที่ลูกรักจากใจจริงเช่นกันเจ้าค่ะ”
รำเพยก้มหน้าไม่ยอมสบตาบิดา ขุนทนงค์หนักใจ

เหตุการณ์อีกฝั่ง ไต้ก๋งชาง แถน พร้อมกับบ่าวในเรือนหลายคน มาถึงตลาดใหม่ พบว่าไฟกำลังลุกไหม้จึงเข้าไปช่วยกันดับไฟ แถนตามไต้ก๋งชางมาพร้อมกับชาวบ้านคนอื่น
“ข้าตามชาวบ้านมาช่วยแล้ว”
“รีบแยกย้ายไปเอาน้ำมาดับไฟเร็วเข้า ถ้าตลาดไม่เสียหาย ข้าจะลดค่าเช่าให้ครึ่งหนึ่ง”
ชาวบ้านชายหญิงได้ยินต่างก็แยกย้ายกันไปช่วยดับไฟ กันอย่างแข็งขัน
งามตาเดินมาดู เห็นไฟไหม้ก็หน้าเสีย จนมีแม่ค้าคนหนึ่งวิ่งผ่านมาเห็น
“อีงามตา ทำอะไรอยู่ ช่วยกันดับไฟเร็วเข้า เดี๋ยวก็ไม่มีที่หากินหรอก”
งามตาพยักหน้ารับแกนๆ แล้วทำเป็นเข้าไปช่วยหยิบๆ จับๆ วิ่งไปวิ่งมา แต่ไม่ได้หิ้วน้ำช่วยดับไฟจริงจัง

อีกฟาก รำเพยห่มผ้าให้บิดา รอจนขุนทนงค์หลับ จึงออกจากห้องมาเรียกหาบ่าว
“กล่ำ นายแถน สน เลื่อน มีใครอยู่แถวนี้บ้าง”
ไม่มีเสียงตอบ รำเพยเริ่มเอะใจ
“หายไปไหนกันหมดนะ”
ยังไม่มีเสียงตอบจากใครอีก รำเพยแปลกใจมองจนทั่วแต่ไม่มีใคร เลยเดินออกจากเรือนจะไปดู

รำเพยเดินไปหานมขามที่เรือนบ่าว
“นมขาม…นมขามจ๊ะ”
นมขามได้ยินเสียงเรียกรีบออกมาหา
“คุณรำเพย มีอะไรหรือเจ้าคะมาหานมเสียค่ำมืด”
“ฉันจะถามนมหน่อยน่ะจ้ะ ว่าบ่าวหายไปไหนหมด ฉันเรียกแล้วไม่มีใครขานเลย”
นมขามไม่อยากให้คุณหนูรู้เรื่องไฟไหม้เลยตอบเลี่ยงไป
“เอ่อ...พวกบ่าวถูกเกณฑ์ไปช่วยงานที่ตลาดน่ะเจ้าค่ะ คงยังไม่กลับมากัน”
“งั้นหรือจ๊ะ ที่ตลาดมีอะไรกัน ถึงต้องไปกันหมด”
“เห็นว่า...จะมีงานกระมังเจ้าคะ” นมขามรีบเปลี่ยนเรื่อง “ท่านขุนหลับแล้วหรือเจ้าคะ”
“จ้ะนม ฉันเอายาหมอไปให้เจ้าคุณพ่อ คุยกันนิดหน่อยท่านก็เพลียจนหลับไป”
พอพูดถึงขุนทนงค์รำเพยก็มีสีหน้าแปลกๆ แถมดูกระอึกกระอักพิกล นมขามเลยถาม
“ท่านขุนไม่ได้ดุอะไรคุณรำเพยใช่ไหมเจ้าคะ”
“ไม่ใช่หรอกจ้ะนม ฉันคุยเรื่องอื่น…”
รำเพยพูดไม่ค่อยออก เพราะอาย นมขามมองจ้องเชิงถาม รำเพยเลยยอมเล่า
“เจ้าคุณพ่อจะจับคู่ให้ฉันน่ะจ้ะ”
นมขามแปลกใจ “ท่านขุนจะให้คุณรำเพยไปดูตัวแล้วหรือเจ้าคะ”
“มันก็ไม่เชิงหรอกจ้ะ แต่ฉันไม่ได้อยากให้เจ้าคุณพ่อทำอย่างนี้เลย ฉันยังไม่พร้อมจะออกเรือนไปกับใคร”
“แต่คุณรำเพยก็ถึงเวลาจะออกเรือนได้แล้ว ทำไมถึงว่าไม่พร้อมล่ะเจ้าคะ”
“ถ้าออกเรือนไปกับคนที่เหมาะสมก็คงดีจ้ะ แต่ถ้าเป็นคนอื่น…ฉันไม่แน่ใจ”
“ชายหนุ่มคนไหนกันเจ้าคะ ที่ทำให้คุณรำเพยไม่แน่ใจ”
รำเพยกระดากปากไม่กล้าบอกตรงๆ เลยพูดเป็นนัยๆ แทน
“คนไม่ใกล้ไม่ไกลนี่ละ ท่าทางก็ดูเอาการเอางานดี เสียแต่ว่าเป็นพวกเจ๊กตื่นไฟ”
นมขามนึกออกทันที
“อย่าบอกนะเจ้าคะว่าเป็นไต้ก๋งชาง”
รำเพยอาย ไม่อยากจะพูดต่อความอะไรอีก นมขามแปลกใจไม่คลาย
“จริงหรือเจ้าคะ ชายหนุ่มในพระนครดีๆ มีตั้งมากมาย ท่านขุนเองก็กว้างขวาง เหตุใดจึงเลือกไต้ก๋ง”
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันจ้ะนม”
“หรือเพราะท่านขุนป่วยอยู่ ไต้ก๋งชางพูดอะไรจึงเชื่อไปหมด โธ่ คุณของนม นมจะช่วยคุณได้อย่างไรดี”
นมขามลูบหลังปลอบ รำเพยสีหน้าเป็นกังวลไม่หาย

ชาวบ้านที่ตลาดช่วยกันดับไฟได้จนหมด ตลาดถูกไฟไหม้ แต่ไม่เสียหายมากนัก
“ไฟดับหมดแล้ว”
ชาวบ้านทุกคนได้ยิน ต่างก็ตะโกนร้องเฮด้วยความดีใจ
แถนเดินมาหาไต้ก๋งชางที่นั่งพักอยู่ ท่าทางดูเหนื่อยล้า แต่ก็ยังยิ้มออก
“ไฟดับแล้วไต้ก๋ง รอดไปที ข้าไปดูแล้วเสียหายไม่มาก น่าจะซ่อมแซมได้”
“งั้นหรือ ไม่เป็นอะไรมากกก็ดีแล้ว เราไปตรวจดูกันเถอะ”
ชางจะลุกขึ้น แต่เกิดเจ็บแผลจนล้มลงไป
“ไต้ก๋ง”
แถนตกใจเข้าไปดู เห็นเป็นรอยไฟไหม้ที่ขาไต้ก๋งชาง
“ไต้ก๋งบาดเจ็บนี่”

ก้อนกับเลื่อนซุ่มดูเหตุการณ์ที่ตลาด พอเห็นไฟดับลงแล้วก็พากันเจ็บใจ โดยเฉพาะก้อน
“พวกนั้นคงดับไฟได้หมดแล้วแน่พี่ก้อน”
“ช่างมัน ดับได้ก็ดับไป ยังไงข้าก็ไม่รามือแค่นี้แน่”
“พี่มีแผนอื่นรอไว้แล้วรึ”
“เออ กลับไปที่เรือนก่อน แล้วข้าจะบอกเองว่าต้องทำอะไร”
ก้อนกับเลื่อนเอาผ้าดำมาปิดคาดหน้าเห็นแค่ตา แล้วรีบหลบออกไปทันที

รำเพยกลับมาเฝ้าพ่อที่ห้อง มองขุนทนงค์แล้วซึมไป
“เจ้าคุณพ่อ ลูกจะไว้ใจไต้ก๋งชางได้จริงหรือ เจ้าคุณพ่อคิดอะไรอยู่กันแน่”
รำเพยถอนหายใจ ลุกขึ้นจัดข้าวของให้ขุนทนงค์เป็นครั้งสุดท้าย แล้วจึงหยิบถาดยาของพ่อลุกออกไป

รำเพยจะเดินกลับห้องตัวเอง แต่แล้วต้องชะงักตกใจเมื่อจูๆ มีไอ้โม่งสองคนบุกมาจับตัวไว้ ถาดยาในมือร่วงลงพื้นเสียงดังเคล้ง รำเพยตกใจร้องกรี๊ด
“อ๊าย”
ก้อนรีบปิดปากรำเพยไม่ให้ร้อง พยักพเยิดให้เลื่อนช่วยกันลากรำเพยลงเรือนไป
ขุนทนงค์นอนอยู่ได้ยินเสียงร้องของรำเพยก็สะดุ้งตื่นขึ้นมา เสียงนั้นเงียบหายไปแล้ว ขุนทนงค์มองไปรอบๆ เรียกหารำเพย
“รำเพย...รำเพย”
ไม่มีเสียงตอบ ขุนทนงค์ชักเอะใจเลยลุกออกไปดู

ด้านกล่ำช่วยแถนหาผ้ามาพันขาให้ไต้ก๋งชางลวกๆ ไปก่อน บอกไต้ก๋งอย่างเป็นห่วง
“ไต้ก๋งไปให้หมอดูแผลก่อนดีไหมจ๊ะ”
“แผลแค่นี้เล็กน้อยน่ะ ข้าทนได้ พาข้ากลับเรือนเถิด”
“ไต้ก๋งจะกลับเรือนทั้งสภาพนี้น่ะหรือ ถึงไม่หาหมอนั่งพักเสียก่อนก็ยังดี” แถนท้วง
“ข้าเป็นห่วงท่านขุนกับคุณรำเพย ไม่รู้ป่านนี้จะเป็นเยี่ยงไร ข้าอยากกลับไปดู”
“ไต้ก๋งนี่ดื้อเสียจริง เอาเถอะ ข้าจะช่วยก็ได้”
แถนช่วยพยุงไต้ก๋งชางให้ลุกขึ้น แล้วพากันเดินกลับไปที่เรือน

ขุนทนงค์เดินออกมาหน้าห้อง มองหารำเพย
“รำเพย”
พอมองหาจนทั่วแล้วไม่เห็นใคร ขุนทนงค์เดินหาต่อ แต่กลับสะดุดอะไรสักอย่างบนพื้น ท่านขุนมองชัดๆ เห็นถาดยาตกอยู่ ข้าวของกระจัดกระจาย
“รำเพย”
ขุนทนงค์ใจหาย รีบเดินตามหาลูกอย่างทุลักทุเล จนกระทั่งเดินไปสุดทางหนึ่งก็ได้ยินเสียงรำเพยดังแว่วมา
“ช่วยด้วย...ช่วยด้วย”
ขุนทนงค์ตามมาจนถึงบันไดเรือน เห็นหลังไวๆ ของไอ้โม่งชุดดำสองคนฉุดกระชากรำเพยไป ท่านขุน จะรีบตาม แต่พอก้าวข้าลงบันไดมาขั้นเดียวก็เกิดเจ็บหน้าอก ทรุดลง ได้แต่มองดูไอ้โม่งฉุดพารำเพยหายเข้าไปในสวนต่อหน้าต่อตา ขุนทนงค์สิ้นแรงตามไปไม่ไหว กุมหน้าอก หายใจหอบด้วยความเจ็บปวด
ในที่สุดขุนทนงค์ก็หมดแรง ตกลงจากบันไดเรือน ลงไปนอนแน่นิ่งสลบคาตีนบันได ไม่รู้เป็นหรือตาย!

ก้อนกับเลื่อนฉุดพารำเพยมาที่กระท่อมร้างท้ายสวน ก้อนผลักรำเพยเข้าไปข้างในอย่างไม่ปรานีปราศรัยร่างรำเพยกระแทกพื้นเต็มแรง ก้อนหันมาสั่งเลื่อนเบาๆ
“ไอ้เลื่อน เอ็งออกไปเฝ้าด้านนอก เดี๋ยวทางนี้…ข้าจะจัดการเอง”
เลื่อนออกไปทันที ก้อนหันไปมองรำเพยด้วยแววตาหื่นกระหาย รำเพยกระเถิบหนี พนมมือร้องขอความเมตตา
“อย่าทำอะไรฉันเลยนะจ๊ะ ฉันขอร้อง”
ก้อนขยับเข้ามาใกล้ เชยคางรำเพยไว้
“กูรอโอกาสนี้มานานแล้ว ยังไงมึงก็ไม่รอดแน่”

ก้อนผลักรำเพยลง จ้องมองด้วยแววตาหื่นเหี้ยม คิดจะข่มขืนลูกสาวเจ้านายของมัน

อ่านต่อ ตอนที่3

#เสน่ห์นางครวญ #ช่อง8 #thaich8


กำลังโหลดความคิดเห็น