xs
xsm
sm
md
lg

เสน่ห์นางครวญ ตอนที่ 1

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


เสน่ห์นางครวญ ตอนที่ 1

บทประพันธ์ : หงส์หยก บทโทรทัศน์ : พิชฌสินี

ในท้องทะเลอันกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา ท้องน้ำสะท้อนเปลวแดดเป็นประกายระยิบระยับ เรือสำเภาจีนขนาดใหญ่ลำหนึ่ง บรรทุกลูกเรือ 10 กว่าคน แล่นใบมา เคลื่อนไหวโยกโยนไปตามแรงลมทะเล ดูยิ่งใหญ่และน่าเกรงขาม

เวลานั้นมันเป็นห้วงเวลาของสยามประเทศ ในปีพุทธศักราช ๒๔๕๐

ภายในห้องบังคับเรือ ชาง หรือ ไต้ก๋งชาง กำลังใช้กล้องส่องทางไกลมองไปยังแผ่นดินแดนสยามที่เห็นอยู่ไกลลิบ ผมของเขาที่ยาวเกือบครึ่งหลังถักเปียเรียบร้อยตามแบบฉบับชายชาวจีนยุคนั้น
ชางลดกล้องลงมา เผยให้เห็นแววตาอันเด็ดเดี่ยวและเข้มแข็ง ดูน่าเกรงขาม แต่ก็มีความอ่อนโยนและสัตย์ซื่ออยู่ในที เขายิ้มออกมาอย่างตื่นเต้นดีใจ
“เห็นสีเขียวขจีของผืนดินมาแต่ไกล เรากำลังจะถึงแผ่นดินสยามแล้ว”
ปิง นายท้ายเรือ หันมายิ้มกับไต้ก๋งอย่างดีใจเช่นกัน
“เช้าวันพรุ่งก็น่าจะถึง”
“สินค้าของเราคงจะขายหมดภายในเวลาไม่นาน...เหมือนกับทุกครั้ง”
ชางจับหยกลายมังกรที่ห้อยติดคอมาจากแผ่นดินใหญ่บ้านเกิด เรียกพลังความเชื่อมั่น พลางมองไปที่ผืนแผ่นดินเบื้องหน้าอย่างมีความหวัง
เสียงร้องเพลงงิ้วปนกับเสียงหวีดหวิวของลมทะเลดังแว่วมา

ไต้ก๋งชางออกมาสูดอากาศบนเรือมุมหนึ่ง ทอดสายตามองไปยังทะเลกว้างไกลตรงหน้า ร้องเพลงงิ้วออกมาอย่างอารมณ์ดี
“ลิขิตแห่งมังกรหาญกล้า อดทนฝ่าชะตาหวังสุขสม ผ่านวสันต์เศร้าเหมันต์ระทม จากอารมณ์ล้วนก่อเกิดมา เพียงพบว่าอำนาจฤาวาสนา ล้วนไร้ค่าในกาลอวสาน”
จิวเดินมาเห็นเข้า ก็เข้าไปทัก
“เพลงงิ้วนี้ไพเราะยิ่งนัก มาจากเรื่องใดรึไต้ก๋ง”
ไต้ก๋งชางหันมาเจอจิวก็หยุดร้อง ยิ้มอย่างอารมณ์ดี
“เป็นงิ้วเรื่องที่อั๊วชอบที่สุด ดูกี่ครั้งกี่คราก็ไม่เบื่อ คงจะเป็นชะตาลิขิต...”
“ชะตาลิขิตให้ท่านชอบงิ้วเรื่องนี้น่ะรึ”
“เพราะชื่อเรื่องนั้นคือ ‘ลิขิตเลือดมังกร’ อย่างไรเล่า”
พร้อมกับว่า ไต้ก๋งชางหัวเราะเริงร่า จิวหัวเราะอย่างเข้าใจ ชางเริ่มร้องเพลงงิ้วอีกครั้ง
จิวยืนฟังเงียบๆ อย่างเพลิดเพลิน พลางมองไปด้านหน้า สีหน้าเริ่มเปลี่ยนเป็นเครียดเคร่ง เมื่อเห็นท้องฟ้าเริ่มขมุกขมัว ลมพัดแรงขึ้น จิวรู้สึกไม่ชอบมาพากล
“ดูฟ้าด้านโน้นสิไต้ก๋ง มืดครึ้มราวกับพายุจะเข้าอย่างไรไม่รู้”
ชางมองตามเห็นท้องฟ้ามืดครึ้มขึ้นเรื่อยๆ เริ่มรู้สึกไม่ดีเหมือนกัน หันไปสั่งจิว
“ลื้อไปบอกลูกเรือ รีบเร่งเข้าเถิด เราควรถึงฝั่งก่อนพายุจะเข้า”
จิวพยักหน้าแล้วรีบเดินไปทางห้องบังคับเรือ ไต้ก๋งชางมีสีหน้าเป็นกังวล

ชายชาวจีนสูงวัย เส้นผมยาวเกือบครึ่งหลังถักเปียเรียบร้อยไม่ให้รกรุงรัง เสื้อแขนยาวคอตั้งกับกางเกงขายาวสีหม่น บ่งบอกความเป็นจีนโดยแท้ ชายชรากำลังนั่งหลังพิงกราบเรือ เป่าขลุ่ยท่วงทำนองวังเวงคล้ายบทเพลงแสนเศร้า
สักครู่หนึ่ง เสียงขลุ่ยหยุดลงดื้อๆ มือข้างหนึ่งลดลงช้าๆ แววตาเจ้าของเพลงขลุ่ยเหม่อลอยไปไกล ครุ่นคิดอะไรบางอย่าง พลันเสียงหนึ่งทักทายดังเข้ามาเป็นภาษาจีน
“ทำไมหยุดเสียเล่าท่านซินแส”
ซินแสผินหน้าไปทางต้นเสียง เห็นไต้ก๋งชางกำลังเดินขึ้นมาพร้อมข้าวต้มสองถ้วยในมือ
“มากินข้าวกันเถอะ ข้าเอามาเผื่อซินแสด้วย”
ชางบอกพร้อมวางถ้วยข้าวต้มลงที่พื้นเรือ แสดงให้เห็นถึงการกินอยู่ในแบบง่ายๆ
ซินแสขยับกายลุกขึ้น แต่เมื่อเรือโคลงเคลงจึงเซเสียหลักทำท่าจะล้ม ไต้ก๋งชางพุ่งถลาเข้าพยุงไว้ได้ทัน
“เกือบไปแล้วไหมล่ะ ค่อยๆ เดิน”
“ขอบใจ วันนี้ลมแรงกว่าทุกวัน คลื่นแรง ทุกอย่างแรงกว่าที่คิดไว้”
ไต้ก๋งชางมองตามสายตาซินแส เห็นท้องฟ้าด้านบนมีสีแดงและเหลืองสลับกัน กลุ่มเมฆดำมวลขนาดใหญ่เคลื่อนตัวหนาตาขึ้นอย่างรวดเร็ว เขาตัดบทไม่ใส่ใจหันมาตั้งคำถาม
“วันนี้ทำไมเพลงขลุ่ยดูเศร้านักเล่าซินแส”
“สายน้ำพลิกผัน ดวงตะวันจะอับแสง”
“ข้าไม่เข้าใจ”
“ดวงชะตาของทุกผู้บนเรือจะถึงกาลวิบัติ จะเหลือเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น”
ไต้ก๋งชางชะงักงันกับคำทำนาย หากแต่ก็เปลี่ยนเป็นหัวเราะอย่างนึกขัน
“พูดเล่นอีกแล้ว ถ้ามีคนตายก็คงตายกันหมดนั่นแหละท่านซินแส”
ซินแสนิ่งมองสบตาเป็นจริงเป็นจัง พลางบอกด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“ในแววตาของเจ้าบ่งบอกว่ามีดาวเมฆาคุ้มครอง เห็นแก่ที่เจ้าและข้าล่องเรือกันมาหลายเมือง ข้าจึงอยากทำนายดวงชะตาให้เจ้า เผื่อว่าในวันหนึ่ง คำทำนายของข้าจะเป็นเครื่องเตือนสติเอาไว้”
“ซินแสก็รู้ว่าข้าไม่ชอบเรื่องแบบนี้ ข้าไม่ค่อยเชื่อคำทำนายใดๆ แต่ข้าเชื่อตัวเองอีกอย่างเราก็คงไม่ได้จากกันไปไหน ถึงจะจากไปข้าก็ตามหาซินแสได้”
ชายชราไม่ได้สนใจฟังสิ่งที่อีกฝ่ายเอื้อนเอ่ย หากแต่ตั้งใจบอกคำทำนายออกมาดื้อๆ
“ดวงชะตาของเจ้าจะได้เป็นใหญ่เป็นโตในภายภาคหน้า แต่จะมีบางสิ่งนำมาซึ่งกาลวิบัติ”
แววตาของชางหวั่นไหวกับคำทำนายนิดหนึ่ง
“เจ้าจะพบภรรยาที่ค้ำชู หากแต่เมื่อใดที่คิดนอกใจ เมื่อนั้นชะตาชีวิตของเจ้าจะพลิกผัน นำมาแต่เรื่องร้าย ไม่ว่าเจ้าจะมีภรรยามากมายสักแค่ไหน ก็ล้วนต้องคบชู้สู่ชายนอกใจเจ้า ดวงดาวประจำตัวที่คุ้มครองจะแปลงเปลี่ยน สิ่งร้ายๆ และหายนะต่างๆ จะถาโถมเข้ามาที่เจ้าเพียงผู้เดียว”
“ข้าไม่อยากฟัง”
ไต้ก๋งชางเริ่มขัดอารมณ์ แต่ซินแสยังพูดนิ่งๆ
“จดจำคำข้าเอาไว้”
“เหลวไหลทั้งนั้น ข้าเชื่อในภาษิตว่า ผู้มีใจตั้งมั่นย่อมชนะฟ้า ผู้ไร้ความตั้งมั่นฟ้าย่อมชนะคน”
ชางบอกพลางเดินหนีไปดื้อๆ อย่างหัวเสีย
“เปลี่ยนน้ำ เปลี่ยนฟ้า เปลี่ยนชะตา...”

ไต้ก๋งชางเดินหัวเสียออกมา จิวเห็นสีหน้าก็แปลกใจ
“อ้าวไต้ก๋ง ขุ่นใจเรื่องใด หน้าบูดบึ้งบอกบุญไม่รับ”
“ซินแสน่ะสิ ทำนายดวงชะตาไร้สาระ อั๊วบอกว่าไม่อยากฟังก็ทำนายให้”
“ซินแสนี่ก็แปลก ทีอั๊วขอร้องให้ทำนายตั้งหลายครั้งไม่ทำนาย ลื้อน่ะโชคดีกว่าใครเลยนะ ที่ซินแสทำนายให้”
“แต่อั๊วไม่ชอบ”
ยังไม่ทันที่ชางจะเดินกลับเข้าไปถึงด้านใน จู่ๆ ก็มีสายลมแรงโหมกระหน่ำเข้ามาโดยไม่มีปี่มีขลุ่ย คลื่นทะเลก่อตัวเป็นก้อนใหญ่ ม้วนเป็นเกลียวสาดซัดเข้ามาในเรืออย่างดุดัน ท้องฟ้าโดยรอบมืดทะมึนเป็นสีดำ น่ากลัวสุดจะประมาณ
น้ำทะเลเหมือนมีลมแรงหอบลอยแหวกเป็นทางยาวสู่ท้องฟ้าด้านบน มองคล้ายกรวยใหญ่ในอากาศ คลื่นยักษ์ขนาดใหญ่ถาโถมเข้าใส่เรือลูกแล้วลูกเล่า
คลื่นลมซัดเรือสำเภาไหวเอนไปมา ท่ามกลางลมพายุที่แรงขึ้นเรื่อยๆ
ไต้ก๋งชางสั่งงานดังแข่งกับเสียงพายุที่พัดอึง
“ลดใบลง รีบลดใบลง เร็วเข้า”
ไต้ก๋งกับลูกเรือช่วยกันลดใบเรือลง ท่ามกลางพายุที่โหมกระหน่ำ คลื่นซัดน้ำทะเลเข้ามาในเรือไม่ยั้ง จนเรือโคลงเคลงไปมาไร้ทิศทาง ขณะที่ฝนตกจนทุกคนตัวเปียกปอน แต่ก็ยังต่อสู้กับคลื่นลมจนลดใบเรือลงได้
แต่แล้วในขณะที่ทุกคนโล่งอกที่ทำภารกิจสำเร็จไปหนึ่งอย่าง ซินแสก็เซจนตกจากเรือลงไป
ทุกคนตกตะลึง โดยเฉพาะไต้ก๋งชางร้องสุดเสียง “ซินแส”
ไต้ก๋งชางทำท่าจะกระโดดลงไปช่วย แต่ปิงกับจิวช่วยกันคว้าตัวเอาไว้ก่อน
“อย่านะไต้ก๋ง ลงไปก็ตายเปล่าๆ”
“แล้วจะปล่อยให้ซินแสตายไปต่อหน้าต่อตางั้นเหรอ”
“ไม่มีประโยชน์ ไต้ก๋งต้องรักษาตัวเอาไว้ดูแลลูกน้องที่เหลืออีกหลายสิบคน เราช่วยซินแสไม่ได้หรอก”
ชางทรุดตัวลง น้ำตาไหลอย่างเจ็บปวดที่ช่วยเหลือลูกเรือไว้ไม่ได้
เพียงเสี้ยววินาที เรือก็ถูกคลื่นยักษ์ถาโถมเข้ามาอีก นอกจากเรือจะโคลงเคลงไปมา กระแสน้ำยังลากพาร่างแต่ละคนไหลลู่ลงสู่ทะเลเพียงชั่วพริบตา
ไต้ก๋งชางมือจับยึดขอบเรือเอาไว้แน่น คว้าร่างของอาปิงที่กำลังจะตกทะเลเอาไว้ได้
“อาปิง ลื้อจับแน่นๆ นะ”
“ไต้ก๋งปล่อยมืออั๊วเถอะ ไม่งั้นจะไม่รอดทั้งคู่”
“ไม่ ถ้าตายก็ตายด้วยกัน ลื้อขึ้นมาเกาะไว้ เร็วเข้า”
ไต้ก๋งชางพยายามดึงอาปิงขึ้นมาเกาะขอบเรือไว้ได้ ทั้งสองโล่งใจ
“ขอบคุณไต้ก๋ง”
“ไม่เป็นไร ลื้อกับอั๊วเราจะร่วมเป็นร่วมตายกัน เราจะไปถึงสยามด้วยกันสัญญานะอาปิง”
“อั๊วสัญญ”
ยังพูดไม่ทันจบ ร่างของอาปิงก็ถูกคลื่นลูกใหญ่ยักษ์ซัดจมลงทะเลหายไปต่อหน้าต่อตา
“อาปิง”
ไต้ก๋งชางร้องสุดเสียง กอดเสาเรือไว้แน่น ร่างที่โอนเอนของชางจ้องมองภาพแต่ละคนหายไปกับท้องทะเลทีละคนๆ อีกมือยังจับหยกไว้แน่นก่อนที่ร่างจะซวนเซล้มลงไปอีกคน
พริบตาเดียว ทุกสรรพสิ่งบนเรืออันตรธานหายไป แม้แต่เรือสำเภา สายฝนยังเทกระหน่ำอย่างหนักหน่วงไม่มีท่าทีจะหยุดง่ายๆ สายฟ้าฟาดเปรี้ยงแหวกช่องอากาศสว่างวาบเป็นแนวยาว มองเห็นเรือสำเภาโบราณค่อยๆ ดำดิ่งลงสู่ใต้ท้องทะเลลึก

เช้าวันรุ่งขึ้น ดวงอาทิตย์ลอยลำขึ้นช้าๆ จนโผล่พ้นขอบฟ้า มีสายหมอกยามเช้าคลอเคลียอยู่บางๆ
ต้นไม้ใบหญ้าในวัดมีหยดน้ำเกาะพราว ร่องรอยจากฝนที่ตกกระหน่ำเมื่อคืนให้เห็น พื้นวัดชื้นแฉะ มีรอยน้ำขังเป็นหย่อมๆ
เสียงระฆังดังเหง่งหง่าง ตามด้วยเสียงพระสวดแว่วมาจากศาลาการเปรียญ
ตอนสาย หลวงพ่อดำ เจ้าอาวาส กำลังกำกับให้เด็กวัดช่วยกันกวาดลานวัดที่เต็มไปด้วยเศษต้นไม้ใบหญ้าที่ถูกพายุพัดเมื่อคืน
“ช่วยกันหน่อย เร็วเข้าไอ้จุก ไอ้เดช ไอ้ลาย พายุเมื่อคืนนี่มันแรงเหลือเกิน ต้นมะขามหลังกุฏิถึงกับโค่นไปเกือบทับหลังคาเสียแล้ว”
แต่แล้วทุกคนก็ชะงักมอง เมื่อได้ยินเสียงตะโกนมาแต่ไกล
“หลวงพ่อขอรับ เกิดเรื่องใหญ่ขอรับ”
มั่นกระหืดกระหอบมาด้วยหน้าตาตื่น
“มีอันใดโยมมั่น”
“สงสัยเรือสำเภาพวกเจ๊กล่มเมื่อคืนขอรับ ศพคนเรือตายเกลื่อนลอยมาติดหาดเป็นสิบ ตอนนี้ผู้ใหญ่กับลูกบ้านลำเลียงเอาศพมาไว้ที่ศาลาแล้วขอรับ”
พวกเด็กวัดอุทานลั่น “หา ตายเป็นสิบ”
มั่นบอกกับหลวงพ่ออีกว่า “มีไอ้คนหนึ่ง มันยังหายใจ ผู้ใหญ่กำลังให้หมอยามาดูมัน มิมีใครกล้าเอามันเข้าบ้าน เพราะกลัวมันตายคาเรือน ผู้ใหญ่เลยให้เอามาที่ศาลาด้วยขอรับ”
เหล่าเด็กวัดที่ตั้งอกตั้งใจฟัง วิ่งเร็วจี๋ออกไปโดยไม่รั้งรอ
“เฮ้ย นั่นจะไปที่ใดกัน งานยังไม่แล้วเสร็จ”
“ประเดี๋ยวจะกลับมาขอรับ ตอนนี้ขอไปดูศพคนตายก่อน” เดชว่า
พวกเด็กวัดพร้อมใจกันวิ่งลับหายไป
หลวงพ่อหันมาส่ายหน้ากับมั่นแล้วถอนหายใจปลงๆ

บนศาลาวัดยามนี้ กำลังวุ่นวายไปด้วยกลุ่มชาวบ้านที่พากันเข้ามาดูศพชาวจีนกว่า 10 ศพที่ถูกลำเลียงเข้ามาวางนอนเรียงกันบนศาลา แต่ละศพอยู่ในสภาพขาวซีดเนื้อตัวเปียกปอน บางศพเสื้อผ้าขาดวิ่นหลุดลุ่ยไม่เข้าทรง
ผู้ใหญ่ด้วง ผู้ใหญ่บ้านบ้านลำพระพาย กับหมอยาเขียวกำลังช่วยกันบีบนวดไต้ก๋งชาง ที่ยังสลบไสลไม่ได้สติ มีผ้าห่มคลุมร่าง ใบหน้ามีคราบเลือดแห้งกรังและรอยฟกช้ำ ชาวบ้านที่อยู่ด้วยกัน บ้างก็เอาการบูรให้สูดดม บ้างช่วยกันพัดวีบีบนวดให้ สายตาแต่ละคนมองลุ้น ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะฟื้นขึ้นมา
“ทำไมยังไม่ฟื้นเลยหมอ คงจะไม่รอดละมัง” ด้วงว่า
ยังไม่ทันที่หมอจะตอบ ชางก็เริ่มรู้สึกตัวกะพริบตาถี่ๆ
เสียงชาวบ้านฮือฮา พากันเข้ามารุมล้อม ยื่นหน้าเข้าไปใกล้อย่างตื่นเต้น
“ฟื้นแล้ว”
“เฮ้ย”
หมอยาเขียวตะโกนขึ้นมาดังๆ พาเอากลุ่มไทยมุงผงะถอยทั้งแถบ
“รุมกันเข้ามาประเดี๋ยวมันก็ตายจริงดอก ออกไปให้ลมเข้า มันจะได้หายใจคล่องๆ”
หลวงพ่อดำมาถึงพอดี เห็นหมอยาเขียวกำลังเอามือจับชีพจรตรวจดูอีกครั้ง สีหน้าของชางดูมีเลือดฝาดขึ้นมาบ้าง
“พอไหวรึไม่ท่านเขียว” หลวงพ่อดำถาม
“ไหวขอรับ ดีกว่าเมื่อกี้”
หมอยาเขียวเอายาให้ดม ใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดหน้าให้อีกครั้ง ค่อยประคองให้ลุกขึ้นมานั่งช้าๆ
“จะทำเช่นไรพูดกับมันเล่า ผู้ใดพูดภาษาเจ๊กเป็นบ้าง”
หลวงพ่อหันมาทางชาวบ้านที่ล้อมอยู่ แต่ละคนพากันส่ายหน้าทั้งแถบ
“วะ งั้นก็ลองภาษาใบ้สิท่านเขียว ถามว่ามันเจ็บตรงไหนรึไม่”
หมอยายิ้มเห็นด้วย คิดหาท่าทางส่งภาษา เอามือจับตั้งแต่ศีรษะของไต้ก๋งชาง เรื่อยลงมาจนถึงปลายเท้าแล้วถามเป็นภาษาไทย
“เอ็งเจ็บตรงไหนหรือไม่”
ชางยังเงียบนิ่ง ไม่ตอบโต้ใดๆ ด้วยยังมึนงงไม่หาย ชาวบ้านที่รอลุ้นต่างพากันหนักใจไปด้วย หมอยาเขียวลองทำมือใหม่อีกครั้งแล้วรอฟังคำตอบ
“เอ็งเจ็บตรงไหนหรือไม่”
“ข้า...หิว...น้ำ”
ประโยคจากปากไต้ก๋งชางเล่นเอาแต่ละคนอุทานออกมาเป็นเสียงเดียวกันว่า
“หา มันพูดไทยได้”
“นี่เอ็งพูดไทยได้หรอกรึ” เขียวถอนหายใจ “ไอ้เจ๊กเอ้ย ข้าอุตส่าห์คิดภาษาใบ้ทำไม้ทำมือตั้งนาน”
“ข้าเข้ามาติดต่อค้าขายสยามหลายคราว”
“เออ..ข้าเอาแค่ภาษาไทยสื่อสารกับเอ็งได้เป็นพอ”
หลวงพ่อดำยิ้มขัน พลางบอกไปทางนายมั่นที่อยู่ใกล้กัน
“หาน้ำมาให้มันกินก่อนเถิด”
มั่นเลี่ยงออกไป

หมอผีอินเข้ามาสังเกตการณ์ พอเห็นศพที่นอนเรียงรายอยู่ก็ยิ้มกริ่มอย่างพึงใจ เหมือนเห็นเงินทองกองอยู่ตรงหน้า มั่นเอาน้ำมาให้ดื่ม ชางอาการดีขึ้นมาก ไต้ก๋งหนุ่มนึกอะไรได้ รีบยกมือคลำอกเสื้อจนพบว่าหยกที่ห้อยคอยังอยู่ สีหน้าเขาค่อยโล่งใจขึ้นบ้าง
แต่พอมองไปทางศพลูกเรือที่นอนเรียงรายอีกด้าน น้ำตาลูกผู้ชายก็ไหลเอ่อ หากแต่หักห้ามเอาไว้ไม่ให้ทะลักทะลายออกมา
ชาวบ้านที่มองมาต่างพากันสงสาร เห็นใจ และเวทนา หลวงพ่อดำเข้าในความรู้สึกจึงปลอบโยนว่า
“ทำใจเสียเถอะนะโยม เพื่อนตายกันหมด ดีที่ยังรอดมาได้”
“ให้ข้าตายเสียยังดีกว่า” ชางหน้าเศร้าสลด
“ทำไมพูดเช่นนั้นเล่าโยม ชีวิต ยังไงก็ต้องรักษาเอาไว้ มันสำคัญนะ”
“ชีวิตข้าผ่านศึกสงครามมาก็มาก เห็นแต่คนตาย พ่อแม่ก็ตาย พี่น้องระหกระเหินหาไม่เห็นก็เหมือนตายจาก”
“เคยเป็นทหารหรอกรึ”
ไต้ก๋งชางพยักหน้ารับเอาคำ
“เป็นทหาร ที่ต้องมีแต่ความเด็ดเดี่ยวเข้มแข็ง เห็นแต่ความทารุณโหดร้าย หนีทหารออกมาก็ไม่เห็นหน้าพ่อแม่ พี่น้องระหกระเหินไปหากินกันทางใดมิรู้ได้ ข้ากับลูกเรือร่วมกันหาของมาขายในสยาม กลับไปกลับมาอยู่หลายปี บางทีก็อยู่สยามเป็นแรมเดือน ข้าจึงรู้แจ้งภาษาไทย ข้าต้องขอบใจพวกท่าน ที่ช่วยชีวิตข้าไว้”
“เอ็งน่ะโชคดีมากกว่าที่รอดตายมาได้ ว่าแต่เอ็งจะทำเช่นไรต่อไป” มั่นถาม
“ข้ายังมิรู้เลย”
หลวงพ่อดำเอ่ยขึ้นว่า “เอาเถิด อยู่วัดไปก่อน พอรักษาตัวหายดีแล้ว เรื่องอื่นค่อยว่ากัน”
“ขอบคุณหลวงพ่อมากขอรับ”
“ว่าแต่เอ็งน่ะชื่อเรียงเสียงไร จะได้เรียกกันถูก”
“ข้าชื่อชาง...คนบนเรือเรียกเราว่าไต้ก๋งชาง”
“เป็นคนขับเรือดอกรึ”
“ขอรับ”
ด้วงหันไปถามหลวงพ่อ
“แล้วเรื่องศพพวกเจ๊กที่เหลือเล่าขอรับหลวงพ่อ”
“คืนนี้คงต้องเอาไว้แบบนี้ไปก่อน เดี๋ยวอาตมาจะจัดพระมาสวดให้ ไว้วันรุ่งค่อยเผา ดีไหมไต้ก๋ง”
“ข้าอยากฝังมากกว่าขอรับ ประเพณีจีนเราจะฝังขอรับหลวงพ่อ”
“ตามใจ ป่าช้ายังมีที่อีกถมเถ แต่อย่าเอาไว้นานเลยนะโยม เดี๋ยวมีกลิ่นแรงขึ้นมาจะพากันลำบาก ส่วนเอ็งนั้นข้าจะให้นอนกับพวกเด็กวัดไปก่อน ทนไอ้พวกทะโมนมันหน่อยก็แล้วกัน”
“ขอรับ”
หลวงพ่อดำหันมาทางชาวบ้าน “เดี๋ยวใครตามอาตมาไปที่กุฏิ จะให้เอาผ้าขาวมาห่มศพ ปล่อยนอนแบบนี้ไม่ดีแน่”
“จุกเองขอรับ”
จุกขันอาสาแล้ววิ่งตื้ออกไป

ชาวบ้านชายช่วยกันลำเลียงศพของคนตายที่ห่อด้วยผ้าขาวออกมาจากศาลา แล้วตรงไปที่ป่าช้า โดยมีผู้ใหญ่ด้วงคอยดูแล หลายคนสีหน้ารังเกียจขยะแขยง หมอผีอินก็ปะปนอยู่ในชาวบ้าน
“โอย...ศพจมน้ำนี่มันกลิ่นเหลือทนจริงๆ” มั่นบ่น
“กลั้นหายใจไว้อ้ายมั่น” มั่นบอก
“มาๆ ข้าเอง”
หมอผีอินช่วยลำเลียงศพออกไป สีหน้าที่มองศพนั้นไม่มีท่าทีรังเกียจใดๆ มีแต่แผนร้าย

หมอผีอินกับชาวบ้านช่วยลำเลียงศพมาวางเรียงรายอยู่บนพื้นป่าช้า แล้วมองด้วยแววตาวาววับ ด้วงกับชาวบ้านเอามือปิดจมูกอย่างรู้สึกสะอิดสะเอียน
“ข้าว่าต้องมีคนมาเฝ้าศพพวกนี้ด้วย ไม่อย่างนั้นไอ้ด่างอีด่างแถววัดได้กลิ่นมันพากันมาแน่” ด้วงว่า
“ฉันไม่สู้ล่ะจ้ะ ขืนอยู่อีกเดี๋ยวเดียวมีหวังหน้ามืด” มั่นบอก
หมอผีอินอาสา “พวกเอ็งไปเถอะ ข้าเฝ้าศพเอง”
“ขอบใจมากนะหมออิน มีน้ำใจจริงๆ มีศพที่ไหนเป็นได้เจอหมออินทุกที”
“จ้ะผู้ใหญ่ มีอะไรก็ช่วยๆ กัน”
ทุกคนเดินออกไป หมอผีอินมองตามยิ้มกระหยิ่ม
พอทุกคนลับตาไปแล้ว หมอผีอินก็รีบแกะห่อผ้าออก จัดการทำพิธี พนมมือบริกรรมคาถา แล้วเอามีดลงอาคมที่พกมาตัดเส้นผมและตัดเล็บของศพออกมา

ดึกสงัด ในบรรยากาศเงียบวังเวงที่บ้านหมอผีอิน มีเสียงบริกรรมคาถาดังแทรกขึ้นมา ทำให้บรรยากาศหลอนขึ้นไปอีก งามตานอนอยู่ในห้อง ขยับพลิกตัวไปมาท่าทางหงุดหงิด ก่อนผุดลุกขึ้นอย่างหัวเสีย
“โอ๊ย พ่อนะพ่อ นี่มันคาถาภาษาใด ทำไมยืดยาวนัก น่ารำคาญที่สุด คนจะหลับจะนอน”
เพียงครู่ก็ได้ยินเสียงคนสนทนาดังอยู่ใต้ถุนเรือน ฟังมิไม่ได้ศัพท์ หญิงสาวมีท่าทีสนใจก้มลงแนบหูฟัง
“เสียงผู้ใด”
เมื่อได้ยินไม่ถนัด ก็ก้มมองลงไปทางรอยแตกของไม้กระดาน เห็นชายหลายคนใส่เสื้อผ้าตามแบบชาวจีน กำลังเดินวนเวียนอยู่ใต้ถุนเรือนเป็นกลุ่ม สภาพแต่ละคนเนื้อตัวเปียกปอน เดินทื่อไร้ชีวิตชีวา
ภาพตรงหน้าทำเอางามตาผงะ กระเถิบถอยห่างจากช่องไม้ท่าทางตื่นกลัว
“ไอ้พวกเจ๊ก!..มันมาได้เช่นไร..หรือว่า...”
งามตาตัดสินใจเปิดประตูออกไปดู

งามตาย่องออกมาดู แต่ไม่เห็นใครที่ใต้ถุนเหมือนเมื่อครู่ สาวสวยเหลียวมองไปรอบๆ อย่างแปลกใจ เสียงสวดที่ได้ยินก็เงียบลง แต่พองามตาหันกลับไปก็ประจันหน้ากับผีปิงที่หน้าตาเนื้อตัวเปียกโชกไปด้วยเลือดและน้ำเหลือง งามตากรีดร้องดังลั่น
“อ๊าย”
งามตาวิ่งหนี แต่ก็เจอกับผีลูกเรือชาวจีนคนอื่นๆ ที่เดินทื่อรุมล้อมเข้ามาเป็นกลุ่ม งามตาได้แต่ยกมือปัดป้องไปมา
“ไปให้พ้นนะ ไอ้พวกผีเจ๊ก พ่อ...ช่วยด้วย...พ่อ...”
ขาดคำพวกผีก็ถูกสาดอะไรบางอย่างเข้ามา พวกมันท่าทางปวดแสบปวดร้อน แล้วก็ค่อยๆ สลายหายตัวไป งามตาหันไปมอง เห็นหมอผีอินกำลังสวดคาถาใส่มือที่กำข้าวสารเสกอยู่ แล้วปาไปที่ผีเหล่านั้น จนพวกมันหายไป
“โธ่ พ่อนะพ่อ กว่าจะมาช่วยได้”

ภายในห้องทำพิธีบนเรือน หมอผีอินกำลังปิดกล่องไม้เล็กๆ เก็บเข้าไปในย่าม งามตานั่งลงด้วยสีหน้าที่ยังตื่นตระหนกไม่หาย
“ทำไมไอ้ผีพวกนี้มันถึงดุร้ายนักล่ะพ่อ เมื่อก่อนไม่เห็นเคยมายุ่งกับข้าเลย”
“ก็เอ็งนั่นแหละที่ไปยุ่งกับพวกมันก่อน ข้ายังทำพิธีมิทันเสร็จจะลงมาดูทำไม”
“ข้าไม่แน่ใจนี่ว่ามันเป็นผีหรือคน ไม่เคยเห็นพวกเจ๊กเป็นผี พ่อไปเอามาได้ยังไง”
“ข้าเพิ่งได้พวกมันมาจากวัด เลยต้องรีบเข้าพิธีเดี๋ยวพวกมือดีจะชิงไปก่อน”
งามตาเบ้ปาก “ชิงสิ่งใดไม่ชิง มาชิงผี แถวนี้คงมิมีใครได้ไป นอกจากพ่อ จะรีบร้อนไปใย”
“มันเรื่องของข้า”
“ไม่รู้จะปลุกเสกอะไรนักหนา..ผีอะไรต่อผีอะไรก็เอามาเก็บเต็มบ้านไปหมด นี่ถ้าเป็นพวกเงินทอง พ่อคงร่ำรวยไปแล้ว ถามจริงๆ เถอะ พ่อไม่คิดเปลี่ยนอาชีพทำอย่างอื่นบ้างรึ จะได้รวยๆ กับเขาบ้าง”
“บ๊ะ! อีงามตา นี่มันอาชีพข้าที่เลี้ยงเอ็งมาจนโต ถ้ามิเลิกลามปาม จักตบให้ปากเลือดคอยดู”
อินเงื้อมือจะตบ งามตารู้ทันเบี่ยงตัวหลบ
“ก็ข้าพูดผิดที่ไหน ไอ้วิญญาณบ้าบอ ข้าไม่เห็นว่าพวกมันจะทำให้พ่อร่ำรวยขึ้นมาได้ ดูอย่างขุนทนงค์โน่นปะไร มิเห็นฝักใฝ่ทางคุณไสย กลับรวยเอารวยเอา”
“นั่นตระกูลมันคนมียศศักดิ์มาแต่ไหนแต่ไร จะเอาตัวเข้าไปเทียมมันให้เจ็บใจทำไม”
“ก็ข้าอยากรวยเหมือนคนอื่นนี่นา”
“แล้วเอ็งเล่าอีงามตา วันๆ ทาปากแดงเที่ยวเดินชายตาหาผู้ชาย ไอ้คนรวยๆ ก็จับไว้บ้างปะไร แต่อย่าให้มีข่าวเหม็นเน่าเข้าหู กูมิเอามึงไว้แน่”
“ข้ากำลังทำอยู่ พ่อมิรู้รึ”
“ทำอะไรของเอ็ง”
“ก็ทำหน้าที่หาผัวรวยๆ ไงล่ะ ข้าไม่อยู่บ้านไม้เก่าๆ เช่นนี้ไปตลอดดอก จะบอกให้นะพ่อ ข้าน่ะเหมือนมีบางสิ่งบ่งบอกว่าข้าจะต้องได้อยู่บ้านหลังใหญ่ หรือไม่ก็เป็นเมียผู้มียศศักดิ์ ไม่เชื่อคอยดู”
บอกพ่อเพียงแค่นั้น งามตาก็เดินสะบัดกลับออกไป หมอผีอินได้แต่ถอนหายใจมองตาม
“อีงามตาเอ๊ย วันๆ ได้แต่ฝันลมๆ แล้งๆ”

เช้าวันต่อมา หมอเขียวจับชีพจรและตรวจดูอาการของไต้ก๋งชางแล้ว พยักหน้าอย่างพอใจ
“เออ...อาการของเอ็งดีขึ้นมาก แข็งแรงเกือบเป็นปกติแล้วละ”
ตามใบหน้าและเนื้อตัวของชางยังเต็มไปด้วยริ้วรอยของบาดแผล แต่สีหน้าดีขึ้นมาก
“ขอบคุณท่านหมอมาก”
“แล้วนี่เอ็งคิดจะทำเยี่ยงไรต่อไป”
“ข้าจะอยู่รับใช้วัดต่อไปอีกสักพัก แล้วก็หางานในสยามทำไปด้วย”
“เอ็งไม่คิดกลับไปเมืองจีนอีกรึ”
“ข้าไม่เหลือญาติพี่น้องที่นั่นอีกแล้ว ทรัพย์สินที่มีก็จมหายไปพร้อมกับเรือหมดแล้ว คงไม่มีปัญญากลับไปอีก”
เขียวตบบ่าให้กำลังใจชาง
“โอกาสที่นี่มีสำหรับคนขยันขันแข็งอย่างเอ็งเสมอ ไม่ต้องกลัวอดตายหรอก”
ชางพยักหน้ารับเอาคำ นัยน์ตาครุ่นคิดไปไกล

ต่อมาไต้ก๋งชางกำลังปัดกวาดภายในโบสถ์ ระหว่างนั้นมีชายคนหนึ่งและหญิงสาวอีกคนเข้ามาไหว้พระ ชางไม่ได้สนใจอะไรมาก ทำงานต่อไปเรื่อยๆ
ขณะที่ชางหยิบก้านธูปออกจากกระถางจะไปทิ้ง เป็นจังหวะเดียวกับที่หญิงสาวปักธูปลงกระถาง ทำให้ไส้ธูปที่ร้อนหล่นลงบนมือของไต้ก๋งชางพอดี
รำเพยตกใจ “อุ๊ย ขอโทษจ้ะ”
“ไม่เป็นไร...”
เมื่อชางเงยหน้าขึ้นมาเห็นหญิงสาวตรงหน้าก็ถึงกับตะลึงตะไล รำเพยยิ้มหวานให้ ชางมองนิ่งงันไป ทั้งสองสบตากัน โดยที่รำเพยยังไม่ได้คิดอะไร
“เดี๋ยวพ่อจะไปคุยกับหลวงพ่อดำเสียหน่อย จะไปด้วยกันไหม”
รำเพยเขยิบออกไป
“จ้ะพ่อ”
รำเพยออกไปกับขุนทนงค์ ไต้ก๋งชางมองตามเหมือนต้องมนต์

ขุนทนงค์ยืนคุยกับหลวงพ่อดำเรื่องลูกเรือเรือสำเภาที่อับปางถูกซัดมาเกยฝั่งที่หน้าวัด
“ทั้งลำมีรอดมาได้คนเดียวละโยม ศพทั้งหมดเอาไปฝังตามประเพณีที่ป่าช้า...”
รำเพยมองไปรอบๆ เห็นดอกรำเพยบานเต็มต้น จึงยกมือไหว้หลวงพ่อแล้วเดินเลี่ยงออกมา

รำเพยเดินชมดอกรำเพยอย่างเพลิดเพลิน จนกระทั่งมีเสียงหนึ่งดังขึ้น
“ไม่เคยเห็นดอกรำเพยรึ”
รำเพยหันกลับมาตามเสียง เมื่อเห็นงามตาจึงส่งยิ้มให้อย่างมิตรไมตรี ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
“ข้าชอบดอกรำเพย เพราะมันชื่อเดียวกับชื่อของข้า ถ้าจำไม่ผิด เอ็งเป็นลูกหมอผีอิน ใช่รึไม่”
“ใช่ มาวัดแค่นี้ แต่งตัวยังกับลงมาจากสรวงสวรรค์”
รำเพยงุนงงกับท่าทีไม่เป็นมิตรของงามตา
“ท่าทีเอ็ง ดูไม่เป็นมิตรต่อข้า”
งามตาชะงักไป ทำทีรีบขยับปรับอารมณ์
“เหตุใดจึงคิดว่าข้าไม่เป็นมิตรต่อเอ็ง”
“หน้าตาเอ็งก็สวยงามดี หมั่นยิ้มไว้จะดีกว่าบึ้งตึง นี่คงมิมีผู้ใดอบรมกิริยามารยาทให้กระมัง วันนี้ข้ากำลังอารมณ์ดีกับดอกไม้ ข้าจะมิถือโทษโกรธเคือง”
งามตาฉุนกึก “นี่ เอ็งด่าข้ารึ”
“หากเป็นน้องเป็นนุ่ง คงต้องสั่นสอนอบรมกิริยาเสียใหม่ แต่เอ็งมิใช่เครือญาติข้า ข้าจักปล่อยวางเสีย”
รำเพยทำท่าจะเลี่ยงออกไป งามตามองตามไม่พอใจ ทำทีเดินเฉียดหมายจะให้ล้ม แต่ตัวเองเสียหลักลื่นถลาจะล้มลงเสียเอง พลันก็มีมือใครคนหนึ่งเข้ามารับร่างเอาไว้ได้ทัน
“ระวัง”
ร่างงามตาเข้าไปอยู่ในอ้อมแขนของชาง แต่พอเห็นใบหน้าที่ยังมีร่องรอยบาดแผลของเขาก็ร้องกรี๊ด
“อ๊าย...”
งามตาสะบัดตัวแล้วถีบชางออกอย่างรังเกียจ ชี้หน้าด่าว่าไม่พอใจ
“ใครให้เอ็งเอามือสกปรกมาต้องตัวข้า”
“ข้าขอโทษ ข้า”
ไต้ก๋งชางหน้าสลด
“เอ็งคงเป็นพวกเจ๊กเรือแตก ที่เขาว่ารอดมาได้แค่ผู้เดียว”
ไต้ก๋งชางยิ้มให้อย่างไมตรี
“ข้าชื่อไต้ก๋งชาง ยินดีที่ได้รู้จักแม่นาง”
งามตาเบะปากใส่ พลางเอามือปัดไปตามร่างกายเหมือนขยะแขยงเต็มทน
“ชิ ข้ามิได้อยากรู้จักเอ็งสักหน่อย แถมยังเอามือสกปรกมาถูกตัวข้า วันนี้เจอแต่เรื่องซวยๆ”
ขาดคำงามตาก็เดินผละออกไป ไต้ก๋งชางมองตามอย่างรู้สึกผิด

รำเพยเห็นเหตุการณ์ตั้งแต่ต้น ออกตัวแทนอย่างเข้าใจ ยิ้มแย้มอย่างเป็นมิตร
“เอ็งอย่าถือสาเลย หญิงชาวสยามมิได้เป็นเหมือนกันทุกผู้ เมื่อกี้ข้าได้ยินว่าเอ็งเป็นพวกเรือแตก แต่รอดมาได้ผู้เดียว น่าอัศจรรย์จริง”
“คงเป็นบารมีแห่งแผ่นดินสยามคุ้มครองข้าไว้โดยแท้”
“คงเป็นเช่นนั้น ยิ่งท่านได้มาพบกับหลวงพ่อดำที่วัดแห่งนี้ ยิ่งถือว่าเป็นบุญนักแล้ว”
“แล้วก็เป็นบุญโดยแท้ที่ได้มาพบแม่นาง หากไม่รังเกียจข้าอยากรู้ชื่อของแม่นาง”
รำเพยชะงักไปนิดเมื่อเห็นสายตาไต้ก๋งชางที่มองมาฉายชัดถึงความเสน่หา ทำให้ต้องหลบตาก้มมองเลี่ยงไปทางอื่น
“ข้าชื่อรำเพย มานมัสการหลวงพ่อดำกับเจ้าคุณพ่อ อยู่ที่นี่มีสิ่งใดอยากให้ช่วยเหลือก็เข้าไปพบข้ากับพ่อได้ทุกเมื่อ ข้าต้องไปแล้ว เดี๋ยวเจ้าคุณพ่อจะรอ”
รำเพยยิ้มให้อีกครั้ง แล้วเดินจากไป ไต้ก๋งชางมองตามอย่างคนละเมอ

ที่หน้าโบสถ์ ขุนทนงค์มีท่าทีตื่นเต้นสนใจขึ้นมาอีก หลังจากรู้เรื่องของไต้ก๋งชาง
“อังกฤษ ฝรั่ง มันก็พูดได้รึขอรับ”
“ใช่ อาตมาเคยได้ยินมันพูดให้ฟังกับหู”
“กระผมอยากเห็นหน้ามันเสียแล้วหลวงพ่อ”
หลวงพ่อดำพูดทีเล่นทีจริงเจือเสียงหัวเราะ “จักเอามันไปเลี้ยงรึ”
“ขอดูหน่วยก้านมันก่อน จะว่าไปกระผมออกจากกราชการมานาน แม้จะมีผู้เคารพยำเกรง หากแต่ก็ยังอยากเสริมบารมีตัวเอง ไอ้ผู้นั้นมันดวงดีนัก ที่สำคัญมันรู้เรื่องภาษา ซึ่งในกาลต่อไปจะเป็นประโยชน์ หากหน่วยก้านมันดี ก็ไม่อยากให้หลุดมือไป”
“ผู้ใดหากเคยร่วมบุญร่วมกรรมกันมา ยังไงเสียก็ต้องได้มาพบพาน อย่าเพิ่งด่วนตัดสินใจไปเลยท่านขุน มันยังไม่หายดี เห็นว่ายังระบมเจ็บปวดตามตัวอยู่บ้าง เอาไว้มันหายแล้วอาตมาจะให้มันเข้าไปพบถึงเรือนจะดีกว่า”
“เช่นนั้นก็ได้ขอรับ”
รำเพยเดินกลับเข้ามา พลางนั่งข้างบิดาด้วยกิริยาเรียบร้อยมีมารยาท ขุนทนงค์รีบออกตัวกับหลวงพ่อดำเหมือนรู้เวลา
“กระผมเห็นทีต้องขอตัวกลับก่อน เอาไว้จะมากราบนมัสการอีกนะขอรับ”
“เจริญพรนะโยม ว่างเมื่อใดก็เข้ามาคุยกันบ้าง”
“กระผมลานะขอรับ”
ขุนทนงค์ก้มลงกราบลา รำเพยกราบลาตามบิดา ก่อนลุกเลี่ยงออกไปพร้อมกัน โดยไม่ทันได้เห็นว่าตรงมุมหนึ่ง มีสายตาไต้ก๋งชางแอบมองตามไปอย่างอาวรณ์

รำเพยกับขุนทนงค์เดินกลับเรือนมาด้วยกัน พอรำเพยรู้เรื่องว่าจะเอาไต้ก๋งชางมาอยู่ที่เรือนเพื่อเสริมบารมีก็ออกความเห็นทันควัน
“ยังมิรู้จิตรู้ใจ จะเอาเข้ามาอยู่ในเรือน ลูกหวั่นว่าจะเกิดเรื่องยุ่งยากภายหลังนะเจ้าคะ”
“มันมาต่างถิ่น คงมิกล้าก่อเรื่อง ผิดนักก็ไล่มันไป หรือไม่ก็ให้โปลิศมาเอาไปอยู่ด้วย”
“เห็นทีดวงไอ้ผู้นั้นจักดีจริงแท้นะเจ้าคะ เรือล่มก็มิตาย ฟื้นมามิทันไรเจ้าขุนมูลนายก็จะเอามาชุบเลี้ยง แต่ก็ต้องแล้วแต่ไอ้ผู้นั้นจะสมัครใจหรือไม่ด้วยนะเจ้าคะ” รำเพยประชดในที
“เรื่องนั้นพ่อรู้ แล้วก็รู้ว่าอย่างไรเสียมันก็มิกล้าขัดข้า จะมีผู้ใดไม่อยากอยู่รับใช้ขุนทนงค์...”
จู่ๆ ขุนทนงค์ก็รู้สึกเจ็บที่หน้าอกขึ้นมาดื้อๆ จนต้องหยุดพูดไปเฉยๆ ทำเอารำเพยตกใจ
“เจ้าคุณพ่อ เป็นกระไรไปเจ้าคะ”
“ไม่เป็นไร อยู่ๆ ก็แน่นหน้าอกเท่านั้น”
“ปากก็บอกว่าไม่เป็นไร พูดเช่นนี้กี่คราวแล้ว”
“ไม่เป็นไรจริงๆ ขึ้นเรือนกันเถอะ”
รำเพยประคองพ่อขึ้นเรือนไป ถึงขุนทนงค์จะฝืนสีหน้ายิ้มแย้มให้ แต่รำเพยก็ดูออก มองพ่ออย่างกังวล

ไต้ก๋งชางเดินมาหน้าสุสานที่ฝังร่างของลูกเรือ สายลมพัดหวีดหวิว พลันเขาก็ชะงักเมื่อได้ยินเสียงขลุ่ยดังแว่ว เสียงเหมือนก้องอยู่ในหัวดังขึ้น
“ดวงชะตาของเจ้าจะได้เป็นใหญ่เป็นโตในภายภาคหน้า แต่จะมีบางสิ่งนำมาซึ่งกาลวิบัติ เจ้าจะพบภรรยาที่ค้ำชู หากแต่เมื่อใดที่คิดนอกใจ เมื่อนั้นชะตาชีวิตของเจ้าจะพลิกผัน นำมาแต่เรื่องร้าย ไม่ว่าเจ้าจะมีภรรยามากมายสักแค่ไหน ก็ล้วนต้องคบชู้สู่ชายนอกใจเจ้า...เปลี่ยนน้ำ เปลี่ยนฟ้า เปลี่ยนชะตา”
ไต้ก๋งหนุ่มมองไปรอบๆ รู้สึกขนลุกเกรียว ลมวูบใหญ่พัดกระแทกเข้าใบเข้าหน้าชางจังๆ

อยู่มาวันหนึ่ง รำเพยเดินมาทางเรือนใหญ่ ต้องชะงักเมื่อเห็นแถนซึ่งมาส่งไต้ก๋งชางที่หน้าเรือน ก่อนที่ชางจะแยกตัวขึ้นไปบนเรือนคนเดียว รำเพยมองตามอย่างอยากรู้อยากเห็น

ขุนทนงค์พิจารณาไต้ก๋งชางตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า เมื่อเห็นร่องรอยบาดแผลบนใบหน้า ขุนทนงค์ก็ยิ้มน้อยๆ แล้วถามไถ่
“ยังไม่หายดีรึ”
“ขอรับ มีระบมบางแห่ง ไม่มากมายดอกขอรับ”
“หลวงพ่อคงแจ้งความประสงค์ของข้าให้เอ็งฟังแล้ว”
“ขอรับ”
“แล้วตกลงปลงใจว่าเช่นไร”
“กระผมพร้อมจะมารับใช้ท่านขุนที่เรือนในเดี๋ยวนี้ขอรับ”
ขุนทนงค์ยิ้มอย่างพึงพอใจ
“ได้ยินว่าเอ็งพูดภาษาอังกฤษกับฝรั่งได้รึ”
“ขอรับ”
“แล้วถนัดเรื่องใดเป็นพิเศษ”
“ค้าขายขอรับ”
“ข้ามิน่าถาม ก็เอ็งมาค้าขายนี่นา หากเอ็งตกลงปลงใจแล้วก็อยู่เสียที่นี่ รักษาตัวให้หายดี แล้วค่อยว่าเรื่องงานกัน”
ชางยิ้มเบิกบาน ถามอย่างตื่นเต้นในที
“ท่านขุนรับกระผมอยู่ที่เรือนนี้หรือขอรับ”
“ใช่”
“กระผมหายแล้วขอรับ ทำงานได้เลยมิต้องรอ ท่านขุนจะให้กระผมทำสิ่งใดก็บอกมาเถิดขอรับ”
ความกระตือรือร้นที่ชางแสดงออกมา ทำให้ขุนทนงค์ถูกชะตามากกว่าเดิม
“ข้าให้เอ็งพักที่เรือนด้านหลัง งานของเอ็งข้าจะให้เอ็งคิดเอง”
“ให้คิดเอง” ชางงงงัน
“ในหนึ่งเดือนที่อยู่บ้านข้า เอ็งจงเร่งใช้สมอง ออกสำรวจไปตามหมู่บ้านและดูความเป็นอยู่ของคนที่นี่ แล้วเอ็งจงคิดว่าอยากทำสิ่งใดเป็นสิ่งแรก เพื่อเป็นการพิสูจน์ว่าข้าจ้างเอ็งไว้ไม่เสียหลาย และหากผลงานของเอ็งเข้าตาข้า ข้าจึงจะให้ค่าจ้างเอ็งอย่างงามเช่นกัน แค่นี้เอ็งทำได้รึไม่”
“ข้าจะลองดูขอรับท่านขุน”
“ข้ามีเวลาเหลือไม่มาก แล้วก็อยากเห็นผลงานของเอ็งไวๆ”
ชางประหลาดใจ “มีเวลาไม่มาก ท่านขุนจะไปไหนหรือขอรับ”
ยินเสียงระบายลมหายใจแทนคำตอบ ก่อนจะบอกด้วยเสียงแผ่วเบาว่า
“อยู่ไปก็จะรู้เอง…”

ไม่นานต่อมา แถนเดินนำไต้ก๋งชางเข้ามาถึงเรือนหลังหนึ่ง
“เอ็งอยู่ที่นี่นะ เดี๋ยวข้าจะไปเตรียมมุ้งหมอนกับเครื่องนอนมาไว้ให้”
“ขอบใจมาก อาแถน”
“ไม่เป็นไร เราช่วยๆ กัน ต่อไปก็ต้องมาทำงานให้ท่านขุนเหมือนกัน มีอะไรขอให้บอกนะ”
ชางพยักหน้ารับ แถนเดินออกไป
ชางมองไปรอบๆ เปิดหน้าต่างออกดู แล้วจึงสะดุดตากับอะไรบางอย่าง

ไต้ก๋งชางเดินมาหยุดอยู่ตรงมุมไม้ดอกที่กำลังออกดอกสะพรั่ง โดยเฉพาะดอกรำเพย จึงเอื้อมมือเด็ดดอกหนึ่งมาดูใกล้ๆ พลันเสียงหนึ่งดังขึ้นทางด้านหลัง
เสียงรำเพยดังขึ้น “นั่นผู้ใด มือบอนแท้ กล้าเด็ดดอกไม้ข้า”
เมื่อหันไปตามเสียง ไต้ก๋งชางจึงเห็นเป็นรำเพยหยุดยืนมองมาสีหน้าขุ่นเคือง ไต้ก๋งหนุ่มยิ้มกระจ่างอย่างจดจำได้ เขารู้อยู่แล้วว่ารำเพยอยู่ที่นี่ แต่แกล้งทำเป็นไม่รู้
“ไม่คิดว่าจะได้พบแม่หญิงงามที่นี่”
รำเพยชะงักจำเขาได้เช่นกัน แต่ความขุ่นเคืองที่เขาเด็ดดอกไม้พาให้บึ้งตึงเข้าใส่
“ดอกรำเพยนั่น เป็นดอกไม้แสนหวง หากเอ็งไม่รู้ก็ให้รู้ไว้เสียเดี๋ยวนี้”
ชางก้มหน้ารู้สึกผิด
“ข้า...ขอโทษ”
“เอาเถิด เห็นว่ามาอยู่ใหม่ ข้าจะไม่เอาเรื่องแล้วนี่จะเดินให้ทั่วเรือนเลยรึ”
“ให้นอนอยู่เฉยๆ ข้าทำมิได้ดอก ยิ่งท่านขุนเร่งให้พิสูจน์ตัวเองภายใน 1 เดือน ข้าก็ต้องเร่งให้ตัวเองแข็งแรงเร็วๆ หาไม่แล้วคงถูกไล่ไปอยู่ที่อื่น”
“ไปอยู่ที่อื่น อาจจะดีกว่าเรือนข้าเป็นร้อยเท่าพันเท่าก็เป็นได้”
“เมื่อรู้ว่าได้อยู่เรือนนี้ และได้พบแม่หญิงงามที่นี่ ข้าก็ไม่อยากไปเรือนไหน”
สายตาที่ไต้ก๋งชางมองมานั้นมีแววเสน่หาอย่างเปิดเผย รำเพยอ้ำอึ้ง เขินอายจนเก็บอาการไม่อยู่ มือไม้เปะปะไม่รู้ว่าจะวางไว้ตรงไหน
“หากเจ้าคุณพ่อได้ยินเอ็งพูดแบบนี้ อาจไม่ให้อยู่ก็ได้”
“ข้าจักพิสูจน์ตัวเอง เร่งทำตามที่ท่านขุนต้องการให้เร็วที่สุด”
สายตานิ่งมองมายังรำเพยอย่างจู่โจม จนหญิงสาวหลบเลี่ยงมองไปทางอื่น
“สำหรับข้า ถูกใจแม่นางตั้งแต่แรกเห็น” ชางบอกตามตรง
รำเพยชักโกรธ “นี่ เอ็ง กล้าดียังไงมาบอกข้าเช่นนี้”
“ข้าเป็นคนตรง คิดเห็นประการใดก็บอกไปเช่นนั้น”
“แต่ข้า...ไม่ได้...” รำเพยอึกอัก
“แม่นางจะคิดเช่นไร ก็เก็บเอาไว้อย่าเพิ่งบอกออกมา ไว้ข้าพิสูจน์ตัวเองให้ประจักษ์ ในวันนั้นแม่นางค่อยตัดสินใจและให้คำตอบกับข้า”
รำเพย “ไม่เคยมีผู้ใดบังอาจ กล้าพูดกับข้าลูกสาวขุนทนงค์เช่นนี้”
“แต่ข้ามีโอกาส จึงได้ชิงพูดก่อนผู้ใด ทั้งที่รู้ว่าสถานะของข้าไม่เหมาะไม่ควรกับแม่นางสักนิด”
“เอาเถิด วันนี้เอ็งอาจพูดไปเพราะยังไม่ได้พบเจอหญิงใดนอกจากข้า เวลายังอีกหลายเพลา เมืองสยามมีหญิงงามอีกไม่น้อย ในวันหนึ่งเมื่อเอ็งได้พบพาน อาจเปลี่ยนความคิดใหม่ก็เป็นได้ ข้าจักถือเสียว่า ไม่ได้ยินที่เอ็งพูดเมื่อครู่”
“ลงเรือมาสยามก็หลายคราว ยังไม่มีแม่หญิงสยามคนใดต้องตาข้าเช่นแม่นาง” ชางย้ำ
“จะดื้อรั้นดึงดันพูดเช่นเดิมก็เรื่องของเอ็ง ข้าไปดีกว่า”
รำเพยรีบผละเดินจากไป ด้วยใบหน้าแดงฉานเขินอาย ไต้ก๋งชางมองตามจนลับสายตา

ที่เรือนขุนทนงค์เห็นคนงานกำลังเลื่อยไม้อย่างขะมักเขม้น ไต้ก๋งชางก็อยู่ในกลุ่มนั้นด้วย
ตัดไปที่บันไดเห็นรำเพยเดินลงจากบันไดมาพร้อมกล่ำ แต่งตัวสวยงามจะออกไปข้างนอก
รำเพยเหลือบมองมาที่ไต้ก๋งชาง ไต้ก๋งชางยิ้มตอบไป แต่รำเพยหลบตาแล้วเดินต่อ
ไต้ก๋งชางแอบยิ้ม ช่วยคนงานทำงานต่อ แต่ไม่วายแอบมองตามรำเพยจนลับสายตาไป
ตรงมุมหนึ่งมีไอ้ก้อน บ่าวชายร่างกายกำยำ มองมาที่ไต้ก๋ง ด้วยสายตาเคียดแค้นชิงชัง ใคร่ครวญในใจ
“ไอ้เจ๊กพลัดถิ่น อาจหาญย่ำยีหัวใจข้า เห็นทีจะอยู่ร่วมโลกกันมิได้”
ถึงเวลาพัก คนงานทยอยหาที่พักกินข้าว ชางหลบไปนั่งกินข้าวที่มุมต้นไม้หนึ่งในสวน ก้อนแอบมองไต้ก๋งชางอย่างไม่สบอารมณ์แล้วเดินจ้ำๆออกมาอย่างไม่พอใจ
แถนเดินสวนมาพอดีไม่ทันมอง เลยชนกับก้อนจนข้าวหกกระจาย
ก้อนโมโหหงุดหงิดใส่ “ไอ้แถน เอ็งไม่เห็นคนหรือไงวะ”
“เอ็งนั่นแหละไอ้ก้อน รีบร้อนไปที่ใด ปั๊ดโธ่ ข้าวข้าหกหมดเลย”
“เอ็งเดินไม่ดูตาม้าตาเรือเอง อดกินก็สมควร”
“อ้าวไอ้นี่ ปากเช่นนี้ ระวังจะกินข้าวไม่ได้อีกหลายมื้อนะโว้ย”
“เรื่องของข้า ถอยไป ข้าไม่มีเวลาจะคุยกับเอ็ง”
ก้อนผลักแถนไปให้พ้นทาง แถนสังเกตว่าก้อนมีท่าทีแปลกๆ
“ท่าทางเช่นนั้นเอ็งหงุดหงิดใครมาวะ ไอ้ก้อน”
ก้อนชะงัก หันมามองแถน
“เรื่องอะไรข้าต้องบอกเอ็ง”
ก้อนทำเฉไฉ แถนมองไปเห็นไต้ก๋งชางนั่งอยู่ไม่ไกล พอเดาออก
“เรื่องไอ้เจ๊กพลัดถิ่นที่ท่านขุนเอามาอยู่ด้วยรึ”
ก้อนเงียบไม่ยอมตอบ
“หรือเรื่อง…คุณรำเพย”
แถนมองจ้องจับผิด ก้อนยังคงเฉไฉไม่ยอมรับสักข้อหา
“ไม่ใช่ กูแค่ไม่แจ้งใจท่านขุนว่า เหตุใดเอาไอ้เจ๊กนั่นเข้ามาอยู่ในเรือน”
“มึงไม่แจ้งใจเรื่องใด ใครๆ เขาก็รู้ว่าท่านรับมันมาช่วยงาน”
“เอ็งคิดเช่นนั้นแน่รึ เมื่อกี้ข้าเห็นมันมองคุณรำเพย สายตาเสน่หาเสียเต็มประดา ท่าทางไม่น่าไม่น่าไว้ใจอย่างไรก็ไม่รู้”
แถนไม่เชื่อ “เอ็งคิดมากไปรึเปล่า ข้าก็เห็นมันก็ตั้งใจทำงานดี”
“เอ็งน่ะไม่รู้อะไรไอ้แถน ข้าต่างหากที่ดูออกว่าไอ้เจ๊กไร้หัวนอนปลายเท้านั่นมันไม่ได้ดีอย่างที่คิด”
“ไอ้ก้อน ทำไมเอ็งพูดเช่นนั้นเล่า”
“ข้าพูดจริง ข้าว่าท่านขุนกำลังชักศึกเข้าบ้านเสียแล้ว คอยดูเถอะถ้าหากวันใดเจ๊กนั่นมันทำมิดีมิร้ายคุณรำเพยขึ้นมา ท่านขุนจะเสียใจ”
พูดแค่นั้นก้อนก็ทำเป็นฮึดฮัดเดินผละออกไป แถนถอนหายใจมองตาม รู้มาก่อนหน้าว่าก้อนมันคิดอย่างไร
“เอ็งมันก็ไม่พ้นหมาเห็นข้าวเปลือกดอกวะไอ้ก้อน”

ตลาดเช้านี้คึกคักเช่นทุกวัน เหล่าชาวบ้านเข้ามาจับจ่ายซื้อของมากมาย ไต้ก๋งชางเดินสีหน้าแช่มชื่นดูบรรยากาศรายรอบ และข้าวของที่วางขายในตลาดอย่างสำราจตรวจตรา
พลันสายตาเหลือบมองไปเห็นงามตา กำลังยืนขายขนมเทียนอยู่ตรงมุมหนึ่งจึงเดินเข้าไปหา แต่พอถึงหน้าร้านก็หยุดยืนมองอยู่อย่างนั้นไม่กล้าเข้าไปทัก งามตาหันมาเห็นเข้าพอดี ก็แผดเสียงด่าทอใส่ไม่ไว้หน้า
“ไม่มีปัญญาซื้อก็อย่าบังหน้าร้าน คนเดินผ่านไปผ่านมาจะเลยร้านข้าหมด”
“จำข้าได้รึไม่ เราเคยเจอกันที่วัด”
งามตาพิจารณาอยู่สักครู่ ก็ตอบไปอย่างไม่ยี่หระ
“เจอที่วัดแล้วอย่างไร ข้ามาขายของ ไม่ได้มาโปรยทาน ข้าไม่ให้พวกเจ๊กข้างถนนมาขอกินง่ายๆ หรอก”
“ข้าไม่ได้มาขอทาน แค่เพียงแต่จะทักทายเท่านั้น” ชางไม่ถือสาทักทายอย่างเป็นมิตร
“ทัก อย่าบอกว่าติดใจข้า หึ คนอย่างข้าไม่ชายตามองเจ๊กพลัดถิ่นเช่นเอ็งแน่”
ไต้ก๋งชางฟังแล้วถึงกับหัวเราะขันออกมา
“แม่หญิงสยามมีหลายประเภทจริงๆ”
งามตาฉุน “ไอ้เจ๊ก เอ็งพูดเช่นนี้หมายความว่ากระไร”
“แม่หญิงสยามนั้นไม่เหมือนกัน บางคนคิดดี บางคนคิดชั่ว”
งามตายัวะ “เอ๊ะ นี่เอ็งด่าข้ารึ”
“ข้าเพียงบอกความรู้สึกของข้า เอ็งคิดไปเองต่างหาก”
งามตามโมโหตะเพิดส่ง “โอ๊ย ไม่ซื้อก็ไปไป๊ มาพูดจาวกวนให้ขุ่นใจ ขนมข้า เอาไว้ขายให้พวกมีอัฐเท่านั้น อย่างเอ็งไม่มีอัฐ ข้าก็ไม่ขาย จะไปไหนก็ไป”
“ข้าได้ยินว่าแม่หญิงสยามนั้นใจเย็นและมีน้ำใจยิ่งนัก แต่เมื่อข้าพบเอ็งไฉนไม่เห็นเป็นแบบที่ว่า”
งามตาเบิกตาด้วยความโกรธ ตะโกนเสียงดังด่าทอ
“ไอ้เจ๊ก นี่เอ็งกล้าดีเช่นไร ประเดี๋ยวข้าจะร้องบอกว่าเอ็งลวนลามข้า คอยดูเถิด เอ็งจักถูกซ้อมตายเป็นผีเฝ้าตลาด”
“หญิงเช่นเอ็งให้แถมขนมยังไม่เอา เหตุใดจะคิดย่ำยีให้เสียเชิงชายเล่า”
งามตาโกรธมาก “ไอ้...ไอ้...ไอ้เจ๊กบ้า เอ็งว่าข้ารึ”
“หากอยากประกาศให้คนรู้ก็เชิญเถิด แต่ข้าว่าชาวสยามที่นี่มีสติมีเหตุผล รู้ดีว่าสิ่งใดจริงสิ่งใดเท็จ เขาคงไม่ยินดีไปกับการกระทำของเอ็งเป็นแน่”
ไต้ก๋งชางพูดจบก็ยิ้มหยามส่งท้าย แล้วเดินไปหน้าตาเฉย งามตาเต้นเร่าๆ ชี้มือตามหลัง ได้แต่กำมือแน่น ก่อนจะกรี๊ดระบายออกมาเสียงดังไปทั่วตลาด
“อ๊าย....”
ผู้คนในตลาดหันมามองเป็นตาเดียว งามตาถึงหยุดเสียงลง จำต้องเก็บความอัดอั้นไว้ภายใน

ชางเดินออกมาจากตลาด เสียงเพลงงิ้วเรื่องความลับในหอแดงแว่วมา
“อนิจจังนั้นสถาพรดุจพิภพจบสวรรค์ มิมีรักใดนิรันดร์แม้นานนับดับสูญ ไม่อาจเทียบแสงและเงาที่เพิ่มพูน สายลมอาดูรแสงจันทร์ฝันคืน”
ไต้ก๋งหนุ่มจากแดนไกลถึงกับหยุดยืนฟัง มองหาที่มาของเสียง พอเห็นคนเดินเข้าไปมุมหนึ่งก็เดินตามจนเห็นภาพโรงงิ้วปรากฏขึ้นตรงหน้า ชางมองโรงงิ้วแววตาเป็นประกายเจิดจ้า จะก้าวเดินเข้าไปบ้าง แต่กลับถูกใครบางคนดึงไว้
“ลื้อจะเข้าไปดูงิ้วเรอะ”
ชางมองหน้าชายชื่อ เส็ง ที่ดึงรั้งตนไว้งงๆ
“ใช่จ้ะ ในนี้มีแสดงงิ้วเรื่องความลับในหอแดงใช่ไหม”
“ใช่ แต่ถ้าลื้อจะเข้าไปดูก็จ่ายค่าดูมาก่อน”
ชางฉงน “ต้องเสียอัฐด้วยหรือ”
“เสียสิวะ” เส็งมองชางหัวจรดเท้า “อย่าบอกว่าลื้อไม่มีอัฐ”
“อั๊วเพิ่งมาอาศัยอยู่ที่นี่ได้ไม่นาน ยังไม่มีอัฐติดตัวหรอก”
“ว่าแล้ว...สภาพอย่างเอ็งน่ะหรือจะดูได้ แต่งตัวก็มอซอเหมือนพวกจับกัง ถ้าไม่มีอัฐลื้อก็ดูไม่ได้โว้ย”
“แล้วอั๊วต้องมีอัฐเท่าไรถึงจะได้ดูเล่า”
“อย่างลื้อน่ะไม่มีปัญญาหาอัฐมาดูได้หรอก อั๊วไม่คุยกับพวกมีแต่ตัว มาทางไหนลื้อกลับไปทางนั้น เกะกะขวางทางคนอื่นเขา”
เส็งผลักชางออกไปจากหน้าประตู แล้วหันไปต้อนรับคนอื่นที่เข้ามาดู
“เชิญขอรับ เชิญๆ”
ไต้ก๋งชางเจ็บใจ มองเข้าไปในโรงงิ้วอย่างมุ่งมั่น ว่าสักวันจะเก็บเงินมาดูให้จงได้

ไต้ก๋งชางกลับจากตลาดในตอนสาย เห็นขุนทนงค์นั่งอ่านหนังสือราชการอยู่ใต้ต้นมะขามใหญ่หน้าเรือน ขุนทนงค์เงยหน้ามาเห็นชางเดินมาก็ทัก
“ไต้ก๋ง เห็นเดินเข้าเรือนมา ไปไหนมาแต่เช้ารึ”
ไต้ก๋งหนุ่มเดินรี่เข้าไปคุกเข่าใกล้ๆ พลางบอก
“กระผมไปเดินดูตลาดเช้ามาขอรับ”
“แล้วไม่เห็นได้สิ่งใดติดไม้ติดมือมาเล่า”
“กระผมแค่ไปดูเฉยๆ ขอรับ อีกอย่างก็ไม่ได้นำอัฐไปด้วย”
“จริงสิ เอ็งยังไม่มีอัฐติดตัว จะซื้อของได้เช่นไร”
“กระผมแค่อยากเดินไปดูเท่านั้นจริงๆ ขอรับ ได้ออกไปเดินดูผู้คน สูดอากาศยามเช้าบ้างก็สดชื่นดี”
“แล้วตลาดสยามยามเช้าเป็นเช่นไรบ้าง”
“ผู้คนคึกคักดีขอรับ ของขายก็มากมาย จะมีเสียอยู่บ้าง…” ชางนึกถึงงามตาที่เกรี้ยวกราดไร้มารยาทใส่ตน “แต่โดยรวมกระผมก็ว่าดีขอรับ”
“ดีแล้ว หากเอ็งว่างเมื่อใดจะออกไปอีกข้าก็ไม่ว่า เอ็งอยู่ดี นายอย่างข้าก็พลอยได้ชื่อไปด้วย”
ขุนทนงค์หัวเราะชอบใจ ไต้ก๋งชางยิ้ม แต่แล้วก็นึกอะไรได้
“เอ่อ ท่านขุนขอรับ”
“มีเรื่องใดอีก”
“กระผมมีเรื่องจะรบกวนท่านขุนขอรับ ระหว่างนี้ หากท่านขุนจะเดินทางที่ใด กระผมขอตามติดไปด้วยได้ไหมขอรับ”
“เอ็งจะไปทำไมรึ”
“กระผมอยากไปศึกษาหมู่บ้านอื่นๆ อยากได้พบปะผู้คนมากหน้า อาจพอเป็นแนวทางได้บ้างขอรับ”
ขุนทนงค์ยิ้มชอบใจ ในเรื่องนี้
“ถึงเอ็งไม่บอกข้าก็จักให้เอ็งไปด้วยอยู่แล้ว”
ชางดีใจ “จริงรึขอรับ”
“วันหลังข้าจะพาไปพบขุนพิเศษ เขากว้างขวางในเรื่องการเมือง ทำความรู้จักกันเอาไว้ เผื่อว่ามีช่องทางที่ดี”
“ขอรับ”
ขุนทนงค์มองไต้ก๋งชางอย่างนึกชื่นชม
“เขาว่าคนจีนขยันทำกิน มาเห็นเอ็งเช่นนี้ก็ยืนยันในคำพูด ข้าดูคนไม่ผิดจริงๆ”
“เวลาของกระผมมีไม่มากนี่ขอรับ”
“ถ้าหากเอ็งทำได้ เอ็งก็อยู่กับข้าต่อไปอีกนาน เป็นเดือน เป็นปี หรือตลอดชีวิต ทั้งหมดนั้นก็อยู่ที่ตัวเอ็งผู้เดียว ว่าจักทำได้หรือไม่”
“กระผมรับปากว่าจะทำให้ได้ขอรับ”
ไต้ก๋งชางบอกอย่างมั่นใจ
ตรงบริเวณหลังพุ่มไม้ใกล้เรือน ก้อนกำลังชะเง้อมองมายังคู่สนทนา สายตาเต็มเปี่ยมไปด้วยความริษยา

คืนนั้นไอ้ก้อนนอนไม่หลับ เดินไปเดินมาอยู่หน้าเรือนที่พัก พึมพำกับตัวเองอย่างไม่พอใจ
“ขืนปล่อยไอ้เจ๊กนั่นไว้นานกว่านี้ ท่านขุนคงยกลูกสาวให้มันเป็นแน่ ข้าต้องตัดไฟแต่ต้นลม”
คิดได้ดังนั้น ก้อนกลับเข้าไปในเรือน คว้าดาบเล่มยาวมาถือกระชับมั่น ใช้ผ้าขาวม้าปิดหน้าเห็นแต่ลูกตา เดินลงเรือนไป
กลางดึก บรรยากาศเงียบสงัด
ก้อนสืบเท้ามาตามทางเดินมุ่งหน้าไปทางเรือนเล็กที่พักไต้ก๋งชาง ซึ่งอยู่ห่างไปไม่ไกลกัน แววตาอาฆาตมาดร้ายฉายชัดในแสงจันทร์ ชะเง้อมองพร้อมก้าวเท้าไปอย่างระมัดระวัง

ก้อนแอบปีนขึ้นเรือนไต้ก๋งชาง แสงจันทร์จากด้านนอก ทำให้มองเห็นผ้าห่มผืนหนาคลุมอยู่บนเสื่อ ก้อนคิดว่าเป็นไต้ก๋งชางแน่ๆ ไม่พูดพร่ำทำเพลง เงื้อดาบขึ้นแทงไปที่ผ้าห่มไม่ยั้ง แต่ทุกอย่างกลับเงียบ ก้อนเอะใจดึงผ้าห่มที่ขาดรุ่งริ่งออกเห็นแต่หมอนวางอยู่ มันผงะถอยอย่างผิดคาด หันซ้ายแลขวาทำท่าจะหนีออกไป พลันเสียงหนึ่งดังขึ้นทางด้านหลัง
“เอ็งเป็นใคร”
ก้อนตกใจหันไป เจอไต้ก๋งชางยืนนิ่งอยู่ตรงประตูห้อง
ก้อนเห็นว่าท่าไม่ดี แต่จะหนีก็ไม่ได้เลยตัดสินใจเงื้อดาบฟันใส่ชางเต็มแรง ไต้ก๋งฉากหลบ อาศัยตอนที่ก้อนเซ ถีบจนกระเด็นลงจากเรือนไปกองกับพื้นอย่างหมดสภาพ ชางตามมาเอาเท้ากดคอก้อนไว้แล้ว แย่งดาบจากมือมันจ่อคอหอยมัน
“บอกมาว่าเอ็งเป็นผู้ใด จึงเข้ามาทำร้ายข้า”
ชางยื่นมือจะดึงผ้าคลุมหน้าออก ก้อนรีบกำเอาดินฝุ่นตรงพื้นสาดเข้าใส่หน้าชางเต็มๆ
ไต้ก๋งผงะเคืองตาแสบตาไปหมด ก้อนสบโอกาสวิ่งหนีไปโดยไม่คิดชีวิต ชางมองตามด้วยความเจ็บใจ

เช้าวันใหม่ งามตายังนอนคุดคู้อยู่ในห้องนอน หมอผีอินเดินขึ้นบันไดเรือนด้วยท่าทางอ่อนล้า เห็นบ้านเงียบเชียบจึงตะโกนเรียกลูกสาว
“งามตา...งามตา”
ยังไม่มีเสียงตอบกลับมา หมอผีอินเรียกดังขึ้น
“งามตา อีงามตา”
งามตาสะดุ้งตื่นลุกขึ้นในสภาพผมเผ้ายุ่งเหยิงรีบนุ่งโจงกระเบนเดินออกมาท่าทางหงุดหงิด มือเกายิกๆตามเนื้อตัว
“จะเรียกหาอะไรพ่อ...คนกำลังนอนสบาย”
“บ๊ะ นี่มันสายแล้วนะ กับข้าวทำรึยัง ข้าหิว”
“เมื่อคืนข้าไปงานวัด กลับดึกไปหน่อยเลยตื่นสาย พ่อไปกินที่วัดก็แล้วกัน”
“เอ็งนี่ชักหนักข้อขึ้นทุกวัน กลับดึกดื่นเกินงาม เอ็งเป็นผู้หญิงนะโว้ย”
“แล้วทีพ่อดึกดื่นค่ำคืนก็ออกไปกินเหล้ากับไอ้พวกตีไก่ล่ะ ข้าไม่เคยว่าอะไรสักคำเลยนะ ไม่ไปตามที่บ่อนก็บุญแล้ว”
“หุบปากเลยนะอีงามตา ไม่ใช่เงินตีไก่รึ ที่เลี้ยงเอ็งมาจนโต”
“แล้วไหนล่ะเงิน”
“วันนี้ไม่ได้ แล้วเอ็งล่ะ ขายขนมได้เท่าใด เอามาให้ข้ายืมก่อน ข้าจะข้ามแดนไปเอาของ”
“ขนมข้าก็ขายไม่ออก พ่อไม่เห็นรึ เหลือเต็มกระด้ง”
หมอผีอินก้าวเท้าเดินลงบันได
“พ่อจะไปที่ใด”
“ข้าจะเข้าไปขอยืมอัฐขุนทนงค์”
“ไปเรือนขุนทนงค์รึ”
งามตาเหมือนคิดอะไรขึ้นมาได้
“จริงสิ หลายปีมาแล้วยังไม่เคยเข้าไป พ่อรอข้าประเดี๋ยวนะ ข้าจะไปด้วย”
“นึกยังไงจะไปกับข้า” อินแปลกใจ
“ก็ข้าอยากรู้ว่าบ้านผู้ลากมากดี เปลี่ยนแปลงไปเช่นไรบ้าง เผื่อว่าขุนทนงค์เกิดเมตตาข้าขึ้นมา จะได้...”
หมอผีอินเบิกตาโตเหมือนเห็นทางออก
“เช่นนั้น ข้าฝากเอ็งให้ทำงานที่เรือนขุนทนงค์เลยดีหรือไม่”
“ยัง...ข้ายังไม่อยากเป็นขี้ข้าใครตอนนี้ พ่อรอข้าก่อนนะ ข้าไปแต่งตัวก่อน”
งามตาวิ่งหายเข้าไปแต่งตัวด้านใน

ไม่นานต่อมาสองพ่อลูกเดินทางมาถึงเรือนขุนทนงค์ งามตาแต่งตัวสวยงามเฉิดฉาย ก้อนเห็นทั้งสองคนยืนชะเง้อชะแง้อยู่หน้าทางเข้า จึงเดินออกไปสอบถาม
“ท่านสองคนมาพบใครที่เรือนนี้รึ”
“ข้ามาพบขุนทนงค์ ขุนทนงค์อยู่หรือไม่” อินบอก
“ท่านขุนไม่อยู่ เพิ่งออกไปได้สักประเดี๋ยว ท่านมีเรื่องอะไรฝากข้าไว้ก่อนได้ หากท่านขุนกลับแล้วข้าจะไปเรียนให้”
หมอผีอินทำสีหน้าผิดหวังอย่างแรง งามตาไม่ได้สนใจคำบอกของก้อน สอดสายตาสำรวจตรวจตราไปรอบๆ บริเวณอย่างตื่นเต้น
“แล้วท่านขุนจะกลับเมื่อไหร่รึ”
“คงก่อนพระอาทิตย์ตกดิน ท่านจะรอหรือไม่ล่ะ”
หมอผีอินครุ่นคิดว่าควรรอหรือไม่ งามตาถือโอกาสเดินเลี่ยงไปสำรวจรอบๆ

งามตาหยุดยืนมองดูบริเวณบ้านของขุนทนงค์อย่างลืมตัวพูดพึมพำ
“เหตุใดข้าไม่ได้อยู่เรือนแบบนี้นะ”
งามตากำลังจะก้าวเดินต่อไป ก็ได้ยินเสียงเรียกดังขึ้น
“งามตา เจ้าชื่องามตาใช่รึไม่”
งามตาหันไปเจอก้อนเดินตามมา ก็ทำเชิดใส่ทันที
“มีอะไร”
“พ่อเอ็งให้มาตาม”
“เออ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้”
งามตาหันหลังจะเดินกลับแต่เสียหลักลื่นถลาทำท่าจะล้ม ก้อนรับไว้ในอ้อมกอดทันเวลา สองสายตาประสานกันนิ่ง งามตาตกใจผละออกโดยเร็ว มือปัดไปตามเนื้อตัวเป็นการใหญ่ด้วยสีหน้าขยะแขยง
ก้อนยิ้มนึกสนุก ทำทีเอามือที่กอดงามตาขึ้นมาดอมดมอย่างหลงไหล
“กลิ่นน้ำอบ หอมละมุนยิ่งนัก เป็นบุญของไอ้ก้อน ที่ได้โอบกอดเนื้อนวล”
“อี๊ ไอ้...ไอ้บ้า...ไอ้ขี้ข้าไม่เจียมตัว”
ก้อนมองหน้าอย่างขุ่นเคือง
“พูดราวกับว่าเป็นนางฟ้านางสวรรค์ คงลืมไปกระมังว่าเป็นแค่ลูกหมอผี”
“ถึงข้าเป็นลูกหมอผี ข้าก็ไม่ชายตาแลพวกบ่าวอย่างเอ็ง”
“เฮอะ หวังสูงนักระวังจะตกลงมาตายไม่รู้ตัว”
“ต่อให้ตายข้าก็ไม่กลัว ถ้าหวังสูงแล้วมัวแต่สนพวกเหลือบไร ก็ไม่มีวันเป็นใหญ่เป็นโตได้ ขี้ข้าอย่างเอ็งจะเข้าใจอะไร”
ก้อนหัวเราะขบขัน
“ดูถูกเข้าไปเถอะ ระวังจะได้ผัวเป็นเหลือบไรอย่างพวกข้าเข้าสักวัน”
“ไอ้...”
“หรือเอ็งอยากจะลองดูสักครั้ง ข้าก็สงเคราะห์ให้เอ็งได้นะ รับรองว่าเอ็งจะขึ้นสวรรค์จนอยากเป็นเมียบ่าวไปตลอดชีวิต ฮ่าๆๆ
ก้อนเอื้อมมือมาจะจับหน้างามตา ถูกงามตาปัดออกแล้วตบหน้าก้อนอย่างแรง ก้อนยืนอึ้งตกตะลึงงันคาดไม่ถึง งามตาชี้หน้าด่าอย่างไม่ไว้หน้า
“อย่าใช้คำพูดสกปรกมาลามปามข้าเช่นนี้อีก ขี้ข้าอย่างเอ็งอย่างไรเสียก็ไม่มีวันได้เห็นขาอ่อนข้า”
พูดจบงามตาก็ผลุนผลันออกไป
ไอ้ก้อนเอามือกุมแก้ม มองตามด้วยสายตามาดหมาย พูดอย่างเจ็บใจ
“อีลูกหมอผี อย่าให้ถึงทีข้าก็แล้วกัน”
ก้อนมองอย่างฝากความแค้นไว้

แถนมารอรับจดหมายที่หน้าเรือนจากบุรุษไปรษณีย์ พอหยิบจดหมายมาดูก็เกาหัวเพราะอ่านไม่ออก
“อะไรวะ มีแต่ภาษาฝรั่ง แล้วข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าส่งถึงใคร”
แถนเดินกลุ้มๆ เข้าบ้าน ไต้ก๋งชางออกมาเห็นพอดี
“เป็นอะไรเล่าแถน ทำไมหน้านิ่วคิ้วขมวดอย่างนั้น”
“ไอ้ชาง เอ็งมาก็ดี เอ็งพอจะอ่านภาษาฝรั่งออกไหมวะ”
“มีอะไรงั้นหรือ”
แถนยื่นจดหมายให้ชางดู
“นี่ จดหมายพวกนี้ ข้าอ่านไม่ออก เลยไม่รู้ว่าส่งถึงใคร”
ไต้ก๋งชางรับมาดู แล้วก็ร้องบอก
“จดหมายถึงท่านขุนน่ะ”
“งั้นเรอะ เออ เอ็งอ่านออกก็ดี งั้นข้าวานเอ็งเอาไปให้ท่านขุนหน่อยได้ไหม”
“ให้ข้าไปจะดีหรือ”
“เอ็งนั่นล่ะ ข้าเอาไปก็พูดไม่รู้เรื่อง ท่านขุนอยู่ที่เรือนโน่น ข้าฝากเอ็งด้วยนะ”
แถนยัดจดหมายใส่มือไต้ก๋งชางแล้วเดินหนีไป ไต้ก๋งชางจำต้องรับมาอย่างเสียไม่ได้

ขุนทนงค์นั่งอยู่ที่ชานเรือนพร้อมกับธิดาคนสวย รำเพยช่วยพ่ออ่านหนังสืออยู่ ไต้ก๋งชางเดินเข้ามา ทำท่าลังเล ท่านขุนเงยหน้ามาเห็น
“ไต้ก๋ง ทำไมยืนทำท่าเก้ๆ กังๆ อยู่นั่น มีอะไรรึ”
ไต้ก๋งชางเดินเข้ามาหา ลงนั่ง พลางยื่นจดหมายให้ท่านขุน
“นายแถนฝากกระผมนำจดหมายมาให้ท่านขุนขอรับ”
ขุนทนงค์รับจดหมายไป พอเห็นว่าเป็นภาษาอังกฤษก็แปลกใจ
“จดหมายเสนอขายสินค้าน่ะ…นี่เอ็งอ่านภาษาฝรั่งออกด้วยหรือ ถึงรู้ว่าเป็นชื่อข้า”
“พออ่านได้ขอรับ กระผมค้าขายไปหลายที่จึงฝึกอ่านเขียนไว้เผื่อเป็นประโยน์”
รำเพยมองชางอย่างคลางแคลง ไม่เชื่อใจ
“ไม่น่าเชื่อ พ่อค้าเร่อย่างเอ็งน่ะหรือจะอ่านได้ ไหนลองอ่านให้ข้าฟังหน่อยซิ”
พร้อมกับว่ารำเพยมองไปยังจดหมาย ขุนทนงค์มองดุธิดาคนสวย
“ไม่เป็นไรขอรับ ขอจดหมายกระผมเถอะขอรับท่านขุน”
ขุนทนงค์ยื่นจดหมายให้ ชางรับมาแล้วเริ่มอ่าน
“Dear sir. Thank you very much for your enquiry. We have great pleasure in submitting the following list of goods for your consideration.”
ขุนทนงค์กับรำเพยมองอย่างทึ่งๆ ชางอ่านจบก็คืนจดหมายให้ท่านขุน
“เอ็งนี่มันน่าทึ่งจริงๆ ไต้ก๋ง”
“กระผมไม่ได้เก่งเท่าไหร่หรอกขอรับท่านขุน”
“ดีๆ เป็นภาษาอย่างนี้ยิ่งดี ไต้ก๋ง พรุ่งนี้เอ็งแต่งตัวให้ดีๆ เดี๋ยวข้าจะพาเอ็งไปพบขุนพิเศษที่กรมท่า”
ขุนทนงค์หัวเราะชอบอกชอบใจ ในขณะที่รำเพยเชิดหน้าไปอีกทางด้วยท่าทีน่าขัน

ชางมองธิดาคนงามของท่านขุนผู้อารีโดยไม่วางตา

อ่านต่อ ตอนที่ 2

#เสน่ห์นางครวญ #ช่อง8 #thaich8


กำลังโหลดความคิดเห็น