หนึ่งด้าวฟ้าเดียว ตอนที่ 27 จบบริบูรณ์
บทประพันธ์ : วรรณวรรธน์
บทโทรทัศน์ : เอกลิขิต
บรรยากาศบนกำแพงเมืองจันทบูร ตอนหัวค่ำ ทหารเฝ้าประจำหน้าที่ พร้อมอาวุธครบมือ เตรียมพร้อมเต็มที่ บนกำแพงจุดคบไฟไว้ สว่างไสว
พระยาพลเทพเดินตรวจความเรียบร้อยพร้อมกับขุนแผลงฤทธิ์
" ทหารเมืองจันทบูรคึกคักเข้มแข็งกันถ้วนทุกคน เห็นเช่นนี้ ฉันก็สบายใจ"
"ท่านเจ้าคุณอย่าห่วงเลยขอรับ ทัพของเรามีความพร้อมเต็มที่ ไม่ว่าอ้ายพระยาตากจะข้ามน้ำมา หรือถอยทัพกลับ ก็ไม่พ้นความตายไปได้"
"แต่ฉันยังกลัวว่ามันจะถอยทัพตอนกลางคืนน่ะซี"
"กระผมส่งหน่วยเสือหมอบแมวเซาออกไปแล้ว ไม่ว่าจะเคลื่อนไหวอย่างไร ก็ไม่พ้นหูพ้นตากระผมไปได้ดอกขอรับ"
พระพลเทพหัวเราะชอบใจ ตบบ่าขุนแผลงฤทธิ์
"รอบคอบมากท่านขุน ไม่เสียแรงที่เป็นมือขวาของฉัน ฉันแทบจะอดใจรอ เห็นหัวของพระยาตาก กับลูกอ้ายขุนทองมาวางอยู่ตรงหน้าไม่ไหวแล้ว"
พระยาพลเทพแสยะยิ้มร้าย
ทหารเมืองจันกลุ่มหนึ่งกำลังซุ่มรอดูเหตุการณ์อยู่ในป่า
ทันใดนั้น ขันทองก็โผล่มาทางด้านหลังทหารคนหนึ่ง แล้วใช้มือปิดปากพร้อมกับแทงเข้าที่ด้านหลังทีเดียวขาดใจตาย
ทหารคนอื่นเหลือบไปเห็นก็ตกใจ แต่ไม่ทันทำอะไร พันหาญกับทหารอีกกลุ่มหนึ่ง ก็โผล่ออกมาฆ่าทหารเมืองจันทิ้งอย่างรวดเร็ว ไม่ทันได้ร้องซักคำก็ตายไป
"พวกเสือหมอบแมวเซาไม่มีเท่านี้แน่ เราต้องกำจัดให้หมดทุกกอง ไม่ให้มันส่งข่าวไปบอกจันทบูรได้" ขันทองว่า
"ได้พ่อขันทอง" พันหาญว่า พลางหันไปสั่งทหาร "แยกกันไป"
พันหาญกับพวกทหารแยกย้ายกันทันที
ขันทอง สีหน้าเคร่งขรึมเอาจริง ศึกคืนนี้ คือศึกชี้ชะตาอย่างแท้จริง
คืนเดียวกัน แมงเม่ากำลังนั่งดูดาวด้วยสีหน้าเศร้าๆ อยู่หน้ากระท่อมม่วงที่ค่ายพระเจ้าตาก
อินเปิดประตูกระท่อมออกมา พอเห็นแมงเม่าก็เดินเข้าไปหา
"ห่วงพ่อขันทองจนนอนไม่หลับรึ"
"ห่วงหมดทุกคนน่ะล่ะจ้ะ ทั้งพี่ขันทอง พี่ม่วง อ้ายติ่น อ้ายผล แม้กระทั่งคนอื่น ฉันก็ไม่อยากให้ใครเป็นกระไรซักคน"
อินโอบบ่าแมงเม่าเป็นการปลอบใจ
"จะเป็นได้อย่างไร พี่ม่วงก็บอกแล้วพระองค์เพียงแต่เตรียมทหารไปเพื่อความรอบคอบ ไม่ได้รบกันจริงเสียหน่อย เจรจาเสร็จ ก็เสด็จกลับมา หรือไม่ ก็ให้พวกเราย้ายตามไปจันทบูรเท่านั้นเอง"
"ขอให้เป็นเช่นนั้นเถิดจ้ะ แต่ฉันสังหรณ์ใจอย่างไรไม่รู้ โดยจำเพาะพี่ขันทอง ฉันรู้สึกเหมือน..." แมงเม่าคิดหนักอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะถอนใจแล้วพูดออกมา
"เหมือนจะไม่ได้เจอกับพี่ขันทองอีก ฉันกลัวเหลือเกินจ้ะ"
แมงเม่าสีหน้าไม่สบายใจมาก
ทหารเมืองจันยังคงตรวจตราบนกำแพงเมืองอย่างเคร่งครัด
ขณะนั้น เวลา ตี 3 บนกำแพงยังจุดคบไฟไว้สว่างไสว
บริเวณหน้ากำแพง ที่ห่างออกไปพอสมควร พระเจ้าตากทรงช้างพังคีรีบัญชรนำทหารมา
ขันทอง หลวงพิชัยอาสา ม่วง พันหาญ ติ่น ผล และทหารจำนวนมาก
แต่ละคนสีหน้าสงบนิ่ง พร้อมรอฟังคำสั่งพระเจ้าตาก
ทหารบนกำแพง ยังไม่รู้ตัวแม้แต่น้อยว่าทหารฝ่ายตรงข้ามบุกมาแล้ว เพราะพระเจ้าตากอาศัยความมืดพรางตัว จนเคลื่อนทัพเข้าประชิดเมืองได้
พระเจ้าตากทรงหยิบปืนสั้นออกจากเอว แล้วยิงขึ้นฟ้าเป็นสัญญาณ
สิ้นเสียงปืน ขันทองและทุกคนต่างโห่ร้อง วิ่งเข้าบุกตีกำแพงเมืองจันทันที
ทหารเมืองจันตกใจสุดๆ ไม่คิดว่าฝ่ายตรงข้ามจะกล้าบุกเข้าตีทั้งๆที่กำลังน้อยกว่า
เลยลนลานทำอะไรไม่ถูก
พระยาพลเทพเปิดประตูห้องนอนออกมา โดยมีขุนแผลงฤทธิ์ และพระยาจันทบูร รออยู่ที่
หน้าห้อง
"เกิดกระไรขึ้น"
พระยาจันทบูรเครียดหนัก "อ้ายพระยาตากมันยกทัพมาตีเราแล้ว"
พระยาพลเทพนึกไม่ถึง
"มันบุกมาเองเลยรึ กำลังมันน้อยกว่าเราหลายเท่า เทวดาดลใจให้มันกลับมาหาที่ตายแท้ๆ" ก่อนหันไปสั่งขุนแผลงฤทธิ์ "ท่านขุน บัญชาการป้องกัน อย่าให้มันบุกเข้ามาได้ หากมันถอยไปเมื่อใด จงรีบตามไปตีทันที"
"ขอรับ"
พระยาพลเทพมีสีหน้ามั่นใจมาก
ทหารเมืองจันยิงปืนใส่ทหารพระเจ้าตากที่บุกเข้ามาไม่ยั้ง
แต่ทหารพระเจ้าตากก็ยังวิ่งบุกเข้าไปอย่างไม่กลัวตาย กระสุนพุ่งเฉี่ยวไปมา มีโดนบ้างแต่ก็ไม่มากนัก เพราะความมืดทำให้ยิงพลาดเป็นส่วนใหญ่
ทหารจัน 1 ตะโกนลั่น "ยิงให้โดนซีวะ มันบุกเข้ามาแล้ว"
ทหารจัน 2 บอก "มันมืดเหลือเกินขอรับ เล็งไม่ถนัดเลย"
ในที่สุด ทหารฝ่ายพระเจ้าตากก็บุกประชิดกำแพง ก่อนจะพาดบันไดกับกำแพง ขันทองใช้ปากคาบดาบ
แล้วปีนบันไดขึ้นไปทันที ทหารเมืองจันแทงหอกลงมา ขันทองก็ใช้ดาบปัดป่ายป้องกัน
แล้วพยายามบุกคืบหน้าขึ้นไป
พันหาญก็สั่งพาดบันได แล้วให้ทหารบุกปีนขึ้นไป ทหารเมืองจันก็พยายามป้องกันเต็มที่
"มีการแบ่งทัพเป็นสามทัพ ขันทองโจมตีทางด้านซ้าย โดยทัพของขันทอง มีขันทอง พันหาญเป็นคนนำ หลวงพิชัยอาสาโจมตีด้านขวา มีติ่นและผลอยู่ในทัพด้วย ส่วนพระเจ้าตากทรงช้างอยู่ตรงกลาง มีม่วงอยู่ในทัพ ยังไม่เข้าโจมตี
สายตาพระเจ้าตาก เห็นขันทองนำทัพบุกด้านซ้ายของกำแพง หลวงพิชัยอาสาบุกด้านขวา แต่ทหารเมืองจันยังต้านทานไว้ได้ และตรงกลางกำแพงยังมีทหารเมืองจันอยู่
พระเจ้าตากทรงประทับอยู่บนหลังช้างด้วยสีหน้าสงบนิ่ง
ม่วงพนมมือ "ขอเดชะ ทัพพ่อขันทองกับทัพหลวงพิชัย บุกทางซ้ายแลขวาพร้อมกันแล้ว เราจะบุกเข้าตรงกลางเลยหรือไม่พระเจ้าข้า"
"ยังก่อน ทัพตรงกลางของจันทบูรยังหนาแน่นอยู่ รอจนกว่ามันจะแยกทัพไปป้องกันทั้งสองทาง แล้วค่อยบุกเข้าไป"
สีหน้าพระเจ้าตากนิ่งขรึมอย่างมีสมาธิจดจ่อ
พระยาพลเทพนำพระยาจันทบูร และขุนแผลงฤทธิ์มาถึงกำแพงเมือง
ขุนแผลงฤทธิ์ตะโกนลั่น
"อย่าสับสนสิโว้ย มันบุกมาทางซ้ายแลขวาพร้อมกัน พวกเอ็งจงแบ่งกำลังไปต้านมันไว้ทั้งสองด้าน"
ทหารเมืองจันทำตามคำสั่ง กระจายกำลังกันออกไปทั้งสองด้าน
พระเจ้าตาก เห็นทหารเมืองจันกระจายกำลังกันออกไปทั้งสองด้าน จนตรงกลางมีทหารเบาบาง
ม่วงดีใจมาก พนมมือ
"มันกระจายกำลังออก ตรงกลางเบาบาง แล้วพระเจ้าข้า"
พระเจ้าตากลูบหัวช้างด้วยความเอ็นดู
"แม่พัง ศึกนี้ขึ้นอยู่กับแม่พังแล้ว มิใช่ชีวิตของฉันกับเหล่าทหารเท่านั้น แต่การกู้บ้านกู้เมือง
แลชีวิตของอาณาประชาราษฎร์ทั่วแผ่นดินก็ขึ้นอยู่กับแม่พังทั้งสิ้น สู้ให้สุดใจเถิดแม่"
ขาดคำ พังคีรีบัญชรก็ร้องดังลั่น แล้ววิ่งเข้าใส่กำแพงเมืองทันที โดยมีม่วงกับทหารวิ่งโห่ร้องตามหลังบุกเข้าไปอย่างไม่กลัวตาย
ช้างพังคีรีบัญชรเป็นช้างตัวเมีย การพังประตูเมือง ไม่ใช้ช้างตัวผู้ เพราะช้างตัวผู้มีงา ทำให้การพังประตูทำลำบากเพราะติดงา ช้างตัวผู้จะนิยมใช้ในการรบกลางแจ้ง
พลเทพตกใจมาก
"อ้ายพระยาตาก มันจงใจบุกสองด้านพร้อมกันเพื่อให้เราแบ่งกำลังออก แล้วฉวยโอกาสบุกเข้ามา หลงกลมันแล้ว"
ขุนแผลงฤทธิ์รีบแย่งปืนจากทหารมา ตะโกนลั่น
"ยิงไปที่อ้ายพระยาตากบนหลังช้าง ไม่ต้องสนใจที่อื่นแล้ว"
ขุนแผลงฤทธิ์ยิงทันที พวกทหารก็รีบยิงตาม
ห่ากระสุนยิงเฉี่ยวพระเจ้าตากบนหลังช้าง ไปมา แต่ก็ไม่โดนซักนัด
บนกำแพง
พระยาจันทบูรตกใจมาก
"มันมืด เล็งยิงไม่ได้ จะทำอย่างไรดี"
ขณะกำลังลนลาน ขันทองก็ปีนขึ้นมาบนกำแพงได้สำเร็จ
ขันทองเห็นพระยาพลเทพ ตะโกนลั่น "อ้ายพลเทพ"
พระยาพลเทพหันไปเห็นขันทองเข้าก็ตกใจ
จังหวะนั้นเอง อีกด้านของกำแพง หลวงพิชัยอาสา ติ่น และผล ก็ปีนขึ้นมาได้สำเร็จ
พระยาจันทบูรกลัวสุดๆ "มันปีนขึ้นมาแล้ว ปกป้องกู ปกป้องกูเร็ว"
พวกทหารเมืองจัน รีบบุกเข้าใส่หลวงพิชัยอาสาทันที แต่หลวงพิชัยอาสาก็ฆ่าทหารพวกนั้นตายอย่างง่ายดาย พวกที่เหลือก็กรูกันเข้ามาอีก จนหลวงพิชัยอาสา ติ่น ผล ต้องสู้กับพวกทหารอย่างดุเดือด
ขันทองจัดการทหารที่บุกมาหาตน ก่อนจะเจอเข้ากับขุนแผลงฤทธิ์ที่ชักดาบยืนขวางหน้าพระยาพลเทพไว้
"มึงเข้ามา อ้ายขันทีลูกโจร"
ขันทองกระโจนเข้าใส่ทันที ทั้งคู่ปะดาบกันอย่างดุเดือดบนกำแพงเมือง ทั้งคู่ต่างสู้กันอย่างรวดเร็ว ผลัดกันรุกรับ แต่ทันใดนั้น ก็ได้ยินเสียงของหนักกระแทกกับประตูเมืองอย่างแรง พระยาพลเทพตกใจเมื่อได้ยินเสียง
พระเจ้าตากบนหลังช้าง ใช้ช้างพังคีรีบัญชรเข้าพังประตูเมือง
ม่วงกับพวกทหารคอยป้องกันโดยใช้โล่ป้องกันธนูที่ยิงลงมาจากกำแพง และใช้ดาบคอยปัดป้อง
พระยาพลเทพตะโกนลั่น
"มันใช้ช้างพังประตู เร็วโว้ย รีบไปดันประตูไว้ อย่าให้เข้ามา"
ประตูเมืองด้านใน ทหารเมืองจันกลุ่มหนึ่งรีบเข้าไปยันประตูเมืองไว้ ไม่ให้พังเข้ามาได้
พระเจ้าตากบนหลังช้างสั่ง
"ออกแรงเข้าแม่พัง ประตูมันแข็งแกร่งเพียงใด ก็สู้แรงแม่ไม่ได้ดอก"
ช้างพังคีรีบัญชรร้องลั่น ออกแรงดันประตูเต็มที่
ฝ่ายขันทองพยายามบุกเข้าหาพระยาพลเทพ แต่ขุนแผลงฤทธิ์ก็ต้านทานไว้ได้หมด
ทหารเมืองจันเริ่มรุมเข้ามา จนขันทองต้องเสียสมาธิไป จนเกือบโดนขุนแผลงฤทธิ์เล่นงานเอา
แต่ก็หลบไปได้
หลวงพิชัยอาสา ติ่น และผล กำลังสู้กับพวกทหารที่กรูเข้ามาเรื่อยๆอย่างดุเดือด
ประตูเมืองด้านใน พวกทหารช่วยกันยันประตูไว้เต็มที่ แต่พังคีรีบัญชรก็กระแทกเข้ามาไม่หยุด
พระเจ้าตากลูบหัวช้าง
"อย่ายอมแพ้แม่พัง ตัวฉันไม่อาลัยต่อชีวิตแล้ว แต่หากแพ้ศึกนี้ ไทคงไม่อาจเป็นไทได้อีก"
พังคีรีบัญชรเดินถอยหลังมาช้าๆ โดยมีม่วงกับพวกทหารคอยคุ้มกัน
ทันใดนั้น พังคีรีบัญชรก็ร้องเสียงดังลั่น แล้วพุ่งเข้าใส่ประตูสุดแรงเกิด
ประตูเมืองด้านใน พวกทหารที่ช่วยกันยันประตู เจอแรงกระแทกสุดชีวิตของพังคีรีบัญชรเข้าไป ถึงกับกระเด็นกระดอนไปหมด พร้อมกับประตูที่เปิดออก
พระเจ้าตากทรงช้างเดินเข้าประตูมาอย่างสง่างาม โดยมีม่วงกับพวกทหารโห่ร้องวิ่งตามหลังเข้าประตูมาด้วยความดีใจและฮึกเหิมสุดขีด
บนกำแพง
พระยาจันทบูรตกใจสุดขีด
"ประตูเมืองแตกแล้ว หนีเร็ว"
พระยาจันทบูรวิ่งหนีทันที โดยมีทหารคอยคุ้มกัน
ขันทองรุกไล่ใส่ขุนแผลงฤทธิ์ ขุนแผลงฤทธิ์ต้องสู้ไปถอยไป เพื่อคอยคุ้มกันพระยาพลเทพ
ที่วิ่งหนีตามพระยาจันทบูรไปอีกคน
ประตูเมืองด้านใน
พระเจ้าตากทรงช้างพังคีรีบัญชรอยู่ท่ามกลางเหล่าทหารที่บุกไล่ จนทหารเมืองจันแตกพ่ายไม่เป็นกระบวน แม้จะมีจำนวนมากกว่า แต่ไม่มีใครคิดสู้อีกแล้ว คิดแต่หนีอย่างเดียว
"เช้าตรู่ของวันที่ 15 มิถุนายน พุทธศักราช 2310 สมเด็จพระเจ้าตากสิน ก็สามารถยึดเมืองจันทบุรีได้สำเร็จ เป็นการยึดฐานที่มั่นสำคัญ ที่ใช้ในการกู้บ้านกู้เมืองต่อไป และเป็นวีรกรรมครั้งสำคัญ ที่ถูกเล่าขานมาจนทุกวันนี้"
พระเจ้าตากมาถึงเรือนพระยาจันทบูรแต่เช้าตรู่ โดยมีทหารตามอารักขามาด้วย
พอมาถึงเรือน หลวงพิชัยอาสา และม่วง ก็เดินลงจากเรือนมาพอดี ทั้งคู่รีบเข้าไปคุกเข่าพนมมือ
เหนือหัวไหว้
"ขอเดชะ พระยาจันทบูรหนีไปแต่ตัว ลูกเมียบ่าวไพร่แลทรัพย์สมบัติทั้งหมดยังอยู่บนเรือน ข้าพระเจ้าให้ทหารอารักขาไว้ แล้วพระเจ้าข้า" ม่วงบอก
"ทหารเมืองจันทบูรก็ยอมจำนนหมดสิ้นแล้ว ไม่มีผู้ใดคิดต่อสู้อีกพระเจ้าข้า" หลวงพิชัยอาสาบอก
พระเจ้าตากพยักหน้ารับ
"ดีแล้ว มิควรที่จะต้องเสียเลือดเนื้อคนไทไปมากกว่านี้อีกแล้ว พ่อขันทองกับหัวพันหาญเล่า"
หลวงพิชัยอาสาบอก
"ทั้งสอง นำทหารตามไปจับตัวพระยาจันทบูรกับพระยาพลเทพพระเจ้าข้า"
พระเจ้าตากหน้าขรึมลง ไม่สบายใจ
"ทั้งสองคน ไม่เป็นภัยต่อเราแล้ว ตามไปเช่นนี้ เหมือนไล่หมาจนตรอก อันตรายนัก"
พระเจ้าตากสีหน้าเป็นห่วง
ขันทอง และพันหาญ วิ่งนำทหารไทยไล่จับตัวพระยาพลเทพ พระยาจันทบูร และขุนแผลงฤทธิ์ไปถึงชายหาด โดยมีทหารเมืองจันกลุ่มหนึ่งวิ่งคุ้มกันมาด้วย
พระยาจันทบูร เห็นเรือลำหนึ่งจอดอยู่ริมหาด ตะโกนลั่น
"เห็นเรือข้าแล้ว ถ่วงเวลาไว้"
ขุนแผลงฤทธิ์กับพวกทหารเมืองจันหันหลังกลับไปสู้กับขันทองและพวกทันที โดยขุนแผลงฤทธิ์สู้กับพันหาญ ในขณะที่ขันทองสู้กับทหารเมืองจัน 2-3 คนที่รุมเข้ามา
ต่างฝ่ายต่างสู้กันอย่างดุเดือด เปิดทางให้พระยาจันทบูรวิ่งไปถึงเรือ
พระยาจันทบูรพยายามแกะเชือกที่ล่ามเรือไว้ ก่อนที่พระยาพลเทพจะวิ่งตามไปถึง
พระยาพลเทพเหนื่อยหอบ
"ท่านเจ้าคุณ จะหนีไปที่ใด"
พระยาจันทบูรพูดไปแก้เชือกไป
"ไปที่เรือสำเภา ฉันจะหนีไปบันทายมาศ ฉันกับเจ้าเมืองบันทายมาศเป็นสหายน้ำมิตรกัน อยู่ที่นั่นเราจะปลอดภัย"
พระยาพลเทพได้ยินอย่างนั้น ก็รีบช่วยพระยาจันทบูรแก้เชือกทันที
ขันทองเหลือบเห็นทั้งคู่กำลังจะหนีไป เลยเร่งมือเล่นงานพวกทหารอย่างรวดเร็ว จนกระเจิงไป ก่อนจะวิ่งเข้าไปหาพระยาพลเทพ
ขันทองกระโจนเข้าฟันพระยาพลเทพเต็มแรง
พระยาพลเทพเหลือบไปเห็นเข้า เลยผงะหลบตามสัญชาติญาณ หลบดาบของขันทองได้อย่างหวุดหวิด
จังหวะนั้นเอง พระยาจันทบูรแก้เชือกเสร็จพอดี พอเห็นขันทองจะฆ่าพระยาพลเทพก็กลัวสุดๆ รีบผลักเรือลงทะเลแล้วพายหนีเอาตัวรอดไปทันที
พันหาญกำลังสู้กับขุนแผลงฤทธิ์อยู่ ก่อนจะเสียท่า ถูกขุนแผลงฤทธิ์เตะจนล้มคว่ำ ขุนแผลงฤทธิ์มองไปทางพระยาพลเทพ เห็นขันทองกำลังไล่ฟันพระยาพลเทพ แต่พระยาพลเทพก็วิ่งหนี
หัวซุกหัวซุน
ขุนแผลงฤทธิ์รีบผละจากพันหาญ บุกเข้าไปหาขันทองทันที
ขันทองเหลือบไปเห็นขุนแผลงฤทธิ์ฟันดาบมาก็ฉากหลบออกไปได้ ก่อนที่ทั้งคู่จะสู้กันอย่างดุเดือด
พระยาพลเทพเห็นขุนแผลงฤทธิ์มาช่วย เลยรีบหันไปมองหาพระยาจันทบูร ปรากฏว่า
พระยาจันทบูรพายเรือหนีไปแล้ว
พระยาพลเทตกใจสุดๆ วิ่งลุยน้ำลงไป
"ท่านเจ้าคุณ อย่าเพิ่งไป กลับมาก่อน อ้ายชาติชั่ว"
พระยาจันทบูรเห็นแก่ตัวรอดไม่สนใจช่วยใคร พายเรือหนีไม่คิดชีวิต
พระยาพลเทพเห็นอย่างนั้นก็แค้นจัด หันไปมองเห็นขันทองยังสู้กับขุนแผลงฤทธิ์อยู่ เลยรีบวิ่งหนีไปอีกทางทันที
ขันทองเห็นพระยาพลเทพหนี ก็ฟันสุดแรงจนขุนแผลงฤทธิ์ผงะไป แล้วรีบวิ่งตามพระยาพลเทพไปทันที
ขุนแผลงฤทธิ์ก็รีบวิ่งตามไปอีกคน ในขณะที่พันหาญกับพวกทหารยังต่อสู้กันอย่างดุเดือด
ขันทองวิ่งไล่กวดพลเทพมาตามชายหาด กระชั้นเข้าไปเรื่อยๆ
พอได้ระยะ ขันทองก็กระโดดถีบพระยาพลเทพจนล้มลง
พระยาพลเทพร้องลั่นออกมา ทั้งจุกทั้งเจ็บ
ขันทองเงื้อดาบจะฟัน
พระยาพลเทพกลัวสุดขีด "อย่า"
ทันใดนั้น ขุนแผลงฤทธิ์ก็ยื่นดาบเข้ามากันดาบของขันทองได้ทัน ก่อนจะฟันใส่ขันทอง
จนขันทองต้องฉากหลบ
ขุนแผลงฤทธิ์บุกใส่ขันทองทันที แต่ขันทองก็ตั้งรับอย่างใจเย็น ก่อนจะสวนกลับเป็นฝ่ายบุกบ้าง
เพลงดาบทั้งคู่ใกล้เคียงกัน ต่างฝ่ายต่างรุกรับกันอย่างดุเดือด
พระยาพลเทพตะโกนลั่น
"ฆ่ามัน อย่าให้มันมาตามจองเวรฉันอีก"
ขันทองกับขุนแผลงฤทธิ์สู้กันอย่างสูสี ยากที่จะปรากฏผลแพ้ชนะง่ายๆ แต่จังหวะนั้นเอง
ขุนแผลงฤทธิ์ฟันใส่กลางลำตัวขันทอง ขันทองฉากหลบตามสัญชาติญาณทำให้รอดตายไปได้
แต่ก็ถูกฟันบาดเจ็บไม่น้อย
ขุนแผลงฤทธิ์ยิ้มเหี้ยม
"อ้ายเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม ทั้งชีวิต เอ็งสู้มาสักเท่าใดกัน ยังเปรียบกับข้าไม่ได้ดอกโว้ย"
ขันทองจ้องขุนแผลงฤทธิ์เขม็ง พร้อมกับกุมแผลที่ถูกฟัน ตอนนี้ตนตกเป็นรองไม่น้อย
ขุนแผลงฤทธิ์ตามเข้ามาจะซ้ำ แต่ทันใดนั้น ขันทองกลับพุ่งเข้าหาด้วยความรวดเร็ว โดยที่
ขุนแผลงฤทธิ์คิดไม่ถึงว่าขันทองที่ควรตั้งรับจะเป็นฝ่ายบุกเข้ามาทั้งที่เจ็บ
ขันทองโหมบุกอย่างรวดเร็ว ทุ่มกำลังทั้งหมด อาศัยว่าหนุ่มกว่า พละกำลังมากกว่า เลยฟันใส่
ไม่ยั้ง
ขุนแผลงฤทธิ์ตั้งรับอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะฉวยโอกาสบุกกลับ แต่ขันทองฉากหลบออกไป ก่อนจะบุกต่ออีก
ขันทองฟันใส่อย่างรวดเร็วไม่ยอมหยุด จนขุนแผลงฤทธิ์เริ่มเหนื่อยหอบ พยายามจะหนีออกมาพักหายใจ แต่ขันทองไม่ให้โอกาส ตะลุยฟันต่อไม่ยั้ง
ขุนแผลงฤทธิ์เจอขันทองบุกเร็วๆก็ชักลำบากหนักขึ้นเรื่อยๆ ทันใดนั้น ก็ใช้ลูกไม้เดิมๆ จะเตะทรายที่พื้นเข้าหน้าขันทอง
แต่ขันทองระวังตัว ใช้เท้าถีบยันไปที่หน้าแข้งขุนแผลงฤทธิ์ได้ทันก่อนที่จะเตะทรายมา แล้วฉวยโอกาสต่อยเข้าเต็มหน้าขุนแผลงฤทธิ์จนเลือดกบปาก
ขุนแผลงฤทธิ์มึนงง ขันทองกัดฟันบุกต่อ จนขุนแผลงฤทธิ์ต้องตั้งรับเป็นพัลวัน
ในที่สุด ขันทองก็ได้โอกาสโหมฟันจนดาบขุนแผลงฤทธิ์หลุดมือ
ดาบลอยลงมาตกอยู่ตรงหน้าพระยาพลเทพ พระยาพลเทพมองดาบนิ่งอย่างไม่ละสายตา
ขันทองไล่ฟันขุนแผลงฤทธิ์ ขุนแผลงฤทธิ์หลบซ้ายขวา แต่ก็หลบได้ไม่กี่ครั้ง ในที่สุดก็ถูกฟันใส่กลางลำตัวเป็นแผลลึก เลือดโชก ยืนโอนเอนอยู่
ขันทองเหนื่อยหอบ โหมฟันจนอ่อนแรงและเสียเลือดไปไม่น้อย แต่ก็ได้ผล เพราะขุนแผลงฤทธิ์หมดทางสู้ตนแล้ว
แต่ทันใดนั้น ขุนแผลงฤทธิ์ก็ถูกถีบจากทางด้านหลังมากระแทกกับขันทอง
จังหวะที่กระแทกนั้นเอง ก็มีดาบแทงมาจากด้านหลังขุนแผลงฤทธิ์ ทะลุตัวขุนแผลงฤทธิ์แล้วเสียบเข้ากับร่างขันทองอีกคน จนขันทองสะดุ้งเฮือก
ขุนแผลงฤทธิ์กระอักเลือดออกมา แล้วหันไปมองด้านหลัง ปรากฏว่าเป็นพระยาพลเทพที่ใช้ดาบของตนที่ตก แทงทะลุตัวของตนกับขันทองพร้อมกัน
"อภัยให้ฉันเถิดท่านขุน ฉันจะจดจำท่านขุน ในฐานะหมาที่ซื่อสัตย์กับฉันที่สุด"
พระยาพลเทพชักดาบออก
ขุนแผลงฤทธิ์ทรุดร่วงลงไปขาดใจตายทั้งๆที่ตายังเหลือกค้างอยู่ ส่วนขันทองก็ทรุดร่วงลงไปเช่นกัน เลือดไหลจากแผลหนักมาก อาการสาหัส
ขันทองจ้องพระยาพลเทพเขม็ง
"เศษสวะ ยังมีประโยชน์กว่าคนอย่างมึง"
พระยาพลเทพยิ้มเหี้ยม
"เศษสวะอย่างกูก็ยังมีลมหายใจ แต่คนดีอย่างมึงกำลังจะตาย"
พระยาพลเทพเงื้อดาบจะฟัน แต่ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงพันหาญดังขึ้น
" พ่อขันทอง"
พระยาพลเทพตกใจหันกลับไปมองตามสัญชาติญาณเห็นพันหาญกำลังวิ่งถือดาบตรงมา
พระยาพลเทพรีบหันกลับไปจะฟันดาบ ฆ่าขันทอง แต่ทันใดนั้นก็มีเสียงปืนดังลั่นขึ้น
พระยาพลเทพหน้าหงายออกไป ที่หน้าผากมีรอยกระสุน ก่อนจะทรุดร่วงลงขาดใจตาย
จังหวะที่พระยาพลเทพทรุดร่วงลง ขันทองเป็นคนยิงพระยาพลเทพตายนั่นเอง โดยปืนที่ขันทองใช้ ก็คือปืนที่แมงเม่าให้ขันทองมานั่นเอง
ขันทองฆ่าพระยาพลเทพเสร็จ ก็หมดแรง สิ้นสติสลบไป
พันหาญวิ่งเข้ามาดูอาการขันทอง เป็นห่วงสุดๆ "พ่อขันทอง"
ขันทอง สลบไม่ได้สติไปแล้ว
บรรยากาศค่ายพระยาตากตอนค่ำ ทุกอย่างเงียบกริบ มีแต่แสงไฟจากคบเพลิงเท่านั้น
มือคนผู้หนึ่งเคาะประตูกระท่อมดังรัวๆ
มิ่งเดินไปเปิดประตู โดยมีแมงเม่า ชื่น อิน เดินตามออกมาจากข้างใน
มิ่งรำคาญ
"รู้แล้วโว้ยๆ เคาะอย่างกับใครจะตาย"
มิ่งเปิดประตูออก เห็นม่วงยืนหน้าเครียดอยู่หน้าประตู
อินดีใจ "อ้าว พี่ม่วง"
ชื่นยิ้มแย้ม
"เสร็จงานแล้วรึพ่อม่วง แล้ว..."
ม่วงพูดสวนขึ้น
"เจ้าแมงเม่า รีบไปกับพี่เถิด"
แมงเม่างงๆ
"ไปที่ใดรึพี่"
ม่วงหน้าเครียดสุดๆ
"จันทบูร เกิดศึกขึ้นที่นั่น พ่อขันทองได้รับบาดเจ็บ เป็นตายเท่ากัน"
แมงเม่าตกใจสุดขีดจนหน้าซีดเผือด กับข่าวร้ายของขันทอง
เช้า บนเรือนพระยาจันทบูร ในห้องๆหนึ่ง
หมอกำลังจับชีพจรขันทองที่นอนสลบอาการสาหัสอยู่บนเตียง โดยมีพระเจ้าตาก พันหาญ
ยืนดูอาการอยู่ใกล้ๆด้วยความเป็นห่วง
หมอเครียดหนัก ก่อนจะคุกเข่าลง พนมมือไหว้พระเจ้าตาก
"อาการหนักหนานัก อาจจะอยู่ไม่พ้นวันนี้พระเจ้าข้า"
พันหาญร้องไห้ทันที "พ่อขันทองของน้า"
พระเจ้าตากถอนใจแรง ไม่รู้จะช่วยยังไงดีเหมือนกัน
ขณะนั้นเอง แมงเม่าก็เปิดประตูห้องเข้ามาด้วยความร้อนใจ โดยมีม่วงตามหลังมา
พอเข้ามาก็เห็นพระเจ้าตาก ก็เลยคุกเข่าลง
"ไม่ต้องมีพิธีรีตองดอก เข้ามาสิ"
"เพคะ"
แมงเม่าคลานเข่าเข้าไปอยู่ข้างเตียงขันทอง
พระเจ้าตากอยากให้ทั้งคู่อยู่ด้วยกันในวาระสุดท้ายของขันทอง
"พวกเราออกกันไปเถิด"
พระเจ้าตากเดินนำออกไป โดยมีหมอตามออกไป ในขณะที่ม่วงเข้าไปประคองพันหาญที่ร้องไห้สะอึกสะอื้นออกไปเป็นคนสุดท้าย แล้วปิดประตูลง
แมงเม่ามองตามทุกคนไป แล้วหันกลับมามองขันทอง น้ำตาคลอเบ้าออกมา พอจะเข้าใจทุกอย่างแล้ว
"ที่พระองค์ท่านทำเช่นนี้ คงเพราะอยากให้ฉันได้อยู่กับพี่ตามลำพัง เป็นคราสุดท้ายกระมังจ๊ะ"
แมงเม่าเอื้อมมือไปจับมือขันทองมาแนบแก้ม แล้วร้องไห้ออกมาอย่างกลั้นไว้ไม่ไหว
ในฝัน ... ขันทองนอนอยู่กลางสวนเขียวขจี ในสวนมีดอกไม้นานาพันธุ์ มีผีเสื้อสวยงามโบยบินอยู่ใกล้ๆ
ขันทองสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ได้กลิ่นหอมของดอกไม้ แล้วยิ้มกริ่มอย่างมีความสุข
ขณะนั้นเอง ก็ได้ยินเสียงหนึ่งดังขึ้น
" พ่อขันทอง พ่อขันทอง"
ขันทองลุกขึ้นนั่ง หันไปมองรอบๆ
"ผู้ใดเรียกฉัน"
" พ่อขันทอง พ่อขันทอง"
ขันทองลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปตามเสียง
ขันทองเดินไปซักครู่ ก็ต้องตกตะลึง เมื่อเห็นพ่อกับแม่ยืนอยู่ท่ามกลางต้นไม้ ดอกไม้ ทั้งคู่ส่งยิ้มให้ตนอย่างมีความสุข และแต่งตัวสวยงามอย่างที่ขันทองไม่เคยเห็นมาก่อน
ขันทองดีใจสุดๆ "พ่อ แม่"
ขันทองรีบวิ่งเข้าไปหาพ่อแม่ แล้วคุกเข่าลงกราบเท้าทั้งคู่
สาลิกาเข้าไปประคองขันทองลุกขึ้น
"ลุกขึ้นเถิดลูกเอ๊ย" พลางจับใบหน้าขันทองด้วยความรักและคิดถึงเต็มเปี่ยม "โตเป็นหนุ่มแล้ว ลูกรัก ของแม่ นานแค่ไหนแล้ว ที่เราไม่ได้เจอกัน"
ขันทองเข้าไปกอดแม่ ดีใจสุดๆ "ฉันคิดถึงพ่อกับแม่เหลือเกินจ้ะ ไม่อยากเชื่อว่าเราจะได้อยู่ด้วยกันอีก"
ขุนทองยิ้มแย้ม "ต่อไปเราก็จะไม่พรากจากกันอีกแล้วลูกเอ๊ยเพราะพ่อกับแม่ จะมารับพ่อขันทองไปอยู่ด้วยกัน"
ขันทองยิ้มรับด้วยความดีใจอย่างที่สุด
แมงเม่ากุมมือขันทองแนบแก้ม แล้วร้องไห้ตลอดเวลา
แมงเม่ายิ้มทั้งน้ำตา
"พี่ขันทองจ๊ะ รู้หรือไม่ ว่าฉันเคยคิดว่าไม่อยากให้พี่เป็นขันทีเลย แต่พอพี่ไม่ใช่ขันทีจริงๆ ฉันกลับทำตัวไม่ถูก อยากให้พี่กลับไปเป็นขันทีเหมือนเดิมเสียดีกว่า" แมงเม่าขำๆตัวเองทั้งน้ำตา "แม้แต่ฉันเอง ก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน แต่เพลานี้ ไม่สำคัญแล้วจ้ะ ไม่ว่าพี่จะเป็นชายแท้หรือขันที ฉันก็ไม่ใส่ใจแล้ว ขอเพียงพี่อยู่กับฉันก็พอ"
ขาดคำขันทองก็คอพับหันหน้ามาด้านข้าง
แมงเม่าตกใจ "พี่ขันทอง"
ด้วยความตกใจ แมงเม่าคลายมือที่จับกุมมือขันทองแนบแก้มไว้เพียงนิดเดียว มือของขันทองก็เลื่อนออกแล้วตกลงอย่างไร้เรี่ยวแรง
แมงเม่าตกใจสุดขีด วาระสุดท้ายของขันทองมาถึงเร็วกว่าที่ตนคิดมาก
ในฝัน สาลิกาจูงมือขันทองไว้ ในขณะที่ขุนทองเข้าไปโอบบ่าลูกชาย
สาลิกายิ้มแย้ม
"ไปกันเถิดลูกเอ๊ย ไปอยู่กับพ่อกับแม่นะ"
ขันทองยิ้มรับ "จ้ะแม่"
ขุนทอง และสาลิกา พาลูกให้เดินไปกับตน แต่เดินไปได้ไม่กี่ก้าว ขันทองก็ได้ยินเสียงแมงเม่าแว่วเข้ามา
" พี่ขันทอง พี่ขันทอง"
ขันทองชะงัก แล้วหันกลับไปมองด้านหลัง รู้สึกแปลกใจที่มีคนเรียกชื่อตน
"มีกระไรหรือลูก"
"มีคนเรียกฉันจ้ะแม่ คุ้นเสียงเหลือเกิน แต่แปลกนัก ที่ฉันนึกไม่ออกว่าเป็นผู้ใด"
"อย่าใส่ใจเลย รีบไปกันเถิด"
ขันทองไม่คิดมาก จะเดินตามพ่อกับแม่ไป
ม่วงกำลังจับชีพจรขันทอง โดยมีพันหาญยืนน้ำตาคลออยู่ใกล้ๆ
ในขณะที่แมงเม่านั่งนิ่ง เหมือนช็อค
ม่วงวางมือขันทองลง หน้าเศร้า หันไปพูดกับแมงเม่า และพันหาญ
"ชีพจรไม่เต้นแล้ว"
พันหาญขบกรามแน่น แต่น้ำตาก็ไหลพรากลงมาไม่หยุด ขันทองคือคนที่ตนรักเสมือนลูก
เมื่อขันทองตาย ตนก็ไม่รู้จะทำยังไงต่อไปเหมือนกัน
แมงเม่าที่ช็อคอยู่ น้ำตาค่อยเอ่อจนท่วมตา
ในฝัน ... ขันทองเดินตามพ่อกับแม่ไปได้เพียงนิดหน่อย
แต่ทันใดนั้น ก็ได้ยินเสียงแมงเม่าแว่วมาอีก
" อย่าทิ้งฉันไป พี่ขันทอง พี่ขันทอง"
ขันทองหันกลับไปมองอีกรอบ ยิ่งสงสัยหนักขึ้น
"มีกระไรอีกเล่า พ่อขันทอง"
ขันทองไม่สบายใจ
"ฉันสงสัยเหลือเกินจ้ะ ว่าใครเรียกฉัน พ่อกับแม่รอฉันอยู่ที่นี่ก่อนนะจ๊ะ ขอฉันไปตามหาตัวก่อน ว่าใครเรียกฉันกันแน่"
ขุนทอง และสาลิกาหันมามองหน้ากัน แล้วยิ้มบางๆให้กัน
ขุนทองยิ้มบางๆ
"คงไม่ได้ดอก พ่อกับแม่ต้องรีบไป รอเจ้าไม่ได้ ในเมื่อเจ้าไม่พร้อมไปกับพ่อแม่ ก็กลับไปเสียเถิด"
ขันทองมีท่าทางละล้าละลัง
ในขณะที่แมงเม่าน้ำตาคลอเบ้าออกมาอีก แต่สายตากลับแข็งกร้าวผิดปกติ
ทันใดนั้น แมงเม่าก็ลุกขึ้นยืน
แมงเม่าน้ำตาคลอ เสียงดุเพราะทั้งรักทั้งเสียใจทั้งพาลโกรธ
"คนตระบัดสัตย์ นับแต่คราแรกที่เจอกัน ก็โป้ปดฉันมาตลอด หลอกลวงว่าเป็นขันที หลอกทำดีกับฉัน ที่ร้ายกาจที่สุด คือบอกว่าจะดูแลปกป้องฉัน แต่กลับมาทอดทิ้งกันไป"
แมงเม่ายิ่งพูดก็ยิ่งร้องไห้หนักขึ้นทุกที
ม่วงเสียใจ น้ำตาคลอ
"พอเถิดเจ้าแมงเม่า พี่รู้ว่าเจ้าเสียใจ แต่พ่อขันทองก็ตายไปแล้ว อย่าตัดพ้อกระไรอีกเลย"
แมงเม่าร้องไห้
"ไม่ ฉันต้องให้คนมุสารู้บ้างว่าพูดแล้วไม่รับผิดชอบ ทำให้คนอื่นเสียใจเพียงใด" ก่อนตรงเข้าไปทุบตีที่หน้าอกขันทอง "ฟื้นขึ้นมาสิ ฟื้นขึ้นมา ๆ"
ม่วง และพันหาญตกใจ รีบเข้าไปช่วยกันดึงตัวแมงเม่าออกมา
"อย่า เจ้าแมงเม่า อย่า"
ทันใดนั้นเอง ขันทองก็ไอโขลกขึ้นมา สร้างความตื่นตะลึงให้ทั้งสามคนสุดๆ
ขันทองไอโขลก อ่อนเพลียมาก หันมามองแมงเม่าแบบดุๆ
"เจ้าตัวดี ฉันเจ็บเจียนตาย ยังทุบตีฉันอีก เจ้าคนไม่มีหัวใจ"
แมงเม่าปล่อยโฮลั่น ตรงเข้าไปกอดขันทองร้องไห้ด้วยความดีใจสุดๆ
ม่วง พันหาญยืนตะลึง ไม่คิดว่าขันทองจะฟื้นกลับมาได้
ขันทองนิ่งขรึมไปอย่างใช้ความคิด
ในฝันที่ผ่านมานั้น ....
ขันทองลังเล อยากอยู่กับพ่อแม่ "แต่..."
สาลิกาตัดบท
"ฟังแม่นะพ่อขันทอง พ่อขันทองมีชีวิตเป็นของตนเองแล้ว มิจำเป็นต้องไปกับพ่อแม่ดอก ขอให้ลูกจำไว้ว่าความรักของพ่อกับแม่จะอยู่กับลูกตลอดไป"
ขุนทองยิ้มบางๆ
"กลับไปเถิด คนที่รักเจ้า ไม่ได้มีแค่พ่อกับแม่เท่านั้น กลับไปเพื่อพวกเค้า และเพื่อตัวเจ้าเอง"
ขันทองหน้าขรึมลง คิดตามที่พ่อแม่บอก ก่อนจะคุกเข่าก้มลงกราบเท้าพ่อกับแม่ ขุนทอง
เอื้อมมือไปลูบหัวลูกด้วยความเอ็นดูรักใคร่
ขันทองเห็นแมงเม่ากอดตนร้องไห้ ก็ยิ้มบางๆอย่างสุขใจ แล้วเอื้อมมือมาลูบหัวแมงเม่าอย่างทะนุถนอม ด้วยความรักใคร่อย่างสุดหัวใจ
2 เดือนผ่านไป
บรรยากาศริมทะเลดูสวยงาม หาดทรายสีขาวสุดลูกหูลูกตา
แมงเม่าค่อยๆประคองขันทองเดินมาตามชายหาด
"จากลุกนั่งยังไม่ได้ มาประเดี๋ยวนี้เดินได้แล้ว อีกไม่นาน ก็คงกลับไปจับดาบจับปืนได้แล้วนะเจ้าคะ"
"สมพรปากเถิดเจ้า พระองค์ท่านกำลังเร่งต่อเรืออยู่ พ้นหน้ามรสุมเมื่อใด ก็คงยกกลับไปกู้อโยธยาตามแผนที่วางไว้ ฉัน อยากจะหายทันตอนนั้น อย่างน้อย จะได้เป็นกำลังให้พระองค์ท่านได้บ้าง"
แมงเม่ายิ้มรับ แล้วหันไปมองทะเลด้วยสีหน้ายิ้มแย้มสบายใจ
"เจ้าชอบทะเลรึ ถ้าต่อไป ยกเรือนมาปลูกริมทะเลดีหรือไม่"
"พายุจะไม่หอบเรือนปลิวไปหรือเจ้าคะ"
ขันทองยิ้มๆเอ็นดู
"ฉันอยู่ที่ใดก็ได้ ขอเพียงได้อยู่พร้อมหน้ากันเท่านั้นก็พอ แล้วพี่มาถามฉันเรื่องปลูกเรือนทำไมจ๊ะ"
"ก็ปลูกเรือนต้องตามใจผู้อยู่ไม่ใช่รึ แล้วจะไม่ถามเจ้าได้อย่างไร"
แมงเม่าเขินอาย เมินหน้าไปทางอื่น
"ฉันจำได้ พี่บอกว่าได้บ้านเมืองกลับคืนมาเมื่อใด ถึงจะพูดเรื่องนี้ไม่ใช่หรือเจ้าคะ"
ขันทองจับมือแมงเม่าไว้อย่างทะนุถนอม
"ฉันเกือบตายนะเจ้า หากวันนั้นตายไป คงไม่มีโอกาสได้กุมมือเจ้าเช่นนี้ ฉะนั้น ฉันไม่
อยากรออีกแล้ว" ขันทองมองแมงเม่าด้วยสายตารักใคร่ "ฉัน เอ่อ พี่อยากได้เจ้ามาเป็นศรีเรือนของพี่ เจ้าจะว่าอย่างไร"
แมงเม่าเขินอายมาก พูดเบาๆ
"พี่ขันทองอยากให้ฉันว่าอย่างไร ฉันก็จะว่าเช่นนั้นเจ้าค่ะ"
ขันทองหยิบชายสไบแมงเม่าขึ้นมาจูบแล้วมองด้วยสายตากรุ้มกริ่ม
"รับปากชัดๆ ให้พี่ชื่นใจอีกทีซิเจ้าตัวดี"
แมงเม่าเขินอายมาก
"รวบรัดกันเช่นนี้แล้ว ยังมีกระไรเหลือให้ฉันต้องพูดอีกเจ้าคะ"
"เจ้ากล่าวหาพี่เกินไปแล้ว รวบรัดจริงมันต้องทำเช่นนี้"
ขาดคำขันทองก็สวมกอดแมงเม่าเอาไว้แน่น
แมงเม่าเขินอายทุบไหล่ขันทองเบาๆ แต่ก็ไม่ได้ขัดขืนอะไร ยอมให้ชายหนุ่มกอดแล้วซบหน้ากับแผงอกชายหนุ่มอย่างอบอุ่น
ขันทองกอดแมงเม่าไว้แนบอกด้วยความรักและหวงแหน
บนแผนที่ ลูกศรแสดงการเคลื่อนทัพของพระเจ้าตากสิน
ลูกศรลากออกจากจันทบุรี ออกทะเลผ่านอ่าวไทย แล้วมาที่กรุงธนบุรี
จากกรุงธนบุรี ลูกศรลากไปที่กรุงศรีอยุธยา
"หลังจากหมดหน้ามรสุม สมเด็จพระเจ้าตากสินได้ทรงยกทัพจำนวน 5,000 เป็นทัพเรือออกจากเมืองจันทบูร ล่องมาตามฝั่งทะเลในอ่าวไทย จนถึงปากแม่น้ำเจ้าพระยา และยึดเมืองธนบุรีคืนจากอังวะได้ ก่อนจะยกทัพไปกรุงศรีอยุธยา และเข้าโจมตีค่ายโพธิ์สามต้น ขับไล่ทหารอังวะออกจากอาณาจักร
ได้สำเร็จ"
พระบรมฉายาลักษณ์ของพระเจ้าตากสิน ชูดาบขึ้นท้องฟ้าอย่างอาจหาญ
" ซึ่งรวมระยะเวลาเพียง 7 เดือน นับแต่เสียกรุง ก็สามารถกอบกู้บ้านเมืองกลับมาได้สำเร็จ ก่อนจะทรงปราบดาภิเษกขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์ ทรงพระนามว่า “สมเด็จพระบรมราชาที่ 4” แต่คนทั่วไป ก็ยังนิยมเรียกพระองค์ว่า “สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช” มาจนถึงทุกวันนี้
ราว 1 - 2 สัปดาห์
ค่ายทหารอังวะตอนกลางวัน
พระเจ้ามังระ อะแซหวุ่นกี้ เนเมียวสีหบดี และขุนนางคนอื่นๆกำลังกางแผนที่บนโต๊ะ แล้วพูดคุยวางแผนการรบกับจีนอยู่
ขณะนั้นเอง ก็มีทหารคนหนึ่งวิ่งเข้ามาในกระโจมด้วยความร้อนลนสุดๆ
ทหาร 1ร้อนใจสุดๆ คุกเข่าลงพนมมือไหว้เหนือหัว
"ขอเดชะ พระอาญาไม่พ้นเกล้า"
พระเจ้ามังระดูแผนที่ พูดโดยไม่เงยหน้าขึ้นมา
"มีกระไรก็ว่ามา ข้ากำลังถกแผนการรับมือกองทัพจีนอยู่ ไม่อยากพิรี้พิไร"
"มีข่าวจากทางอโยธยาพระพุทธเจ้าข้า เพลานี้ ได้มีกองทัพของพระยาตาก"
พระเจ้ามังระค่อยหันไปสนใจคำรายงานของทหาร
ทหาร 1 รายงานต่อ
"ยกมาตีทัพของเราที่เฝ้าอโยธยาจนแตกพ่าย กู้อโยธยากลับคืนไปแล้วพระเจ้าข้า"
พระเจ้ามังระโกรธมากหันไปเล่นงานเนเมียวสีหบดีทันที
"เนเมียวสีหบดี เจ้าบอกข้าว่าทิ้งกองทัพไว้ดูแลอโยธยาแล้ว เหตุใดจึงถูกกู้กลับคืนไปได้ในเวลาอันรวดเร็วเช่นนี้"
เนเมียวสีหบดีกลัวอาญา รีบคุกเข่าลง พนมมือไหว้เหนือหัว
"ขอเดชะ พระอาญาไม่พ้นเกล้า ข้าพระพุทธเจ้าจัดทหารหนึ่งหมื่นคน ไว้คอยควบคุมอโยธยาจริงพระพุทธเจ้าข้า แต่ เอ่อ ทหารหนึ่งหมื่น อาจจะไม่เพียงพอกับพื้นที่กว้างใหญ่ของอโยธยาก็เป็นได้พระเจ้าข้า"
อะแซหวุ่นกี้หน้านิ่งๆ บอก
"ไม่กระมัง เราไม่ได้บุกยึด เพียงแต่คอยกวาดต้อนผู้คนแลทรัพย์สมบัติ หนึ่งหมื่นน่าจะเพียงพอแล้ว เจ้าเป็นทหารชาญศึก ย่อมรู้ดี แต่ที่เราแพ้ น่าจะเป็นเพราะฝ่ายตรงข้ามเก่งกาจกว่าที่คาดไว้มากกว่า เจ้าบอกมาตามตรงเถิด พระยาตากผู้นี้เป็นผู้ใด"
เนเมียวสีหบดีจนแต้ม ยอมสารภาพ
"พระยาตากผู้นี้ เป็นทหารที่มารักษาอโยธยา แต่ระหว่างศึกได้หนีไป ข้าส่งคนออกตามล่าแล้ว
แต่ก็รบแพ้ทุกคราไป จนเห็นว่าไปไกลแล้ว จึงไม่ได้สนใจอีก ไม่คิดว่า..." เนเมียวสีหบดีไม่กล้าพูดต่อ " เอ่อ"
พระเจ้ามังระโมโหมาก
"เจ้าประมาทน่ะซี ถึงได้พลาดพลั้งเอาเช่นนี้ กว่าจะเอาชัยอโยธยาได้ เสียทั้งเวลา ทหาร แลทรัพย์สินไปเท่าใด ยังไม่คุ้มกับที่เสียไป ก็ถูกเอาคืนกลับไปแล้ว"
เนเมียวสีหบดีกลัว พนมมือไหว้
"ข้าพระพุทธเจ้าผิดไปแล้ว โปรดทรงอภัยด้วยพระพุทธเจ้าข้า"
อะแซหวุ่นกี้พนมมือ
"ขอเดชะ พระอาญาไม่พ้นเกล้า จะทรงโทษเนเมียวสีหบดีอย่างเดียวก็ไม่ควร ด้วยพระยาตากผู้นี้เลือกที่จะฉวยโอกาสตอนเราติดศึกจีน กู้อโยธยาก่อน แทนที่จะตั้งตนเป็นก๊กเป็นเหล่าเหมือนผู้อื่น แสดงถึงสายตาที่ยาวไกลนัก อีกทั้งยังเชี่ยวชาญการศึกสามารถเอาชัยทัพเราได้ คนเช่นนี้ ใช่จะรับมือได้โดยง่าย"
พระเจ้ามังระเจ็บใจมากที่เสียแผน แต่อะแซหวุ่นกี้ก็พูดถูก หันไปถามทหารที่มารายงาน
"หลังจากยึดอโยธยากลับไป พระยาตากผู้นี้ได้ทำอย่างไรบ้าง"
ทหาร 1บอก
"ขอเดชะ พระยาตากได้ปราบดาภิเษกขึ้นเป็นกษัตริย์ คนทั้งปวงเรียกพระนามว่า “สมเด็จพระเจ้าตากสิน” พระพุทธเจ้าข้า"
พระเจ้ามังระขบกรามแน่นด้วยความแค้น
"พระเจ้าตากสิน รอข้าเสร็จศึกกับจีนก่อนเถิด แล้วเราจะได้เห็นดีกัน" พระเจ้ามังระตบโต๊ะดังลั่นด้วยความแค้น
พระยากำแหง เป้า ขุนรักษ์เทวา ก้มลงกราบสมเด็จพระเจ้าตากสิน ทั้งสามคนแต่งตัวโทรม เพราะต้องคอยเอาตัวรอดมา 7 เดือน การกินอยู่ลำบากลำบน
สมเด็จพระเจ้าตากสินทรงประทับอยู่บนตั่งในพลับพลา ซึ่งพลับพลาเป็นแบบเปิดโล่ง สามารถประกอบหรือเคลื่อนย้ายได้ ไม่เป็นพิธีการนัก เพราะเพิ่งกู้กรุงได้ เศรษฐกิจไม่ดี พระเจ้าตากสินทรงประหยัดมาก เครื่องแสดงยศศักดิ์ต่างๆจึงไม่สวยงามอลังการเหมือนสมัยอยุธยา
พระเจ้าตากยิ้มบางๆ
“ฉันดีใจนักที่เห็นพวกเจ้าปลอดภัย นับแต่นี้ก็มาอยู่ด้วยกันเถิด จะได้ช่วยกันทำนุบำรุงบ้านเมืองสืบไป”
พระยากำแหงพนมมือ
“เป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้พระพุทธเจ้าข้า เพียงแต่คนพิการอย่างข้าพระพุทธเจ้า มิรู้ว่าจะทำ คุณประโยชน์ใดให้ได้ เกรงว่าจะสิ้นเปลืองเบี้ยหวัดเสียเปล่า”
“อย่าพูดเช่นนั้นเลยท่านเจ้าคุณ ฉันเองตั้งใจจะย้ายเมืองหลวงไปที่กรุงธนบุรีศรีมหาสมุทร ด้วยชัยภูมิมีข้อได้เปรียบหลายประการ แลอโยธยาก็เสียหายเกินกว่าจะบูรณะได้ ท่านเจ้าคุณชำนาญงาน
การในวังนัก ช่วยมาเป็นออกญาวังให้ฉันทีเถิด”
“เช่นนั้นข้าพระพุทธเจ้าก็ขอถวายรับใช้ จนกว่าชีวิตจะหาไม่พระพุทธเจ้าข้า”
พระยากำแหง และเป้า ก้มลงกราบพร้อมกัน
พระเจ้าตากหันไปพูดกับขุนรักษ์เทวา
“ส่วนตัวท่านขุนนั้น ฉันจะย้ายให้มาทำงานช่วยเรื่องค้าขายก็แล้วกัน ด้วยเงินทองในราชสำนัก
ร่อยหรอนัก คงจะมีขันทีต่อไปอีกไม่ได้ แต่ความรู้เรื่องบาญชีแลภาษาของท่านขุนคงมีประโยชน์ต่อบ้านเมืองนัก”
ขุนรักษ์เทวาดีใจสุดๆ
“เป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้พระพุทธเจ้าข้า”
ขุนรักษ์เทวาก้มลงกราบ
เป้าห่วงแมงเม่ามาก
“ขอเดชะ หม่อมฉันรู้มาว่า พี่ม่วง พี่ชายของแม่แมงเม่าเพื่อนหม่อมฉัน เป็นทหารถวายรับใช้พระองค์ หม่อมฉันห่วงใยเพื่อนนัก อยากรู้ข่าวคราว หม่อมฉันจะขอพบพี่ม่วงได้หรือไม่เพคะ”
“ พูดขึ้นมาก็ดีแล้ว ฉันมีเรื่องที่อยากจะอธิบายให้เข้าใจกันเสียที”
พระเจ้าตากเหลือบไปเห็นขันทองเดินเข้ามา ยิ้มขำๆ
“เออ ช่างประจวบเหมาะเสียจริงๆ”
ขันทองคุกเข่า แล้วคลานเข้าไปหา ก่อนจะก้มลงกราบ
พอเงยหน้าขึ้นมา พระยากำแหง เป้า และรักษ์เทวา ก็เห็นชัดๆว่าเป็นพระศรีขันทินนั่นเอง
ทุกคนตกใจ นึกไม่ถึง “ออกพระศรี”
ขันทองยิ้มรับ
“เป็นออกพระศรีจริง แต่ไม่ใช่พระศรีขันทิน หากแต่เป็นพระศรีสัจจาขอรับ”
พระยากำแหง เป้า และขุนรักษ์เทวา ต่างพากันแปลกใจ ตกลงขันทองเป็นใครกันแน่ แล้วทำไมถึงมาอยู่กับสมเด็จพระเจ้าตากสินได้
บรรยากาศในวัดสำคัญของกรุงศรีอยุธยา ซึ่งถูกเผาทำลายจนเหลือแต่อิฐหิน และซากปรักหักพังไปหมดแล้ว ขันทองเดินคุยมากับพระยากำแหง
ขันทองไม่สบายใจ
“กระผมผิดนักที่หลอกลวงท่านเจ้าคุณมาโดยตลอด แม้พระพุทธเจ้าอยู่หัวท่านทรงอธิบายแล้ว ก็ยังรู้สึกผิดอยู่ดี จึงอยากขออภัยท่านเจ้าคุณอีกคราขอรับ” ขันทองไหว้พระยากำแหง
พระยากำแหงรับไหว้
“คุณพระมีความจำเป็น แลไม่ได้ทำการทุรยศอย่างที่ฉันเข้าใจผิด ฉะนั้น ไม่มีความจำเป็นต้องขอโทษขอโพยกระไรอีกแล้ว อย่าคิดมากอีกเลย”
“ เป็นพระคุณขอรับ”
“แล้วตอนนี้ คุณพระรับผิดชอบหน้าที่ใดรึ”
“กระผมมีหน้าที่ซ่อมแซมแลปรับปรุงทางบกทางน้ำทั่วแผ่นดิน ให้เดินทางโดยสะดวกยิ่งขึ้นขอรับ”
พระยากำแหงแปลกใจ
“ปรับปรุงทาง ฉันไม่เคยได้ยินมาก่อน นับแต่โบราณมา ยิ่งหนทางทุรกันดารเพียงไร ก็ยิ่งดีไม่ใช่รึ เพลาข้าศึกยกทัพมาจะได้ลำบาก หากปรับปรุงทางให้ดี มิเท่ากับให้ข้าศึกยกทัพโดยสะดวกรึ”
ขันทองยิ้มบางๆ
“กระผมก็ทูลถามเช่นนี้ แต่พระพุทธเจ้าอยู่หัวท่านตรัสตอบมาว่า ความคิดเช่นนี้เก่าแก่เกินไปแล้ว การปรับปรุงเส้นทางให้ดี จะทำให้การค้าขายดีขึ้น เก็บภาษีได้มากขึ้น เมื่อร่ำรวยก็สร้างกองทัพให้แข็งแกร่งขึ้นได้”
พระยากำแหงรับฟังอย่างคิดตาม
“แลเส้นทางที่ทุรกันดารนั้น ก็ป้องกันเมืองไม่ได้จริง อย่างที่อโยธยาต้องเสียแก่อังวะอย่างไรเล่าขอรับ”
กำแหงพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ
“ทรงมีสายพระเนตรยาวไกลนัก ฉันคิดไม่ถึงข้อนี้เลยจริงๆ จะว่าไปพระองค์ท่านทรง
แตกต่างจากเจ้าประคุณขุนหลวงพระองค์อื่นที่ฉันเคยพบมานัก ไม่มีพระองค์ใดโปรดให้ไพร่เข้าใกล้เลย เพราะถือเป็นการเสื่อมพระเกียรติ แต่ที่ฉันเห็น พระองค์ไม่เพียงโปรดให้ชาวบ้านเข้าเฝ้า บางครายังทรงเสด็จไปตรัสกับชาวบ้านก่อนเสียด้วยซ้ำ”
“ เพราะเช่นนั้น อาณาประชาราษฎร์จึงรักใคร่ในพระองค์ท่าน ขนาดเพิ่งแตกกระสานซ่านเซ็นไป ก็ยังกลับมารวมกันได้เพราะมีพระองค์ท่านเป็นศูนย์รวมจิตใจ”
พระยากำแหงยิ้มรับ เห็นด้วยกับขันทอง
ขันทองนึกขึ้นได้ หน้าเจื่อนลง รู้สึกผิด
“เอ่อ มีอีกเรื่อง ที่กระผมอยากจะกราบขออภัยท่านเจ้าคุณ คือ กระผมกับแม่แมงเม่า”
พระยากำแหงตัดบท
“ช่างเถิดตอนที่ฉันเห็นแม่แมงเม่าอยู่ที่นี่ ฉันก็เข้าใจหมดแล้ว เอ่อ แลฉันเองก็ตกแต่งกับแม่เป้าแล้วด้วย ฉะนั้น ฉันไม่ติดใจกระไรแล้วล่ะ”
ขันทองตกใจมาก นึกไม่ถึง
“ท่านเจ้าคุณกับแม่เป้า เป็นไปได้อย่างไรขอรับ”
“พุทโธ่ ลำบากลำบนมาด้วยกันตั้งเจ็ดเดือน อยู่กันสามคน ช่วยกันเอาชีวิตรอด ถ้าฉันไม่รักแม่เป้า ก็คงรักท่านขุนรักษ์เทวาแล้วล่ะ จะแปลกใจทำกระไร”
ขันทองคิดตามก็ขำเบาๆ เห็นด้วยกับพระยากำแหง
มุมหนึ่งในวัดร้าง
แมงเม่ากำลังคุยกับเป้าด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส
แมงเม่าตื่นเต้น
“จริงรึแม่เป้า อย่างนี้ฉันก็ต้องเรียกคุณหญิงเป้าแล้วซี”
เป้าเขินอาย
“แม่ก็ล้อฉันเล่นเสียเรื่อย ท่านเจ้าคุณเพิ่งกลับเข้ารับราชการ เรือนยังไม่มีอยู่ ใครมาได้ยินว่าฉันเป็นคุณหญิง ก็มีแต่จะหัวเราะเยาะเอาเท่านั้น”
“กะอีแค่เรือนแลสมบัติพัสถาน ท่านเจ้าคุณได้คืนศักดินาเมื่อใด อีกไม่นานก็มั่งมีเหมือนเดิม จะกลัวกระไร” แมงเม่าฉุกคิดบางอย่าง ก่อนถามเป้า “อย่าหาว่าฉันปากมากเลยนะ แต่แม่เป้าออก
เรือนกับท่านเจ้าคุณแล้ว ไม่คิดถึงท่านขุนจิตใจภักดิ์บ้างรึ”
เป้าหน้าเศร้าลง
“คิดซี ฉันยังคิดถึงท่านขุนจิตอยู่เสมอ หากแต่มันไม่ใช่ความรู้สึกเช่นเดียวกับที่ฉันรู้สึกกับท่านเจ้าคุณ”
“อย่างไรรึ”
เป้าคิดทบทวน
“ท่านขุนจิตมีรักแท้ต่อฉัน ฉันเองถ้ารู้ว่าท่านขุนเป็นชายแต่แรก ก็คงรักท่านตอบได้ไม่ยากนัก แต่มารู้เมื่อสายเกินไป ดังนั้นจะบอกว่า “รัก” ก็ไม่เต็มปากนัก แต่กับท่านเจ้าคุณ เจ็ดเดือนที่อยู่ด้วยกัน ฉันพูดได้เต็มปากว่าฉันรักท่านเจ้าคุณมากจริงๆ”
แมงเม่ายิ้มแย้มดีใจด้วย “ฉันเข้าใจและดีใจกับแม่เป้าด้วยจ้ะ”
เป้าจับมือแมงเม่าเอาไว้
“ฉันปล่อยให้แม่ซักไซ้ฉันแต่ฝ่ายเดียวมานานแล้ว เล่าเรื่องของแม่กับออกพระศรีขันทินมาให้ฉันฟังประเดี๋ยวนี้เลย”
“ออกพระศรีขันทินที่ไหนกัน พระศรีสัจจาต่างหาก”
เป้ากระเซ้า
“ใครจะไปจดไปจำ ได้แม่นยำเท่ากับคนรักกันได้ล่ะจ๊ะ”
แมงเม่ายิ้มอย่างขวยเขินพร้อมหยิกแขนเพื่อนเบาๆ
“ ได้ฤกษ์งามยามมงคลออกเรือนหรือยังเล่า”
แมงเม่าได้แต่อมยิ้มอย่างอายๆ
ผ่านมา 6 เดือน ที่เรือนใหม่มิ่งที่กรุงธนบุรี
เรือนไทยใหญ่โตสวยงามเรือนใหม่ของมิ่ง เพราะมิ่งไปขุดสมบัติกลับมา แล้วมาปลูกเรือนที่ธนบุรีพร้อมทำโรงงานกระดาษอีก เลยกลับมาร่ำรวยเหมือนเดิม
ในเรือน แมงเม่าเดินไปเดินมาด้วยความร้อนรน โดยมีมิ่ง ชื่น อิน นั่งจิบน้ำชา คุยกันอยู่ใกล้ๆ ทุกคนแต่งตัวสวยงาม เพราะวันนี้เป็นวันแต่งงานของแมงเม่ากับขันทองนั่นเอง ส่วนอินคลอดลูกแล้ว แต่งตัวปกติ
แมงเม่าเดินไปเดินมา ร้อนใจ บ่นพึมพำ
“ป่านฉะนี้แล้ว ทำไมยังไม่มาเสียที”
ขณะนั้นเอง ติ่น กับผล ก็วิ่งขึ้นเรือนมา
ติ่นรีบรายงาน
“แม่หญิงขอรับ”
“เป็นอย่างไร มาแล้วรึ”
“ยังขอรับ”
แมงเม่าตวาดแว๊ด
“โอ๊ย ดูเอ็งทำท่าเข้า อย่างกับขันหมากมาจ่อถึงหน้ากระไดแล้วอย่างนั่นล่ะ”
ติ่นยิ้มแหยๆ ผลแอบหัวเราะเยาะเพื่อน จนติ่นต้องกระทุ้งศอกใส่
มิ่งหมั่นไส้ แกล้งพูดลอยๆ
“เฮ้ย จะร้อนรนกระไรนักโว้ย ทนไม่ได้ ก็เป็นฝ่ายยกขันหมากไปสู่ขอเค้าเสียเองเลยซิ”
แมงเม่าแกล้งตกใจ
“ได้หรือพ่อ อ้ายติ่น อ้ายผล เอาเรือออก”
ผลพาซื่อ “ขอรับแม่หญิง”
มิ่งโวยลั่น “ไม่ต้องโว้ย ข้าประชด อ้ายโง่”
ผลยิ้มแหยๆ ติ่นแอบหัวเราะเยาะเพื่อนบ้าง จนผลต้องกระทุ้งศอกใส่คืนบ้าง
มิ่งหันมาด่าลูกสาวต่อ
“จะทำกระไร ก็นึกถึงหน้าข้าบ้างนาโว้ยนังแม่งเม่า เป็นหญิง จะแล่นไปสู่ขอผู้ชาย ข้าจะเอาหน้าไปไว้ที่ใดวะ”
แมงเม่าลอยหน้าลอยตา “ก็ฉันคนซื่อ พ่อพูดมา ฉันก็นึกว่าทำได้น่ะซี”
มิ่งทิ้งค้อน โดนลูกย้อน เจ็บใจซ้ำเข้าไปอีก
ชื่นปลอบแมงเม่า “ไม่ต้องร้อนใจไปดอก อีกนานนักกว่าจะเลยฤกษ์ แลงานแต่งครานี้เป็นงานพระราชทาน อีกไม่นาน ก็คงมีแขกเหรื่อมาเต็มเรือน ถึงอย่างไร พ่อขันทอง เอ๊ย ออกพระศรีก็ต้องยก
ขันหมากมาอยู่แล้วล่ะ”
แมงเม่าร้อนใจ “น้าชื่นไม่เข้าใจฉันดอก โอ๊ย ไม่รู้จะพูดอย่างไร”
มิ่งหมั่นไส้
“อยากออกเรือนนักหรืออย่างไรวะ นี่ถ้าไม่ติดว่าเป็นงานพระราชทาน ข้าไม่ให้แต่งดอกโว้ย”
ม่วงงงๆ
“อ้าว แปลกพิกลนัก แต่ก่อนพ่ออยากให้เจ้าแมงเม่าออกเรือนอยู่ทุกวี่วัน เจ้าแมงเม่าเองเสียอีก ที่เป็นฝ่ายออกฤทธิ์ออกเดชไม่ยอมแต่งกับผู้ใด”
อินงงพอกัน
“นั่นซีจ๊ะ แต่มาตอนนี้เจ้าแมงเม่ากลับเป็นฝ่ายอยากออกเรือน แต่พ่อท่านกลับไม่อยากให้ออกเรือนเสียอย่างนั้น”
ม่วง กับอินหันมามองหน้ากันแบบงงๆ
ทันใดนั้นเอง ก็ได้ยินเสียงโห่ เสียงกลอง ของขบวนขันหมากดังแว่วมา
ทุกคนพากันตื่นเต้นทันทีที่ได้ยินเสียง
ติ่นกับผลตื่นเต้น รีบไปชะโงกหน้าดูทันที
“ แม่หญิงขอรับ มาแล้วขอรับ มาทางเรือ ขบวนใหญ่เชียว” ติ่นว่า
“ออกพระศรีงามนัก ราวกับอิเหนาเลยขอรับ” ผลบอก
ขาดคำ ก็เกิดความวุ่นวายขึ้นทันที แต่ละคนไม่รู้จะต้องทำอะไรก่อน
แมงเม่ากังวล “พี่อิน ช่วยดูให้ที ฉันงามพร้อมแล้วหรือไม่”
อินรีบเข้าไปช่วยดูแลแมงเม่า
“อาหารการกินเรียบร้อยแล้วนะแม่ชื่น” มิ่งถาม
“ ฉันจะเข้าไปดูในครัวอีกทีจ้ะ” ชื่นรีบร้อนไปเข้าครัว
มิ่งวิตกกังวล ตื่นเต้นจะจัดงานมงคลลูกสาว
“พ่อม่วง มาช่วยพ่อดูทีซิ เครื่องใช้สอยสำหรับพิธีครบถ้วนมั้ย”
ม่วงและมิ่งมาช่วยกันตรวจเช็คความพร้อมของสถานที่จัดงานอีกครั้ง
ทุกอย่างดูวุ่นวายไปหมด
บรรยากาศกินเลี้ยงงานแต่งของขันทอง หลังจากด้านพิธีเสร็จเรียบร้อยแล้ว
แขกเหรื่อกำลังกินอาหาร พูดคุยเล่นกันอย่างยิ้มแย้มแจ่มใส แต่กลับไม่มีขันทอง แมงเม่า
พระยากำแหง และเป้า อยู่ที่นั้นด้วย
แมงเม่าจูงมือเป้าเข้ามาในห้องนอนหนึ่ง
แมงเม่าแต่งงานแล้ว บนหน้าผากจะมีการเจิมด้วย
“มีกระไร ทำไมต้องลากฉันเข้ามาในห้องนอนด้วย”
แมงเม่าดูซ้ายดูขวาจนแน่ใจว่าไม่มีใครเห็น แล้วรีบปิดประตู ร้อนสุดๆ
“คุณหญิงช่วยฉันด้วย”
เป้าหน้าบึ้ง
“ถ้าเรียกฉันว่าคุณหญิงอีกคำเดียว ฉันจะกลับล่ะนะ”
เป้าจะเดินหนีด้วยความงอน แต่แมงเม่ารีบจับแขนเป้าไว้
แมงเม่ารีบจับแขนเป้า อ้อนวอนสุดๆ
“ประเดี๋ยวก่อนแม่เป้าเพื่อนฉัน อย่าเพิ่งทิ้งกันไปตอนนี้เลยนะจ๊ะ”
เป้าอารมณ์ดีขึ้นเมื่อแมงเม่าเรียกตนเหมือนเดิม
“มีกระไรให้ช่วย ก็ว่ามาเถิด”
แมงเม่าทั้งเขินอาย ทั้งกระอักกระอ่วนจนสับสนไปหมด
“ฉัน คือฉัน..ฉัน”
“จะฉันอีกนานไหม” เป้าโอบบ่าแมงเม่าไว้เป็นการปลอบโยน
“มีกระไรก็ว่ามาเถิด ฉันพร้อมช่วยเหลือแม่อยู่แล้ว”
แมงเม่าอายมาก แต่ก็ตัดใจพูด
“ฉันกลัวการเข้าหอ”
เป้าตะลึง ตกใจมากนึกไม่ถึง
พระยากำแหงกำลังตกใจ ไม่ต่างจากเป้าเลย
พระยากำแหงตกใจ
“เกิดมาฉันไม่เคยได้ยิน มีกลัวแบบนี้ด้วยรึ”
พระยากำแหงกำลังคุยกับขันทองในที่ลับตาคน มุมหนึ่งของเรือน
ขันทองรีบจุ๊ปาก
“เบาๆสิท่านเจ้าคุณ ประเดี๋ยวใครมาได้ยินเข้า”
พระยากำแหงยิ่งคิดยิ่งขำ หัวเราะ
“ก็ควรจะกลัวคนอื่นได้ยินดอก มีอย่างรึ จนทำพิธีเสร็จแล้ว เพิ่งมากลัว”
“กระผมไม่ได้กลัว แต่ เอ่อ” ขันทองไม่รู้จะอธิบายยังไง “เห็นใจกระผมเถิด กระผมบวชแต่เล็กแต่น้อย สึกออกมา ก็ปลอมตัวเข้าวัง เป็นขันที หากชีวิตไม่พลิกผัน กระผมคงบวชไม่สึกไปแล้ว แต่คืนนี้ต้องมาเข้าหอ กระผมไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไรจริงๆ”
กำแหงหัวเราะชอบใจ ก่อนจะตบบ่าขันทอง
“คุณพระปรึกษาถูกคนแล้ว”
“ฉันแต่งงานมาสองครา เรื่องเช่นนี้” พระยากำแหงยืดอก ภูมิใจใน ตัวเองมาก “ฉันชำนาญ”
ขันทองค่อยยิ้มออก ถอนใจยาวแบบปล่อยหมดอย่างโล่งใจ
แมงเม่า และ เป้าในห้องนอน
“ ฉันรักคุณพระ แต่ฉันก็กลัว ใจหนึ่งก็อยากแต่ง แต่อีกใจก็อยากหนี ไม่มีใครเข้าใจฉันเลย”
เป้าขำๆ โอบบ่าเพื่อน
“อย่ากลัวไปเลย เรื่องเช่นนี้เป็นเรื่องปกติ แม่ทำใจให้สบายเถิด เพลาเข้าหอ ก็หาเรื่องพูดคุยเสีย จะได้ผ่อนคลาย”
แมงม่าเครียดหนัก
“คุยเรื่องกระไรเล่า แม่เป้าเข้าหอมาแล้ว สอนฉันทีเถิด”
มุมหนึ่งในเรือน พระยากำแหงกุมมือขันทองไว้ ส่งสายตาลึกซึ้งให้
“ แม่รู้หรือไม่ ว่าฉันรักแม่ นับแต่แรกเห็นแล้ว”
ขันทองคิดทบทวน
“ไม่นะขอรับ ครั้งแรกที่กระผมเจอแม่แมงเม่า นอกจากจะไม่รักแล้ว ยังออกจะรำคาญเสียด้วยซ้ำ”
กำแหงอ่อนใจ
“คำหวาน โอ้โลม คุณพระไม่เข้าใจรึ ไม่ต้องพูดจริง ไปเสียทุกเรื่องดอก”
“แล้วเหตุใดต้องพูดปดด้วยเล่าขอรับ”
กำแหงกระหยิ่มยิ้มย่อง
“ผู้หญิงเค้าชอบ ฉันก็ไม่รู้ดอกนะว่าทำไม แต่เค้าชอบที่เราเห็นเค้าคราแรกก็รักเลย เชื่อฉันซี”
ในห้องนอน เป้าบอก
“ผู้ใดเชื่อ ก็โง่เต็มที แต่ฉันก็แกล้งทำเป็นเขินอาย หลงคารมไปอย่างนั้นล่ะ ท่านเจ้าคุณจะได้ดีใจ”
แมงเม่าทึ่งเพื่อนมาก “ร้ายกาจนักแม่เป้า แล้วอย่างไรต่อ”
เป้าเขินอาย
“ก็ไม่อย่างไร หลังจากนั้น” เป้าเสียงอ่อยๆ “ท่านเจ้าคุณก็ปล้ำฉันเลย”
แมงเม่าตกใจ “ฮ๊า”
เป้าเขินอาย
“แหม เข้าหอแล้ว ก็เหมือนเป็นของเค้าไปแปดเก้าส่วน จะขัดขืนไปไยเล่า”
ประสบการณ์เป้าทำให้แมงเม่ากลุ้มหนัก
“โอ๊ย ฉันกลัวหนักยิ่งกว่าเดิมอีก แม่เป้านะแม่เป้า ไม่ได้ช่วยฉันเลย”
แมงเม่าถอนใจพรวดออกมา
ขันทองสงสัย
“เพียงเท่านี้ ก็โอนอ่อนผ่อนตามเลยหรือขอรับ”
“ถ้ายังไม่สำเร็จ ก็ใช้อีกสองสามกระบวนท่า”
พระยากำแหงโอบบ่าขันทอง แล้วกุมมือขันทอง
กำแหงส่งสายตาลึกซึ้ง
“ยอดดวงใจของพี่ เป็นของพี่เถิดนะ เป็นของพี่คนเดียวแลตลอดไป”
อีกมุมหนึ่ง ขุนรักษ์เทวาแอบดูอยู่
ขุนรักษ์เทวาตะลึง ก่อนจะบ่นเบาๆกับตัวเอง
“ทีกับฉันล่ะก็ ไม่เค๊ย ไม่เคย นี่แม่เป้าแม่แมงเม่าจะรู้หรือไม่นี่”
ขุนรักษ์เทวาแอบดูต่อ ด้วยความตื่นเต้นสุดๆ ยกมือขึ้นทาบอก
พระยากำแหงยังสอนขันทองถ่ายทอดวิชาเข้าหอแบบถึงเนื้อถึงตัวต่อไปอย่างตั้งใจ
พระจันทร์วันเพ็ญดูสวยงาม
ในห้องหอ... ขันทอง และแมงเม่าจดๆจ้องๆกันอยู่ในห้อง
ขันทองกดดัน ไม่รู้จะเริ่มต้นยังไง แมงเม่าก็มีท่าทางหวาดระแวงตลอดเวลา ขันทองก็ยิ่งเครียดหนักขึ้นไปอีก
ขันทองท่องพึมพำเบาๆตามที่พระยากำแหงสอน
“แม่รู้หรือไม่ ว่าฉันรักแม่นับแต่แรกเห็นแล้ว”
แมงเม่าได้ยินไม่ถนัด “ว่าอย่างไรนะเจ้าคะ”
ขันทองตกใจ “ไม่ได้ว่ากระไร ฉัน ฉัน” พลันลืมที่ท่องไปหมดเลย “โธ่เอ๊ย
ลืมเสียแล้ว”
“ ลืมกระไรเจ้าคะ”
ขันทองกระอักกระอ่วน ในที่สุดก็ทนไม่ไหว เดินพรวดเข้าไปหาแมงเม่า
“ แม่แมงเม่า”
แมงเม่า สะดุ้งเฮือก ถอยกรูดตามสัญชาติญาณ
"อย่าเข้ามาเจ้าค่ะ"
ขันทองหยุดผงะไป
"แม่ตื่นเต้นหรือไม่"
แมงเม่าอึ้งๆไป ไม่คิดว่าขันทองจะตื่นเต้นเหมือนกับตน
ขันทองสารภาพ
"ฉันตื่นเต้นเหลือเกิน แต่เกิดมาไม่เคยตื่นเต้นกระไรเท่านี้มาก่อนเลย"
แมงเม่าไม่คิดว่าขันทองก็หนักไม่แพ้ตน ก่อนจะปั้นยิ้ม วางมาดออกมา
"ไม่เจ้าค่ะ ฉันไม่ตื่นเต้นกระไรเลยเจ้าค่ะ"
ขันทองทึ่ง "จริงรึ เจ้านี่เก่งนัก ฉัน..."
ทันใดนั้น ก็มีเสียงเคาะประตูดังลั่น รัวๆขึ้น
แมงเม่าสะดุ้งโหยงตกใจ "ว้าย"
แมงเม่าสะดุ้งตกใจเลยเผลอเข้าไปกอดขันทอง
ขันทองยืนอึ้งอยู่แต่ก็รีบรวบกอดแมงเม่าไว้ในอ้อมอก
พระยากำแหง ม่วง ติ่น และผล หัวเราะคิกๆกันอยู่หน้าประตู สะใจที่ได้แกล้งบ่าวสาว ด้วยการเคาะประตูขัดจังหวะได้
ม่วงหัวเราะสะใจ
"ป่านฉะนี้ น้องสาวกระผมคงหน้างอเป็นตวักหักไปแล้ว กำลังเข้าด้ายเข้าเข็มเช่นนี้"
พระยากำแหงขำชอบใจ
"ประเดี๋ยวเราเอาใหม่ รอให้เจ้าบ่าวปลอบเจ้าสาวสักพัก พอกำลังเคลิ้มๆ ก็เคาะให้ดังกว่าเดิมอีก"
พวกหนุ่มๆ หัวเราะกันคิกได้แกล้งบ่าวสาว
ขณะนั้นเอง เป้า และอิน ก็เดินเข้ามาหา หน้าบึ้งทั้งคู่
" ท่านเจ้าคุณเจ้าคะ จะค้างที่นี่ หรือจะกลับเรือนเจ้าคะ" เป้าถามหน้าบึ้งตึง
พระยากำแหงหน้าเสีย รีบเอาตัวรอดทันที
"กลับซีจ๊ะ ฉันกำลังรอแม่เป้าอยู่เทียว"
พระยากำแหงรีบเดินไปอ้อนเป้า แล้วเดินเลี่ยงไปทางอื่น
ม่วงหน้าเสีย ไม่คิดว่าพระยากำแหงจะทิ้งกันง่ายๆ
"อ้าว ท่านเจ้าคุณ"
" พี่ม่วง ลูกร้องแล้ว จะปล่อยให้ฉันดูลูกคนเดียวรึ"
ม่วงปั้นยิ้ม "พี่ไปช่วยประเดี๋ยวนี้ล่ะจ้ะ"
ม่วงรีบประคองอินไปด้วยกัน
ติ่น และผล หันมามองหน้ากันเลิ่กลั่ก
"ถ้าแม่หญิงเห็นเราแค่สองคนล่ะก็..." ผลว่า
"ตายแน่ ทั้งตีนแม่หญิง ตีนคุณพระ"
ติ่น และผลรีบเดินแยก หนีกันไปคนละทิศละทางทันที
ในห้องหอ ขันทองกำลังยืนโอบกอดแมงเม่านิ่งอยู่ในห้องหอ
แมงเม่าอยู่ในอ้อมอกขันทอง ก็ตื่นเต้นลุ้นว่าขันทองจะทำอะไรต่อ
ขันทองยิ้มกรุ้มกริ่ม
"เจ้าคนเก่งแต่ปาก บอกไม่ตื่นเต้น หัวใจเจ้าเต้นแรง จนฉันยังได้ยินเลย"
แมงเม่ายิ่งอายหนักกว่าเดิม พยายามหาทางออก ผละออก
"เรามาแก้กลบทกันดีหรือไม่เจ้าคะ"
" แก้กลบท ตอนนี้น่ะรึ"
แมงเม่าตื่นเต้นสุดๆ "เจ้าค่ะ"
ขันทองยิ้มขำๆ เวลาอย่างงี้แมงเม่ายังเอาสีข้างเข้าถูอีก
แม้นกุศล เราสอง เคยร่วมสร้าง
ขอร่วมห้อง อย่าได้ ห่างเสน่หา
เสี่ยงผลที่ ได้เพิ่ม บำเพ็ญมา
ขอร่วมชีวา ร่วมวาง ชีวาวาย
แมงเม่าคุ้นๆ
"นี่ไม่ใช่กลบทนี่เจ้าคะ เพลงยาวเจ้าฟ้ากุ้งท่านต่างหาก"
"ความรักของพี่ ไม่ต้องถอดกล ดอกคนดี" ขันทองเชยคางแมงเม่าขึ้นมามองด้วยสายตารักใคร่เต็มเปี่ยม "แค่เจ้ารู้สึกก็พอ"
ขาดคำขันทองก็ช้อนตัวอุ้มแมงเม่าขึ้นมา
แมงเม่ามีท่าทีเขินอาย
ขันทองหน้าตากรุ้มกริ่ม
"พี่จะปล้ำเจ้าแล้ว เตรียมตัวเตรียมใจให้ดีล่ะ"
แมงเม่าอายมาก ใครเขาพูดกันแบบนี้ ได้แต่ทุบอกขันทองตามด้วยหยิกเบาๆแก้เขิน
ขันทองอุ้มแมงเม่าไปที่เตียงวางลงพร้อมกับหอมแก้มอย่างแผ่วเบา
เรือนใหม่มิ่ง 6 เดือนผ่านไป บรรดาคนงานกับทาสกำลังช่วยกันทำกระดาษอย่างขันแข็ง รอบๆลานบ้านมีการตากกระดาษเต็มไปหมด
แมงเม่ากำลังดูกระดาษที่ติ่นเพิ่งทำเสร็จใหม่ๆอยู่
แมงเม่าดูอย่างละเอียด
"ใช้ได้แล้ว เอาไปตัดให้เรียบร้อย แล้วส่งลูกค้าได้"
ติ่นยิ้มแย้ม
"ขอรับแม่หญิง"
แมงเม่าเสียงแข็งทันที
"แม่นาย ข้าบอกหลายหนแล้วใช่มั้ยว่าพี่ม่วงหันไปรับราชการ ข้ากับพี่อินคือคนดูแลโรงกระดาษ ฉะนั้น เอ็งต้องเรียกข้าว่าแม่นาย"
ติ่นเสียงอ่อย "ขอรับแม่นาย"
ขาดคำ ผลก็วิ่งกระหืดกระหอบพร้อมกับถือจดหมายมาด้วย
"แม่หญิงๆ มีหนังสือมาถึงแม่หญิงขอรับ" ผลฉีกยิ้มกว้าง ยื่นจดหมายให้
" เอ็งสองคนนี่มันสมกับเป็นเกลอกันจริงจิ๊ง"
แมงเม่ารับจดหมายมาเปิดอ่าน ทันใดนั้น แมงเม่าก็ตาโตขึ้นมาด้วยความตื่นเต้นกับข้อความในจดหมายทันที
แต่ขณะนั้นเอง ขันทองก็เดินยิ้มแย้มเข้ามาหาแมงเม่า เพิ่งกลับจากทำงานตอนเช้าพอดี
" แม่แมงเม่า"
แมงเม่ารีบเข้าไปหาขันทองทันที
"คุณพระเจ้าขา"
ทั้งคู่เดินเข้ามาหากัน
ขันทอง / แมงเม่า พูดพร้อมกัน "พี่ / ฉันมีเรื่องสำคัญจะบอก"
ทั้งคู่อึ้งไปเมื่อพูดออกมาพร้อมกัน
"เอ่อ เชิญคุณพระก่อนเถิดเจ้าค่ะ"
ขันทองยิ้มรับ
"พี่มีคนจะแนะนำให้แม่แมงเม่ารู้จัก เค้ามีข่าวคราวของคนที่แม่แมงเม่าอยากรู้ด้วย" ขันทองหันไปเรียก "เชิญเถิดพ่อคุณ ขึ้นไปกินน้ำกินท่าบนเรือนก่อน"
นักมวยร่างใหญ่แข็งแรงคนหนึ่ง เดินเข้ามาหาขันทอง ด้วยท่าทางสุภาพอ่อนน้อม
แมงเม่ามองนักมวยคนนั้นด้วยความแปลกใจ ว่าขันทองจะแนะนำให้ตนรู้จักทำไม
นักมวยคนนั้นกำลังกินน้ำลอยดอกมะลิจากขัน โดยมีขันทอง และแมงเม่า นั่งอยู่ใกล้ๆ
นักมวยดื่มน้ำเสร็จ ก็หันไปคุยต่อด้วยสีหน้ายิ้มแย้
"กระผมถูกจับตัวไปอังวะครากรุงแตก ต่อมามีการแข่งขันชกมวยต่อหน้าพระที่นั่งของพระเจ้ามังระ กระผมจึงอาสาขึ้นชก หลังจากชำนะนักมวยของอังวะได้หลายคน พระเจ้ามังระจึงพระราชทานรางวัลให้กระผม ขอกระไรก็ได้หนึ่งประการ กระผมจึงขอกลับสู่แผ่นดินเกิดอีกครั้งขอรับ"
แมงเม่ายิ้มแย้ม
"เป็นเช่นนี้นี่เอง" หันไปมองขันทอง พอเข้าใจแล้วว่า ขันทองพานักมวยมาทำไม หันไปคุยกับนักมวยต่อ "เอ่อ พ่อไปอยู่อังวะ พอจะรู้จักกรมขุนภักดีวิมลหรือไม่ พระองค์ทรงถูกจับไปอังวะเช่นกัน"
"รู้จักขอรับ คนไทที่นั่นรู้จักกันแทบทุกคน"
แมงเม่าตื่นเต้น รีบถามทันที
"แล้วเสด็จพระองค์หญิงทรงเป็นอย่างไรบ้าง ทรงลำบากหรือไม่"
นักมวยคิดทบทวนอยู่ครู่หนึ่ง
"ถ้านับแบบชาวบ้าน ก็ไม่ถือว่าลำบากดอกขอรับ แต่ถ้าหากคิดว่าพระองค์ทรงเป็นเชื้อพระวงศ์มาก่อน ก็ถือว่าลำบากเอาการขอรับ"
" อย่างไร พ่อช่วยเล่าให้ฉันฟังที"
หมู่บ้านเล็กๆปลูกกันอย่างง่ายๆ เป็นกระท่อมเล็กๆปลูกติดๆกัน
ชาวบ้านแต่ละคน แต่งตัวแบบคนไทย กำลังทำงานอยู่ ไม่ว่าจะตำข้าว เอาเนื้อ เอาปลามาตากแดด ทอผ้า ฯลฯ
กระท่อมแห่งหนึ่ง คุณท้าวโสภากำลังสอนผู้หญิงกลุ่มหนึ่งหัดรำไทย แต่ละคนรำกันอย่างอ่อนช้อยสวยงาม
รำโยเดีย คือการรำที่มีชื่อเสียงมากของพม่า ซึ่งคนไทยที่ถูกจับตัวไปเป็นคนถ่ายทอดและรักษาไว้
"พระเจ้ามังระทรงพระราชทานที่ดินให้เชลยที่ถูกจับตัวไปสร้างบ้านเรือน โดยเรียกกันว่า “หมู่บ้านโยเดีย” พวกเราก็อาศัยกันอยู่ที่นั่น เหมือนอยู่ในอโยธยานี่ล่ะขอรับ ไม่ได้ลำบากลำบนกระไร เว้นแต่ต้องถูกเกณฑ์ไปทำงานเท่านั้นเอง"
ในกระท่อม กรมขุนวิมลภักดีกำลังใช้พู่กันเขียนหนังสืออยู่ โดยในกระท่อมมีหนังสือจำนวนมากวางไว้ ชาวบ้านคนไหนสนใจก็เข้ามาหยิบไปอ่าน
ในขณะที่คุณท้าวโสภา และเจ้าจอมอำพันกำลังสอนหนังสือให้ทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่อยู่ ทุกคนจะได้อ่านหนังสือออก
" อดีตเชื้อพระวงศ์ ก็ต้องถือว่าลำบากไม่น้อยขอรับ เพราะไม่มีคนคอยรับใช้ แลที่อยู่ อาหารการกินก็ไม่ดีนัก ส่วนกรมขุนท่าน นอกจากทำงานส่วนตัวแล้ว ยังเจียดเวลามาคัดลอกหนังสือแลสอนหนังสือให้พวกชาวบ้านด้วย หนังสือที่พระองค์ทรงคัดลอกเก็บไว้ในกระท่อมหลังหนึ่ง เรียกว่า “หอแมงเม่า” ขอรับ"
กรมขุนวิมลภักดีคัดลอกหนังสือเสร็จก็ยิ้มบางๆอย่างสุขใจ แม้จะไม่มีโอกาสได้เจอกับแมงเม่าอีกแล้ว แต่การจัดตั้งหอแมงเม่าขึ้นมาก็ช่วยให้คลายคิดถึงเจ้าตัวดีไปได้บ้าง
แมงเม่านั่งน้ำตาคลอเบ้า เมื่อฟังเรื่องราวทั้งหมด
ขันทองโอบบ่าแมงเม่าไว้ด้วยความสงสาร
"เสด็จพระองค์หญิงคงทรงคิดถึงแม่แมงเม่า ถึงได้ตั้งชื่อหอหนังสือเช่นนั้น นับเป็นพระ
กรุณาอย่างหาที่สุดมิได้จริงๆ"
แมงเม่าน้ำตาคลอ เสียใจ
"สิ่งเดียว ที่ฉันเสียใจมาตลอด ก็คือไม่ได้ถวาย รับใช้เสด็จพระองค์หญิงให้ถึงที่สุด สมกับพระเมตตาที่ทรงมีให้"
แมงเม่าลุกขึ้น แล้วหันหน้าไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ซึ่งเป็นที่ตั้งของเมืองอังวะ แล้วคุกเข่าลง พนมมือ แมงเม่าร้องไห้ไปพูดไป
"อังวะนั้นไกลนัก แลเป็นคู่ศึกคู่สงครามกัน หม่อมฉันคงไม่อาจถวายรับใช้ได้อีกแล้ว แต่หากชาติหน้ามีจริง หม่อมฉันจะขอเป็นข้ารับใช้เสด็จทุกชาติไปเพคะ"
แมงเม่าก้มลงกราบที่พื้นทั้งน้ำตา แสดงความรักและภักดีที่มีต่อกรมขุนวิมลอย่างหมดหัวใจ
2-3 วันผ่านมา วัดร้างแห่งหนึ่ง (วัดกุฎีดาว) ตอนกลางวัน เต็มไปด้วยซากปรักหักพังเต็มไปหมด
วัดนี้ในเวลาต่อมา มีตำนานเรื่องปู่โสมเฝ้าทรัพย์อยู่ เชื่อกันว่ามีการเอาคนมาฆ่าเพื่อเฝ้าสมบัติตอนกรุงแตก ล่ำลือว่าผีดุมาก
ขันทองเดินคุยมากับแมงเม่า
ขันทองบ่นเซ็งๆ
"นี่หรือเรื่องสำคัญของเจ้า ให้ฉันลาราชการมาอโยธยานี่น่ะ มีแต่เศษอิฐเศษไม้ ผ่านมาเป็นปี ยังหาคนอยู่แทบไม่มี จะเป็นเมืองร้างอยู่แล้ว"
แมงเม่าหมั่นไส้
"ขี้บ่นเสียจริง นึกเสียว่ามาเยี่ยมน้าพันหาญซีจ๊ะ น้าท่านมาทำราชการอยู่ที่นี่ มาเยี่ยมสักหน่อย จะเป็นกระไรไป"
"แค่นั้นกระมัง บอกฉันมาดีกว่า ว่าเจ้า..."
ขณะนั้นเอง พันหาญก็เดินนำลูกน้องจำนวนหนึ่งมา ด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส
" พ่อขันทอง มาแล้วรึ กำลังรออยู่เทียว"
ขันทองแปลกใจขึ้นไปอีก "รอฉัน มีกระไร"
ขณะนั้นเอง ขันทองก็เหลือบเห็นก้อนดินก้อนหนึ่งขว้างมาใส่แมงเม่า ขันทองเลยรีบดึงตัว
แมงเม่าหลบ ก้อนดินเลยเฉียดแมงเม่าไปนิดเดียว
ขันทองหันไปมองตาม เห็นคนขว้างแต่งตัวสกปรกมอมแมม แล้วรีบหนีไป
ขันทองโมโห เลยรีบตามไปทันที
"พี่ขันทอง ไม่ต้องตามจ้ะ"
ขันทองไม่ฟัง วิ่งตามไปแล้ว
ขันทองวิ่งตามมาจนทัน แล้วคว้าข้อมือไว้
" เอ็งเป็นใคร มาทำร้ายเมียข้า"
ขันทองชะงัก เมื่อคนๆนั้นหันกลับมา แม้จะสกปรกมอมแมม ใส่เสื้อผ้าขาดวิ่น ไม่มีสง่าราศี
แต่ก็ดูออกว่าเป็นใคร
" เจ้าจอมเพ็ญ" ขันทองตกใจสุดๆ
เพ็ญกระชากมือหลุดออกมา เสียสติไปแล้วตะคอกใส่
"มึงกล้าแตะต้องตัวกูรึ รู้หรือไม่ ว่ากูเป็นใคร กู แม่หยั่วเมืองแห่งอโยธยาศรีรามเทพนคร ขี้ข้าอย่างเอ็งกล้าดีอย่างไร มาแตะเนื้อต้องตัวกูให้มีเสนียด ทหาร เอามันไปตัดหัว ตัดให้สิ้นทั้งเจ็ดชั่วโคตร"
ขันทองตะลึงไปหมด ไม่คิดว่าเจ้าจอมเพ็ญจะบ้าไปแล้ว
ขณะนั้นเอง แมงเม่าก็เดินตามเข้ามา
"เจ้าจอมเพ็ญเสียสติเจ้าค่ะ อย่าว่าแต่คนอื่นเลย แม้แต่ตัวเอง เพลานี้ก็จำไม่ได้"
" เจ้ารู้เรื่องนี้รึ"
เพ็ญหันไปมองแมงเม่า ยิ้มดีใจ "นังเลื่อน เอ็งมาแล้วรึ ดี" แล้วชี้หน้าขันทอง "รีบมาพาอ้ายคนสามหาวนี่ออกไปให้พ้นหน้าข้าประเดี๋ยวนี้"
แมงเม่ามองเจ้าจอมเพ็ญด้วยความเวทนา
"แม่เป้าเล่าให้ฉันฟังเจ้าค่ะ ว่าตอนหลบอยู่ในอโยธยา ได้เจอเจ้าจอมเพ็ญหลายครั้ง มีอยู่ครั้งหนึ่งแอบตามไป จนรู้ว่าเจ้าจอมพักอยู่ละแวกนี้"
เจ้าจอมเพ็ญโมโห เดินเข้ามาหาแมงเม่า
"อีเลื่อน ข้าบอกให้ไล่มันไป"
เจ้าจอมเพ็ญมองหน้าแมงเม่าชัดๆ กลัวสุดขีด "คุณท้าวสาลิกา"
เจ้าจอมเพ็ญกรีดร้อง วิ่งไปหลบหลังต้นไม้
" อย่าๆ คุณท้าว อย่าทำร้ายฉัน ฉันกลัวแล้ว"
ขันทองมองเจ้าจอมเพ็ญด้วยความสังเวช
"นี่รึ ที่เจ้าอยากให้พี่มาเห็น"
"ไม่ใช่เท่านี้ดอกเจ้าค่ะ"
ขณะนั้นเอง พันหาญก็เดินนำลูกน้องที่หามหีบจำนวนหนึ่งเข้ามา
"ฉันอยากให้คุณพระ ได้เห็นของเหล่านี้ด้วย"
พันหาญเปิดหีบแต่ละใบออก ในหีบ เต็มไปด้วยทรัพย์สมบัติ แก้วแหวนเงินทองจำนวนมหาศาล
"นี่เป็นเพียงส่วนน้อยเท่านั้นเองนะ"
ขันทองตะลึง ขนาดอยู่ในวังมานาน ก็ไม่เคยเห็นสมบัติมากขนาดนี้มาก่อน นี่มันของใครกัน ทำไมมากมายปานนี้
พันหาญยิ้มแย้ม
"ก็ของพ่อขันทองกับแม่แมงเม่าน่ะซี แต่ถ้าอยากแบ่งให้พวกน้าบ้าง น้าก็ไม่ว่ากระไรดอก"
พันหาญหันไปหัวเราะชอบใจกับพวกลูกน้อง
ขันทองหันไปมองแมงเม่าด้วยท่าทางงงๆ
" แม่เป้าเล่าให้ฉันฟังว่าเจ้าจอมเพ็ญมักจะไล่ทุกคนหาว่าจะมาขโมยสมบัติตน แต่แม่เป้าไม่ติดใจกระไรนึกว่าเจ้าจอมเป็นบ้า แต่ฉันสะดุดใจนัก พอน้าพันหาญต้องมาราชการ ฉันจึงเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง"
พันหาญยิ้มแย้ม
"แล้วน้าก็เจอสมบัติพวกนี้ฝังดินอยู่จริงๆ หลังจากเสียสติแล้วเจ้าจอมเพ็ญคงจะห่วงสมบัติ จึงมาอาศัยอยู่แถวนี้ คอยไล่ไม่ให้คนเข้าใกล้ แต่ทุกคนเห็นว่าบ้า เลยไม่สนใจ"
เจ้าจอมเพ็ญกรีดร้อง เอาเศษไม้ใบหญ้า ปาใส่ทุกคนอยู่ห่างๆอย่างกลัวๆ
เจ้าจอมเพ็ญโวยลั่น
"ออกไป ออกไปให้หมด คิดจะมาขโมยสมบัติกูรึ กูจะจับตัดหัวให้หมด ไป๊ ออกไป กูบอกให้ไป ไปซี ไป๊"
เจ้าจอมเพ็ญแผดเสียงกรีดร้องด้วยความหวงแหน
ขันทองมองสมบัติจำนวนมหาศาล แล้วหันไปมองเจ้าจอมเพ็ญที่บ้าไปแล้ว
เจ้าจอมเพ็ญหันมามองขันทอง ตะลึง ค่อยๆยิ้มออกมา "คุณพระนาย คุณพระนายกลับมาหาพี่แล้ว"วิ่งเข้ามากอดขันทอง "พี่คิดถึงคุณพระนายเหลือเกิน" พลางลูบหน้าลูบตาขันทองยกใหญ่ "น้องพี่
อย่าทิ้งพี่ไปอีกนะ พี่ไม่เหลือใครแล้ว อย่าทิ้งพี่ไปนะ"
ขันทองถอนใจ หันไปพูดกับพันหาญ
"สมบัติมีอยู่เท่านี้รึ"
พันหาญยิ้มแย้ม
"ที่เห็นนี่ยังไม่ถึงหนึ่งในสิบเสียด้วยซ้ำ น้าขนมาไม่ไหว ที่เหลือให้คนเฝ้าเอาไว้ท่านด้านโน้น"
ขันทองใช้ความคิด
"ดีแล้ว เพลานี้บ้านเมืองต้องการใช้เงินทองนัก ฉันจะถวาย" ขันทองยกมือไหว้เหนือหัว "พระพุทธเจ้าอยู่หัวทั้งหมด พระองค์ท่านจะได้เอาไปใช้สร้างความจำเริญให้แก่บ้านเมืองต่อไป"
พันหาญกับลูกน้องตกใจสุดๆ
แมงเม่ายิ้มขำๆ พูดกับตัวเองเบาๆ
"นึกแล้วเทียว"
พันหาญตกใจสุดๆ
"ทั้งหมดเลยรึ พ่อขันทองพูดกระไรออกมา สมบัติเหล่านี้ทำให้พ่อขันทองเป็นคนร่ำรวยที่สุดในแผ่นดินเชียวนา"
"สมบัติบาป ที่ได้มาเพราะการคดโกง ฉันไม่ต้องการดอกจ้ะ"
ขันทองหันไปมองเจ้าจอมเพ็ญที่กอดตนด้วยความรักใคร่เพราะคิดว่าเป็นน้อง ดูเจ้าของเถิด ต้องเป็นบ้าเพราะของพวกนี้ มิใช่เวรกรรมตามทันแล้วคือกระไร
เจ้าจอมเพ็ญจู่ๆก็กรีดร้อง ผละตัวออก
"อ้ายสารเลว มึงกล้าดีอย่างไรมาแตะตัวกู ผู้เป็นแม่หยั่วเมือง" ก่อนหันไปสั่งพันหาญ "ทหาร เอามันไปตัดหัว"
วิ่งหนีไปหลบหลังซากปรักหักพังอย่างกลัวๆ
ขันทองถอนใจก่อนพูดกับพันหาญต่อ
"ให้สมบัติทั้งหมดกับบ้านเมืองน่ะดีแล้ว จะได้เป็นการไถ่บาปด้วย"
"แต่..."
ขันทองตัดบท
"ถ้าน้ารักฉัน เราก็ถวายต่อพระองค์ท่านพร้อมกันเถิดจ้ะ"
พันหาญเซ็งสุดๆ แต่ไม่กล้าขัดขันทอง หันไปด่าลูกน้องระบายอารมณ์
"ขนกลับไปซีโว้ย จะรอให้อยากได้กว่านี้หรือวะ"
พวกลูกน้องขนหีบกลับไปหน้าจ๋อยๆ เสียดายกันเป็นแถว โดยมีพันหาญเดินคุมกลับไป
แมงเม่ายิ้มบางๆ
"มีอีกเรื่อง ที่ฉันอยากจะขอคุณพระจ้ะ"
"เจ้าอยากให้พี่ดูแลเจ้าจอมเพ็ญกระมัง"
แมงเม่าหันไปมองเจ้าจอมเพ็ญที่ตอนนี้นั่งพับเพียบยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่คนเดียวเหมือนคุย
กับใครถูกคออยู่หลังซากปรักหักพัง
" ฉันรู้ว่าเจ้าจอมเพ็ญกับคุณพระมีความแค้นต่อกัน แต่เพลานี้เจ้าจอมท่านก็ได้รับผลกรรมแล้ว หากทำได้ ฉันก็อยากให้อโหสิ เป็นกุศลต่อตัวคุณพระเองเจ้าค่ะ"
ขันทองยิ้มบางๆ
"เจ้านี่ศีลเสมอกับพี่เสียจริงๆ ถึงเจ้าไม่บอก พี่ก็ตั้งใจอย่างนั้นอยู่แล้ว"
ขันทองยิ้มภูมิใจในความเมตตาของแมงเม่าดึงภรรยาสาวเข้ามาสวมกอดเอาไว้
เจ้าจอมเพ็ญ เธอสวมมาดนางพญาอย่างเดิมจิกตามองมาที่ทั้งคู่ แล้วยื่นมือเหมือนจับมือข้าทาสให้พยุงเธอขึ้นยืน ก่อนจะเดินกรีดกรายสั่งงานบ่าวไพร่ไปบ้าง ดุด่าไปบ้าง อยู่คนเดียว โดยไม่สนใจขันทองและแมงเม่าอีกเลย
1 ปีผ่านไป บรรยากาศริมแม่น้ำยามเย็นสวยงาม
ขันทองขี่ม้าตัวเดียวมากับแมงเม่า
แมงเม่ายิ้มบางๆอย่างมีความสุข
"ถ้าเป็นอย่างวันนี้ได้ตลอดไปก็ดีนะเจ้าคะ คุณพระทำราชการ ฉันทำโรงกระดาษ ตกเย็นก็มา เจอกัน พูดคุยกัน จะมีกระไรสุขใจเท่านี้"
" เราเกิดมาในกลียุค มีทางเลือกไม่มากนักดอกเจ้า ดูเอาเถิด พอตั้งกรุงได้ไม่นาน ก็ต้องรบพุ่งกับชุมนุมต่างๆเพื่อรวบรวมแผ่นดินกว่าสองปี พอรวมได้แล้ว นึกว่าจะเป็นสุข ก็ต้องรบกับแว่นแคว้นอื่นอีก หากอังวะสงบศึกกับจีน เมื่อใด ก็คงไม่แคล้วเป็นสงครามใหญ่ขึ้นมาอีก"
แมงเม่าหน้าเศร้าลง
"คุณพระต้องไปรบอีกหรือเจ้าคะ"
ขันทองหอมแก้มแมงเม่าอย่างทะนุถนอม
"อย่าทำหน้าเช่นนี้สิ มันเป็นหน้าที่ กว่าจะรวมแผ่นดินได้ เสียเลือดเนื้อไปมากนัก ถ้าเราไม่ปกป้องไว้ ก็ต้องเจ็บปวดแบบคราเสียอโยธยาอีก"
" เจ้าค่ะ ฉันจะไม่ยอมต้องเจ็บปวดแบบนั้นอีกแล้ว ถึงฉันจะไปรบด้วยไม่ได้ ฉันก็ขอส่งใจไปร่วมรบกับคุณพระด้วยนะเจ้าคะ"
" เจ้ารอพี่อยู่ทางนี้เถิดนะคนดี พี่สัญญาว่าจะนำหัวใจของเจ้ากลับมาพร้อมกับหัวใจของพี่ ไม่มีวันให้เจ้าต้องรอเก้อเป็น อันขาด"
แมงเม่ายิ้มอย่างสบายใจเอนซบกับอกขันทองอย่างคลายกังวล
ทั้งคู่ขี่ม้าหรือช้างเลียบริมคลองคุยกันไปอย่างมีความสุข
ภาพเขียนพู่กันจีน เป็นรูปสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ทรงม้า และชูดาบขึ้นฟ้า
อย่างสง่างาม....
"หลังจากที่สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ทรงปราบปรามชุมนุมต่างๆ รวบรวมแผ่นดินให้เป็นปึกแผ่นได้สำเร็จ ก็ต้องทรงทำสงครามต่อ เพื่อปกป้องอาณาจักรและแผ่ขยายอาณาเขตออกไปอีก จนอาจกล่าวได้ว่าเป็นรัชสมัยที่เกือบไม่ว่างเว้นการศึกเลย แต่ถึงอย่างนั้น พระองค์ก็ยังทรงสร้างความเจริญทางเศรษฐกิจเอาไว้อย่างมากมาย ทั้งการขยายพื้นที่ปลูกข้าว การส่งเสริมการค้าขาย การตัดถนนและขุดคลองจำนวนมาก ซึ่งนับเป็นประโยชน์ต่อเนื่องกับบ้านเมืองมาอีกยาวนาน"
จบบริบูรณ์...