xs
xsm
sm
md
lg

หนึ่งด้าวฟ้าเดียว ตอนที่ 26 : เยื้อน คนโปรด เนเมียวสีหบดี

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



หนึ่งด้าวฟ้าเดียว ตอนที่ 26

บทประพันธ์ : วรรณวรรธน์
บทโทรทัศน์ : เอกลิขิต

เช้าต่อเนื่อง ที่หน้ากระท่อม

ชาวบ้านชายคนนั้นล็อคคอลากตัวแมงเม่าออกมา
แมงเม่าพยายามดิ้นขัดขืน
แมงเม่าดิ้นพร้อมร้องลั่น
"ปล่อยข้านะ" แมงเม่าดิ้นรนขัดขืน สุดแรง
ชาวบ้านยิ่งล็อคแน่น
"ไม่อยากตายก็อยู่นิ่งๆ"
"พวกแกเป็นโจรดอกรึ"
"อีกประเดี๋ยวก็ได้ผัวเป็นโจรแล้วมึง"
แมงเม่าตกใจกรีดร้องออกมา "ช่วยด้วย"
ชาวบ้านคนนั้นรำคาญปาดมือขึ้นปิดปากแมงเม่าเอาไว้

ในกระท่อม
ขันทองตั้งการ์ดอย่างระวังตัว
"เดชะบุญ ที่ดวงข้ายังไม่ถึงฆาต จิ้งจกถึงได้ตกลงไปตายให้รู้ตัวก่อน"
ชาวบ้าน 1หัวเราะเยาะ
"ถึงเอ็งรู้ตัว ก็ต้องตายอยู่ดีล่ะโว้ย ดาบก็ไม่มี จะเอากระไรมาสู้กับพวกข้า"
"อังวะทำร้ายคนไท ยังไม่น่าเศร้าใจเท่าคนไททำร้ายกันเอง พวกเอ็งไม่ละอายบ้างรึ ที่ทำเช่นนี้"
ชาวบ้าน 2 บอก "โอกาสร่ำรวยมาอยู่ตรงหน้า จะละอายทำไมวะ"
ขาดคำ ชาวบ้าน 1 ก็เอามีดแทงขันทองทันที
ขันทองหลบได้อย่างง่ายดาย ก่อนจะจับมือบิด ชิงเอามีดมา แล้วใช้มีดปาดคอชาวบ้านคนนั้นตายคาที่อย่างรวดเร็ว ก่อนจะปามีดใส่ชาวบ้านคนที่ขโมยดาบตนไป ปักคอหอยตายไปอีกคน
ขันทองพุ่งตัวไป เอาดาบคืนมา แล้วพุ่งเข้าใส่พวกที่เหลือ สู้กันเพียงพริบตาเดียวก็ฆ่าพวกที่เหลือ
ตายเรียบ ก่อนจะรีบวิ่งออกไปช่วยแมงเม่าที่นอกกระท่อม

ขันทองวิ่งถือดาบออกมาช่วยแมงเม่า
ชาวบ้านคนร้ายเห็นขันทองออกมาเลยชักมีดที่เหน็บเอวออกมาขู่จะแทงแมงเม่า
ชาวบ้านกลัวขันทองเหมือนกัน ล็อกคอแมงเม่าแน่นกว่าเดิม
"มึงถอยไป ไม่อย่างนั้นอีนี่ตาย"
ขันทองจดๆจ้องๆ เป็นห่วงแมงเม่ามาก
แมงเม่าก็หวาดกลัว จ้องเขม็งไปที่ขันทอง สายตาขอความช่วยเหลือ
ชาวบ้านก็ถอยหลังไปเรื่อยกะได้จังหวะจะเชือดคอแมงเม่าแล้วหนี
"อย่าเข้ามานะมึง"
ชาวบ้านพาแมงเม่าถอยร่นไปเรื่อยๆ
ขันทองพูดบอกเป็นนัย "เร็วเข้าเจ้าตัวดี เราเคยฝึกกันมาแล้วไม่ใช่รึ"
ชาวบ้านเห็นช่องทางหนีได้กะปาดคอแมงเม่าแล้ว
เวลาเดียวกันนั้นเองแมงเม่าตัดสินใจแกล้งแผดเสียงร้องไห้ลั่นขึ้นมา
" มึงจะแหกปากทำไมวะ"
จังหวะนั้นเองแมงเม่ากระทืบปลายเท้าชาวบ้านที่ล็อกคอตนอยู่ แบบเดียวกับที่เคยทำกับขันทองไม่มีผิด บิดมือที่จับดาบของชาวบ้านคนนั้นเพื่อเบี่ยงตัวออก
ขันทองกระโจนเข้าฟันชาวบ้านคนนั้นตายคาที่ทันเวลาพอดิบพอดี
ขันทองทิ้งดาบและโผเข้ากอดกับแมงเม่าทันที แมงเม่ายังตัวสั่นด้วยความกลัว กอดขันทองเอาไว้แน่นแล้วร้องไห้ออกมา
"ปลอดภัยแล้วเจ้าตัวดี"
แมงเม่าสะอื้นไห้ในอ้อมกอดของขันทอง
ขันทองกอดปลอบประโลมแมงเม่าไว้แน่นอย่างรักและหวงแหนยิ่งกว่าชีวิต

ผ่านมา 1 เดือน ตอนเช้า
เนเมียวสีหบดีกำลังเดินฟังทหารรายงานทรัพย์สินที่ยึดมาได้
ทหาร 1เดินตามพร้อมกับอ่านรายงานให้ฟัง
"บรรดาเชื้อพระวงศ์ที่จับได้มีมากกว่า 2,000 พระองค์ ส่วนชาวบ้านมีกว่า 30,000 คน
เสบียงอาหารที่ยึดได้ น่าจะพอเลี้ยงอโยธยาได้อีกปีเศษ ส่วนอาวุธ เรายึดปืนใหญ่ได้ร้อยกระบอกเศษ ในจำนวนนี้มี ปืนใหญ่ขนาด 18 ศอก ถึงกว่าสิบกระบอก ปืนคาบศิลาอีกประมาณ 10,000 กระบอก ส่วนทองคำแลทรัพย์สมบัติทั้งหลาย มีมากเหลือคณานับ จนป่านฉะนี้ยังทำบาญชีไม่เสร็จขอรับ"
เนเมียวสีหบดีถอนใจ
"ผ่านมาเดือนเศษ ยังทำบาญชีไม่เสร็จ ความมั่งคั่งของอโยธยา สุดที่จะพรรณนาจริงๆ ทั้งอาวุธแลเสบียงก็มากกว่าเราหลายเท่า เหลือเชื่อนักที่เมืองอันยิ่งใหญ่นี้จะพ่ายแพ้แก่เราได้"
"เพราะความปรีชาสามารถของท่านแม่ทัพน่ะซิขอรับ มิเช่นนั้น ไหนเลยอโยธยาจะแตกได้" ทหาร 1ประจบ
เนเมียวสีหบดีเสียงดุ
"ข้าไม่ชอบพวกประจบประแจง ชอบแต่คนทำงานจริง มีงานกระไรก็ไปทำซะ"
" ขอประทานโทษขอรับ"
ทหาร 1 รีบเดินเลี่ยงไป
ขณะนั้นเอง เยื้อนก็ออกมาจากกระโจม ตอนนี้เยื้อนเป็นคนโปรด แต่งตัวสวย เครื่องเพชร
เครื่องทองเต็มตัว
เยื้อนเห็นเนเมียวสีหบดี เข้าไปอ้อนทันที
"ท่านแม่ทัพ มาอยู่นี่เอง ข้าตามหาเสียแทบแย่"
เนเมียวสีหบดีกระอักกระอ่วน กลัวลูกน้องเห็นแล้วเสียการปกครอง
"มีกระไร"
เยื้อนออดอ้อน
"ก็ฉันเหงานี่เจ้าคะ ท่านแม่ทัพไปอยู่เป็นเพื่อนฉันนะเจ้าคะ"
เนเมียวสีหบดีแกล้งดุเสียงดัง
"ข้ามีงานมากมายต้องทำ จะเอาแต่อยู่กับเจ้าได้อย่างไร"
เยื้อนจ๋อยๆ
เนเมียวสีหบดีเข้าไปกระซิบ
"เอาไว้เสร็จงาน แล้วข้าจะมาหา เจ้าหากระไรทำแก้เหงาไปก่อนเถิด"
เยื้อนยิ้มดีใจ "เจ้าค่ะ"
เนเมียวสีหบดีรีบเดินเลี่ยงไป เหล่มองพวกทหาร ไม่อยากถูกนินทา แต่ก็กำลังหลงเยื้อน
เยื้อนถอนใจเซ็งๆ

"ชีวิตนี้จะไม่พ้นค่ายทหารหรืออย่างไรวะอีเยื้อน"


เยื้อนเดินเซ็งๆมาที่ลานกว้างของค่าย มองไปทางไหนก็เห็นแต่พวกทหารกำลังทำงาน ดูน่าเบื่อ

เยื้อนเดินมาถึงที่คอกซึ่งทำไว้ขังเชลยผู้หญิง ก็ชะงักยืนมองด้วยความสนใจ
เยื้อนรีบเรียกทหารที่เดินผ่านมา
"ประเดี๋ยวก่อน คอกนั่น เอาไว้ขังเชลยรึ ข้าได้ยินมา แต่ยังไม่เคยเห็น"
"ขอรับ คอกนี้มีแต่เชลยผู้หญิง ทั้งเชื้อพระวงศ์แลไพร่อยู่รวมกันขอรับ" ทหาร 1 บอก
ทหาร 1 เดินเลี่ยงไป
"มีเชื้อพระวงศ์ด้วยรึ" เยื้อนยิ้มร้ายๆ
เยื้อนเดินกรีดกรายไปที่คอก แล้วเมียงๆมองๆ เผื่อเจอคนที่ตนรู้จัก
ทันใดนั้นเอง เยื้อนก็เห็นกรมขุนวิมลภักดี เจ้าจอมอำพัน และคุณท้าวโสภาอยู่รวมกัน
เยื้อนหัวเราะชอบใจ
"เสด็จพระองค์หญิงเพคะ หม่อมฉันไม่ได้ตาฝาดไปกระมังเพคะ"
กรมขุนวิมลภักดีเห็นเยื้อนเรียกตนก็แปลกใจ
"ผู้ใดกันรึ"
คุณท้าวโสภาบอก
"นังเยื้อน ทาสของออกพระศรีเพคะ แต่ก่อนเป็นลูกพระยา แต่พ่อต้องโทษกบฏคราวเจ้าสามกรม จึงตกมาเป็นทาสเพคะ"
" ถ้าเช่นนั้นคงแค้นเคืองฉัน ช่างเถิด ฉันไม่ต่อปากต่อคำด้วย ก็คงทำกระไรไม่ได้"
"อย่าประมาทนะเพคะ นางคนนี้แต่งเนื้อแต่งตัวเกินทาสนัก แลยังไม่ถูกควบคุมตัว อาจมีกระไรที่เรายังไม่รู้"
เยื้อนเห็นกรมขุนวิมลภักดีไม่สนใจตนก็ยิ่งหมั่นไส้
ขณะนั้นเองทหารอังวะกลุ่มหนึ่ง หอบเอาข้าวน้ำมาให้ พวกเชลยเตรียมไปรอรับอาหาร
เยื้อนเสียงเฉียบขาด "หยุด"
พวกทหารชะงัก หันไปมองเยื้อน
"เอาข้าวปลาอาหารกลับไป"
พวกกรมขุนวิมลภักดี และพวกเชลยพากันตกใจ
เยื้อนยิ้มร้ายๆ พูดจาแดกดัน
"กรมขุนวิมลภักดีท่านเป็นผู้มีบุญสูงส่ง แค่พวกแกได้ชื่นชมบารมีท่าน ก็นับว่าอิ่มบุญแล้ว อดข้าวอดน้ำสักวันสองวันไม่ตายดอก"
พวกทหารหันไปมองหน้ากันเลิ่กลั่ก ไม่รู้จะเอาไงดี
เยื้อนตะคอก
"ข้าบอกให้เอากลับไปอย่างไรเล่า หรือต้องให้ร้อนถึงท่านแม่ทัพ"
พวกทหารกลัว ช่วยกันยกข้าว น้ำกลับไป
ชาวบ้าน 1โมโหว่าใส่กรมขุนวิมลภักดี
"เพราะเอ็งแท้ๆ เทียว หิวไส้ขาดกันหมดนี่ล่ะวะ"
พวกชาวบ้านต่างพากันทิ้งค้อนใส่ แล้วเดินบ่นแยกย้ายกันไป
คุณท้าวโสภามองไปทางเยื้อนด้วยความไม่พอใจ
"เวรกรรมจริงจิ๊ง ต้องมาเจอคนอย่างมัน"
เยื้อนมองมาทางกรมขุนวิมลภักดี แล้วจ้องเขม็งด้วยความเกลียดชัง ก่อนจะสะบัดหน้าเดินไปอีกทาง
เจ้าจอมอำพันหน้าเศร้าบอก "ทรงอดทนหน่อยนะเพคะ"
" ตัวฉัน ช่างมันเถิด ถือว่าใช้กรรม แต่คนอื่น ต้องมาพลอยลำบากเพราะฉันด้วยน่ะซี"
กรมขุนวิมลภักดีมีสีหน้าไม่สบายใจชำเลืองมองไปทางชาวบ้าน คนพวกนั้นต่างค้อนใส่ บ้างก็จ้องหน้าเขม็งสีหน้าไม่พอใจและไม่มีความเคารพยำเกรงเลย
กรมขุนวิมลภักดีได้แต่หลบสายตาพร้อมถอนใจยาวออกมาอย่างกลุ้มใจ

ณ โบสถ์ร้างแห่งหนึ่ง
พระยากำแหง พยายามใช้มีดผ่าฟืน แต่ตาบอดไปข้างหนึ่งเลยเล็งไม่ถนัด พอฟันมีด ฟืนก็กระเด็นออกไปบ้าง โดยมีเป้ากำลังตากปลาเพื่อทำปลาแห้งอยู่ใกล้ๆ
พระยากำแหงหงุดหงิด สับมีดลงพื้น
" อย่าพื้นเสียเลยเจ้าค่ะ ท่านเจ้าคุณเหลือเพียงตาข้างเดียว เป็นใครก็เล็งไม่ถนัดทั้งนั้น กว่าจะชิน ก็คงอีกนานเจ้าค่ะ" เป้าบอก
" ฉันเหมือนตัวเองไม่มีคุณค่าเลยจริงๆ แม้แต่เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ก็ทำไม่ได้"
"ท่านเจ้าคุณมาช่วยฉันตากปลาดีกว่าเจ้าค่ะ เรื่องฟืน ประเดี๋ยวฉันผ่าให้เอง"
" ขอบน้ำใจแม่นัก"
พระยากำแหงเดินเข้าไปหาเป้า แต่ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงขุนรักษ์เทวาดังโวยวายลั่นมา
" ว้าย หมดกันแล้ว หมดกันเลย"
พระยากำแหง และเป้าตกใจ รีบวิ่งไปตามเสียงทันที

พระยากำแหง กับเป้าวิ่งตามเสียงไป เห็นขุนรักษ์เทวากำลังเต้นเร่าๆอยู่
" ไม่เหลือแล้ว หมดกัน ไม่เหลือซักตัว"
เป้าตกใจ
"เป็นกระไรไปเจ้าคะ ท่านขุน"
ขุนรักษ์เทวาเจ็บใจมาก ชี้ให้ดู
"ก็ปลาที่ฉันจับมาได้น่ะซี เผลอวางไว้แล้วไปลงทุ่งหน่อยเดียว ถูกแย่งไปกินเสียแล้ว"
ทุกคนหันไปมองตาม เห็นผู้หญิงคนหนึ่งแต่งตัวสกปรกมอมแมม ผมเผ้ายุ่งเหยิง กำลังกินปลาสดๆจากในข้องของขุนรักษ์เทวา
พระยากำแหงหน้าเหยเก
"กินปลาสดๆ เห็นทีจะเป็นคนบ้า ท่านขุนอย่าใส่ใจเลย ถือว่าทำบุญเถิด"
เป้ารู้สึกคุ้นๆเลยจะเดินเข้าไปหา
"อย่าเข้าไปแม่เป้า คนดีคนร้ายยังไม่รู้" พระยากำแหงว่า
เป้าสงสัย
"แต่ฉันรู้สึกคุ้นเคยกับหญิงคนนี้เหลือเกินเจ้าค่ะ แลเสื้อผ้าที่ใส่ หากไม่สกปรกขาดวิ่น น่าจะเป็นชุดมีราคาค่างวดไม่น้อย หญิงบ้าผู้นี้ อาจไม่ใช่ชาวบ้านทั่วไปก็ได้นะเจ้าคะ"
เป้าค่อยๆเดินเข้าไปหาหญิงคนนั้น
ผู้หญิงคนนั้นกำลังกินปลาสดๆอยู่ พอเห็นเป้าเข้ามาหาก็หวาดกลัว รีบเบี่ยงตัวมาโวยใส่
" อย่ามาแย่งของข้า ไป๊"
เป้าเห็นหน้าหญิงคนนั้นค่อยพบว่าคือเจ้าจอมเพ็ญ
เป้าตกใจมาก "ท่าน..."
เจ้าจอมเพ็ญกรีดร้องสนั่นผลักเป้าล้มลง แล้วรีบวิ่งหนีไปทันที
พระยากำแหง และขุนรักษ์เทวารีบเข้าไปหาเป้าทันที
" แม่เป้า เป็นอย่างไรบ้าง"
เป้ามองตามเจ้าจอมเพ็ญไป นึกไม่ถึง "เจ้าจอมเพ็ญ"
ขุนรักษ์เทวาได้ยินไม่ถนัด "ว่ากระไรนะ"
"หญิงผู้นั้น คือเจ้าจอมเพ็ญเจ้าค่ะ"
พระยากำแหง และขุนรักษ์เทวาพากันตกใจ ไม่คิดว่าเจ้าจอมเพ็ญจะกลายเป็นคนเสียสติไปได้

ขันทอง และแมงเม่าขี่ม้าตัวเดียวกันมาตามชายป่า
"พ้นชายป่านี้ไป ก็ถึงค่ายของท่านเจ้าคุณตามที่ได้ยินมาแล้ว
"เอ่อ ไม่ใช่ซี ต้องเรียกว่าพระเจ้าตาก" ขันทองยิ้มปลื้มใจ
" ลำบากยากเย็นนัก ต้องคอยหลบทั้งโจรทั้งพวกอังวะ เสียเวลาเป็นแรมเดือน คอยดูเถิด สิ่งแรกที่ฉันจะทำคือเอาเรื่องพี่ม่วง" แมงเม่าเหล่ขันทอง " รู้อยู่แก่ใจว่าเขาเป็นชายแล้วกลับไม่บอกกัน พี่ทุรยศ"
ขันทองขำๆชอบใจ
แมงเม่ายังแอบเคือง "ไม่ตลกนะเจ้าคะ"
แต่ทันใดนั้น ทุกคนก็ต้องตกใจ เมื่อเห็นชาวบ้านกลุ่มหนึ่งกำลังสู้กับทหารอังวะกลุ่มหนึ่งอยู่
ฝ่ายอังวะมีทหารขี่ม้าอยู่ด้วย
" พวกอังวะ" แมงเม่าตกใจ
"เจ้าลงก่อน ฉันจะไปช่วยพวกชาวบ้าน"
แมงเม่าลงจากหลังม้า
" ระวังตัวนะเจ้าคะ"
ขันทองยิ้มรับ แล้วควบม้าเข้าไปช่วยพวกชาวบ้าน ขันทองชักดาบตรงเข้าใส่ทหารอังวะที่ขี่ม้าอยู่ทันที ทั้งคู่ฟันดาบสู้กันบนหลังม้า ไม่นานขันทองก็แทงทหารคนนั้นตกม้าตาย
แต่ทันใดนั้นเอง ขันทองก็เห็นขุนแผลงฤทธิ์กำลังป้องกันพระยาพลเทพจากพวก
อังวะอยู่ ทั้งคู่สวมชุดชาวบ้าน อยู่ในกลุ่มชาวบ้าน
ขันทองแค้นหนัก "อ้ายพลเทพ"
พระยาพลเทพตกใจ "อ้ายศรีขันทิน"
ขันทองควบม้าเข้ามากะฆ่าพระยาพลเทพล้างแค้นให้พ่อ แต่ขุนแผลงฤทธิ์รีบเข้ามาป้องกัน
ใช้ดาบรับดาบที่ขันทองฟันมาได้ทัน
ขันทองอยู่บนหลังม้าเลยได้เปรียบ ใช้ดาบฟันใส่ขุนแผลงฤทธิ์ไม่ยั้ง เขาเลยได้แต่ตั้งรับ
ขุนแผลงฤทธิ์พูดไปสู้ไป "หนีไปขอรับท่านเจ้าคุณ"
พระยาพลเทพวิ่งหนีไป
แต่ทันใดนั้น ม่วงขี่ม้านำทหารเข้ามาช่วยพวกชาวบ้าน
แมงเม่าดีใจสุดๆ "พี่ม่วง พี่ม่วงๆ" แมงเม่าตะโกนพลางโบกไม้โบกมือ
พวกอังวะเห็นม่วงพาทหารเข้ามาก็ตกใจ รีบวิ่งหนีไปทันที
พระยาพลเทพเลยหนีไม่ทัน ถูกม่วงกับทหารล้อมเอาไว้
ขุนแผลงฤทธิ์เห็นท่าไม่ดี เลยกัดฟันบุกใส่ขันทอง ก่อนจะรีบผละออกมา แล้วขึ้นขี่ม้าของอังวะที่อยู่ใกล้ๆ รีบขี่ม้าหนีไปอีกทาง
พระยาพลเทพถูกม่วงและขันทองกับพวกทหารล้อมเข้ามา หนีไม่รอดแล้ว

พระยาพลเทพสีหน้าหวาดกลัว พยายามคิดหาทางเอาตัวรอดเต็มที่


เวลาต่อเนื่องมา ในค่ายพระเจ้าตากที่ระยอง

พระยาพลเทพกำลังปฏิเสธคอเป็นเอ็น เถียงขาดใจ
"กระผมถูกใส่ร้าย ไม่รู้ไม่เห็นเลยจริงๆ แลที่มาที่นี่ ก็เพื่อจะมาช่วยท่านเจ้าคุณ แล้วกลับต้องมาเจอเช่นนี้หรือขอรับ"
พระยาพลเทพกำลังยืนเถียงอยู่ พระเจ้าตากประทับนั่งอยู่บนตั่ง ในขณะที่ขันทอง และม่วง นั่งพับเพียบอยู่บนพื้น
ม่วงตวาด
"บังอาจ เพลานี้ พระองค์ไม่ใช่พระยาตากอีกแล้ว หากแต่ได้ตั้งสัตย์ขึ้นเป็นพระบรมวงศานุวงศ์ เจ้ายังไม่คุกเข่าอีกรึ"
พระยาพลเทพลืมตัว รีบคุกเข่าพนมมือ ประจบทันที
"ข้าพระเจ้าขอประทานอภัยด้วยลืมคิดไป พระองค์อย่าได้ทรงกริ้วเลย แต่ที่ข้าพระเจ้าทูลทั้งหมด
เป็นความสัตย์จริง" แล้วชี้หน้าขันทอง "อ้ายขันทีผู้นี้โป้ปดมดเท็จ ใส่ความข้าพระเจ้า ข้าพระเจ้าหาได้ทุรยศต่ออโยธยาไม่"
พระเจ้าตากหน้านิ่ง
"พ่อขันทอง เล่าไป"
ขันทองพนมมือขึ้น
"ข้าพระเจ้าปลอมตัวเป็นขันที แฝงเข้าไปอยู่ในราชสำนัก เพื่อสืบหาตัวคนทุรยศ จนได้กลักของออกญาสีหราชเดชะมา"
พระยาพลเทพตกใจจ้องเขม็งไปที่ขันทองด้วยความเจ็บแค้นใจ
"หลังจากแก้กลบทในกลักได้ จึงรู้รายชื่อผู้ทุรยศทั้งหมดในครั้งศึกพระเจ้าอลองพญา" ขันทองชี้หน้าพระยาพลเทพ "มันผู้นี้ เป็น หนึ่งในนั้น แลหาใช่แต่ศึกพระเจ้าอลองพญาไม่ แม้ศึกในครานี้ มันก็ยังลอบส่ง
ข่าวให้อังวะเช่นกัน"
พระยาพลเทพมองขันทองด้วยสายตาเกลียดชัง ก่อนจะหันไปพนมมือพูดกับพระเจ้าตาก
"อย่าทรงฟังพระเจ้าข้า มันยอมรับเองว่าเป็นจารบุรุษ คนเช่นนี้จะเชื่อถือได้อย่างไร ดีร้าย อาจเป็นไส้ศึกของอังวะมาใส่ความข้าพระเจ้า"
พระเจ้าตากยิ้มเล็กน้อย แล้วถาม
"พ่อขันทอง พ่อเป็นลูกเต้าเหล่าใครรึ"
ขันทองจ้องหน้าพระยาพลเทพ ด้วยสายตาอาฆาต
"ข้าพระเจ้าเป็นบุตรเสือขุนทองพระเจ้าข้า แลมันผู้นี้ ยังหลอกพ่อของข้าพระเจ้าไปให้อังวะฆ่า
ตายอีกด้วย"
พระยาพลเทพตกใจหนักกว่าเดิม หน้าซีดเผือด
"ลูกชายของเสือขุนทอง ย่อมไม่ใช่ไส้ศึกของอังวะกระมังท่านเจ้าคุณ"
" ถึงจะไม่ใช่ไส้ศึก แต่ก็ยังเชื่อไม่ได้พระเจ้าข้า การจะปลอมตัวเป็นขันทีลอบเข้าไปในฝ่ายในนานปี หากไม่ได้การช่วยเหลือจากผู้มีอำนาจวาสนาแล้วไซร้ พวกโจรป่าโจรไพรจะทำได้อย่างไร ข้าพระเจ้าเห็นว่าเรื่องนี้มีเบื้องหลังพระเจ้าข้า"
" เสียดาย เสียดายนัก เวลาฉุกละหุกอันสั้น ท่านเจ้าคุณยังหาข้อแก้ตัวได้ แสดงถึงปัญญาแลไหวพริบอันหาได้ยาก" พระเจ้าตากถอนใจอย่างผิดหวังในตัวขุนนาง "ไม่ควรเลยจริงๆ" ก่อนหันไปพูดกับขันทอง
"ว่าอย่างไรพ่อขันทอง"
"ขันทองหน้าเครียด
"ข้าพระเจ้าเคยกราบทูลแล้ว ว่าข้าพระเจ้าไม่รู้ตัวผู้ที่ให้การช่วยเหลือจริงๆ มีผู้ติดต่อแลให้เงินทองกับน้าพันหาญมาอีกที ข้าพระเจ้าเพียงแต่ส่งข่าวให้เท่านั้นพระเจ้าข้า"
พระยาพลเทพดีใจมาก มีทางรอดแล้ว
"พระองค์ทรงได้ยินแล้ว มันผู้นี้พูดจาคลุมเครือ ไม่ควรเชื่อถือ แลข้าพระเจ้าขอให้สัตย์สาบาน ว่า ไม่ได้ทุรยศต่อแผ่นดินอโยธยาแม้แต่น้อย หากผิดคำพูด ขอให้ข้าตายด้วยคมหอกคมดาบ อย่าได้ตายดีพระเจ้าข้า"
ม่วงชักห่วงขันทอง พนมมือ
"แม้พ่อขันทองจะพูดคลุมเครือ แต่ที่ผ่านมาก็แสดงให้เห็นแล้วว่าเป็นคนสัตย์ซื่อ เพียงแต่ไม่รู้ตัว
ผู้ให้การช่วยเหลือ คงไม่ถือเป็นสำคัญดอกพระเจ้าข้า"
พระเจ้าตากสวนกลับเด็ดขาด
"ไม่ได้ เรื่องนี้จำต้องสะสางให้กระจ่างชัด"
ขันทอง และม่วง หน้าเสียทันที
ในขณะที่พระยาพลเทพดีใจออกนอกหน้า รอดแน่แล้ว
พระเจ้าตากยิ้มบางๆ
"เพียงแต่ ผู้ให้การช่วยเหลือพ่อขันทองนั้น เป็นผู้ที่ฉันรู้จักดี ฉะนั้นคงสะสางได้ไม่ยากนัก"
ขันทอง ม่วง และพระยาพลเทพพากันตกใจมาก คิดไม่ถึง
ขันทองอยากรู้มาก
"ผู้ใดหรือพระเจ้าข้า"
พระเจ้าตากหน้านิ่ง บอก
"คนที่ให้พ่อขันทองปลอมตัวเป็นขันที เพื่อหาคนทุรยศ แลให้การช่วยเหลือมาตลอด...ก็คือฉันเอง"
ขาดคำ ทุกคนยิ่งพากันตกใจสุดๆ ไม่มีใครคาดคิดมาก่อน
ขันทองถึงกลับอึ้งชะงักงันไปเลย
พระเจ้าตาก สีหน้าสงบนิ่ง เมื่อนึกถึงเรื่องราวครั้งก่อน

เมื่อ 6-7 ปีก่อน ตอนกลางวัน พระยาตากนำทหารเข้าต่อสู้กับทหารอังวะอย่างดุเดือดที่ชายป่า
ขณะนั้นเอง ก็มีทหารอังวะคนหนึ่งจะลอบทำร้ายพระยาตากจากทางด้านหลัง
แต่ทันใดนั้นก็มีลูกธนูดอกหนึ่งพุ่งมาปักทหารอังวะคนนั้นตายคาที่ทันที
พระยาตากหันกลับไปมอง ปรากฏว่าเป็นเสือขุนทองที่ยิงธนูช่วยเหลือตน
เสือขุนทองชักดาบออกมาไล่ฆ่าทหารอังวะ ช่วยเหลือพระยาตากอีกแรง
" พวกเจ้าคงไม่รู้ว่าในศึกพระเจ้าอลองพญา ฉันก็เป็นคนหนึ่งที่ร่วมสู้ศึกด้วย แต่เพลานั้น ฉันเพิ่งเป็นเจ้าเมืองตาก ยังไร้บารมีแลไม่มีคนรู้จัก ทำให้มีผู้จดจำเรื่องนี้ได้ไม่มากนัก แลในศึกครั้งนั้นเอง ที่ฉันได้รู้จักกับเสือขุนทอง"

อีกวันหนึ่ง มุมหนึ่งในป่า
พระยาตากมีสีหน้าเคร่งเครียด
" กลักลายผีเสื้อ"
เสือขุนทองกำลังคุยกับพระยาตากด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
"ขอรับ ลายนี้คงไม่ได้ทำมาเพื่อความสวยงาม แต่คงเป็นการบ่งบอกถึงใครบางคน แลสิ่งที่อยู่ในกลัก ก็ต้องใช้ความรู้เชิงอักษรชั้นสูงจึงจะถอดได้ ย่อมต้องเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง"
" อาจเป็นได้ ว่ามีผู้ทุรยศไปเข้ากับฝ่ายอังวะ แล้วลอบส่งความลับทางการทหารให้"
"ท่านเจ้าคุณคิดตรงกับกระผม เสียดายที่ปัญญาของกระผมมีไม่มากพอที่จะถอดกลอักษรนี้ แต่กระผมมีศิษย์ผู้พี่ บวชเป็นพระอยู่รูปหนึ่ง มีสติปัญญาความรู้มากนัก หาก เสร็จศึกเมื่อใด กระผมจะเอาไปให้หลวงพี่ท่านช่วยดู เราคงได้รู้ความลับเป็นแน่"
พระยาตากพยักหน้ารับช้าๆ
" เรื่องนี้ นอกจากฉันแล้ว ยังมีผู้ใดรู้อีก"
"ท่านเจ้าคุณสีหราชเดชะขอรับ ท่านเจ้าคุณซื่อสัตย์ไว้ใจได้ แต่เป็นคนโผงผางไม่รอบคอบ กระผมจึงมากราบเรียนเรื่องนี้ต่อท่านเจ้าคุณอีกคน เผื่อหากกระผมเป็นกระไรไป ก็ขอไหว้วานท่านเจ้าคุณ
ช่วยสานต่อ"
พระยาตากพยักหน้ารับปากทันทีหลังจากได้ฟัง
ขุนทองสีหน้ายังมีความกังวลอยู่
"แลกระผมมีลูกชายบวชเป็นเณรอยู่คนหนึ่ง ขอท่านเจ้าคุณโปรดเมตตาดูแลลูกชายกระผมด้วย"
"เสือขุนทองวางใจเถิด ฉันให้สัญญา ว่าจะช่วยเหลือลูกชายของเสือขุนทองสุดกำลังความสามารถของฉัน"
ขุนทองค่อยยิ้มออกมาได้อย่างเบาใจขึ้น
พระเจ้าตากกำลังทรงอธิบายเรื่องทั้งหมดให้ทุกคนฟังต่อเนื่อง
"แลในคืนนั้น เสือขุนทองก็ถูกฆ่าตาย แต่ฉันติดพันศึกอยู่ กว่าจะรู้เรื่อง ออกญาสีหราชเดชะก็เอากลักหนีไปแล้ว ฉันเพียรติดต่อออกญาสีหราชเดชะให้ร่วมมือกัน แต่ออกญาก็ระแวงทุกคน ปกปิดร่องรอยจนฉันไม่สามารถติดต่อได้ ประจวบกับตอนนั้นพ่อขันทองสึกออกมา ฉันจึงให้คนไปติดต่อพันหาญกับพ่อขุนทองเพื่อช่วยเหลือแลให้ช่วยสืบหาตัวคนผิด แต่การปลอมตัวเป็นขันทีนี้ เป็นเหตุบังเอิญที่ฉันไม่ได้คิดไว้แต่ต้น แต่กลับได้ผลดีเกินคาด"
ขันทองเข้าใจเรื่องทั้งหมด ซาบซึ้งใจ
"ที่แท้เป็นเช่นนี้ เป็นพระกรุณาอย่างหาที่สุดมิได้พระเจ้าข้า" ขันทองก้มลงกราบพระเจ้าตาก
พระยาพลเทพเครียดหนัก ไม่รอดแน่แล้ว เลยรีบลุกขึ้นจะวิ่งหนี แต่ทหารที่ล้อมอยู่ ก็เข้าจับตัวไว้
พระยาพลเทพดิ้นสุดแรง กลัวสุดๆ
"ปล่อยกู กูเป็นพระยานาหมื่น ไพร่อย่างพวกมึงกล้าแตะต้องตัวกูรึ"
ม่วงสมเพช
"หมดสิ้นหนทางแล้ว ไม่รู้จะเอาตัวรอดอย่างไร ก็ขุดเอายศศักดิ์มาข่มขู่อีก อ้ายพระยาใจคด ขายชาติขายแผ่นดิน"
พระเจ้าตากสั่งเสียงเฉียบขาด
"คุมตัวมันไป ตระเวนบกตระเวนน้ำสามวัน แล้วเอาไปตัดหัวประจานให้สมกับความผิด"
พระยาพลเทพตกใจ กลัวสุดๆ
"เมตตาด้วยขอรับ ไว้ชีวิตกระผมด้วย เมตตากระผมด้วย เมตตากระผมด้วย"
ทหารลากเอาตัวพระยาพลเทพออกไป

ขันทองมองตามด้วยสีหน้านิ่งสงบ ก่อนจะถอนใจยาวออกมา จบสิ้นกันเสียที


แมงเม่ากอดมิ่งน้ำตานองหน้า ร้องไห้ด้วยความตื้นตันใจกันทั้งพ่อทั้งลูก ที่กระท่อมของม่วงตอนหัวค่ำ ชื่นร้องไห้อยู่ใกล้ๆ ในขณะที่ม่วง อิน ต่างมองด้วยความปลาบปลื้มใจ
 
" ตอนรู้ว่าพ่อกับน้าชื่นหายไป ฉันกลัวเหลือเกินจ้ะ คิดไปต่างๆนาๆ พอได้เห็นพ่ออีกครั้ง ฉันดีใจยิ่งกว่าได้แก้วได้ทองเสียอีก...ต่อไปนี้ ฉันจะไม่ยอมจากพ่อจากน้าชื่นไปไหนอีกแล้ว"
แมงเม่ากอดพ่อร้องไห้ยกใหญ่
มิ่งร้องไห้ ลูบหัวลูกด้วยความรัก
"นิ่งเสียเถิดลูกเอ๊ย เราได้พบกันควรจะดีใจ จะร้องห่มร้องไห้ทำกระไร"
แมงเม่าสะอึกสะอื้น แต่ก็อดกระเซ้าพ่อไม่ได้
"แต่พ่อ ร้องมากกว่าฉันอีกนะจ๊ะ"
มิ่งร้องไห้ เขกหัวลูกเบาๆ
"ขัดคอนัก อยู่ในรั้วในวังมาตั้งนาน นิสัยยังไม่เปลี่ยนอีกนะเจ้าลูกคนนี้" มิ่งซับน้ำตาไปอย่างเขินๆ
แมงเม่าคลำหัวที่ถูกเขกแบบงอนๆ
ชื่นยิ้มทั้งน้ำตาเข้าไปกอดแมงเม่า "แม่คุณของน้า"
แมงเม่ากอดชื่น ดีใจไม่แพ้เจอพ่อเลย
ม่วงยิ้มแย้ม
"เอ้า มัวแต่เล่นบทโศกกันไม่จบ เจ้าแมงเม่ายังไม่ได้กินข้าวกินปลาเลยนา ประเดี๋ยวได้เป็นลมเป็นแล้งไปดอก"
"จริงรึ แล้วทำไมไม่บอกน้า" ชื่นรีบซับน้ำตา "รอประเดี๋ยว น้าไปเอาข้าวปลามาให้"
แมงเม่าปาดน้ำตา
"เอาเยอะๆนะจ๊ะ ฉันคิดถึงรสมือน้าชื่นใจจะขาดอยู่แล้ว"
ชื่นบีบแก้มแมงเม่าเบาๆ อย่างเอ็นดู ยิ้มแย้ม
"ประจบเก่งนักนะเรา"
ชื่นรีบออกจากกระท่อมไปอย่างอารมณ์ดี
แมงเม่าซับน้ำตาหันไปพูดกับอิน
"พี่อินเป็นอย่างไรบ้างจ๊ะ ฉันยังไม่ได้คุยกับพี่เลย"
" พี่สบายดีจ้ะ ถึงที่นี่จะคับแคบไปบ้าง แต่ก็ไม่อัตคัดขัดสนกระไร"
ม่วงโอบบ่าอินไว้ ยิ้มแย้ม
"คับแคบสิดี ถ้าไม่คับแคบ แม่อินก็คอยแต่หนีฉัน จะท้องได้รึ"
อินเขินอาย หยิกม่วงเข้าไปหนึ่งที จนม่วงสะดุ้ง
" พี่อินท้อง แล้วผีพี่อิ่มไม่หลอกพี่แล้วรึ"
อินเขินอายมาก
"พี่ก็ไม่รู้ว่าเกิดกระไรขึ้นเหมือนกัน แต่... เอ่อ นับแต่มาอยู่ที่นี่ พี่ก็ไม่เคยเห็นพี่อิ่มอีกเลย"
แมงเม่างงๆไม่เข้าใจ บ่นพึมพำ
"หรือจะหนีมาไกล ผีตามมาไม่ถูกวะ"
"เจ้าลูกคนนี้นี่ ผีสางก็เอามาพูดเล่นเป็นขำไปหมด คืนนี้ระวังตัวไว้เถอะ" มิ่งบอก
แมงเม่าแอบกลัวเล็กน้อยขยับตัวเข้าเบียดพ่อ
"พ่อจะพูดทำกระไรเนี่ย"
"ก็เจ้านั่นล่ะที่เริ่มก่อน" มิ่งขำๆอารมณ์ดีโอบกอดแมงเม่าไว้อย่างรักมาก
ทุกคนยิ้มๆ
มิ่งถอนใจ
"อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาอย่างนี้แล้ว พ่อก็อดนึกถึงเรื่องแม่สุ่นไม่ได้"
ม่วงยิ้มแห้งไปทันที
มิ่งพูดด้วยความรู้สึกผิด
"แม่สุ่นจะเป็นตายร้ายดีอย่างไรก็ไม่รู้ ถ้าพ่อไม่ได้แม่สุ่นช่วยเอาไว้ ป่านฉะนี้ คงถูกอ้ายกล้ามันฆ่า
ตายไปแล้ว"
ทุกคนหน้าเศร้าลงไปทันที ต่างคนต่างเป็นห่วงยี่สุ่น

หมู่บ้านเล็กๆ ตอนเช้า
ยี่สุ่นกับพวกชาวบ้าน ทั้งชายทั้งหญิง ต่างช่วยกันทำงาน ทั้งตำข้าว ทำอาหาร ขนข้าวของ ฯลฯ โดยมีพวกลูกน้องกล้าถือดาบคอยคุม
กล้านั่งเอกเขนก วางมาดให้ลูกน้องมากราบไหว้
ลูกน้อง 1ไหว้ท่วมหัว
"ขอเดชะ พระ...เอ่อ พระ... " ลูกน้องจำราชาศัพท์ไม่ได้
กล้าหงุดหงิด
"อ้ายโง่ พระชายาไม่พ้นก้าวโว้ย แค่นี้ก็ต้องให้สอน"
กล้าถอนใจเฮือกใหญ่ สุดเซ็งลูกน้อง
ยี่สุ่นมองกล้ากับลูกน้อง แล้วหัวเราะเยาะด้วยความสมเพช
กล้าตะคอกสวน
"หัวร่อกระไรของเอ็งวะอีสุ่น"
สุ่นหัวเราะเยาะ
"ข้าก็ขำพวกน่าเวทนาน่ะซี แค่มีอาวุธเล็กน้อย เอาไว้ปล้นคนเค้ากิน แลจับคนมารับใช้ได้หน่อย ก็ถึงกลับเผยอตั้งตนเป็นเจ้า เออโว้ย ช่างไม่กลัวนรกกินกบาล"
กล้าแทงใจดำ "อีสุ่น อยากจะถูกฟันปากฉีกอีกแผลรึ"
ขาดคำ นายกองอังวะก็นำทหารบุกเข้ามาโดยไม่ทันตั้งตัว ท่ามกลางเสียงกรีดร้องของพวกชาวบ้านและความวุ่นวายที่เกิดขึ้น
กล้าตกใจสุดๆ พวกลูกน้องกล้าไม่ทันตั้งตัว เจออังวะบุกเข้ามาก็ทำอะไรไม่ถูก ลนลานกันไปหมด
กล้ารีบชักปืนออกมา แต่พอหันไปก็เห็นลูกน้องตนแต่ละคนโยนดาบทิ้ง คุกเข่า ยกมือไหว้ขอชีวิตกันเป็นแถว
พวกอังวะก็ล้อมเข้ามา กล้าได้แต่เลิ่กลั่ก ไม่กล้าทำอะไรทั้งนั้น

นายกองอังวะเดินถือปืนของกล้า แล้วมองกล้า สุ่น พวกลูกน้อง และพวกชาวบ้านที่คุกเข่าต่อหน้าตนด้วยสีหน้าหวาดกลัว
กล้าตัวสั่นงันงก กลัวอังวะจนไม่กล้าเงยหน้า
ยี่สุ่นมองกล้าแล้วยิ้มเยาะ
"ทำไมพระวรกายสั่นเช่นนี้เล่าเพคะ"
กล้าถลึงตาใส่ยี่สุ่นด้วยความแค้น "หุบปากอีสุ่น"
นายกองเดินมาหยุดหน้ากล้า
"เอ็งรึ หัวหน้าชุมนุมนี้ รีดนาทาเร้นได้ไม่น้อยนี่ ถึงมีทรัพย์สมบัติกองพะเนินเช่นนี้"
กล้ากลัวมาก รีบประจบ
"กระผมไม่ได้คิดจะเอาไว้เองดอกขอรับ หากแต่คิดรวบรวมเพื่อเอาไปให้ทัพอังวะ แทนความจงรัก
ภักดีต่างหากขอรับ"
ยี่สุ่นเบะปาก ดูถูกสุดๆ
นายกองหัวเราะ
"เอ็งคิดว่าข้าโง่เชื่อคำโป้ปดของเอ็งรึ"
นายกองสะดุดขึ้นมาทันที เมื่อเห็นหน้ายี่สุ่น นายกองมองหน้ายี่สุ่นด้วยความสนใจทันที
กล้าสังเกตสีหน้านายกองอังวะ แล้วหันไปมองยี่สุ่น ก่อนจะมามองหน้านายกองอีกที
กล้าเข้าใจทันทีว่านายกองสนใจยี่สุ่น ยิ้มเจ้าเล่ห์
"หากพระคุณไม่รังเกียจว่าอีนี่ถูกแทงเป็นแผลน่าเกลียดกลางท้องมาก่อน กระผมก็ยินดียก
อีสุ่นให้ไปรับใช้นะขอรับ"
ยี่สุ่นโมโห "อ้ายกล้า มึง..."
นายกองลังเล
"ท่านแม่ทัพมีคำสั่งว่าห้ามทำร้ายผู้สวามิภักดิ์รวมไปถึงฉุดคร่าผู้หญิง ข้ารับไว้ไม่ได้ดอก"
"พระคุณหาได้ฉุดคร่าไม่ แต่เป็นกระผมเต็มใจยกให้เอง อย่างนี้ ไม่ถือว่าผิดคำสั่งดอกขอรับ"
นายกองเริ่มลังเล จะเอาไงดี

ยี่สุ่นมีสีหน้าใช้ความคิด โอกาสมาถึงแล้ว ถ้าตนรับใช้นายกองอังวะดีๆก็มีสิทธิล้างแค้นกล้าได้ไม่ยากเลย


หลวงพิชัยอาสา กับพันหาญ ให้ทหารคุมตัวพระยาพลเทพที่ถูกจับมัดมาประจานไปรอบๆค่าย โดยมีทั้งทหารในค่าย ทั้งชาวบ้านตะโกนด่าทอ ขว้างปาสิ่งของใส่พระยาพลเทพในฐานะคนทรยศ ขายบ้านเมือง

พระยาพลเทพหวาดกลัวมาก โดนจับมัด จะหนีไปก็ไม่ได้ โดนด่า โดนขว้างปา ก็ก้มหน้า ตัวสั่นงันงกด้วยความกลัว
ขันทองกับแมงเม่า ยืนมองพระยาพลเทพด้วยสีหน้าเรียบเฉย
"แม้การล่มสลายของอโยธยา ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะคนผู้นี้แต่ผู้เดียว แต่ก็ถือเป็นตัวการสำคัญไม่น้อย ถือว่าเวรกรรมตามสนองแล้วนะเจ้าคะ"
ขันทองพยักหน้ารับ
"มันผู้นี้ ทำให้พ่อของฉันต้องตาย แลนับได้ว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการตายของแม่ด้วย ถือเป็นศัตรูสำคัญในชีวิต แต่เมื่อได้รับผลกรรมเช่นนี้แล้ว ที่เหลือ ฉันก็อโหสิให้"
ขันทองมองพระยาพลเทพด้วยสายตาเวทนา
แมงเม่าชำเลืองมองขันทองด้วยสีหน้าแววตาชื่นชม
หลวงพิชัยอาสา และพันหาญ คุมตัวพระยาพลเทพมาถึงหน้าค่าย
พันหาญหันไปสั่งทหาร
"พวกเอ็งคุมตัวมันไปประจานทางน้ำ ข้ากับคุณหลวงจะเตรียมตัวรับไปแห่ประจานต่อที่เมืองระยองเอง"
ทหาร 1"ขอรับ"
ทหารคุมตัวพระยาพลเทพไปกับพวกตน ในขณะที่หลวงพิชัย พันหาญและทหารอีกกลุ่มเดินแยกไปอีกทาง

พวกทหารกำลังพายเรือพาพระยาพลเทพไปประจานทางน้ำ
ทหาร 1ยิ้มแย้ม เสียดาย
"เมืองระยองเล็กนัก ประจานทางน้ำ มีคนเห็นอยู่ไม่กี่หลังคาเรือน ไม่สาแก่ใจเหมือนประจานในอโยธยาเลย"
ทหาร 2 ยิ้มแย้ม
"นั่นน่ะซี คนยืนมุงกันเต็มสองฝั่งคลอง ถึงจะสาสมกับความชั่วช้าของอ้ายพวกทุรยศคิดคดบ้านเมือง"
แต่ทันใดนั้น ขุนแผลงฤทธิ์ก็โผล่ขึ้นมาจากน้ำ กลางคลอง แล้วใช้ดาบฟันใส่พวกทหารอย่างรวดเร็ว จนตายโดยไม่ทันได้ร้องซักคำ
ขุนแผลงฤทธิ์ใช้ดาบตัดเชือกที่มัดตัวพระยาพลเทพจนขาดจากกัน

"รีบหนีกันเถิดขอรับ ห่างออกไป มีเรือของพวกมันตามมา เราจะช้าอยู่ไม่ได้"
พระยาพลเทพเจ็บแค้นใจมาก
"หนีแน่ แต่ฉันจะหนีไปเมืองจันทบูร"
ขุนแผลงฤทธิ์แปลกใจ
"ทำไมต้องไปจันทบูรด้วยขอรับ"
"ในหัวเมืองตะวันออก จะหาเมืองใดมั่งคั่งแลเข้มแข็งเท่าจันทบูรเป็นไม่มี อ้ายพระยาตากมาปักหลักที่นี่ ก็คงหวังได้จันทบูรมาเป็นกำลัง แต่สิ่งที่มันจะได้ ก็คือคมหอกคมดาบของทหารจันทบูรเท่านั้น"
พระยาพลเทพสีหน้าแววตาอาฆาตแค้น

หลวงพิชัยอาสา และพันหาญก้มลงกราบพระเจ้าตากที่นั่งอยู่บนตั่ง โดยมีขันทอง และม่วง นั่งพับเพียบกับพื้นใกล้ๆ
หลวงพิชัยอาสาพนมมือ
"เป็นความหละหลวมของข้าพระเจ้าทั้งสอง ขอพระองค์โปรดลงโทษไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างต่อไปด้วยเถิดพระเจ้าข้า"
"เหตุการณ์ไม่คาดหมาย แลไม่มีผู้ใดคิดว่าคนอย่างพระยาพลเทพจะมีผู้ภักดีมาช่วยเหลือ จะโทษเจ้าทั้งสองก็ไม่ควร ฉันจะคาดโทษไว้ก่อน อย่าให้มีเช่นนี้อีกก็แล้วกัน"
หลวงพิชัยอาสา / พันหาญก้มลงกราบ พร้อมกัน " ขอบพระทัยพระเจ้าข้า"
"ผู้ที่มาช่วย เห็นจะเป็นขุนแผลงฤทธิ์พระเจ้าข้า เพราะวันที่จับตัวพระยาพลเทพ คนผู้นี้หลบหนีไปได้ แลฝีมือดาบขุนแผลงฤทธิ์ก็สูงยิ่ง มิเช่นนั้น ในเวลาอันสั้น ย่อมไม่อาจสังหารทหารแลพาพระยาพลเทพหนีไปได้" ขันทองบอก
พระเจ้าตากพยักหน้ารับ
"ฉันก็คิดเช่นนั้น คนอย่างพระยาพลเทพเป็นเหมือนเสือหลุดเข้าป่าครานี้ เห็นทีจะกลับมาเป็นภัย แต่ช่างเถิด เพลานี้ มีเรื่องสำคัญกว่าต้องคิด พ่อม่วง เมืองจันทบูรตอบกลับมาว่าอย่างไรบ้าง"
ม่วงพนมมือ
"ยังนิ่งเฉยอยู่พระเจ้าข้า เห็นทีจันทบูรจะไม่ยอมร่วมมือกับเราเป็นแน่"
"ส่งทูตไปอีก อย่างไรก็ต้องดึงจันทบูรมาเป็นพวกให้จงได้ ด้วยเมืองนี้อุดมสมบูรณ์นัก แลยังว่างเว้นศึกมานานปี มีความพร้อมทุกด้าน เมืองระยองก็เล็กเกินกว่าจะคิดการใหญ่ หากไม่ได้จันทบูร ก็ไม่มีทางกู้บ้านกู้เมืองได้"
ม่วงไหว้เหนือหัว "พระเจ้าข้า"
พันหาญกังวล พนมมือ
"เราส่งทูตไปติดๆกัน เมืองจันทบูรจะไม่คิดว่าเราเข้าตาจน จนเสื่อมพระเกียรติของพระองค์หรือพระเจ้าข้า"
พระเจ้าตากยิ้มเล็กน้อย
"ถามได้ดี" หันไปพูดกับขันทอง "พ่อขันทอง ตอบแทนฉันได้หรือไม่"
ขันทองไหว้เหนือหัว หันไปตอบพันหาญ
"มันจำเป็นจ้ะน้าพันหาญ ด้วยเพลานี้เป็นโอกาสดีนัก เพราะอังวะติดศึกจีน ทัพที่อยู่
ในอโยธยา ไม่นานก็ต้องถอนกลับไป หากเราไม่เร่งมือ รอจนอังวะส่งทัพมาเสริม ก็ยากจะทำการได้สำเร็จแล้ว"
พันหาญพยักหน้าเข้าใจ
พระเจ้าตากยิ้มพอใจในความฉลาดของขันทอง ก่อนจะสีหน้าเคร่งขรึมลง
"หากฉันคิดตั้งตนเป็นใหญ่ เพียงแค่สะสมกำลังในหัวเมืองตะวันออกก็พอแล้ว แต่เมื่อคิดกู้อโยธยาให้กลับคืนมา ก็ต้องฉวยโอกาสที่อังวะรบกับจีนไว้ จะพลาดไม่ได้เป็นอันขาด"
พระเจ้าตากสีหน้าแววตามุ่งมั่น

ผ่านมา 2-3 สัปดาห์
เนเมียวสีหบดีกำลังอ่านสาส์นจากอังวะเรื่องศึกจีนด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ต่อหน้าทหารที่รอฟังคำสั่ง โดยมีเยื้อนคอยรินน้ำชา และยกขนมเข้ามาให้ ภายในค่ายตอนหัวค่ำ
เนเมียวสีหบดีหน้าเครียด
"การศึกกับจีนนั้นตึงเครียดนัก เห็นที เราคงพักทัพได้เพียงเท่านี้ ต้องรีบยกทัพกลับไปรับศึกจีนโดยเร็ว"
"แล้วทางอโยธยาเล่า จะทิ้งไปทั้งอย่างนี้หรือขอรับ ผู้คนแลทรัพย์สมบัติ ยังมีอีกมหาศาลนะขอรับ" ทหาร 1 ว่า
"ข้าจะทิ้งทหารไว้ 10,000 คน โดยกำลังหลัก 3,000 คน อยู่ที่ค่ายโพธิ์สามต้น ภายใต้การบังคับบัญชาของสุกี้ จะได้ ทำการกวาดต้อนผู้คน แลนำทรัพย์สมบัติตามกลับไปในภายหลัง"
เยื้อนเข้าไปออดอ้อน
"แล้วฉันเล่าเจ้าคะ ท่านแม่ทัพคงไม่ทอดทิ้งฉันกลับไปแต่ผู้เดียวดอกนะเจ้าคะ"
เนเมียวสีหบดีเชยคางเยื้อนขึ้น ยิ้มกรุ้มกริ่ม กำลังหลงเต็มที่
"ผู้ใดจะทิ้งเจ้าได้ลงคอ ข้าจะพาเจ้ากลับไปอังวะด้วย แต่เจ้าคงต้องรอข้าอยู่ที่ อังวะ
ตามไปศึกด้วยไม่ได้ดอกนะเพราะผิดวินัยทัพ"
เยื้อนซบหน้ากับตักเนเมียวสีหบดี อ้อนสุดๆ
"ขอเพียงท่านแม่ทัพไม่ทอดทิ้งฉัน จะให้ฉันรอที่ใดก็ได้ทั้งสิ้น"
เนเมียวสีหบดีลูบผมเยื้อนอย่างอารมณ์ดี
" ท่านแม่ทัพเจ้าคะ แล้วท่านจะขนสมบัติกับบรรดาเชลยกลับไปด้วยหรือไม่เจ้าคะ"
"ก็ต้องเอากลับไปซี"
เยื้อนแปลกใจ
"คนกว่าสามหมื่น จะนำเดินทางไกลกลับไปได้อย่างไรเจ้าคะ ไม่กลัวเชลยจะหนีไประหว่างทางหรือเจ้าคะ"
"เรื่องนั้น ข้ามีวิธี" แสยะยิ้มร้ายกาจ

ทหารอังวะจับตัวคุณท้าวโสภาไปต่อหน้ากรมขุนวิมลภักดี และเจ้าจอมอำพัน โดยมีเยื้อน
แต่งตัวสวย นั่งดูอย่างสบายอารมณ์อยู่ใกล้ๆ
คุณท้าวโสภากรีดร้องด้วยความหวาดกลัวสุดๆ เพราะทหารอังวะจะใช้เหล็กแหลมรนไฟแทงเข้าที่เอ็นร้อยหวายของเชลย และเอาหวายเส้นยาวร้อยเข้าไป แล้วผูกติดกันเป็นกลุ่มเพื่อป้องกันการหลบหนี โดยทหารอังวะทำกับเชลยเกือบทั้งหมด ไม่แยกชายหญิง
เสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดของเชลย ไม่ว่าชายหรือหญิง ดังลั่นไปทั่วบริเวณอย่างสยดสยอง
เจ้าจอมอำพันกลัวมาก หันไปพูดกับเยื้อน
"เจ้าเป็นคนโปรดของแม่ทัพ ช่วยห้ามปรามทีเถิด ทำเช่นนี้ มันโหดร้ายเกินไปแล้ว"
เยื้อนลอยหน้าลอยตา
"เจ้าจอมเจ้าคะ อีฉันเป็นหญิง จะไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของชายได้อย่างไร ยิ่งเรื่องงานราชการด้วยแล้ว ยิ่งไม่ควรเจ้าค่ะ"
เจ้าจอมอำพันกลัวสุดๆ ไหว้
"ฉันขอเถิดแม่ เห็นแก่ว่าเป็นคนไทด้วยกันก็ได้"
กรมขุนวิมลภักดีอึ้งเล็กน้อยที่เห็นเจ้าจอมอำพันถึงขั้นยกมือไหว้เยื้อน
เยื้อนยิ้มเล็กน้อย
"เจ้าคุณพ่ออีฉันก็เป็นคนไท ยังถูกคนไทด้วยกันประหารเสียเกือบทั้งโคตร ตัวอีฉันเอง ก็ถูกจับไปบำเรอให้ชายมากหน้าหลายตา ล้วนเป็นชายไททั้งสิ้น"
เสียงกรีดร้องดังลั่น ทุกคนหันไปมองตาม
ชาวบ้านคนหนึ่งถูกเหล็กแหลมเผาไฟแทงเข้าที่เอ็นร้อยหวายจนทะลุเป็นรู แล้วใช้หวายเส้นยาวๆร้อยเข้าไปในรู อย่างโหดเหี้ยม
กรมขุนวิมลภักดีสีหน้าเรียบเฉย ก่อนจะลุกขึ้นยืน มองเยื้อนด้วยสายตาสงบนิ่ง
" อย่าทรงกลัวเลยเพคะ ด้วยฐานันดรศักดิ์อันสูงส่งของเสด็จ ทำให้ถูกยกเว้น ไม่ต้องเจาะ
รูร้อยหวายดอกเพคะ"
" เจ้าคงแค้นกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับเจ้า ฉันไม่ขอให้เจ้าให้อภัยดอก แต่สิ่งที่เจ้าทำ ไม่ได้ทำให้เจ้าหายแค้น มีแต่จะทำให้เจ้าโดดเดี่ยวยิ่งขึ้นเท่านั้น"
เยื้อนจ้องกรมขุนวิมลภักดีเขม็ง เถียงเสียงดัง
"โดดเดี่ยวแล้วอย่างไร เพลานี้หม่อมฉันเป็นเมียของท่านแม่ทัพเนเมียวสีหบดี ทั้งสุขสบาย
ทั้งมีอำนาจ ต่อให้ไม่เหลือผู้ใดเลย หม่อมฉันก็หาสนใจไม่"
" เจ้าเข้าใจคำว่า “เมียของผู้มีอำนาจ” หรือไม่ แม้จะได้รับการโปรดปรานเพียงใด ก็เป็นเพียงช่วงสั้น เพราะผู้มีอำนาจนั้น มีงานการต้องทำมากมาย แลมีหญิงอื่นที่พร้อมจะเข้ามาพึ่งใบบุญตลอดเวลา ส่วนตัวเจ้าต่างบ้านต่างเมืองไปอยู่ คิดว่าเมียคนอื่นจะเมตตาเจ้ารึ แลจะกลับมาอยู่กับคนไท ด้วยกันก็ทำไม่ได้แล้ว หนทางข้างหน้า ไม่เพียงโดดเดี่ยว แต่ยังมืดมิดอีกด้วย"
เยื้อนคิดตามก็หน้านิ่งเครียดไป แต่ตนจะถอยกลับก็ไม่ได้แล้ว จำต้องทนอยู่กับความหวาดกลัวเหมือนที่กรมขุนวิมลภักดีพูดไม่มีผิด
คุณท้าวโสภาถูกทหารอังวะจับไปนอนคว่ำ ก่อนที่ทหารอีกคน จะเอาเหล็กแหลมเผาไฟมาแทงที่เอ็นร้อยหวาย
คุณท้าวโสภากรีดร้องด้วยความเจ็บปวดสุดชีวิต
เจ้าจอมอำพันทนดูไม่ได้ถึงกับก้มหน้าพร้อมยกมือขึ้นปิดตา สงสารคุณท้าวจับใจ
กรมขุนวิมลภักดีเบือนหน้าไปทางอื่นทนดูไม่ได้เช่นกัน ก่อนจะมีน้ำตาไหลรินออกมา
"เพื่อป้องกันการหลบหนีของเชลย อังวะได้เจาะรูบริเวณเส้นเอ็นที่ส้นเท้า แล้วร้อยเส้นหวายเข้าไป ซึ่งต่อมา ได้เรียกเส้นเอ็นบริเวณนี้ว่า “เอ็นร้อยหวาย” มาจนถึงทุกวันนี้ และหลังจากการร้อยหวายเสร็จสิ้นในวันที่ 6 มิถุนายน พุทธศักราช 2310 กองทัพอังวะส่วนใหญ่ก็ได้ถอนทัพกลับพร้อมกวาดต้อนเชลยและทรัพย์สมบัติกลับไปด้วย นับเป็นการสิ้นสุดสงคราม ด้วยการล่มสลายของกรุงศรีอยุธยานั่นเอง"

คุณท้าวโสภา ร้องไห้ กรีดร้องด้วยความเจ็บปวด ทุกข์ทรมานถึงที่สุด


ขันทอง ม่วง ติ่น ผล และบรรดาทหารจำนวนมากกำลังซ้อมดาบอยู่บนชายหาดอย่างขยันขันแข็ง

ขันทองรุกไล่ม่วง ม่วงถอยร่น ก่อนจะโต้กลับ แต่ขันทองก็ฉากหลบไปได้อย่างสวยงาม ทั้งคู่ยิ้มให้กัน ต่างฝ่าย ต่างมีฝีมือรุดหน้า
แมงเม่า อิน และทหารอีกจำนวนหนึ่ง กำลังช่วยกันขนข้าว น้ำ มาให้พวกที่ซ้อมดาบ
อินยิ้มแย้ม
"พักได้แล้วจ้า กับข้าวกับปลามาแล้ว"
ทหารหยุดซ้อมแล้วเดินเข้าไปรับข้าว รับน้ำมากิน พูดคุยกันอย่างยิ้มแย้มแจ่มใส
ม่วงเดินเข้าไปหาอิน เป็นห่วง
"ทีหน้าทีหลัง แม่อินไม่ต้องยกมาให้ฉันอีกนะ ของมันหนัก ประเดี๋ยวลูกจะเป็นกระไรไป"
ม่วงลูบท้องอินด้วยความห่วงลูก
อินยิ้มแย้ม
"ไม่หนักเท่าใดดอกจ้ะ ฉันอยู่ที่เรือน พ่อกับน้าชื่นก็ไม่ยอมให้ทำงานทำการ นั่งๆ นอนๆ จนเบื่อจะแย่อยู่แล้ว"
ม่วงอ่อนใจ แต่อินก็ไม่ยอมเชื่อ ไม่รู้จะทำยังไง
ทางด้าน แมงเม่าเอาข้าว และกระบอกน้ำมาให้ขันทอง
แมงเม่ายิ้มแย้ม
"กินเสียเจ้าค่ะคุณพระ จะได้มีเรี่ยวแรง"
ขันทองรับอาหารและน้ำมา
"ฉันไม่ใช่คุณพระแล้ว อย่าเรียกฉันอย่างนี้อีกเลย"
"ก็ฉันติดปากแล้วนี่เจ้าคะ" แมงเม่าคิดอยู่ครู่หนึ่ง "ถ้าไม่ให้เรียกอย่างนี้ แล้วจะให้เรียกว่าอย่างไรดีเจ้าคะ"
ขันทองยิ้มกรุ้มกริ่ม ได้โอกาสหยอด
"พี่ขันทอง พี่อยากได้ยินเจ้าเรียกพี่ว่า พี่ขันทอง"
แมงเม่าเขินอาย รีบชิ่ง
"ฉันเอาข้าวปลา น้ำท่า ไปให้คนอื่นก่อนนะเจ้าคะ"
แมงเม่าจะเดินเลี่ยงไป
ขันทองรีบเรียกไว้ "ประเดี๋ยวก่อน"
แมงเม่าหันกลับมามอง
ขันทองลดเสียงลง
"แจกข้าวปลาเสร็จแล้ว เจ้าไปหาพี่ตรงหัวแหลมได้หรือไม่ พี่มีเรื่องสำคัญจะพูดคุยด้วย"
แมงเม่ามองขันทองด้วยความแปลกใจ ว่าเรื่องอะไร

มุมหนึ่งริมทะเล ขันทองยื่นสร้อยที่ทำจากเปลือกหอยให้แมงเม่า
แมงเม่ามองสร้อยเปลือกหอยด้วยความงุนงง
แมงเม่านึกไม่ถึง
"นี่รึคือ เรื่องสำคัญ ฉันก็นึกว่ามีสาส์นลับ หรือข่าวการศึกใดเสียอีก"
"อโยธยาแตกแล้ว จะไปมีของเช่นนั้นได้อย่างไร จะมีก็แต่สร้อยเปลือกหอยที่ฉันทำเองเท่านั้น ยามศึกสงคราม สร้อยทองสร้อยเงินใด ฉันคงหาให้เจ้าไม่ได้ดอก" ขันทองแอบน้อยใจ "แต่หากเจ้าเห็นว่า ไม่สำคัญ ก็ไม่เป็นกระไร"
แมงเม่ายิ้มๆ แล้วเอาสร้อยเปลือกหอยมาจากมือของขันทอง แล้วเอามาคล้องคอตัวเอง
ขันทองยิ้มออกมาอย่างดีใจมาก
"คุณพระ" แมงเม่าโดนขันทองพูดขัดซะก่อน
ขันทองพูดขัดพร้อมทำหน้าดุ "ที่นี่ไม่มีคุณพระอีกแล้ว"
แมงเม่าพูดด้วยสีหน้าเขินๆ ไม่ชินปาก
"พี่ขันทอง ก็ใจน้อยเหมือนกันนะเจ้าคะ"
"อย่าว่าแต่ใจน้อยเลย ฉันเพิ่งรู้ว่าตัวเองเป็นคน หวงของ อีกด้วย"
แมงเม่าเขินๆ จับสร้อยเปลือกหอยแก้เขิน
"แต่ฝีมือร้อยสร้อยแย่มากนะเจ้าคะ ไม่ประณีตเอาเสียเลย ตอนฉันเด็กๆยังทำสวยกว่าอีก"
" พุทโธ่ เห็นใจฉันบ้างเถิด ชีวิตนี้ฉันจับอยู่สองอย่าง คือจับมีดกับจับพระไตรปิฎก งานฝีมือเช่นนี้ ก็เพิ่งทำ คราแรก ได้เท่านี้ ก็หลังขดหลังแข็งจะแย่แล้ว"
แมงเม่ายิ้มปลื้มๆ "ถึงไม่งามนัก แต่ฉันก็ชอบนะเจ้าคะ"
ขันทองดีใจมากอยากจะจับมือแมงเม่าเอาไว้ แค่ยื่นมือไปก็เปลี่ยนใจ จับสร้อยเปลือกหอยแทน
ขันทองมองแมงเม่าด้วยสายตารักใคร่
"ให้บ้านเมืองกลับคืนมาเมื่อไหร่ พี่จะ..." ขันทองเขินอาย อึกๆอักๆ "เอ่อ พี่จะพูด เรื่องสำคัญ กับเจ้านะ"
" พูดเช่นนี้ ฉันอยากจะให้บ้านเมืองสงบสุขเสียวันนี้วันพรุ่งเลยเจ้าค่ะ" แมงเม่ายิ้มหน้าเป็น
ขันทองยิ่งเขินอาย
แมงเม่ากระเซ้า แต่เห็นเขาเขิน ก็พลอยเขินอายไปด้วย ไม่กล้าสบตาอีกฝ่ายเหมือนกัน
แต่ทันใดนั้น พันหาญก็วิ่งกระหืดกระหอบมา
พันหาญตะโกนเรียก "พ่อขันทองๆ"
ขันทอง และแมงเม่า รีบปรับท่าปกติ ขยับตัวห่างออกจากกัน
" จันทบูรตอบรับการร่วมมือกับเราแล้ว"
แมงเม่าได้ยินดังนั้นก็ยิ้มออกมาอย่างดีใจ
แต่ขันทองกลับรู้สึกแปลกใจขึ้นมา ส่งทูตไปตั้งหลายครั้งไม่ตกลง แต่จู่ๆ ทำไมถึงยอมตกลง
ซะอย่างนั้น

ตอนบ่าย พระเจ้าตากนั่งอยู่บนตั่ง คุยกับพระสงฆ์ 4 รูปที่ส่งมาจากเมืองจันทบูร โดยพระสงฆ์ทั้งสี่ก็นั่งอยู่บนตั่งเหมือนกัน แต่ตัวเล็กกว่าของพระจ้าตาก ในขณะที่ ขันทอง หลวงพิชัยอาสา และพันหาญ นั่งพับเพียบอยู่กับพื้น
"ท่านเจ้าคุณจันทบูร ส่งอาตมาภาพทั้งสี่มา เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจต่อพระองค์แลต้องการทูลเชิญพระองค์ไปปรึกษาหารือเรื่องกู้บ้านกู้เมืองที่จันทบูร มิทราบพระองค์ทรงคิดเห็นเช่นไร"
พระเจ้าตากยิ้มรับ
"เป็นบุญของปวงประชานัก ที่พระยาจันทบูรเห็นแก่บ้านเมืองเช่นนี้ โยมจะขอจัดการงานทางนี้ให้เรียบร้อยก่อน แล้วจะไปจันทบูรพร้อมด้วยพระคุณท่านทั้งสี่"
พระ 1กล่าว "ขอถวายพระพร"
พันหาญกราบพระสามครั้ง
"นิมนต์พระคุณท่านทั้งสี่ไปจำวัดขอรับ"
พันหาญลุกขึ้นเดินนำพระสงฆ์ทั้งสี่ออกจากกระโจมไป
ขันทองระแวง พนมมือพูดกับพระเจ้าตาก
"เราส่งทูตไปหลายครา จันทบูรก็นิ่งเฉยเสีย แต่จู่ๆกลับส่งพระภิกษุมาเป็นทูตทูลเชิญ เสด็จ
ข้าพระเจ้าไม่ใคร่ไว้ใจนักพระเจ้าข้า"
"ฉันเห็นด้วยกับพ่อ แต่เราก็ไม่มีทางเลือกแล้ว ในชุมนุมที่ผุดขึ้นทั่วแผ่นดินเพลานี้ นับชุมนุมพิษณุโลก ชุมนุมเจ้าพระฝาง ชุมนุมเจ้าพิมาย ชุมนุมเจ้านคร ทั้งสี่นี้เข้มแข็งแลมีชื่อเสียงมากกว่าชุมนุมอื่น หากเราต้องการเทียบเคียงกับชุมนุมเหล่านี้ ก็มีแต่ต้องร่วมมือกับจันทบูรเท่านั้น" หลวงพิชัยอาสาว่า
ขันทองคิดตาม พยักหน้ารับช้าๆ "ก็จริงขอรับ"
"อย่าห่วงไปเลย ฉันเรียกชาวบ้านละแวกนี้มาสอบถามแล้ว พระคุณท่านทั้งสี่เป็นพระภิกษุมี่มีชื่อเสียงใน เมืองระยองแลจันทบูรจริง ผู้ถือศีล ย่อมไม่โป้ปด แลไม่มีจิตคิดร้ายต่อผู้อื่น คงเป็นบุญของบ้านเมืองเสียมากกว่า ที่ทำให้พระยาจันทบูรเปลี่ยนใจ"
ขันทองยิ้ม ไหว้ "ทรงรอบคอบนัก พระเจ้าข้า"

พระเจ้าตากยิ้มอย่างอารมณ์ดี ที่การกู้ชาติของตนใกล้เป็นจริงแล้ว


พระยาจันทบูรกำลังหัวเราะชอบใจ

"แผนการท่านเจ้าคุณช่างแยบยลนัก ใช้พระสงฆ์องค์เจ้าออกหน้า ใครเล่าจะระแวงได้"
พระยาจันทบูรกำลังคุยกับพระยาพลเทพ พร้อมกับดื่มเหล้ากันไปด้วย โดยมีขุนแผลงฤทธิ์อยู่ใกล้ๆ
" แผนการเพียงเล็กน้อยเท่านั้นดอก ขั้นต่อไป ท่านเจ้าคุณก็เพียงแต่วางคนซุ่มไว้ โจมตีพวกมันขณะข้ามน้ำ รับรองว่าจะไม่มีใครเหลือรอดกลับไปแม้แต่คนเดียว"
พระยาจันทบูรหน้าเสีย ชักกลัวๆ "ต้องฆ่าทิ้งทั้งหมดเลยรึ"
"ถ้าใจอ่อน ก็เท่ากับรอให้อ้ายพระยาตากมาฆ่าเท่านั้น ท่านเจ้าคุณคิดรึ ว่ามันต้องการแค่ความร่วมมือจากจันทบูร ไม่ได้คิดยึดเมืองจากท่านเจ้าคุณ"
ขุนแผลงฤทธิ์รีบเสริม
"พระยาตากผู้นี้ชำนาญการศึกนัก ขนาดมีทหารเพียงห้าร้อยยังฝ่าทัพอังวะหนีมาตั้งตนที่ระยองได้ เพลานี้ยังตั้งตัวเป็นเจ้า มีผู้หลงเชื่อมาเข้าด้วยเป็นอันมาก หากไม่ชิงลงมือฆ่าเสียตอนนี้ก็ไม่มีทางแล้วขอรับ เว้นแต่ท่านเจ้าคุณจะเต็มใจยกจันทบูรให้ก็เท่านั้น"
พระยาจันทบูรไม่พอใจ
"เรื่องกระไรฉันจะยกให้ เมืองจันทบูรของฉันทั้งมั่งคั่ง ทั้งอุดมสมบูรณ์ ยิ่งไม่มีอโยธยาด้วยแล้ว ยิ่งควรอยู่เพื่อตัวเองเท่านั้น ไม่ใช่เป็นฐานกำลังให้กับผู้ใดทั้งสิ้น"
พระยาพลเทพ และขุนแผลงฤทธิ์เหลือบตามองกันแล้วยิ้มเจ้าเล่ห์ พระยาจันทบูรระแวงอยู่แล้ว
เลยยิ่งยุง่ายเข้าไปใหญ่
"ท่านเจ้าคุณขอรับ กระผมขออาสานำทัพซุ่มโจมตีเอง ครานี้ กระผมให้สัญญา ว่าจะต้องล้างอายให้จงได้"
" ดีมากท่านขุน ฆ่าพวกมันเสียให้สิ้น โดยจำเพาะอ้ายพระยาตาก กับลูกชายอ้ายเสือขุนทอง ต้องให้
พวกมันตาย โดยไม่มีแม้แต่ดินกลบหน้า" พระยาพลเทพสีหน้าแววตาอาฆาตแค้น

ยามเช้าที่ค่าย...พระเจ้าตากกำลังป้อนหญ้าป้อนอ้อยให้ช้างอยู่ เป็นช้างเพศเมีย ท่าทางน่ารัก แสนรู้ โดยมีขันทอง และพันหาญอยู่ใกล้ๆ
" แม่พังเชือกนี้เฉลียวฉลาดแลลักษณะดีนัก เหมาะที่ใช้งานต่อไป ฉันจะตั้งชื่อว่า “พังคีรีบัญชร” ฝากหัวพันดูแลให้ดีด้วย"
พันหาญยิ้มแย้ม พนมมือเหนือหัว "พระเจ้าข้า"
พระเจ้าตากเดินเลี่ยงมา โดยมีขันทองตามมา
พระเจ้าตากหน้าขรึมลง
"พ่อขันทอง ฉันมีงานให้พ่อทำ"
"รับสั่งมาเถิดพระเจ้าข้า"
"พ่อจงคัดเลือกทหารมีฝีมือพร้อมด้วยเครื่องศาตราวุธให้พร้อมสรรพจำนวนหนึ่งพัน ตามฉันไปจันทบูรด้วย"
ขันทองตกใจ
"พระองค์มิใช่ทรงไว้วางพระทัยต่อพระยาจันทบูรหรือพระเจ้าข้า"
"เดิมทีเป็นเช่นนั้น แต่เมื่อครู่ ฉันได้พูดคุยกับพระคุณท่านทั้งสี่ระหว่างฉันเช้า ทำให้มีข้อติดใจหลายประการ จึงไม่อยากประมาท"
ขันทองพยักหน้ารับ ก่อนจะหน้าเครียดขึ้นมา "แต่หากจันทบูรวางกำลังไว้ใกล้เมือง รอจนเราล่วงเข้าไปลึกแล้ว จะรุกก็ไม่ได้ จะถอยกลับก็ยากนักพระเจ้าข้า"
"หากเป็นเช่นนั้นจริง ก็เท่ากับไม่มีกระไรจะเสีย แม้ต้องเสี่ยงด้วยชีวิต ก็ต้องหักเอาจันทบูรให้จงได้"
สีหน้าแววตาพระเจ้าตากเด็ดเดี่ยว

ขันทองกำลังลับดาบของตนอยู่ในกระท่อมที่เปิดประตูทิ้งไว้
แมงเม่าเดินมาหยุดหน้าประตูกระท่อม
ขันทองหันไปมองแมงเม่า
"มีกระไรรึ"
แมงเม่าเป็นห่วง
"จริงรึที่พระองค์ท่านให้พี่คัดเลือกทหารไปจันทบูร"
ขันทองถอนใจ หันไปลับดาบต่อ
"อ้ายพวกนี้ปากสว่างนัก ไม่ทันไรก็รู้กันทั่วแล้ว"
แมงเม่าหยิบปืนสั้นกระบอกหนึ่งยื่นให้
ขันทองตกใจ
"ของมีค่าเช่นนี้ เจ้าเอามาได้อย่างไร"
"พี่ม่วงซื้อมาจากพวกพ่อค้า แล้วเอามาให้ฉันอีกที ฉันยกให้พี่ เอาติดตัวไปด้วยนะ"
ขันทองปั้นยิ้ม
"พ่อม่วงให้เจ้า เจ้าก็เก็บไว้ป้องกันตัวเถิด เจ้าก็รู้ ว่าพี่มีฝีมือป้องกันตัวได้ แลไปเจรจากับจันทบูร ไม่อันตรายกระไร จะเอาไปทำไม"
แมงเม่าหน้าบึ้งตึง
"ยังจะปดอีก ถึงฉันเป็นหญิง แต่ฉันก็รู้ความ ถ้าไม่อันตราย จะทรงให้พี่คัดทหารไปทำกระไรตั้งพัน"
" ถึงอย่างไรพี่ก็ไม่เอาดอก เก็บไว้ที่เจ้า"
พูดไม่ทันจบ แมงเม่าก็จับมือขันทอง แล้วยัดปืนเข้ามือไปเลย
"ฉันรู้ว่าพี่ห่วงฉัน" แมงเม่าเขินมากแต่ก็ตัดใจพูดเร็วๆ "เอ่อ แต่ถ้าพี่เป็นกระไรไป ฉันก็อยู่ต่อไปไม่ได้เหมือนกัน"
พูดจบ แมงเม่าก็รีบวิ่งออกจากกระท่อมไปทันทีด้วยความเขินอายที่ต้องเผยความในใจ
ขันทองอึ้งไปเพราะไม่คิดว่าแมงเม่าจะพูดแบบนี้แล้วรีบหนีไป ขันทองชะเง้อมองตามแมงเม่าไปด้วยสายตายิ้มกริ่ม ก่อนจะกุมปืนที่แมงเม่าให้เอาไว้แนบอก

หน้าค่ายอังวะตอนหัวค่ำ
ในกระโจม..ยี่สุ่นลุกขึ้นจากเตียง โดยนายกองอังวะยังนอนอยู่บนเตียง
นายกองยิ้มกรุ้มกริ่ม เอื้อมมือไปดึงมือสุ่นไว้
"จะรีบไปที่ใดเล่า นอนต่ออีกสักพักเถิด" แล้วดึงสุ่นมาซบอกตน
ยี่สุ่นออดอ้อนเต็มที่
"ท่านนายกองเจ้าคะ ท่านจะต้องเก็บรวบรวมสมบัติที่อโยธยาอีกนานเท่าใดเจ้าคะ"
"ข้าไม่รู้ดอก มีคำสั่งให้กลับเมื่อใด ก็กลับไปเมื่อนั้น แต่อยู่นานๆก็ดี วาสนาข้าจะมีมากเพียงใด ก็ขึ้นอยู่กับจำนวนสมบัติที่หาได้นี่ล่ะ"
"ถ้ากระนั้น ให้ฉันช่วยนะเจ้าคะ"
นายกองแปลกใจ
"เจ้าน่ะรึ เจ้าจะหาให้ข้าได้ซักเท่าใดกันเชียว"
ยี่สุ่นลุกขึ้นนั่ง
"ไม่มากไม่น้อย ถ้าเทียบกับทองคำ ก็เท่ากับน้ำหนักตัวฉันเจ้าค่ะ"
นายกองตกใจ รีบลุกขึ้นนั่งทันที
"เจ้าล้อข้าเล่นรึ"
ยี่สุ่นยิ้มขำๆ
"ใครเล่า จะกล้าล้อท่านนายกอง ฉันพูดจริงเจ้าค่ะ อ้ายกล้ามันส่งบรรณาการให้ท่านเพียงน้อยดอก ของจริง มันแอบเก็บซ่อนเอาไว้ ฉันเห็นมากับตา มันฆ่าพวกเชื้อพระวงศ์แล้วริบเอาเพชรนิลจินดามากมายมาเป็นของตน ไม่เช่นนั้นมันไม่กล้าเหิมเกริมตั้งตนเป็นเจ้าดอกเจ้าค่ะ"
นายกองอังวะตาววาวด้วยความตื่นเต้น หากตนได้มาแล้วส่งไปต้องได้เลื่อนขั้นแน่ หรือยักยอกเอาไว้หน่อยก็ยังได้ ได้ทั้งเลื่อนขั้น ได้ทั้งรวย สบายแน่นอน
ยี่สุ่นยิ้มร้ายๆ ทุกอย่างเป็นไปตามแผนที่วางเอาไว้

เช้าวันรุ่งขึ้นที่หมู่บ้านเล็กๆของกล้า ทหารอังวะกรูกันเข้ามาล้อมพวกลูกน้องกล้าเอาไว้ พวกลูกน้องถือดาบไว้ แต่ก็ไม่กล้าทำอะไร กลัวตัวสั่นไปหมด ส่วนพวกชาวบ้านต่างเกาะกลุ่มกันด้วยความกลัว ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น
กล้ากำลังคุยกับนายกองอังวะด้วยความหวาดกลัว โดยมียี่สุ่นยืนอยู่ใกล้ๆ
กล้าถือดาบในมือ แต่ก็กลัวจับใจเหมือนลูกน้องไม่มีผิด
" นี่มันกระไรท่านนายกอง ท่านอยากได้สิ่งใด ฉันก็หาให้ทั้งสิ้น แล้วเหตุใดถึงทำเช่นนี้"
" หาให้ทั้งสิ้นรึ แล้วสมบัติที่เอ็งปล้นพวกเชื้อพระวงศ์มาเล่า อยู่ที่ใด"
" ฉันปล้นพวกขุนนางในวังมาได้จริง แต่ไม่เคยปล้นเชื้อพระวงศ์ แลสมบัติที่หามาได้ ก็ยกให้ท่านเกือบหมด เหลือเพียงน้อยนิดเท่านั้น"
ยี่สุ่นแอบหยิบมีดเล็กๆออกมา
นายกองตะคอก
"อ้ายขี้ปด เอ็งนึกว่าข้าโง่..." แล้วร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด
ยี่สุ่นเป็นคนปักมีดเข้าที่หลังของนายกอง แต่มีดเล่มเล็ก แม้จะโดนปักเข้าไปลึกก็ไม่ถึงตาย
ทุกคนหันไปมองเป็นตาเดียวกันด้วยความตกใจสุดๆ ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
ยี่สุ่นรีบวิ่งเข้าไปหลบหลังกล้า พูดเสียงดัง
"เร็วเข้าพี่กล้า ฉันล่อมันมาให้พี่ฆ่าแล้ว รีบกำจัดมันเร็วเข้า"
กล้าตกใจสุดขีด เจอสุ่นใส่ร้ายหน้าตาเฉย "อีสุ่น มึง..."
นายกองแค้นสุดๆ ตะโกนลั่น
"มึงหักหลังกู ฆ่าพวกมันให้หมด"
พวกทหารอังวะไล่ฟันพวกกล้าทันที
ลูกน้องกล้าสู้พลางถอยพลางด้วยความหวาดกลัว จนวุ่นวายไปหมด
ในขณะที่พวกชาวบ้านเห็นสองฝ่ายสู้กัน ก็รีบหนีเอาตัวรอดทันที
กล้ามองไปรอบๆด้วยความตกใจทำอะไรไม่ถูก ในขณะที่ทหารอังวะคนหนึ่งมาพานายกองที่ได้รับบาดเจ็บเลี่ยงออกไป
สุ่นยิ้มเยาะ
"สมน้ำมะหน้า บั้นปลายของคนชั่วอย่างมึง สาแก่ใจหรือไม่เล่า อ้ายกล้า"
"อย่าอยู่เลยมึง" กล้าแค้นสุดขีด ใช้ดาบแทงท้องสุ่นเต็มที่
ยี่สุ่นโดนแทงเข้าไปเต็มๆก็สะดุ้งเฮือก พอกล้าชักดาบออก ก็ร่วงลงไปนอนกับพื้น
ขณะนั้นเอง ทหารอังวะก็บุกรุมกล้าเข้ามา กล้าตกใจรีบสู้สุดตัว
แต่ทหารอังวะเก่งกว่า มีมากกว่า สู้ไปได้ไม่เท่าไหร่ กล้าก็โดนฟันไปหนึ่งแผล
กล้ายิ่งกลัวหนัก ฟันดาบมั่วไปหมด ก่อนจะโดนฟันที่ขาไปอีกแผลจนทรุดลง แล้วโดนฟันที่หลังซ้ำเข้าไปอีก
พอกล้าล้มลง ก็โดนทหารอังวะรุมแทงพร้อมๆกันจนขาดใจตายอย่างน่าอนาถ
ยี่สุ่นเห็นกล้าตายก่อนตน ก็ยิ้มพอใจที่ได้ล้างแค้นแล้ว ก่อนจะนึกถึงม่วงขึ้นมาในลมหายใจเฮือกสุดท้าย
ยี่สุ่นเสียใจมากที่ไม่ได้เจอม่วงอีกครั้งก่อนตาย "พี่ม่วง"

ยี่สุ่นค่อยๆหลับตาลงขาดใจตายไปอย่างทุกข์ใจเพราะความคิดถึงคนรัก


ผ่านมา 8-9 วัน

พระเจ้าตากกำลังเคลื่อนทัพในตอนสาย
พระเจ้าตากทรงประทับบนหลังช้างพังคีรีบัญชรอย่างองอาจ นำหน้าเหล่าทหารไป โดยพระสงฆ์ทั้ง 4 รูป นั่งอยู่บนเสลี่ยงให้ทหารหามไป
หลวงพิชัยอาสา พันหาญ ขี่ม้าคุมพวกทหารแล้วคอยระวังหลังให้ด้วย โดยมีติ่น ผล เป็นทหารเดินเท้าตามไปในขบวน
ขันทอง ม่วง กำลังล่ำลาแมงเม่า มิ่ง ชื่น และอิน ขันทอง ม่วงจูงม้ามาด้วย
ม่วงก้มลงกราบเท้าพ่อ
มิ่งลูบหัวลูก
"บุญรักษานะลูกนะ ไม่ต้องห่วงทางนี้ พ่อกับแม่ชื่นจะคอยดูแลแม่อินกับหลานในท้องเอง"
"ขอบพระคุณจ้ะพ่อ" ม่วงลุกขึ้น ก่อนจะเข้าไปกอดอิน
อินกอดม่วงแน่นด้วยความเป็นห่วงสามี
ชื่นมองทั้งคู่ด้วยความปลื้มใจ ก่อนจะหันไปเห็นขันทองและแมงเม่ายืนมองหน้ากันด้วยสีหน้าเศร้าๆ โดยที่ไม่พูดอะไร
" อ้าว จะล่ำลาก็รีบๆเข้าเถิดพ่อ มัวแต่จ้องกันอยู่นั่นล่ะ ประเดี๋ยวก็ตามกองทัพไม่ทันดอก" ชื่นว่า
ขันทองยิ้มเขินๆ
มิ่งหวงลูกสาวปนเคืองๆขันทอง
"ไม่ต้องพูดกระไรน่ะดีแล้ว มันน่านัก เป็นชายแท้ๆ กลับมาหลอกว่าเป็นขันที ตราบใดที่ยังไม่ คุยกันให้กระจ่าง อยู่ห่างๆลูกสาวฉันไว้น่ะดีแล้ว"
แมงเม่ากระเง้ากระงอด "พ่อ"
มิ่งปราม
"เงียบไปเลยเจ้าแมงเม่า เป็นหญิง อย่าให้ประเจิดประเจ้อนัก"
แมงเม่าทิ้งค้อนใส่พ่อ
ขันทองจ๋อยๆ ไหว้ลาชื่น มิ่ง "กระผมไปล่ะขอรับ"
ชื่นรับไหว้ มิ่งหน้างอๆแต่ก็รับไหว้อย่างเสียไม่ได้
ขันทองหันมามองแมงเม่า
แมงเม่าเป็นห่วง "รักษาเนื้อรักษาตัวให้ดีนะจ๊ะ"
ขันทองยิ้มรับ ก่อนจะเปิดชายเสื้อให้เห็นปืนที่แมงเม่าให้ แมงเม่ายิ้มบางๆด้วยความดีใจที่ขันทองพกปืนที่ตนให้ไว้ตลอดเวลา
ขันทอง และม่วงขึ้นม้า ก่อนจะควบม้าตามกองทัพไป
"แต่ก่อน อยากให้ลูกออกเรือน ทีอย่างนี้มาทำหวง ไป แม่อิน" ชื่นทิ้งค้อน
ชื่น กับอินเดินเลี่ยงไป
มิ่งหน้าหงิก หวงๆชื่น "เห็นมันรูปงามล่ะสิ"
แมงเม่ามองตามขันทองไปด้วยความเป็นห่วงอย่างบอกไม่ถูก

ในป่า พระเจ้าตากประทับช้างนำเหล่าทหารที่เดินเท้ามาเป็นขบวน พระสงฆ์ทั้ง 4 รูป
นั่งเสลี่ยงตามมา ขันทอง หลวงพิชัยอาสา ม่วง พันหาญ ขี่ม้าคอยสอดส่อง และอารักขาทุกคนอยู่
ขันทองมองไปข้างหน้าคอยระแวดระวัง ว่ามีการซุ่มโจมตีหรือไม่ ต้องรอบคอบกันทุกฝีก้าว ก่อนจะขี่ม้านำหน้าไป เพื่อสำรวจทาง

พระยาจันทบูรกำลังโมโห
" เหตุใดมันถึงได้โยกโย้อย่างนี้วะ บอกว่าให้ข้ามน้ำมาก็ผัดผ่อนไปอีก"
พระยาจันทบูรกำลังฟังทหารรายงาน โดยมีพระยาพลเทพ ขุนแผลงฤทธิ์อยู่ใกล้ๆ
ทหาร 1บอก"เจ้าตากให้มากราบเรียนท่านเจ้าคุณ บอกว่าทัพมาถึงเพลาเย็นแล้ว ข้ามน้ำเข้าเมืองมาไม่สะดวก วันพรุ่งจึงจะมาขอรับ"
"ข้ออ้างน่ะซี กะอีแค่ข้ามน้ำ จะต้องให้สะดวกสบายกระไรนัก" แล้วหันมองหน้าพระยาพลเทพ
"หรือมันจะรู้ตัวแล้ว ว่าเราจะดักซุ่มโจมตีขณะพวกมันข้ามน้ำ"
"แผนการนี้เราเตรียมการกันรอบคอบ จะรู้ตัวได้อย่างไร แต่ถึงรู้ ทัพมันก็ล่วงมาไกลแล้ว ถ้าถอยกลับตอนนี้ เราก็ส่งคนเข้าบดขยี้ได้อย่างง่ายดายอยู่ดี"
"หรือเราจะบุกตีมันตอนนี้ดีขอรับ ไม่ต้องรอให้มันข้ามน้ำแล้ว"
"ไม่ได้ อ้ายพระยาตากมันตั้งทัพในวัด ชัยภูมิมันได้เปรียบ แลส่งทหารไปบุกถึงวัด พวกชาวบ้านชาวช่องก็จะประณามเอาได้ ซ้ำร้าย เกิดเอาใจออกห่างไปเข้ากับอ้ายพระยาตากจะยิ่งแย่เข้าไปใหญ่ เราต้องดักตีมันตอนข้ามน้ำ หรือไม่ก็ตามตีตอนมันถอยเท่านั้น" พระยาพลเทพบอก
ขุนแผลงฤทธิ์พยักหน้ารับ ยิ้มร้ายๆ
"ท่านเจ้าคุณช่างรอบคอบนัก"
"อย่างไรเสีย อ้ายพระยาตากก็เป็นดั่งลูกไก่ในกำมือแล้ว ไม่มีทาง ที่มันจะหนีรอดไปได้ดอก" พระยาพลเทพแววตาเหี้ยมเกรียม)

ทหารเมืองจัน 4-5 คน กำลังเดินเวรยามอยู่ในป่าตอนกลางคืน บริเวณใกล้ๆที่ซุ่มกำลังไว้โจมตี
ทหารคนหนึ่ง เดินห่างจากเพื่อนมา มีสีหน้าเซ็งๆเพราะความง่วง ก่อนจะหาวออกมา
ทันใดนั้น ขันทองก็โผล่มาทางด้านหลังทหารคนนั้น แล้วล็อกคอ ปิดปากทหารคนนั้นอย่างรวดเร็ว ก่อนจะดึงทหารคนนั้นหายเข้าดงไม้ไปกับตนอย่างไร้สุ้มเสียง

ตอนเช้า ที่วัดพลับ พระเจ้าตากลุกขึ้นยืนด้วยความโมโห
" เรามาด้วยความซื่อ แต่กลับคิดร้ายทำลายกัน เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ไม่มีกระไรต้องพูดคุยกันอีกแล้ว"
พระเจ้าตากยืนอยู่ท่ามกลางทหาร โดยมี ขันทอง หลวงพิชัยอาสา ม่วง พันหาญ หมอบกราบอยู่กับพื้น ในขณะที่พระสงฆ์ที่มาเป็นทูตทั้ง 4 นั่งอยู่บนอาสนะสีหน้าหวาดกลัว
พระ 1กลัวๆ ไม่สบายใจ "ท่านเจ้าคุณจันทบูร ไม่ควรทำเช่นนี้เลย ... เรื่องนี้ อาตมาภาพทั้งสี่ไม่เคยรู้มาก่อน เป็นความสัตย์จริง ขอโยมโปรดพิจารณาด้วย"
"พระคุณท่านอย่ากังวลเลย โยมทราบ ว่าพระคุณท่านทั้งสี่ถูกหลอกใช้ หาไม่คงไม่ติดตามโยมมาด้วยกันเป็นแน่"
พระ 1ถอนใจโล่งอก "ขอถวายพระพร"
"ที่เป็นเช่นนี้ คงเป็นเพราะอ้ายพระยาพลเทพอยู่เบื้องหลัง ถ้าข้าพระเจ้าคาดเดาไม่ผิด ทั้งหมดนี้คงเป็นแผนการของมันพระเจ้าข้า"
พันหาญนึกไม่ถึง
"นี่มันอยู่ข้างพระยาจันทบูรหรือนี่ เหตุใดคนชั่วชาติ มันตายยากนักวะ"
หลวงพิชัยอาสาหน้าเครียด พนมมือขึ้น
"เพลานี้กล่าวได้ว่าเราคับขันนัก ด้วยล่วงมาไกล จะถอยก็ถูกตามตี จะตั้งรับไว้อย่างนี้ ก็คงได้อีก
ไม่นาน ขอพระองค์ทรงมีพระบัญชา มิว่าอย่างไร ปวงข้าพระเจ้าจะทำตามไม่บ่ายเบี่ยงเลย"
พระเจ้าตากสีหน้าสงบนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจเด็ดเดี่ยว
"หนทางรอด มีทางเดียว คือเราต้องบุกยึดจันทบูรในคืนนี้ให้จงได้"
ขาดคำ ทุกคนพากันหน้าเสียไปทันที เพราะเป็นหนทางที่อันตรายที่สุด
มีขันทองคนเดียวที่สีหน้าสงบนิ่ง เพราะพอจะเดาได้อยู่แล้ว
"สิ่งที่เราทำมาทั้งหมดก็เพื่อจะกู้บ้านกู้เมือง ให้อาณาประชาราษฎร์ได้ทำมาหากินกันอย่างเป็นสุข สมณะชีพราหมณ์แล นักบวชในลัทธิต่างๆ สามารถประกอบกิจพิธีกรรมกันต่อไป หากเราต้องมาพ่ายแพ้ใน
วันนี้ ก็มิต้องคิดถึงการใหญ่ในภายภาคหน้าแล้ว" แล้วพูดเสียงดังลั่น "ทุกคนจงฟัง"
ทหารทุกคนคุกเข่าพนมมือ
ขันทอง หลวงพิชัยอาสา ม่วง และพันหาญ คุกเข่าพนมมือ
พระเจ้าตากพูดเสียงดังให้ได้ยินกันทั่วๆ
"เราจะเข้าตีเมืองจันทบูรในคืนนี้ เมื่อกองทัพหุงข้าวเย็นกินเสร็จ ทั้งนายทั้งไพร่ให้เทอาหารที่
เหลือทิ้งแลต่อยหม้อเสียให้หมด หมายไปกินข้าวเช้าด้วยกันในเมืองจันทบูร หากตีเอาเมืองไม่ได้ในคืนนี้ ก็จะตายเสียด้วยกันทั้งหมด"
ขาดคำ ทุกคนเปล่งเสียงเฮลั่น ขนาดพระเจ้าตากยังร่วมเป็นร่วมตายกับพวกตน ก็ไม่มีอะไรต้องกลัวอีกแล้ว ทุกคนฮึกเหิมถึงขีดสุด

พวกทหารหุงข้าว จับกลุ่มกันกินข้าว พูดจาหยอกล้อเล่นกัน ก่อนไปทำศึกใหญ่
หลังกินข้าวเสร็จ ทุกคนก็ทุบหม้อข้าว หม้อแกงทิ้งจนหมด อาหารก็โยนทิ้งไม่มีเหลือ

"สมเด็จพระเจ้าตากสิน ทรงตัดสินพระทัยอย่างเด็ดเดี่ยว ที่จะยึดเมืองจันทบุรีให้จงได้ จึงมีรับสั่งให้ทุบหม้อข้าว และเทอาหารที่เหลือทิ้งทั้งหมดหลังจากกินอาหารเย็นเสร็จ เป็นสัญญาณว่าต้องเอาชนะในศึกครั้งนี้ให้ได้ หากไม่สำเร็จก็ตายพร้อมกัน นับเป็นกลยุทธ์ที่สร้างขวัญกำลังใจให้ทหารอย่างถึงที่สุด ซึ่งไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์ชาติไทย"
 
อ่านต่อตอนที่ 27


กำลังโหลดความคิดเห็น