หนึ่งด้าวฟ้าเดียว ตอนที่ 25
บทประพันธ์ : วรรณวรรธน์
บทโทรทัศน์ : เอกลิขิต
1 เดือนผ่านไป ตอนหัวค่ำ เจ้าจอมเพ็ญกำลังนอนละเมออยู่บนเตียง
เจ้าจอมเพ็ญกระสับกระส่ายฝันร้าย เห็นแต่ภาพจมื่นศรีสรรักษ์ตลอดเวลา
" คุณพระนาย อย่าจากพี่ไป พ่อเพิ่ม รอพี่ด้วย พ่อเพิ่ม"
ทันใดนั้นก็ฝันเห็นภาพน่ากลัวสุดๆ จนร้องกรีดร้องออกมา พร้อมกับดิ้นพราดด้วยความหวาดกลัว
ข้าหลวง 2 คนได้ยินเสียงกรีดร้อง ก็รีบวิ่งเข้ามาดูเจ้าจอมเพ็ญทันที
2 ข้าหลวงพยายามช่วยกันจับเจ้าจอมเพ็ญไม่ให้ดิ้น พูดพร้อมกัน
"เจ้าจอมเจ้าคะ เจ้าจอมเจ้าคะ"
เจ้าจอมเพ็ญสะดุ้งตกใจตื่น ลุกขึ้นนั่งแล้วมองไปรอบๆสายตาหวาดระแวง
ข้าหลวง 1เป็นห่วง
"เจ้าจอม เป็นกระไรไปเจ้าคะ ฝันร้ายหรือเจ้าคะ"
เพ็ญยังกลัวๆอยู่
"นังเลื่อน พวกเอ็งไปตามนังเลื่อนมาให้ข้าที"
ข้าหลวงทั้งสองหันไปมองหน้ากันแบบงงๆ
ข้าหลวง 2 บอก "พี่เลื่อนตายไปแล้วเจ้าค่ะ ตายได้ 2-3 เดือนแล้ว"
เจ้าจอมเพ็ญเริ่มตั้งสติได้ ก็เริ่มหน้าสลดลงทันที น้องก็ตายแล้ว คนรับใช้ที่สนิทที่สุดก็ตายแล้ว
ตนอ้างว้างมากขึ้นทุกที
"เจ้าจอมต้องการกระไรเจ้าคะ" ข้าหลวง 1 ถาม
เจ้าจอมเพ็ญแผดเสียงลั่น
"ออกไปให้พ้น ไปให้พ้นหน้าข้าประเดี๋ยวนี้ ไป ออกไป๊"
ข้าหลวงสองคนรีบออกไปจากห้องด้วยความกลัว
เจ้าจอมเพ็ญร้องไห้ออกมาด้วยความอ้างว้างและหวาดกลัว เธอทิ้งตัวลงนอนร้องไห้สะอึกสะอื้น
อย่างโดดเดี่ยว
ทหารอังวะเข้าแถวอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ถืออาวุธครบมือ เตรียมพร้อมรอคำสั่ง
เนเมียวสีหบดีขี่ม้าเหยาะๆมาถึงหน้ากำแพงเมือง พวกทหารก็ยิ่งยืนนิ่งเตรียมพร้อมอย่างเข้มแข็ง
ทหารคนหนึ่ง วิ่งเข้าไปหาเนเมียวสีหบดีทันที
ทหาร 1 บอก
"เราขุดถึงฐานกำแพงอโยธยาแล้ว กำลังรอคำสั่งจากท่านแม่ทัพอยู่ขอรับ"
เนเมียวสีหบดี
"สั่งเสียงเฉียบขาด สีหน้าแววตาแข็งกร้าว
"เผา"
ในห้องนอนกรมขุนวิมล
เป้าเป็นคนจุดกำยานในห้องนอนกรมขุนวิมลภักดี
แมงเม่ากำลังโบกพัดให้กรมขุนวิมลภักดีที่นอนหลับอยู่
เป้าคุกเข่าลงข้างๆแมงเม่า "ทรงบรรทมแล้วรึ"
"ทรงบรรทมแล้ว แม่เป้าจะกลับก่อนก็ได้นะจ๊ะ ฉันถวายรับใช้เอง"
" ไม่เป็นกระไรดอกจ้ะ ฉันอยู่เป็นเพื่อนแม่แมงเม่าดีกว่า"
แมงเม่ายิ้มรับ ค่อยๆโบกพัดต่อไป
ไฟลุกไหม้ฐานกำแพงหนักขึ้นเรื่อยๆ เปลวไฟสีแดงฉานแผ่กระจายอย่างรวดเร็ว
ขุนรักษ์เทวาเดินนำขันทองมา พอมาถึงก็เห็นหลวงศรีมะโนราชนั่งกินเหล้าจนเมา หัวพิงเสา
ครึ่งหลับครึ่งตื่น
ขุนรักษ์เทวาระอาสุดๆ
"นี่ล่ะเจ้าค่ะ เมาจนพูดไม่รู้เรื่อง ดีฉันไม่รู้จะทำอย่างไรแล้ว"
หลวงศรีมะโนราชเมามาก
"เฮ้ย ได้ยินนาโว้ย ใครว่าข้าเมาวะ ข้าไม่เมาโว้ย"
ขันทองส่ายหน้าอ่อนใจ
"กินสุรายาเมาในเขตพระราชฐานแม้จะผิดกฎ แต่เพลานี้ทุกคนล้วนตึงเครียดยิ่ง อย่าไปโทษคุณหลวงเลย วานท่านขุนให้คนมาพาคุณหลวงกลับเรือนก็แล้วกัน"
"เจ้าค่ะ"
ขันทองเดินเลี่ยงไป ในขณะที่รักษ์เทวาเดินเข้าไปหาหลวงศรีมะโนราชอย่างเซ็งๆ
ไฟไหม้ฐานกำแพง จนฐานกำแพงเริ่มมีรอยร้าวเกิดขึ้น จากความร้อนทำให้อิฐที่ทำกำแพงเริ่ม
ปริแตก
เปลวไฟลุกรุนแรง รอยร้าวขยายมากขึ้นเรื่อยๆ จนไปทั่วฐานกำแพง
กำแพงเมืองอยุธยาส่วนหนึ่ง พังลงมาจนเป็นช่องขนาดพอสมควร เป็นผลมาจากการเผาฐานรากกำแพง จนอิฐปริแตก ทำให้กำแพงส่วนหนึ่งทรุดพังลงมา
เนเมียวสีบดีตะโกนลั่น "บุก"
ทหารอังวะโห่ร้องเสียงดังกึกก้องปานฟ้าจะถล่ม ก่อนวิ่งกรูกันเข้าไปในช่องกำแพงที่พังลง
ในตัวเมือง ทหารอังวะที่กรูเข้ามา ตรงเข้าสู้กับทหารไทยที่เข้ามาปกป้องทันที แต่ทหารไทยสู้ไม่ได้ ถูกทหารอังวะฆ่าตายเป็นใบไม้ร่วง
ทหารอังวะบางส่วนเริ่มบุกเข้าไปปล้น ฆ่าชาวเมือง
พวกชาวเมืองกรีดร้อง หนีตายด้วยความหวาดกลัว แต่ที่หนีไม่ทันก็ถูกฆ่าตาย คนแล้วคนเล่า
อย่างน่าสะพรึงกลัว
ทหารอังวะบางคน เริ่มเผาบ้านเรือนและสถานที่ต่างๆเพื่อสร้างความวุ่นวายให้หนักขึ้นอีก
"เวลาประมาณ 2 ทุ่ม ของคืนวันที่ 7 เมษายน พุทธศักราช 2310 กำแพงเมืองกรุงศรีอยุธยาด้านหัวรอ ได้พังทลายลง กองทัพของอังวะได้บุกเข้ามาทางด้านนั้น และเริ่มต้นการทำลายล้างกรุงศรีอยุธยาทันที และถือเป็นการสิ้นสุดการเป็นราชธานีของกรุงศรีอยุธยา ที่ยืนยาวมากว่า 417 ปี อีกด้วย"
ไฟไหม้ลุกโชนไปทั่วกรุงศรีอยุธยา ดูหดหู่และน่าสะพรึงกลัว
แมงเม่า และ เป้ากำลังดูแลกรมขุนวิมลภักดีที่นอนหลับอยู่
ทันใดนั้น ก็ได้ยินเสียงกรีดร้องดังลั่นไปทั่ว ประกอบกับเสียงปืน เสียงดาบปะทะกันดังแว่วมา
ไม่ขาดสาย จนแมงเม่า และเป้าตกใจ
กรมขุนวิมลภักดีที่หลับอยู่ก็สะดุ้งตื่นขึ้นด้วยความตกใจ
"เสียงกระไรกัน ออกไปดูซิ"
เป้ารีบลุกขึ้นไปเปิดประตูห้อง พอเปิดออก ก็เห็นพวกข้าหลวงวิ่งหนีตาย กรีดร้องกันวุ่นวายไปหมด
เป้ารีบจับแขนข้าหลวงคนหนึ่งไว้
"เกิดกระไรขึ้น"
ข้าหลวง 1 กลัวสุดๆ
"กรุงแตก กรุงแตกแล้ว พวกอังวะบุกเข้ามาแล้ว หนีเร็ว"
ข้าหลวง 1 รีบวิ่งหนีไปทันที
ท่ามกลางความตกใจสุดขีดของทุกคน
แมงเม่าตั้งสติได้ก่อน รีบเข้าไปคุกเข่าหน้ากรมขุนวิมลภักดี
"ตามหม่อมฉันมาเพคะ"
แมงเม่ายกมือไหว้แล้วรีบจับแขนกรมขุนวิมลภักดีพาให้ไปกับตน
"ตามฉันมาเร็วแม่เป้า"
เป้าตกใจทำอะไรไม่ถูก แต่พอแมงเม่าบอกอย่างนั้น ก็รีบตามแมงเม่าไปทันทีเช่นกัน
ขุนแผลงฤทธิ์ถือดาบนำพระยาพลเทพหนีลงจากเรือนมา
"ตามกระผมมาขอรับท่านเจ้าคุณ กระผมจะคุ้มกันท่านเจ้าคุณเอง"
ขุนแผลงฤทธิ์วิ่งนำพระยาพลเทพไป
พระยาพลเทพรีบตามไปด้วยความหวาดกลัว สวนกับพวกชาวบ้านที่อุ้มลูกจูงหลาน หนีตายกันอลหม่าน
กล้ากับลูกน้องถืออาวุธครบมือ โดยมีลูกน้องสองคนคอยจับตัวยี่สุ่นไว้
กล้ามองตามพระยาพลเทพไป หันไปสั่งลูกน้อง
"พวกเอ็งสองคนคอยดูนังสุ่นไว้ อย่าให้มันหนีไปได้ ส่วนพวกเอ็งที่เหลือตามข้ามา อังวะมันเผา มันปล้นอย่างไร เราก็สวมรอยทำตามมัน แย่งชิงทรัพย์สมบัติมาให้มากที่สุด ใครขวาง ฆ่ามันให้หมด"
กล้าวิ่งนำลูกน้องกลุ่มหนึ่งไป
ในขณะที่ลูกน้อง 2 คน ฉุดกระชากลากถูยี่สุ่นไปอีกทาง
ทหารอังวะกลุ่มหนึ่ง บุกเข้ามาในวัง
พวกโขลนถือดาบวิ่งเข้าสู้กับทหารอังวะทันที เป็นการป้องกันพวกข้าหลวงและนางในไว้ก่อน
เจ้าจอมเพ็ญกับพวกข้าหลวงกำลังวิ่งหนี พร้อมกับกรีดร้องด้วยความหวาดกลัว
โดยมีพวกโขลนคอยต้านทานไว้
แต่โขลนก็ต้านได้ไม่นาน ถูกทหารอังวะฟันตาย ก่อนที่ทหารอังวะคนหนึ่งจะพุ่งเข้าถึงตัว
เจ้าจอมเพ็ญกับพวกข้าหลวง
เจ้าจอมเพ็ญกรีดร้อง แล้วรีบผลักข้าหลวงที่อยู่ใกล้ให้ไปหาทหารอังวะ
ข้าหลวงคนนั้นเลยถูกทหารอังวะแทงตายคาที่
เจ้าจอมเพ็ญอาศัยจังหวะนั้น วิ่งหนีไปอีกทางทันที
พระยากำแหงกับเหล่าทหารกำลังสู้กับทหารอังวะที่บุกเข้ามาอย่างดุเดือด ท่ามกลางความโกลาหลอย่างหนัก เหล่าข้าหลวงหนีตายกันอลหม่าน เสียงกรีดร้อง ควันไฟ เสียงปะทะกันของดาบ ฯลฯ
ต่างสับสนวุ่นวายไปหมด
พระยากำแหงตะโกนลั่น
"สู้กับมัน ต่อให้เหลือคนสุดท้าย ก็อย่ายอมแพ้เป็นอันขาด"
พระยากำแหงบุกตะลุยสู้ตาย
พวกทหารก็ไม่มีใครยอมแพ้ซักคน
ขณะนั้นเอง เจ้าจอมอำพัน และคุณท้าวโสภาก็วิ่งหนีด้วยความหวาดกลัวมา จังหวะเดียวกับที่
แมงเม่าพากรมขุนวิมลภักดี และเป้าหนีมาพอดี
เป้าเห็นคุณท้าวโสภาเข้าดีใจมาก "คุณท้าว คุณท้าวเจ้าขา"
เจ้าจอมอำพัน คุณท้าวโสภา เห็นกรมขุนวิมลภักดี แมงเม่า กับเป้าก็ดีใจ รีบเข้าไปหาทันที
แต่ขณะนั้นเอง ก็มีทหารอังวะคนหนึ่งเข้ามาขวาง แล้วฟันดาบใส่เจ้าจอมอำพันทันที
เจ้าจอมอำพัน / คุณท้าวโสภาตกใจสุดขีด กรีดร้อง
ทันใดนั้นเอง ขันทองก็เข้ามาถีบทหารอังวะคนนั้นกระเด็นออกไป
ขันทองสั่งแมงเม่า
"พาทุกคนไปตามที่ตกลงไว้ ฉันจะระวังหลังให้เอง"
แมงเม่าเป็นห่วงขันทอง
"ระวังตัวนะเจ้าคะ" แล้วพูดกับทุกคน "ทุกคนตามฉันมาเจ้าค่ะ"
แมงเม่ารีบจับแขนกรมขุนวิมลภักดีให้ไปกับตน
เป้า รีบพา คุณท้าวโสภา และเจ้าจอมอำพันตามไปทันที
ทหารอังวะที่ถูกถีบโกรธจัด ฟันดาบใส่ขันทองทันที
แต่ขันทองฉากหลบอย่างว่องไว ก่อนจะจับข้อมือทหารคนนั้นไว้ แล้วเตะเข้าท้องไปหลายทีจนจุก ก่อนจะบิดมือแย่งดาบมา แล้วฟันทหารคนนั้นตายคาที่
ทหารอังวะคนอื่นกรูกันเข้ามาทำร้ายขันทอง แต่ขันทองใช้เพลงดาบฟาดฟันใส่พวกทหารจนกระเจิดกระเจิงออกไป
พระยากำแหงกำลังสู้อยู่ก็เหลือบมาเห็นขันทองเข้า
พระยากำแหง เห็นขันทองทั้งฟาดฟันดาบ ทั้งหลบหลีก อย่างสวยงาม
ฝีมือขันทองยังสูงกว่าตนมากมายนัก
พระยากำแหงตะลึงอยู่ครู่หนึ่งที่ขันทองเก่งขนาดนี้ ก่อนจะโกรธสุดๆขึ้นมา ร้องคำรามลั่น
แล้วกระโจนฟันดาบเข้าใส่ขันทองทันที
ขันทองตกใจคิดไม่ถึง รีบใช้ดาบรับดาบของพระยากำแหงไว้ได้ทัน
" นี่มันกระไรกันเจ้าคะ ออกญาทำร้ายดีฉันทำไม"
พระยากำแหงโมโหสุดๆ
"มึงไม่ต้องมีตีสองหน้า เพลงดาบมึงร้ายกาจถึงเพียงนี้ หาใช่ขันทีจริงเป็นแน่" เอาดาบชี้หน้าขันทอง "มึงเป็นจารบุรุษปลอมตัวมาทำลายอโยธยา กูน่าจะเชื่อคำของหลวงศรีมะโนราช ไม่ควรปล่อยมึงไว้เลย"
พระยากำแหงบุกรุกไล่ขันทองทันที ไม่เปิดช่องให้อธิบาย
ขันทองตั้งรับอย่างใจเย็น ก่อนจะฉวยโอกาสฉากหลบออกมา
"กระผมเป็นจารบุรุษจริง แต่มิได้คิดคดทำลายอโยธยา เพียงแต่เพลานี้ไม่สะดวกอธิบาย หากมีวาสนา เราคงได้เจอกันอีกขอรับ"
พระยากำแหงไม่ยอมให้ขันทองหนี ฟาดฟันดาบใส่ยกใหญ่ แต่ขันทองก็ตั้งรับได้หมด ก่อนจะเตะพระยากำแหงเซออกไป แล้วฉวยโอกาสวิ่งหนีไปทันที
พระยากำแหงตั้งหลักได้ ก็รีบตามขันทองไปด้วยความเจ็บแค้น
บรรยากาศในวังวุ่นวายไปหมด พวกทหารไทยโดนทหารอังวะรุกไล่จนแตกกระเจิง สู้ไปหนีไป พวกข้าหลวงก็กรีดร้อง หนีเอาตัวรอดกันจ้าล่ะหวั่นไปหมด
ขุนรักษ์เทวาประคองหลวงศรีมะโนราชที่เมาหนักมาถึงหน้าห้องหนึ่งในวัง
ขุนรักษ์เทวากลัวมาก
"เดินดีๆสิคุณหลวง โอ๊ย ทำไมต้องมาเมาเอาตอนนี้ด้วย เอ้า รีบเดินเข้าสิคุณหลวง อยากถูกฆ่าตายรึ"
ขุนรักษ์เทวาประคองศรีมะโนราชมาถึงหน้าห้องๆหนึ่ง ทันใดนั้น หลวงศรีมะโนราชก็สะบัดตัวออก แล้วทุบเข้าไปที่ท้ายทอยรักษ์เทวาอย่างแรง จนขุนรักษ์เทวาล้มสลบเหมือด
" อ้ายหน้าโง่"
หลวงศรีมะโนราชรีบขโมยกุญแจที่ขุนรักษ์เทวาเก็บไว้ในชายพกออกมา ก่อนจะหยิบกุญแจของตนออกมาอีกดอกหนึ่ง แล้วรีบไขปลดล็อคกุญแจโซ่ 2 ตัว ต้องใช้กุญแจ 2ดอกจากสองขันที เป็นระบบความปลอดภัย
หลวงศรีมะโนราชเปิดประตูเข้าไป ภายในเต็มไปด้วยทรัพย์สมบัติ หีบใส่ทอง เพชรพลอยมากมาย
หลวงศรีมะโนราชยิ้มร้ายๆ มองสมบัติด้วยความโลภ
"หมายตามานาน ในที่สุด ก็ถึงคราวของข้าเสียที"
หลวงศรีมะโนราชรีบถอดผ้าคาดเอวออก แล้วหยิบทรัพย์สมบัติใส่ผ้าคาดเอว เอาไปมากที่สุด เท่าที่จะขนไปได้
เจ้าจอมเพ็ญหนีกระเจิดกระเจิงด้วยความกลัวสุดขีดมาถึงอ่างแก้วโดยไม่รู้ตัว
เจ้าจอมเพ็ญตกใจมากที่มาโผล่ที่อ่างแก้ว "อ่างแก้ว"
ขณะนั้นเอง ก็ได้ยินเสียงโห่ร้องของทหารอังวะไล่หลังมา
เจ้าจอมเพ็ญกลัวสุดๆ เลยรีบลงไปในอ่างแก้วเพื่อซ่อนตัว
ขณะนั้นเอง ทหารอังวะกลุ่มหนึ่งก็ตามมาถึงอ่างแก้ว พวกทหารมองไปรอบๆก็ไม่เห็นเจ้าจอมเพ็ญ
ทหาร 1ตะโกนสั่ง
"ค้นให้ทั่ว ข้าอยากได้เชยชมสาวชาววังอโยธยาให้เป็นบุญสักครา หาตัวมันให้เจอ"
พวกทหารอังวะแยกย้ายกันค้นหาทันที
เจ้าจอมเพ็ญซ่อนตัวอยู่ในน้ำขอบอ่างแก้ว อาศัยหญ้าที่ขึ้นเต็มอ่างแก้วและความมืดพรางตัวไว้
เจ้าจอมเพ็ญกลัวสุดๆ ปากคอสั่น แต่ก็ไม่กล้าส่งเสียงแม้แต่น้อย
ไม่คาดคิดทันใดนั้น ก็เห็นศพของสาลิกาลอยขึ้นมาจากในน้ำ ต่อหน้าเจ้าจอมเพ็ญในระยะประชิด ศพเบิกตาจ้องมาที่เจ้าจอมเพ็ญนิ่ง
เจ้าจอมเพ็ญกลัวสุดขีด แต่รีบใช้มือปิดปากเอาไว้ ไม่ยอมกรีดร้องออกมา
เจ้าจอมเพ็ญค่อยๆ ขยับตัวห่างออกจากศพของสาลิกา กลัวจนน้ำตาไหล
ศพสาลิกาจมน้ำหายไป
เจ้าจอมเพ็ญกวาดตามองไปรอบๆ ด้วยความหวาดกลัว น้ำตาไหลออกมาอย่างต่อเนื่อง
ศพสาลิกาโผล่ทะลึ่งพรวดพ้นน้ำขึ้นมาอีกครั้งทางด้านหลังเจ้าจอมเพ็ญ
เจ้าจอมเพ็ญตกใจกลัวสุดขีด จะเผลอกรีดร้องออกมา ต้องรีบกัดปากตัวเองไว้จนเลือดไหลออกมา
แต่เจ้าจอมเพ็ญก็ยังไม่ยอมร้องเสียงดังกลัวทหารอังวะจับตัวได้ ได้แต่ทนอยู่ในน้ำกับวิญญาณสาลิกา
ที่ตนเห็น
ทางด้านแมงเม่าวิ่งจูงมือกรมขุนวิมลภักดีมาถึงท้ายวัง บริเวณที่ขันทองใช้ทางระบายน้ำลอบออกไปนอกวัง โดยมีเป้า เจ้าจอมอำพัน และคุณท้าวโสภาวิ่งตามมาติดๆ
"ถึงแล้วเพคะ เสด็จรีบลงไปในทางระบายน้ำเถิดเพคะ ทางนี้ทะลุไปถึงข้างนอกได้ หม่อมฉันจะพาเสด็จหนีไปเองเพคะ"
" แล้วเจ้ารู้ได้อย่างไรกัน"
แมงเม่าร้อนใจสุดๆ
"อย่าเพิ่งถามเลยเพคะ รีบเสด็จลงไปก่อนเถิด"
คุณท้าวโวยวาย ทนไม่ได้
"ทางน้ำสกปรกโสโครก จะให้เสด็จลงไปได้อย่างไร"
แมงเม่าหงุดหงิด
"เพลาเช่นนี้ คุณท้าวยังจะถือยศถืออย่างอีกหรือเจ้าคะ ดาบของอังวะ มันเลือกไพร่ผู้ดีหรืออย่างไร"
คุณท้าวโสภาเถียงไม่ออก ได้แต่อึกๆอักๆ
" ไม่ต้องเถียงกันแล้ว ฉันจะลงไปเอง"
ขาดคำ ทหารอังวะกลุ่มหนึ่งก็ถือดาบวิ่งตามเข้ามา
เจ้าจอมอำพันตกใจสุดๆ "พวกอังวะมาแล้ว"
เป้าหันไปหยิบไม้ที่อยู่ใกล้ๆ
"เสด็จรีบหนีไปเพคะ หม่อมฉันจะถ่วงเวลาไว้เอง"
เป้าวิ่งเอาไม้เข้าไปตีทหารอังวะ แต่ทหารอังวะหลบได้อย่างง่ายดาย ก่อนจะตบสวนอย่างแรง
จนเป้าเสียหลักล้ม ศีรษะกระแทกเข้ากับต้นไม้ใหญ่จนหัวแตก สลบเหมือดไป
แมงเม่าตกใจสุดๆ "แม่เป้า"
คุณท้าวโสภา และ อำพัน กรีดร้องด้วยความตกใจ ทุกคนเห็นเป้าแน่นิ่งไปก็นึกว่าตายแล้ว
ทหารอังวะกรูกันเข้ามาล้อมพวกแมงเม่าไว้ แมงเม่ารีบเอาตัวบังกรมขุนวิมลภักดีเอาไว้
ทันใดนั้น ขันทองก็ตามเข้ามาช่วย ขันทองกระโจนเข้าฟันทหารอังวะคนหนึ่ง จนตายคาที่
ทหารคนอื่นๆก็รีบกรูกันเข้าทำร้ายขันทองทันที
ทหารที่เหลือเข้าไปจับแขนกรมขุนวิมลภักดี เจ้าจอมอำพัน และคุณท้าวโสภา เพื่อจะเอาไปเป็นเชลย
แมงเม่าเข้าไปถีบทหารอังวะ ทั้งเตะ ข่วน ตบ สู้เต็มที่
"ปล่อยเสด็จประเดี๋ยวนี้ บอกให้ปล่อย ปล่อยสิ"
ทหารอังวะคนหนึ่งโมโห เลยใช้ดาบฟันใส่แมงเม่า แต่แมงเม่าหลบได้ทันหวุดหวิด
แต่กรมขุนวิมลภักดีก็ถูกฉุดไปกับพวกอังวะจนได้
ขันทองเห็นแมงเม่าถูกดาบฟันใส่ก็ทั้งโกรธ ทั้งเป็นห่วง เลยโหมรุกไล่ใส่ทหารอังวะจนกระเจิง
ไปหมด
แต่ทันใดนั้น พระยากำแหงก็โผล่เข้ามา ฟันขันทองจากทางด้านหลัง
ขันทองเหลือบไปเห็นเข้า เลยหลบได้หวุดหวิดชนิดเส้นยาแดงผ่าแปด
ขันทองร้อนใจสุดๆ เวลาอย่างงี้ยังมาขวางอีก "ท่านเจ้าคุณ"
" อ้ายไส้ศึก มึงอย่าอยู่เลย"
พระยากำแหงฟันดาบใส่ขันทองอย่างกะฆ่าให้ตายเพราะคิดว่าเป็นไส้ศึก
แมงเม่างงมากกับการกระทำของพระยากำแหงแต่ก็รีบวิ่งตามไปช่วยกรมขุนวิมลภักดีก่อน
ขันทองพยายามตั้งรับเต็มที่ ในสถานการณ์ที่ถูกอังวะล้อมไว้จนหมด
พวกทหารอังวะเข้าไปรุมทั้งคู่เป็นบางครั้ง ขันทอง และพระยากำแหงหันไปสู้กับทหารอังวะ
ก่อนจะกลับมาสู้กันเองอีก
แมงเม่าพยายามเข้าไปช่วยกรมขุนวิมลภักดี เจ้าจอมอำพัน และคุณท้าวโสภา
แต่แมงเม่ามีคนเดียว แถมยังโดนทหารเอาดาบฟันใส่อย่างไม่ปราณี จนแมงเม่าต้องรีบหลบออกมา
" อีนังนี่ น่ารำคาญนัก เอาผู้หญิงพวกนี้ไป กูจะฆ่าอีนี่เอง"
ทหารที่เหลือฉุดกรมขุนวิมลภักดี เจ้าจอมอำพัน และคุณท้าวโสภาไป ทั้งสามคนพยายามดิ้น กรีดร้องขอความเมตตาแต่ก็ไม่เป็นผล ยังถูกลากไปจนได้
ขันทองต้องคอยตั้งรับพระยากำแหงเต็มที่
"เสด็จถูกจับไปแล้ว หยุดสู้กันสักครู่ได้หรือไม่ขอรับ"
"เสด็จถูกจับก็เพราะมึงนั่นล่ะ อ้ายสารเลว"
พระยากำแหงไล่ฟันขันทองไม่ยอมเลิก
ขณะนั้นเอง ทหารอังวะกลุ่มหนึ่งก็เข้ามาเสริม พร้อมถือปืนยาวมาด้วย
พวกทหารอังวะตั้งแถว เตรียมยิง
ขันทองเหลือบเห็นอังวะกำลังจะยิง ตกใจสุดๆ
จังหวะนั้นเอง พระยากำแหงฟันใส่ศีรษะขันทอง ขันทองก้มหลบไปได้หวุดหวิด แล้วตรงเข้ารวบตัวพระยากำแหงจนล้มไปด้วยกัน จังหวะเดียวกับที่อังวะระดมยิงมา
พระยากำแหงถูกกระสุนเข้าที่ต้นแขนขวาเลือดอาบ
จังหวะนั้นเอง ขันทองเห็นแมงเม่ากำลังจะโดนอังวะฟันดาบใส่
แมงเม่ากลัวสุดๆกรีดร้องออกมา
ขันทองรีบขว้างดาบในมือ ปักที่ด้านหลังทหารอังวะที่กำลังจะฆ่าแมงเม่า จนตายคาที่
พระยากำแหงจะลุกขึ้น แค้นมาก "มึง"
ขันทองใช้มือกดหัวไหล่พระยากำแหงไว้ ไม่ให้ลุกขึ้นมา
"อย่าลุก แกล้งตายเสียจะได้ปลอดภัย กระผมช่วยท่านเจ้าคุณได้เพียงเท่านี้"
ขันทองลุกขึ้นวิ่งไปหาแมงเม่า พวกอังวะก็กรูกันเข้ามาทำร้ายขันทอง ขันทองใช้แม่ไม้มวยไทย
เล่นงานพวกอังวะจนกระเด็นกระดอนไป ก่อนจะเข้าๆดึงมือแมงเม่า
"ไป"
ขันทองกระชากมือแมงเม่าผลักดันให้หนีลงทางระบายน้ำใต้ดิน ก่อนที่ตนจะเข้าไปยันพวกอังวะไว้ แล้วรีบลงตามแมงเม่าไป
ทหารอังวะก็รีบกรูกันลงทางระบายน้ำเพื่อตามไป
พระยากำแหงไม่เชื่อคำขันทองที่ให้แกล้งตาย ลุกขึ้นได้ก็ลุยเข้าใส่ทหารอังวะ 3-4 คนอย่างไม่คิดชีวิต
การต่อสู้เป็นไปอย่างดุเดือด แต่พระยากำแหงตกที่นั่งลำบากอยู่ในวงล้อมทหารอังวะ
พระยากำแหงพลาดท่า ทหารคนหนึ่งฟันเข้าที่ดวงตาพระยากำแหง จนตาบอดไปข้างหนึ่ง
พระยากำแหงเจ็บปวดสุดขีด เอามือกุมตาที่ถูกฟัน เลือดไหลอาบท่วมมือ
ทหารอีกคนจะเข้าไปซ้ำ แต่พระยากำแหงแทงสวนเข้าไปเต็มท้อง จะทหารอังวะร้องโหยหวน
ตายคาที่
พระยากำแหงกัดฟัน ฟันดาบใส่อังวะอย่างบ้าคลั่ง แม้จะบาดเจ็บแถมมีคนเดียว แต่พระยากำแหงก็สู้ตาย ไม่ยอมให้พวกอังวะทำร้ายได้ง่ายๆ
บรรยากาศภายในกรุงศรีอยุธยา
ทุกหนทุกแห่งเต็มไปด้วยความวุ่นวาย ทหารอังวะไล่ฆ่าชาวบ้านทั้งชาย หญิง เด็ก คนแก่
อย่างไม่ปราณี
บางคนฆ่าเสร็จ ก็ปล้นเอาทรัพย์สิน เผาเรือน ฉุดผู้หญิง ฯลฯ
คนไทยด้วยกันก็สวมรอยไล่ฆ่าฟัน ปล้นทรัพย์สิน ไม่ต่างจากที่อังวะทำเลยแม้แต่น้อย
ไฟไหม้กรุงศรีอยุธยา เปลวไฟพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าจนแดงฉาน
"กรุงศรีอยุธยาถูกทำลายลงอย่างย่อยยับ ด้วยฝีมือของกองทัพอังวะและคนไทยด้วยกันที่สวมรอยเข้าปล้นฆ่า และในคืนเดียวกันนั้นเอง เวลาประมาณยามสอง ก็ได้เกิดเพลิงไหม้ครั้งใหญ่ไปทั่วกรุงศรีอยุธยา โดยต้องใช้เวลาถึงสิบห้าวันกว่าเพลิงจะดับสนิท นับเป็นการสิ้นสุดของอาณาจักร ที่เจริญรุ่งเรืองและมั่งคั่งร่ำรวยที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แต่เพียงเท่านี้"
ทหารอังวะกลุ่มหนึ่ง กำลังช่วยกันแบกหามเสบียงที่หามาได้อยู่
ทหารอังวะที่เดินอยู่ข้างหน้า
ที่เท้า เห็นเชือกทำจากเถาวัลย์เส้นเล็กๆวางขึงอยู่
พอทหารคนนั้นเดินสะดุดเชือก ก็มีก้อนหินที่วางไว้เป็นกับดัก ดีดพุ่งไปชนศีรษะของทหารคนนั้น
จนล้มสลบไป
ทหารอังวะคนอื่นๆพากันตกใจ รีบวางเสบียง แล้วชักอาวุธ
แต่ก็ช้าเกินไป ขันทองลอบเข้ามาด้านหลัง แล้วใช้ไม้ในมือฟาดใส่ทหารคนหนึ่งสลบเหมือดไป
พร้อมกับแย่งดาบในมือมา
ทหารคนอื่นตกใจ กรูกันเข้าไปทำร้ายขันทอง แต่ขันทองก็ใช้ดาบในมือฟาดฟันใส่เหล่าทหารจนล้มร่วงไปทีละคนสองคน ก่อนจะจัดการทุกคนได้จนหมดสิ้น
ขันทองรีบขโมยห่อใส่เสบียงอาหาร และกระบอกใส่น้ำดื่มของพวกอังวะแล้วหลบหนีไป
ขันทองวางห่อใส่เสบียงอาหารและกระบอกใส่น้ำดื่ม ลงต่อหน้าแมงเม่าที่นั่งซึมอยู่มุมหนึ่งในป่า
"กินเสีย เราอยู่ที่นี่นานนักไม่ได้ดอก ต้องรีบไป"
แมงเม่ามองอาหารและน้ำ ที่ขันทองเตรียมมาให้ ก่อนจะน้ำตาคลอเบ้าขึ้นมา
"ห่วงเสด็จพระองค์หญิงรึ"
แมงเม่าร้องไห้พร้อมพยักหน้ารับ
ขันทองหน้าเสีย ไม่สบายใจ
"ถ้าเจ้าจะโกรธเคืองฉัน ที่ฉันไม่ช่วยเสด็จพระองค์หญิง ฉันก็เข้าใจ แต่กำลังของฉัน พอที่จะช่วย
เจ้าได้เพียงคนเดียวจริงๆ"
แมงเม่าร้องไห้ ทั้งห่วงและเสียใจเรื่องกรมขุนวิมลภักดีสุดๆ
"ฉันเข้าใจเจ้าค่ะ ถ้าหากจะมีผู้ใดที่ฉันควรโกรธเคือง ก็คือตัวฉันเอง ฉันควรจะปกป้องเสด็จให้ถึงที่สุด หรือไม่ก็ตายไปเสีย ยังดีกว่ามีลมหายใจอยู่เช่นนี้"
แมงเม่าร้องไห้สะอึกสะอื้นด้วยความเสียใจ
ขันทองตั้งท่าจะสวมกอดแมงเม่าเพื่อปลอบใจ แต่ก็ยั้งมือไว้ ไม่ยอมกอด เพราะกลัวจะเป็นการ
ฉวยโอกาสตอนแมงเม่ากำลังเสียใจ
" อยากร้องก็ร้องเถิด แต่เมื่อเจ้าร้องไห้จนพอใจแล้ว ก็กินของที่ฉันหามาให้เสีย จะได้มีกำลังเดินทางต่อ"
แมงเม่ายังคงร้องไห้สะอึกสะอื้นต่อไป
ขันทองสงสารจับใจ ได้แต่ถอนใจแล้วเดินเลี่ยงไป ปล่อยให้แมงเม่าร้องไห้ปลดปล่อยอารมณ์เศร้าสลดอยู่คนเดียวตามลำพัง
หลวงศรีมะโนราชพายเรือมาขึ้นที่ริมคลองตอนสาย บนเรือมีทรัพย์สมบัติที่หลวงศรีมะโนราชขนมาเต็มที่ เท่าที่พอจะขนมาได้
หลวงศรีมะโนราชขนของลงจากเรือ ทันใดนั้น ก็รู้สึกว่ามีคนยืนมองตนอยู่
หลวงศรีมะโนราชรีบหันกลับไป เห็นกล้าและพวกลูกน้องถืออาวุธยืนมองตนอยู่
หลวงศรีมะโนราชถอนใจโล่งอก
"ใจหายหมด นึกว่าพวกอังวะ..อ้ายไพร่ พวกเอ็งมาก็ดีแล้ว มาช่วยข้าที"
กล้ากับพวกลูกน้องหันไปมองหน้ากัน ประมาณว่า ขนาดนี้แล้ว ไอ้นี่ยังกร่างอีก
กล้ายิ้มๆ
"พระเดชพระคุณ มีกระไรให้พวกกระผมรับใช้หรือขอรับ"
"ข้าต้องการไปเมืองธนบุรี พวกเอ็งไปส่งข้าที ข้ามีรางวัลให้"
"พระเดชพระคุณจะไปขึ้นเรือที่ธนบุรีหรือขอรับ"
หลวงศรีมะโนราชนึกไม่ถึง "เอ็งรู้ด้วยรึ"
กล้ายิ้มๆ
"ดูจากการแต่งกายแล้ว พระคุณคงเป็นขันทีจากวังใน ถ้ากระผมเดาไม่ผิด พระคุณคงคิดจะไปขึ้นเรือ กลับบ้านกลับเมืองกระมังขอรับ"
หลวงศรีมะโนราชหัวเราะชอบใจ
"เฉลียวฉลาดดีนี่ ดูท่าเอ็งจะไม่ใช่ไพร่ทั่วไปเสียแล้ว"
กล้าหัวเราะเล็กน้อย แต่ทันใดนั้น กล้าก็ตบหน้าหลวงศรีมะโนราชจนล้มคว่ำ
" มึง"
แต่หลวงศรีมะโนราชยังไม่ทันทำอะไร ก็โดนกล้าเตะซ้ำจนเลือดกบปาก
พวกลูกน้องกล้า รีบเข้าไปค้นของบนเรือทันที พอเปิดดูก็เจอทรัพย์สมบัติมากมาย
ลูกน้อง 1 ตื่นเต้น
"ทอง เพชร ของดีทั้งนั้นเลยพี่กล้า"
" ข้านึกแล้วไม่มีผิด อ้ายพวกชาววัง พอกรุงแตกก็ต้องหอบสมบัติหนี ดักปล้นพวกมันระหว่างทางนี่ล่ะโว้ย ดีกว่าไปปล้นฆ่าพวกชาวบ้านเสียอีก"
หลวงศรีมะโนราชกลัวสุดๆ
"พวกมึงเป็นโจรรึ อยากได้กระไรก็เอาไปเลย แต่อย่าทำร้ายกู"
ขาดคำ กล้าก็ฟันฉับเข้าที่ต้นขาหลวงศรีมะโนราชจนเลือดพุ่ง
หลวงศรีมะโนราชร้องลั่นออกมาด้วยความเจ็บปวด
"อันที่จริง กระผมจะปล่อยพระคุณไปก็ได้ เพราะเพลานี้คงไม่มีกรมเวียงมาจับตัวพวกกระผมดอก" กล้าหัวเราะชอบใจ "แต่กระผมไม่ปล่อย"
ขาดคำ กล้าก็ปักดาบแทงเข้าไปที่ท้องศรีมะโนราชอีกทีอย่างสุดแรง
หลวงศรีมะโนราชตาเบิกกว้าง เจ็บปวดสุดทรมานจนร้องไม่ออก ได้แต่มองกล้าด้วยความหวาดกลัว
สุดชีวิต
กล้าชักดาบออก หลวงศรีมะโนราชขาดใจตายไปอย่างไม่ทันได้ร้องซักแอะ
กล้าหันไปสั่งลูกน้อง
"ขนทรัพย์สมบัติกลับไป หากวันนี้ ท่านเจ้าคุณพลเทพของกูได้ขึ้นเป็นใหญ่ กูจะเอาของพวกนี้ถวายท่านเจ้าคุณของกู"
กล้าเดินนำลูกน้องที่ช่วยกันขนสมบัติไป
ศพของหลวงศรีมะโนราช นอนตายตาเบิกโพลง สมบัติที่ตนขโมยมา ไม่ทันได้ใช้ก็ถูกปล้นต่อไปอีก
เนเมียวสีหบดีเดินอย่างองอาจมาที่ลานกว้างของค่าย หลังจากพิชิตกรุงศรีอยุธยาได้
เชลยอยู่รวมกันที่ลานกว้าง ทั้งชาย-หญิง และพวกขุนนาง ซึ่งในกลุ่มนี้มีกรมขุนวิมลภักดี เจ้าจอมอำพัน คุณท้าวโสภารวมอยู่ด้วย ทั้งสามคนตัวสั่นงันงก หวาดกลัวมาก ไม่รู้ตัวเองจะถูกฆ่าหรือไม่
เนเมียวสีหบดีดูพวกเชลยอยู่ครู่นึง ก่อนชี้ไปที่กรมขุนวิมลภักดี
"นังคนนี้แต่งตัวมีสง่าราศี เป็นผู้ใดกัน"
"ยังไม่รู้ชื่อขอรับ แต่ดูจากเสื้อผ้าน่าจะเป็นใหญ่ในฝ่ายใน" ทหาร 1 บอก
"เอ็งจงรีบสอบปากคำ หากเป็นผู้ดีมีตระกูล อย่าได้ทำร้ายเป็นอันขาด"
กรมขุนวิมลภักดี เจ้าจอมอำพัน และคุณท้าวโสภา พอได้ยินอย่างนี้ก็ดีใจ รอดตายแล้ว
"เพราะข้าจะนำคนพวกนี้ถวายให้" ยกมือขึ้นพนมเหนือหัว "พระพุทธเจ้าอยู่หัว เพื่อเป็นหลักฐานแสดงถึงพระบารมีว่าผู้มียศศักดิ์แห่งอโยธยา ต้องมาสยบแทบใต้พระบาทของเจ้าเหนือหัวแห่งอังวะ"
พวกทหารอังวะ พากันหัวเราะชอบใจ
กรมขุนวิมลภักดี เจ้าจอมอำพัน คุณท้าวโสภา พากันหน้าเสีย อับอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ที่กำลังจะถูกจับไปแสดง ไม่ต่างจากสิ่งของ หรือสัตว์หายากเลยแม้แต่น้อย
ขณะนั้นเอง ทหารก็คุมตัวเชลยอีกชุดหนึ่งมา มีทั้งชาวบ้านชาย-หญิงและขุนนางเช่นเดียวกัน
แต่ในกลุ่มนี้มีพระองค์เจ้าเชษฐ์อยู่ด้วย พระองค์เจ้าเชษฐ์มีสีหน้าหวาดกลัว ตัวสั่นงันงกตลอดเวลา
"จับมาได้อีกแล้วรึ"
ทหาร 2 ผลักพระองค์เจ้าเชษฐ์ออกมา
"มันผู้นี้บอกว่าเป็นเชื้อพระวงศ์ของอโยธยา ข้าพระเจ้าเจอตัว ขณะกำลังซ่อนอยู่ในกอสวะริมน้ำขอรับ"
กรมขุนวิมลภักดีเรียก " พระองค์ชาย"
เนเมียวสีหบดีหัวเราะลั่น สะใจมาก
"พวกเอ็งฟังไว้ เชื้อพระวงศ์อโยธยากลัวทหารอังวะ ถึงกับซ่อนองค์ในกอสวะเลยโว้ย"
พวกทหารอังวะ พากันหัวเราะ โห่ร้องชอบใจ
"เอาไปรวมกันไว้ แล้วสร้างคอกขึ้นมาขังพวกมัน แบ่งแยกชายหญิงอย่าให้ปะปนกัน ถึงเวลา ข้าจะพากลับไปอังวะ"
"ขอรับ"
พวกทหารคุมตัวพระองค์เจ้าเชษฐ์และเชลยชุดใหม่เข้าไปรวมกับชุดเก่า
เจ้าจอมอำพันร้องไห้ ทั้งเจ็บใจเสียใจ
"สร้างคอกมาขังพวกเรา มันเห็นพวกเราเป็นสัตว์หรืออย่างไร"
คุณท้าวโสภาร้องไห้ เสียใจสุดๆ
"แพ้ศึกแล้วต่อให้มันเห็นเราต่ำกว่าสัตว์ ก็จะทำอย่างไรได้เจ้าคะ"
ขณะนั้นเอง ก็มีทหารอีกคนเดินเข้ามาหาเนเมียวสีหบดี
ทหาร 3 บอก
"ท่านแม่ทัพ มีผู้แจ้งว่าเป็นพระยาพลเทพ มาขอพบขอรับ"
เนเมียวสีหบดีแกล้งพูดเสียงดังให้ได้ยินกันทั่ว
"ออกญาพลเทพผู้นี้ มีความดีความชอบต่ออังวะเรานัก หากไม่ได้ไส้ศึกที่ดีเช่นนี้ ไหนเลย
จะพิชิตอโยธยาลงได้ ข้าคงต้องไปปูนบำเหน็จเสียหน่อยแล้ว"
กรมขุนวิมลภักดี เจ้าจอมอำพัน และคุณท้าวโสภา ลอบสบตากันด้วยความตกใจ
เนเมียวสีหบดีเดินยิ้มแย้มสะใจจากไป
ขณะนั้นเอง ก็มีขุนนางอโยธยาคนหนึ่งซึ่งอยู่ในกลุ่มที่ถูกจับ ลุกขึ้นชี้หน้าพระองค์เจ้าเชษฐ์ด้วยความโมโห
"ทรงได้ยินชัดแล้วกระมังเสด็จพระองค์ชาย อ้ายออกญาพลเทพมันเป็นไส้ศึก คราที่มีการฟ้องร้อง พระองค์กลับไม่ลงโทษมัน จนอโยธยาแตกก็ยังสืบสวนคดีไม่แล้วเสร็จ ที่เป็นเช่นนี้ เพราะพระองค์รับสินบาทคาดสินบนใช่หรือไม่"
ขาดคำ คนที่โกรธแค้นก็ต่างโห่ร้อง ด่าทอพระองค์เจ้าเชษฐ์ หยิบเศษดิน เศษหินได้ก็ปาใส่วุ่นวาย
ไปหมด
พระองค์เชษฐ์กลัวมาก พยายามใช้มือบัง
"อย่าทำข้า ข้ากลัวแล้ว"
พวกกรมขุนวิมล ด้านคุณท้าวโสภา เจ้าจอมอำพันมีท่าทีหวาดกลัวกับสิ่งที่เห็น เวลาปกติ คงไม่มีใครกล้าทำแบบนี้แน่
กรมขุนวิมลภักดีพอเห็นสภาพพระองค์เจ้าเชษฐ์ แล้วก็ร้องไห้ทั้งเสียใจ ทั้งสมเพช แต่ก็ยอมรับว่าเป็นสิ่งที่สมควรเกิดขึ้นแล้วซึ่งก็รวมถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับตนเองด้วย
เนเมียวสีหบดีเดินคุยกับพระยาพลเทพเข้ากระโจมมา โดยมีขุนแผลงฤทธิ์ตามหลังมา ในขณะที่ในกระโจมมีทหารของเนเมียวสีหบดีคอยประจำการพร้อม
เนเมียวสีหบดียิ้มแย้ม
"ข้าได้ยินชื่อท่านเจ้าคุณมานานแล้ว เพิ่งได้พบหน้ากันวันนี้เอง นับเป็นวาสนาของข้านัก"
พระยาพลเทพยิ้มดีใจ
"ท่านแม่ทัพยกย่องกระผมเกินไป เป็นวาสนาของกระผมต่างหาก ที่ได้พบหน้าผู้พิชิตสามแผ่นดินอย่างท่านแม่ทัพ"
เนเมียวสีหบดีแปลกใจ " ผู้พิชิตสามแผ่นดินรึ"
พระยาพลเทพรีบประจบประแจง
"ก็ท่านแม่ทัพ เป็นผู้เอาชัยล้านนา ล้านช้าง แลอโยธยาไม่ใช่รึ คำว่าผู้พิชิตสามแผ่นดิน เหมาะสมกับท่านแล้ว"
เนเมียวสีหบดีหัวเราะชอบใจ
"ผู้พิชิตสามแผ่นดิน ข้าชอบสมญานามนี้นัก" แล้วเดินไปนั่งบนตั่ง "ท่านเจ้าคุณมาในวันนี้ คงต้องการบำเหน็จตามสัญญากระมัง"
พระยาพลเทพยิ้มๆ เขินนิดๆที่เนเมียวสีหบดีรู้ทัน แต่ความดีใจมีมากกว่า
"เช่นนั้นข้าก็จะให้ด้วยการไว้ชีวิตท่านเจ้าคุณก็แล้วกัน"
พระยาพลเทพ และขุนแผลงฤทธิ์ตกใจสุดๆ ที่เนเมียวสีหบดีพูดอย่างนี้
" ท่านแม่ทัพล้อเล่นกระมัง ตามสัญญา ฝ่ายอังวะจะต้องให้กระผมขึ้นครองอโยธยาไม่ใช่รึ"
"เพลานั้นเรายังไม่ได้ชัยเหนืออโยธยาจะให้สัญญาอย่างไรก็ได้ทั้งนั้น บัดนี้เราเอาชัยได้แล้ว คิดว่า ระหว่างตั้งท่านเจ้าคุณกับให้คนของอังวะขึ้นปกครอง ควรจะเลือกอย่างไหนมากกว่ากัน"
ขุนแผลงฤทธิ์โมโหสุดๆ
"อ้ายสับปลับ มึงหลอกพวกกู"
ขุนแผลงฤทธิ์จะชักดาบ แต่ทันใดนั้น ทหารในกระโจมก็ชักดาบออกพร้อมกัน ล้อมทั้งคู่เอาไว้
พระยาพลเทพ และขุนแผลงฤทธิ์หน้าเสีย พวกตนมีแค่สองคน ไม่มีทางรอดแน่
เนเมียวสีหบดียิ้มขำๆ
"เห็นใจข้าเถิดท่านเจ้าคุณ ข้าจำเป็นต้องทำ ด้วยท่านเป็นคนทุรยศ เนรคุณได้แม้แต่แผ่นดินเกิดแลคนที่ให้ข้าวแดงแกงร้อน แล้วข้าจะเลี้ยงท่านเจ้าคุณไว้ได้อย่างไร"
พระยาพลเทพ มีสีหน้าเจ็บแค้นใจมากที่ถูกด่าประจาน
"แต่หากเปรียบกับพระเจ้าชำนะสิบทิศบุเรงนองที่ตัดหัวพระยาจักรีแล้ว ข้าปล่อยท่านไปก็ถือว่าข้าใจดีมาก แต่ก็ไม่ต้องขอบน้ำใจข้าดอก ข้าทำบุญไม่เคยหวังสิ่งใดตอบแทนอยู่แล้ว" เนเมียวสีหบดียิ้มกวน
พระยาพลเทพขบกรามแน่นด้วยความแค้นสุดขีด แต่ตัวเองก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว
มุมหนึ่งในอโยธยา
กล้าตกใจมาก นึกไม่ถึง
"ถูกหักหลัง ทำไมเล่าขอรับ"
กล้ากำลังคุยกับพระยาพลเทพ ขุนแผลงฤทธิ์ โดยมีลูกน้องของกล้ายืนเป็นกลุ่มอยู่ใกล้ๆ
พระยาพลเทพตะคอก โมโหเลยพาลใส่
"กูจะรู้รึ อ้ายพวกอังวะลิ้นสองแฉก มันคงเห็นกูหมดประโยชน์ เลยหักหลังเอาง่ายๆ คอยดูเถิด
กูจะทำให้พวกมันสำนึก"
"ท่านเจ้าคุณจะทำอย่างไรขอรับ"
พระยาพลเทพแค้นมาก
"เพลานี้ เกิดชุมนุมต่างๆขึ้นทั่วแผ่นดิน ข้าจะอาศัยโอกาสนี้ ตั้งชุมนุมขึ้นบ้าง หรือไม่ก็สวามิภักดิ์ชุมนุมที่มีกำลังมาก แล้วค่อยหาทาง กลับมาล้างแค้นพวกอังวะน่ะสิวะ"
"เมื่อคืนเอ็งปล้นชิงมาได้เท่าใดวะอ้ายกล้า เอามาให้ท่านเจ้าคุณให้หมด ทรัพย์สมบัติพวกนี้ จำเป็นในการรวบรวมผู้คน" ขุนแผลงฤทธิ์ถาม
กล้านิ่งคิด จะเอาไงต่อไปดี
" เฉยอยู่ทำไมเล่า รีบไปเอามาซี"
กล้าตัดใจแข็งข้อ
"ไม่ขอรับ พวกอังวะแข็งแกร่งนัก กระผมไม่เชื่อว่าเราจะแก้แค้นคืนได้โดยง่าย ... กระผมไม่ให้"
พระยาพลเทพโมโหสุดๆ
"อ้ายกล้า มึงกล้าทุรยศกูรึ"
กล้ากลัวมากแต่รีบชักปืนออกมาตามสัญชาตญาณป้องกันตัว ทั้งๆที่กลัว มือไม้สั่น
พระยาพลเทพ และขุนแผลงฤทธิ์เห็นปืนก็หน้าเสียไป
กล้าเริ่มได้ใจ
"นึกไม่ถึงกระมังขอรับ ว่ากระผมจะมีปืน กระผมเพิ่งได้มาจากการปล้นเมื่อคืนนี้เอง ถ้าท่าน เจ้าคุณไม่ยอมให้กระผมไป ระหว่างกระผม ท่านขุนกับท่านเจ้าคุณ ต้องมีใครคนใดคนหนึ่งตายกันวันนี้ล่ะขอรับ"
พระยาพลเทพแค้นสุดๆ
"มึงจำไว้อ้ายกล้า สักวัน กูจะเอาคืน"
พระยาพลเทพรีบเดินชิ่งหนีเอาตัวรอดไปก่อน
ขุนแผลงฤทธิ์ชี้หน้ากล้าเป็นการอาฆาต ก่อนจะเดินตามพระยาพลเทพไป
กล้าถอนใจโล่งอก ก่อนจะกระหยิ่มยิ้มย่อง นึกภูมิใจในตัวเองที่กล้าทรยศพระยาพลเทพ
พระยากำแหง ค่อยๆลืมตาขึ้น เห็นจากตาข้างเดียว เห็นทุกอย่างเบลอๆ มุมภาพแคบกว่าปกติ ก่อนจะค่อยๆ ชัดขึ้น เป็นโบสถ์ร้างของวัดร้างแห่งหนึ่ง
พระยากำแหงค่อยๆยันตัวลุกขึ้น พระยากำแหงนุ่งโจงกระเบนตัวเดียว ที่ต้นแขนที่ถูกยิง มีผ้าพันแผลเอาไว้ลวกๆ ตามเนื้อตัวมีแผลจากการถูกฟันพอสมควร แต่ไม่ลึก เป็นแค่รอยแผลตื้นๆ หลายรอย แต่แผลที่สำคัญคือแผลที่ถูกฟันที่ตา มีผ้าพันแผลไว้ลวกๆเช่นกัน
พระยากำแหงเจ็บแผลที่ถูกฟันมาก เอามือกุมตาตัวเอง "โอ๊ย"
ขณะนั้นเอง เป้าก็ถือหม้อดินเผาปากแตกๆเข้ามาในโบสถ์ ที่ศีรษะเป้ามีรอยแผลที่ถูกทำร้าย
เป้าตกใจ รีบวางหม้อดินเผาแล้วเข้าไปประคองพระยากำแหง
"ระวังเจ้าค่ะท่านเจ้าคุณ"
เป้าประคองพระยากำแหงให้นั่งพิงกำแพงไว้
"แผลที่ดวงตาท่านเจ้าคุณสาหัสนัก อย่าเพิ่งเคลื่อนไหวมากนะเจ้าคะ"
"แม่เป้าช่วยฉันไว้รึ"
"ไม่ใช่ฉันคนเดียวดอกเจ้าค่ะ"
ทันใดนั้นเอง ขุนรักษ์เทวาก็เดินหอบฟืนเข้ามา
"ดีฉันด้วยเจ้าค่ะ ถ้าไม่มีดีฉันช่วย เอวบางร่างน้อยอย่างแม่เป้า หอบหิ้วท่านเจ้าคุณมาถึงที่นี่ไม่ได้ดอกเจ้าค่ะ"
พระยากำแหงพยายามตั้งสติ ทบทวนเรื่องราวที่เกิดขึ้น
เป้าหน้าเศร้าลง
"ฉันถูกทำร้ายจนสลบ พวกอังวะคงเข้าใจว่าฉันตายแล้วเลยรอดมาได้ พอฟื้นขึ้นมา ก็ไม่เห็นใครสักคน
นอกจากท่านเจ้าคุณที่นอนสลบอยู่ใกล้ๆกับศพพวกอังวะ ต่อมาเจอท่านขุนรักษ์เทวาเข้าเลยช่วยกันพาท่านเจ้าคุณหนีมาที่นี่ล่ะเจ้าค่ะ"
พระยากำแหงพยายามนึกทบทวน
"ฉันพอจำได้แล้ว ฉันกัดฟันสู้กับพวกมัน จนฆ่าพวกมันได้หมด แต่ก็เจ็บปวดจนสิ้นสติไปนี่เอง" ก่อนมองไปรอบๆ
"ที่นี่ไม่ใช่วังนี่ แม่เป้าพาฉันหนีออกมาได้อย่างไร"
"ก่อนสลบ แม่แมงเม่าบอกฉันว่าทางระบายน้ำใต้ดินที่ท้ายวัง สามารถออกไปนอกวังได้ ฉันกับท่านขุนเลยช่วยกันพาท่านเจ้าคุณหนีมาตามทางนั้นเจ้าค่ะ"
ขุนรักษ์เทวาเดินไปปิดประตูหน้าต่างในโบสถ์ พร้อมกับพูดไปด้วย
"คืนนั้น เกิดไฟไหม้ขึ้นทั่วกรุง ป่านฉะนี้ยังไม่ดับเลย ควันไฟคลุ้งไปทั่ว พวกอังวะจึงไม่ค่อยเข้ามาในกรุง เราหลบอยู่ในนี้ ถือว่าปลอดภัยพอควร เพียงแต่ต้องทนกลิ่นเหม็นจากควันไฟเท่านั้นเอง"
" ท่านขุน ปิดประตูหน้าต่างทำไมรึ"
"ก็หุงข้าวน่ะสิเจ้าคะ ถึงจะปลอดภัยแต่ก็ไม่ควรประมาท เกิดพวกอังวะเห็นควันไฟจากการหุงข้าวของเราเข้า จะอันตรายนะเจ้าคะ"
ขุนรักษ์เทวาเดินไปก่อฟืน ช่วยกันกับเป้าเพื่อหุงข้าว
เป้าหน้าเศร้า พูดไปก่อฟืนไป
"ผู้คนถ้าไม่หนีไป ก็ถูกอังวะจับไปจนหมด ตามบ้านเรือนเลยยังพอมีข้าวปลาที่เอาติดไปไม่ทันอยู่บ้าง พอให้พวกเราประทังไปได้เจ้าค่ะ" เป้าหน้าเศร้าหนักลงไปอีก "นี่ไม่รู้ว่าแม่แมงเม่าจะพาพวกเสด็จพระองค์หญิงหนีไปได้ หรือถูกจับไปแล้วก็ไม่รู้"
พระยากำแหงยังโกรธ
"อ้าย" รีบกลับคำ ยังไม่อยากให้คนอื่นรู้เดี๋ยวจะผิดใจกับตน แตกกันไม่ดีในภาวะแบบนี้
"ออกพระศรีพาแม่แมงเม่าหนีไปได้"
เป้ารู้ว่าเพื่อนรอดก็ยิ้มดีใจออกมา
"แต่เสด็จ เจ้าจอมอำพัน แลคุณท้าวโสภาถูกจับตัวไป"
เป้ายิ้มค้าง หน้าเจื่อนเป็นเศร้าลงไปอีก
ขุนรักษ์เทวาดีใจ
"วุ้ยตาย ออกพระศรีหนีรอดหรือนี่ แหม ถ้าภายหน้าได้เจอกันอีกก็คงดี"
พระยากำแหงขบกรามแน่น สีหน้าเคียดแค้นชิงชัง
" ใช่ ถ้าได้พบกันอีกก็คงดี"
ในป่าตอนหัวค่ำ...แมงเม่าอยู่ในชุดผู้ชายแบบชาวบ้าน ตัวหลวมโคร่ง หน้าตาก็มอมแมมเพราะไม่ได้อาบน้ำเลยตลอดเวลาที่อยู่ในป่า แมงเม่ากำลังซ้อมการต่อสู้เพื่อไว้ป้องกันตัวเองกับขันทองอยู่
ขันทองหวดไม้ใส่แมงเม่า แม้จะไม่ใช่การหวดจริงๆ แต่ก็เล่นงานแบบไม่ให้สุ้มให้เสียง
แมงเม่าตกใจรีบก้มหลบ ขันทองก็ตามตีต่อ แต่แมงเม่าก็หลบได้หมด
ก่อนที่แมงเม่าจะฉวยโอกาสเตะเข้าที่กล่องดวงใจขันทอง แต่ขันทองรู้อยู่แล้ว ก็เลยหลบได้อย่างง่ายดาย ก่อนจะดึงแมงเม่าที่เตะพลาดมาล็อกคอไว้จากทางด้านหลัง
แมงเม่าโวยวาย
"ขี้โกง ตามที่สอนเอาไว้ ออกพระต้องโดนฉันเตะจุดตายนี่เจ้าคะ"
ขันทองขำๆ
"ขืนโดนเจ้าเตะ ฉันได้ตายจริงๆกันพอดี"
แมงเม่ายังเคืองไม่หาย
"เมื่อครู่ออกพระก็ตีฉันโดยไม่บอกก่อน มันไม่ถูกนะเจ้าคะ"
แมงเม่าขัดขืนจะดิ้นออกแต่ขันทองล็อคเอาไว้ไม่ปล่อย
"ตอนเด็กฉันก็ถูกฝึกมาอย่างนี้เช่นกัน เพลาสู้จริง ศัตรูมันก็ไม่เตือนเจ้าก่อนดอก"
" ก่อนเข้าวัง ออกพระบวชมาก่อนไม่ใช่หรือเจ้าคะ หรือในวัด เค้าสอนเช่นนี้"
"ไม่ใช่ในวัดดอก" ขันทองยิ้มบางๆอย่างสุขใจ เมื่อนึกถึงความหลังกับพ่อขึ้นมา
เสือขุนทองกำลังฝึกซ้อมเพลงดาบกับลูกชาย ขันทองยังเด็กมาก ขุนทองก็เพียงแต่ซ้อมท่าทางให้ไม่เอาจริง
ขันทองก็สนุกตามประสาเด็ก เห็นพ่อแกล้งแพ้ก็ได้ใจรุกไล่ยกใหญ่
ขุนทองจะฉวยโอกาสจับตัวลูก แล้วอุ้มขึ้นมากอด หอมแก้มด้วยความรักใคร่
ขันทองหัวเราะชอบใจ
ขุนทองยิ้มแย้ม พูดด้วยความเอ็นดู
"อ้ายตัวเล็ก เรียนวิชาดาบได้ไม่เท่าใด คิดรุกไล่เสือขุนทองเชียวรึ อย่างนี้ต้องลงโทษเสียแล้ว"
ขุนทองแกล้งเอาหนวดเคราถูกับหน้าลูก
ขันทองร้องลั่นเพราะจั๊กจี๊ แล้วหัวเราะชอบใจ
ขุนทองวางลูกลง
"ไป พ่อจะสอนเจ้าว่าอยู่ในป่า ต้องใช้ชีวิตอย่างไร กระไรกินได้ กระไรกินไม่ได้ พ่อเป็นโจร ไม่มีกระไรจะสอน ก็มีแต่วิชาพวกนี้ล่ะ"
ขุนทองจูงมือขันทองไปกับตน สองพ่อลูกเดินคุยกันสอนกันไปอย่างยิ้มแย้มมีความสุข
ขันทองยังล็อกคอแมงเม่าจากทางด้านหลังอยู่ แต่ขันทองยิ้มบางๆด้วยความสุขใจ เมื่อนึกถึงพ่อ
แมงเม่าเหล่ๆขันทอง ระแวง
"ยิ้มกระไรเจ้าคะ"
ขันทองตกใจ "ไม่มีกระไร ไม่เกี่ยวกับเจ้าดอกน่ะ"
แมงเม่าระแวง
"แน่หรือเจ้าคะ คงไม่ได้คิดกระไรพิกลดอกนะเจ้าคะ"
"เจ้าอย่าหาเรื่องฉันหน่อยเลย เอ้า ถูกจับตัวอยู่อย่างนี้ จะแก้อย่างไร ฉันสอนไปหมดแล้ว รีบแก้มา"
ขาดคำ แมงเม่าก็ปล่อยโฮ ร้องไห้ออกมาทันที
ขันทองตกใจ "เป็นกระไรไป เจ็บรึ"
ขาดคำ แมงเม่าก็กระทืบปลายเท้าขันทองทันที แมงเม่าผละออกมา แล้วดึงขันทองมาทุ่ม
จนขันทองล้มลงฟาดกับพื้น จุกจนลุกไม่ขึ้น
" ฉันแก้ได้แล้ว เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ น้ำตาผู้หญิงพอจะนับเป็นอาวุธได้หรือไม่เจ้าคะ"
ขันทองจุกมาก
"ใช้ได้กับฉันเท่านั้นล่ะ พอๆนอนๆ.. เก่งแล้ว ฉันไม่ต้องสอนแล้ว"
แมงเม่าตกใจรีบมองหาของบนพื้นก่อนจะหยิบกิ่งไม้มาขีดลากเส้นบนพื้น เป็นการแบ่งเขตแดนระหว่างตนกับขันทอง
ขันทองงงๆ ตั้งศอกยันพื้นมองดู "ทำกระไรของเจ้า"
"หญิง ชาย ไม่ควรใกล้ชิดกันเจ้าค่ะ นับแต่นี้ ส่วนนั้นเป็นของออกพระ ส่วนนี้เป็นของฉัน ออกพระห้ามข้ามเส้นมาเป็นอันขาด"
"ฉันกับเจ้าใกล้กันมาไม่รู้เท่าใดแล้ว เคยค้างอ้างแรมกันในป่าเสียด้วยซ้ำ"
"แต่ฉันไม่รู้ ว่าออกพระเป็นชาย ไม่นับเจ้าค่ะ"
"เมื่อคืน เจ้าก็นอนอยู่กับฉัน"
"ฉันกำลังเสียใจ จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ไม่นับเจ้าค่ะ"
ขันทองประชด
"การไม่ถือเหตุผล ก็เป็นอาวุธอย่างหนึ่งของผู้หญิงกระมัง"
แมงเม่าเชิ่ดใส่ไม่สนใจ เดินไปนอนข้างกองไฟอุ่นๆ อย่างสบายใจ
ขันทองมองเส้นที่ขีด แล้วยิ้มๆอย่างเอ็นดูแมงเม่า ก่อนจะทิ้งตัวนอนพักลง แล้วเอามือก่ายหน้าผาก สีหน้าเริ่มเคร่งเครียด ถอนใจเฮือกใหญ่ด้วยความหนักใจเรื่องบ้านเมือง
อึดใจขันทองก็ได้ยินเสียงสะอื้น...เขาหันไปมองทางแมงเม่า เธอก็คงเศร้าใจเรื่องบ้านเมืองไม่ต่างจากตน ความเป็นหญิงเลยร้องไห้สะอึกสะอื้นออกมา แต่แมงเม่าก็พยายามสะกดกลั้นความรู้สึกเอาไว้ จนแผ่นหลังสั่นสะท้านเป็นระยะๆ
ขันทองเห็นใจและเข้าใจความรู้สึก อยากจะเข้าไปกอดปลอบประโลม แต่ก็ทำไม่ได้ เขาได้แต่มองให้กำลังใจหญิงสาวที่ตนรักอยู่ห่างๆ
ผ่านมา 3-4 วัน
ชาวบ้านคนหนึ่งวิ่งตะโกนโวยวาย เข้ามาหากลุ่มชาวบ้านที่ล้อมวงกินข้าวกันอยู่ในตอนเช้าที่ชายป่า ในกลุ่มชาวบ้านนี้มีเยื้อนอยู่ด้วย
ชาวบ้าน 1 โวยวายลั่น หวาดกลัว
"ซ่อนตัวเร็วเข้า พวกอังวะมาแล้ว"
กลุ่มชาวบ้านตกใจ รีบเก็บอาหารที่กินกันอยู่ แล้วซ่อนตัวอยู่ตามพงหญ้า เพื่อรอให้อังวะผ่านไป
เยื้อนซ่อนตัวอยู่ในพงหญ้า สายตาคอยดูพวกทหารอังวะตลอดเวลา และเห็นเนเมียวสีหบดีขี่ม้าเหยาะๆ โดยมีทหารกลุ่มหนึ่งเดินตามมา
ชาวบ้าน 2 ชะเง้อมองอังวะ กลัวมาก
"แม่ทัพมาเองเชียวหรือนี่"
เยื้อนสนใจขึ้นมาทันที "ลุงว่ากระไรนะ"
"ก็คนขี่ม้านั่นไง เนเมียวสีหบดี แม่ทัพใหญ่ของอังวะ ข้าเคยเห็นมาครั้งหนึ่ง จำไม่ผิดดอก"
ชาวบ้าน 3 กลัวสุดๆ
"อีหนู เอ็งต้องคอยหลบไว้ อย่าออกไปให้มันเห็นเทียวนา พวกอังวะมันโหดเหี้ยมนัก" ป้าคนหนึ่งว่า
เยื้อนยิ้มเจ้าเล่ห์
"โหดเหี้ยม ฉันไม่กลัวดอกป้า ฉันกลัวแต่ไม่ใช่ชายเท่านั้น"
ขาดคำ เยื้อนก็วิ่งออกจากที่ซ่อน ไปดักหน้าขบวนของเนเมียวสีหบดีทันที
ท่ามกลางความตกใจของชาวบ้านทุกคน แต่ก็ไม่มีใครกล้าขวางเยื้อนเพราะกลัวอังวะเห็น
เนเมียวสีหบดีเห็นเยื้อนออกมา ก็หยุดม้าไว้
เนเมียวสีหบดีตะคอก
"เฮ้ย มึงเป็นใครวะ กล้าขวางหน้ากู อยากตายรึ" หันไปสั่งทหาร "จับมัน"
พวกทหารจะเข้าไปจับเยื้อน แต่เยื้อนกลับเดินเข้ามาหาเนเมียวสีหบดีเอง
เยื้อนตีหน้าเศร้า เดินกรีดกรายเข้าหา
"อีฉันมีเรื่องเดือดร้อน อยากจะขอพึ่งใบบุญท่านแม่ทัพเจ้าค่ะ"
เยื้อนคุกเข่าต่อหน้าเนเมียวสีหบดี
"ท่านแม่ทัพโปรดเมตตาด้วยนะเจ้าคะ"
เยื้อนส่งสายตาเจ้าชู้เป็นประกาย
เนเมียวสีหบดีมองสำรวจเยื้อนอย่างละเอียด ความที่เยื้อนเป็นสาวสวยและผิวพรรณดี ดูมีเสน่ห์ยั่วยวน ประกอบกับเนเมียวสีหบดีทำสงครามมานาน ไม่ได้ใกล้ชิดผู้หญิง ก็มีท่าทีสนใจเยื้อนอย่างเห็นได้ชัด
ทหาร 1เข้าไปพูดใกล้ๆ
"นังคนนี้จริตยั่วยวนนัก แลยังเสนอตัวมาเองอีก ปล่อยไปก็เสียเชิงชายนะขอรับ"
เนเมียวสีหบดี ลังเล พูดเบาๆ
"มันผิดกฎกองทัพ ข้าเป็นแม่ทัพ จะทำเสียเองได้อย่างไร"
ทหาร 1พูดเบาๆ
"อโยธยาแตกแล้ว ถือว่าสิ้นศึก ไม่เป็นกระไรดอกขอรับ"
เนเมียวสีหบดีลังเล หันไปมองเยื้อนอีกครั้ง
เยื้อนสู้ตาพร้อมส่งสายตายั่วยวน
เนเมียวสีหบดีทนไม่ไหว ตัดใจ
"เมื่อเอ็งมีเรื่องเดือดร้อน ข้าก็จะช่วยเอาบุญก็แล้วกัน"
เยื้อนยิ้มด้วยความมั่นใจ นอกจากขันทองแล้วไม่เคยมีผู้ชายคนไหนปฏิเสธตน เยื้อนได้แต่ก้มลงกราบเนเมียวสีหบดีอย่างยอมทอดกาย
ทหารอังวะกำลังเอาข้าวปลาอาหารห่อใบตอง มาแจกให้เชลยผู้หญิงที่ถูกกั้นอยู่ในคอก คอกนี้มีแต่ผู้หญิงเท่านั้น พวกชาวบ้านต่างแย่งอาหารกันจ้าล่ะหวั่น ทั้งผลักทั้งดัน ด่าทอกันวุ่นวายไปหมด
คุณท้าวโสภาพยายามจะเบียดเข้าไปเอาข้าว แต่ก็เบียดไม่ไหว คุณท้าวโสภาจะแทรกอีก ก็โดนเบียด
กลับมาอีก
คุณท้าวโสภาพยายามอ้อนวอน
"ขอเถิดแม่ ฉันจะเอาข้าวปลาไปถวายเสด็จพระองค์หญิงกับให้เจ้าจอมท่าน แม่เมตตาให้ฉันสักหน่อยเถิด"
ขาดคำ ผู้หญิงคนหนึ่งก็หันไปตบคุณท้าวโสภาจนล้มคว่ำไป คุณโสภากรีดร้องด้วยความตกใจ
และเจ็บปวด
กรมขุนวิมลภักดี และเจ้าจอมอำพันกำลังคุยกันอยู่ พอได้ยินเสียงก็หันไปดูทันทีด้วยความตกใจ
ผู้หญิง 1 ตะคอกใส่
"เสด็จกระไร กูไม่สนโว้ย สิ้นบ้านสิ้นเมืองแล้ว ขืนวางอำนาจมากนัก กูจะตบให้ปากฉีกเลย"
กรมขุนวิมลภักดี และเจ้าจอมอำพัน รีบวิ่งเข้าไปหาคุณท้าวโสภาทันที
เจ้าจอมอำพันรีบไกล่เกลี่ย
"ขอโทษเถิดจ้ะ คนของฉันพูดตามความเคยชิน ไม่ได้คิดอวดเบ่งเลย อย่าถือโทษกันเลยนะจ๊ะ"
ผู้หญิง 1 สะบัดหน้าเดินไปแย่งห่อข้าวต่อ
กรมขุนวิมลภักดี กับเจ้าจอมอำพันช่วยกันประคองคุณท้าวโสภาที่ร้องไห้สะอึกสะอื้นเลี่ยงออกมา
" เป็นอย่างไรบ้างคุณท้าว" กรมขุนวิมลภักดีถาม
"ไม่เป็นกระไรมากดอกเพคะ แต่หม่อมฉันเจ็บใจที่โดนหยามเหยียดถึงเพียงนี้"
กรมขุนวิมลภักดีปลงตก
"ฉันเข้าใจ แต่ก็อยากให้คุณท้าวทำใจให้ได้ ยศศักดิ์พวกนี้มีได้ก็ต่อเมื่อมีคนนับถือกราบไหว้ แต่เพลานี้ เราถูกขังอยู่ในคอกเดียวกันกับเค้า แล้วจะให้เค้าเคารพยำเกรงเราเหมือนแต่ก่อนได้อย่างไร"
คุณท้าวร้องไห้สะอึกสะอื้น แม้จะรู้ว่าเป็นความจริง แต่ก็เจ็บปวดเกินกว่าจะรับได้
เจ้าจอมอำพันโอบคุณท้าวเป็นการปลอบใจ
"คุณท้าวไม่ต้องไปเอาอาหารแล้ว ฉันไปเอาเอง อยู่ถวายรับใช้เถิด"
เจ้าจอมอำพันเดินเลี่ยงไปเอาอาหาร
กรมขุนวิมลภักดีประคองคุณท้าวโสภาที่ร้องไห้นั่งลง
" ถ้าไม่ติดว่าต้องอยู่ถวายความจงรักภักดีต่อเสด็จ หม่อมฉันอยากจะตายไปเสียประเดี๋ยวนี้" พลางคิดถึงเป้าจับใจ "ยิ่งไม่มีเป้าแล้ว หม่อมฉันก็ไม่รู้จะอยู่ไปทำไมจริงๆเพคะ"
คุณท้าวโสภาร้องไห้อีก
กรมขุนวิมลภักดีได้แต่ลูบหลังลูบไหล่ปลอบคุณท้าวโสภาด้วยความสงสารจับใจ
เป้ากำลังใช้ชายสไบของตนซับเหงื่อให้พระยากำแหงที่ไข้ขึ้นสูง ด้วยความร้อนใจ เป้าเป็นห่วง
พระยากำแหงจะเป็นอะไรไปอีกคน
ขุนรักษ์เทวาถือหม้อใส่น้ำใบหนึ่งเข้ามา
" ฉันเอาน้ำมาให้แล้ว จะเอาอย่างไรต่อดีแม่เป้า"
เป้าฉีกสไบของตนเองออก แล้วใช้ผ้าที่ฉีกออกจุ่มน้ำที่รักษ์เทวาเอามาให้ แล้วเช็ดตัวให้พระยากำแหง
"ฉันจะอยู่เช็ดตัวให้ทานเจ้าคุณ จนกว่าไข้จะลดเองเจ้าค่ะ ออกขุนไปทำอย่างอื่นเถิด"
ขุนรักษ์เทวาเป็นห่วง หนักใจ
"แผลที่ดวงตาท่านเจ้าคุณกำเริบหนัก เช็ดตัวอย่างเดียวเห็นจะเอาไม่อยู่
"เพลานี้ไม่มีหยูกยา ก็ทำได้แค่นี้ล่ะเจ้าค่ะ" ก่อนหันไปมองพระยากำแหงด้วยสีหน้าเคร่งขรึม แววตามุ่งมั่นเอาจริง "แต่ฉันก็จะทำให้ถึงที่สุด เพราะฉันจะไม่ยอมให้ใครต้องตายต่อหน้าฉันอีกแล้ว"
เป้าเช็ดตัวพระยากำแหง ตามซอกคอ ข้อพับต่างๆเพื่อระบายความร้อน
พระยากำแหงค่อยๆ เผยอตาข้างที่ไม่บอดลอบมองเป้าด้วยความซาบซึ้งใจ แม้ตนจะไข้ขึ้นสูง
แต่ก็รับรู้ถึงความดีของเป้าทุกอย่าง
พระจันทร์บนท้องฟ้ายามค่ำคืน
พระยากำแหงกระย่องกระแย่งเดินออกมานอกโบสถ์ เพื่อมาหาเป้าที่กำลังนั่งผิงไฟอยู่
เป้าเหลือบมาเห็นพระยากำแหง ตกใจ รีบเข้าไปหาทันที
"ท่านเจ้าคุณ ออกมาทำไมกันเจ้าคะ ทำไมไม่พักอยู่ข้างใน"
พระยากำแหง ไข้ลดแล้วแต่ยังเพลียอยู่
"ฉันดีขึ้นแล้ว ให้ฉันเดินบ้างเถิดแม่เป้า นอนมาแต่เมื่อคืนจนรำคาญตัวเองเต็มทนแล้ว"
เป้าหน้าบึ้งตึง
"ตัวเพิ่งจะเย็น ก็เที่ยวลุกเดินเหิน ประเดี๋ยวไข้ก็กลับดอกเจ้าค่ะ"
เป้าประคองพระยากำแหงมานั่งข้างกองไฟ
"ท่านขุนเล่า"
"ไปจับกบเจ้าค่ะ ได้ยินเสียงกบร้องอยู่ริมหนองก็เลยไปจับกบมาเป็นอาหารวันพรุ่ง"
กำแหงหน้าเศร้าลง "นี่ถ้าฉันไม่ได้ท่านขุนรักษ์เทวากับแม่เป้าคอยดูแล ฉันคงตายไปเสียนานแล้ว บุญคุณครานี้ มิรู้ว่าคนพิการตาบอดอย่างฉันจะทดแทนได้หรือไม่ แต่ฉันขอจดจำไว้ไม่มีวันลืม"
เป้ายิ้มบางๆ
"อย่าพูดเช่นนั้นเลยเจ้าค่ะ เราก็เหมือนเป็นเพื่อนร่วมตายกันแล้ว มีแต่ต้องช่วยเหลือเกื้อกูลกันเท่านั้น จึงจะผ่านความทุกข์ยากสาหัสครานี้ไปได้"
พระยากำแหงยิ้มบางๆ ประทับใจในตัวเป้ามากขึ้นเรื่อยๆ
"ฉันรู้จักแม่เป้ามาก็นานโขอยู่ แต่ไม่คิดเลย ว่าแม่จะเข้มแข็งถึงเพียงนี้"
"ฉันไม่ใช่คนเข้มแข็งดอกเจ้าค่ะ เพียงแต่เหตุวิกฤติทำให้ฉันอ่อนแอไม่ได้เท่านั้น" เป้ายิ้มบางๆเมื่อนึกถึงแมงเม่า "หญิงที่เข้มแข็งจริง คือแม่แมงเม่าต่างหากเจ้าคะ"
พระยากำแหงฉุกใจคิด
"แม่แมงเม่า จริงซี ฉันลืมแม่แมงเม่าไปเสียสนิท" แล้วอดแปลกใจตัวเอง "เป็นอย่างนี้ได้อย่างไร"
เป้าชำเลืองมองไปที่พระยากำแหงสีหน้างงๆ พูดอะไร
พระยากำแหงเหลือบตามาสบตากับเป้าพอดี
ทั้งคู่สบตากันเล็กน้อย
เป้ารู้สึกได้ถึงความเปลี่ยนแปลงบางอย่างในสายตาที่เหลือเพียงข้างเดียวของพระยากำแหง
เป้าต้องรีบหลบตามองไปที่กองไฟเบื้องหน้าแทน
พระยากำแหงได้แต่อมยิ้มออกมาบางๆ ก่อนจะเงยหน้ามองไปไกลๆแล้วทอดถอนใจยาวออกมาอย่างสิ้นหวังกับบ้านเมือง
เวลาเช้าวันใหม่...ขันทองเดินนำแมงเม่าอยู่ในป่า แมงเม่าอยู่ในชุดผู้ชาย เดินตามขันทอง
อย่างยากลำบาก แต่ก็ไม่บ่น ยังคงตามไม่ลดละ
ขันทองมีดาบที่เอามาจากพวกอังวะติดมาด้วย และเปลี่ยนชุดเป็นชุดชาวบ้านแล้ว
ขันทองเห็นท่าทางแมงเม่าเหน็ดเหนื่อย
"พักสักครู่ดีหรือไม่"
แมงเม่าแข็งใจสู้ต่อ
"ไม่เจ้าค่ะ ฉันอยากไปถึงเมืองระยองให้เร็วที่สุด"
"อย่างไรก็เร็วมากนักไม่ได้ดอก เราต้องคอยหลบพวกอังวะ แลชุมนุมโจรต่างๆ อีก"
ขันทองได้ยินเสียงผิดปกติ ชักดาบออกมาเตรียมพร้อมทันที
แมงเม่าตกใจ แต่ก็เตรียมพร้อมทันที
ขณะนั้นเอง ก็มีชาวบ้านผู้ชาย 5-6 คน ท่าทางหวาดกลัว ออกมาจากที่ซ่อนในพุ่มไม้ มองขันทอง
กับแมงเม่าด้วยท่าทางกลัวๆ
ผ่านเวลาเล็กน้อย หน้ากระท่อมหลังหนึ่งในหมู่บ้านเล็กๆ
ขันทอง และแมงเม่า กำลังนั่งล้อมวงคุยกับชาวบ้านคนที่เหลืออยู่ ด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสเป็นกันเอง ขันทองวางดาบไว้ใกล้ๆตัว
ชาวบ้าน 1"ชาวบ้านละแวกนี้หนีไปหมดแล้ว เหลือแต่พวกฉันนี่ล่ะ ที่คอยหลบๆซ่อนๆ เอาตัวรอดไปวันๆ"
"ฉันสองคน ตั้งใจจะไปสมทบกับพระยาตากที่เมืองระยอง พวกพี่ชายไปกับฉันดีหรือไม่ จะได้หลบอังวะแลเป็น กำลังให้ท่านเจ้าคุณด้วย"
ชาวบ้าน 2 บอก
"ไม่ล่ะพ่อ พวกเราสู้ใครเขาไม่เป็น ขออยู่อย่างนี้ดีกว่า แผ่นดินสงบเมื่อใด ค่อยกลับมาทำไร่ไถนา"
ขันทองยิ้มรับไม่ว่าอะไร เข้าใจว่าต่างจิตต่างใจ บังคับไม่ได้
ขณะนั้นเอง ชาวบ้านอีกคนก็ยกถาดใส่หม้อข้าวต้มกับอาหารแห้งมา
ชาวบ้าน 3บอก "พ่อคุณแม่คุณ กินก่อน จะได้มีเรี่ยวแรงเดินทางต่อ"
แมงเม่ายิ้มแย้ม "ขอบน้ำใจจ้ะ"
ชาวบ้าน 3 วางถาดลง แล้วตักข้าวต้มใส่ถ้วยแล้วยื่นให้ขันทองรับไป
ขันทองรับข้าวต้มมา จังหวะนั้นเอง ก็มีจิ้งจกตัวหนึ่ง หล่นลงไปในชามข้าวต้มขันทอง
แมงเม่าตกใจผงะและร้องออกมาเล็กน้อยตามประสาผู้หญิง
ชาวบ้าน 1ตกใจที่เห็นจิ้งจกตกลงไป "อุบ๊ะ เอาใหม่ๆ"
ขันทองเกรงใจ
"ไม่เป็นกระไรจ้ะ เพลานี้เสบียงอาหารหายากนักอย่าทิ้งเลย แค่เอาจิ้งจกออกก็พอ ฉันกินได้"
ขันทองใช้ช้อนตักจิ้งจกออกจากชามข้าวต้ม แล้ว เห็นจิ้งจกนอนตายอยู่ในช้อนข้าวต้ม
ขันทองตกใจสุดๆ เหลือบไปเห็นแมงเม่ากำลังจะกินข้าวต้ม
ขันทองรีบปัดชามข้าวต้มแมงเม่าทิ้งทันที "อย่ากิน"
ขันทองปัดชามข้าวหกได้ทัน
ชาวบ้าน 3 ที่อยู่ใกล้ก็เข้าไปล็อกคอแมงเม่าไว้ แล้วดึงตัวแมงเม่าออกมาจากกระท่อม
แมงเม่าตกใจทำอะไรไม่ถูก ต้องไปตามแรงลากก่อนจะหายใจไม่ออก
ในขณะที่ชาวบ้านอีกคน รีบขโมยดาบที่อยู่ใกล้ตัวขันทองมาอย่างรวดเร็ว ส่วนชาวบ้านที่เหลือ
ก็ชักมีดออกมาล้อมขันทองเอาไว้
ขันทองตั้งการ์ดพร้อมต่อสู้
อ่านต่อตอนที่ 26