หนึ่งด้าวฟ้าเดียว ตอนที่ 23
บทประพันธ์ : วรรณวรรธน์
บทโทรทัศน์ : เอกลิขิต
เจ้าจอมเพ็ญตีหน้าเศร้าเล่าความเท็จเป็นฉาก ๆ ขณะมามาคุยกับกรมขุนวิมลภักดีถึงที่ตำหนัก โดยมีขันทองนั่งพับเพียบอยู่ใกล้ๆ กับเจ้าของตำหนัก ส่วนคุณท้าวโสภานั่งพับเพียบอยู่ใกล้ๆเจ้าจอมอำพันอีกที
“หม่อมฉันเสียใจเหลือเกินเพคะ ที่ข้าเก่าเต่าเลี้ยงอย่างนังเลื่อนมันไม่ซื่อ กระทำการชั่วช้าเช่นนี้” พูดพลางยกมือขึ้นไหว้ “ขอเสด็จพระองค์หญิงโปรดประทานอภัยให้หม่อมฉันด้วยเถิดเพคะ”
กรมขุนวิมลภักดีโบกมือห้าม “ฉันจะตำหนิแม่เพ็ญได้อย่างไร คนผิด หาใช่แม่เพ็ญไม่ อย่ากังวลใจไปเลย”
คุณท้าวโสภานึกหมั่นไส้ เลยจงใจพูดแขวะ “แหม นังเลื่อนตายไปจะครบสี่เดือนอยู่แล้วกระมัง มาเสียใจเอาป่านฉะนี้ ไม่ช้าไปหน่อยหรือจ๊ะแม่เพ็ญ”
ฝ่ายถูกแขวะเล่นบทบีบน้ำตาทันที “ใช่ว่าที่ผ่านมา ฉันไม่เสียใจนะจ๊ะแม่อำพัน แต่ฉันอับอายนักที่เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น จนไม่กล้าสู้หน้าผู้ใด กว่าจะทำใจจนกล้าออกจากตำหนักได้ ก็ล่วงเลยมานานเดือนเช่นนี้”
อีกฝ่ายยิ้มแบบรู้ทัน “ก็ยังดีนะเจ้าคะ ที่ยังรู้ตัว นึกว่าเจ้าจอมท่าน...”
ครั้นเหลือบไปเห็นกรมขุนวิมลภักดีปรายตาแล้วถลึงมองเป็นเชิงให้หยุดพูด คุณท้าวโสภาเลจำยต้องสงบปาก
ขณะนั้นเอง แมงเม่า และเป้า ก็ยกของว่างเข้ามา ก่อนจะคุกเข่าลง
“ของว่างเพคะ”
เจ้าของตำหนักหันไปเชิญชวน “แม่เพ็ญ ลองชิมดูซี”
“ขอบพระทัยเพคะ”
จากนั้นแมงเม่าก็ยกสำรับของว่างให้ขันทอง ที่รับไปก่อนจะหยิบยกขึ้น เพื่อให้เจ้าจอมเพ็ญใช้ส้อมเล็กๆ จิ้ม พลางมองหน้าอย่างนึกชัง โกรธแค้นจนจับใจ หลังจากรู้ความจริงจากเลื่อน ยิ่งเห็นเจ้าจอมเพ็ญชิมอาหารอย่างมีความสุขก็ยิ่งเกลียดหนักขึ้นเรื่อยๆ ในหัวคิดถึงแต่เรื่องที่เลื่อนเล่าตลอดเวลา
ภาพเหตุการณ์ครั้งที่แม่ขาดใจตายคามือเจ้าจอมเพ็ญ ผุดขึ้นมา ขันทองขบกรามแน่น มือที่ถือจานใส่ของว่างอยู่สั่นเทาด้วยความแค้น
เจ้าจอมเพ็ญสังเกตเห็น ก็เริ่มแปลกใจ “ เป็นกระไรไปรึ ออกพระศรี”
ขันทองตกใจ เลยเผลอทำจานของว่างตกพื้น ทุกคนพากันมองขันทองอย่างงุนงงไปหมด
“ ขอประทานโทษเจ้าค่ะ” ขันทองพยายามกลบเกลื่อนพิรุธ “ ดีฉันไม่ใคร่สบาย หูตาพร่ามัว มือไม้ไม่ค่อยมีแรงเจ้าค่ะ”
ดูเหมือนว่าเจ้าจอมเพ็ญจะไม่ติดใจกระไร “ช่างเถิด ไม่เป็นกระไรดอก”
เป้ารีบเสนอตัว “ประเดี๋ยวฉันเก็บกวาด ทำความสะอาดให้เจ้าค่ะออกพระ”
พูดจบก็คลานเข่าเลี่ยงไป พร้อมกับที่แมงเม่าถามอย่างเป็นห่วง
“ ไหวหรือไม่เจ้าคะออกพระ มีกระไรให้ฉันช่วยหรือไม่”
ขันทองฝืนยิ้ม “ไม่เป็นไร” พลางหลบสายตา พยายามควบคุมอารมณ์ ไม่ให้เกิดพิรุธ
หลังเหตุการณ์เมื่อครู่ ขันทองก็ปลีกตัวออกมา ก่อนจะชกอัดต้นไม้ระบายอารมณ์ด้วยความเจ็บใจ
“ คนฆ่าแม่อยู่ตรงหน้า กลับต้องรับใช้มันอีก”
พลางเงื้อหมัดตั้งท่าจะอัดใส่ต้นไม้ซ้ำอีกหมัด ทว่ากลับมีมือข้างหนึ่งยื่นมาจับบ่าไว้จากทางด้านหลัง ขันทองตกใจสุดๆ หันกลับไปบีบคอคนที่อยู่ด้านหลังตามสัญชาตญาณทันที แต่ปรากฏว่าคนๆนั้นกลับเป็นขุนรักษ์เทวา ที่ร้องโวยวายลั่นด้วยความตกใจเพราะถูกบีบคอ
“ว้ายๆๆ”
ขันทองตั้งสติได้ รีบปล่อยมือ “ท่านขุนเองรึ มาไม่ให้สุ้มให้เสียง ฉันตกใจหมด”
ขุนรักษ์เทวาลำสักเล็กน้อย ก่อนตวาดใส่ “ดีฉันต่างหากที่ควรตกใจ เห็นว่ากำลังทุบตีต้นไม้ ดีฉันก็ห่วงว่าเป็นกระไร แต่จู่ๆ กลับมาบีบคอกัน จะฆ่ากันรึเจ้าคะ”
“ขออภัยเถิดท่านขุน ฉันมีเรื่องคับแค้น จึงระบายความอัดอั้นตันใจเท่านั้น อย่าถือโทษโกรธเลย” พูดพลางก็รีบเปลี่ยนเรื่อง “เอ่อ แล้วท่านขุนมีกิจธุระใดกับฉันรึ”
ขุนรักษ์เทวามองค้อนงอนๆ “ก็มีข่าวดีมาบอกน่ะซีเจ้าคะ แต่ถ้ารู้ว่าจะโดนเช่นนี้ ไม่มาเสียดีกว่า”
“ข่าวดี เพลานี้ยังมีข่าวดีอีกรึ” ขันทองย้อนถาม
“มีซีเจ้าคะ พวกทหารฝ่ายหน้าแจ้งมาว่ามังมหานรธา แม่ทัพอังวะกำลังล้มป่วยหนัก มิแน่ ว่าอาจจะถอนทัพกลับเหมือนคราศึกพระเจ้าอลองพญาก็เป็นได้”
ขันทองครุ่นคิดหนัก ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้
ทางด้านเนเมียวสีหบดีก็เดินปราดเข้าไปในกระโจมค่ายมังมหานรธา ขณะที่เจ้าของกระโจมนอนพักอยู่บนตั่ง สีหน้าซีดเซียว อ่อนเพลีย ไข้ขึ้นสูง ทว่ายังมีสติครบถ้วน
ฝ่ายที่เดินเข้าไปหาพยายามปั้นยิ้ม “เป็นอย่างไรบ้างท่านแม่ทัพ”
“คงต้องทำให้ท่านผิดหวัง เพราะข้ายังไม่ตาย”
เนเมียวสีหบดีทำเป็นหูทวนลม แล้วหย่อนตัวนั่งลงใกล้ๆ กัน
“ข้ารู้ ว่าท่านไม่ชอบข้า แลที่ผ่านมา เราสองคนก็แย่งความดีความชอบกันมาโดยตลอด แต่ข้าก็นับถือในตัวท่านนัก นอกจากท่านอะแซหวุ่นกี้แล้ว จะหาผู้ใดในแผ่นดินพุกาม ชาญศึกเท่าท่านเป็นไม่มี”
มังมหานรธายิ้มแบบรู้ทัน “ท่านเอง พิชิตทั้งล้านนา ล้านช้าง แลบังคับบัญชาทหารเด็ดขาด หาได้ด้อยกว่าข้าไม่ อย่าถ่อมตัวเลย มีกระไรก็พูดมาตามตรงเถิด”
อีกฝ่ายยิ้มเจ้าเล่ห์ “ข้าอยากได้ปัญญาท่านในการตีอโยธยา แม้เราจะเข้าล้อมจนอยู่ในระยะปืนใหญ่แล้ว แต่
อโยธยายังอุดมสมบูรณ์นัก กำแพงเมืองก็แข็งแรงมั่นคง ลำพังแค่ยิงปืนใหญ่เข้าไป เห็นที ยังไม่อาจเอาชัยได้”
มังมหานรธาชักไม่พอใจ “แล้วเหตุใดข้าต้องบอกท่าน ให้ท่านได้ความดีความชอบด้วยเล่า”
“เพราะเพลานี้ มีข้าคนเดียว ที่ทำตามแผนการของท่านได้น่ะซี บอกมาเถิด เราจำต้องเร่งจบศึกนี้ให้เร็วที่สุด เพื่อกลับไปช่วยอังวะรบกับจีน หรือท่านไม่ห่วงอังวะเสียแล้ว”
เนเมียวสีหบดีพูดดักคออย่างรู้ใจ อีกฝ่ายได้แน่ทำหน้านิ่ง ก่อนจะถอนใจออกมาอย่างพยายามทำใจ
-ทหารอังวะจำนวนมาก กำลังช่วยกันขนไม้ ข้าวของต่างๆ เพื่อสร้างค่ายใหม่ บางคนก็ช่วยกันขุดหลุมเพื่อตอกเสาทำค่าย ขณะที่บางส่วนก็ขุดอุโมงค์ขึ้นภายในค่าย โดยมีจุดประสงค์จะขุดลงไปที่ฐานกำแพงเมืองอยุธยา แล้วใช้ไฟเผาฐานรากให้กำแพงเมืองทรุดลง
เสียงมังมหานรธาบอกแผนการต่อเนเมียวสีหบดีดังแทรกขึ้นมา
“ ท่านจงสร้างค่ายใหม่ 27 ค่าย ล้อมพระนคร รวมถึงเพนียดวัดสามพิหาร วัดมณฑป วัดนางปลื้ม แลวัดศรีโพธ์ เพื่อที่จะได้ยิงปืนใหญ่เข้าอโยธยาอย่างแม่นยำยิ่งขึ้น แต่การยิงปืนใหญ่เป็นตัวหลอก แท้จริง คือการขุดอุโมงค์ 5 แห่งด้านหัวรอ ขุดไปจนถึงฐานรากของกำแพงเมืองอโยธยาใช้ไฟเผาฐานราก จนกำแพงเมืองอโยธยาทรุดลงมา แล้วบุกเข้าไป”
อีกด้านหนึ่งนั้น พระยาพลเทพเดินมาส่งเจ้าจอมเพ็ญลงจากเรือน โดยมีจมื่นศรีสรรักษ์ ขุนแผลงฤทธิ์ และกล้า
ตามมาด้วย
“ เจ้าจอมอย่ากังวลเลย อังวะเตรียมการมาครานี้นานนัก เรื่องที่จะถอยทัพง่ายๆ เป็นไม่มี แม้จะเสียแม่ทัพไปก็ตามเถิด”
เจ้าจอมเพ็ญถอนหายใจ โล่งอก “ฉันได้ยินท่านเจ้าคุณพูดเช่นนี้ก็ค่อยวางใจ กับเรื่องนี้ ฉันลงทุนไปโขอยู่ หากถอยทัพกลับตอนนี้ ก็เท่ากับเสียทั้งต้นแลดอก ขาดทุนหนักนัก”
จมื่นศรีสรรักษ์พูดประชด “จะหาผู้ใด ยินดีกับการสิ้นแผ่นดิน เสียบ้านเสียเมืองเท่ากับคุณพี่เจ้าจอมแลท่านเจ้าคุณเป็นไม่มีอีกแล้ว เป็นบุญของกระผมเหลือเกิน ที่ได้เห็นสิ่งที่หาดูยากเช่นนี้”
เจ้าจอมเพ็ญ และพระยาพลเทพหันมามองด้วยความไม่พอใจ แต่อีกฝ่ายลอยหน้าใส่ ก่อนจะเดินลงจากเรือนไปอย่างไม่แยแส
เจ้าจอมเพ็ญส่ายหน้าอย่างหงุดหงิด “ฉันกลับล่ะท่านเจ้าคุณ มีเหตุกระไรก็ส่งข่าวกันบ้าง”
“ขอรับ”
ว่าแล้วก็ลงจากเรือนตามน้องชายไป พระยาพลเทพ ขุนแผลงฤทธิ์ และกล้า มองตามไปด้วยสีหน้าไม่หวังดี
ขุนแผลงฤทธิ์ยิ้มร้าย “หากรู้ว่าผู้ที่ได้ประโยชน์มากที่สุดในเรื่องนี้ คือท่านเจ้าคุณ นังหญิงโลภมากผู้นี้คงอกแตกตาย”
พระยาพลเทพเบะปากดูถูก “ก็สมควรตายอยู่แล้ว วันๆ เพ้อฝันแต่จะเป็นแม่หยั่วเมือง ใครกันจะให้หญิงโง่แลโลภมากอย่างนี้ได้ขึ้นเป็นใหญ่ ผู้เดียว ที่จะได้ขึ้นนั่งใต้เศวตฉัตรอโยธยา ก็คือข้าผู้นี้เท่านั้น”
ขาดคำ กล้าก็รีบคุกเข่าลงทันที ขุนแผลงฤทธิ์มองอย่างงงๆ
“ทำกระไรของเอ็งวะอ้ายกล้า”
กล้ายิ้มประจบทันที พร้อมกับพนมมือแล้วยกมือไหว้เหนือหัว “ข้ าพระพุทธเจ้าขอถวายบังคม ขอพระองค์ จงทรงพระเจริญ พระเจ้าข้า”
พระยาพลเทพหัวเราะชอบใจ ขุนแผลงฤทธิ์ยิ้มขำๆ
“ประจบประแจงสอพลอ ไม่มีใครเกินมึงเทียว พูดถูกหรือผิดก็ไม่รู้” (ยิ้มๆส่ายหน้า)
พระยาพลเทพตบบ่ากล้าเบาๆ เป้นเชิงสัพยอก “เอาไว้ข้าได้ขึ้นเมื่อใด ข้าจะให้รางวัลเอ็งเป็นบำเหน็จปากก็แล้วกันไอ้กล้า”
กล้าก้มลงกราบ ด้วยความดีใจ “ขอบพระทัยพระเจ้าข้า”
พระยาพลเทพ กระหยิ่มยิ้มย่องด้วยความลำพองใจ
จมื่นศรีสรรักษ์เดินจากเรือนมาถึงริมคลอง เจ้าจอมเพ็ญเร่งฝีเท้ามาจนทันน้องชาย แล้วรีบมาขวางหน้าไว้
ก่อนจะพูดอย่างโมโห
“กี่คราแล้ว ที่คุณพระนายกระทบกระแทกแดกดันพี่เช่นนี้ คิดเสียบ้างซี ว่าพี่สบาย คุณพระนายก็สบายด้วย แล้วเหตุใดต้องคอยแข็งข้อกับพี่”
จมื่นศรีสรรักษ์ยิ้มเยาะ “สบาย ? สิ้นแผ่นดิน สิ้นศักดิ์ศรี ต้องเป็นขี้ข้าคนต่างด้าวท้าวต่างเมืองน่ะหรือขอรับ กระผมคงวาสนาไม่ถึง เพราะยังไม่เห็นว่าจะสบายไปได้อย่างไร”
เจ้าจอมเพ็ญยิ่งมีน้ำโห “หยุดต่อปากต่อคำพี่เสียทีเถิดคุณพระนาย พี่บอกแล้ว ว่าอดทนอีกไม่นาน ลูกพี่ก็จะกู้ทุกอย่างกลับคืนมา แต่ระหว่างนั้นอำนาจวาสนาทั้งมวลก็เป็นของเราสองคนพี่น้อง พี่จะตั้งคุณพระนายขึ้นเป็นวังหน้าก็ยังได้ หรือคุณพระนายไม่อยากเป็น”
อีกฝ่ายหัวเราะเยย้ย “วังหน้า ที่ไม่มีแผ่นดินของตัวเองน่ะหรือขอรับ ก็คงไม่ต่างจากวังหน้าในละเม็งละครกระมัง เอาเถิดขอรับ กระผมจะรอหลานของกระผมลงมาจุติก็แล้วกัน พูดเช่นนี้ คงเข้าหูคุณพี่ขึ้นมาบ้าง กระผมขอตัวไปเรียกบ่าวไพร่มารับใช้คุณพี่ก่อนนะขอรับ”
จบประโยคก็เดินเลี่ยงไปอย่างไม่แยแส เจ้าจอมเพ็ญมองตามด้วยความเจ็บใจ เพราะเป็นคนเดียวที่ตนทำอะไรไม่ได้ ขณะที่ถ้าเป็นคนอื่นคงฆ่าทิ้งไปแล้ว
พระยาตากเดินออกมาจากในกระโจมตอนหัวค่ำเข้ามาหาทหารและชาวบ้านจำนวนหนึ่งที่รออยู่ โดยมีหลวงพิชัยอาสา ม่วง และพันหาญยืนอยู่ในกลุ่มทหาร ส่วนเยื้อนอยู่ในกลุ่มชาวบ้าน
“ที่ฉันเรียกทุกคนมาพร้อมกันในคืนนี้ เพราะฉันมีเรื่องสำคัญจะบอก บัดนี้ ฉันมั่นใจแล้วว่าอโยธยาจะเสียแก่ข้าศึกเป็นแน่แท้”
ขาดคำ ก็เกิดเสียงฮือฮาขึ้นในหมู่ทหารและชาวบ้านทันที มีเพียงม่วง เยื้อน พันหาญ และหลวงพิชัยอาสา เท่านั้นที่รับฟังอย่างสงบนิ่ง ไม่มีอาการตกใจ
พระยาตากพูดต่อ ด้วยน้ำเสียงดังขึ้น สีหน้ามุ่งมั่นจริงจัง
“แต่ฉัน จะไม่ยอมก้มหัวให้พวกอังวะเป็นอันขาด คืนนี้ฉันจะพาทุกคนฝ่าวงล้อมของอังวะออกไป เพื่อไปตั้งหลักที่หัวเมืองตะวันออก แล้วรวบรวมผู้คนกลับมากู้อโยธาคืนมา”
ในเวลาเดียวกันนั้นเอง เนเมียวสีหบดีก็เดินเข้ามาหาทหารโดยพวกทหารยืนเป็นระเบียบเรียบร้อยอยู่หน้าปืนใหญ่ เตรียมยิงปืนใหญ่ รอแต่คำสั่งเท่านั้น
ทันทีที่มาหยุดยืนหน้าปืนใหญ่ และทหารยื่นคบไฟให้ เนเมียวสีหบดีก็จ่อคบไฟเข้ากับสายชนวนปืนใหญ่
ชั่วเวลาไม่นานนัก ปืนใหญ่กระบอกนั้นก็ส่งเสียงดังลั่น พร้อมกับกระสุนปืนใหญ่ลูกแรก ยิงออกไปทันที
ส่วนที่ค่ายพระยาตาก พวกทหาร และชาวบ้านยังจับกลุ่มโต้เถียงกันไม่จบ มีทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย ทันใดนั้น ก็ได้ยินเสียงปืนใหญ่ดังลั่นขึ้น ก่อนที่จะได้ยินเสียงปืนใหญ่ตามมารัวๆ
หลวงพิชัยอาสาพูดเสียงดัง “อังวะเปิดฉากยิงปืนใหญ่แล้ว การป้องกันย่อมไม่เข้มแข็งเหมือนก่อน เป็นโอกาสดี ที่เราจะตีฝ่าออกไป”
ม่วงพูดเสริม“พวกเราจะไปกันในคืนนี้ ผู้ใดจะติดตามท่านเจ้าคุณก็ตามมา”
ทหารคนหนึ่งอึดอัดทนไม่ไหว เลยพูดออกมา
“เสียแรง ที่กระผมสู้ตายเพื่อท่านเจ้าคุณ เพลาคับขันเช่นนี้ มาทิ้งกันไปได้อย่างไร”
ทหารอีกคนนึกโมโห เลยพูดสวน “หรือเอ็งจะต้องให้ตายวะ ก็เห็นอยู่ว่าสู้ไม่ได้ หนีไปตั้งหลักแล้วรอกลับมาเอาชัยไม่ดีกว่ารึ”
ทั้งทหาร ทั้งชาวบ้านแตกกันเป็นสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งอยากสู้ตาย อีกฝ่ายอยากหนีไปตั้งหลัก
เยื้อนฟังสองกลุ่มโต้เถียงกันไปมา ก็เบะปาก ก่อนจะพูดกับตัวเองเบาๆ
“จนป่านฉะนี้ ยังจะโต้เถียงกันอีก ควรแล้ว ที่ต้องเสียเมืองให้กับอังวะ”จากนั้นก็เดินหนีไป ด้วยความรำคาญใจ
ขณะที่ทางฝั่งพม่านั้น ทหารอังวะยังยิงปืนใหญ่ไม่ยอมหยุด ถล่มเข้าไปตลอดเวลา
เนเมียวสีหบดีสั่งการเสียงดังลั่น “ยิงเข้าไป กระสุนแลดินปืนเรามีมากนัก ยิงถึงหนึ่งปีก็ไม่หมด จงถล่มอโยธยาให้ราบเป็นหน้ากลอง”
พระยาตากเห็นทหาร ชาวบ้าน เถียงกันไม่ยอมหยุด หนำซ้ำเสียงปืนใหญ่ก็ดังขึ้นเรื่อยๆ ก็เลยตะโกนเสียงลั่น
“ หยุดโต้เถียงกันได้แล้ว ฉันรู้ว่าการตัดสินใจเช่นนี้ ย่อมมีคนไม่เห็นด้วย แต่หากเราต้องการช่วยอโยธยาแลขับไล่อังวะ สิ่งแรกที่เราต้องมีคือชีวิต เพราะคนตาย ไม่อาจปกป้องแลขับไล่ผู้ใดได้ เหตุนั้น เราจึงต้องกล้ำกลืนความอัปยศในวันนี้ เพื่อรักษาชีวิตเอาไว้”
ทหารกับพวกชาวบ้าน พอฟังพระยาตากพูดอย่างนี้ก็เริ่มนิ่ง หลายคนเริ่มคิดตาม พระยาตากพูดต่อ
“ฉันมีเชื้อสายจีน คนจีน มีคำกล่าวว่า “ขุนเขายังอยู่ ไม่กลัวไร้ฟืน” คนเรา หากยังมีชีวิต ก็สามารถพลิกร้ายให้กลายเป็นดีได้ ขึ้นอยู่กับพวกเจ้า จะยังเชื่อใจฉันหรือไม่”
พวกทหารกับชาวบ้านเริ่มหันไปมองหน้ากัน ทหารคนแรกที่ก่อนหน้านี้ไม่พอใจที่พระยาตากจะหนี พูดขึ้นมา
“กระผมไม่อยากหนีไปเยี่ยงคนขลาด แต่กระผมก็ศรัทธาในท่านเจ้าคุณ เอาเถิด กระผมจะลองเชื่อท่านเจ้าคุณอีกครั้ง”
ได้ผล ทั้งทหารและชาวบ้าน เริ่มขานรับกันมากขึ้นเรื่อยๆ จากที่ทะเลาะกัน เริ่มเป็นน้ำหนึ่งใจเดียว และมีความสามัคคีกัน
หลวงพิชัยอาสา พันหาญ และม่วง มองพระยาตากอย่างชื่นชม ที่เพียงคำพูดไม่กี่คำ ก็สามารถสร้างความสามัคคีขึ้นมาได้
พระยาตาก มองทุกคนด้วยสีหน้ามั่นใจ ในที่สุดก็รวบรวมผู้คนได้สำเร็จ
จากนั้นพระยาตาก ก็กู่ร้องก้องตะโกน พร้อมกับถือดาบวิ่งนำหลวงพิชัยอาสา พันหาญ ม่วง และเหล่าทหารบุกเข้าประจัญบานกับทหารอังวะ ทั้งสองฝ่ายสู้กันอย่างดุเดือด พระยาตากนำทหารบุกเข้าต่อสู้อย่างกล้าหาญ เพื่อที่จะทะลวงฝ่าวงล้อมะไปให้ได้
กลางดึก ของวันที่ 3 มกราคม พุทธศักราช 2310 พระยาตากได้นำทหารประมาณ 500 คน ฝ่าวงล้อมของกองทัพอังวะ หนีไปทางทิศตะวันออกได้สำเร็จ เป็นการเริ่มต้น การกอบกู้เอกราชในเวลาต่อมา
ในเวลาเดียวนั้นเอง ชาวบ้านจำนวนมาก ทั้งชาย-หญิง ลูกเล็กเด็กแดงกำลังวิ่งวุ่นหนีตาย ท่ามกลางเสียงปืนใหญ่ที่ดังรัวไม่หยุด และไฟไหม้ขนาดใหญ่ ที่ลามไปทั่วกรุงศรีอยุธยา เปลวไฟพวยพุ่ง ท้องฟ้าเป็นสีแดงฉานดูน่าสะพรึงกลัว
“และในคืนเดียวกับที่พระยาตากฝ่าวงล้อมนั้นเอง กระสุนปืนใหญ่ของอังวะ ก็ได้ตกลงมาในแหล่งชุมชน เป็น
เหตุให้เกิดไฟไหม้ครั้งใหญ่ขึ้น สร้างความเสียหายให้บ้านเรือนราษฎรไปกว่า 10,000 หลังคาเรือน นับเป็นความเสียหายครั้งรุนแรงที่สุดครั้งหนึ่ง นับแต่เกิดสงครามกับอังวะเป็นต้นมา”
อีกฝั่งหนึ่ง ขันทอง พระยากำแหง และหลวงศรีมะโนราช ก็กำลังคุมทหารวิ่งวุ่นไปหมด บางคนก็ช่วยกันหิ้วถังน้ำไปดับไฟ บางคนก็ขนของหนีไฟไหม้เข้ามาในวัง
พระยากำแหงตะโกนสั่ง “เร็วเข้า ไฟลามมาถึงฝ่ายหน้าแล้ว รีบไปดับเร็ว อย่าให้ไหม้มาถึงฝ่ายในเป็นอันขาด”
ขันทองหันไปสั่งหลวงศรีมะโนราช “คุณหลวง คุมทหารยี่สิบคนไปช่วยดับไฟ อย่าปล่อยให้วิ่งวุ่นวายกันเอง เพราะนอกจากจะดับไม่ได้แล้ว จะเสียหายหนักกว่าเดิม”
ฝั่งถูกสั่งกลับโมโห “กล้าใช้ฉันไปดับไฟเชียวรึ มันจะมากไปเสียแล้ว”
“อย่ามาถือยศถืออย่างตอนนี้ หากไฟลามมาถึงฝ่ายใน เรือนคุณหลวงก็วอดวายไปด้วย หรือจะเอาอย่างนั้น”
หลวงศรีมะโนราชเจ็บใจมากแต่ก็เถียงไม่ออก เลยหันไปสั่งพวกทหาร
“พวกเอ็ง นับให้ได้ยี่สิบคน แล้วตามข้ามา”
สั่งเสร็จก็เดินเลี่ยงไปด้วยความโมโห สวนทางกับแมงเม่า กับเป้า ที่วิ่งเข้ามาด้วความร้อนใจ
พระยากำแหงหันไปเห็นแมงเม่า รีบเข้าไปหาด้วยความเป็นห่วง “แม่แมงเม่า มาที่นี่ทำไม กลับไปที่ตำหนักเร็วเข้า”
แมงเม่าทั้งร้อนใจ ทั้งห่วงพ่อ “ไฟไหม้ไปทั่วอโยธยา ฉันอดเป็นห่วงพ่อท่านไม่ได้ ท่านเจ้าคุณ ให้ฉันออกไปหาพ่อท่านได้หรือไม่เจ้าคะ”
ขันทองรีบเข้ามาห้าม “เจ้าออกไปก็ช่วยดับไฟไม่ได้ มีแต่จะทำให้ห่วงหน้าพะวงหลังกันเสียเท่านั้น”
เป้ามองเพื่อนอย่างเป็นห่วงเพื่อน “จริงของออกพระนะแม่แมงเม่า เพลานี้ วุ่นวายกันไปทั่วแล้ว อย่าหาเรื่องให้คุณพระกับท่านเจ้าคุณเพิ่มอีกเลย”
“ ฉันรู้ แต่พ่อท่านเล่า จะทำอย่างไรดี”
พระยากำแหงรีบเสนอ “ฉันจะให้ทหารไปที่เรือนเอง แลหากเหลือบ่ากว่าแรง ก็จะพามาที่นี่ก่อน แม่แมงเม่าอย่าได้ห่วงเลย”
แมงเม่าพูดอ้อนวอน “ฝากด้วยนะเจ้าคะ ท่านเจ้าคุณ”
พระยากำแหงยิ้มดีใจ ที่ได้โอกาสทำคะแนน “แม่แมงเม่าวางใจเถิด” พลางเดินไปสั่งทหารให้ไปที่เรือนใหม่มิ่ง
เป้าถอนใจ “เพลาเช่นนี้ ก็มีแต่ท่านเจ้าคุณ ที่พึ่งพาได้”
แมงเม่าได้แต่พยักหน้าเห็นด้วย แต่สีหน้าก็ยังไม่คลายความกังวล ขันทองหน้าเสียไปชำเลืองมองแมงเม่าที่มองตามพระยากำแหงไปอีกที ด้วยความไม่สบายใจ ทั้งที่ตนก็อยากช่วยอะไรมากกว่านี้ แต่ก็ทำได้เท่านี้จริงๆ
ส่วนที่เรือนของมิ่ง ก็กำลังโกลาหลไปหมด แต่ละคนช่วยกันดับไฟ ขนของหนี ตะโกนเรียกลูกหลานกันวุ่นวาย ทั้งเสียงร้องไห้ก็ดังระงมตลอดเวลา
ขณะนั้นเอง ติ่น ผล ก็วิ่งหอบมาหา มิ่งรีบถามอย่างร้อนใจ
“ว่าอย่างไรวะ ไฟจะลามมาถึงหรือยัง”
ติ่นอยู่ในอาการเหนื่อยหอบ “ใกล้แล้วขอรับ ช่วยกันดับเต็มที่ แต่เอาไม่อยู่เลยขอรับ”
ชื่นเริ่มกลัวจนลนลาน “เร็วแม่อิน ช่วยน้าขนของหนีไฟก่อน”
“ไม่มีของมีค่ากระไรแล้วจ้ะน้าชื่น เราขนไปฝังดินหมดแล้ว”
ชื่นเพิ่งนึกขึ้นได้ แต่ก็ยังหวาดกลัว ทำอะไรไม่ถูก ขณะที่ยี่สุ่นครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจพูด
“ฉันว่าเราหนีไปหาพี่ม่วงเถิดจ้ะ พี่ม่วงเคยสั่งไว้ว่าหากเดือดร้อนจนอยู่ไม่ได้ ก็ให้หนีไปอยู่กับพี่ม่วงที่ค่ายท่านเจ้าคุณตาก”
ผลรีบเสริม “จริงขอรับ นายม่วงสั่งพวกเราถึงทางหนีทีไล่ไว้หมดแล้ว แม้จะอ้อมมากสักหน่อย แต่ก็น่าจะรอดหูรอดตาพวกอังวะไปได้”
มิ่งหยุดคิดนิดหนึ่ง ก่อนตัดสินใจ “เอาวะ เสี่ยงกับพวกอังวะ ก็ดีกว่าถูกไฟคลอกตรงนี้ล่ะวะ”
ขาดคำ ลูกธนูดอกหนึ่ง ก็พุ่งปักเข้าที่หัวไหล่ ท่ามกลางความตกใจของทุกคน มิ่งร้องลั่นด้วยความเจ็บปวดก่อนทรุดร่วงลงกับพื้น
ชื่นร้องลั่น “พี่มิ่ง” แล้วรีบเข้าไปดูอาการ
ทุกคนตกใจสุดๆ หันไปมองตาม เห็นกล้าเป็นคนยิงธนูใส่มิ่ง โดยมีลูกน้องจำนวนหนึ่งถืออาวุธครบมืออยู่ด้วย
“ จับเป็นพวกมันกลับไป ข้าจะให้อ้ายม่วงมันตายทั้งเป็นให้สมแค้น”
พวกลูกน้องวิ่งเข้าใส่ทันที
ติ่น และผล หยิบไม้คาน มีดพร้าเท่าที่พอหาได้ ต่อสู้อย่างเต็มที่
กล้าชักดาบเดินเข้ามาหามิ่งที่ถูกยิงบาดเจ็บ อินหันไปหยิบไม้ วิ่งเข้าไปจะตี แต่กลับถูกอีกฝ่ายคว้าไม้นั้นไว้
แล้วตบหน้าสวนอย่างแรงจนล้มคว่ำ
ยี่สุ่นเห็นอย่างนั้นเข้า ก็รีบวิ่งหนีไปอีกทางทันที ชื่นหันไปเห็นสุ่นก็โกรธจัด
“อีสุ่น หนีไปง่ายๆอย่างนี้เลยรึ”
กล้าหัวเราะชอบใจ “จะเอากระไรกับผู้หญิงขายตัวกินวะ ตัวของมันยังขายได้ มันจะสนใจใยดีกระไรกับชีวิตพวกมึง”
มิ่งมองกล้าด้วยความแค้น “อ้ายกล้า สักวัน พ่อม่วงลูกกูต้องตามฆ่ามึง”
กล้าแสยะยิ้มร้าย “ปากดีนักนะอ้ายแก่ ดูทีรึ ว่ากูฟันปากมึงฉีกแล้วยังจะเห่าหอนได้อีกหรือไม่”
พูดพลางเงื้อดาบขึ้นมา ชื่นกรีดร้องลั่น แล้วรีบโผเข้าไปกอดมิ่งแน่น ก่อนจะเอาตัวบังไว้ แม้จะรู้ว่าไม่ช่วยอะไร แต่ก็ยังพยายามปกป้องเต็มที่
แต่ทันใดนั้น ยี่สุ่นก็ใช้ไม้ติดไฟฟาดใส่ จนตัวกล้าโดนไฟลวก ร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด ก่อนจะรีบล้มตัวคลุกไปกับพื้นเพื่อดับไฟ
ยี่สุ่นใช้ไม้ไล่ฟาดไป ก็ตะโกนพูดไป “แม่อิน พาพ่อกับน้าชื่นหนีไปเร็ว”
อินเห็นอย่างนั้น ก็รีบตั้งสติเข้าไปช่วยชื่นประคองมิ่งขึ้นมา ทุกคนมองยี่สุ่นที่เสี่ยงชีวิอย่างไม่เชื่อสายตา
“รีบไปเถิดจ้ะ เร็ว”
อินพามิ่ง กับชื่นหนีไป แต่มิ่งกับชื่นก็ยังมองไปที่ยี่สุ่นอยู่ตลอดด้วยอดห่วงไม่ได้
พวกลูกน้องกล้าเห็นหัวหน้ากำลังลำบากก็เสียสมาธิ เลยถูกติ่นและผลทำร้ายจนกระเจิง ก่อนที่ติ่นและผล จะรีบวิ่งตามมิ่งไป
ยี่สุ่นยังใช้ไม้ติดไฟฟาดใส่กล้าไม่หยุดอย่างไม่ห่วงตัวเอง ครั้นเห็นลูกน้องกล้าตั้งหลักได้ก็ล้อมกรอบเข้ามา เห็นท่าไม่ดี จึงทิ้งไม้วิ่งหนี
ลูกน้องบางส่วนไปช่วยกล้า ที่เหลือไล่ล่าตามยี่สุ่นไปทันที
อิน ชื่น ช่วยกันประคองมิ่งที่บาดเจ็บมาที่ริมคลอง ที่มีเรือผูกไว้อยู่ ติ่น ผล รีบวิ่งตามมา แล้วรีบจะเข้าไปแก้เชือกผูกเรือ
มิ่งยังคงเป็นห่วงยี่สุ่น “ประเดี๋ยวโว้ย นังสุ่นมันยังไม่มา จะทิ้งมันหนีไปได้อย่างไรวะ”
ชื่นเริ่มรู้สึกผิด “ใช่ ไปก็ต้องไปด้วยกัน”
อินรีบเสนอตัว “พ่อเจ็บหนัก รอไม่ได้ดอกจ้ะ ฉันจะไปช่วยแม่สุ่นเอง”
พูดพลางทำท่าจะย้อนลับไป แต่ทันใดนั้น พวกลูกน้องกล้าก็ถืออาวุธวิ่งตามมา
ติ่นแก้เชือกผูกเรือ พร้อมๆ กับพูดเป็นเชิงสั่ง “ไป “รีบขึ้นเรือเถิดขอรับ เรากลับไปไม่ได้แล้ว”
“กระผมจะต้านไว้เอง รีบหนีขอรับ”
ผลพูดกับเอามีดพร้าในมือขว้างใส่พวกลูกน้องกล้า จนแตกพ่ายนกระเจิง
อินรีบเข้าไปช่วยประคองมิ่งลงเรือพร้อมกับชื่น ขณะที่มิ่งยังห่วงยี่สุ่น
“ เฮ้ย แล้วนังสุ่นเล่า นังสุ่นๆ”
พอมิ่ง ชื่น อิน ลงเรือเสร็จ ติ่นก็ผลักเรือออกแล้วจ้วงพายทันที ผลรีบกระโดดลงคลอง แล้วว่ายน้ำมาขึ้นเรือ ในขณะที่พวกลูกน้องกล้าวิ่งตามมา ก็ไม่ทันแล้ว
ยี่สุ่นนถูกล้ากตบจบเลือดกลบปาก ล้มคว่ำลงกับพื้น หน้าตา เนื้อตัวเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำจากการถูกทำร้าย เพราะความแค้น
“อีแพศยา มึงเป็นแค่หญิงรับชำเราแท้ๆ กลับกล้ามาขวางกู”
ยี่สุ่นยิ้มเยาะ “ ถึงกูจะเป็นหญิงรับชำเรา กูก็ยังเป็นคนมากกว่ามึง”
พูดจบก็ถ่มน้ำลายใส่หน้ากล้า แต่กลับอีกฝ่ายตบสวนกมาสุดแรง
ลูกน้องกล้าชักกลัว “ รีบไปเถิดพี่กล้า ไฟลามมาจะถึงเรือนแล้ว”
“ กูรู้แล้ว” กล้าตะโกนพร้อมกับชี้ไปที่ยี่สุ่น สายตาเต็มไปด้วยความอาฆาตแค้น “เอามันกลับไปด้วย ในเมื่อมันสาระแนช่วยอ้ายแก่ดีนัก มันก็ต้องรับความทรมานแทนอ้ายอีพวกนั้นด้วย”
แมงเม่าได้ฟังพระยากำแหงเล่าเรื่องพ่อให้ฟังก็ถึงกับตกใจ สีหน้าเคร่งเครียดจนพูดอะไรไม่ออก
“เรือนของพ่อเศรษฐีไหม้จนหมดเช่นเดียวกับเรือนในละแวกนั้น แต่ตัวของพ่อเศรษฐีแลคนอื่นยังหาไม่พบ คนของฉันคาดว่าทุกคนคงไปอยู่รวมกับพวกที่ไฟไหม้ในวัดที่ไหนซักแห่ง เย็นๆ ก็คงพอจะได้ข่าว แม่แมงเม่าทนรออีกสักหน่อยเถิด”
แมงเม่าน้ำตาคลอ “ฉันห่วงพ่อ จนเหมือนอยู่กลางกองไฟแล้วเจ้าค่ะ ท่านเจ้าคุณให้ฉันออกไปหาพ่อท่านได้หรือไม่เจ้าคะ ฉัน ไม่อยากนั่งรอฟังข่าวอยู่แต่ในนี้”
ขันทองที่นั่งฟังอยู่ด้วย พูดสวนขึ้น “ ไม่ได้ดอกเจ้า หลังจากเมื่อคืน ในอโยธยาวิกฤติหนักนัก มีพวกฉวยโอกาสเป็นโจรปล้นชิงก็มาก เจ้าออกไปคนเดียวก็อันตราย จะให้คนอื่นตามไปคุ้มครอง ทุกคนก็มีหน้าที่อยู่ อดทนอยู่ในนี้ก่อนเถิด”
เป้าสงสารแมงเม่าจับใจ “ ฉันรู้ ว่าแม่แมงเม่าห่วงใยพ่อแลครอบครัว แต่ฉันเห็นด้วยกับออกพระศรีนะจ๊ะ อย่าให้ทุกคนต้องลำบากเพราะเราเลย”
แมงเม่าคิดตาม แล้วก็พยักหน้ารับอย่างเศร้าๆ ขันทองมองแมงเม่าด้วยความสงสาร แต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้มากไปกว่านี้
พระยาตากนั่งพักอยู่ริมทุ่งนา ฟัพร้อมกับฟังพันหาญรายงานความเคลื่อนไหว โดยมีหลวงพิชัยอาสา ม่วง และทหารจำนวนหนึ่งอยู่ใกล้ๆ
“กระผมวางกำลังไว้คอยสืบข่าวแล้ว หากพวกอังวะยกตามมา เราต้องได้ข่าวก่อนขอรับ (หน้าเครียด) ห่วงก็แต่ เราจะเจอทหารอังวะที่ออกหาเสบียง หรือดักอยู่ตามทางเท่านั้นเองขอรับ”
พระยาตากพยักหน้ารับ “กำลังส่วนใหญ่ของอังวะล้อมอโยธยาอยู่ พวกที่ออกหาเสบียงหรือกระจายตั้งค่ายตามเส้นทาง มีจำนวนไม่มาก กำลังเราเท่าที่มีอยู่ ก็พอรับมือได้”
พลันหลวงพิชัยอาสาก็ตวาดดังลั่น “ นั่นใคร ออกมาประเดี๋ยวนี้”
สิ้นเสียง ก็มีชาวบ้านจำนวนหนึ่งทั้งชาย หญิง แต่งตัวรัดกุม ผู้หญิงก็นุ่งตะเบงมานกรูกันออกมาพร้อมอาวุธครบมือ ล้อมพระยาตากกับพวกไว้
หลวงพิชัยอาสา พันหาญ ม่วง และพวกทหารชักอาวุธออกมา เตรียมสู้เต็มที่
ขณะเดียวกันนั้นเอง ก็มีผู้หญิงคนหนึ่ง อายุประมาณยี่สิบต้นๆ ถือดาบสองมือ เดินออกมาจากกลุ่มชาวบ้าน แสดงถึงความเป็นผู้นำของกลุ่มชาวบ้าน
พระยาตากมองหญิงคนนั้นด้วยความแปลกใจ เพราะนอกจากเป็นผู้หญิงอายุยังน้อยแล้ว ยังเป็นผู้นำของชาวบ้านอีก
พวกชาวบ้านช่วยกันเอาน้ำและอาหารเล็กๆ น้อยๆแบ่งให้พวกทหารกิน ขณะที่พระยาตากกำลังพูดคุยกับโพ ผู้หญิงที่เดินออกมาจากกลุ่มชาวบ้านเมื่อครู่
“นับแต่อโยธยาถูกล้อม ก็มีขุนนางหนีออกมาจำนวนไม่น้อย แต่ส่วนมากก็หนีเอาตัวรอด เพิ่งมีท่านเจ้าคุณเป็นคนแรก ที่บอกว่าจะกลับไปกู้อโยธยาอีก อีฉันขออวยพร ให้ท่านเจ้าคุณทำสำเร็จตามประสงค์นะเจ้าคะ”
พระยาตากพยายามฝืนยิ้ม ทั้งที่ไม่สบายใจ “ขอบน้ำใจนักแม่โพ เอ่อ พวกฉันตีฝ่าทัพอังวะออกมา มีเสบียงกรังติดตัวมาคนละเล็กละน้อย แม่โพพอจะปันให้พวกฉันได้บ้างหรือไม่”
โพส่ายหน้า “พวกอีฉันรวมตัวกัน ก็เพื่อป้องกันตัวจากพวกอังวะ เสบียงอาหารก็เพียงพอกินเท่านั้น แต่คงไม่อาจแบ่งปันได้เจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นก็ช่างเถิด ฉันเข้าใจ”
“ ท่านเจ้าคุณพาทหารไปตามทางนี้นะเจ้าคะ” โพพูดกับชี้มือไปทางหนึ่ง “ มีบ้านหนึ่งชื่อว่าบ้านพรานนก หัวหน้าหมู่บ้านเป็นพรานจับนก ตาพรานแกสะสมเสบียงอาหารเอาไว้มากนัก พวกอังวะมันเห็นว่ามีแต่คนแก่เฒ่าจึงไม่สนใจ ถ้าท่านเจ้าคุณไปขอปันเสบียง ก็คงได้ไม่ยากเจ้าค่ะ”
พระยาตากยิ้มอย่างดีใจมาก “ขอบน้ำใจนักแม่โพ”
ทันใดนั้นเอง ก็มีกองทหารอังวะกลุ่มหนึ่ง โห่ร้องบุกเข้ามาโดยไม่ทันตั้งตัว โพตกใจ รีบคว้าดาบขึ้นมาทันที พลางตะโกนลั่น
“พวกอังวะ ฆ่ามัน”
จากนั้นก็ถือดาบสองมือ วิ่งนำพวกชาวบ้านไปสู้กับทหารอังวะทันที
พระยาตากตะโกนสั่งการ “บุกเข้าขนาบซ้ายขวา ช่วยแม่โพกับพวกชาวบ้าน ขับไล่อังวะไป”
หลวงพิชัยอาสา พันหาญ ม่วง จัดแจงแบ่งทหารเป็นสองกอง เข้าโจมตีพร้อมกันทันที
ทั้งสู้ฝ่ายต่อสู้กันอย่างดุเดือด โพและชาวบ้านต่างสู้กับอังวะอย่างกล้าหาญ โดยมีทหารของพระยาตากคอยช่วยเหลือ
“หลังจากหนีออกมาจากกรุงศรีอยุธยา พระยาตากก็ได้ปะทะกับทหารของอังวะอีกครั้ง โดยมีโพสาวชาวบ้าน
นำพรรคพวกเข้าช่วยเหลือ ต่อมา จึงมีการตั้งชื่อบริเวณนั้นว่า “บ้านโพสังหาร” ก่อนจะเปลี่ยนเป็น “โพสาวหาญ” เพื่อแสดงถึงวีรกรรมความกล้าหาญของแม่โพในครั้งนี้”
เมียวสีหบดีตบเข่าฉาดด้วยความไม่พอใจ
“พระยาตากอย่างนั้นรึ”
ทหารคนหนึ่งรีบรายงาน “ขอรับ พวกที่รอดกลับมา ยืนยันว่าเป็นพระยาตากที่เคยรบกับเราไม่ผิดแน่”
“ข้ารู้แต่ว่าเมื่อกลางดึก มีคนตีฝ่าทัพเราออกไป แต่ไม่คิดว่าจะเป็นพระยาตากผู้นี้ เห็นที จะละไว้ไม่ได้เสียแล้ว
พระยาตากผู้นี้ชำนาญการศึกนัก มิแน่ ว่าภายหน้าจะกลับมาเป็นเสี้ยนหนามต่ออังวะ เอ็งจงถ่ายทอดคำสั่ง ให้จัดทัพสองพัน ไล่ตามพระยาตากไปสังหารให้สิ้น”
“ขอรับ ท่านแม่ทัพ” ทหารรายงานค้อมศีรษะ แล้วเดินเลี่ยงออกมา
เมียวสีหบดี สีหน้าเคร่งเครียด ถ้าปล่อยพระยาตากไป ก็ไม่ต่างจากปล่อยเสือเข้าป่าเลยทีเดียว
“จริงหรือขอรับ พระยาตากตีฝ่าทัพหนีออกไปได้”
ขันทองฟังข่าวจากพระยากำแหงด้วยความยินดี ทว่าคนเล่ากลับโมโห
“คุณพระจะดีใจกระไร ฉันขัดใจนักที่พระยาตากหนีไปเช่นนี้ เสียแรง ที่ฉันยกย่องนับถือ พอจวนตัว ก็ทำเช่นคนขลาดไม่มีผิด”
ขันทองพูดแย้ง “การหนีเป็นยุทธวิธีอย่างหนึ่งนะเจ้าคะ ดีฉันจำได้ ว่าในตำราพิชัยสงครามก็ยังมีกลศึกที่ใช้ในการหนีอยู่ไม่ใช่หรือ”
“หนีเพราะทำกลศึก กับหนีเพราะเอาตัวรอด จะเหมือนกันได้อย่างไรเล่า”
หลวงศรีมะโนราชรีบพูดขัดขึ้นมาทันที “ทุกคนก็ต้องรักชีวิตด้วยกันทั้งนั้น ดีฉันเองก็เตรียมทางหนีทีไล่ไว้แล้วเช่นกัน ท่านเจ้าคุณคงไม่ดุด่าดีฉันดอกนะเจ้าคะ หากดีฉันจะไม่ยอมตายเพื่ออโยธยา”
พระยากำแหงเจ็บใจ ที่มีแต่คนขัดคอ ขวางหูขวางตาตลอด ขุนรักษ์เทวาพูดประชด
“ผู้ใดจะดุด่าคุณหลวงได้กัน คนที่กล้าทำกล้ารับ บอกจะหนีก็หนี ไม่ละอายว่ากินข้าวผู้ใดเช่นนี้ นับว่าหาได้ยากนัก”
หลวงศรีมะโนราชยิ้มๆ ไม่ใส่ใจคำประชด ขณะที่ขุนรักษ์เทวาพูดจบก็เหลือบไปเห็นแมงเม่าเดินมา
“แม่แมงเม่า ออกมาถึงฝ่ายหน้าทำกระไร”
แมงเม่าหน้าเศร้าด้วยความห่วงพ่อ
“ฉันมารอฟังข่าวพ่อเจ้าค่ะ ว่าอย่างไรเจ้าคะท่านเจ้าคุณ คนของท่านเจ้าคุณกลับมาแล้วหรือไม่”
พระยากำแหงหน้าเสีย “กลับมาแล้ว แต่ฉันกะว่าวันพรุ่งจะไปบอกแม่แมงเม่าด้วยตัวเอง”
แมงเม่านึกแปลกใจ “ทำไมต้องรอถึงวันพรุ่งด้วยเจ้าคะ ท่านเจ้าคุณก็รู้ ว่าฉันร้อนใจเพียงใด”
พระยากำแหงจำต้องพูด “คนของฉันตามหาพ่อเศรษฐีจนทั่วแต่ก็ไม่เจอ เจอแต่ชาวบ้านที่อยู่ละแวกใกล้เคียงกับพ่อเศรษฐี ทุกคนให้การตรงกันว่า... เอ่อ คืนที่ไฟไหม้ใหญ่ มีโจรบุกปล้นเรือนพร้อมกันแลพ่อเศรษฐีถูกธนูยิง ยังไม่รู้ว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไร”
แมงเม่าอ้าปากช็อก ทำใจไม่ได้ที่เกิดเรื่องแบบนี้กับพ่อ จนร่างค่อยๆ เซ เหมือนจะเป็นลม ขันทอง
ตกใจ รีบเข้าไปประคองไว้ได้ทันก่อนที่จะล้ม
“เจ้าแมงเม่าเป็นอย่างไรบ้างเจ้า”
แมงเม่าตาเหม่อลอย หมดสติไป แทบไม่ได้ยินที่ขันทองพูดเลยแม้แต่น้อย
ขันทองตกใจมาก ประคองแมงเม่าไว้ในอ้อมกอด
แมงเม่านอนสลบอยู่บนเตียง โดยมีขันทองยืนอยู่ใกล้ๆ ในขณะที่พระยากำแหงเดินไปเดินมาด้วยความร้อนใจและเป็นห่วง
“นี่เมื่อไหร่แม่เป้าจะตามหมอมาเสียที แม่แมงเม่าสลบไปนานแล้วนะ”
ขันทองรีบบอก “อย่าห่วงไปเลยเจ้าค่ะ เจ้าแมงเม่าเพียงแต่สะเทือนใจ ประเดี๋ยวก็ฟื้น”
พระยากำแหงยิ่งร้อนใจ “ ฉันไม่ใช่คุณพระนี่ จะได้ไม่สนใจกระไร”
ขณะนั้นเอง เป้าก็เปิดประตูห้องออก แล้วรีบบอกอย่างร้อนรน
“ หมอหลวงกำลังถวายรักษาอยู่เจ้าค่ะ คงอีกพักใหญ่ ถึงจะมาได้เจ้าค่ะ”
“ ไม่รอแล้ว ฉันไปตามหมอคนอื่นก็ได้” พระยากำแหงผลุนผลันออกจากห้องไปทันที
“รอด้วยเจ้าค่ะ” เป้ารีบตามไปอีกคน
จังหวะนั้นเอง แมงเม่าก็เริ่มรู้สึกตัว ขันทองหันมอง
“บอกแล้วก็ไม่ฟัง ประเดี๋ยวก็ฟื้น”
พร้อมกันนั้นก็รีบเดินไปหยิบยาดม มารอที่จมูกของแมงเม่า จนได้สติ
“ คุณพระศรี”
ขันทองหน้าขรึมลง พลางนั่งลงใกล้ๆแมงเม่า “ตั้งสติแล้วฟังฉันให้ดีนะเจ้า เพลานี้เรารู้แค่ว่าพ่อเจ้าถูกธนูยิงบาดเจ็บเท่านั้น เจ้าไม่ควรตีตนไปก่อนไข้ แลควรมีความหวังว่าพ่อเจ้าปลอดภัยดีอยู่”
แมงเม่าร้องไห้โฮอย่างสุดกลั้น “ฉันอยากออกไปตามหาพ่อเหลือเกินเจ้าค่ะ”
ขันทองทอดถอนใจ “อโยธยาเดือดร้อนไปทุกหย่อมหญ้า แลเจ้าอย่าคิดว่าภัยจะมาจากอังวะเท่านั้น ยามนี้คนไทด้วยกันเองก็อันตรายไม่น้อยไปกว่าอังวะ แล้วเจ้าจะออกไปได้อย่างไร”
แมงเม่ายิ่งสะอึกสะอื้น ด้วย รู้ว่าขันทองพูดถูกทุกอย่าง กระนั้นกลับยิ่งทรมานใจที่ไม่สามารถไปช่วยพ่อได้
ขันทองเห็นแมงเม่าร้องไห้ไม่หยุด ก็สงสาร ทำท่าจะลุกขึ้นไปหยิบผ้ามาเช็ดน้ำตาให้ แต่กลับถูกแมงเม่าก็จับชายผ้าคาดเอวไว้ ไม่ให้ลุกขึ้น
“ อย่าไปเจ้าค่ะ ฉันไม่เหลือใครแล้ว พี่ม่วงก็ไปศึก พ่อ น้าชื่น พี่อิน แลคนอื่นก็ไม่รู้เป็นอย่างไรบ้าง ฉันเหลือแต่คุณพระเท่านั้น”
ขันทองสงสารแมงเม่าจับใจ ค่อยๆ บรรจงใช้หลังมือซับน้ำตาให้อย่างแผ่วเบา
“ ฉันหรือจะทิ้งเจ้า ต่อให้สิ้นชีวิต ฉันก็ไม่มีวันทิ้งเจ้าไปได้ เจ้าตัวดี”
แม้จะรู้ว่าเป็นเพียงคำพูดปลอบ แต่ก็พอให้แมงเม่ารู้สึกดีขึ้นได้มากทีเดียว
ติ่น กับผล ถือคบเพลิงเดินนำหน้าเข้ามาในค่ายพระยาตากตอนหัวค่ำ โดยชื่นและอิน คอยประคองมิ่งที่บาดเจ็บตามหลังมาติดๆ
ทว่าเมื่อเดินมาถึง กลับพบว่าบัดนี้ทุกอย่างว่างเปล่า เหลือแต่กระโจมร้าง และเศษข้าวของปรักหักพัง
ชื่นมองไปรอบๆอย่างงงๆ “อ้ายติ่น เอ็งพามาผิดที่หรือไม่วะ”
“ไม่ผิดดอกขอรับแม่นาย กระผมทำตามที่นายม่วงสั่งไว้ทุกประการ เดินอ้อมเพื่อหลบทัพอังวะจนมาโผล่ที่นี่ แต่เหตุใด ค่ายถึงร้างเช่นนี้ กระผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกันขอรับ”
ขณะที่ทุกคนกำลังงงๆ เยื้อนก็ถือคบไฟผ่านมา พร้อมกับก้มดูสร้อยทองเส้นเล็กๆ ในมือด้วยความพอใจ
ผลเหลือบเห็น ก็ รีบเรียกทันที “แม่หญิง แม่หญิงจ๊ะ”
เยื้อนตกใจ รีบชักมีดออกมา พร้อมกับตวาดแว้ดทันที “คิดจะแย่งสร้อยข้ารึ อย่าหวังเลยโว้ย”
อินรีบบอก “ไม่ใช่จ้ะ พวกเราแค่อยากถามบางอย่าง ไม่เคยคิดแย่งชิงข้าวของของแม่เลยนะจ๊ะ”
เยื้อนไม่วายระแวง “ถามกระไร”
“ที่นี่ใช่ค่ายของพระยาตากหรือไม่จ๊ะ เหตุใดจึงร้างเช่นนี้”
“ ใช่ พวกเอ็งจะมาหลบภัยในค่ายรึ มาช้าไปแล้ว พระยาตากตีฝ่าทัพอังวะ หนีไปแต่เมื่อคืนแล้ว”
ทุกคนพากันหน้าเสีย ที่รู้ว่าพระยาตากหนีไปแล้ว ผลชักกลัว
“เอาอย่างไรดีขอรับท่านเศรษฐี ท่านเจ้าคุณหนีไปแล้ว นายม่วงก็คงไปด้วย แล้วจะหากันเจอได้อย่างไร หรือจะกลับเข้าพระนครดีขอรับ”
มิ่งเริ่มเครียด “กลับไปให้อ้ายกล้ามันฆ่าเอารึ เพลานี้ บ้านเมืองราวกับมิคสัญญียุค ต่อให้เอ็งถูกฟันหัวขาดกลางตลาด ก็ไม่มีใครสนใจเอ็งดอกวะ”
ขณะทุกคนยังคิดไม่ตกว่าจะเอาไงต่อ ชื่นก็ตัดสินใจ
“ยังคิดไม่ออก ก็หาที่พักกันก่อนก็แล้วกัน” พลางหันไปพูดกับเยื้อน “แม่คุณพอจะสงเคราะห์ หาที่หลับที่นอนให้พวกเราได้หรือไม่”
“อยากนอนที่ใดก็นอนไปเถิดวะ ข้าเองที่ยังอยู่ละแวกนี้ ก็เพื่อจะหาข้าวของมาเป็นกำไรบ้างเท่านั้น อ้ายพวกที่ตามพระยาตากไป รีบร้อนทิ้งของมีค่าไว้ไม่น้อย พวกเอ็งจะอยู่เก็บบ้างก็ได้นะ” พูดพลางเอามีดชี้หน้า เป็นเชิงขู่ “แต่อย่ามายุ่งกับ
ของของข้าก็แล้วกัน”
พูดจบก็ทำท่าจะเดินเลี่ยงไป แต่อินฉุกคิดขึ้นมาได้ เลยรีบเรียกไว้
“ประเดี๋ยวจ้ะ”
พอเยื้อนหันกลับมามอง อินก็พูดต่อ
“แม่พอจะรู้หรือไม่จ๊ะ ว่าพระยาตากหนีไปที่ใด เผื่อพวกเราจะตามไป”
“หัวเมืองตะวันออก แต่จะเป็นเมืองใด ข้าไม่รู้”
ว่าแล้วก็สะบัดหน้าเดินเลี่ยงไป ไม่แยแส มิ่งถามขึ้นมาทันที
“แม่อินจะตามไปจริงรึ”
อินพยักหน้า “อยู่ต่อที่นี่ก็เสี่ยงภัยนัก แล้วเหตุใด เราจะไม่ลองเสี่ยงตามไปล่ะจ๊ะพ่อ อาจจะได้เจอพี่ม่วงก็เป็นได้”
ทุกคนคิดตามที่อินพูด ก็เริ่มคล้อยตาม
ณ หมู่บ้านแห่งหนึ่ง พวกทหารกำลังหุงข้าว กินอาหารกันอย่างอิ่มหนำสำราญ หลังจากลำบากมาหนึ่งวันเต็มๆ
หลวงพิชัยอาสา และม่วง ก็กำลังกินข้าว พูดคุยกับพวกทหารด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส ส่วนพระยาตากกำลังยืนดูม้า พร้อมกับคุยกับพรานนก หัวหน้าหมู่บ้านด้วยสีหน้าพึงพอใจ
“ม้าพ่วงพีนัก เห็นทีจะเป็นม้าศึกเตลิดหนีมากระมัง
“คงเป็นเช่นนั้นขอรับ หากท่านเจ้าคุณพอใจ ก็รับไว้ทั้งห้าตัวเถิด กระผมจะได้ถือว่ามีส่วนช่วยท่านเจ้าคุณบ้าง”
“ขอบน้ำใจพ่อพรานนัก นอกจากจะให้เสบียงอาหารฉันแล้ว ยังให้ม้าฉันไว้เป็นกำลังอีก”
พรานนกยิ้มจริงใจ “กระผมอยากช่วยมากกว่านี้เสียด้วยซ้ำขอรับ แต่จนใจที่แก่แล้ว ก็ได้แต่หวังว่าสักวันหนึ่ง ท่านเจ้าคุณจะขับไล่อ้ายข้าศึก ให้พ้นแผ่นดิน กระผมก็คงตายตาหลับ”
ขณะนั้นเอง พันหาญก็วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาหาพระยาตาก แล้วพูดอย่างร้อนใจ
“ท่านเจ้าคุณ ท่านเจ้าคุณขอรับ”
หลวงพิชัยอาสา และม่วง เห็นท่าทางพันหาญ ก็รีบตามเข้าไปสมทบทันที
“สืบข่าวมา เป็นอย่างไรบ้างหัวพัน” พระนาตากรีบถาม
“อ้ายพวกอังวะ มันยกพลตามเรามาไม่หยุดหย่อน เท่าที่ข่าวแจ้งมา น่าจะมีไม่ต่ำกว่าสองพันขอรับ”
ม่วงถึงกับตกใจ “ สองพันเชียวรึ เรามีเพียงห้าร้อย จะรับมือมันได้อย่างไร”
หลวงพิชัยอาสาชักเครียด “กระผมขออาสา ระวังหลังให้ ท่านเจ้าคุณล่วงหน้าไปก่อนเถิดขอรับ”
พระยาตากบอกแก่ทุกคนด้วยสีหน้ายิ้มๆ “ขอบน้ำใจคุณหลวง แต่ทหารเพียงสองพัน ยังไม่เพียงพอจะทำให้ฉันหนีได้ดอก”
ม่วงเลิกคิ้ว “แต่มันมากกว่าเราถึงสี่เท่าเชียวนะขอรับ”
“การทำศึก วัดกันด้วยกำลังพลกระนั้นรึ” พระยาจากย้อนถาม “ เช่นนั้น ก็เป็นเพียงแม่ทัพชั้นเลวเท่านั้น ผู้รู้จักใช้ชัยภูมิในการทำศึก จึงจะถือว่าเป็นแม่ทัพที่พอใช้การได้ แต่ผู้ที่สามารถใช้ธรรมชาติรอบตัว ทั้งดินน้ำลมไฟให้เป็นคุณได้นั้น จึงจะถือเป็นยอดแห่งแม่ทัพ”
จากนั้นก็อธิบายกลศึกให้ทุกคนฟัง
“ อังวะเร่งเดินทางมา กำลังพลย่อมอ่อนล้า แต่เราได้พักเต็มที่ นี่เป็นข้อได้เปรียบที่หนึ่ง เรามาถึงก่อน ชำนาญ ชัยภูมิกว่า นี่เป็นข้อได้เปรียบที่สอง ฉันจะแบ่งกำลังเป็นสองกอง ซุ่มไว้สองข้างทาง ทัพอังวะผ่านเข้ามาเมื่อใด ก็โจมตีพร้อมกัน”
หลวงพิชัยอาสายังไม่คลายกังวล “แต่เรามีจำนวนน้อยกว่าศัตรูนัก กระผมเกรงว่า ถึงเราจะซุ่มโจมตีก็อาจจะไม่ชำนะขอรับ”
“ตอนที่หนีมา ฉันสู้กับอังวะเท้าเปล่า ฉันยังไม่กลัว ตอนนี้ ฉันมีม้าเพิ่มขึ้นมาถึงห้าตัว แล้วยังจะต้องกลัวอีกรึ”
พระยาตากพูดอย่างห้าวหาญ
นายกองอังวะ นำทัพมาด้วยความเร่งรีบ เพื่อจะตามให้ทันพระยาตาก แต่กลับสังเกตเห็นความผิดปกติบางอย่างข้างหน้า จึงตะโกนสั่งการเสียงดัง
“หยุด”
พร้อมกันนั้นก็เพ่งมองไปที่เนินดินสูงข้างหน้า
พระอาทิตย์ค่อยๆ โผล่พ้นขอบฟ้า พร้อมกับพระยาตากขี่ม้าขึ้นมาบนเนินดินสูง ตามด้วยหลวงพิชัยอาสา
พันหาญ ม่วง และทหารอีกหนึ่งคน ทั้ง 5 คน นั่งอยู่บนหลังม้าห้าตัวอย่างองอาจ
ทหารคนหนึ่งร้องตะโกน “ท่านนายกอง นี่ล่ะ อ้ายพระยาตาก”
นายกองยิ้มเยาะ “ท่านแม่ทัพบอกว่ามันชำนาญการศึก ข้ากลับเห็น ว่ามันมารนหาที่เยี่ยงคนโง่แท้ๆ”
พูดจบก็หยิบปืนสั้นออกมา เตรียมพร้อม
พระยาตากชักดาบออกมาชูขึ้นสูงเป็นการให้สัญญาณ ก่อนจะควงดาบแล้วตะโกนก้อง พร้อมกับควบม้าลงจากเนินดินสูงทันที
“ บุก”
หลวงพิชัยอาสา พันหาญ ม่วง และทหารอีกคน เร่งควบม้าตามลงจากเนินดินสูง เพื่อเข้าประจัญบานทันที
นายกองยิ้มเยาะ พลางเล็งปืนไปทันที ทว่าแสงอาทิตย์ด้านหลังที่อยู่หลังพระยาตาก ส่งแสงแรงแยงตา จนเผลอหลับตาตอนเหนี่ยวไกปืน
เสียงปืนดังลั่น กระสุนพุ่งเฉี่ยวไปอย่างหวุดหวิด พระยาตากขี่ม้าพุ่งใส่อย่างรวดเร็ว ไม่สนใจกระสุนที่เฉี่ยวไปแม้แต่น้อย
นายกองตกใจที่ยิงพลาด พยายามบรรจุกระสุนใหม่ แต่ด้วยความตกใจเลยยิ่งลนลาน
ทันใดนั้นเอง ม้าของพระยาตากที่พุ่งมาด้วยความเร็วก็ถึงตัวนายกอง พร้อมๆ กับใช้คมดาบฟันคอขาดสะบั้น ท่ามกลางความตกใจของทหารอังวะ
ยังไม่ทันที่เหล่าทหารจะตั้งตัว ม้าอีกสี่ตัวก็บุกทะลวงเข้าใส่ จนทัพอังวะปั่นป่วนไปหมด
ขณะเดียวกับที่ทหารที่ซุ่มอยู่สองข้างทางในชายป่า ก็โห่ร้องกรูกันออกมา ไล่ฟาดฟันทหารอังวะ
จนแตกกระเจิง
“ในวันที่ 4 มกราคม พุทธศักราช 2310 พระยาตากกับนายทหารคู่ใจอีกสี่คน ได้ขี่ม้าห้าตัว บุกทะลวงเข้าใส่
กองทัพอังวะ 2,000 คน ก่อนจะกระหนาบตีจนแตกพ่ายไป โดยไม่เสียกำลังทหารแม้แต่คนเดียว กิตติศัพท์การรบได้ขจรขจายไปทั่ว เป็นเหตุให้มีผู้ศรัทธา เข้ามาสวามิภักดิ์ พระยาตากมากขึ้นเรื่อยๆ และจากวีรกรรมในครั้งนี้ จึงได้กำหนดให้ วันที่ 4 มกราคม ของทุกปี เป็น “วันทหารม้า” ของไทย
อ่านต่อตอนที่ 24