หนึ่งด้าวฟ้าเดียว ตอนที่ 20
บทประพันธ์ : วรรณวรรธน์
บทโทรทัศน์ : เอกลิขิต
พระยากำแหงกำลังอ่านข้อความที่แมงเม่าแก้กลบทออกมาด้วยสีหน้าตะลึงบวกตกใจ
เมื่ออ่านจบก็หน้าถอดสี ทำอะไรไม่ถูก เพราะร้ายแรงกว่าที่ตนคิดเอาไว้มาก
แมงเม่าเอาม้วนกระดาษที่เป็นสาส์นลับออกมา “นี่เป็นใบบอกที่ฉันได้จากออกญาสีหราชเดชะเจ้าค่ะ แลเพราะใบบอกนี้ ทำให้ครอบครัวฉันต้องเดือดร้อนมากมายนัก”แมงเม่ายื่นม้วนกระดาษให้พระยากำแหง
พระยากำแหงรับม้วนกระดาษมาดู อึ้งกับสิ่งที่เห็น
“ล้ำเลิศจริงๆ อักษรเพียงแถวเดียว กลับถอดความได้มากถึงเพียงนี้”
“หากออกญาคิดว่าฉันพูดปด จะให้ฉันแก้กลบทให้ดูอีกรอบก็ได้นะเจ้าคะ”
“ พูดกระไรอย่างนั้นเล่า มีหรือฉันจะกล้า คิดว่าแม่แมงเม่าปด ฝีมือถอดกลบทของแม่เป็นที่ล่ำลือไปทั่ว”
แมงเม่ายิ้มดีใจ
“เช่นนั้น ออกญาจะเอาเรื่องนี้ขึ้นฟ้องร้อง แลจับตัวเหล่าผู้ทุรยศมาลงโทษใช่หรือไม่เจ้าคะ เสียดายนักที่ในรายชื่อไม่มีเจ้าจอมเพ็ญ กลักลายผีเสื้อที่เป็นสัญลักษณ์ประจำตัวเจ้าจอมเพ็ญก็ไม่มีแล้ว แต่เพียงเท่านี้ ก็คงช่วยบ้านเมืองได้โขอยู่”
กำแหงหน้าเครียด
“ฉันคงฟ้องร้อง แลจับตัวตอนนี้ไม่ได้ดอก ยิ่งพระยาพลเทพ ยิ่งทำไม่ได้”
แมงเม่าตกใจปนโมโห
“ทำไมเล่าเจ้าคะ หรือจะต้องรอให้บ้านเมืองล่มสลายเสียก่อน”
พระยากำแหงค่อยๆปลอบ
“ใจเย็นก่อนเถิดแม่แมงเม่า ที่ทำไม่ได้ เพราะพระยาพลเทพเพิ่งคุมทหารหกหมื่นไปเมืองนนทบุรีเมื่อรุ่งสางนี้เอง”
“ ทหารหกหมื่นเชียวหรือเจ้าคะ” แมงเม่าตกใจ
พระยากำแหงพยักหน้ารับด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“หากข่าวเรื่องนี้แพร่ออกไป ก็เท่ากับบีบให้พระยาพลเทพนำทหารไปเข้าฝ่ายอังวะเสียเท่านั้น”
แมงเม่าคิดตามอย่างเห็นด้วย
กำแหงดูรายชื่อในกระดาษอีกที
“แลรายชื่อขุนนางในนี้ ล้วนมีอำนาจวาสนาทั้งสิ้น ใช่จะจัดการได้โดยง่าย”
“แล้วเราจะทำอย่างไรดีเจ้าคะ หรือต้องปล่อยให้คนพวกนี้ลอยนวล”
พระยากำแหงสีหน้าหนักใจ สีหน้าเคียดแค้นชิงชัง
“ขอฉันวางแผนก่อนเถิด แต่แม่แมงเม่าวางใจ ฉันไม่มีวันยอมให้อ้ายคนขายชาติขายแผ่นดิน
อยู่เย็นเป็นสุขไปได้เป็นอันขาด”
แมงเม่าเองก็มีสีหน้าเกลียดชังคนทุรยศขายชาติไม่แพ้กัน
ตอนบ่าย ค่ายพระยาตาก
พระยาพลเทพกำลังอ่านพระบรมราชโองการ โดยมีขุนแผลงฤทธิ์คุกเข่าถือพานทองอยู่ใกล้ๆ ในขณะที่พระยาตาก หลวงพิชัยอาสา และทหารของพระยาตากต่างคุกเข่าพนมมือน้อมรับ
พระบรมราชโองการ
“ด้วยพระยาตากมีความดีความชอบในการศึก จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งพระยาตากขึ้นเป็นพระยาวชิรปราการว่าที่เจ้าเมืองกำแพงเพชร เพื่อสนองคุณบ้านเมืองสืบไป”
พระยาตากยกมือไหว้เหนือหัว
“ขอจงทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน”
พระยาพลเทพวางราชโองการใส่พานทอง
ขุนแผลงฤทธิ์ลุกขึ้นเอาพานทองจบหัว แล้วยื่นพานทองให้พระยาตาก
พระยาตากรับพานทองมา แล้วยกขึ้นจบหัว ก่อนจะลุกขึ้นยืนพร้อมกับหลวงพิชัยอาสาและทหาร
คนอื่นๆ
พระยาพลเทพปั้นยิ้ม
“กำแพงเพชรเป็นเมืองใหญ่ ท่านเจ้าคุณจะได้ศักดินาเพิ่มขึ้นอีกมาก ฉันต้องขอแสดงความยินดีด้วย”
"เป็นพระคุณขอรับ แต่กระผมห่วงการศึกอังวะมากกว่า เมื่อท่านเจ้าคุณยกทัพมาช่วยถึงหกหมื่นก็เป็นการดีนัก เราคงเอาชัยมังมหานรธาที่มีกำลังเพียงสามหมื่นได้ไม่ยาก"
" ข้อนั้นอย่าหวั่นเลย ท่านเจ้าคุณกลับไปอโยธยาอย่างวางใจเถิด"
หลวงพิชัยอาสาตกใจ
"กลับอโยธยา หมายความว่าอย่างไร ท่านเจ้าคุณยันทัพของมังมหานรธาไว้ได้แล้ว จะให้ท่านเจ้าคุณกลับไปตอนนี้ได้อย่างไร"
ขุนแผลงฤทธิ์บอก
"ทหารเมืองตากเหนื่อยล้ามากแล้ว ย่อมต้องมีการสับเปลี่ยนกำลังตามหลักพิชัยสงคราม จะแปลกกระไรรึคุณหลวง"
พระยาพลเทพตบบ่าพระยาตาก
"ท่านเจ้าคุณอย่าห่วงทางนี้เลย อย่างที่ท่านเจ้าคุณว่า เรามีกำลังทหารมากกว่าทัพมังมหานรธาถึงสองเท่า จะต้องกลัวกระไร"
พระยาตากยิ้มรับอย่างรู้ทัน รู้ว่าเป็นแผนพระยาพลเทพที่ย้ายตนออกจากสงคราม เพื่อเปิดทางให้อังวะ เลยไม่พูดอะไรอีก
ฝ่ายพันหาญ และม่วง เดินกระวนกระวายอยู่ในกระโจม รอฟังข่าวจากพระยาตาก
ทันใดนั้นเอง พระยาตาก กับหลวงพิชัยอาสาก็เปิดกระโจม เดินเข้ามา
พันหาญร้อนใจ
"เป็นอย่างไรบ้างขอรับท่านเจ้าคุณ"
พระยาตากหน้าเครียด
"เป็นอย่างที่ฉันคิดไม่มีผิด เลื่อนตำแหน่งฉันเป็นพระยาวชิรปราการ เพื่อย้ายฉันกลับอโยธยา จะได้เปิดทางให้ทัพของอังวะโดยสะดวก"
ม่วงแค้นมาก
"อ้ายสารเลว"หันไปพูดกับพันหาญ อย่างเจ็บแค้นใจ "ไปเถิดพี่พันหาญ เราสู้อุตส่าห์ไม่ออกไปพบหน้าพวกมันเพราะเกรงจะเกิดเรื่อง แต่เมื่อมันชั่วช้าถึงขั้นนี้ ก็ออกไปเอาเลือดพวกมันมาล้างตีนกันเถิด"
ม่วง และพันหาญจะออกจากกระโจม แต่หลวงพิชัยอาสารีบขวางหน้าไว้
"อ้ายเจ้าคุณพลเทพมีทหารหกหมื่นล้อมอยู่ ยังไม่ทันได้เห็นแม้แต่ชายเสื้อ พวกเจ้าก็ถูกสับเป็นเศษเนื้อก่อนแล้ว"
ม่วง และพันหาญชะงักไปกับคำทัดทานของหลวงพิชัยอาสา
"พ่อสองคนตรองดูเถิด ว่าจะมีประโยชน์อันใดในการหุนหันออกไปเช่นนี้"
ม่วง และพันหาญเจ็บใจ แต่หลวงพิชัยอาสาก็พูดถูกทุกอย่าง
พันหาญหันไปพูดกับพระยาตากด้วยความแค้นใจ
"นี่เราต้องทนดูอ้ายพลเทพมันย่ำยีแผ่นดินอยู่อย่างนี้หรือขอรับ"
พระยาตากถอนใจ
"ตราบใดที่ไม่มีหลักฐาน เราก็ทำได้แค่อดทน เพลานี้ความหวังทั้งหมดต้องฝากไว้ที่พ่อขันทองแล้ว หลักฐานการทุรยศของพระยาพลเทพเป็นสิ่งเดียว ที่จะช่วยอโยธยาได้"
พระยาตากสีหน้าหนักใจเป็นห่วงบ้านเมือง
กองทัพของมังมหานรธากับกองทัพกรุงศรีอยุธยาเข้าต่อสู้กัน ก่อนที่กองทัพอังวะของมังมหานรธาจะเอาชนะแล้วเคลื่อนทัพต่อไป
ลูกศรแสดงการเดินทัพของอังวะ กองทัพอังวะเข้าประชิดกรุงศรีอยุธยา ก่อนจะตั้งทัพลงบริเวณตะวันตกเฉียงเหนือของกรุงศรีอยุธยา
"กองทัพของมังมหานรธาสามารถเอาชนะทัพใหญ่กว่าหกหมื่นนายของกรุงศรีอยุธยาลงได้ ก่อนจะเคลื่อนพลเข้าประชิดกรุงศรีอยุธยา แต่เนื่องด้วยกองทัพทางเหนือของเนเมียวสีหบดีต้องต่อสู้ตลอดทาง เป็นเหตุให้ยังมาไม่ถึง มังมหานรธาจึงตั้งทัพลงที่ทิศตะวันตกเฉียงเหนือของกรุงศรีอยุธยา เพื่อรอทัพทางเหนือ ก่อนจะทำการล้อมกรุงศรีอยุธยาต่อไป"
3-4 วันต่อมา
พระยาพลเทพเดินคุยมากับขุนแผลงฤทธิ์มาอย่างอารมณ์ดีตามทางเดินในวัง
ขุนแผลงฤทธิ์หัวเราะชอบใจ
"พวกทหารที่เกณฑ์ไป ช่างอ่อนแอนัก มีจำนวนมากกว่าถึงสองเท่า แต่กลับพ่ายแพ้ไม่เป็นท่า"
พระยาพลเทพขำๆ
"พวกที่ถูกเกณฑ์ จะมีสักกี่คนที่เต็มใจ ทั้งห่วงชีวิต ห่วงลูกเมีย เทือกสวนไร่นา แลฝึกดาบได้ไม่เท่าใดก็ต้องออกรบ หากชำนะน่ะสิ ถึงจะแปลก"
พระยาพลเทพ และขุนแผลงฤทธิ์พากันหัวเราะชอบใจ
แต่ขณะนั้นเอง พระยากำแหงก็นำทหารจำนวนหนึ่งเข้ามาหา
พระยาพลเทพ และขุนแผลงฤทธิ์ รีบเปลี่ยนสีหน้าเป็นซึมเศร้า เคร่งเครียดทันที
"ดีจริง ที่ท่านเจ้าคุณกลับมา ทุกคนกำลังรอท่านเจ้าคุณอยู่เลยขอรับ"
พระยาพลเทพปั้นหน้าเครียด
"เรื่องที่ฉันแพ้ศึกล่ะซี พูดแล้วก็ละอายนัก กำลังพลมากกว่าถึงสองเท่ายังพ่ายแพ้ได้ ฉันไม่ควรกลับมาเหยียบอโยธยาเลยจริงๆ"
ขุนแผลงฤทธิ์แกล้งปลอบ
"อย่าพูดเช่นนั้นเลยขอรับท่านเจ้าคุณ ธรรมดาการศึกย่อมมีแพ้แลชำนะ จะถือว่าเป็นความผิดของท่านเจ้าคุณแต่ผู้เดียวไม่ได้ดอกขอรับ"
"ท่านเจ้าคุณอย่ากังวลเลยขอรับ เรื่องที่ทุกคนรอพบท่านเจ้าคุณ หาใช่เรื่องที่แพ้ศึกไม่"
"แล้วเรื่องกระไรรึ"
พระยากำแหงมองไปรอบๆ เหมือนกลัวคนอื่นจะได้ยิน
"เชิญทางนี้ขอรับ"
พระยากำแหงเดินเลี่ยงนำพระยาพลเทพให้ห่างจากขุนแผลงฤทธิ์ เพราะกลัวขุนแผลงฤทธิ์ช่วยพระยาพลเทพ เลยเล่นละคร
พระยาพลเทพแปลกใจ
"เรื่องสำคัญรึ ถึงต้องลึกลับปานนี้"
"ขอรับ สำคัญมาก"
ขาดคำ พระยากำแหงก็เข้าล็อกตัวพระยาพลเทพทันที แล้วบิดแขนพระยาพลเทพไล่หลังไว้
ขุนแผลงฤทธิ์ตกใจจะเข้าไปช่วย แต่ทันใดนั้น ทหารของพระยากำแหง ก็ชักดาบจ่อขุนแผลงฤทธิ์ไว้ ไม่ให้เคลื่อนไหว ขุนแผลงฤทธิ์หน้าเสีย ไม่กล้าผลีผลาม
" นี่มันกระไรกัน คิดจะทุรยศรึ" พระยาพลเทพว่า
กำแหงยิ้มเล็กน้อย
"คนที่ทุรยศ คือท่านเจ้าคุณต่างหากขอรับ ทุรยศ ไปเข้าฝ่ายอังวะ แต่ครั้งศึกพระเจ้าอลองพญา ลอบทำใบบอกส่งความลับของอโยธยาไปให้ จริงหรือไม่เล่าขอรับ"
พระยาพลเทพตกใจสุดชีวิต ในที่สุด สิ่งที่ตนกลัวก็เกิดขึ้นจนได้
ทหารของพระยากำแหงจับพระยาพลเทพกับขุนแผลงฤทธิ์เข้าไปขังในคุกในตอนค่ำ
ในคุก มีขุนนางคนอื่นตามรายชื่อถูกขังอยู่ก่อนแล้ว ในขณะที่พระยากำแหงยืนมองทุกคนด้วยสายตา
เย็นชา
" อีกไม่นาน จะมีการพิจารณาโทษ หากอยากจะได้กระไร ก็ขอให้บอกกระผมมา ถ้าไม่เหลือบ่ากว่าแรง กระผมจะทำให้"
พระยากำแหงสีหน้าบึ้งตึงเดินนำทหารออกจากคุกไป
พระยาพลเทพหันไปมองขุนนางคนอื่นที่ถูกขังร่วมกับตน
"นี่ถูกจับมาหมดเลยรึ"
ขุนนาง 1พยักหน้า หมดอาลัยตายอยาก
"ออกญากำแหง แจ้งว่าจะมีงานเลี้ยงในพระบรมมหาราชวัง พวกเราจึงมาพร้อมกัน จึงเสียทีถูกจับในคราเดียว"
ขุนนาง 2 ร้องไห้ ปล่อยโฮลั่น กลัวตายสุดๆ
"เรื่องแต่ครั้งศึกพระเจ้าอลองพญาไม่ควรจะต้องถูกจับเลย ศึกในครานี้ ฉันก็ไม่ได้เอาใจออกห่างเสียหน่อย เหตุใดต้องถือเป็นโทษด้วย ไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย"
ขุนแผลงฤทธิ์แค้นมาก
"เพราะอีนังลูกเศรษฐีโรงกระดาษแท้ๆเทียว หากรู้ว่า วันหนึ่งมันจะแก้กลบทในสาส์นลับได้ ควรจะฆ่ามันทิ้งเสีย ไม่ควรต้องกลัวกรมขุนวิมลภักดีเลย"
พระยาพลเทพหน้าขรึมลง
"พวกเรายังไม่ได้ถูกจับทั้งหมดดอก ยังมีอีกคนหนึ่งที่รอดไปได้ แลมันผู้นั้น ต้องหาทางช่วยพวกเรา หาไม่แล้ว ข้าจะลากคอมันมาตายพร้อมกันให้จงได้"
พระยาพลเทพขบกรามแน่น โหดเหี้ยม
ตำหนักเจ้าจอมเพ็ญยามเช้า
เจ้าจอมเพ็ญกำลังกระวนกระวายอย่างหนัก เพราะรอฟังข่าวจากจมื่นศรีสรรักษ์ โดยมีเลื่อนนั่งพับเพียบอยู่ใกล้ๆ
เพ็ญร้อนใจสุดๆ
"นังเลื่อน เอ็งไปดูทีสิ ว่าคุณพระนายมาแล้วหรือไม่"
"คุณพระนายมาเมื่อใด ก็เข้ามาเองล่ะเจ้าค่ะ หม่อมแม่อย่ากังวลไปเลย"
เลื่อนกลัวๆ แต่ก็ต้องเลียบๆเคียงๆถาม "เอ่อ หม่อมแม่เจ้าขา ที่ออกญาพลเทพถูกจับข้อหาทุรยศนั้น เอ่อ หม่อมแม่มีส่วนเกี่ยวข้องด้วยหรือไม่เจ้าคะ"
ขาดคำเจ้าจอมเพ็ญก็หันไปบีบคอเลื่อนทันที
เพ็ญสายตาเหี้ยมอำมหิต
"อยากรู้นักรึนังเลื่อน เอ็งอยากรู้มากนักรึ"
เลื่อนโดนบีบคอจนหายใจไม่ออก
"ไม่เจ้าค่ะ ไม่อยากรู้แล้วเจ้าค่ะ"
เพ็ญขู่ด้วยแววตาดุดัน
"จำไว้นังเลื่อน เรื่องบางอย่างเอ็งอย่ารู้มาก เว้นแต่เอ็ง อยากจะลงไปอยู่ในอ่างแก้ว เหมือนนังคุณท้าวสาลิกาอีกคน"
เลื่อนกลัวสุดขีด ยกมือไหว้
"อย่าเจ้าค่ะ บ่าวกลัวแล้วเจ้าค่ะ"
ขณะนั้นเอง จมื่นศรีสรรักษ์ก็เดินเข้ามาในตำหนัก ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
จมื่นศรีสรรักษ์มีท่าทางเครียดๆ ซึมๆ เพราะรู้สึกผิดเรื่องพี่ตลอดเวลา แต่เมื่อพี่ให้มาช่วย ตนก็ต้องมา
"คุณพี่ขอรับ"
เจ้าจอมเพ็ญเห็นน้องมา ก็ปล่อยมือจากการบีบคอเลื่อน
เลื่อนไอโขลก หลังจากถูกบีบคอจนหายใจไม่ออก
เจ้าจอมเพ็ญตะคอก "ไสหัวออกไป"
" เจ้าค่ะ"
เลื่อนรีบลนลานหนีไปทันที
เพ็ญร้อนใจสุดๆรีบเข้าไปหาน้อง "เป็นอย่างไรบ้างคุณพระนาย"
ศรีสรรักษ์ถอนใจหน้าเศร้าๆ
"อย่ากังวลเลยขอรับ ในรายชื่อตามสาส์นลับ ไม่มีชื่อคุณพี่อยู่ แลกลักลายผีเสื้อที่เป็นสัญลักษณ์ของคุณพี่ กระผมก็เอามาด้วยแต่คราที่ได้สาส์นปลอมมา ฉะนั้น ไม่มีกระไรสาวถึงตัวคุณพี่ได้ดอกขอรับ"
เจ้าจอมเพ็ญยิ้มดีใจ แต่แล้วก็ฉุกคิดขึ้น
"ยังสิ้นกังวลไม่ได้ดอก เพราะออกญาพลเทพยังอยู่ อาจซัดทอดถึงพี่เมื่อใดก็ได้"
" แต่เราไม่มีผู้ใด จะเข้าไปปิดปากออกญาพลเทพถึงในคุกได้นะขอรับ"
เจ้าจอมเพ็ญคิดอยู่ครู่หนึ่ง
"ผู้ใดเป็นประธานในการตัดสินคดีนี้"
"ฟังว่าเป็นพระองค์ชายเชษฐ์ขอรับ"
พอเจ้าจอมเพ็ญรู้ว่าคนตัดสินคือพระองค์เจ้าเชษฐ์ ก็ยิ้มเจ้าเล่ห์ มีหวังขึ้นมาทันที
ตลาดยามสายบรรยากาศดูเงียบเหงา มีคนเดินโหรงเหรงต่างจากทุกครั้ง
ขันทองยืนมองบรรยากาศของตลาดด้วยสีหน้าสลดใจ ในภาวะสงคราม ทัพอังวะตั้งห่างจากกำแพงเมืองไม่มาก ทำให้ทุกอย่างดูตึงเครียด ซึมเศร้าไปหมด
ขณะนั้นเอง แมงเม่าก็เดินเข้ามาหาขันทอง
แมงเม่ายิ้มแย้ม "ออกพระศรีเจ้าคะ"
ขันทองหันไปยิ้มรับ
"ให้การเป็นอย่างไรบ้าง"
"ฉันแสดงวิธีถอดกลบทให้ลูกขุนทุกท่านดู แลเล่าถึงตอนที่ได้กลักลายผีเสื้อมา รวมถึงจมื่นศรีสรรักษ์มีส่วนในการตามล่าออกญาสีหราชเดชะแลเผาเรือนฉันด้วย แม้จะไม่มีหลักฐาน แต่ก็อาจสาวไปถึงตัวเจ้าจอมเพ็ญก็เป็นได้นะเจ้าคะ"
"ฉันก็หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น" ขันทองมองไปรอบๆ แล้วหน้าเศร้าลงอีก
แมงเม่ามองตามขันทอง พอเข้าใจสิ่งที่ขันทองคิด
"อย่ากังวลไปเลยเจ้าค่ะ สิ้นศึกเมื่อใด อโยธยาก็คงกลับมาคึกคักเหมือนเดิม เราจับตัวคน
ทุรยศได้แล้ว อโยธยาไม่แพ้ศึกดอกเจ้าค่ะ"
" แล้วเจ้าเล่า สิ้นศึกแล้ว จะอยู่เป็นข้าหลวงต่อหรือไม่"
แมงเม่ายิ้มแย้ม
"ไม่ต้องรอสิ้นศึกดอกเจ้าค่ะ แค่ตัดสินลงโทษพวกออกญาพลเทพเท่านั้น ฉันก็ทูลลาเสด็จพระองค์หญิงแล้ว ทุกวันนี้อึดอัดเหมือนจะตาย"
ขันทองมองแมงเม่าด้วยสายตากรุ้มกริ่ม
"ถ้าเจ้าไปจริง ฉันคงคิด..."
ขันทองพูดไม่ทันจบ ก็ได้ยินเสียงม่วงดังขัดจังหวะขึ้น
" เจ้าแมงเม่า"
แมงเม่าเหลือบไปมองตาม เห็นม่วงเดินมาทางตนก็ดีใจสุดๆ รีบวิ่งเข้าไปหาม่วงทันที
"พี่ม่วง"
ขันทองหน้าเจื่อน โดนขัดจังหวะอีกแล้ว
แมงเม่าวิ่งเข้าไปโดดสวมกอดพี่ชาย ม่วงก็กอดน้องด้วยความคิดถึงเช่นกัน
" กระไรกัน สาวชาววัง กิริยาราวกับม้าดีดกะโหลก"
แมงเม่าไม่สนใจ กอดพี่ชายต่อด้วยความดีใจ
ม่วงลูบหัวน้องด้วยความเอ็นดู ก่อนจะหันไปเห็นขันทองแล้วส่งยิ้มให้
ขันทองยิ้มรับ รู้สึกสุขใจไปด้วยที่เห็นแมงเม่าได้เจอกับพี่ชายอีกครั้ง
ผ่านวลาต่อมา ม่วงก้มลงกราบเท้าพ่อ โดยมีแมงเม่า ชื่น อิน ติ่น และผล คอยมองด้วยความ
ปลาบปลื้มอยู่ใกล้ๆ ในขณะที่ขันทองอยู่ห่างออกไปเล็กน้อย
มิ่งลูบหัวม่วงด้วยความดีใจสุดๆ
"ได้เห็นพ่อม่วงปลอดภัย พ่อก็ดีใจที่สุดแล้วลูกเอ๊ย กลับมาอยู่กับพ่อนะลูกนะ"
"ยังกลับไม่ได้ดอกจ้ะ พระยาตากมีบุญคุณกับฉันนัก ฉันต้องอยู่รับใช้ท่าน แลจะได้เอาบำเหน็จศึกมาไถ่โทษที่เกิดขึ้นด้วย ที่ลอบกลับมาได้ครานี้ ก็เพราะมีศึกติดพัน หาไม่แล้ว ฉันก็คงไม่กล้ากลับมาดอก"
"จะต้องไถ่โทษทำไมขอรับ ก็ในเมื่อ..." ผลว่า
มิ่งรีบดุ ไม่อยากให้ลูกชายรู้ว่ายี่สุ่นยังไม่ตาย "อ้ายผล"
ผลอึกๆอักๆทำอะไรไม่ถูก
อินหน้าขรึมลง รู้ว่าทำไมมิ่งถึงปรามผลแบบนี้
ชื่นรีบแก้ให้ กลัวม่วงจับพิรุธได้
"อยู่ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร แต่อย่างไรพ่อม่วงค้างที่นี่สักคืน ให้น้าหายคิดถึงเถิดนะจ๊ะ"
ม่วงยิ้มแย้ม "จ้ะน้าชื่น"
"ถ้ากระนั้น ฉันไปทำกับข้าวกับปลาให้พี่ม่วงก่อนนะจ๊ะ" อินหันไปพูดกับติ่นและผล "ติ่น ผล มาช่วยข้า"
"ขอรับ แม่นาย"
อินเดินเลี่ยงไปพร้อมกับติ่นกับผล
ม่วงมองตามอินไป ตั้งแต่อินจะเสียสละหนีไปกับตน ม่วงก็คิดถึงอินมาตลอด มีเรื่องอยากคุยกับอินมากมายแต่ยังไม่มีโอกาส
แมงเม่าเข้าไปกอดประจบชื่น
"น้าชื่นจ๋า พี่ม่วงกลับมาอย่างนี้ ฉันจะกลายเป็นหมาหัวเน่าหรือไม่จ๊ะ"
ชื่นหัวเราะ
"ต๊าย ดูพูดเข้า กระบวนประจบ ไม่มีใครเกินเลยจริงจิ๊ง"
แมงเม่ายิ้มได้ใจ ยิ่งกอดชื่นแน่นกว่าเดิม ท่ามกลางรอยยิ้มของม่วง มิ่ง และชื่น
ขันทองยิ้มบางๆ
"ฉันรออยู่ที่หน้าเรือน เจ้าจะกลับเข้าวังเมื่อใด ก็ไปตามฉันเถิด"
ขันทองจะเดินเลี่ยงลงจากเรือน เพื่อเปิดโอกาสให้ครอบครัวอยู่ด้วยกัน
"ประเดี๋ยวก่อนขอรับคุณพระ กระผมมีข่าวจากท่านเจ้าคุณมาแจ้ง" ม่วงบอก
ขันทองมองม่วงด้วยความสงสัยว่าเรื่องอะไร
ขันทองเดินคุยกับม่วงมาตามริมคลอง
"หมดเรื่องพระยาพลเทพแลกลุ่มคนที่ทุรยศแล้ว ท่านเจ้าคุณอยากให้ออกพระ... เอ่อ พ่อขันทองไปอยู่กับท่าน ช่วยกันทำศึก จะได้มีบำเหน็จไว้ไถ่โทษเหมือนเช่นฉัน"
"ขอบพระคุณท่านเจ้าคุณกับพี่ม่วงมาก แต่ฉันยังมีเรื่องต้องสะสางอยู่ แค้นของพ่อนั้น คงสิ้นสุดด้วยโทษทัณฑ์ของออกญาพลเทพ แต่แค้นของแม่ ฉันยังหาตัวคนที่ทำให้แม่ตายไม่ได้ ฉะนั้น ฉันคงต้องอยู่ในวังต่อ" ขันทองบอก
ม่วงมองขันทองแบบแซวๆ
"เฉพาะเรื่องแม่เท่านั้นหรือ ฉันคิดว่าพ่อ จะมีเรื่องอื่นให้อยากอยู่ในวังต่อเสียอีก"
ขันทองรีบกลบเกลื่อน
"เอ่อ พี่ม่วงหมายถึงเรื่องกระไรรึ"
"ก็เรื่องน้องสาวตัวดีของฉันน่ะซี นังเยื้อนมันพูดปาวๆว่าพ่อมีใจให้เจ้าแมงเม่า"
ขันทองเขิน รีบแก้ตัว "พี่ม่วงอย่าไปฟังมัน นังนี่สักแต่ว่ามีปากไว้พูด"
"กระนั้นรึ เสียดาย" ม่วงตบบ่าขันทอง ปั้นหน้าขรึม "ฉันชอบพ่อขันทอง นับถือทั้งน้ำใจแลปัญญา แต่เมื่อพ่อขันทองไม่ชอบน้องสาวฉัน ก็คงต้องยอมให้กลับไปหาท่านเจ้าคุณกำแหงเสียแล้ว"
ขันทองตกใจ "ประเดี๋ยวก่อน ฉัน..."
ขณะนั้นเอง แมงเม่าก็เดินเข้ามาหาพอดี
แมงเม่าระแวง
"คุยกระไรกัน ได้ยินเหมือนเรียกชื่อฉันด้วย นินทาลับหลังกันรึ"
ม่วงหัวเราะชอบใจ
"เสียฤกษ์แล้วคุณพระ เอาไว้ค่อยคุยกันต่อวันหลังเถิด"
ม่วงเดินเลี่ยงไปยิ้มๆ แบบมีเลศนัย
แมงเม่ามองตามพี่
"มีพิรุธนัก" ก่อนจะหันมามองอย่างคาดคั้น "ต้องคุยเรื่องไม่ดีกันอยู่เป็นแน่ ใช่หรือไม่เจ้าคะ"
ขันทองหน้าเสีย ก่อนจะรีบปั้นหน้าดุ
"ออกจากวังมานานไปแล้ว ถ้ายังไม่รีบกลับ ระวังจะถูกเอ็ดเอาล่ะ"
ขันทองรีบเดินเลี่ยงไปทางคลองทันที
"คิดว่าจะปิดฉันได้ ก็ให้รู้กันไป"
แมงเม่าเหยียดปากใส่ก่อนรีบเดินตามขันทองไปทันที
เรือนใหม่ของมิ่ง อินกำลังทำกับข้าวอยู่ในครัว
ขณะนั้นเอง ม่วงก็เข้ามากอดอินจากทางด้านหลัง อินสะดุ้งตกใจ รีบหันกลับมาดูก็เห็นม่วงเข้า
" พี่ม่วง" อินตั้งสติได้ก็เขินอาย "ทำกระไรจ๊ะ ประเดี๋ยวอ้ายติ่น อ้ายผลก็เข้ามาเห็นดอก"
ม่วงยิ้มกรุ้มกริ่ม
" ก็เห็นไปซี ผัวเมียหยอกเย้ากัน มีกระไรแปลก"
อินเขินอาย พยายามเบี่ยงตัวออก
"อย่าจ้ะพี่ม่วง ฉันอายบ่าวไพร่มัน"
ม่วงหอมแก้มอินเข้าไปหนึ่งที ก่อนจะยอมปล่อย แล้วหันมาจับมืออินแทน
ม่วงยิ้มแย้ม
"นับแต่ที่ฉันเห็นน้ำใจแม่อิน คราที่ช่วยฉันหนีแล้ว ฉันก็สิ้นสงสัยสิ้นระแวงที่เคยมี นับแต่นี้ เรามาเริ่มต้นกันใหม่เถิดนะ"
อินหน้าเศร้าลง
"แล้วเรื่องพี่อิ่มเล่าจ๊ะ"
"ถ้าแม่อินกลัวแม่อิ่มมาหลอกหลอน เราก็ค่อยหาทางบอกกล่าวให้วิญญาณแม่อิ่มเข้าใจ แลหากแม่อิ่มไม่ยินยอม ยังหลอกหลอนอยู่ เราก็อยู่กันไปอย่างนี้ ฉันจะไม่ถือโทษโกรธเคืองกระไรแม่อินอีก"
อินยิ้มแย้มดีใจมาก นึกถึงเรื่องยี่สุ่นได้ หน้าขรึมลง
"แต่เรื่องแม่สุ่น"
" สุ่นตายไปแล้ว แม่อินอย่าได้ติดใจกระไรเลย"
"มิได้จ้ะ ฉันเพียงแต่อยากบอกว่าแม่สุ่นยังอยู่"
ม่วงตกใจ นึกไม่ถึงว่าสุ่นยังมีชีวิตอยู่
"แต่น้าชื่นกับพ่อรังเกียจแม่สุ่นนัก จึงไม่ยอมบอกเรื่องนี้กับพี่"
ม่วงดีใจมากแต่พยายามเก็บอาการ ไม่อยากให้อินต้องน้อยเนื้อต่ำใจ
ยามบ่ายที่โรงรับชำเรา
กล้าถูกเตะจนล้มคว่ำ
ม่วงเป็นคนเตะกล้าล้มคว่ำต่อหน้าลูกน้อง โดยมียี่สุ่น ออกญาหมิ่นยืนดูอยู่ใกล้ๆ ที่ท้องยี่สุ่นมีรอยแผลเป็นจากการถูกกล้าแทงอยู่
กล้าแค้นมาก ลุกขึ้นยืน
"อ้ายม่วง มึงยังมีหน้ากลับมาเหยียบอโยธยาอีกรึ ก็ดี กูจะได้จับมึงส่งกรมเวียงเสีย"
ม่วงยิ้มเยาะ
"จับกู ข้อหากระไรวะ หรือมึงไม่เห็นว่านังสุ่นยังอยู่ ฉะนั้น ข้าไม่ใช่นักโทษคดี" ม่วงชี้หน้ากล้า "แต่มึงต่างหากอ้ายกล้า มึงหนีคดีที่ทำร้ายท่านเจ้าคุณกำแหง กูจะจับมึงไปรับโทษประเดี๋ยวนี้"
กล้าหน้าเสีย กลัวขึ้นมา เลยรีบหันไปสั่งลูกน้อง "ฆ่ามัน"
พวกลูกน้องบุกเข้าไปรุมม่วงทันที
แต่ม่วงฝีมือดีกว่าเดิมมาก เพราะฝึกกับพวกพันหาญและหลวงพิชัยอาสามา เลยใช้แม่ไม้มวยไทยเข้าสู้กับพวกลูกน้องกล้า ทั้งเตะต่อยศอกเข่า ประเคนใส่จนลูกน้องกล้าร่วงไปทีละคน
กล้าเห็นม่วงเก่งขึ้นขนาดนี้ก็ชักกลัว เลยฉวยโอกาสหนีไปทันที
ม่วงเหลือบมาเห็นเข้า
"นกรู้นักนะมึง อ้ายกล้า" แล้วชี้หน้าพวกลูกน้องที่สะบักสะบอมอยู่กับพื้น
"กลับไปบอกลูกพี่เอ็ง ว่าอย่าโผล่หน้ามาให้ข้าเห็นอีก มิฉะนั้น ข้าจะไม่ละเว้นเหมือนครานี้แน่"
พวกลูกน้องต่างหวาดกลัว ประคองกันหนีไปอย่างทุลักทุเล
ม่วงหันกลับไปมองออกญาหมิ่นที่รีบประจบ
" พ่อม่วงหมดมลทิน ปลอดภัยกลับมา ฉันดีใจนัก" แล้วหันไปสั่งยี่สุ่น "นังสุ่น รีบไปต้อนรับขับสู้พ่อม่วงสิ"
ยี่สุ่นยังไม่ทันทำอะไร ม่วงก็หยิบถุงใส่เงินโยนลงไปที่พื้นต่อหน้าออกญาหมิ่น
"ค่าไถ่ตัวแม่สุ่น นับแต่นี้ แม่สุ่นเป็นอิสระแล้ว"
ยี่สุ่นตกใจ
"พี่ม่วง ไม่ได้นะจ๊ะ ฉันเป็นแค่หญิงบำเรอชาย จะไปอยู่กับพี่ออกหน้าออกตาให้เป็นเสนียดไม่ได้"
ม่วงมองยี่สุ่นนิ่ง
"สุ่นเอ๊ย เอ็งต่ำก็แต่ตัว แต่ใจเอ็งนั้นสูงนัก ข้าจะให้ค่าขี้ปากคนเหนือน้ำใจเอ็งได้อย่างไร ไปเก็บข้าวของแล้วไปกับข้า"
ยี่สุ่นน้ำตาคลอด้วยความซึ้งใจ "พี่ม่วง"
ออกญาหมิ่นหยิบถุงใส่เงินมานับ
"เบี้ยเพียงเท่านี้ ยังค้างกับนังสุ่นคืนเดียวไม่ได้เลย แล้วจะไถ่ตัวได้อย่างไรกันพ่อม่วง"
ม่วงชี้หน้าออกญาหมิ่น
"เอ็งรวมหัวกับอ้ายกล้าใส่ความข้า ข้าไม่เอาเรื่องก็บุญเท่าใดแล้ว ยังมีหน้าจะมาเอาเบี้ยเพิ่มอีกรึ" ม่วงมองไปรอบๆ ยิ้มเล็กน้อย
"แลเพลานี้เป็นหน้าศึก โรงโสเภณีของเอ็ง ไม่มีลูกค้ามานานเท่าใดแล้ว" พลางแบมือออก "หากไม่อยากได้ ก็เอาเบี้ยของข้าคืนมา"
หมิ่นเจ็บใจ แต่ก็เก็บถุงใส่เงินเข้าอกเสื้อ ไม่ยอมคืน
ยี่สุ่นมองม่วงด้วยสายตารักใคร่เต็มเปี่ยม ดีใจมากที่ตนได้ไถ่ตัว และได้อยู่กับคนที่ตนรักอีกครั้ง
ม่วงดึงยี่สุ่นเข้ามาสวมกอดเอาไว้อย่างรักและหวงแหน
ยี่สุ่นก้มลงกราบมิ่ง และชื่น โดยมีม่วงนั่งหน้าจ๋อยๆอยู่ข้างๆ ส่วนอิน ติ่น และผล ก็นั่งอยู่ใกล้ๆ
ยี่สุ่นยิ้มแย้ม
"ฉันไหว้แลขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยจ้ะ พ่อท่าน น้าท่าน"
มิ่งพูดหน้านิ่งๆ ไม่โวยวาย "ข้าไม่เคยมีลูกเป็นหญิงอัปรีย์"
ยี่สุ่นหน้าเสียทันที
ม่วงรีบช่วย
"พ่อท่าน แม่สุ่นไม่มีที่พึ่งที่ใดอีกแล้ว ขอให้นึกเสียว่าสงสารลูกนกลูกกาเถิด"
มิ่งบอก"นกมันไม่ขายตัวกินดอกโว้ย"
ยี่สุ่นหน้าเศร้าลงไปอีก
อินรีบช่วยอีกแรง
"แม่สุ่นจ๊ะ ฉันจัดห้องหับไว้ให้แล้ว แม่สุ่นตามฉันไปดู นะ ว่าถูกใจหรือไม่"
ยี่สุ่นหน้าจ๋อยๆ "ขอบน้ำใจจ้ะ"
ยี่สุ่นตามอินเลี่ยงเข้าข้างในไป
ติ่นหน้าหงิก "แม่พระแท้ แม่นายของอ้ายติ่น" แล้วเหล่มองม่วง "ไม่รู้จะมีคนเห็นความดีบ้างหรือไม่"
" อ้ายติ่น พ่อข้าด่า ข้าทนได้นะโว้ย แต่เอ็งกล้าว่ากระทบข้าเชียวรึ" ม่วงถาม
ติ่นสะดุ้ง ยกมือไหว้กลัวๆ ยิ้มแหยๆ
"ขอประทานโทษขอรับ"
ขาดคำ ผลก็ตบหัวติ่นเข้าไปหนึ่งที
"โอ๊ย เอ็งตบหัวข้าทำไมวะอ้ายผล"
ผลไม่รู้ไม่ชี้ หันไปพูดกับม่วง
"กระผมลงโทษอ้ายติ่นให้แล้วขอรับ"
ติ่นเหล่มองเพื่อนแบบเจ็บใจ
ชื่นถอนใจ
"พ่อม่วงนะพ่อม่วง น้ากับพ่อสู้อุตส่าห์ปิดเรื่องนี้ไว้ ก็ยังไปเอาตัวมาอีก รู้ทั้งรู้ว่าพ่อกับน้ารังเกียจแม่สุ่นผู้นี้นัก ก็ยังจะฝืนใจให้มาอยู่ร่วมชายคาเดียวกันอีก"
"น้าชื่นอดทนอีกสักนิดเถิดนะ พระยาพลเทพถูกลงโทษเมื่อใด เราก็คงสู้ศึกง่ายขึ้น เมื่อจบศึกอังวะแล้ว ฉันจะปลูกเรือนให้แม่สุ่นอยู่ ไม่ให้พ่อกับน้าชื่นต้องหวานอมขมกลืนดอกจ้ะ"
มิ่งงงๆ "แล้วออกญาพลเทพมาเกี่ยวกระไรด้วย แลถูกลงโทษแล้ว เหตุใดจึงสู้ศึกง่ายขึ้น ข้าจับต้นชนปลายไม่ถูกแล้ว"
ม่วงแปลกใจ
"นี่เจ้าแมงเม่ายังไม่ได้เล่าให้พ่อกับน้าชื่นฟังหรือจ๊ะ"
มิ่ง ชื่น ติ่น และผล หันไปมองหน้ากันไปมา แล้วส่ายหน้าพร้อมกัน
ม่วงถอนใจ "เรื่องนี้ เกี่ยวพันกับที่เราถูกเผาเรือนด้วย"
ทุกคนสนใจฟังม่วงเล่าเรื่องราวทั้งหมด
ตำหนักพระองค์เจ้าเชษฐ์ตอนหัวค่ำ
เจ้าจอมเพ็ญ และจมื่นศรีสรรักษ์กำลังคุยกับพระองค์เจ้าเชษฐ์ โดยมีเลื่อนนั่งพับเพียบอยู่ใกล้ๆ ภายในตำหนัก
"อันที่จริง นอกจากคำให้การของแม่แมง... " นึกแล้วเจ็บใจ "นังกาลกิณีนั่น ก็ไม่มีหลักฐานใดซัดทอดถึงเจ้าจอมอยู่แล้ว แลเราก็สนิทสนมกัน ฉันจะไม่ช่วยเจ้าจอมได้อย่างไร แต่ถ้าจะให้ช่วยขุนน้ำขุนนางคนอื่นด้วย ฉันเห็นว่าเหลือบ่ากว่าแรงนัก"
จมื่นศรีสรรักษ์ดีใจ ห่วงพี่แต่เกลียดพระยาพลเทพอยู่แล้ว
"ถ้ากระนั้น ก็อย่าทรงช่วยเลย แค่มีพระเมตตาช่วยพี่สาว"
เจ้าจอมเพ็ญพูดสวนขึ้น "คุณพระนาย" แล้วพูดเบาๆกับน้อง "ถ้าไม่ช่วย แล้วพี่ถูกสาวไส้ขึ้นมา คุณพระนายช่วยพี่ได้รึ"
จมื่นศรีสรรักษ์หน้าหงิก ไม่พอใจแต่ก็ไม่กล้าเสี่ยง
" เสด็จพระองค์ชาย ทรงมีพระเมตตาแก่สัตว์ผู้ยากด้วยเถิดเพคะ เพลานั้น ทุกผู้คนต่างหวาดกลัวจึงจำต้องเอาตัวรอด แต่ศึกครานี้ ก็หาได้เอาใจออกห่างไม่ ได้โปรดยกโทษให้ด้วยเถิดเพคะ"
จมื่นศรีสรรักษ์เบะปาก จะศึกไหนก็ทุรยศมันทุกศึก แต่ไม่อยากให้พี่ซวยเลยไม่พูด
พระองค์เชษฐ์ชักรำคาญที่เจ้าจอมเพ็ญตื๊อ
"ขุนนางนับสิบคน จะให้ฉันช่วยทั้งหมดเลยรึ มากไปกระมัง"
เจ้าจอมเพ็ญหันไปพูดกับเลื่อน "นังเลื่อน"
"เจ้าค่ะ"
เลื่อนคลานเข่า ก่อนจะลุกขึ้นเลี่ยงออกไป
ซักพัก เลื่อนก็นำหญิงสาวสวยสองคนเข้ามา แล้วคุกเข่าลงต่อหน้าพระองค์เจ้าเชษฐ์
พระองค์เชษฐ์เห็นสาวสวยก็ตาลุกวาวทันที "ข้าหลวงใหม่รึ"
เลื่อนยิ้มแย้ม
"มิได้เพคะ แม่เลื่อมกับแม่ล้ำ เป็นหญิงที่หม่อมแม่ตั้งใจหามาถวายเสด็จพระองค์ชายเพคะ"
สองสาวสวยงามหน้าทั้งตาและผิวพรรณ ดูจิ้มลิ้มเอียงอาย
พระองค์เจ้าเชษฐ์ยิ้มกรุ้มกริ่มขึ้นมาทันที เจ้าจอมเพ็ญช่างรู้ใจอะไรอย่างงี้
พระองค์เจ้าเชษฐ์นั่งอยู่บนตั่งเพื่อพิจารณาคดีที่ศาลาในวังยามเช้า
พระยากำแหง นั่งอยู่บนตั่งตัวที่ต่ำลงมา และมีทหารล้อมรอบทั่วศาลา
ในขณะที่พระยาพลเทพ ขุนแผลงฤทธิ์ และขุนนางที่ถูกจับข้อหากบฏอีกสิบกว่าคน ล้วนนั่งคุกเข่าอยู่บนพื้น ถูกมัดมือ และเปลือยอกสวมแต่โจงกระเบนตัวเดียว
"คดีนี้สำคัญนัก แลผู้ถูกกล่าวหาล้วนเป็นขุนนางผู้ใหญ่ ฉะนั้น ต้องทำโดยรอบคอบ จะด่วนตัดสินเพียงเพราะหลักฐานเท่านี้ไม่ได้ ฉันจึงเห็นควรให้ตั้งกลุ่มคนขึ้นมาสืบสวนโดยจำเพาะ ระหว่างนี้ก็ให้ปล่อยตัวไปก่อน"
พระยากำแหง ดูอึ้งไปกับคำพิจารณา
"แต่หน้าที่ราชการทั้งหมดให้พักไว้ ห้ามยุ่งเกี่ยวเป็นอันขาด"
พระยาพลเทพ และขุนแผลงฤทธิ์หันไปสบตากันด้วยความดีใจ รู้ว่าเจ้าจอมเพ็ญช่วยตนแล้ว
พระยากำแหงแปลกใจมาก
"เท่านี้เองหรือเสด็จ หลักฐานชัดเจนถึงเพียงนี้ นอกจากไม่ลงโทษแล้ว ยังปล่อยเสือเข้าป่าอีก แล้วต่อไปกฎบัตรกฎหมายจะศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างไร"
พระองค์เชษฐ์ตะคอกสวน แกล้งโมโห
"อุบ๊ะ ท่านเจ้าคุณพูดอย่างนี้ หาว่าฉันไม่ยุติธรรมรึ ก็หลักฐานฝ่ายเดียว จะให้หลับหูหลับตาเชื่อได้อย่างไร นี่ฉันก็ตั้งคนมาสืบสวนแล้ว แลยังสั่งห้ามไม่ให้ยุ่งเกี่ยวกับข้อราชการอีก ท่านเจ้าคุณจะเอาอย่างไรอีก"
พระยากำแหงยกมือไหว้
"ถ้าเสด็จทรงต้องการให้ความเป็นธรรม ก็สุดแล้วแต่เถิด แต่เสด็จทรงบอกได้หรือไม่ ว่าต้องสืบสวนอีกนานเท่าใด"
"ฉันตอบไม่ได้ดอก รีบร้อนเกินไป ผิดพลาดขึ้นมาจะเป็นบาปกรรมติดตัวได้ สืบสวนได้ความเมื่อใดก็เมื่อนั้น"
พระยาพลเทพแสยะยิ้มอย่างผยอง
พระยากำแหงขบกรามแน่นด้วยความแค้นใจ ช่วยกันชัดๆแต่ตนก็พูดมากกว่านี้ไม่ได้
มุมหนึ่งในวัง แมงเม่าดึงใบไม้ออกจากต้นแล้วขยำจนแหลกคามือ ก่อนจะตีต้นไม้ซ้ำด้วยความโกรธจัด
ขณะนั้นเองก็ได้ยินเสียงขันทองดังขึ้น
" ต้นไม้มันไม่รู้กระไรด้วย"
แมงเม่าหันไปตามเสียง เห็นขันทองยืนมองตนอยู่ด้วยสีหน้าเครียดขรึม
"เจ้าตีมันไป ก็ไม่มีกระไรดีขึ้นดอก"
แมงเม่าทั้งโมโหทั้งผิดหวังสุดๆ
"ฉันรู้เจ้าค่ะ แต่ออกพระไม่เจ็บใจบ้างเลยหรือ เพราะการนี้มีคนทั้งเจ็บทั้งตายมากมายนัก แม้แต่
บ้านฉันที่เคยอยู่กันสุขสงบก็ต้องพลัดที่นาคาที่อยู่ แต่ตัวต้นเหตุกลับไม่ได้รับโทษกระไรเลย"
"ทำไมฉันจะไม่เจ็บใจ พ่อฉันถูกหักหลังให้ไปตาย แต่คนที่หักหลังยังลอยนวล แต่เมื่อผลออกมาเป็นเช่นนี้ เราก็ต้องทำใจ"
" ทำใจ ทำใจ ทำได้เท่านั้นเองหรือเจ้าคะ"
ขันทองนิ่งไปครู่นึง ก่อนจะพยักหน้ารับช้าๆ
"เราทำสุดปัญญาแล้วเจ้า แต่ในเมื่อความเป็นธรรมมันซื้อได้ เราก็ต้องก้มหน้าฝืนใจ
รับไปเท่านั้น"
แมงเม่าขบกรามแน่น น้ำตาคลอเบ้าด้วยความแค้นใจ
ขันทองสงสารจับใจ
"อย่าหลั่งน้ำตาเพราะความอยุติธรรมเลย ไม่มีคุณอันใดดอก หากมองในแง่ดี ออกญาพลเทพสิ้นอำนาจแล้ว บ้านเมืองก็คงดีขึ้น"
แมงเม่าปาดน้ำตา พยายามทำใจให้เข้มแข็ง
"สมพรปากเถิดเจ้าค่ะคุณพระ แต่เพลานี้ ฉันไม่ได้ห่วงแต่ศึกอังวะเท่านั้น หากยังห่วงว่าบ้านเมือง
จะเป็นอย่างไรต่อไป บ้านเมืองที่ปล้นความเป็นธรรมกันง่ายๆ เช่นนี้ ก็ไม่เหลือสิ่งใดให้ยึดเหนี่ยวแล้ว เสียบ้านเสียเมืองยังกู้คืนได้นะเจ้าคะ แต่เสียความยุติธรรม ยากนักที่จะกู้ศรัทธาคืนมาได้"
ขันทองหน้าขรึมลง เห็นด้วยกับที่แมงเม่าพูดทุกประการ
พระยาพลเทพ และขุนแผลงฤทธิ์ คุกเข่าไหว้เจ้าจอมเพ็ญ
จมื่นศรีสรรักษ์ยืนอยู่ใกล้ๆเจ้าจอมเพ็ญ และมีเลื่อนนั่งพับเพียบอยู่ใกล้ๆเจ้าจอมเพ็ญ
"เป็นพระคุณนัก ที่เจ้าจอมช่วยกระผมกับขุนแผลงฤทธิ์ไว้ บุญคุณนี้กระผมจะจดจำไม่มีวันลืมเลย"
เจ้าจอมเพ็ญจะตอบ แต่จมื่นศรีสรรักษ์ชิงพูดขึ้นก่อน
"ไม่ต้องถือเป็นพระคุณดอก เพราะช่วยท่านเจ้าคุณไว้ ก็ถือว่าคุณพี่ช่วยตัวเองเช่นกัน แต่หากจะตอบแทน ก็ขอให้ท่านเจ้าคุณตอบแทนคุณแผ่นดินก็พอ"
พระยาพลเทพ และขุนแผลงฤทธิ์ชักสีหน้าไม่พอใจ แต่ก็ไม่กล้าพูดอะไรมาก
เจ้าจอมเพ็ญปรามน้อง
"คุณพระนาย จบเรื่องแล้วจะต่อความยาวสาวความยืดไปอีกเพื่อกระไรกัน"
"ถ้ากระนั้นกระผมขอลากลับเลยก็แล้วกันขอรับ อย่างไรก็ไม่มีคนคอยเข้าข้างอังวะแล้ว ไม่ช้าไม่นาน พวกอังวะก็ต้องล่าถอยกลับไป กระผมไม่ห่วงกระไรแล้ว"
จมื่นศรีสรรักษ์มองเย้ยพระยาพลเทพ ก่อนจะเดินออกไป
"นังเลื่อน ไปเตรียมข้าวปลาอาหารมาเลี้ยงรับขวัญท่านเจ้าคุณกับท่านขุนที"
เลื่อนงงๆ "นี่เพิ่งบ่ายคล้อยเองนะเจ้าคะ"
เจ้าจอมเพ็ญหน้าเครียด เสียงดุ
"ข้าสั่งให้ทำกระไรก็ไปทำเถิด"
" เจ้าค่ะ หม่อมแม่"
เลื่อนรีบเดินเลี่ยงออกไป
เจ้าจอมเพ็ญเห็นเลื่อนไปแล้วเลยพูดออกมา
"ที่คุณพระนายพูด ก็น่าคิดอยู่ เมื่อเราไม่เป็นไส้ศึกให้อังวะแล้ว ทุกสิ่งที่เตรียมมา ไม่สูญ
เปล่าหมดรึ"
พระยาพลเทพและขุนแผลงฤทธิ์หันไปยิ้มให้กันรู้ว่าเจ้าจอมเพ็ญโลภอยากเป็นแม่หยั่วเมือง
แผลงฤทธิ์ยิ้มๆ
"อย่ากังวลเลยขอรับ ถึงเราจะสิ้นอำนาจแล้วแต่อโยธยาอ่อนแอนัก เปรียบเป็นผลไม้ก็เน่าจนถึงเนื้อใน อย่างไรก็ต้านอังวะไม่อยู่ดอกขอรับ"
"เจ้าจอมโปรดวางใจ ไม่มีผู้ใดรู้จักอโยธยาดีเท่ากระผมสองคนอีกแล้ว เพียงแต่รอเวลาเท่านั้น ตำแหน่งแม่หยั่วเมืองต้องตกเป็นของเจ้าจอมเป็นแน่"
เจ้าจอมเพ็ญยิ้มดีใจ สิ่งที่ตนรอมาตลอดก็คือตำแหน่งแม่หยั่วเมืองนี่เอง
การเคลื่อนทัพของเนเมียวสีหบดีจากทางเหนือ
ลูกศรแสดงกองทัพของกรุงศรีอยุธยา พุ่งขึ้นไปปะทะกับกองทัพเนเมียวสีหดีที่บริเวณปากน้ำประสบ ริมแม่น้ำลพบุรี
กองทัพเนเมียวสีหบดีเอาชนะกองทัพกรุงศรีอยุธยา ก่อนจะเคลื่อนลงมาที่กรุงศรีอยุธยา
"หลังจากที่กองทัพของมังมหานรธาเข้ามาประชิดกรุงศรีอยุธยาได้สำเร็จ กรุงศรีอยุธยาก็ได้ให้พระยากูระติ และเจ้าพระยากลาโหม นำทัพบกทัพเรือขึ้นไปต่อสู้กับกองทัพทางเหนือของเนเมียวสีหบดีที่ปากน้ำประสบ แต่ก็พ่ายแพ้ จนแม้แต่ตัวเจ้าพระยากลาโหมก็ถูกจับเป็นเชลย ทัพของเนเมียวสีหบดีจึงเข้าประชิดกรุงศรีอยุธยาได้อีกหนึ่งทัพ เป็นการเปิดฉากการล้อมกรุงศรีอยุธยาอย่างเต็มรูปแบบ เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พุทธศักราช 2309"
1 เดือนผ่านมา
กองทัพอังวะ กับกองทัพกรุงศรีอยุธยา ต่างโห่ร้องเสียงดังกึกก้อง พุ่งเข้าประจัญบานกันอย่างดุเดือด
ต่างฝ่ายต่างสู้กันอย่างกล้าหาญ ไม่มีใครยอมใคร
หลวงพิชัยอาสา พันหาญ และม่วง ต่างบุกเข้าใส่ศัตรูในแนวหน้าอย่างไม่กลัวตาย ดาบในมือฟาดฟันศัตรูล้มตาย ศัตรูใหม่ก็บุกเข้ามาไม่มีหมด
เนเมียวสีหบดี กำลังขี่ม้าเพื่อดูสถานการณ์
พระยาตากอยู่บนกำแพงเมือง ซึ่งมีปืนใหญ่ตั้งอยู่บนเชิงเทินล้อมรอบ สายตาพระยาตากจับจ้องไปที่การเคลื่อนไหวของกองทัพอังวะอยู่ตลอด
เนเมียวสีหบดีชักดาบออก
"กำแพงเมืองอโยธยาอยู่ข้างหน้า ผู้ใดเหยียบอโยธยาได้เป็นคนแรก กูจะบำเหน็จด้วยทองนพคุณยี่สิบชั่ง" เสียงตะโกนลั่น ชี้ดาบไปข้าหน้า "บุก"
พวกทหารเฮลั่น พุ่งตรงไปที่กำแพง พร้อมอุปกรณ์ต่างๆในการปีนกำแพงทันที
พระยาตาก พูดบอกต่อทหาร
"พวกอังวะใช้กลยุทธ์กระจายกำลังกันบุกเข้าตี แล้วยึดพื้นที่หน้ากำแพงเมือง เพื่อเอาปืนใหญ่มาตั้ง หวังยิง ถล่มเข้ามาในอโยธยา จงอย่ายอมให้พวกมันทำได้สำเร็จเป็นอันขาด"
พระยาตากตะโกนสั่งเสียงดัง เด็ดขาด "ยิง"
ขาดคำ กระสุนปืนใหญ่ของกรุงศรีอยุธยาก็ยิงเข้าใส่ทหารอังวะ เสียงดังลั่นสนั่นหวั่นไหว
แมงเม่า เป้า คุณท้าวโสภา และข้าหลวงคนอื่นๆ กำลังเอาสำรับอาหารมาถวายกรมขุนวิมลภักดี และเจ้าจอมอำพัน สีหน้าแต่ละคนยิ้มแย้มอารมณ์ดี
ทันใดนั้น ก็ได้ยินเสียงปืนใหญ่ดังลั่น บรรดาสาวๆ ตกใจจนสำรับกับข้าวตกกระจาย
คุณท้าวโสภาตกใจมาก
"เสียงปืนใหญ่ รบกันแล้วเพคะ รบกันแล้ว"
เสียงปืนใหญ่ดังรัวไม่หยุด เจ้าจอมอำพัน กรมขุนวิมลภักดี ตกใจทำอะไรไม่ถูก ในขณะที่ข้าหลวงพากันกรีดร้องวุ่นวายด้วยความหวาดกลัวจนวุ่นวายไปหมด
แมงเม่าตั้งสติได้ก่อน
"แม่เป้า ไปปิดประตู หน้าต่าง เสียงเบาลงจะได้ไม่วุ่นวาย"
เป้าลนลาน "จ้ะๆ"
เป้ารีบไปทำตามที่แมงเม่าบอก
แมงเม่าพูดกับข้าหลวงทุกคน
"แม่ๆ อย่าร้อง อย่าวุ่นวายเลย หากฝ่ายในโกลาหลแล้วจะยิ่งแย่กันไปใหญ่"
ขาดคำ คุณท้าวโสภาก็กรีดร้องเสียงดังลั่น
แมงเม่าหันไปมองตาม เห็นเจ้าจอมอำพันและคุณท้าวโสภา กอดขากรมขุนวิมลภักดีด้วยความหวาดกลัว
กรมขุนวิมลภักดีก็มีท่าทางหวาดกลัว เอามือปิดหูด้วยเช่นกัน
แมงเม่ามีสีหน้าหนักใจขนาดที่นี่ยังเป็นกันถึงอย่างนี้ คนอื่นจะไม่ยิ่งกว่านี้เหรอ
เลื่อนกรีดร้องด้วยความหวาดกลัว พร้อมกับเสียงปืนใหญ่ที่ดังไม่หยุด
เจ้าจอมเพ็ญนั่งอยู่บนตั่ง ฟังเสียงปืนใหญ่ด้วยใบหน้าหวาดกลัว ทำอะไรไม่ถูก
ข้าหลวงคนอื่นๆ ก็พากันกรี๊ดกร๊าด วิ่งไปหลบซ่อนตามที่ต่างๆจนวุ่นวายไปหมด
เลื่อนคลานเข้ามากอดขาเจ้าจอมเพ็ญ
"หม่อมแม่ หม่อมแม่เจ้าขา ช่วยด้วยเจ้าค่ะ"
เจ้าจอมเพ็ญสะบัดขาออก ตะคอก
"นังโง่ ข้าจะไปช่วยกระไรเอ็งได้ ไป ไสหัวไป๊"
ขณะนั้นเอง จมื่นศรีสรรักษ์ก็เดินเข้ามาในโถงตำหนัก
เลื่อนรีบคลานเข้าไปกอดขาจมื่นศรีสรรักษ์ด้วยความหวาดกลัว
"คุณพระนายเจ้าขา ช่วยด้วยเจ้าค่ะ"
จมื่นศรีสรรักษ์สะบัดขาออก ตะคอก
"นังโง่ ข้าจะไปช่วยกระไรเอ็งได้ ปืนใหญ่นาโว้ย ไม่ใช่ลูกหิน"
จมื่นศรีสรรักษ์เดินหงุดหงิดเข้าไปหาเจ้าจอมเพ็ญ
เพ็ญกลัวมาก แต่แข็งใจถาม
"คุณพระนาย การศึกเป็นอย่างไรบ้าง"
จมื่นศรีสรรักษ์เซ็งๆ
"ไม่ต้องกลัวดอกขอรับ อย่างไรพวกอังวะก็บุกเข้ามาไม่ได้" แล้วถอนใจพร้อมพูดแดกดัน
"แต่ไม่รู้ว่าคุณพี่เจ้าจอมจะดีใจหรือเสียใจนะขอรับ"
เจ้าจอมเพ็ญค้อนใส่น้องชาย
"ยามหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้ ยังมีแก่ใจมาแดกดันพี่อีกรึ"
มีเสียงปืนใหญ่ดังลั่น จนตำหนักเจ้าจอมเพ็ญสั่นไปด้วย ฝุ่นผงร่วงกราว
เจ้าจอมเพ็ญกลัวมาก เข้าไปกอดแขนน้องชาย
เจ้าจอมเพ็ญเจ็บใจ พาล
"ยิงปืนสู้กันก็ไม่บอกเล่าเก้าสิบ น่าเอาไปตัดหัวนัก"
เสียงปืนดังลั่นอีก จนเจ้าจอมเพ็ญสะดุ้ง ต้องกอดน้องชายไว้แน่น
ขันทอง และพระยากำแหง กำลังช่วยกันนำและสั่งการพวกโขลน ท่ามกลางเสียงปืนใหญ่ที่ดังรัวตลอดเวลา
"กระจายไปทั่วทุกตำหนัก คอยปลอบขวัญทุกคนเอาไว้ อย่าให้โกลาหล"
พวกโขลนกระจายกันไปตามคำสั่ง แต่พวกตนก็กลัว บางคนวิ่งไป เอามือปิดหูไปเพราะกลัวเสียงปืนใหญ่
"ทางนี้ ให้เป็นหน้าที่คุณพระก็แล้วกัน ฉันจะไปคุมทหารให้ปิดช่องประตูต่างๆไว้"
"เจ้าค่ะ"
ขณะนั้นเอง ก็เห็นหลวงศรีมะโนราชถือขวดเหล้าเดินเมา หัวเราะร่วนมา โดยมีขุนรักษ์เทวาคอยตามห้าม ห้ามไปก็เอามืออุดหู กลัวเสียงปืนใหญ่ไปด้วย
" ยิงอีก ยิงเข้าไปอีก ข้าอยากดูความสนุกสนาน ยิงเข้าไป" หลวงศรีมะโนราชกรอกเหล้าเข้าปากอีก
ขุนรักษ์เทวาห้ามไปกลัวไป "เมาแล้วก็กลับไปนอนเถิดคุณหลวง" เสียงปืนใหญ่ดังเข้ามา "
ว้าย เป็นภาระให้ผู้อื่นอยู่ได้ ว้าย"
" ไม่นอนโว้ย ไม่ใช่บ้านเมืองข้า จะรบก็รบกันไป ข้าจะชมดูให้สนุกเชียว"
หลวงศรีมะโนราชเมามากพลางหัวเราะชอบใจ
หลวงศรีมะโนราชเดินเมาเลี่ยงไป
"โอ๊ย ประเดี๋ยวก็ผลักไปรับลูกปืนใหญ่เสียเลย" ขุนรักษ์เทวาบอกและรีบตามไปอีก
ขันทอง และพระยากำแหง มองตามด้วยความอ่อนใจ
พระยากำแหงส่ายหน้า
"คนต่างด้าว ท้าวต่างเมือง จะหมายให้รักอโยธยาได้อย่างไร"
พระยากำแหงเดินเลี่ยงไปอย่างเซ็งๆ
ขันทองพูดตามไล่หลังไป
"มิใช่ทุกคนดอกท่านเจ้าคุณ"
ขันทองหันมองไกลออกไปทางสนามรบ ด้วยสีหน้าแววตาศรัทธาและชื่นชม
"ถึงต่างด้าวแต่ก็อยู่ใต้ฟ้าเดียวกัน"
ขันทองนึกถึงพระยาตากที่เป็นคนจีน
พระยาตากยืนอยู่บนกำแพงเมือง แล้วยิงปืนยาวใส่ทหารอังวะ
ลูกกระสุน พุ่งเข้าใส่ทหารอังวะคนหนึ่งที่กำลังจะปีนกำแพง ตายคาที่ทันที
พระยาตากนำทหารไทยต่อสู้อย่างองอาจ ไม่ยอมให้พวกอังวะรุกคืบหน้าเข้ามาได้
พระยาตากตะโกนสั่ง
"เอาลูกปืนใหญ่กับดินปืนมาอีก อย่าให้พวกมันรุกคืบหน้าได้เป็นอันขาด"
ทหาร 1 บอก "ลูกปืนกับดินปืน ถูกจำกัดไว้ในแต่ละวัน เห็นทีจะขอเพิ่มไม่ได้ดอกขอรับ"
"เอ็งบอกไปว่าสถานการณ์วิกฤตินัก จะให้พวกอังวะยึดพื้นที่ สร้างป้อมค่ายไม่ได้ แลส่งคนไปค่ายอื่น ค่ายใดไม่คับขัน ก็แบ่งปันลูกปืนดินปืนมา"
"ขอรับ"
ทหาร 1 รีบไปจัดการตามคำสั่ง
พระยาตากหันไปตะโกนสั่ง
"ยิงเข้าไป ไล่พวกอังวะกลับไปให้จงได้"
ปืนใหญ่ถูกยิงกระหน่ำใส่กองทัพอังวะอย่างหนัก
ทางด้านหลวงพิชัยอาสา ม่วง และพันหาญ
หลวงพิชัยตะโกนลั่น
"อย่าถอยแม้แต่ก้าวเดียว ยันพวกมันกลับไป"
หลวงพิชัยบุกตะลุยเข้าใส่ทหารอังวะทันที
ม่วงตะโกนลั่น "ตามคุณหลวงไป"
ม่วงพาทหารโห่ร้อง ตามหลวงพิชัยบุกสู้กับทหารอังวะโดยไม่เกรงกลัว
เนเมียวสีหบดีขี่ม้า ดูสถานการณ์ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
เนเมียวสีหบดีตะโกนลั่น
"ทหารกล้าแห่งรัตนบุระอังวะมีเท่านี้เองหรือ บุกเข้าไป"
ทหารอังวะโห่ร้อง หนุนเนื่องเข้าไปอีก ทหารไทยก็สู้กลับอย่างกล้าหาญ
พระยาตากยืนสั่งการอยู่กำแพงเมืองอย่างกล้าหาญ องอาจ
พระยาตากกำลังตกใจ
" ต้องขออนุญาตก่อนยิงปืนใหญ่ ทำไมเล่าขอรับ"
พระยาตากกำลังนั่งอยู่บนตั่ง ฟังขุนนาง 3-4 คนตำหนิอยู่ โดยมีหลวงพิชัยอาสานั่งคุกเข่าอยู่ใกล้ๆ
ขุนนาง 1โวยวาย
"ก็กระสุนกับดินปืนมีจำกัด ท่านเจ้าคุณเล่นยิงไม่บันยะบันยังอย่างนี้ เกิดหมดขึ้นมาจะทำอย่างไร"
"แต่หากไม่ยิง พวกอังวะยึดพื้นที่ แลสร้างป้อมค่ายในระยะปืนใหญ่ของพวกมันได้ แล้วระดมยิงเข้ามา จะไม่ยิ่งสาหัสกว่านี้หรือขอรับ"
หลวงพิชัยอาสาเจ็บใจมาก
"กระผมเห็นมากับตาว่าเรามีทั้งปืนใหญ่ ปืนคาบศิลา รวมทั้งดินปืน ลูกปืน กองเป็นภูเขาเลากา ยิงทุกวันเป็นปีก็ไม่หมด จะมามัวตระหนี่กันทำไมตอนนี้ขอรับ"
" แล้วหากอังวะมันล้อมเกินปีเล่า รับผิดชอบไหวรึ"
"ไม่ใช่ว่าพระเดชพระคุณทั้งหลาย มั่นใจว่าถึงฤดูน้ำหลากเมื่อใด อังวะก็จะถอยทัพกลับไปเหมือนทุกคราหรือขอรับ หากเป็นเช่นนั้น ก็คงล้อมไม่เกินปีดอกขอรับ"
ขุนนาง 1 มีท่าทีหงุดหงิด แต่ก็เถียงไม่ออก
ขุนนาง 2ถอนใจ
"คืออย่างนี้ท่านเจ้าคุณ วันนี้ฝ่ายในได้ร้องทุกข์มา ว่าท่านเจ้าคุณยิงปืนใหญ่โดยไม่ให้ตั้งตัว เป็นเหตุให้เกิดความตระหนกตกใจกันไปทั่วฝ่ายใน พวกเราจึงเห็นควรว่าต้องมีการบอกกล่าวกันก่อนจะยิงปืนใหญ่ ฝ่ายในจะได้ตั้งตัวทัน"
หลวงพิชัยอาสาบอก
"การศึกน่ะขอรับ ไม่ใช่เด็กเล่นขายของ อังวะมันคงรอให้ฝ่ายในอุดหูก่อน แล้วจึงค่อยบุกมากระมังขอรับ"
พระยาตากเครียดหนัก
"โปรดทบทวนอีกคราเถิดขอรับพระเดชพระคุณ หากต้องขออนุญาตทุกครั้งที่ยิงปืนใหญ่ กระผมเกรงว่ากว่าถั่วจะสุกงาก็ไหม้ มีแต่จะเสียหายนะขอรับ"
ขุนนาง 2อึดอัดใจ แต่ก็ต้องทำ
"พวกเราตกลงกันแล้ว ท่านเจ้าคุณมีหน้าที่ทำตามคำสั่งก็พอ"
พระยาตากถอนใจออกมาอย่างอ่อนใจ หมดหวังยันศัตรูมากขึ้นไปเรื่อยๆ
พระยาตากเดินคุยกับหลวงพิชัยอาสาด้วยความเคร่งเครียด
"กระผมนึกว่าหมดพระยาพลเทพกับพวกทุรยศแล้ว ทุกอย่างจะดีขึ้น แล้วนี่กระไร อ้ายพวกที่ขึ้นมาแทน ก็ไม่ได้ต่างจากพระยาพลเทพเท่าใดเลย"
พระยาตากหน้าขรึมลง
"ฉันเองก็คาดการณ์ผิดไป อโยธยาอ่อนแอกว่าที่เห็นมากนัก พระยาพลเทพก็เพียงแต่เร่งให้ตกต่ำเร็วขึ้นเท่านั้น ถึงจะกำจัดออกไปได้ ก็คงไม่สามารถดึงอโยธยาให้กลับมารุ่งเรืองดังเดิมได้อีก"
" หรือที่เราพยายามมาทั้งหมด จะสูญเปล่าเสียแล้วขอรับ"
พระยาตากมุ่งมั่นสีหน้าเด็ดเดี่ยวจริงจัง
"ฉันไม่รู้ แต่ฉันจะสู้ ฉันจะไม่มีวันทิ้งอโยธยาไปเด็ดขาด"
พระยาพลเทพกำลังหัวเราะชอบใจหลังฟังข่าวจากกล้า โดยมีขุนแผลงฤทธิ์อยู่ใกล้ๆ
" ป่านฉะนี้ อ้ายพระยาตากคนเก่งคงรู้แล้วกระมัง ว่าขุนน้ำขุนนางในอโยธยาเป็นอย่างไร"
กล้าประจบประแจง
"ตอนกระผมฟังข่าวนี้มา สาแก่ใจแทนท่านเจ้าคุณเหลือเกินขอรับ อ้ายพระยาตากผู้นี้ ให้การ
ช่วยเหลืออ้ายม่วง ไม่น่าจะโดนแค่ตำหนิ แต่น่าจะโดนกุดหัวไปเลยจะเหมาะกว่า"
ขุนแผลงฤทธิ์ยิ้มร้ายๆ
"ถ้าทำได้จริง อโยธยาคงแตกก่อนถึงฤดูน้ำหลากเป็นแน่ เสียดายที่ทำไม่ได้ แลก็เหลืออีกไม่กี่เดือนแล้ว ถ้าพวกอังวะบุกเข้ามาไม่ได้ คงไม่แคล้วต้องถอยกลับไปเพราะน้ำท่วมเหมือนทุกครา"
"ไม่มีทาง อังวะพักทัพมาแรมปีเพื่อการศึกครานี้ ฉันมั่นใจ ว่าต้องเอาชำนะอโยธาได้ก่อนน้ำหลากเป็นแน่"
ขุนแผลงฤทธิ์ยิ้มประจบ
"หากเป็นเช่นนั้นจริง กระผมก็คงต้องขอแสดงความยินดีกับท่านเจ้าคุณด้วยขอรับ"
กล้ารีบช่วยประจบ "กระผมด้วยขอรับ กระผมก็ขอยินดีด้วย"
พระยาพลเทพหัวเราะชอบใจ สิ่งที่ตนวางแผนมานาน ใกล้จะเป็นจริงแล้ว
บรรยากาศป่าช้าตอนกลางวัน แม้จะเป็นตอนกลางวัน แต่ก็ดูรกครึ้ม น่ากลัว
แมงเม่ากำลังคุมติ่น ผล ขุดดินในป่าช้าอยู่ เพื่อฝังทรัพย์สมบัติในกรณีกรุงแตก
"ขุดลึกๆนาโว้ย อ้ายติ่น อ้ายผล แค่นั้นยังไม่พอดอก"
ติ่นขุดไปกลัวผีไป อยากร้องไห้
"แม่หญิง เราต้องทำขนาดนี้เลยรึ ที่นี่มันป่าช้านะแม่ ประเดี๋ยวขุดลงไป ก็เจอเจ้าของที่ดอก"
ทันใดนั้น ผลก็ร้องโวยวายขึ้นมา
ผลร้องลั่น "โอ๊ยๆ"
ติ่นตกใจ กลัวผีจนลนลาน "กระไรวะอ้ายผล มีกระไรวะ"
ผลยิ้มแย้ม "ไม่มี ข้าลองซ้อมร้องดู เผื่อเจอศพจะได้ไม่ตกใจมาก"
ติ่นแค้น เงื้อจะเตะ "อ้ายเวร"
ผลรีบฉากหลบออกมาอย่างรู้ทัน ติ่นเลยเตะวืดไป
แมงเม่าปราม
"เล่นกันอยู่ได้ อ้ายสองคนนี้ แดดเริ่มแรงแล้ว ยังไม่เร่งมืออีก"
ติ่นชี้หน้าอาฆาตผล ก่อนทั้งสองคนจะมาช่วยกันขุดต่อ
ขณะนั้นเอง มิ่ง ชื่น และอิน ก็ช่วยกันยกหีบสมบัติมา
แมงเม่ารีบเข้าไปช่วยยก "ฉันช่วยจ้ะ"
"ไม่ต้องๆ พวกข้าทำกันเองได้" มิ่งบอก
มิ่ง ชื่น และอิน ขนเอาหีบสมบัติมาวางใกล้ๆหลุมที่ขุดด้วยความเหนื่อยอ่อน
"แล้วนี่หมดแล้วหรือจ๊ะ"
อินบอก"ยังดอก แต่ต้องขนใส่เรือมา เอามาครั้งละมากๆไม่ไหว คงต้องทยอยขนล่ะจ้ะ"
"แม่แมงเม่า น้าไม่เข้าใจ ว่าทำไมเราต้องเอาสมบัติมาฝังหนีพวกอังวะมันด้วย เค้าว่าเรารับศึกได้อย่างเข้มแข็งไม่ใช่รึ แลถึงฤดูน้ำหลากเมื่อใด พวกอังวะก็ตั้งทัพต่อไม่ได้ ต้องถอยทัพไปอยู่ดี"
"เรื่องการศึกฉันไม่ชำนาญดอกจ้ะ แต่ออกพระศรีสั่งมาให้เตรียมการไว้ก่อน ฉันจึงมาบอกพวกพ่ออีกที"
"แต่กันไว้ก็ดีกว่าแก้ ถ้าข้าศึกกลับไป ค่อยขุดขึ้นมาใหม่ก็ได้ แต่คุณพระท่านก็เข้าใจคิด เอาสมบัติมาฝังในป่าช้า ใครมันจะไปคิดถึง ปลอดภัยเป็นแน่"
ขณะนั้นเอง ยี่สุ่นก็ถือห่อข้าวกับกระบอกใส่น้ำมาให้ทุกคน
" ฉันเอาน้ำเอาข้าวมาส่งจ้ะ พักกินกันก่อนสิจ๊ะ"
มิ่งหน้าบึ้ง รังเกียจสุ่นมาก
"กูกระเดือกไม่ลงหรอกโว้ย"
มิ่งเดินหนีไปทันที
ชื่นเหยียดปากใส่แล้วตามมิ่งไปอีกคน
ยี่สุ่นหน้าจ๋อยลงไปทันที พ่อสามีรังเกียจขนาดนี้ก็ไม่รู้จะทำยังไง
" ฉันไปช่วยพ่อกับน้าชื่นขนของก่อน หากแม่สุ่นหิวก็กินก่อนเถิดนะ"
" จ้ะ"
อินเดินตามมิ่งและชื่นไปด้วยสีหน้าไม่สบายใจนัก
ยี่สุ่นเข้าไปหยิบจอบช่วยติ่น และผล ขุดดินอีกแรง
แมงเม่ามองตามยี่สุ่นไปด้วยความสงสาร แต่ตนก็ช่วยอะไรไม่ได้
ครู่ต่อมา ขันทองยืนรอแมงเม่าอยู่ เพื่อจะรับกลับเข้าวังด้วยกันที่ริมคลอง
ขณะนั้นเอง แมงเม่าก็เดินเข้ามาหาขันทอง
" มารอนานแล้วหรือเจ้าคะ"
" ไม่นานดอก แล้วเจ้าฝังข้าวของเสร็จแล้วรึ"
"เสร็จบางส่วนเจ้าค่ะ วันพรุ่งคงต้องกลับมาอีก ออกพระคิดว่าอโยธยาจะแพ้แก่ข้าศึกแน่หรือเจ้าคะ"
" คิดทางร้ายไว้ก่อน จะได้ไม่ประมาทนะเจ้า รู้แล้วไม่ใช่รึว่าพระยาตากโดนติเตียนกระไรบ้าง ทั้งที่ทำเพื่อบ้านเมืองแท้ๆ"
แมงเม่าหน้าเครียดขึ้นมา ห่วงสถานการณ์บ้านเมือง
ขันทองยิ้มบางๆ
"อย่าทำหน้าเช่นนั้นเลย ฉันมีกระไรจะให้เจ้าดู"
"กระไรเจ้าคะ"
ขันทองยื่นมือออก แล้วแบมือ เห็นดอกจำปีดอกใหญ่อยู่ในกลางฝ่ามือ
แมงเม่าหัวเราะคิก
"ดอกจำปี เห็นกันออกดาษดื่น แปลกที่ใดเจ้าคะ"
"ดอกจำปีบนต้นแลอยู่ในมาลัยนั้นก็ไม่แปลกดอก แต่..."
ขันทองขยับเข้าใกล้แมงเม่า น้อมตัวลงเอาดอกจำปีม้วนกับผมแมงเม่าอย่างทะนุถนอม
ใบหน้าของทั้งคู่ ห่างกันเพียงแค่ฝ่ามือกั้น จนได้ยินเสียงลมหายใจของอีกฝ่าย
แมงเม่าใจเต้นระทึก จนกำมือแน่นเข้าหากัน
ขันทองม้วนดอกไม้ที่ผมเสร็จ ก็ถอยออกมามองแมงเม่าพร้อมกับยิ้มบางๆ
ดอกจำปีที่อยู่บนผมของเจ้า ฉันก็ว่าหาดูไม่ง่ายนัก จริงหรือไม่
แมงเม่ายิ้มเขินอาย พูดอะไรไม่ออกแล้ว ได้แต่เดินเลี่ยงนำไปก่อน
ขันทองอมยิ้มแล้วเดินตามแมงเม่าไป
อ่านต่อตอนที่ 21