หนึ่งด้าวฟ้าเดียว ตอนที่ 19
บทประพันธ์ : วรรณวรรธน์
บทโทรทัศน์ : เอกลิขิต
บรรยากาศของตลาดในยามเช้านั้น คราคร่ำไปด้วยผู้คน ที่ต่างก็เข้ามาจับจ่ายซื้อของเต็มไปหมด
ขณะที่พวกมิ่ง ชื่น อิน ติ่น และผล ที่กำลังเลือกซื้อข้าวของกันอยู่ ทันใดนั้นเอง ก็มีชาวบ้านคนหนึ่ง วิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาพร้อมกับตะโกนป่าวประกาศไปด้วยความตกใจ
“เจ้าข้าเอ๊ย พวกอังวะมาถึงเมืองนนท์แล้ว เจ้าข้าเอ๊ย พวกอังวะมาถึงเมืองนนท์แล้ว”
พวกชาวบ้านที่กำลังจับจ่ายข้าวของ พอได้ยินข่าวอังวะ ก็พากันตกใจ ความโกลาหลบังเกิดขึ้นทันที บ้างก็จับกลุ่มวิพากษ์วิจารณ์ บ้างก็รีบอุ้มลูกจูงหลานกลับบ้าน วุ่นวายไปหมด
แม่ค้าที่กำลังขายเนื้อหมูให้พวกมิ่ง รีบเก็บแผงทันที ติ่นมองอย่างงงๆ
“อ้าว เก็บทำไมเล่า ฉันกำลังจะซื้ออยู่”
แม่ค้ารีบบอก “ไม่ขายแล้วโว้ย พวกอังวะมาถึงเมืองนนท์แล้ว เกิดมันมาล้อมกรุงเหมือนคราที่แล้วอีก จะทำอย่างไร ของพวกนี้ข้าจะเก็บไว้กินเอง ไม่ขายๆ”
ติ่นยิ่งงงหนัก ค่าที่ไม่ทันไร แม่ค้าก็เตรียมกักตุนสินค้ากันแล้ว ต่างจากอินที่ดูจะเข้าใจสถานการณ์
“อย่าเคืองไปเลย หน้าศึกหน้าสงคราม ใครก็ต้องเอาตัวรอดกักตุนเสบียงกันทั้งนั้น”
มิ่งหน้าเครียด “พวกเราเองก็เหมือนกัน นับแต่วันนี้ ได้ปลาได้เนื้อมา ก็เอามาทำเค็มเสีย ข้าวก็เอามาทำข้าวตัง จะได้เก็บไว้กินได้นานวัน”
ผลรับคำ “ขอรับ ท่านเศรษฐี”
ชื่นรีบเข้าไปกระซิบกับมิ่ง “ทรัพย์สมบัติที่เหลืออยู่เล่าพี่มิ่ง อย่าหาว่าแช่งเลยนะ เกิดกระไรขึ้น ฉันกลัวจะฉุกละหุกขนย้ายไม่ทัน ถ้าอย่างไรเอาซ่อนไว้ก่อนเถิด สิ้นศึกเมื่อใด ค่อยมาเอากลับไป”
มิ่งชักหนักใจ “ห่วงผูกคอแท้ๆ ไม่มีก็ไม่ได้ มีแล้วก็ต้องคอยห่วงพะวงอีก”
ในเวลาเดียวกันนั้นเอง ออกญาหมิ่นก็กำลังดึงแขนลูกค้าที่มาเที่ยวโรงโสเภณีไม่ให้กลับไป
“รอก่อนเถิดพ่อ อย่าเพิ่งไปเลย ทัพอังวะเพิ่งถึงเมืองนนทบุรีเอง ยังห่างจากอโยธยานัก เที่ยวก่อนก็ยังทัน”
ชาวบ้านที่โดนดึง สะบัดแขนออกด้วยท่าทีหงุดหงิด “เพลาอย่างนี้ ใครจะมีแก่ใจเที่ยวโรงโสเภณี ทุกคนก็ต้องตระเตรียมเอาตัวรอดกันทั้งนั้น พูดไม่คิด”
พูดจบก็รีบเดินหนีไป ทิ้งให้ออกญาหมิ่นมองตามอย่างหงุดหงิด
“ซบเซามานานเดือน ยังจะมาเกิดศึกอีก เคราะห์ซ้ำกรรมซัดแท้ๆ”
ใกล้ๆ กันนั้นเอง ยี่สุ่นยืนเหม่อ ด้วยรู้สึกเป็นห่วงม่วงจับใจ
“ข้าศึกมาถึงแล้ว พี่ม่วงของฉันจะเป็นอย่างไรบ้าง”
ขณะที่คนที่ถูกนึกถึง กำลังอยู่ท่ามกลางศึกสงคราม พอได้จังหวะก็ฟันทหารอังวะคนหนึ่งตายไป
อีกด้านหนึ่ง กองทัพทหารไทยนำโดยพระยาตาก และขุนนางอีกคนกำลังบุกเข้าสู้กับทหารอังวะที่มีนายกองคน
หนึ่งเป็นหัวหน้า
พระยาตาก กับขุนนาง นั่งอยู่บนหลังม้าคอยบัญชาการรบ ส่วนหลวงพิชัยอาสา พันหาญ และม่วง นำเหล่าทหารบุกตะลุมบอนสู้กับอังวะอย่างดุเดือด ไม่กลัวตาย และไม่ยอมถอยแม้แต่น้อย
ขุนนางหันไปพูดกับพระยาตากอย่างชื่นชม
“ทหารเมืองตากช่างเข้มแข็งนัก กำลังเราน้อยกว่าข้าศึกถึงกึ่งหนึ่ง แต่กลับสู้ราวกับคนเท่ากัน”
พระยาตากยิ้มพอใจ “พวกเรามาอโยธยานานเดือน วันทั้งวันได้แต่ฝึกปรือ พอออกรบคราแรก จึงฮึกเหิมนัก แต่ยังไม่ใช่เพียงเท่านี้ดอก”
ทางด้านหลวงพิชัยอาสา ก็สามารถบุกตะลุยเข้าไปใจกลางทัพศัตรู ใช้ดาบสองมือฟาดฟันอย่างรวดเร็ว ว่องไว จนทหารอังวะล้มตายเป็นใบไม้ร่วง ก่อนจะหันไปมองหาเป้าหมาย พอเห็นนายกองพม่านั่งอยู่บนหลังม้าคอยบัญชาการรบ ก็บุกเข้าหาทันที
พันหาญเห็นดังนั้น ก็ตะโกนลั่น “ตามคุณหลวงไป”
จากนั้นก็นำที ม่วง และพวกทหาร โห่ร้องดังก้อง พร้อมกับบุกตามหลวงพิชัยอาสาไป จนทหารอังวะเริ่มถอยร่นและตายไปเรื่อยๆ จนใกล้จะถึงตัวนายกอง ก็รีบวิ่งเข้าหาอย่างไม่กลัวตาย
จังหวะสวนกันนั้นเอง นายกองก็พุ่งหอกใส่ แต่หลวงพิชัยอาสาไวกว่า สามารถกระโดดเอี้ยวตัวหลบชนิดเส้นยาแดงผ่าแปด ก่อนจะฟันดาบใส่นายกองอังวะ จนตายคาที่คาหลังม้าทันที
ม่วงเห็นนายกองอังวะตายก็ฮึกเหิมถึงที่สุด ขณะที่พระยาตากรีบชักดาบออก แล้วตะโกนเสียงดังลั่น
“บุก”
สิ้นเสียง ก็สั่งเคลื่อนทัพ แล้วนำทหารที่เหลือตะลุยเข้าใส่ทันที ในขณะที่ทหารอังวะเห็นนายกองของตนตายก็ขวัญเสีย แตกพ่ายไม่เป็นขบวน
พระยากำแหงกำลังเล่าข่าวการศึกที่นนทบุรีให้ขันทอง หลวงศรีมะโนราช และขุนรักษ์เทวาฟังอย่างออกรส
“ทัพของมังมหานรธาแตกพ่ายยับเยิน จนต้องถอยร่นกลับเข้าค่ายกันทีเดียว เสียดายที่พระยาตากมีกำลังน้อย มีแต่ทหารเมืองตากกับทหารเมืองนนทบุรีเท่านั้น หาไม่ คงจะบุกรื้อค่ายอังวะได้ในวันเดียว”
ขุนรักษ์เทวารีบถามต่อ “มีคนน้อยกว่าเช่นนี้ แล้วจะเอาชำนะได้หรือเจ้าคะ”
“อย่ากังวลไปเลยท่านขุน ตอนนี้ ท่านเจ้าคุณพลเทพกำลังรวบรวมกำลังคน คาดว่าคงได้ไม่ต่ำกว่าหกหมื่น ทัพมังมหานรธามีเพียงสามหมื่น ไม่มีทางสู้กับอโยธยาได้ดอก”
ขันทองได้ฟัง ก็หน้าเครียด “ก่อนหน้านี้ เราก็มีกำลังมากกว่ามาตลอดไม่ใช่หรือเจ้าคะ แต่สุดท้าย อังวะก็บุกมาถึงนนทบุรีจนได้ แลทัพของเนเมียวสีหบดีก็ยังมาไม่ถึง หากได้มาเพิ่มอีก ดีฉันเกรงว่าเราจะต้านไม่อยู่เจ้าค่ะ”
หลวงศรีมะโนราชรีบพูดประชด “รู้ดีเหลือเกินนะเจ้าคะคุณพระ ไม่ออกรบเสียเองเลยเล่า จะได้รู้ว่ารบทัพจับศึกกับอัญเชิญพานหมาก อย่างใดที่ยากกว่ากัน”
พระยากำแหงออกปากห้าม “อย่าประชดประชันเลยคุณหลวง” พลางมองขันทองแบบหยั่งเชิง “ออกพระศรีพูด ก็เพราะห่วงใยในอโยธยา จริงหรือไม่”
“ท่านเจ้าคุณก็ทราบ ว่าดีฉันมีเลือดอโยธยากึ่งหนึ่ง เหตุใดจะห่วงใยในอโยธยาไม่ได้เล่าเจ้าคะ”
พระยากำแหงแอบทำหน้าเซ็ง ที่ขันทองสามารถเอาตัวรอดไปอีกจนได้ ศรีมะโนราชได้ฟังก็ถามต่อ
“แล้วมิรู้ว่าระหว่างอโยธยากับโต้ระกี่ คุณพระห่วงใยเมืองใดมากกว่ากันเจ้าคะ หากมีศึกมาประชิดติดโต้ระกี่บ้าง คุณพระคงไม่ทิ้งโต้ระกี่ไปเข้ากับข้าศึกดอกนะเจ้าคะ”
ขุนรักษ์เทวาชักรำคาญ “โอ๊ย พูดจาเสียดสีอยู่นั่น คุณหลวงลืมไปกระมัง ว่าเมาเหล้าจนไปดักทำร้ายออกพระศรี ดีที่ออกพระศรีไม่เอาเรื่องเอาราว มิเช่นนั้น คงไม่ได้ออกจากคุกมารับตำแหน่งเดิมเร็วเช่นนี้ดอก มิรู้ว่าระหว่างงูเห่ากับคุณหลวง อย่างใดไม่รู้คุณคนมากกว่ากัน”
หลวงศรีมะโนราชเดือดดาล สะบัดหน้าเดินจากไป ขันทองถอนใจเฮือก ก่อนจะหันไปพูดกับพระยากำแหง
“เป็นพระคุณนัก ที่ท่านเจ้าคุณเอาข่าวการศึกมาเล่าให้พวกดีฉันฟัง แต่ดีฉันคงต้องขอตัวไปทำงานต่อก่อน”
พระยากำแหงยิ้มรับ “เชิญเถิด ฉันเห็นออกพระมีใจห่วงใยบ้านเมืองเช่นนี้ ก็ดีใจนัก หากมีความคืบหน้าใด จะมาเล่าสู่กันฟังอีก
ขันทอง กับขุนรักษ์เทวาค้อมศีรษะให้ ก่อนจะเดินเลี่ยงไป พระยากำแหงมองตาม ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัย
ขันทองเดินมาตามทาง สีหน้าเฉยเมย ขณะที่พระยากำแหงแอบสะกดรอยตามติดๆ ฝ่ายแรกเหล่มองเล็กน้อย แต่แกล้งทำไม่รู้ไม่ชี้
ขณะนั้นเอง แมงเม่าก็เดินเข้ามาหาขันทอง “คุณพระศรีเจ้าคะ”
ขันทองหันไปมองแมงเม่า พระยากำแหงที่สะกดตามรอยมาจ้องเขม็ง
“คุณพระมาอยู่นี่เอง ฉันตั้งใจจะคุยกับคุณพระมาหลายวันแล้ว แต่ก็ไม่ได้โอกาสเสียที จะไปหาที่เรือน พักนี้เสด็จท่านก็บรรทมเร็ว ฉันไปที่ใดไม่ได้เลย”
“มีกระไรรึ” ขันทองย้อนถาม
แมงเม่าทำหน้าขรึม “ ฉันคิดทบทวนดีแล้ว ตั้งใจ จะบอกความลับบางอย่างให้คุณพระรู้เจ้าค่ะ”
ขันทองตกใจหน้าเสีย แอบเหล่ไป เพราะจะให้พระยากำแหงรู้เรื่องนี้ไม่ได้ แมงเม่มองอย่างนึกแปลกใจ
“เป็นกระไรเจ้าคะ”
ขันทองพยายามบ่ายเบี่ยง “ฉันมีงานมากนัก เอาไว้วันอื่นเถิด”
อีกฝ่ายพยามเซ้าซี้ “แต่เรื่องนี้สำคัญนะเจ้าคะ”
“ ก็บอกว่าวันอื่นอย่างไรเล่า”
ขันทองปั้นเสียงดุ จนอีกฝ่ายทำท่างอน “ช่างเถิดเจ้าค่ะ คุณพระไปทำงานเถิด ฉันไม่อยากบอกกระไรแล้ว”
พูดจบก็สะบัดหน้าเดินเลี่ยงไป พระยากำแหงมองตามไปอย่างงงๆ ขันทองรำพันด้วยความเสียดาย
“รอมานานก็ไม่พูด จู่ๆจะมาพูดเอาตอนนี้ เจ้าตัวดีเอ๊ย”
แมงเม่าเดินผละจากขันทองกลับมาตำหนักกรมขุนวิมลภักดี ด้วยความหงุดหงิด อารมณ์เสียที่ขันทองไม่ให้ความสำคัญและยอมฟังความลับของตน
“พอตกลงปลงใจจะเล่าให้ฟัง ก็ไม่ยอมฟังเสียอีก คนบ้า”
จังหวะนั้นเอง ก็เหลือบไปเห็นเป้ากับข้าหลวงจำนวนหนึ่งเดินจ้ำมา ท่าทางร้อนรน จึงร้องทักด้วยความแปลกใจ
“แม่เป้าๆ มีกระไรรึ ”
เป้าหันมามองแมงเม่า ก่อนจะรีบเข้าไปหา
“เสด็จพระองค์หญิงทรงประชวร อาการประหลาดนัก ฉันไม่เคยเห็นมาก่อน เพลานี้ ทรุดหนักจนทรงลุกขึ้นไม่ได้แล้ว”
แมงเม่าทั้งตกใจและเป็นห่วงกรมขุนวิมลภักดีอย่างสุดหัวใจ
ทางด้านขันทอง ก็กำลังเดินคุยมากับขุนรักษ์เทวา พูดคุยกันถึงอาการประชวรของกรมขุนวิมลภักดี
“พระฉวีกับพระเนตรเป็นสีเหลือง แลทรงไม่มีเรี่ยวแรง อ่อนเพลียตลอดเวลา เห็นหมอบอกว่าเป็นโรคเกี่ยวกับพระยกนะ (ตับ) แต่จะหนักหนาเพียงใด ข้อนี้ดีฉันก็หารู้ไม่”
ขันทองได้ฟัง ก็นึกเป็นห่วง “ก็ขอให้ไม่เป็นกระไรมากเถิด มิเช่นนั้น ฝ่ายในคงลุกเป็นไฟ เอ่อ แล้วเช่นนี้ ข้าหลวงของตำหนักเสด็จพระองค์หญิง ก็คงต้องอยู่เฝ้าพระอาการตลอดน่ะซี”
ขุนรักษ์เทวาขมวดคิ้ว แปลกใจ “ก็ต้องเป็นเช่นนั้นอยู่แล้วไม่ใช่รึคุณพระ หากพระอาการไม่ดีขึ้น จะออกจากตำหนักได้อย่างไร”
ขันทองแอบเสียดาย ที่อดรู้ความลับ ได้แต่บ่นกับตัวเองเบาๆ
“แล้วเมื่อใดจะได้เจอกันอีก ไม่น่าเลย”
ตกดึกคืนนั้นเอง กรมขุนวิมลภักดี ก็เกิดเวียนหัวอาเจียนออกมา แมงเม่าเป็นคนถือกระโถนให้อยู่ใกล้ๆ ครั้นพออาเจียนเสร็จก็หมดแรง ทรุดลงไปนอนหายใจรวยรินอยู่บนเตียง
จังหวะนั้น คุณท้าวโสภาก็เดินนำเป้าที่ถือถาดใส่ถ้วยยาเข้ามา ก่อนจะคุกเข่าลงใกล้ๆ
“โอสถได้แล้วเพคะ เสวยทั้งร้อนๆ จะได้มีสรรพคุณเต็มที่เพคะ”
กรมขุนวิมลภักดีพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา เพราะความอ่อนเพลีย “ฉันไม่มีแรงเลย”
“ขอประทานอภัยเพคะ”
แมงเม่าพูดพลางก้มลงกราบ ก่อนจะเข้าไปประคองกรมขุนวิมลให้ลุกขึ้นนั่ง ขณะที่เป้าวางถาดลง แล้วหยิบถ้วยยาขึ้น จากนั้นก็ใช้ช้อนตักขาขึ้นมาเป่าให้ไม่ร้อนมาก
“โอสถเพคะ”
เป้าค่อยๆ ป้อนยาให้กรมขุนวิมลภักดี โดยมีแมงเม่าคอยช่วยประคอง
“ขอบน้ำใจทุกคนนัก ถ้าไม่ได้พวกเจ้า ครานี้ฉันคงไม่รอดเป็นแน่”
คุณท้าวโสภาชักใจคอไม่ดี “อย่าตรัสเช่นนี้ซีเพคะ เสด็จไม่เป็นกระไรดอกเพคะ”
เป้ารีบพูดเสริม “จริงเพคะ เสด็จต้องทรงหายประชวร อยู่เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรให้พวกหม่อมฉันไปอีกนานเท่านานเพคะ”
กรมขุนวิมลภักดียิ้มบางๆ เพราะยังใม่คลายความอ่อนเพลีย
“ฉันจะพยายามนะ อย่างไรก็ต้องลำบากพวกเจ้าแล้ว”
แมงเม่าพูดตอบด้วยน้ำเสียงจริงจัง “พระคุณที่เสด็จมี แม้หม่อมฉันตายแล้วเกิดใหม่อีกสิบอีกร้อยชาติก็ใช้ไม่หมด อย่าว่าแต่ถวายรับใช้เพียงเท่านี้เลยเพคะ ต่อให้ตายแทน หม่อมฉันก็ทำได้เพคะ”
กรมขุนวิมลภักดีมองแมงเม่า พลางกวาดตามองทุกคน ก่อนจะเผยยิ้มบางๆ อย่างตื้นตันใจจนน้ำตาคลอ ที่ทุกคนดูแลตนอย่างทุ่มกายใจในยามเจ็บไข้
“เอ็งแน่ใจนะนังเลื่อน”
เจ้าจอมเพ็ญถามย้ำ ขณะกำลังเดินคุยมากับเลื่อน
“แน่ใจเจ้าค่ะหม่อมแม่ นังพวกตำหนักโน้นยืนยันเอง ว่าอาการเสด็จพระองค์หญิงดีขึ้นมากแล้วเจ้าค่ะ”
เจ้าจอมเพ็ญทำหน้าเบื่อ “ข้าเห็นว่าทรุดหนักมาสามสี่วัน หลงดีใจว่าจะสิ้นพระชนม์แน่ น่าเบื่อหน่ายนัก”
“แล้วอย่างนี้ หม่อมแม่จะไปเยี่ยมเสด็จพระองค์หญิงหรือไม่เจ้าคะ”
“ก็ต้องไปซี ขืนไม่ไปก็น่าเกลียด แลคงถูกนังอำพันค่อนแคะเอาอีก”
เจ้าจอมเพ็ญพูดพลางจะเดินเลี่ยงไปทางอื่น เลื่อนรีบเรียกไว้
“หม่อมแม่เจ้าคะ”
ฝ่ายถูกเรียกหันกลับมา ท่าทางหงุดหงิด “มีกระไร”
“เอ่อ คุณพระนาย ยังไม่มาทำราชการเลยเจ้าค่ะ”
เจ้าจอมเพ็ญหน้าเสียทันที ตั้งแต่มีเหตุทะเลาะกัน เพราะน้องรู้ความลับ ก็ยังไม่เจอน้องอีกเลย นึกแล้วก็
อดเป็นห่วงเสียมิได้
ภรรยาของจมื่นศรีสรรักษ์รีบเดินลงมารับเจ้าจอมเพ็ญ ที่มาถึงเรือน โดยมีขันทองและเลื่อน พร้อมด้วยขบวนข้าหลวงตามมาด้วย
ผู้อ่อนอาวุโสกว่ารีบยกมือไหว้ “คุณพี่เจ้าจอม อีฉันดีใจเหลือเกินเจ้าค่ะที่คุณพี่มา คุณพระนายเอาแต่กินสุรายาเมา...”
เจ้าจอมเพ็ญรีบปราม “ฉันรู้เรื่องหมดแล้วแม่องุ่น บ่าวไพร่อยู่กันออกโข หล่อนจะประจานน้องชายฉันให้บ่าว
ฟังทำกระไร ใช้หัวคิดบ้างเถิด”
ฝ่ายนั้นถึงกับทำหน้าจ๋อย “ขอประทานโทษเจ้าค่ะ”
เจ้าจอมเพ็ญหันมาพูดกับขันทองและทุกคน “ฉันจะเข้าไปเยี่ยมเยียนคุณพระนายศรีสรรักษ์สักหน่อย ทุกคนรออยู่ที่นี่”
ขันทองรีบพูดขัด “แต่เช่นนั้น เกรงจะผิดกฎนะเจ้าคะ ถ้าอย่างไร ให้ดีฉันไปเฝ้าอยู่หน้าห้องเถิดเจ้าค่ะ”
เลื่อนแทรกขึ้นมาทันที “วุ้ย ออกพระศรีเจ้าขา คนเข้านอกออกในตำหนักมากกว่านี้เสียอีก แค่นี้จะเป็นกระไร...”
เจ้าจอมเพ็ญหันไปดุบ่าว “นังเลื่อน”
เลื่อนรู้สึกตัว รีบยกมือไหว้ ขอประทานโทษเจ้าค่ะหม่อมแม่”
“แต่ละคน” เจ้าจอมเพ็ญส่ายหัวอย่างหงุดหงิด ก่อนจะหันไปพูดกับขันทอง “ฉันรู้ ว่าคุณพระต้องทำตามกฎ แต่คุณพระนายก็ใช่อื่นไกล เป็นน้องในไส้ของฉัน ละเว้นกฎสักคราเถิด ฉันอยากคุยกับน้องตามลำพัง”
ขันทองจำต้องรับคำ “เจ้าค่ะ”
จากนั้นเจ้าจอมเพ็ญก็เดินนำขึ้นเรือนไป โดยมีภรรยาจมื่นศรีสรรักษ์รีบตามไป ส่วนขันทอง เลื่อนและคนอื่นๆ รออยู่หน้าเรือน
ขันทองมองตามด้วยความสงสัย การที่เจ้าจอมเพ็ญไม่ยอมให้ตามไป น่าจะมีความลับอะไรซักอย่างเป็นแน่
ภรรยาจมื่นศรีสรรักษ์เปิดประตูห้องนอนออกให้เจ้าจอมเพ็ญเข้าไป เห็นเจ้าของห้องนอนเมาแผ่หราแบบสิ้นสภาพอยู่บนเตียง รอบตัวมีจอกเหล้า เหยือกเหล้าวางระเกะระกะเต็มไปหมด
“อย่างที่เห็นล่ะเจ้าค่ะคุณพี่ อีฉันก็ไม่ทราบว่าเกิดกระไรขึ้น คุณพระนายเอาแต่กินเหล้าทั้งวี่ทั้งวัน ราวกับจะใช้เหล้าดับทุกข์อย่างนั้น”
เจ้าจอมเพ็ญมองน้องด้วยความสงสาร แต่ก็ต้องเดินหน้าต่อ
“แม่องุ่นออกไปก่อนเถิด ฉันขอคุยกับน้องชายฉันสักหน่อย”
“เจ้าค่ะ”
คล้อยหลังที่ภรรยาจมื่นศรีสรรักษ์เดินพ้นออกจากห้องไป แล้วปิดประตู เจ้าจอมเพ็ญก็เดินเข้าไปนั่งข้างๆ น้อง พลางเขย่าตัวเบาๆ
“คุณพระนายๆ”
จมื่นศรีสรรักษ์ที่ยังสะลึมสะลือ ส่งเสียงอ้อแอ้ “เอาเหล้ามาให้ข้าอีก เอามา”
ฝ่ายพี่เห็นอาการนั้น ก็ถึงกับชักสีหน้า “เมามายถึงขนาดนี้แล้ว ยังจะร้องหาเหล้าอีกรึ โอ๊ย นี่ถ้าเป็นเด็ก ฉันจะตีให้ขึ้นแนวเลย”
จมื่นศรีสรรักษ์โวยวายทันที “เอ็งเป็นใครวะ กล้าพูดกับข้า...” ครั้นหันไปมองเห็นเป็นพี่ ก็รีบลุกขึ้นนั่ง “คุณพี่
เจ้าจอม”
“ยังจำได้รึว่ามีพี่อยู่ นึกว่าเมาจนไม่รู้จักพี่เสียแล้ว”
“ที่กระผมต้องเมาเช่นนี้ ก็เพราะอยากลืม อยากลืมว่าคนที่กระผมรักแลเคารพที่สุดในชีวิต เป็นคนทุรยศขายแผ่นดิน” พูดพลางขบกรามแน่น น้ำตาคลอหน่วย “ถ้าทำได้ กระผมจะขอไม่มีสติ มารับรู้ความจริงข้อนี้อีกเลยจะดีกว่า”
เจ้าจอมเพ็ญได้ฟัง ก็วางหน้าขรึ “พ่อเพิ่ม พี่รู้ ว่าพ่อเพิ่มทุกข์ใจนัก แต่พี่จำต้องทำ เราสองเป็นเพียงไพร่ที่สิ้นบุญพ่อแม่คุ้มกะลาหัว หากไม่ตะเกียกตะกายก็คงไม่มีวันนี้ เมื่อมีแล้ว พี่ก็ต้องรักษามันเอาไว้ แลการเป็นแม่หยั่วเมือง เป็นทางเดียวที่พี่จะไม่ต้องสูญเสียทุกอย่างไป”
จมื่นศรีสรรักษ์ยิ่งแค้นใจหนัก “เป็นแม่หยั่วเมืองด้วยการแต่งตั้งจากอังวะ ด้วยการเนรคุณพระพุทธเจ้าอยู่หัวน่ะหรือขอรับ”
เจ้าจอมเพ็ญส่ายหน้าช้าๆ “พี่ไม่ได้เนรคุณ ทางอังวะสัญญาแล้ว” พลางยกมือไหว้ท่วมหัว “ว่าพระพุทธเจ้าอยู่หัวยังทรงครองอโยธยาต่อไป เพียงแต่ต้องเป็นเมืองขึ้นเมืองออกแก่อังวะเท่านั้น แลพี่มีลูกเมื่อใด ลูกพี่ ก็จะกู้อโยธยากลับมาเอง เราเพียงแต่ยอมเป็นเมืองขึ้น เพื่อหลีกเลี่ยงเคราะห์ร้ายอันเกิดแต่ดวงเมืองเท่านั้น”
ผู้เป็นน้อง ยิ้มเยาะทั้งน้ำตา “ตามคำทำนายของอ้ายขรัวเถื่อนนั่น”
ฝ่ายพี่แม้จะไม่พอใจแต่ก็พยายามระงับอารมณ์ “เจ้าไม่เชื่อก็ตามแต่ใจเถิด แต่สิ่งที่เจ้าต้องเชื่อคือพี่ พี่ไม่เคยหวังร้ายต่อเจ้า พ่อเพิ่ม เรามีกันอยู่สองคนพี่น้อง พี่สบาย เจ้าก็สบายด้วย เจ้าอย่าทำเช่นนี้ ให้พี่ต้องลำบากยากใจอีกเลย”
จมื่นศรีสรรักษ์ขบกรามแน่น อย่างทั้งรักทั้งแค้น “แต่หากเลือกได้ กระผมขออยู่อย่างลำบากยากแค้น ดีกว่า สุขสบายบนคำสาปแช่งที่ทุรยศเนรคุณแผ่นดิน”
เจ้าจอมเพ็ญยิ่งฟัง ก็ยิ่งหงุดหงิด ที่น้องไม่ยอมเข้าใจเสียที
เจ้าจอมเพ็ญเดินลิ่วๆ มาด้วยความหงุดหงิด จนเลื่อนกับพวกนางข้าหลวงตามแทบไม่ทัน มีเพียงขันทองคนเดียวที่เดินตามทัน
เลื่อนกึ่งเดินกึ่งวิ่ง พลางร้องถาม “ หม่อมแม่เจ้าขา จะรีบไปที่ใดกันเจ้าคะ เหตุใดต้องรีบเช่นนี้เจ้าคะ”
ผู้เป็นแม่หันมาตวาดแว้ด “รู้แล้วยังจะถามอีก ข้าก็จะไปเยี่ยมเสด็จพระองค์หญิงน่ะซี นังนี่ พูดจาไม่เข้าหูข้าแต่เช้าแล้ว อยากหลังลายรึ”
เลื่อนถึงกับตัวสั่น “มิได้เจ้าค่ะ”
เจ้าจอมเพ็ญพูดต่ออย่างหงุดหงิด “ขัดอกขัดใจข้ากันทั้งนั้น ทั้งที่ข้าทำเพื่อทุกคนแท้ๆ”
พูดจบก็สะบัดหน้าเดินลิ่วไป ทุกคนก็รีบตามไป
ขณะเดียวกัน อีกมุมหนึ่งของทางเดิน แมงเม่า และเป้าเดินคุยกันมาด้วยท่าทางอิดโรย หลังจากเฝ้าดูแลกรมขุนวิมลภักดีมา 3-4 คืนติดๆ จนไม่ได้นอนเลย
แมงเม่าถึงกับเดินเซ จนเป้าต้องรีบประคอง
“เป็นอย่างไรบ้างแม่แมงเม่า”
“ฉันวิงเวียนน่ะจ้ะ ไม่มีกระไรมากดอก”
เป้าไม่เชื่อ “ไม่มากได้อย่างไร แม่แมงเม่าเฝ้าเสด็จพระองค์หญิงไม่ได้หลับได้นอนมาสามสี่คืน ไม่ล้มหมอนนอนเสื่อไปอีกคนก็บุญเท่าไหร่แล้ว”
“ก็ฉันห่วงเสด็จนี่จ๊ะ จะให้ข่มตาหลับได้อย่างไร”
แมงเม่าที่อยู่ในอาการมึนหัว เลยเดินออกไปโดยไม่ทันระวัง ทำให้ตัดหน้าเจ้าจอมเพ็ญที่เดินสวนมาในระยะกระชั้นชิด อีกฝ่ายชะงัก โมโหที่ถูกตัดหน้า
“เอ๊ะ กระไรกันนี่”
แมงเม่า และเป้าตกใจ เลยรีบคุกเข่าลง
“ขอประทานโทษเจ้าค่ะ”
เป้ารีบช่วยพูด “แม่แมงเม่าไม่ได้นอนมาหลายคืน เพราะต้องเฝ้าพระอาการเสด็จพระองค์หญิง จึงอาจมึนงงไปบ้าง เจ้าจอมท่านอย่าถือโทษโกรธเคืองเลยนะเจ้าคะ”
เจ้าจอมเพ็ญที่กำลังหงุดหงิดอยู่เลยพาลใหญ่โต “นังเลื่อน ช่วยกันจับตัวนังแมงเม่าผู้นี้ แล้วเอาไปลงโทษประเดี๋ยวนี้”
ขันทอง แมงเม่า และเป้า ตกใจที่จู่ๆ เจ้าจอมเพ็ญก็สั่งแบบนี้
แมงเม่ารีบเถียงทันควัน “ลงโทษด้วยเหตุอันใดกันเจ้าคะ”
เจ้าจอมเพ็ญทำตาถลน ตวาดแว้ดทันที “เอ็งตัดหน้าข้า ขวางขบวนของเจ้าจอมฝ่ายในแลยังกระทบกระทั่งตัวข้าอีก ความผิดถึงเพียงนี้ พอจะลงโทษได้หรือไม่” พูดพลาง หันไปสั่งเลื่อน “นังเลื่อน หูแตกรึ”
“เจ้าค่ะ” เลื่อนรับคำ ก่อนจะหันไปสั่งข้าหลวงคนอื่นอีกต่อ “เร็วๆ สิ จับตัวไว้”
บรรดาข้าหลวงรีบกรูกันจะจับตัวแมงเม่า ทว่าขันทองรีบขัดขึ้น
“ ประเดี๋ยวก่อน นางผู้นี้เป็นข้าหลวงของเสด็จพระองค์หญิง ถึงจะทำผิดจริง ก็ต้องส่งตัวให้เสด็จพระองค์หญิงตัดสินโทษนะเจ้าคะ หากเจ้าจอมตัดสินเอง ดีฉันเกรงว่าจะเป็นการผิดกฎฝ่ายในเสียเอง”
เจ้าจอมเพ็ญคิดตาม แล้วพูดต่อ “ออกพระศรีเตือนฉันเช่นนี้ก็ดีแล้ว” ก่อนจะหันไปจ้องหน้าแมงเม่า แล้วยิ้มร้าย “จะได้รู้กัน ว่าเสด็จพระองค์หญิงจะตัดสินอย่างไร”
แมงเม่าจ้องหน้าตอบอย่างไม่นึกเกรงกลัวแม้แต่น้อย ตรงข้ามกับขันทองที่ชำเลืองมองด้วยความเป็นห่วง
เจ้าจอมเพ็ญแสร้งนั่งบีบน้ำตาขอความเห็นใจ ตรงข้ามกับตั่งของเจ้าจอมอำพัน โดยกรมขุนวิมลภักดีนั่งอยู่บนตั่งตัวที่สูงกว่า ด้วยท่าทางอิดโรย และอ่อนเพลียมาก ด้วยเพิ่งฟื้นจากอาการดีซ่าน
ส่วนขันทอง แมงเม่า เป้า คุณท้าวโสภา เลื่อน และนางข้าหลวงอื่นนั่งพับเพียบอยู่ที่พื้น
เจ้าจอมเพ็ญพยายามเร่งเร้าให้ตัดสินความลงโทษแมงเม่าให้ได้
“หม่อมฉันถูกจาบจ้วงให้เสียศักดิ์ เพราะเด็กไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงคนหนึ่ง เสด็จต้องให้ความเป็นธรรมกับหม่อมฉันนะเพคะ”
เจ้าของตำหนักถอนใจเฮือกใหญ่ ร่างกายอ่อนเพลียมากอยู่แล้ว ยังโดนเจ้าจอมเพ็ญหาเรื่องมาให้อีก
เจ้าจอมอำพันหมั่นไส้ จนทนไม่ไหว
“แหม กะอีแค่เด็กเดินตัดหน้า ถึงขั้นเสียศักดิ์กันเลยหรือจ๊ะแม่เพ็ญ ดูท่าศักดิ์ของแม่เพ็ญจะสูงกว่าพระองค์หญิงอีกกระมัง เพราะฉันยังไม่เคยเห็นพระองค์หญิงท่านทรงเอาเรื่องใครด้วยสาเหตุเล็กน้อยเช่นนี้มาก่อน”
เจ้าจอมเพ็ญแสร้งร้องไห้หนักกว่าเดิม “ฉันถูกชน จนตอนนี้ยังเจ็บตัวอยู่เลย แม่อำพันนอกจากจะไม่เห็นใจ ยังจะใส่ความว่าฉันเหิมเกริมทำตัวเหนือเสด็จพระองค์หญิงอีก ใจคอแม่อำพันทำด้วยกระไรกันจ๊ะ ถึงได้ไม่มีเมตตาเสียเลย”
เจ้าจอมอำพันนึกเจ็บใจ ที่เสียท่าให้อีกฝ่ายเอาดีใส่ตัว เอาชั่วใส่ตนเองอีก “โอ๊ย ฉันยอมแพ้ กระบวนกลับดำให้เป็นขาว ไม่ใช่คู่มือแม่จริงๆ”
กรมขุนวิมลภักดีรีบยกมือโบกเป็นเชิงห้าม “เอาเถิด อย่าเถียงกันเลย คนตำหนักฉันทำผิด ฉันก็ต้องรับผิดชอบ แต่ของอย่างนี้ ฟังความข้างเดียวไม่ได้ดอกนะแม่เพ็ญ” พลางหันไปพูดกับแมงเม่า “ว่าอย่างไรเจ้าตัวดี ขวางทางแลชนตัวแม่เพ็ญจริงหรือไม่”
แมงเม่ารีบตอบ ด้วยน้ำเสียงฉะฉาน
“ข้อขวางทางนั้น หม่อมฉันยอมรับเพคะ เพราะหม่อมฉันไม่ระวังให้ดี แต่หม่อมฉันไม่ได้กระทบกระทั่งถูกแม้ชายสไบของเจ้าจอมเลยเพคะ”
เลื่อนสวนขึ้นมาทันควัน “โป้ปดมดเท็จ ฉันเห็นคาตา ว่ากระแทกถูกตัวเจ้าจอมจนเซ ยังจะบอกว่าไม่โดนตัวอีกรึ”
เป้ารีบพูดช่วยเพื่อน “ฉันก็เห็นคาตาเหมือนกันว่าไม่ได้โดน ระหว่างฉันกับพี่เลื่อน คงมีใครสักคนที่หูตาฝ้าฟางแล้วล่ะจ้ะ”
คุณท้าวโสภาแทรกขึ้นมาบ้าง “ข้าหลวงคนละตำหนัก ให้การไม่ตรงกัน เช่นนี้ก็ต้องถามจากคนกลางเองแล้ว ว่าอย่างไรเจ้าคะออกพระศรี เจ้าแมงเม่าโดนตัวเจ้าจอมหรือไม่”
ขันทองหันไปสบตา แมงเม่ามองตอบอย่างมั่นใจว่าอีกฝ่ายต้องเข้าข้างตน แต่ครั้นฝ่ายแรกหันไปสบตาเจ้าจอมเพ็ญ ก็ถูกผู้มีศักดิ์สูงกว่าถลึงตามาทางตนเป็นเชิงให้โกหก
ขันทองครุ่นคิดทบทวน ถึงอย่างไรกรมขุนวิมลภักดีก็คงไม่ลงโทษแมงเม่าหนักแน่ แล้วจะผิดใจกับเจ้าจอมเพ็ญให้เสียการใหญ่ไปทำไมกัน
“ข้าพระองค์เห็นว่าแมงเม่าชนถูกตัวเจ้าจอมจริง แต่ดูจากลักษณะแล้ว ไม่น่าจะจงใจ ควรมิควรแล้วแต่จะทรงโปรด”
แมงเม่าจ้องมองขันทองอย่างคาดไม่ถึง “ออกพระศรี”
ขณะที่เจ้าจอมเพ็ญยิ้มพอใจ ที่ขันทองช่วยตนโกหก
กรมขุนวิมลภักดีรีบบอก “เมื่อออกพระศรียืนยันเช่นนั้น ฉันก็ต้องลงโทษให้หลาบจำ เจ้าตัวดี ฉันจะลงโทษให้เจ้าไปสำนึกผิดในท้ายจระนำพระวิหารหนึ่งคืน อย่างน้อย ก็จะได้เข้าไปพิจารณาตัวเอง” ก่อนจะเหล่ไปทางเจ้าจอมเพ็ญ “แลปัดเป่าเคราะห์กรรมของตนเองไปบ้าง”
เจ้าจอมเพ็ญได้ฟังคำตัดสิน ก็โวยขึ้นมาด้วยความไม่พอใจ “พระองค์หญิงเพคะ จะลงโทษกันแค่นั้น มิเบาไป
หน่อยหรือเพคะ”
เจ้าจอมอำพันรีบสวนกลับ “แล้วจะเอาอันใดอีกแม่เพ็ญ จะให้ราชมัลตามไปเฆี่ยนถึงในท้ายจระนำอีกหรือ”
เจ้าจอมเพ็ญถึงกับชะงักไปด้วยความเจ็บใจที่เสียท่ากรมขุนวิมลภักดี คุณท้าวโสภาแอบยิ้มสะใจ ก่อนจะหันไปพูดกับแมงเม่า
“ท้ายจระนำ ไม่มีใครเข้าไปทำความสะอาดมานาน รอเปิดออกทำความสะอาดแต่ช่วงมีงานพระบรมศพ แม่เข้าไปสำนึกผิด ก็ไม่ถือว่าสบายนักดอก เพียงแต่อาจไม่สาแก่ใจเท่านั้น”
เจ้าจอมเพ็ญหันไปพูดกับเลื่อนด้วยความเจ็บใจ “ นังเลื่อน...”
เลื่อนกลัวถูกสั่งให้เข้าไปในจระนำ รีบพูดแทรกขึ้นมาทันที “บ่าวทำทุกอย่าง แต่ไม่เข้าไปในจระนำนะเจ้าคะ ข้างใน มีพระโกศเก็บพระอัฐิเป็นร้อยเป็นพัน บ่าวไม่กล้าเฉียดเข้าไปดอกเจ้าค่ะ”
เจ้าจอมเพ็ญทิ้งค้อนใส่เลื่อน ที่ดันรู้ทันว่าจะถูกใช้ให้เข้าไปข้างในเพื่อจับตาดูแมงเม่า
เป้าหันมาบอกกับเพื่อน “แม่แมงเม่าอย่าห่วงเลย ฉันจะช่วยปัดกวาดเช็ดถูอีกแรงอย่างไรก็พออยู่ได้”
แมงเม่ายิ้มรับ “ขอบน้ำใจจ้ะ”
แต่ครั้นหันไปมองขันทอง ก็ทิ้งค้อนใส่ เพราะงอนที่อีกฝ่ายโกหกทำให้ตนถูกสั่งขัง
ฝั่งขันทองเอง กลับแอบยิ้มออกมาอย่างดีใจ เพราะเมื่อแมงเม่าถูกสั่งให้สำนึกผิดที่ท้ายจระนำ ก็เท่ากับเป็นโอกาสดีสุดๆ ที่จะได้อยู่กันสองคน เพื่อคุยเรื่องสาส์นลับนั่นเอง
แท้จริงแล้ว จระนำ คือซุ้มที่อยู่ท้ายโบสถ์หรือวิหารในวัด ข้างในจะเก็บโกศเล็กๆ ที่ใส่พระอัฐิของเชื้อพระวงศ์ที่สิ้นพระชนม์ตั้งแต่เด็ก หรือเจ้าจอมที่ตายโดยไม่มีเงินทองมากพอจะทำศพใหญ่โต ก็จะเอาโกศมาไว้ข้างใน
มีโกศเรียงรายเป็นร้อยๆอัน ซึ่งพระมหากษัตริย์หรือเชื้อพระวงศ์สำคัญ พระอัฐิจะถูกบรรจุไว้ในพระเจดีย์ ลักษณะเด่นของจระนำคือเป็นซุ้มมีหลังคา ประตูเข้าออก แต่ไม่มีหน้าต่าง
แมงเม่ากำลังคุยกับคุณท้าวโสภาอยู่ โดยมีเป้ากำลังใช้ผ้าเช็ดถูทำความสะอาดให้ แต่โดยส่วนใหญ่แล้ว ก็ยังเต็มไปด้วยฝุ่น บรรยากาศข้างในดูน่ากลัวหลอนๆ ในขณะที่เจ้าจอมอำพันยืนรออยู่หน้าประตู ไม่ยอมเข้าไป
คุณท้าวโสภาพูดอธิบาย
“จระนำพระวิหาร ในวัดพระศรีสรรเพชญ มีไว้เก็บพระโกศพระอัฐิของเชื้อพระวงศ์ที่สิ้นพระชนม์แต่เยาว์ หรือไม่ ก็อัฐิของบรรดาเจ้าจอม ที่ไม่มีเบี้ยมากพอจะสร้างวัดสร้างเจดีย์ไว้ใส่อัฐิ ฉะนั้น แม่ต้องอยู่อย่างสงบเสงี่ยม อย่าได้ล้นเป็นอันขาด มิเช่นนั้น จะหาว่าฉันไม่เตือนไม่ได้”
แมงเม่าทำหน้าเหยเก “แสดงว่าในนี้ มีแต่ผีหรือเจ้าคะ แล้วดุหรือไม่เจ้าคะ”
เป้าที่กำลังทำความสะอาดอยู่ หันมาพูดล้อๆ “แม่แมงเม่าไม่เห็นรึ ว่าไม่มีคนกล้าเข้ามา แม้แต่จะทำความสะอาดเสียด้วยซ้ำ คิดว่าอย่างไรกันเล่า”
แมงเม่ายิ่งหน้าเสีย เจ้าจอมอำพันเริ่มหงุดหงิด
“สองคนนี่ก็หลอกให้กลัวกันอยู่ได้ ประเดี๋ยวคืนนี้อยู่ไม่ได้ขึ้นมาก็เดือดร้อนอีกดอก”
คุณท้าวโสภารีบบอก “ไม่ได้หลอกนะเจ้าคะเจ้าจอม อีฉันแค่เตือนไว้ก่อน เจ้าจอมเอง ก็ยังกลัวจนไม่กล้าเข้ามาเลยไม่ใช่หรือเจ้าคะ”
เจ้าจอมอำพันแสร้งเสียงแข็ง ท่าทางขึงขัง “ผู้ใดว่าฉันกลัว ที่ไม่เข้า เพราะมีแต่ฝุ่นทั้งนั้นดอก”
ทันใดนั้น ก็มีเสียงของบางอย่างตกใส่หลังคาจระนำ เสียงดังโครมลั่น
เจ้าจอมอำพันตกใจกลัว เผลอร้องลั่นออกมา แล้วรีบเดินหนีกลับไปทันที คุณท้าวโสภารีบเดินตามไปด้วยความกลัวอีกคน
เป้าเดินออกมานอกจระนำแล้วสอดส่ายสายตาหาต้นตอเสียง ก่อนจะหันไปพูดกับแมงเม่า
“ลูกไม้หล่นมาโดนหลังคาเท่านั้น ไม่มีกระไรดอก”
แมงเม่าถอนใจโล่งอก แต่ไม่วายยิ้มแหยๆ “แม่เป้าเก่งจริง ไม่กลัวเลย”
“ก็กลางวันนี่จ๊ะ เอ่อ ฉันกลับก่อนนะแม่แมงเม่า รุ่งสางเมื่อใด ก็ออกไปได้เลยจ้ะ”
“จ้ะ”
-เป้าเดินออกไป พลางปิดประตูลง แมงเม่าที่ถูกทิ้งให้อยู่คนเดียว มองไปรอบๆ บรรยากาศช่างน่าวังเวงยิ่งนัก
“กลางวันไม่กลัว แล้วกลางคืนเล่า แม่เป้านะแม่เป้า” ว่าพลางรีบพนมมือสวดมนต์ “ พุทโธ ธรรมโม สังโฆ ดวงพระวิญญาณแลวิญญาณทั้งหลายในที่นี้ อย่ามาหลอกมาหลอนกันเลยนะเจ้าคะ ลูกเป็นคนดีมีศีลธรรม ไม่เคยทำบาป เอ่อ ลูกหมายถึงทำบาปใหญ่ เล็กๆน้อยๆ ไม่นับนะเจ้าคะ ที่เถียงพ่อท่าน ก็ไม่นับนะเจ้าคะ ลูกแค่อยากให้พ่อท่านกระชุ่มกระชวย จึงเถียงไปอย่างนั้นเองเจ้าค่ะ...”
สวดเสร็จก็กวาดตาไปรอบๆ ด้วยสีหน้าแววตาหวาดกลัวอยู่ไม่น้อย ถึงจะเก่งจะแก่นแค่ไหน แต่ก็คงไม่กล้ากับผีแน่นอน
ยามบ่ายของอีกวัน ที่ค่ายพระยาตาก มีทหารเดินเวรยามอย่างเป็นระเบียบ
พระยาตากกำลังกางแผนที่ อธิบายสถานการณ์การรบให้หลวงพิชัยอาสา และม่วงฟังอยู่ในกระโจม ขณะนั้นเอง พันหาญก็วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามา ท่าทางร้อนใจ
“ท่านเจ้าคุณ ท่านเจ้าคุณขอรับ พวกอังวะยกทัพมาอีก ครานี้มากกว่าคราที่แล้ว ไม่ต่ำกว่าสามเท่าขอรับ”
พระยาตากยิ้มเล็กน้อย “คราก่อน มีจำนวนพลมากกว่าเรากึ่งหนึ่งจึงพ่ายแพ้ ครานี้ เลยยกมามากกว่าสามเท่าเลยรึ”
หลวงพิชัยอาสารีบบอก “ข้าศึกมีมากกว่านัก เราควรตั้งรับ มากกว่าสู้โดยตรงนะขอรับ”
“ชัยภูมินนทบุรี ไม่เหมาะแก่การตั้งรับเท่าใด ใช้กลศึก เอาชัยในการรบกลางแปลงจะเหมาะกว่า”
พระยาตากพูดพลางชี้นิ้วไปที่แผนที่ตรงจุดที่จะใช้เป็นสมรภูมิ
ภาพกลยุทธของพระยาตาก มีการแบ่งกองทัพทั้ง 2 ออกเป็นสีแดงกับสีดำ สี่เหลี่ยมสีแดง แทนกองทัพพระยาตาก ส่วนสี่เหลี่ยมสีดำแทนทัพหลักของอังวะ โดยหน้าทัพหลักมีวงกลมสีดำขนาดเล็ก 3 วง แทนทัพหน้าอังวะ 3 ทัพ และหลังทัพหลักมีรูปคนสีดำ แทนตัวนายกองอังวะ สี่เหลี่ยมสีแดงเคลื่อนที่เข้าสู้กับวงกลมสีดำขนาดเล็กทั้ง 3 วง
เสียงของพระยาตากอธิบายกลยุทธด้วยน้ำเสียงห้าวหาญ
“ฉันจะนำทัพออกรบด้วยตนเอง ถ้าเรายันทัพหน้าของพวกมันไว้ได้ พวกมันต้องส่งทัพใหญ่เข้ามาเป็นแน่”
สี่เหลี่ยมสีดำ ซึ่งหมายถึงทัพหลักอังวะ เคลื่อนที่เข้ามาช่วยรบ เหลือรูปคนสีดำตั้งอยู่ ขณะนั้นเอง ก็มีวงกลมสีแดงขนาดเล็กแทนทัพหลวงพิชัย บุกเข้าโจมตีรูปคนสีดำจากทางด้านข้าง
“นายทัพของพวกมัน คงเหลือทหารคุ้มครองไม่มากนัก เปิดโอกาสให้หลวงพิชัยนำทัพขนาดเล็ก อ้อมไปสังหารนายทัพของพวกมันจากทางด้านข้าง สิ้นนายทัพบัญชาการสักคน ก็เหมือนงูไร้หัว หาต้องกลัวไม่”
ม่วงได้ฟังกลยุทธก็ถึงกับเครียดหนัก
“ทำเช่นนี้ ก็เท่ากับท่านเจ้าคุณใช้ตัวเองเป็นเหยื่อล่อพวกอังวะน่ะซีขอรับ”
พระยาตากยิ้มบางๆ “ถ้าเหยื่อล่อไม่มีค่าพอ จะล่ออังวะให้ฮุบเหยื่อได้รึ ฉันรู้ว่าทุกคนห่วงใยฉัน แต่การศึกมาอยู่ข้างหน้าแล้ว ไม่อาจลังเลได้อีก”
หลวงพิชัยอาสา พันหาญ และม่วง หันไปมองหน้ากันเป็นเชิงถามความเห็น ก่อนที่ต่างคนต่างจะพยักหน้า
เห็นด้วย
สายตาของพระยาตากเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น และไม่หวั่นเกรงใดๆ
กองทัพของพระยาตาก กำลังสู้กับทหารอังวะอย่างดุเดือด แม้จะมีจำนวนน้อยกว่า แต่ก็สู้ไม่ถอย ทุกคนเห็นพระยาตากมาสู้ด้วยตัวเอง ก็ยิ่งฮึกเหิมสู้โดยไม่กลัวตาย
นายกองอังวะ กำลังมองดูสถานการณ์ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
ม่วงฟันฟันทหารอังวะตายไปคนหนึ่ง แล้วพูดเสียงดัง
“ท่านเจ้าคุณมาร่วมสู้กับพวกเราแล้ว มีอันใดต้องกลัวอีก ฆ่ามัน”
ทหารไทยโห่ร้องเสียงดัง บุกตะลุยรุกไล่ ด้วยกำลังใจที่ ฮึกเหิม ขณะที่ทางฝั่งอังวะกำลังเครียด
“พระยาตากร่วมรบด้วยตนเอง ขวัญทหารจึงฮึกเหิมนัก ทำอย่างไรดีขอรับ”
นายกองตะโกนสั่งการ เสียงดังลั่น “เคลื่อนทัพใหญ่เข้าไปเสริมอีก บดขยี้พวกมันแลฆ่าพระยาตากให้จงได้”
ขาดคำ ทัพอังวะที่เหลือก็บุกเข้ามาทันที เหลือทหารป้องกันนายกองเพียงเล็กน้อย
พันหาญเห็นทัพใหญ่บุกเข้ามา ก็รีบหันมาบอก
“มันเคลื่อนทัพหลักเข้ามาแล้วขอรับ”
พระยาตากสั่งการเสียงดัง “ ยันทัพพวกมันเอาไว้ให้ได้”
สิ้นเสียงก็ควงดาบบุกตะลุยใส่พวกอังวะทันที ทหารไทยเห็นเช่นนั้น ก็ยิ่งสู้ตาย
ทางด้านนายกองอังวะ ก็กำลังดูสถานการณ์อย่างใจจดใจจ่อ ทันใดนั้น หลวงพิชัยอาสาก็นำทหารจำนวนหนึ่ง บุกมาจากทางด้านข้างโดยไม่มีใครรู้ตัว
นายกองอังวะหันไปเห็น ก็ถึงกับตกใจสุดๆ “อ้ายข้าศึก! เร็ว รีบเรียกทัพกลับมา”
หลวงพิชัยอาสาไม่ปล่อยโอกาสทอง รีบตะลุยบุกเข้าฆ่าทหารที่คุ้มกันอยู่ ก่อนจะบุกเข้าใส่ นายกองอังวะ
ชักดาบออกสู้ แต่ก็พลาดท่าโดนดาบสองมือของหลวงพิชัยอาสาฟันตายคาที่
ทหารอังวะเห็นนายกองตายก็ตกใจ รีบสู้พลางถอยพลาง หนีกันอลหม่าน ทหารไทยได้ใจก็รีบรุกไล่ทันที
พันหาญตะโกนร้องอย่างดีใจสุด “คุณหลวงทำสำเร็จแล้ว เราชำนะแล้วขอรับ”
“ยังไม่จบแค่นี้ดอก” พระยาตากพูดพลางหันไปทางม่วง “พ่อม่วง ฉันฝากด้วยนะ”
ม่วงยกมือไหว้ แล้วยิ้มมั่นใจ “ไว้ใจกระผมเถิดขอรับ”
“แพ้ได้อย่างไรวะ ทัพเรามีมากกว่าไม่ใช่รึ”
ขุนพลอังวะตวาดถามทหารนั่งคุกเข่าก้มหน้าด้วยความโมโห โดยหารู้ไม่ว่าแท้แล้วทหารนายนั้น คือ ม่วงปลอมตัวมา โดยเอาชุดจากศพมาใส่ เสื้อผ้าจึงขาดวิ่นสกปรก ในมือ ถือธงประจำทัพมาด้วย เพื่อให้เชื่อว่าเป็นทหารอังวะแตกทัพมาขอความช่วยเหลือจริงๆ
“มากกว่าถึงสามเท่าขอรับ แต่ทัพพระยาตากรบเข้มแข็งนัก เพลานี้ทัพเราถูกล้อมอยู่ที่ชายป่าด้านทิศตะวันออก ขอจงโปรดไปช่วยด้วยเถิดขอรับ”
“ข้าต้องไปอยู่แล้วโว้ย” ขุนพลเสียงเข้ม ก่อนจะหันไปสั่งทหารคนอื่น “จงเร่งเตรียมทัพไปช่วยบัดเดี๋ยวนี้”
ม่วงในชุดทหารปลอม ลอบยิ้มเจ้าเล่ห์ที่สำเร็จตามแผน
จากนั้นขุนพลอังวะ ก็นำทัพบุกมาถึงชายป่าเพื่อช่วยทัพที่ถูกล้อม ก่อนจะมองไปรอบๆ อย่างงงๆ
“ถูกล้อมอยู่ที่ใดวะ ไม่เห็นมีแม้แต่ร่องรอยต่อสู้”
ทันใดนั้นเอง พระยาตากกับพันหาญก็คุมทหารที่ซุ่มอยู่บุกมาจากทางซ้าย ส่วนหลวงพิชัยอาสานำทหาร บุกเข้ามาทางขวาเช่นกัน
ทั้งสองกอง บุกเข้ากระหนาบใส่ทัพอังวะที่อยู่ตรงกลาง
“หลงกลแล้ว หนีเร็ว”
พวกทหารอังวะตกใจ พยายามจะหนีก็ไม่ทัน ถูกทัพพระยาตากโจมตีไม่ทันตั้งตัวจนอลหม่านไปหมด
ฟากมังมหานรธา ก็กำลังสนทนากับทหารของตนอยู่ในกระโจม ด้วยท่าทีที่ตกใจ
“แต่บ่ายคล้อยจนถึงตะวันตกดิน เราเสียไปถึงสามค่ายเชียวรึ”
“ ขอรับ อ้ายข้าศึกมันรบชำนะท่านเมฆะระโบ แล้วให้คนเอาชุดทหารของเรามาใส่ แลถือธงของเราไปขอความช่วยเหลือตามค่าย นายค่ายฝ่ายเราเห็นเป็นธงจริง แลพูดภาษาของเราอีก จึงหลงกลยกทัพออกไป ทำให้ถูกซุ่มโจมตีจนเสียทั้งคนแลค่ายขอรับ”
มังมหานรธายิ่งเครียดหนัก “สำคัญนัก คราที่ข้าตีเมืองเพชรบุรี พระยาเพชรบุรีก็มีฝีมือการรบกล้าหาญเป็นที่ประจักษ์ ครานี้ก็มาพระยาตากอีก อโยธยาไม่สิ้นคนดีจริงๆ สั่งการลงไป ให้ทุกค่าย มารวมตัวกันที่ค่ายใหญ่ให้หมด”
“ ขอรับท่านแม่ทัพ”
คล้อยหลังที่ทหารนายนั้นออกจากกระโจมไป ทหารอีกนายก็เดินเข้ามา สีหน้าเคร่งเครียด
“พระยาตากผู้นี้ชาญศึกนัก จะจัดการอย่างไรดีขอรับ”
“พวกเราเองคงยากจะทำได้ ต้องให้ไท ฆ่าไทกันเองเท่านั้น”
มังมหานรธายิ้มร้ายอย่างมีแผน
ยามค่ำขณะที่ฝนกำลังตกหนักรอบบริเวณวัง แมงเม่ายืนมองตุ๊กแกตัวเบ้อเร่อที่ส่งเสียงร้องตลอดเวลา อยู่ที่มุมกำแพงข้างในจระนำ ที่จุดเทียนสว่างไสว อย่างอยากจะร้องไห้
“ผีก็มี ตุ๊กแกก็มี ฝนก็ตก เสด็จพระองค์หญิงไม่สั่งโบย แต่ก็เหมือนสั่งให้มาตายโดยแท้”
พลันเสียงฟ้าก็ร้องดังลั่นแทรกขึ้นมา แมงเม่าถึงกับสะดุ้งเฮือก รีบยกมือไหว้ประหลกๆ
“รู้แล้วเจ้าค่ะ ถูกส่งมาให้สำนึก กำลังสำนึกอยู่เจ้าค่ะ”
ทันใดนั้น ก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น แมงเม่าสะดุ้งตกใจ หันไปที่ประตู “นั่นใครรึ”
ทว่าไม่มีเสียงตอบ กลับมีเสียงเคาะประตูดังรัวหนักกว่าเดิม
แมงเม่าฉุกคิดขึ้น รอยยิ้มผุดขึ้นมาด้วยความดีใจ “ แม่เป้า”
คิดได้ดังนั้น ก็รีบไปเปิดประตูทันที แต่ครั้นเปิดออกก็ต้องตกใจสุดๆ เมื่อเห็นใครคนหนึ่ง ยืนคลุมศีรษะปิดหน้าตา อยู่ในที่มืด เหมือนผีไม่มีผิด
แมงเม่าตกใจกลัว ร้องโวยวายเสียงดัง ใครคนนั้นรีบเข้ามาในจระนำแล้วปิดประตูทันที
แมงเม่ารีบหลับตายกมือไหว้ “กลัวแล้วเจ้าค่ะ กลัวแล้ว ลูกไม่ดีเอง กำลังจะสำนึกอยู่ประเดี๋ยวนี้ อย่าหลอกหลอนกันเลยเจ้าค่ะ”
ครั้นใครคนนั้นถอดผ้าที่คลุมหน้าตาออก ที่แท้ก็คือขันทองนั่นเอง
“กระไรของเจ้า”
แมงเม่าได้ยินเสียงขันทอง ก็ลืมตามอง อย่างแทบไม่อยากเชื่อสายตา
“ออกพระศรี...”
ขันทองยิ้มง้อๆ ส่งให้ แมงเม่าหน้าตูมค้อนใส่ให้อย่างงอนๆ ระคนน้อยใจ
ขันทองกำลังจุดเทียนเพิ่ม ในขณะที่แมงเม่ายังวางท่าปั้นปึ่งที่อีกฝ่ายไม่เข้าข้างตน
“ ฉันนึกว่าออกพระศรีต้องอยู่เฝ้าเจ้าจอมเพ็ญเสียอีก”
“คืนนี้ ฉันตั้งใจจะมานั่งเป็นเพื่อนคนที่ต้องโทษในท้ายจระนำ”
แมงเม่ายิ้มเยาะ “รู้สึกผิดหรือเจ้าคะ ไม่ต้องใส่ใจดอกเจ้าค่ะ ฉันก็แค่แมงเม่าตัวหนึ่ง จะไปเทียบอันใดได้กับดวงโสมที่ลอยบนฟ้าเรืองรองนั้นได้เล่า”
ขันทองยิ้มขำ “หยุดประชดได้แล้ว แม่คนเจ้าคารม” พูดพลางยื่นหน้าเข้าไปใกล้หน้าแมงเม่า พร้อมกับยิ้มกรุ้มกริ่ม “เจ้าก็รู้ไม่ใช่รึ ว่าฉันห่วงเจ้าเพียงใด ขนาดแขนตัวเอง ฉันยังกรีดเพื่อช่วยเจ้าได้เลย”
แมงเม่า รีบเบือนหน้าไปทางอื่นอย่างเขินอาย แต่แสร้งปั้นหน้าบึ้งๆ “ทวงบุญคุณ”
ขันทองยิ้มเอ็นดู แล้วหยิบเอาห่อผ้าขนาดเล็กที่ตนซุกในอกเสื้อออกมา ก่อนจะเปิดห่อผ้าออก แล้วหยิบ
กระดาษ พู่กัน หมึกฝน จานรองหมึกที่เตรียมมาวางลงบนพื้น
แมงเม่ามองอย่างแปลกใจ “คุณพระเอาของพวกนี้มาทำไมเจ้าคะ”
ขันทองส่งสายตาเจ้าเล่ห์ “เมื่อหลายวันก่อน เจ้าบอกว่ามีเรื่องสำคัญจะบอกฉันไม่ใช่รึ เพลานี้ เป็นโอกาสอันดีแล้ว เจ้ารีบบอกมาเถิด”
แมงเม่าฉุกคิดขึ้นมาได้ “ อย่าบอกนะเจ้าคะ ว่าเพราะเหตุนี้ คุณพระถึงได้ช่วยเจ้าจอมเพ็ญใส่ร้ายฉัน เพื่อให้ฉันมาถูกขังอยู่ที่นี่ลำพัง”
“ฉันจะไปรู้ได้อย่างไร ว่าเสด็จพระองค์หญิงจะขังเจ้า อย่าเสียเวลาอยู่เลย ถ้าเจ้าไม่บอก ฉันจะได้กลับ”
แมงเม่ารีบพูดอย่างร้อนรน “บอกเจ้าค่ะๆ” จากนั้นก็ล้วงมือเข้าไปในชายพก แล้วหยิบตลับอันหนึ่งออกมา ก่อนจะเปิดตลับออก เพื่อหยิบม้วนกระดาษเล็กๆที่เป็นสาส์นลับออกมา
“นี่เจ้าค่ะ ความลับที่ฉันจะบอก”
ขันทองรับกระดาษมาแล้วคลี่ออกดู เห็นบนกระดาษเขียนว่า
“หังวฉวาลทหงขสาปหักสะ”
ขันทองตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง ด้วยไม่คิดว่าจะยากขนาดนี้ “พิสดารถึงปานนี้”
แมงเม่าหน้าเสีย “แม้แต่คุณพระก็ถอดไม่ได้หรือเจ้าคะ”
“อย่างไรก็ต้องลองดู”
ขันทองพูดพลางเดินไปเดินมาอย่างใช้ความคิด ครู่หนึ่งก็หันมาพูด
“ต้องเริ่มที่กลบทไทหลงก่อน”
แมงเม่าเลิกคิ้วแปลกใจ “กลบทไทหลง แต่เกิดมา ฉันไม่เคยได้ยินชื่อกลบทนี้มาก่อนเลย”
“ย่อมไม่เคยได้ยิน นี่เป็นกลบทที่สอนแต่เฉพาะจารบุรุษ หรือแม่ทัพที่คุมศึกเท่านั้น”
“แล้วเราจะแก้อย่างไรเจ้าคะ” อีกฝ่ายย้อนถาม
“ต้องใช้พยัญชนะตัวแทน อย่างถ้าเขียนด้วย ก. ก็ต้องแทนด้วย ง.เขียนด้วย ข. ก็ต้องแทนด้วย ค.”
แมงเม่ารีบนั่งพับเพียบแล้วฝนหมึก “ บอกมาเถิดเจ้าค่ะ ฉันจดเอง”
ขันทองยืนพูด ขณะที่แมงเม่าก็จดอย่างตั้งใจ แล้วค่อยๆ ถอดออกมาทีละตัว ครั้นอ่านที่ตนถอดออกมาด้วยความตกใจสุดขีด
“อักษรสารบอกความแจ้งอังวะ ทุรยศ ออกญาพลเทพกับเจ้าจอมเพ็ญทุรยศขายแผ่นดินให้อังวะ มิน่าเล่า ถึงได้ตามล่าฉันเอาเป็นเอาตาย”
ขันทองหน้าเครียดขึ้นมาทันที “แค่ประโยคเดียวนะเจ้า ยังไม่พอเอาผิดขุนนางจตุสดมภ์กับเจ้าจอมคนโปรดได้ดอก”
“แล้วเราต้องทำอย่างไรต่อเจ้าคะ”
ขันทองรีบบอก “ถ้าฉันคาดการณ์ไม่ผิด จากคำว่า “อักษรสารบอกความแจ้งอังวะ” เราต้องใช้กลบทอื่นมาถอดจากคำนี้อีก จากนั้น เราก็จะได้ข้อความเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนครบสมบูรณ์”
แมงเม่าตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง “มิน่าเล่า คุณพระถึงบอกว่าพิสดารปานนี้ แต่ถึงยากเย็นปานใด ฉันก็ต้องแก้กลบทนี้ให้จงได้เจ้าค่ะ”
ขันทองยิ้มพอใจ “เช่นนั้นก็ลงมือเถิด”
ทั้งคู่ช่วยกันแก้กลบทอย่างขะมักเขม้น จนเผลอเขยิบตัวเข้ามาอยู่ใกล้กันจนแก้มแทบจะแนบแก้มกัน
แมงเม่าชำเลืองมองขันทอง แต่พอขันทองหันหน้ามาพูดด้วย ก็รีบก้มหน้าอ่านข้อความทันที
ขันทองถอดข้อความได้อีกหนึ่งข้อความก็ดีใจ เลยรีบหันไปบอกแมงเม่า แต่กลับเห็นอีกฝ่ายเอาหัวพิงกำแพงหลับไปแล้ว ก็เลยรีบหยิบผ้าที่ตนใช้คลุมศีรษะกันฝนตอนเข้ามาในจระนำ เข้าไปห่มให้ พลางมอง แล้วยิ้มอย่างเอ็นดู
สายตาบ่งบอกอย่างชัดเจนว่าแอบรักผู้หญิงคนนี้มาก
ขันทองรีบขยับตัวกระแซะไปนั่งใกล้ๆ แมงเม่า แล้วแก้กลบทต่ออย่างอารมณ์ดี ด้วยมีกำลังใจเต็มเปี่ยม
จวบจนพระอาทิตย์กำลังจะโผล่พ้นขอบฟ้า
แมงเม่ากำลังอ่านข้อความทั้งหมดที่ตนถอดมาได้ เต็มกระดาษ 2-3 แผ่นเลยทีเดียว โดยมีขันทองยืนอยู่ใกล้ๆ
“ คิดไม่ถึงเลย ว่าตัวอักษรเพียงแค่ประโยคเดียว จะถอดเนื้อความออกมาได้มากมายปานนี้ มหัศจรรย์แท้”
“ออกญาพลเทพมีปัญญาแลล้ำเลิศในเชิงอักษรนัก” ขันทองพูดพลางแอบถอนใจ “เสียดาย ที่ไม่ใช้ปัญญานี้ในทางเป็นคุณแก่บ้านเมือง”
แมงเม่าอ่านทวนอีกที แล้วก็นึกแปลกใจ
“พิกลนัก ข้อความในนี้ แจ้งถึงจำนวนพล แลที่ตั้งกองทัพอโยธยา ไปจนถึงรายชื่อขุนนางผู้สวามิภักดิ์ต่ออังวะ แต่ขุนนางบางคนก็ตายไปแล้วไม่ใช่หรือเจ้าคะ แลอโยธยาก็ไม่ได้ตั้งทัพเช่นนี้อีกด้วย”
ขันทองรีบอธิบาย “นี่เป็นคราศึกพระเจ้าอลองพญา ไม่ใช่ศึกในครานี้ ข้อความจึงไม่ตรงกัน แต่ถึงอย่างไรก็เป็นความผิดใหญ่หลวงอยู่ดี”
แมงเม่าพยักหน้าช้าๆ “มิน่าเล่า”
“เจ้าเอาข้อความเหล่านี้ ไปแจ้งต่อออกญาวัง ออกญาวังจะจัดการทุกอย่างเอง แต่จำไว้ ว่าอย่าเอ่ยถึงฉันเป็นอันขาด”
“แล้วเหตุใด คุณพระไม่ไปแจ้งเองเล่าเจ้าคะ จับกบฏได้ มีความดีความชอบใหญ่หลวงนัก อาจได้เป็นขันทีเจ้าพระยาคนแรกในตำนานอโยธยาเชียวนะเจ้าคะ”
ขันทองส่ายหน้า “ฉันไม่ต้องการลาภยศดอก แลมีเรื่องอีกมากที่ฉันต้องทำ ไม่อาจมีเรื่องวุ่นวายในเพลานี้ได้”
“เช่นนั้นก็ได้เจ้าค่ะ” แมงเม่ายิ้มเจ้าเล่ห์ “พี่ขันทอง”
ขันทองได้ฟังก็ตกใจ “ เจ้าว่ากระไรนะ”
แมงเม่าปรบมือ พลางหัวเราะอย่างสะใจ “ฉันอยากเห็นสีหน้านี้ของออกพระมานานแล้ว คงนึกไม่ถึงกระมังเจ้าคะ ว่าฉันจะรู้”
ขันทองงงเป็นไก่ตาแตก “แล้วเจ้า เจ้ารู้ได้อย่างไร”
แมงเม่ายิ้มอย่างภูมิใจ “ ฉันสงสัยแต่ครั้งที่ออกพระช่วยฉันแก้กลบทคราแรกแล้ว แต่ฉันนึกว่าเมืองโต้ระกี่มีกลบทเช่นกัน ฉันจึงลองไปถามแขกโต้ระกี่ที่เป็นลูกค้ามาซื้อกระดาษของพ่อท่านดู จึงรู้ว่าไม่ใช่ จากนั้น ก็คราที่เราไปค้างในป่าด้วยกัน นิทานที่ออกพระเล่าให้ฟังครานั้น คล้ายคลึงกับที่เจ้าจอมเพ็ญพูดกับฉันนัก”
ขันทองนิ่งไปอย่างพยายามเก็บอาการ แมงเม่าพูดต่อ
“เรื่องที่คุณพระเล่าให้ฉันฟัง ก็คือเรื่องของเสือขุนทองกับคุณท้าวสาลิกา ใช่หรือไม่เจ้าคะ”
ขันทองหน้าขรึมลง พลางพูดประชด “ฉลาดนักนะเจ้าตัวดี”
แมงเม่ายืดอก “คุณพระรู้ละเอียด ถึงขนาดคุณท้าวสาลิกาชอบกินกระไร ก็เดาต่อไม่ยากดอกเจ้าค่ะ ว่าคุณพระเป็นผู้ใด”
“แต่ถึงอย่างไร เจ้าก็ไม่มีทางรู้ชื่อฉันแน่ ใครเป็นคนบอกเจ้า”
“ผู้ใดอยู่ในวังมานานที่สุดเจ้าคะ”
ขันทองเจอย้อนเข้าจังๆ ก็นิ่งคิดทบทวน “ คุณท้าวโสภา”
แมงเม่ายิ้มกวน พลางแกล้งพูดประชดกลับ “ฉลาดเหมือนกัน” ก่อนจะพูดต่อ “คุณท้าวโสภาเป็นคนไว้ตัว
ย่อมไม่คุยเล่นกับผู้ใดแม้แต่ขันที คุณพระจึงไม่ทราบ ว่าคุณท้าวโสภาเคยสนิทสนมกับคุณท้าวสาลิกามาก่อน”
ขันทองอึ้งไป กับข้อมูลใหม่ที่ไม่เคยรู้มาก่อนเลย แมงเม่าหระหยิ่มยิ้มย่อง
“อย่าเห็นว่าฉันเอาแต่ช่างพูดช่างเจรจานะเจ้าคะ เพราะความช่างพูดของฉัน ก็ทำให้คุณท้าวโสภาบอกชื่อจริง
ของคุณพระให้ฉันได้รู้”
ขันทองยังแปลกใจมากไม่หาย “แล้วคุณท้าวโสภารู้ได้อย่างไร”
แมงเม่ายิ่งลำพองใจที่ทำให้ขันทองอึ้งได้ขนาดนี้
ย้อนกลับไปในอดีต ขณะที่คุณท้าวสาลิกากำลังใช้กระบวยไม้คนแกงในหม้ออยู่ ด้วยแววตาเหม่อลอย กังวลใจ
เพราะเอาแต่คิดเรื่องลูก เรื่องสามีตลอดเวลา
ขณะนั้นเอง คุณท้าวโสภาเดินเข้ามาหา พลางเหลือบเห็นแกงในหม้อ “จวนจะไหม้แล้วนะ แม่สาลิกา”
คุณท้าวสาลิกาสะดุ้ง ได้สติ รีบเอาผ้าหนาๆ มาจับหม้อแกงแล้วยกลง
“คิดเรื่องลูกเรื่องผัวอีกแล้วรึ”
ฝ่ายถูกถามหน้าเศร้า “ จะไม่ให้คิดได้อย่างไรเล่าจ๊ะ นับแต่ที่พี่ขุนทองบุกเข้าไปชิงตัวฉันในป่าก็เงียบหาย ไม่ได้ข่าวคราวอีกเลย แลพ่อขันทองอีก มิรู้ว่าป่านฉะนี้พ่อขันทองลูกฉันจะเป็นอย่างไรบ้าง”
คุณท้าวโสภามองอย่างสงสารเพื่อน “นี่ถ้ามีคนแจ้งให้เสือขุนทองเลิกเป็นโจร กลับมารับใช้บ้านเมืองได้ก็คงดี”
“ทำไมหรือจ๊ะ” อีกฝ่ายย้อนถามอย่างแปลกใจ
“ถ้าเสือขุนทองกลับใจ แลประกอบความชอบให้มากเข้าไว้ ก็อาจใช้ความชอบเหล่านั้นมาลบล้างความผิด แลอาจถึงขั้นทูลขอพระราชทานแม่สาลิกาด้วยก็เป็นได้”
คุณท้าวสาลิกายิ้มดีใจมาก เริ่มมีความหวังขึ้นมาทันที “จริงซี แม้เพลานี้จะไม่มีศึกใหญ่ ยากจะทำความชอบ แต่ก็ใช่จะไม่มีหวังเสียทีเดียว แม่จะได้กลับไปอยู่กับลูกแล้ว พ่อขันทองลูกแม่”
ถัดจากวันนั้นมาประมาณ 2-3 วัน
คุณท้าวโสภาพยายามแหวกข้าหลวง โขลนที่มามุงดูศพออกเป็นทาง พลางแทรกตัวเข้าไป เห็นคุณท้าวสาลิกา
นอนตายอยู่ สภาพศพเปียกโชกเพราะเพิ่งเอาขึ้นจากน้ำ
“ แม่สาลิกา”
คุณท้าวโสภาร้องไห้โฮ พร้อมกับโผเข้าไปกอดศพ
“ แม่สาลิกาๆ” ก่อนจะหันไปถามคนอื่น “เกิดกระไรขึ้น แม่สาลิกาตายได้อย่างไร”
โขลนคนหนึ่งรีบบอก “คาดว่าคุณท้าวสาลิกา คงจะฆ่าตัวตายเพื่อหนีความผิดที่วางยาเสน่ห์ให้สมเด็จเจ้าฟ้าเจ้าค่ะ”
“ไม่จริง แม่สาลิกาจะวางยาเสน่ห์เจ้าฟ้าท่านให้ได้กระไรขึ้นมา แลไม่กี่วันก่อน แม่สาลิกายังมีหวังจะได้พบลูกพบผัวอยู่เลย คนเช่นนี้น่ะรึจะทำความผิดมหันต์ จะฆ่าตัวตาย ฉันไม่เชื่อ”
คุณท้าวโสภายิ่งร้องไห้หนัก รู้สึกอาดูรกับการตายของคุณท้าวสาลิกา
ขันทองฟังเรื่องของแม่ด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย พลอยให้แมงเม่ารู้สึกหม่นหมองไปด้วย
“ระหว่างเล่าให้ฉันฟัง คุณท้าวโสภายังเสียงเครืออยู่เลย ย่อมแสดงว่ามีน้ำใจต่อคุณท้าวสาลิกาไม่น้อย ซึ่งเรื่องนี้ คงเป็นหนึ่งในสองสาเหตุ ที่ทำให้คุณพระมาเป็นจารบุรุษ นอกเหนือจากการหาตัวคนทุรยศบ้านเมือง ใช่หรือไม่เจ้าคะ”
ขันทองถอนใจเฮือกใหญ่ “ฉันอยากจะสิ้นสงสัย ว่าเจ้ารู้ได้อย่างไรว่าฉันเป็นจารบุรุษ เจ้าช่วยบอกฉันอีกทีเถิด”
แมงเม่ายิ้มเจ้าเล่ห์ “แต่แรก ฉันยังไม่แน่ใจดอกเจ้าค่ะ กระทั่งเมื่อคืน....”
พูดพลางย้อยนึกไปถึงเหตุการณ์เมื่อคืน ตอนที่ขันทองหยิบเอาห่อผ้าขนาดเล็กที่ตนซุกในอกเสื้อออกมา ก่อนจะเปิดห่อผ้าออก หยิบกระดาษ พู่กัน หมึกฝน จานรองหมึกที่เตรียมมาวางลงบนพื้น
แมงเม่าบอกอย่างร้อนรน “บอกเจ้าค่ะๆ” พลางล้วงมือเข้าไปในชายพก แล้วหยิบตลับอันหนึ่งออกมา ก่อนจะ
เปิดตลับออก เพื่อหยิบม้วนกระดาษเล็กๆ ที่เป็นสาส์นลับออกมา
“นี่เจ้าค่ะ ความลับที่ฉันจะบอก”
ขันทองรับกระดาษมาแล้วคลี่ออกดู
แมงเม่ายิ้มภูมิใจที่รู้ทัน
“คุณพระไม่ถามสักนิด ว่าฉันได้สาส์นลับมาอย่างไร แลได้มานานเท่าใด มิหนำซ้ำ ยังเตรียมกระดาษ พู่กันมา
พร้อมอีก ย่อมแสดงว่า คุณพระรู้แล้วว่าฉันมีสาส์นลับอยู่กับตัว คุณพระจะรู้ได้อย่างไรเจ้าคะ ถ้าไม่ใช่ลอบเข้าวังมาเพื่อสิ่งนี้”
ขันทองหน้าจ๋อยลง “ ยอม ฉันยอมแพ้เจ้าหมดสิ้น แต่เกิดมา ฉันไม่เคยรู้สึกแพ้จนหมดทางสู้เช่นนี้เลย”
“คุณพระ คงเริ่มกลัวว่าฉันจะเอาความลับไปเปิดเผยแล้วกระมังเจ้าคะ”
ขันทองเขยิบเข้าไปใกล้ๆแมงเม่า แล้วยื่นหน้าเข้าไปพูดเบาๆ พร้อมกับส่งยิ้มกรุ้มกริ่มให้
“ถ้าเจ้าเอาเรื่องนี้ไปพูดย่อมแสดงว่าเจ้าอยากให้ฉันตาย เช่นนั้นฉันก็ยินดีตายด้วยความเต็มใจ”
แมงเม่าผงะถอยออกมา เขินอายใจเต้นรัวขึ้นมาทันที ในขณะที่ขันทองมองด้วยสายตากรุ้มกริ่มอย่างเปิดเผย
เพราะเมื่ออีกฝ่ายรู้ขนาดนี้ ตนก็ไม่จำเป็นต้องปิดบังความรู้สึกใดๆ อีกแล้ว
แมงเม่า รีบหลบสายตาด้วยความเขินอาย หากแกล้งทำหงุดหงิดกลบเกลื่อน
“คุณพระพูดจาลดเลี้ยว ฉันฟังไม่เข้าใจ แต่ฉันไม่เอาไปบอกใครดอกเจ้าค่ะ เพราะเราเป็นมิตรที่ดีต่อกัน แลคุณ
พระเสียสละเพื่อการนี้ใหญ่หลวงนัก ฉันหักใจทำร้ายคุณพระไม่ได้ดอกเจ้าค่ะ”
“เสียสละ เรื่องอันใด” ขันทองย้อนถามกลับ
“ก็เสียสละ... “ จะพูดว่าถูกตอนก็กระดากปาก “เอ่อ เสียสละความเป็นชายมาเป็นขันทีอย่างไรเล่าเจ้าคะ”
ขันทองตกใจ “นี่เจ้ายังคิดว่าฉัน...”
“ทำไมหรือเจ้าคะ” แมงเม่าย้อนถามบ้าง
ขันทองหน้าเจื่อน รู้สึกอึกๆ อักๆ เกรงว่าถ้าบอกความจริงแล้วแมงเม่าจะคิดยังไง “เอ่อ ไม่มีกระไร”
“พิลึก ฉันไปหาออกญาวังดีกว่า จะได้จบเรื่องนี้เสียที”
แมงเม่าพูดจบ ก็เปิดประตูจระนำแล้วเดินออกไปพร้อมกระดาษที่จดข้อความทั้งหมด
ขันทองมองตามอย่างนึกขัดใจ “เรื่องยากเย็นแสนเข็ญ กลับเฉลียวฉลาดนัก แต่เรื่องง่ายดายกลับคิดไม่ได้ เจ้า
จะให้ฉันทำอย่างไร ถึงจะเข้าใจว่าฉันเป็นชายแท้ เจ้าตัวดี”
รำพันกับตัวเองเสร็จ ก็ถอนใจหนักๆ ออกมาอย่างจนปัญญา
อ่านต่อตอนที่ 20