xs
xsm
sm
md
lg

หนึ่งด้าวฟ้าเดียว ตอนที่ 18 : ประจำเดือนช่วยชีวิต ว่าที่หม่อมห้าม !?

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


หนึ่งด้าวฟ้าเดียว ตอนที่ 18

บทประพันธ์ : วรรณวรรธน์
บทโทรทัศน์ : เอกลิขิต

แมงเม่าก้มลงกราบกรมขุนวิมลภักดีทั้งน้ำตา ที่โถงตำหนักกรมขุนวิมลตอนเช้าวันใหม่

กรมขุนวิมลนั่งน้ำตาคลออยู่บนตั่ง เสียใจที่แมงเม่าต้องถวายตัวเป็นนางห้ามจนได้ โดยมีเจ้าจอมอำพันนั่งอยู่บนตั่งอีกตัว
คุณท้าวโสภา และเป้านั่งพับเพียบกับพื้นอยู่ใกล้ๆ เจ้าจอมอำพัน คุณท้าวโสภาหน้าเครียดๆ
เป้าร้องไห้หนักกว่าทุกคน เพราะเสียใจ และรู้สึกผิดที่ตนเป็นต้นเหตุของเรื่องทั้งหมด
แมงเม่าเองก็น้ำตาคลอ เสียใจ
"หม่อมฉันต้องขอประทานอภัยที่ทำให้ทรงผิดหวัง ทั้งที่เสด็จทรงปกป้องหม่อมฉันมาตลอด แต่หม่อมฉันก็รนหาที่ จนต้องลงเอยเช่นนี้"
กรมขุนวิมลภักดีน้ำตาคลอ เสียใจที่ปกป้องแมงเม่าไม่ได้
"โทษตัวเองตอนนี้ ก็สายไปเสียแล้วเจ้าตัวดีเอ๋ย ถือเสียว่าเวรกรรมตามมาทันก็แล้วกัน
ฉันเองก็ทำได้แต่อวยพรให้พระองค์ชายเชษฐ์ทรงเมตตาเจ้า ไม่ต้องเจอชะตากรรมเหมือนห้ามคนอื่น"
เป้าร้องไห้ รู้สึกผิดสุดๆ
"เรื่องนี้ ต้นเหตุเป็นเพราะฉันแต่ผู้เดียว ฉันจะไปกราบทูลพระองค์ชาย ขอไปเป็นห้ามแทนแม่แมงเม่าเอง แม่แมงเม่าไม่ต้องไปดอก"
เจ้าจอมอำพันยิ้มสมเพช
"ขืนไป ก็ต้องตกเป็นห้ามเสียทั้งสองคนนั่นล่ะ เนื้อเข้าปากเสือแล้ว มีหรือจะคายออกมาง่ายๆ ช่างไม่รู้จักพระองค์ชายเสียบ้างเลย"
คุณท้าวโสภาหน้าเครียด
"นี่ถ้าไม่เห็นว่ากำลังเสียใจแลรู้สำนึกผิดแล้ว จะลงโทษให้หนักเชียว เพราะเจ้าไม่เชื่อคำฉัน ไปคบหาผู้ชายพายเรือ นำความเสื่อมเสียมให้ตนเองยังไม่พอ ยังนำเคราะห์มาให้แม่แมงเม่าอีก"
เป้าร้องไห้หนักขึ้น เสียใจมากกับเรื่องครั้งนี้
แมงเม่าเช็ดน้ำตา
"อย่าดุแม่เป้าเลยเจ้าค่ะคุณท้าว อันที่จริง แม่เป้าก็ห้ามฉันแล้ว เป็นฉันที่ดื้อดึงเอง แลพระองค์ชายก็ทรงหมายมั่นปั้นมืออยู่ มิเช่นนั้น ไหนเลยจะมีคนไปหาเรื่องพ่อฉันถึงเรือนได้ แลพระองค์ชายยังเสด็จไปช่วยได้ประจวบเหมาะอีก ทุกอย่างล้วนเป็นแผนการที่ถูกวางขึ้นเพื่อกักตัวครอบครัวฉันไว้ต่อรองให้ฉันเป็นห้ามเท่านั้น"
ทุกคนหน้าเศร้าลง รู้ว่าแมงเม่าพูดถูก ไม่มีเรื่องนี้ พระองค์เจ้าเชษฐ์ก็ต้องหาเรื่องอื่นอยู่ดี
แมงเม่าหน้าตาเศร้าหมอง ฝืนใจสุดๆ แต่ก็ต้องทำทุกอย่างเพื่อช่วยพ่อออกมาให้ได้

มิ่งเดินมาที่หน้าต่างห้อง หน้าตาเศร้าหมอง เสียใจเรื่องแมงเม่ามาก
มิ่ง ชื่น อิน ติ่น และผล ถูกขังให้อยู่รวมกันในห้อง แม้จะเป็นห้องนอนที่จัดไว้อย่างสวยงาม สะดวกสบาย แต่ก็คือกรงขังดีๆนั่นเอง ทำให้แต่ละคนมีสีหน้าหมดอาลัยตายอยาก
มิ่งมองออกไปนอกหน้าต่างอยู่พักนึงด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย ก่อนจะตัดสินใจปีนหน้าต่าง เพื่อจะกระโดดลงไปฆ่าตัวตาย
ชื่น อิน ติ่น และผลตกใจ รีบเข้าไปจับตัวมิ่งไว้ทันทีไม่ให้กระโดด
ชื่นถาม"พี่มิ่ง จะทำกระไร"
" อย่าจ้ะพ่อ ลงมาก่อน มาคุยกันก่อน" อินว่า
"ปล่อยข้า ปล่อยข้าซีวะ บอกให้ปล่อย"
ทั้งสี่คนช่วยกันดึงมิ่งลงมาจนได้
"มันเรื่องกระไรกันจ๊ะพี่ ทำอย่างนี้ทำไม"
มิ่งคับแค้นใจสุดๆ
"ข้าก็จะฆ่าตัวตายน่ะซีวะ ขืนอยู่ ก็เท่ากับเป็นตัวประกันให้เจ้าแมงเม่าต้องถูกบังคับเป็นห้าม ตายมันเสียเลย จะได้ไม่มีผู้ใดมาฝืนใจลูกข้าได้"
ผลสงสาร
"พุทโธ่ ท่านเศรษฐีของอ้ายผล ยอมทำบาปทำกรรมเพื่อแม่หญิงถึงเพียงนี้ เอาวะ ถ้าท่านเศรษฐีจะตาย อ้ายผลก็จะตายด้วย"
ติ่นถาม "ต่อให้ตายกันหมด คิดหรือว่าแม่หญิงจะรอดไปได้ ถึงขั้นนี้แล้ว ใครจะยอมปล่อยไปง่ายๆ"
อินพยายามปลอบ
"อ้ายติ่นพูดถูกแล้วจ้ะพ่อ เรื่องนี้มีพิรุธมากนัก ชะรอยจะเป็นการวางแผนมาแต่แรก เพื่อไม่ให้มีคำครหาที่จับพวกเรามาบีบเจ้าแมงเม่าต่างหาก ถึงพ่อตายไป ก็ไม่เป็นคุณแก่เจ้าแมงเม่าดอก"
มิ่งน้ำตาคลอ สงสารลูกสุดใจ
ชื่นเข้าไปกอดมิ่ง ปลอบใจ
"อย่าเสียใจไปเลยพี่ พี่เคยอยากให้เจ้าแมงเม่าเป็นฝั่งเป็นฝาไม่ใช่รึ คิดเสียว่าเป็นวาสนาของเจ้า
แมงเม่าที่จะได้เป็นห้ามก็แล้วกัน"
มิ่งน้ำตาคลอ
"หากแมงเม่ามันเต็มใจ ข้าก็มีแต่จะปลาบปลื้มกับบุญของมัน แต่นี่" มิ่งขบกรามแน่นด้วยความแค้นใจ พูดทั้งน้ำตาคลอเบ้า
"ใช้อำนาจบาตรใหญ่แลเล่ห์เพทุบาย ไม่ต่างกระไรกับอ้ายกล้าเลย เพียงแต่เป็นผู้ดีกว่าเท่านั้น แล้วจะไม่ให้ข้าเสียใจได้อย่างไร"
มิ่งร้องไห้ออกมาอย่างสุดกลั้น
ชื่นก็เริ่มร้องไห้ตามสามี

อินต้องเข้าไปกอดทั้งสองคนไว้เป็นการปลอบใจ

ตอนบ่าย จมื่นศรีสรรักษ์กำลังตื่นเต้นกับหีบขนาดกลางใบหนึ่ง ที่ใส่เพชรนิลจินดามากมายเต็มหีบ อยู่ภายในตำหนักของเจ้าจอมเพ็ญ

เจ้าจอมเพ็ญยืนอยู่ใกล้ๆ กระหยิ่มยิ้มย่องอย่างพออกพอใจ
จมื่นศรีสรรักษ์ตื่นเต้น
"นี่เสด็จพระองค์ชายเชษฐ์ ทรงประทานข้าวของมีค่าให้คุณพี่ มากถึงเพียงนี้เชียวหรือขอรับ"
" นี่ยังน้อยนักหากเทียบกับความมั่งมีของพระองค์ชายเชษฐ์ แลพี่ทำให้พระองค์ได้นังแมงเม่าสมพระทัย ก็ย่อมต้องตอบแทนกันไม่ใช่รึ"
จมื่นศรีสรรักษ์อารมณ์ดี หยิบเพชรนิลจินดาในหีบมาดูอย่างเพลิดเพลิน
"คืนนี้ คุณพระนายเอาข้าวของในหีบนี้ไปถวายขรัวเถื่อนแทนพี่ด้วย"
จมื่นศรีสรรักษ์ตกใจ "ของมีค่าเช่นนี้ คุณพี่จะยกให้อ้ายสมีนั่นรึ"
เจ้าจอมเพ็ญดุน้อง
"นรกจะกินกบาล ขรัวท่านเป็นพระเป็นเจ้า พูดจาอย่างนี้ได้อย่างไร"
" ทำเสน่ห์เล่ห์กล แลรับเงินทองข้าวของมีค่า คุณพี่นับมันเป็นพระไปคนเดียวเถิดขอรับ อย่ามาบังคับกระผมด้วยเลย"
เจ้าจอมเพ็ญหงุดหงิด แต่ไม่อยากทะเลาะกับน้อง
" พี่ไม่อยากเถียงด้วยแล้ว คุณพระนายทำตามที่พี่สั่งก็พอ"
ศรีสรรักษ์เสียดายของ ตั้งท่าจะเถียงอีก "แต่"
" ถึงอย่างไรพี่ก็ต้องทำบุญ ถ้าคุณพระนายไม่เอาไปให้ พี่ก็ต้องเอาสมบัติส่วนตัวพี่ให้ไปอยู่ดี นี่ดีเท่าใดแล้ว ที่เสด็จพระองค์ชายทรงประทานมาให้ เราไม่ต้องเสียแม้แต่เบี้ยเดียว"
" แต่นังลูกเศรษฐีโรงกระดาษมันร้ายนัก กระผมเคยเห็นฤทธิ์มันมากับตา หากมันบิดพลิ้วไม่ยอมเป็นห้ามเล่า พระองค์ชายเชษฐ์จะไม่ทวงของกำนัลกลับไปรึ"
"ใช่ว่าพี่ไม่คิดถึงข้อนี้ แลพี่ ได้เตรียมการป้องกันไว้หมดสิ้นแล้ว"
เจ้าจอมเพ็ญยิ้มอย่างมั่นใจในปัญญาตัวเอง

เลื่อนเดินนำหน้าข้าหลวงตำหนักเจ้าจอมเพ็ญมาถึงหน้าตำหนักกรมขุนวิมลภักดี
เลื่อนมีท่าทางเชิ่ดมาก เพราะจะมาเอาแมงเม่าไปถวายพระองค์เจ้าเชษฐ์ และวางอำนาจเหนือคนอื่นในตำหนักกรมขุนวิมลภักดีด้วย
พอมาถึงหน้าตำหนัก ก็เห็นพระยากำแหงกับเหล่าทหารกำลังตั้งแถว เตรียมรับตัวแมงเม่าไป
" วุ๊ยตาย ออกญาวังมารับห้ามคนใหม่ไปถวายเสด็จพระองค์ชายด้วยตัวเองเทียวหรือเจ้าคะ"
พระยากำแหงหน้าหงิก
"มันเป็นหน้าที่ของฉันอยู่แล้ว จะแปลกกระไร"
"ไม่แปลกดอกเจ้าค่ะ เพียงแต่เกรงออกญา จะเจ็บปวดใจเท่านั้นเอง" เลื่อนขำเยาะอยู่ในที
พระยากำแหงหน้าตาหงิกงอ บึ้งตึงหนักกว่าเดิม ที่โดนจี้ใจดำ
"แต่อย่าเสียใจนานนะเจ้าคะ" เลื่อนปรายตายั่วยวน "หญิงอื่นยังมีอีกมาก เพียงแต่ อาจจะสูงวัยไปบ้าง ไม่รู้จะถูกใจออกญาหรือไม่เท่านั้นเอง"
กำแหงยิ้มเล็กน้อย
"ฉันก็เป็นพ่อหม้ายพ่อร้าง ใช่ว่าไม่มีตำหนิ แล้วจะรังเกียจรังงอนหญิงสูงวัยได้รึ"
เลื่อนตื่นเต้น มีความหวังขึ้นมาทันที
"จริงหรือเจ้าคะ"
"แต่ที่ฉันรังเกียจคือหญิงที่เที่ยวทอดสะพานให้ชายต่างหาก สาวเทื้อขึ้นคานไม่กระไรนักดอก แต่อยากมีผัวจนตัวซี่ตัวสั่น ฉันเห็นแล้วคลื่นไส้"

เลื่อนโมโหจัด สะบัดหน้าเดินนำข้าหลวงเข้าตำหนักไป
พระยากำแหงมองตามด้วยสายตาไม่พอใจ ก่อนจะหน้าเศร้าลง เมื่อนึกถึงที่แมงเม่า ที่อีกไม่นานก็ต้องเป็นห้ามของพระองค์เจ้าเชษฐ์แล้ว

บริเวณโถงตำหนัก เลื่อนก้มลงกราบกรมขุนวิมลภักดีที่นั่งอยู่บนตั่ง
เป้า และคุณท้าวโสภานั่งพับเพียบอยู่ใกล้ๆ ในขณะที่เจ้าจอมอำพันนั่งอยู่บนตั่งตัวที่ต่ำลงมาจากกรมขุนวิมลภักดี
เลื่อนเชิ่ดๆ
"หม่อมฉันมาขอรับตัวแม่แมงเม่า ไปถวายเสด็จพระองค์ชายเชษฐ์เพคะ"
กรมขุนวิมลภักดีหน้าบึ้งตึง ไม่พอใจเพราะรู้ว่าเจ้าจอมเพ็ญส่งเลื่อนมาหยาม
"ข้าหลวงในตำหนักพระองค์ชายไม่มีแล้วรึ ถึงต้องให้ข้าหลวง ตำหนักอื่นมาทำหน้าที่แทน"
เลื่อนลอยหน้าลอยตา
"มีเพคะ แต่หม่อมฉันได้รับความไว้วางพระทัยมากกว่าคนอื่นเพคะ"
เจ้าจอมอำพันหมั่นไส้
"ไว้วางพระทัย หรือจงใจเสนอหน้ามายะ อันที่จริง แม่เพ็ญน่าจะมาเองเสียด้วยซ้ำ จะได้สาแก่ใจกันไป"
เลื่อนทำไม่รู้ไม่ชี้
"เรื่องแต่เพียงนี้จะรบกวนหม่อมแม่ได้อย่างไรกันเจ้าคะ แลแม่แมงเม่าเอง ก็เต็มใจถวายตัว ไม่รู้ผู้อื่นจะเดือดร้อนไปไย"
เจ้าจอมอำพันแค้นจัด แต่เถียงไม่ออก
คุณท้าวโสภาโมโห
"มากไปกระมังนังเลื่อน ต่อหน้าเสด็จพระองค์หญิงท่านยังเหิมเกริมเช่นนี้ เจ้าจอมเพ็ญอบรมมาดีเหลือเกิน"
เลื่อนลอยหน้าลอยตากวนๆ ก่อนจะก้มลงกราบกรมขุนวิมลภัก
"หม่อมฉันทูลลาไปทำตามหน้าที่เพคะ"
เลื่อนคลานเข่าถอยออกมา ก่อนจะลุกเดินเลี่ยงไป
เป้าทนไม่ไห
"หม่อมฉันขอทูลลาไปเป็นเพื่อนแม่แมงเม่าเพคะ"
เป้าก้มลงกราบ
กรมขุนวิมลภักดีว่า "ไม่อนุญาต"
เป้าหน้าเสีย
"เหตุใดเล่าเพคะ"
"เจ้ากำลังเจ็บแค้นแทนเพื่อน แลนิสัยใจคอเจ้าแมงเม่าก็ใช่หยอก ประสมกับความโอหังของเลื่อน มีแต่จะยิ่งบานปลายใหญ่โต เข้าทางแม่เพ็ญเสียเท่านั้น เชื่อฉัน อยู่ที่นี่"
" เราจะทำได้เพียงแค่อดทนเท่านั้นเองหรือเพคะ"

กรมขุนวิมลถอนใจ หน้าเศร้าลง ไม่ตอบอะไร เพราะรู้ว่าทำอะไรไม่ได้จริงๆ

เลื่อนเปิดประตูเข้ามาด้วยท่าทางหยิ่งยโส ก่อนจะก้าวเข้าไปในห้อง

ทันใดนั้น เลื่อนก็สะดุดเชือกที่ขึงอยู่ตรงใต้ประตู จนล้มหน้าคว่ำลงไปกับพื้น
เลื่อนทั้งตกใจทั้งเจ็บ กรีดร้องออกมา
แมงเม่ายืนอยู่หลังประตู มองดูเลื่อนด้วยสายตาสะใจ ที่แท้แมงเม่าแกล้ง
ขึงเชือกตรงประตู ถ้าเดินเข้ามาโดยไม่ระวัง ก็สะดุดเชือกที่ขึงไว้ล้มเอาง่ายๆ
เลื่อนเจ็บหน้าที่กระแทกพื้น "โอ๊ย"
แมงเม่าปั้นยิ้ม
"พุทโธ่ พี่เลื่อนนี่เอง เข้ามาไม่ให้สุ้มให้เสียง เจ็บมากหรือไม่จ๊ะ"
เลื่อนโมโหมาก ลุกขึ้นยืนชี้หน้าแมงเม่า
" เอ็งแกล้งข้า อี..."
แมงเม่าพูดสวนขึ้น กวนๆ
"วุ๊ยๆ อย่าพูดจาหยาบคายซีจ๊ะ พี่เลื่อนเป็นผู้ดีชาววัง หาใช่ไพร่เช่นฉันไม่ ขึ้นอ้ายขึ้นอี คนเค้าจะค่อนได้ว่าต่ำตมไร้สกุลรุนชาติ"
เลื่อนแค้นสุดๆ ตวัดมือตบ "มึง"
แมงเม่าระวังอยู่แล้ว เลยก้มหลบได้อย่างง่ายดาย ทำให้เลื่อนตบวืด เสียหลักเซไป
เลื่อนโมโหมากหันกลับมาจะเอาเรื่อง แต่ทันใดนั้น ขันทองก็เดินเข้ามาหยุดยืนอยู่หน้าห้อง
ขันทองปรามเสียงดุ "พอได้แล้วแม่เลื่อน"
เลื่อนชะงักไป
"ที่นี่เป็นที่ใด แม่เลื่อนก็อยู่ในวังมานาน ไม่รู้รึ ว่าหากมีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งขึ้น จะมีโทษสถานใด"
เลื่อนเห็นขันทองเข้าก็ชักกลัว แต่ยังไม่ยอมแพ้
"ออกพระให้ความเป็นธรรมด้วยเถิดเจ้าค่ะ แม่แมงเม่าแกล้งขึงเชือกไว้จนฉันสะดุดล้ม"
แมงเม่าลอยหน้าลอยตา
"ที่นี่เป็นห้องฉัน ฉันจะขึงเชือกหรือทำกระไรก็ได้ ใครใช้ให้เข้ามาโดยไม่ระวังเองเล่า"
เลื่อนแค้นจัด "ดูซีเจ้าคะออกพระ จะสำนึกสักนิดก็ไม่มี"
ขันทองตัดบท
"ฉันต้องรีบพาห้ามไปถวายเสด็จพระองค์ชายเชษฐ์ แม่เลื่อนออกไปก่อนเถิด หากช้า จะเสียฤกษ์ แลทั้งฉันกับแม่เลื่อนก็จะมีผิดหนักได้"
"แต่หม่อมแม่ มีคำสั่งให้ฉันเป็นคนพาแม่แมงเม่าไปถวายนะเจ้าคะ"
"ฉันรู้ แต่หน้าที่ในการตระเตรียมห้ามให้พร้อมขึ้นถวาย เป็นหน้าที่ขันทีอย่างฉัน แลฉันก็ทำมาจนนับครั้งไม่ถ้วนแล้ว ข้อนี้ แม่เลื่อนคงไม่ชำนาญเท่าฉันกระมัง"
" เจ้าค่ะ" เลื่อนหันไปจ้องแมงเม่าอย่างเอาเรื่อง ก่อนจะออกจากห้องไป
แมงเม่าจ้องหน้าเลื่อนกลับอย่างไม่ยอมลงให้เหมือนกัน
พอเลื่อนออกไป ขันทองก็รีบปิดประตูลง
แมงเม่าน้อยใจสุดๆ "
"เป็นพระคุณเหลือเกินเจ้าค่ะ ที่ออกพระศรีมาพาฉันไปด้วยตนเอง ฉันจะไม่ลืมความกรุณาครั้งนี้เลย"
ขันทองร้อนใจ
"ถอดผ้านุ่งออก"
แมงเม่าสะดุ้งเฮือก "ว่าอย่างไรนะเจ้าคะ"
ขันทองร้อนใจ
"ฉันบอกให้ถอดผ้านุ่งออก"
แมงเม่าตกใจปนอาย "ถอดผ้านุ่ง"
"ก็ใช่น่ะซี เร็วเข้า" ขันทองรีบปลดผ้าคาดเอวแล้วถอดเสื้อทันที
แมงเม่าตาเหลือก ตกใจจนตะกุกตะกัก
"ออกพระจะทำกระไรเจ้าคะ"
แมงเม่าหลบสายตาไม่กล้ามองขันทองถอดเสื้อ
ขันทองพูดไป ถอดเสื้อไป
"ก็จะช่วยเจ้าให้พ้นจากการเป็นห้ามน่ะซี คิดว่าฉันจะทำกระไร"
"ใครจะไปคิดเจ้าคะ"
"หยุดพูดเสียทีเถอะ อยากเป็นห้ามนักรึ รีบผลัดผ้าเร็วเข้า"
แมงเม่าได้สติ รีบลนลานไปหยิบผ้าผลัด แล้วเข้าไปเปลี่ยนผ้านุ่งที่บังตาทันที
ครู่หนึ่ง แมงเม่าก็เปลี่ยนผ้านุ่งเรียบร้อย แล้วเอาผ้านุ่งที่ถอดออกยื่นให้ขันทอง
"นี่เจ้าค่ะ"
ขันทองรับผ้านุ่งมา แล้วชักกริชที่แอบพกไว้ออกมา ก่อนจะใช้กริชกรีดเข้าที่ต้นแขนของตนทันที
แมงเม่าตกใจจนต้องปิดปากไม่ให้ร้องออกมา ในขณะที่ขันทองขบกรามแน่น แม้จะเจ็บแค่ไหนก็ต้องอดทน
หยดเลือดจากปากแผลค่อยๆหยดลงบนผ้านุ่งของแมงเม่าจนแดงฉาน

ภายในตำหนักองค์เจ้าเชษฐ์
ข้าหลวงคนหนึ่งกำลังจุดกำยาน เพื่อให้ห้องนอนหอมกรุ่น
ข้าหลวงอีกหลายคนกำลังช่วยกันจัดห้องนอนให้แมงเม่า โดยมีพระองค์เจ้าเชษฐ์คอยยืนสั่ง ด้วยสีหน้ากระหยิ่มยิ้มย่อง
" รีบๆเข้า ใกล้จะได้ฤกษ์ผานาทีแล้ว ข้าเป็นคนถือฤกษ์ถือยาม พวกเอ็งก็รู้ อย่าให้ข้าเสียฤกษ์เทียว"
ขณะนั้นเอง ก็มีข้าหลวงคนหนึ่ง คลานเข้ามาหาพระองค์เจ้าเชษฐ์แล้วก้มลงกราบ
"พระศรีขันทิน พระยากำแหง แลแม่เลื่อนมาขอเข้าเฝ้าเพคะ"
พระองค์เซษฐ์หัวเราะชอบใจ "มาก่อนฤกษ์เสียอีก ชะรอย ห้ามคนใหม่ของข้าคงจะใจร้อนกระมัง แต่ก็ดี อยากเห็นหน้าอ้ายเจ้าคุณกำแหงนัก กล้ามาแข่งบุญกับข้า ดูทีรึ ว่ามันจะมีสีหน้าเช่นไร เมื่อเห็นแม่แมงเม่าอยู่ในอ้อมกอดของข้า" พระองค์เจ้าเชษฐ์ขำลงคออย่างถูกอกถูกใจ

พระองค์เจ้าเซษฐ์เดินออกจากห้องไปอย่างอารมณ์ดี

ต่อมาที่โถงตำหนัก พระองค์เจ้าเชษฐ์กำลังโมโห

"ว่าอย่างไรนะ มีระดูรึ"
ขันทอง พระยากำแหง และเลื่อน คุกเข่าอยู่ต่อหน้าพระองค์เจ้าเชษฐ์
โดยข้างหน้าขันทอง มีพานใส่ผ้านุ่งเปื้อนเลือดวางอยู่
ขันทองหยิบผ้านุ่งคลี่ให้ดู เห็นรอยเลือดบนผ้านุ่ง
"เลือดขับหลั่งนี้ เป็นสิ่งต้องห้าม อัปมงคลนักจึงไม่อาจนำตัวนางแมงเม่ามาถวายได้"
พระองค์เชษฐ์เจ็บใจมาก อีกนิดเดียวก็จะได้แมงเม่าแล้ว แต่ก็เสียเรื่องจนได้
"โธ่โว้ย"
เลื่อนกลัว พนมมือ
"อย่าทรงกริ้วไปเลยเพคะ เพียงแต่มีระดู อีกสองสามวันระดูหมด ค่อยนำมาถวายตัวก็ได้เพคะ"
พระองค์เชษฐ์โมโหมาก ตะคอก
"อีโง่ หญิงมีระดูวันถวายตัว ย่อมแสดงว่าเป็นกาลกิณีกับกู ยังจะเอาตัวมาได้อีกรึ"
เลื่อนก้มหน้างุด เกรงกลัว
พระองค์เชษฐ์ยิ่งคิดยิ่งแค้น เลยพาลโทษแมงเม่า
"มิน่าเล่า ถึงได้มีอุปสรรคมากมาย ที่แท้เทพยดาฟ้าดินก็ไม่อยากให้กูรับอีตัวเสนียดมา เป็นเมียนี่เอง"
พระยากำแหงกระหยิ่มยิ้มย่อง ดีใจออกนอกหน้าที่แมงเม่ารอดพ้นมาได้
พระองค์เชษฐ์เหลือบไปเห็นพระยากำแหงยิ้ม พาล
"ยิ้มกระไร น่าขำนักรึ"
พระยากำแหงพนมมือไหว้ ยิ้มๆ
"หามิได้ เพียงแต่ข้าพระองค์ดีใจที่ความอัปมงคลมิได้แปดเปื้อนพระองค์ ยังความปีติให้เป็นยิ่งนัก"
พระองค์เจ้าเชษฐ์ขบกรามแน่นด้วยความแค้น รู้ว่าพระยากำแหงประชด แต่พระยากำแหงก็ไม่ใช่ข้าทาสที่จะเล่นงานตามใจได้ เลยสะบัดหน้าเดินกระแทกเท้าเข้าข้างในไป
พระยากำแหงแอบขำด้วยความสะใจ
ส่วนเลื่อนมีสีหน้าสุดเซ็ง ที่แมงเท่ารอดไปจนได้
ขันทองถอนใจอย่างโล่งอก ที่ช่วยแมงเม่าเอาไว้ได้

เลื่อนถูกเจ้าจอมเพ็ญปาหมอนอิงเข้าใส่เต็มหน้า ที่โถงตำหนักเจ้าจอมเพ็ญตอนหัวค่ำ
" โอ๊ย หม่อมแม่เจ้าขา ยกโทษให้ฉันด้วยเจ้าค่ะ"
เพ็ญโมโหมาก หยิบของใกล้มือปาใส่ไม่ยั้ง
"ยังกล้าให้ข้ายกโทษอีกรึ โง่เง่านัก"
เพ็ญปาของจนหมด เหลือบไปเห็นกระโถนน้ำหมาก ก็หยิบขึ้นมาจะปาอีก
เลื่อนกลัวหัวแตก ไหว้
"อย่าเจ้าค่ะ กลัวแล้วเจ้าค่ะ"
เจ้าจอมเพ็ญยั้งเอาไว้ได้ ก่อนจะกระแทกกระโถนน้ำหมากลง แล้วเดินไปนั่งที่ตั่ง
เลื่อนรีบคลานไปกอดขาเพ็ญ
"หม่อมแม่เจ้าขา อย่าถือโทษโกรธเคืองบ่าวเลยนะเจ้าคะ อีนังแมงเม่ามันมีระดู สุดที่บ่าวจะรู้ได้ หาใช่ความผิดของบ่าวเลยนะเจ้าคะ"
เจ้าจอมเพ็ญอารมณ์ขึ้นอีกรอบ เลยกระชากขาออกอย่างหัวเสีย
" อีหน้าโง่ ข้าสู้อุตส่าห์ให้เอ็งไปคุมมัน ก็เพื่อป้องกันเหตุไม่คาดคิดเช่นนี้ มันมีระดูก็ช่างปะไร เอ็งบังคับให้มันถวายตัวได้ก็พอ หากพระองค์ชายเชษฐ์ทรงพบว่ามันมีระดูด้วยองค์เอง ก็มีแต่จะรังเกียจเดียดฉันท์ แลตัวมันก็คงตกต่ำไม่ได้ผุดได้เกิด เพราะจะยกให้ชายใดก็ไม่มีใครรับ" เจ้าจอมเพ็ญจิ้มนิ้วลงกลางหัวเลื่อน "แต่เพราะเอ็ง เอ็งไม่อยู่คุม จนออกพระศรีเจอเข้าก่อน ถึงได้เป็นเช่นนี้"
เลื่อน ไหว้
"บ่าวรู้ความผิดแล้วเจ้าค่ะ อภัยให้บ่าวเถิดนะเจ้าคะ หม่อมแม่สั่งมาเถิดเจ้าค่ะ จะให้บ่าวแก้ตัวอย่างไร บ่าวพร้อมทำทุกอย่างเจ้าค่ะ"
เจ้าจอมเพ็ญสายตาเหี้ยมเกรียม เกลียดชัง ฝังแค้น
"อีลูกเศรษฐีโรงกระดาษ มันกล้าลองดีกับข้า ถ้ามันไม่พินาศฉิบหายลงไป ก็อย่ามานับถือกันเลย"

พระยากำแหงกำลังเดินคุยมากับขันทองอย่างอารมณ์ดีตามทางเดินในวังตอนหัวค่ำ
" คืนนี้ ฉันคงนอนหลับสบายเป็นแน่ ถ้าไม่ใช่คู่กัน อย่างไรเสียก็ต้องคลาดแคล้วกันไปจนได้ จริงหรือไม่คุณพระ"
ขันทองเหล่มองด้วยความหมั่นไส้
"เจ้าค่ะ ดีฉันเห็นจริงตามนั้น เพียงแต่ไม่รู้ว่าออกญาจะคู่กับผู้ใดเท่านั้นเอง"
พระยากำแหงชักสีหน้าทันที
"พูดเช่นนี้ หรือเห็นว่าฉันก็ไม่ใช่คู่ของแมงเม่าเช่นกัน"
ขันทองหน้าเสีย รู้ว่าพลั้งปากเพราะหึงหวง เลยรีบปั้นยิ้มกลบเกลื่อน
"ดีฉันก็พูดไปเรื่อยเปื่อย ออกญาอย่าถือเป็นจริงจังเลยเจ้าค่ะ"
" เรื่อยเปื่อยรึ นี่ถ้าฉันไม่รู้ว่าคุณพระเป็นขันที ฉันต้องนึกว่าคุณพระกำลังหึงหวงอยู่เป็นแน่"
ขันทองหน้าเสีย ก่อนจะรีบแก้ลำ แกล้งส่งสายตาหวานให้พระยากำแหง
"บางที ดีฉันก็อาจกำลังหึงหวงอยู่ก็ได้กระมังเจ้าคะ"
ขันทองส่งสายตาให้พระยากำแหง
พระยากำแหงหน้าเสียรีบถอยห่างออกมา
"ฉันไม่คุยกับคุณพระแล้ว กลับเรือนดีกว่า"
พระยากำแหงรีบเดินหนีไปทันที
ขันทองมองตาม ก่อนจะเป่าปากออกมาอย่างโล่งอก ที่เอาตัวรอดมาได้

ขันทองเดินขึ้นเรือนมา พอขึ้นมาก็เห็นแมงเม่ากำลังคุยกับแม้นอยู่ แม้นนั่งพับเพียบอยู่
แม้นเห็นขันทอง รีบลุกขึ้น
"ออกพระศรีเจ้าคะ แล้วเดินเข้าไปคุกเข่าใกล้ๆ
"แม่หญิงแมงเม่ามารอออกพระศรีอยู่นานแล้วเจ้าค่ะ"
แมงเม่าเดินเข้ามาหาขันทอง
"มาทำกระไร มืดค่ำแล้ว ไม่กลัวถูกดุเอาหรืออย่างไร"
" ดีเหลือเกินนะเจ้าคะ เจอหน้าก็ไล่กลับ แต่ฉันไม่กลับ แลไม่กลัวถูกดุด้วย เพราะฉันทูลขออนุญาต
เสด็จพระองค์หญิงท่านแล้ว"
ขันทองแปลกใจ
"แล้วท่านก็ทรงประทานอนุญาตให้เจ้ามาหาฉันมืดค่ำอย่างนี้น่ะรึ"
" ฉันกราบทูลตามจริงไปสิ้นแล้ว ท่านทรงดีพระทัยนักที่ออกพระช่วยฉัน " แล้วหยิบขวดใส่ยาออกมา "แลยังทรงประทานยารักษาแผลมาให้ด้วยเจ้าค่ะ เออ แล้วแผลของออกพระเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ" แมงเม่าจับไปที่ต้นแขนขันทองบริเวณแผล
ขันทองร้องลั่นด้วยความเจ็บ " โอ๊ย"

แมงเม่าสะดุ้งเฮือก ก่อนจะยิ้มแหยๆออกมาที่จับแรงไปหน่อย

ผ่านเวลาเล็กน้อย ขันทองถูกถอดออกพับอย่างดีวางไว้ข้างๆ ขันทองถอดเสื้อออกแล้ว นั่งให้แมงเม่าใส่ยาทำแผลให้...

"เจ้านึกอย่างไร ถึงได้กราบทูลความจริงต่อเสด็จพระองค์หญิง รู้ไม่ใช่รึ ว่าทำเช่นนี้มีความผิด"
แมงเม่าพูดไปทำแผลไป
"รู้เจ้าค่ะ แต่เสด็จทรงเมตตาฉันนัก ถึงผิดอย่างไร ก็ทรงไม่ว่ากระไร หากจะช่วยฉันได้ แลยังถือว่าออกพระมีความดีความชอบด้วยนะเจ้าคะ"
แมงเม่าพันแผลที่ต้นแขนให้ขันทองอย่างตั้งใจก่อนจะชำเลืองมองหน้าขันทองที่ยิ้มแปลกๆ
ขันทองรีบหุบยิ้ม ปรับหน้านิ่งทันที
" ออกพระยิ้ม ราวกับมีความสุขนัก มันน่าจะเจ็บแผลไม่ใช่หรือเจ้าคะ" แมงเม่าฉุกคิดขึ้นตกใจ สีหน้าหวาดระแวง "หรือออกพระจะชอบความเจ็บปวด อย่างที่คนเค้าเล่าลือกัน"
ขันทองถอนใจพรวดออกมาอย่างหงุดหงิด
"อยากลือกระไรก็ลือไปเถิด นับแต่ฉันเข้าวังมา ก็ถูกนินทาไม่เว้นแต่ละวัน ยังไม่นับที่เที่ยวจับคู่
ให้ฉันไปทั่ว นี่จะหมดฝ่ายในอยู่แล้วกระมัง" ขันทองพูดพลางถอนใจ
แมงเม่าหัวเราะชอบใจ รู้สึกว่าขันทองเวลาหงุดหงิดก็ตลกดี ก่อนจะทำแผลให้ต่อ
" ที่ฉันถามเรื่องเสด็จพระองค์หญิง เพราะไม่คิดว่าท่านจะทรงให้เจ้ามาดูแลฉัน เอ่อ เสด็จไม่กลัวเจ้าเสื่อมเสียรึ"
"เสด็จพระองค์หญิงนะเจ้าคะ ไม่ใช่คุณท้าวโสภา ท่านทรงแยกแยะได้ ออกพระมีคุณกับฉันแลเป็นขันที ไม่ใช่ชายปลอมตัวมาเหมือนท่านขุนจิต จะเป็นกระไรเล่าเจ้าคะ"
ขันทองถามลองใจแมงเม่า "แล้วหากฉันเป็นอย่างขุนจิตใจภักดิ์เล่า"
แมงเม่ายิ้มแย้ม
"อย่าเป็นเลยเจ้าค่ะ มิเช่นนั้น ฉันคงวางสีหน้าไม่ถูก อย่างแค่ทำแผลให้ชายที่ไม่ใช่ญาติ ฉันก็ไม่รู้จะทำได้หรือไม่ อึดอัดใจกันเสียเปล่าๆ ออกพระศรีเป็นเช่นนี้ดีแล้ว เราจะได้เป็นมิตรกันตลอดไปอย่างไรเล่าเจ้าคะ"
ขันทองหน้าเศร้าลง
แมงเม่าก็ทำแผลให้ขันทองไปอย่างห่วงใยและตั้งใจ
ขันทองชำเลืองมองแมงเม่า เหมือนตัวจะอยู่ใกล้แมงเม่า แต่ในทางกลับกัน ด้วยความลับที่ตนเก็บงำเอาไว้ มันก็เหมือนทำให้ไกลกันมากขึ้นทุกที

มิ่ง ชื่น อิน ติ่น และผล ทยอยกันกลับมาถึงเรือนด้วยท่าทางอ่อนเพลีย หลังจากที่พระองค์เจ้าเชษฐ์ปล่อยตัวกลับมา
มิ่งอ่อนเพลีย
"ถึงซะทีโว้ย แหม่ กว่าจะได้ออกมาแทบขาดใจ"
ติ่นเบื่อหน่าย
"ถึงเพลาก็ลากไปขัง พอจะปล่อย ก็เฉดหัวออกมาเหมือนหมูเหมือนหมา จะรอให้เช้าก่อนก็ไม่ได้"
"อย่าบ่นมากเลยวะอ้ายติ่น ไม่มีใครเป็นกระไรแลเจ้าแมงเม่าไม่ต้องถวายตัว ก็ถือเป็นบุญถึงที่สุดแล้ว" ชื่นว่า
มิ่งกำลังเดินขึ้นเรือนด้วยความอ่อนเพลีย จังหวะนั้นเอง ยี่สุ่นที่ยืนรออยู่ ก็เดินเข้ามาหาทุกคน
"ท่านเศรษฐีเจ้าคะ"
ทุกคนเห็นสุ่นชัดๆ ก็พากันตกใจ เพราะนึกว่าตายไปแล้ว
ติ่น / ผลร้องพร้อมกัน "ผีหลอก"
ทุกคนตกใจวิ่งหนีไปรวมตัวกันห่างออกมาที่หน้าเรือนด้วยความกลัวผี เหลืออินคนเดียว
ที่ยืนมองสุ่นด้วยความสงสัย
ชื่นห่วงอิน แต่ก็กลัวผีมาก
"แม่อิน มานี่เร็ว ประเดี๋ยวผีมันก็หักคอเอาดอก"
" พุทโธ่เอ๊ย นังหญิงสัญจรโรค ทำให้ลูกข้าต้องหนีตาย เรือนข้าก็ถูกไฟไหม้วอดวาย แล้วยังมาหลอกมาหลอนกันอีก จะเอาอย่างไรโว้ย" มิ่งโวยทั้งที่กลัว
ยี่สุ่นหน้าเศร้าลงไป เสียใจที่เป็นต้นเหตุของเรื่องทั้งหมด
"ไม่ใช่ผีดอกจ้ะพ่อ ลองดูให้ดีซีจ๊ะ แม่สุ่นมีเงา ไม่เห็นรึ" อินว่า
ทุกคนตั้งสติได้ หันไปมองตาม เห็นสุ่นมีเงาจริงๆ
"มีเงาจริงด้วย เช่นนั้นก็ไม่ใช่ผีน่ะซี" ผลว่า
" แม่สุ่นไม่ได้ถูกอ้ายกล้าแทงตายไปแล้วรึ" ติ่นถาม
ยี่สุ่นหน้าเศร้า
"ฉันถูกแทงจริง แต่ยังไม่ตายจ้ะ เพียงแต่อาการสาหัสนัก พอรักษาตัวจนค่อยยังชั่ว ก็เลยมาถามข่าวพี่ม่วง พี่ม่วงเป็นอย่างไรบ้างจ๊ะ"
มิ่งยังแค้นที่ยี่สุ่นเป็นต้นเหตุ
"ถึงรู้ก็ไม่บอกโว้ย เอ็งไม่ตายก็ดีแล้ว รีบไสหัวไปให้พ้นหน้าข้าประเดี๋ยวนี้เลยอีอัปรีย์ หากลูกชายข้า
ไม่ติดพันเอ็ง มีหรือพวกข้าจะตกทุกข์ได้ยากถึงเพียงนี้"
มิ่ง ชื่น ติ่น และผล พากันมองยี่สุ่นด้วยสายตารังเกียจสุดๆ
ยี่สุ่นหน้าเศร้าลงไปอีก ไม่กล้าเถียงซักคำ
อินมองสุ่นด้วยสายตาสงสารเห็นใจ

ต่อมา อินกำลังเดินคุยมาส่งยี่สุ่น
"เมื่อไม่กี่วันก่อน มีคนมาบอกข่าวพี่ม่วง แต่ก็บอกเพียงพี่ม่วงปลอดภัย"
ยี่สุ่นมีสีหน้าโล่งอก
"แต่ไม่ได้บอกว่าอยู่ที่ใด แลคนที่มาบอกเป็นใคร ฉันก็ไม่รู้ ทั้งหมดก็มีเพียงเท่านี้ล่ะจ้ะ"
ยี่สุ่นยิ้มดีใจ
"แค่นี้ก็ดีมากแล้วล่ะจ้ะ ขอเพียงพี่ม่วงปลอดภัย ฉันก็สบายใจแล้ว"
แต่เมื่อฉุกคิดขึ้น ว่าตนห่วงม่วงออกนอกหน้าเมียของม่วงเอง หน้าเสีย
"ขอโทษจ้ะ อันที่จริง ฉันไม่คู่ควรจะห่วงใยพี่ม่วงเลยด้วยซ้ำ"
อินยิ้มบางๆ "พูดกระไรอย่างนั้น พี่ม่วงรักใคร่แม่สุ่นนัก แลแม่สุ่นเองก็ห่วงใยพี่ม่วง แล้วเหตุใด จึงไม่ควรรู้เรื่องของพี่ม่วงเล่าจ๊ะ"
ยี่สุ่นยิ้มเศร้าๆ "อย่าใช้คำว่ารักใคร่เลยจ้ะ หญิงเดียวที่พี่ม่วงรัก ก็มีแต่แม่อินเท่านั้น"
อินนึกไม่ถึง
"เป็นไปได้อย่างไร ฉันกับพี่ม่วงไม่ลงรอยกัน พี่ม่วงไม่รักฉันดอก"
ยี่สุ่นยิ้มบางๆ จับมืออินไว้
"เชื่อฉันเถิด ฉันรู้จักพี่ม่วงดี หากแต่พี่ม่วงก็เข้าใจว่าแม่อินไม่มีใจให้เช่นกัน เรื่องมันถึงได้วุ่นวาย
มาจนป่านฉะนี้ วันหน้าได้เจอพี่ม่วง ก็ลองพูดคุยกันตรงๆเถิดจ้ะ ฉันเชื่อว่าต้องเข้าใจกันได้" ยี่สุ่นพูดพลางยิ้มให้
อินหน้าเศร้าลง
"ถ้าได้เจอกันอีกอย่างแม่สุ่นว่าก็คงดี แต่บ้านเมืองเป็นเช่นนี้ ฉันจะได้เจอพี่ม่วงเมื่อใด ยังไม่รู้เลย"
 
อินท้อแท้สิ้นหวัง

ม่วงกำลังซ้อมดาบกับพันหาญอยู่ที่ค่ายพระยาตากยามเช้า

ม่วงมีฝีมือพอตัว เลยสู้กับพันหาญได้อย่างสูสี ผลัดกันรุกรับอย่างรวดเร็ว
เยื้อนเดินถือกระจาดใส่ผักผ่านมา ที่เท้าเยื้อนล่ามโซ่ตลอดเวลา เยื้อนหยุดมองทั้งคู่ซ้อมดาบกันด้วยความสนใจ
ทั้งคู่ซ้อมดาบกันจนจบกระบวนเพลงก็ยังเอาชนะกันไม่ได้
พันหาญเหนื่อยหอบ "พ่อม่วงนี่ไม่เบาจริงๆ นี่ถ้าสู้กันต่ออีกสักยก ฉันคงเหนื่อยตายเสียก่อน"
" พี่พันหาญออมมือให้ฉันต่างหาก หาไม่ ฉันคงแพ้ไปเสียนานแล้ว" ม่วงหันไปเห็นเยื้อน "นังเยื้อน เอาน้ำมาให้ข้ากับพี่พันหาญกินแก้กระหายที"
เยื้อนเบะปาก "อยากกินก็ไปเอาเอง แค่ฉันทำงานให้ก็บุญหนักหนาแล้ว ยังมีหน้ามาใช้อีก"
ม่วง และพันหาญถอนใจส่ายหน้า อ่อนใจกับนิสัยเยื้อน
พันหาญเบื่อเยื้อนสุดๆ
"นี่ถ้าไม่ติดพ่อขันทอง ฉันเฉดหัวอีนังนี่ไปเสียนานแล้ว ระอามันนัก"
ทั้งคู่จะเดินหนีด้วยความรำคาญ
เยื้อนพูดตามหลัง ยิ้มเยาะ "ได้ยินมาว่า เป็นพี่ชายนังแมงเม่ารึ รู้หรือไม่ ว่าน้องสาวอยู่ใกล้ขันทีปลอม ไม่กลัวจะมีน้องเขยแลหลานออกมาหรืออย่างไร"
ม่วงโมโห หันกลับมาฉะทันที
"อีปากชั่ว ข้าเห็นว่าเป็นหญิง จึงไม่อยากต่อล้อต่อเถียงด้วย น้องข้าไม่ใช่หญิงใจง่ายเหมือนเอ็งดอกวะ เชอะ นึกว่าข้าไม่รู้ทันรึ ว่าเอ็งอยากได้พ่อขันทองเป็นผัว พอเค้าไม่เอา ก็เป็นเดือดเป็นแค้น เฝ้าทำร้ายทำลาย เสียทีเกิดเป็นลูกพระยา ใจต่ำช้านัก"
เยื้อนโดนจี้ใจดำ แค้น
"อ้ายผีนรกเจาะปาก มึงก็แค่นักโทษหนีอาญา จะหัวขาดวันใดยังไม่รู้ คอยดูเถิดวะ กูหนีไปได้วันใด จะไปแจ้งกรมเวียงให้จับมึงไปกุดหัวให้สิ้นเสียทั้งโคตร"
พันหาญรำคาญสุดๆ
"นังเยื้อนเอ๊ย ข้าจะบอกให้เอาบุญ ศึกใหญ่อยู่อีกไม่นานแล้ว ต่อให้เอ็งหนีไปได้จริง ก็ไม่มีผู้ใดสนใจเรื่องพวกนี้ดอก สงบปากสงบคำ อย่าหาเรื่องใส่ตัวเลยวะ"
ขณะนั้นเอง พระยาตาก และหลวงพิชัยอาสา ก็ขี่ม้ากลับเข้าค่ายมา
พันหาญ และม่วง รีบเข้าไปรับหน้า
" ท่านเจ้าคุณ เข้าไปในอโยธยามา มีความคืบหน้าว่าอย่างไรบ้างขอรับ" พันหาญว่า
"ในอโยธยาไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลงดอก แต่ฉันได้ข่าวสำคัญจากสายในอังวะมา บางทีอโยธยาอาจจะไม่ต้องทำศึกแล้ว"
ม่วง พันหาญ และเยื้อน ต่างตกใจที่ได้ยินเรื่องนี้
ม่วงนึกไม่ถึง
"เป็นไปได้อย่างไรขอรับ พวกอังวะมันรุกรานเรามาแรมปี จู่ๆจะเลิกได้อย่างไร"
" ได้ซี ถ้าอังวะต้องรับศึกใหญ่ ก็อาจถอนทัพกลับไปได้ทุกเมื่อ" หลวงพิชัยอาสาบอก
"ศึกใหญ่ จะมีแว่นแคว้นใด กล้าก่อศึกใหญ่กับอังวะได้อีกหรือขอรับ" ม่วงว่า
"มีซี ถ้าแว่นแคว้นนั้นคือเมืองจีนอย่างไรเล่า"

เดือนเศษๆ ทหารจีนเป่าแตรเขาสัตว์เสียงดังกังวาน เป็นทหารจีนของราชวงศ์ชิง จะไว้ผมเปียเป็นเอกลักษณ์
พอสิ้นเสียงแตร กองทหารจีนก็บุกเข้าโจมตีกองทัพอังวะทันที ทั้งสองฝ่ายต่างสู้กันอย่างดุเดือด
"ในปีพุทธศักราช 2308 สืบเนื่องจากการเกณฑ์ทหารในหัวเมืองฉานไปปราบทวายและเชียงใหม่ ต่อเนื่องมาถึงการรบกับกรุงศรีอยุธยา ทำให้เจ้าฟ้าหัวเมืองฉานทั้งหลายไม่พอใจจึงพากันไปฟ้องร้องต่อจักรพรรดิเฉียนหลงแห่งราชวงศ์ชิง จักรพรรดิเฉียนหลงจึงมีพระบัญชา ให้ยกกองทัพเข้าโจมตีดินแดนของอังวะ นับเป็นการเริ่มต้นสงครามระหว่างจีนกับอังวะ ซึ่งกินเวลานานกว่าสี่ปี และมีผลกระทบมาถึงกรุงศรีอยุธยาและกรุงธนบุรีในเวลาต่อมา"

พระเจ้ามังระกำลังกระวนกระวายรอฟังข่าว โดยบรรยากาศในท้องพระโรงเต็มไปด้วยความเคร่งเครียด
อะแซหวุ่นกี้และขุนนางอังวะแต่ละคน มีท่าทางเครียดหนัก กังวลกับสงคราม
ครั้งนี้มาก
ขณะนั้นเอง ทหารอังวะคนหนึ่งก็เข้ามาในท้องพระโรงด้วยท่าทางร้อนรน ก่อนจะรีบคุกเข่าลง
ยกมือไหว้เหนือหัวต่อพระเจ้ามังระ
"สถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง"
ทหาร 1รายงาน
"ขอเดชะ พระอาญาไม่พ้นเกล้า กองทัพจีนมีมากกว่าเรานัก ทางเราจึงทำได้แต่ตั้งรับเท่านั้น เพลานี้ กองทัพจีนค่อยๆรุกคืบเข้ามาแล้ว พระพุทธเจ้าข้า"
ทุกคนพากันเครียดหนักกว่าเดิมทันที
ขุนนาง 1กลัวมาก พนมมือ
"ขอเดชะ จีนเป็นเมืองใหญ่นัก มีทหารนับร้อยหมื่น พระจักรพรรดิเฉียนหลงก็ทรงพระปรีชาสามารถ เป็นจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ คงสุดที่เราจะต้านทานได้ ขอทรงโปรด ยอมอ่อนน้อมต่อจีนเถิดพระพุทธเจ้าข้า"
พระเจ้ามังระโกรธจัด หันไปหยิบดาบที่อยู่ใกล้ๆ แล้วชักดาบฟันขุนนาง 1 ตายคาที่ทันที ท่ามกลางความตกใจของทุกคน
พระเจ้ามังระตวาดก้อ
"มีผู้ใดคิดจะให้ข้ายอมแพ้อีกหรือไม่"
พวกขุนนางพากันหวาดกลัว ต่างหลบตา ไม่มีใครกล้าพูดอีก
อะแซหวุ่นกี้ พนมมือ
"อย่าทรงกริ้วไปเลยพระพุทธเจ้าข้า ศึกนี้เกิดจากพวกหัวเมืองฉาน ลอบไปสวามิภักดิ์ต่อจีนลับหลังเรา เมื่อเราไปเกณฑ์ทหาร จึงพากันไปฟ้องร้องต่อจีน จีนเองก็มีข้อขัดแย้งกับเรา เรื่องดินแดนที่ติดกับยูนานมาแต่ครั้งพระเจ้าชำนะสิบทิศแล้ว คงเห็นเป็นโอกาสอันดีจึงยกทัพมา แต่ข้าพระพุทธเจ้ามั่นใจ ว่าเรารับมือได้พระพุทธเจ้าข้า"
"เจ้ามีแผนการใดก็ว่ามาเถิด อะแซหวุ่นกี้"
"แม้กำลังเราน้อย แต่ได้เปรียบชัยภูมิ จึงชอบที่จะรบแบบกองโจร เพื่อตัดกำลังข้าศึก แลระหว่างนี้ ก็ให้มังมหานรธากับเนเมียวสีหบดียกทัพกลับมา รวมกับกำลังที่เราเกณฑ์เพิ่มในอังวะ น่าจะเอาชัยได้พระพุทธเจ้าข้า"
พระเจ้ามังระคิดตามอยู่ครู่นึง
"ข้าเห็นด้วยกับแผนการเจ้ากึ่งหนึ่ง แต่ข้อที่ให้ถอนกำลังจากการตีอโยธยากลับนั้น ข้าไม่ยอมเป็นอันขาด"
"แต่กำลังเราน้อยกว่าข้าศึก ข้าพระพุทธเจ้าเกรงว่า..."
พระเจ้ามังระตัดบท
"ไม่ต้องพูดอีกแล้ว เมื่อข้าตัดสินใจรบกับอโยธยา ก็ไม่คิดจะถอยทัพจนกว่าจะได้ชัย แลข้างศึกจีนนั้น แม้จีนจะมีทหารนับร้อยหมื่น แต่ก็ใช่จะส่งมาได้ทั้งหมด ยิ่งจักรพรรดิเฉียนหลงทรงพระปรีชา ยิ่งต้องคำนึงถึงผลได้เสีย การส่งทัพใหญ่มามีแต่จะสิ้นเปลือง อย่างมากก็คงส่งมาไม่เกินสิบหมื่น แล้วเหตุใดเราจะต้านทานไม่ได้"
อะแซหวุ่นกี้คิดตาม ก่อนจะยิ้มชื่นชม
"ทรงพระปรีชายิ่งแล้ว พระพุทธเจ้าข้า"
"อะแซหวุ่นกี้ ศึกนี้เจ้าจงเป็นทัพหน้า ข้าจะเป็นทัพหลวงยกตามออกไป พวกเรา จะแสดงให้เมืองจีนที่ยิ่งใหญ่เห็นว่าคนอังวะไม่เคยเกรงกลัวผู้ใดทั้งสิ้น"

พระเจ้ามังระ แววตาเด็ดขาดสมกับเป็นผู้นำ

พระยากำแหงกำลังเดินคุยกับขันทองมาอย่างอารมณ์ดีใสตอนสาย

"พระเสื้อเมือง พระทรงเมืองปกปักรักษาจริงๆ อังวะเข้ามาในเขตแดนอโยธยานับปี แต่ยังไม่ถึงริมกำแพงเมืองอโยธยา ก็ต้องยกทัพกลับเสียแล้ว ไม่ต่างจากคราศึกพระเจ้าอลองพญาเท่าใดเลย"
" สิ่งศักดิ์สิทธิคุ้มครองก็ดีอยู่ แต่จะหวังพึ่งเทวดาฟ้าดินอย่างเดียวไม่ได้ดอกเจ้าค่ะ แลนับแต่อังวะเปิดศึกกับจีน ก็ผ่านมาแรมเดือน ทัพของเนเมียวสีหบดีกับมังมหานรธา ก็ยังหาได้ยกทัพกลับไม่ ไม่แน่ ว่าอาจจะทำศึกต่อก็เป็นได้"
" ตอนนี้ยังไม่ยกกลับ แต่อย่างไรก็ไม่พ้นจากนี้ไปได้ คุณพระกังวลเกินไปแล้ว"
ขณะนั้นเอง เป้าก็วิ่งหน้าตาตื่นเข้ามา
" ออกพระศรี เป็นบุญนักที่ได้เจอ เร็วเข้าเจ้าค่ะ" พลางชี้นิ้วให้ดู "แม่แมงเม่าตกต้นไม้ทางด้านโน้น รีบไปดูเถิดเจ้าค่ะ"
ขันทองตกใจที่รู้ว่าแมงเม่าตกต้นไม้ แต่ยังไม่ทันทำอะไร พระยากำแหงก็วิ่งนำออกไปก่อนด้วยความเป็นห่วงแมงเม่าทันที
ขันทองชักสีหน้าหึงหวงขึ้นมาทันที
เป้าเหลือบตาเห็นสีหน้าขันทองพอดี แปลกใจกับสีหน้าขันทองเล็กน้อย
ขันทองรีบเดินตามพระยากำแหงไปอย่างเร็ว
เป้าไม่ทันได้ติดใจอะไรมากรีบตามขันทองไปติดๆด้วยความเป็นห่วงเพื่อน

แมงเม่าตกต้นไม้จนเจ็บข้อเท้าขยับไม่ได้ เจ็บข้อเท้ามาก
" โอ๊ย"
ทันใดนั้นเอง พระยากำแหงก็วิ่งหน้าตาตื่นเข้ามา
" แม่แมงเม่า เป็นอย่างไรบ้าง"
แมงเม่าเจ็บข้อเท้า
"ฉันเจ็บข้อเท้าเจ้าค่ะ โอ๊ย คงจะแพลงตอนตกลงมา"
ขันทอง และเป้า รีบเดินเข้ามาหา
ขันทองเป็นห่วง "รีบพากลับไปที่เรือนก่อนเถิดเจ้าค่ะ ดีฉันจะตามหมอให้เอง"
"ฝากด้วยนะคุณพระ"
ขาดคำ พระยากำแหงก็ช้อนตัวแมงเม่าอุ้มขึ้นมา
ขันทองอึ้งไปไม่คิดว่าพระยากำแหงจะถึงขั้นอุ้มแมงเม่า อย่างดีคงแค่ประคอง
พระยากำแหงอุ้มแมงเม่าพากลับไป
เป้ารีบเดินตามติดด้วยความเป็นห่วงเพื่อน
ขันทองทำอะไรไม่ได้ ก็ได้แต่มองตามไปด้วยความโมโหหึง

แมงเม่ากึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียง โดยมีผ้าพันข้อเท้าไว้
คุณท้าวโสภากำลังยืนบ่นแมงเม่าอยู่ โดยมีขันทอง พระยากำแหง และเป้า ยืนอยู่ใกล้ๆ
คุณท้าวโสภาหงุดหงิด ถอนใจส่ายหน้า
"แม่คู๊น ฉันเข้าวังมาแต่ห้าหกขวบ อยู่มาจนผมสองสี ยังไม่เคยเจอใครปีนต้นไม้ในวัง จนตกลงมาขาแพลง เหมือนอย่างแม่ทโมนให้มันน้อยกว่านี้จะตายหรืออย่างไร"
" ก็ลูกนกมันตกลงมา ฉันกลัวมันจะตาย ก็เลยจำต้องปีนเอาไปใส่รังตามเดิมนี่เจ้าคะ"
"แล้วคนทั้งวังไม่มีรึ แม่ถึงต้องปีนขึ้นไปเอง" คุณท้าวโสภาโวยวาย
แมงเม่าหน้าจ๋อย ไม่กล้าเถียงอีก
พระยากำแหงไกล่เกลี่ยช่วยแมงเม่า
"เอาเถิดคุณท้าว แม่แมงเม่าไม่เป็นกระไรก็ดีแล้ว อย่าตำหนิกันอีกเลย" ออกญาวังเข้าไปนั่งใกล้ๆแมงเม่า "เสียดายที่นี่เป็นในวัง ถ้าเป็นข้างนอก ฉันคงมาเฝ้าอาการแม่แมงเม่าเองแล้ว"
ขันทองหมั่นไส้สุดๆ ปั้นยิ้ม
"ไม่ต้องมาด้วยตัวเองดอกเจ้าค่ะ แค่เห็นหน้าท่านเจ้าคุณ แม่แมงเม่าก็หายเจ็บหายปวดแล้ว"
แมงเม่ามองขันทองแบบงงๆ จะแขวะกันทำไมเนี่ย
เป้าแอบชำเลืองมองขันทองอย่างติดใจบางอย่าง
พระยากำแหงเขินอาย
"คุณพระก็พูดเกินจริงไปแล้ว"
ขันทองยิ้มเชิงแสยะอยู่ในที อารมณ์หมั่นไส้ หวงสาว
เป้ายิ้มแย้ม พูดกับแมงเม่า
"นี่ก็ใกล้เที่ยงแล้ว ประเดี๋ยวฉันไปเตรียมสำรับมาให้นะจ๊ะ"
พระยากำแหงกุลีกุจอ
"ไม่ต้องๆ อยู่ดูแลแม่แมงเม่าเถิด ฉันไปบอกในครัว ให้ยกสำรับมาให้ก็ได้ ... รอสักครู่นะแม่แมงเม่า"
ขันทองหมั่นไส้สุดๆ ปั้นยิ้ม
"รอทั้งวันก็ได้เจ้าค่ะ ดีฉันเชื่อ ว่าแม่แมงเม่าเต็มใจรอ"
แมงเม่าชักรำคาญที่แขวะไม่เลิก เลยหันไปพูดกับพระยากำแหง
"ท่านเจ้าคุณ รีบไปเถิดเจ้าค่ะ ออกพระศรีประชดประชันฉันใหญ่แล้ว ชะรอยจะหึงหวงท่านเจ้าคุณเสียก็ไม่รู้"
คุณท้าวโสภาตกใจมาก ตบอกผาง "พุทโธ ธัมโม สังโฆ"
ขันทอง และพระยากำแหงหน้าเสีย หันไปมองหน้ากันแวบนึง
พระยากำแหงตะกุกตะกัก แอบกลัวขันทองมาชอบตนอยู่เหมือนกัน
"ฉันไปก่อนนะ"
พระยากำแหงรีบออกจากห้อง แล้วเดินนำไปทันที โดยมีคุณท้าวโสภารีบตามไปอีกคนอย่างใจคอไม่ดี
ขันทองหันมาถลึงตาใส่แมงเม่า
แมงเม่าลอยหน้าลอยตากวนๆ สะใจที่ได้เอาคืน
ทั้งหมดอยู่ในสายตาของเป้า...เป้านิ่งอย่างเก็บข้อมูล รู้สึกได้ว่าท่าทางของขันทองและแมงเม่าดูแปลกๆ แต่เธอก็ยังไม่เข้าใจนัก เพราะความไม่ประสาเรื่องความรักของเธอเอง
ขันทองเดินหน้าหงิกออกจากห้องไปอีกคน
เป้าขำ
"แม่แมงเม่านี่ก็ หยอกเสียจนออกพระศรีหน้าคว่ำเชียว"
แมงเม่ายิ้มขำๆ
"สมน้ำมะหน้า ประชดฉันอยู่ได้ ต้องโดนเสียบ้าง" แล้วนึกขึ้นได้ "แม่เป้าจ๊ะ ฝากกราบทูลเสด็จพระองค์หญิงเรื่องฉันด้วย คืนนี้ ฉันคงไปถวายรับใช้ไม่ได้แล้ว"
"ไม่ต้องห่วงจ้ะ แม่แมงเม่าพักรักษาตัวให้หายก่อนเถอะ"
แมงเม่าหน้าขรึมลง
"นับแต่ถวายตัวเป็นข้าหลวง คืนนี้คงเป็นคืนแรกที่ฉันได้อยู่คนเดียว" แมงเม่ายิ้มเจ้าเล่ห์ "จะว่าไป ขาแพลงครานี้ก็มีคุณเช่นกัน"
แมงเม่ามีแผนการในใจบางอย่าง

แมงเม่ากำลังพยายามถอดกลบทจากกลัก รอบตัวแมงเม่า เต็มไปด้วยกระดาษมากมาย ที่แมงเม่าใช้พู่กันเขียนข้อความต่างๆจากการถอดลงไป พอใช้ไม่ได้ แมงเม่าก็ขยำทิ้ง แล้วใช้กระดาษแผ่นใหม่เขียนอีก
ผ่านเวลาจากจากเที่ยง จนใกล้ตกดินไว้
แมงเม่ากำลังยืนอ่านกลบทในสาส์นลับ
แมงเม่าถอนใจเฮือกใหญ่ บ่นพึมพำอยู่คนเดียว
"ศึกษาเพิ่มเติมมาไม่น้อย ก็ยังถอดไม่ได้ หรือต้องเล่าความลับนี้ให้ออกพระศรี จริงๆ"
สีหน้าลังเลเพราะไม่อยากดึงขันทองมาเดือดร้อนด้วย

จมื่นศรีสรรักษ์กำลังแปลกใจ
"นอนแล้วรึ ตะวันเพิ่งจะตกดินเองนะ"
จมื่นศรีสรรักษ์กำลังคุยกับเลื่อนอยู่
"หม่อมแม่ไม่ใคร่สบาย จึงนอนเร็วเจ้าค่ะ คุณพระนายจะอยู่รอก่อนเผื่อหม่อมแม่จะตื่น หรือจะฝากคำพูดไว้ก็ได้นะเจ้าคะ หม่อมแม่ตื่นเมื่อใด ฉันจะกราบเรียนให้"
"อยู่รอคงไม่ไหว นี่ก็ใกล้ค่ำแล้ว มืดค่ำมีผู้ชายอยู่ในฝ่ายใน หากผู้อื่นรู้เข้า หัวฉันจะไม่ได้ตั้งอยู่บนบ่ากันพอดี ช่างเถิด เอาไว้ฉันค่อยมาหาคุณพี่เจ้าจอมวันหลังก็ได้"
"เจ้าค่ะ"
จมื่นศรีสรรักษ์เดินกลับออกมา แต่ทันใดนั้น ก็ฉุกคิดบางอย่างขึ้นมาได้ บางที เจ้าจอมเพ็ญอาจจะมีความลับไม่อยากให้ตนรู้ก็ได้

เจ้าจอมเพ็ญ พระยาพลเทพ และขุนแผลงฤทธิ์ กำลังนั่งพับเพียบคุยกับขรัวเถื่อนอยู่ในกระท่อมยามกลางคืน
"กระผมได้ข่าวศึกจีนแล้ว ก็หวั่นใจนัก เกรงว่าอังวะจะยกทัพกลับ สิ่งที่ตระเตรียมมาทั้งหมด ก็จะสูญเปล่าไปสิ้น"
"ท่านเจ้าคุณอย่ากังวลไปเลย ศิษย์ของข้าในทัพอังวะ ยืนยันเป็นมั่นเหมาะ ว่าอังวะต้องรบจนแตกหักกับอโยธยาเป็นแน่"
เจ้าจอมเพ็ญยิ้มดีใจ
" แล้วข้อสัญญาที่ทางอังวะรับปากไว้เล่าเจ้าคะขรัวตา จะไม่บิดพลิ้วแน่นะเจ้าคะ"
"จะบิดพลิ้วไปเพื่อกระไร เมืองก็ต้องมีผู้ปกครอง เมื่ออังวะตีอโยธยาได้แล้วไซร้ จะมีผู้ใด ไว้ใจให้ปกครองได้ดีเท่ากับเจ้าจอมเล่า ตำแหน่งแม่หยั่วเมือง ย่อมต้องตกเป็นของเจ้าจอม ขอเพียงแต่
เจ้าจอมคอยส่งข่าวให้อังวะ เหมือนที่แล้วมาก็พอ"
เจ้าจอมเพ็ญยิ้มแย้มดีใจ
แต่ทันใดนั้น จมื่นศรีสรรักษ์ก็ถีบประตูเปิดออกด้วยความโมโห
ขุนแผลงฤทธิ์ชักดาบออกมา
"ผู้ใดวะ"
ทุกคนหันไปมองจมื่นศรีสรรักษ์ด้วยความตกใจ ในขณะที่จมื่นศรีสรรักษ์จ้องเขม็งมาที่ทุกคนด้วยความโกรธจัด

เจ้าจอมเพ็ญตกใจ คิดไม่ถึง "คุณพระนาย"

เจ้าจอมเพ็ญกำลังทะเลาะกับจมื่นศรีสรรักษ์อยู่ที่มุมหนึ่งในป่า ทั้งๆที่ปกติ จมื่นศรีสรรักษ์จะทั้งรักและยำเกรงพี่สาวมาก

จมื่นศรีสรรักษ์โมโหสุดๆ
"คุณพี่เคยบอกกระผม ว่าจะไม่ทุรยศต่อบ้านเมือง แล้วนี่กระไร เป็นไส้ศึกให้อ้ายพวกอังวะเข้าตีอโยธยาเสียเอง อย่าถามหายางอายกันเลยขอรับ ถามหาความเป็นคนจะดีกว่า"
เพ็ญโมโหมาก
"หยุดประเดี๋ยวนี้นะคุณพระนาย นี่พี่เป็นพี่นะ ลืมไปแล้วรึ"
" ก็เพราะไม่ลืมน่ะสิขอรับ กระผมถึงได้เสียใจแลเจ็บแค้นถึงเพียงนี้ หากเป็นคนอื่น กระผมจะฆ่าทิ้งไม่ให้เป็นเสนียดแผ่นดินสืบไปเลย"
ขาดคำ เจ้าจอมเพ็ญก็ตบหน้าจมื่นศรีสรรักษ์อย่างแรง
เจ้าจอมเพ็ญเจ็บใจจนน้ำตาคลอ
"ผู้อื่นจะด่าว่าพี่อย่างไรก็ได้ แต่คุณพระนายทำไม่ได้ เพราะพี่ ทำเพื่อคุณพระนายมาตลอด นับแต่พ่อแม่ท่านสิ้น เราก็เหลือกันสองคนพี่น้อง จำได้หรือไม่ ว่าพี่ต้องลำบากสาหัสเพียงใดกว่าจะพาทั้งตัวเองแลคุณพระนายให้สุขสบายอย่างวันนี้ได้"
จมื่นศรีสรรักษ์น้ำตาคลอเบ้า
"กระผมรู้ว่าคุณพี่เสียสละเพื่อกระผมมากมายเหลือเกิน เทียบพระคุณแล้ว ก็เสมอด้วยพ่อแม่ท่าน แต่คุณพี่กลับใจเสียเถิดขอรับ อย่าทุรยศต่อบ้านเมืองเลย"
"พี่ไม่ได้ทุรยศ พี่เพียงแต่เอาตัวรอดเท่านั้น อังวะเปิดศึกกับอโยธยา หาใช่เพราะพี่ไม่ ความอ่อนแอของอโยธยาก็หาใช่เพราะพี่ไม่ เมื่อการจวนตัว จะให้พี่งอมืองอเท้ารอความตายกระนั้นรึ"
" แต่คุณพี่ หวังว่าจะได้เป็นแม่หยั่วเมืองไม่ใช่หรือขอรับ หากเราสิ้นแผ่นดินเสียแล้ว คุณพี่จะได้เป็นแม่หยั่วเมืองได้อย่างไร"
"เพียงแต่เป็นเมืองขึ้นเมืองออกเท่านั้นดอก ใช่ว่าอโยธยาจะสูญหายไปเสียเมื่อใด ขรัวตาท่านบอกว่าอโยธยาสิ้นบุญแล้ว จึงจำต้องอ่อนน้อมต่ออังวะ เมื่อพี่ช่วยเหลืออังวะ ก็จะได้สถาปนาเป็นแม่หยั่วเมือง จากนั้น ลูกชายของพี่จะเป็นคนกู้อโยธยาให้คืนกลับมา เหมือนครั้งสมเด็จพระนเรศเป็นเจ้าเอง เจ้าอย่ากังวลไปเลย"
ศรีสรรักษ์โมโหสุดขีด ลุกขึ้นยืน
"อ้ายอลัชชี สมีเถื่อนนั่นอีกแล้วรึ คุณพี่เป็นคนเฉลียวฉลาด เหตุใดปล่อยให้ความโลภเข้าบังตา จนดูไม่ออกว่าถูกมันหลอก กระผมจะไปฆ่ามันประเดี๋ยวนี้ จะได้สิ้นเรื่องสิ้นราวกันไป"
จมื่นศรีสรรักษ์หันหลังจะเดินเลี่ยงไป
เจ้าจอมเพ็ญพูดตามหลัง
"ฆ่าเลย ฆ่าขรัวตาเสีย แล้วก็ไปฟ้องร้องว่าพี่ร่วมมือกับอังวะ พี่จะได้ตายด้วยโทษยี่สิบเอ็ดประการ สมใจคุณพระนายอย่างไรเล่า"
จมื่นศรีสรรักษ์หยุดทันที รู้ว่าพี่ประชด แต่ก็อดกังวลถึงโทษยี่สิบเอ็ดประการที่โหดเหี้ยมไม่ได้
"ว่าอย่างไร ไม่ไปเล่า คุณพระนายก็รู้ ว่าขรัวตาสำคัญกับพี่นัก เจ้าฆ่าขรัวตา ก็เหมือนควักตาพี่ให้บอด ไม่มีคนชี้แนะพี่อีก เป็นเช่นนั้น ก็สู้ฆ่าพี่ไปด้วยเสียเลยจะดีกว่า อย่างน้อย ถ้าพี่ตายก็จะเป็นบำเหน็จให้คุณพระนายได้ คงได้เป็นพระยานาหมื่นก็ครานี้"
จมื่นศรีสรรักษ์ขบกรามแน่น หันกลับไปพูดกับพี่
"คุณพี่ก็รู้ ว่ากระผมทำร้ายคุณพี่ไม่ได้ จะประชดประชันไปเพื่อกระไร"
"เมื่อทำร้ายไม่ได้ ก็อย่าขวางทางพี่ จำไว้นะคุณพระนาย ถ้าเจ้าฆ่าขรัวตาหรือความลับในวันนี้แพร่งพรายออกไป พี่ก็จะฆ่าตัวตายต่อหน้าเจ้า ให้รู้กันไป ว่าเจ้ารักอโยธยาหรือพี่มากกว่ากัน"
เจ้าจอมเพ็ญสะบัดหน้าเดินเลี่ยงกลับไป
จมื่นศรีสรรักษ์มองตามด้วยความคับแค้นใจถึงที่สุด กำหมัดแน่นจนเล็บจิกเข้าไปในเนื้อ ขบกรามจนขึ้นสัน น้ำตาค่อยๆไหลซึมออกมาอย่างอัดอั้นตันใจ เสียใจถึงที่สุด ที่พี่ที่ตนรักที่สุด กลับเป็นคนขายชาติ ทำลายบ้านเมืองที่ตนรักที่สุดเช่นกัน

พระยาพลเทพกำลังกระวนกระวายหนัก ไม่รู้ว่าเจ้าจอมเพ็ญจะกล่อมจมื่นศรีสรรักษ์ได้หรือไม่
โดยมีขุนแผลงฤทธิ์กับพวกลูกน้องยืนหน้าเครียดๆอยู่ใกล้ๆ ที่หน้ากระท่อม
ขณะนั้นเอง เจ้าจอมเพ็ญก็เดินกลับมา
พระยาพลเทพรีบเข้าไปหาทันที
"เจ้าจอมท่าน คุณพระนายศรีว่าอย่างไรบ้างขอรับ"
เจ้าจอมเพ็ญหน้าเครียด
"น้องชายฉัน ฉันรู้ว่าควรต้องพูดอย่างไร ท่านเจ้าคุณอย่าห่วงเลย ฉันจะกลับ ให้คนไปส่งฉันด้วย"
"ขอรับ คุ้มกันเจ้าจอมท่านให้ดี"
พวกลูกน้องรีบเข้ามาล้อมเจ้าจอมเพ็ญ แล้วเดินคุ้มกันกลับออกไป
ขุนแผลงฤทธิ์มองตามเจ้าจอมเพ็ญจนลับตา ก่อนจะหันไปพูดกับพระยาพลเทพ
"มีแต่คนตายเท่านั้นที่พูดไม่ได้ ท่านเจ้าคุณสั่งมาคำเดียว กระผมจะไปปิดปากคุณพระนายศรีเองขอรับ"
พระยาพลเทพคิดอยู่ครู่นึง หน้าเครียด
"ไม่ได้ เรายังจำเป็นต้องใช้งานเจ้าจอมเพ็ญอยู่ จะแตกหักตอนนี้ก็เสียการใหญ่ เอาไว้รอให้เสร็จงานก่อนเถิด ข้าจะกำจัดมันทิ้งทั้งพี่ทั้งน้อง"
พระยาพลเทพแววตาอำมหิต

แผนที่แสดงการตั้งทัพ และเคลื่อนทัพของอังวะทั้งสองทัพ
กองทัพของเนเมียวสีหบดี แบ่งเป็น 2 ทาง เคลื่อนลงมาจากลำปางทั้งทางบกและทางน้ำ
โดยทางน้ำล่องมาตามแม่น้ำวัง
"ในเดือนกันยายน พุทธศักราช 2308 ... หลังจากที่กองทัพของอังวะได้ตระเตรียมเสบียง และมีความพร้อมใน ด้านต่างๆ เนเมียวสีหบดีได้ยกกองทัพออกจากลำปางทั้งทางบกทางน้ำ โดยทางน้ำได้ล่องเรือมาตามแม่น้ำวัง แต่ด้วยเป็นช่วงหน้าฝน ทำให้การเคลื่อนทัพเป็นไปด้วยความยากลำบาก และต้องต่อสู้กับชุมนุมต่างๆ ของชาวบ้านที่รวมตัวกัน ทำให้เคลื่อนทัพได้ล่าช้ากว่าที่คาดการณ์เอาไว้

แผนที่ แสดงการตั้งทัพของมังมหานรธาที่เมืองทวาย โดยมังมหานรธาแบ่งทัพเป็น 3 ทัพ เคลื่อนที่จากทวายไปทางด่านเจดีย์สามองค์ทัพหนึ่ง ลงใต้ผ่านไปทางตะนาวศรีทัพหนึ่ง และไปทางกาญจนบุรีอีกทัพหนึ่ง
"ตรงข้ามกับทัพฝ่ายใต้ของมังมหานรธา ที่เคลื่อนทัพในเดือนตุลาคมปีเดียวกัน โดยมังมหานรธาแบ่งทัพเป็นสามทัพ ทัพที่หนึ่งเข้าโจมตีด่านเจดีย์สามองค์ ทัพที่สองอ้อมไป ทางตะนาวศรีแล้ววกกลับขึ้นมา ทัพที่สามเข้าโจมตีเมืองกาญจนบุรี โดยฝ่ายอยุธยาคาดการณ์ผิด คิดว่ามังมหานรธาจะยกทัพเข้าโจมตีทาง
อ่าวไทยเหมือนครั้งแรก ทำให้เสียเมืองกาญจนบุรีไปอย่างง่ายดายและเกิดความสับสนขึ้น จนทั้งสามทัพของมังมหานรธามาบรรจบกันได้ที่นนทบุรี ห่างจากกรุงศรีอยุธยาเพียงหกสิบกิโลเมตรเท่านั้น"

ทัพทั้งสามของมังมหานรธา มาบรรจบกันที่เมือง “นนทบุรี”
 
อ่านต่อตอนที่ 19


กำลังโหลดความคิดเห็น