xs
xsm
sm
md
lg

หนึ่งด้าวฟ้าเดียว ตอนที่ 14 : เยื้อน ร้องว้าย! มือคว้าจู๋ขันทอง

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


หนึ่งด้าวฟ้าเดียว ตอนที่ 14

บทประพันธ์ : วรรณวรรธน์
บทโทรทัศน์ : เอกลิขิต

ต่อมา แมงเม่ากำลังเดินอยู่คนเดียว จะไปเข้าเฝ้ากรมขุนวิมลตามทางเดินในวัง

พระยากำแหงเดินตามหาแมงเม่า พอหันไปเจอ ก็รีบเร่งฝีเท้าให้ทันแมงเม่า
"แม่แมงเม่า ประเดี๋ยวก่อน"
แมงเม่าหันกลับไปมอง พระยากำแหงรีบเดินเข้ามาหา
" ฉันเพิ่งพูดคุยกับแม่แมงเม่าได้ไม่กี่คำเอง ให้ฉันเดินไปส่งแม่แมงเม่าเข้าเฝ้ากรมขุนวิมลท่านด้วยคนนะ"
แมงเม่าปั้นยิ้ม
"อย่าเลยเจ้าค่ะ ท่านเจ้าคุณกลับไปอยู่กับออกพระศรีเถิด ป่านฉะนี้ ออกพระศรีคงคิดถึงท่านเจ้าคุณแย่แล้ว"
พระยากำแหงหน้าเหยเกทันทีที่โดนรื้อฟื้นเรื่องเก่า เขารีบแก้ตัวเสียงแข็ง
พระกำแหงเถียงคอเป็นเอ็น
"ฉันไม่ได้ชอบชายด้วยกันจริงๆ" แล้วยกมือไหว้ท่วมหัว
"สาบานต่อทวยเทพทุกชั้นฟ้าเลยก็ได้ คุณพระศรีเมาหนักนัก ฉันจึงเข้าไปช่วยเท่านั้น แลเรื่องนี้ ฉันก็เล่าให้แม่เป้าฟังหมดแล้ว แม่เป้าไม่ได้บอกแม่แมงเม่ารึ"
"บอกเจ้าค่ะ แต่เท่าที่ทราบมา ขุนนางผู้ใหญ่ที่มีทั้งชายแลหญิงพร้อมกัน ก็มีอยู่ไม่ใช่หรือเจ้าคะ เพียงแต่ไม่มีผู้ใดยอมรับเท่านั้น"
"แต่ไม่ใช่ฉัน" พระยากำแหงอยากจะบ้าตาย
"พุทโธ่ ต้องทำอย่างไรแม่แมงเม่าถึงจะเชื่อฉัน"
"ฉันเชื่อหรือไม่ ก็หาเป็นกระไรไม่ดอกเจ้าค่ะ ที่ท่านเจ้าคุณต้องห่วง คือออกพระศรีเชื่อท่านเจ้าคุณหรือไม่ต่างหากเจ้าคะ"
แมงเม่าเดินยิ้มขำๆเลี่ยงไป
พระยากำแหงถอนใจเฮือกใหญ่ ไม่รู้จะทำยังไงดีแล้ว

กรมขุนวิมลภักดีกำลังเดินเล่นอยู่ในสวนของวัง โดยมีแมงเม่า และเจ้าจอมอำพัน เดินตาม
ในขณะที่คุณท้าวโสภา เป้า และข้าหลวงคนอื่นๆ กำลังเก็บดอกไม้เดินตามหลังกรมขุนวิมลภักดีอีกที
กรมขุนวิมลภักดีหน้าเครียดๆ
"แม่เพ็ญตั้งกลบทใหม่ขึ้นมาอีกแล้ว ครานี้พิสดารนัก แต่เกิดมา ฉันไม่เคยพบเคยเห็นมาก่อน ก็เลยเรียกเจ้ามา เผื่อจะช่วยคิดแก้กันได้"
"กลบทแบบใดหรือเพคะ"
เจ้าคุณอำพันหยิบกระดาษจากชายพกออกมาส่งให้แมงเม่า
"รับไปดูเองเถิด"
แมงเม่าไหว้ขอบคุณ ก่อนจะรับกระดาษมา เห็นในกระดาษเขียนอักษรสี่แถวว่า
"มงเยืหอกกบบจ เอใหนปลเลบ หลสส่ะพหาว กเสยอกสขตึภ"
แมงเม่าตกใจสุดๆ เพราะลักษณะกลบทเหมือนในกลักลายผีเสื้อไม่มีผิด "นี่มัน..."
แมงเม่าสีหน้าแววตาตกใจมากจนพูดไม่ออก
กรมขุนวิมลภักดีตกใจไปด้วย "มีกระไรรึ"
แมงเม่าตั้งสติได้ อึกๆอักๆ
"เอ่อ ไม่มีเพคะ หม่อมฉันเห็นความพิสดารของกลอนกลนี้ จึงตกใจเท่านั้นเองเพคะ"
"พุทโธ่ ฉันก็นึกว่าเรื่องกระไร ถ้ามันไม่พิสดารถึงเพียงนี้ ฉันก็ไม่ตามเจ้ามาดอก" เจ้าจอมอำพันว่า
คุณท้าวโสภา และเป้า เก็บดอกไม้เสร็จก็เดินเข้ามาหากรมขุนวิมลภักดี
"นับวัน เจ้าจอมเพ็ญจะยิ่งสรรหาของแปลกมาแกล้งพวกเราทุกที อันกลบทนั้น ก็มีขึ้นเพื่อความบันเทิงเริงรมย์ ไม่รู้จะเอาแพ้ชำนะกันไปถึงไหน"
"นั่นซีเจ้าคะ ถ้าเจ้าจอมอยากเอาชำนะถึงเพียงนี้ เราก็ยอมให้ชำนะไปเถิดเจ้าค่ะ" เป้าว่า
คุณท้าวโสภาโวยทันที
"ไม่ได้ ถ้าแพ้ก็ถูกเยาะเย้ยสมน้ำมะหน้าเอาน่ะซี ยอมได้อย่างไร"
เป้าหัวเราะคิกๆ เอาจริงๆคุณท้าวโสภาก็อยากเอาชนะพอๆกับเจ้าจอมเพ็ญนั่นแหละ
กรมขุนวิมลภักดียิ้มๆ หันไปพูดกับแมงเม่า
"ฉันรู้ ว่าครานี้หนักหนานัก เจ้าเอากลับไปแก้ที่เรือนคุณท้าวโสภาเถิด" แล้วจับบ่าแมงเม่าเป็นเชิงให้กำลังใจ "แต่ถ้าไม่ได้จริงๆ ฉันก็ไม่ตำหนิเจ้าดอก อย่ากังวลไปเลย"
"เพคะ"
เจ้าจอมอำพันยิ้มขำๆ
"แต่จะโดนคุณท้าวโสภาทิ้งค้อนใส่หรือไม่ เป็นอีกเรื่องนะแม่"
คุณท้าวโสภาหน้าจ๋อยไปพร้อมกับยิ้มเขิน
ทุกคนพากันหัวเราะชอบใจ

แมงเม่าเป็นคนเดียวที่หัวเราะไม่ออก เพราะรู้ว่ากลบทแบบนี้ยากขนาดไหน

เวลาเดียวกัน เจ้าจอมเพ็ญเดินนำพระยาพลเทพ และจมื่นศรีสรรักษ์เข้ามาในตำหนัก

"วันนี้เป็นวันดี มีแต่เรื่องดีจริงๆ นอกจากใกล้จะได้ชัยในเชิงกลอนต่อกรมขุนวิมลแล้ว ยังสิ้นกังวล
เรื่องกลักเสียที"
เจ้าจอมเพ็ญเดินมานั่งที่ตั่งตัวโปรด
พระยาพลเทพหน้าเครียด
" เรื่องกลัก ยังวางใจทั้งสิบส่วนไม่ได้ดอกขอรับ เพราะเป็นเพียงคำพูดจากปากคนเมาเท่านั้น"
จมื่นศรีสรรักษ์ส่ายหน้า
"คุณพี่เจ้าจอมพูดถูกจริงๆ ท่านเจ้าคุณช่างระแวงนัก ถึงขั้นนี้ยังไม่ยอมเชื่ออีก กระผมก็จนใจแล้ว แลไม่รู้จะไปหากลักที่ถูกทำลายไปแล้ว มาทำลายซ้ำต่อหน้าให้ท่านเจ้าคุณวางใจได้อย่างไร"
เจ้าจอมเพ็ญ และจมื่นศรีสรรักษ์พากันยิ้มขำ ๆ
พระยาพลเทพหน้าบึ้งตึงไม่พอใจ แต่ก็พยายามเก็บอารมณ์ไว้
"เรื่องการศึกอังวะ เป็นอย่างไรบ้างท่านเจ้าคุณ"
"ยังยั้งทัพอยู่ที่ลำปางกับทวาย ส่วนจะเคลื่อนมาเมื่อใด กระผมหารู้ไม่ แต่กระผมก็ได้สั่งจัดเตรียมการป้องกันไว้แล้ว เจ้าจอมสงสัยสิ่งใดหรือขอรับ"
"หลังจากเรารบแพ้คราก่อน ฝ่ายในก็เริ่มมีการพูดคุยเรื่องนี้กันบ้างแล้ว แม้ส่วนใหญ่ จะเชื่อว่าอังวะจะแพ้บุญบารมีของอโยธยาอีกครา แต่ฉันก็ไม่อยากประมาท"
จมื่นศรีสรรักษ์หน้าบึ้งตึงทันที
"หมายความว่าอย่างไรขอรับ “ม่อยากประมาท คุณพี่กับท่านเจ้าคุณคงไม่ได้คิดจะส่งสาส์นยอมแพ้อีกนะขอรับ"
เจ้าจอมเพ็ญ และพระยาพลเทพ ชักสีหน้าไม่พอใจทันที เรื่องอื่นยังพอว่า แต่เรื่องรักชาติจนน่ารำคาญของจมื่นศรีสรรักษ์ เป็นสิ่งที่น่าเบื่อมาก
" ไม่มีผู้ใดอยากยอมแพ้เป็นเมืองขึ้นเมืองออกให้เสียราศีดอกคุณพระนาย เจ้าจอมท่านเพียงแต่พูดเผื่อไว้เท่านั้น"
" จะต้องเผื่อทำไมขอรับ ถ้าพวกอังวะมันดีจริง คงยกมาล้อมอโยธยาเหมือนคราพระเจ้าอลองพญาแล้ว ไม่ยั้งทัพอยู่เช่นนี้ดอก"
"แต่เจ้าก็พ่ายแพ้ จนต้องซมซานหนีมันกลับมาแล้วไม่ใช่รึ"
จมื่นศรีสรรักษ์โมโห
"กระผมรบแพ้จริง แลหวาดกลัวพวกมันนัก แต่กระผมไม่มีวันยอมแพ้ขอรับ"
เพ็ญหงุดหงิดเลยรีบตัดบท
"เอาเถิดๆ พี่เองก็หวังเป็นแม่หยั่วเมือง หากอโยธยาตกเป็นเมืองขึ้น ตำแหน่งแม่หยั่วเมืองคงหมองนัก พี่จะไม่ทำอีกก็แล้วกัน"
จมื่นศรีสรรักษ์มีสีหน้าดีขึ้นที่พี่สาวยอมรับปาก
พระยาพลเทพแอบเบ้ปากด้วยความหมั่นไส้ความรักชาติของจมื่นศรีสรรักษ์เป็นที่สุด

บนเรือนขันทอง
สำรับอาหารมากมายถูกตั้งสำรับเต็มโต๊ะไปหมด
แมงเม่ายืนฉีกยิ้มให้ขันทองที่ยืนอึ้งๆอยู่ แมงเม่ากะเอาใจขันทองเต็มที่เพื่อจะให้สอนกลบท โดยมีแน่น เป้า ยืนอยู่ใกล้ๆ
ในขณะที่เยื้อน แม้น นั่งพับเพียบอยู่ เยื้อนมองแมงเม่าด้วยสายตาหมั่นไส้สุดๆ
" เชิญเลยเจ้าค่ะ ถ้าไม่พอ ฉันจะเอามาเพิ่มให้อีกเจ้าค่ะ"
"เพียงเท่านี้ สามวัน ฉันยังกินไม่หมดเลย"
แน่นยิ้มขำๆ
"ถ้าอย่างนั้นก็รีบกินเข้าเถิดเจ้าค่ะคุณพระ แม่เป้าอุตส่าห์ทำให้เองกับมือเชียวนา
ขันทองหันไปมองแมงเม่า "ไม่ใช่ฝีมือเจ้ารึ"
"พุทโธ่ คุณพระเจ้าขา เคยเห็นฉันทำกับข้าวกับปลาหรือเจ้าคะ แต่ถ้าคุณพระอยากกินส้มสูกลูกไม้ ฉันพอจะไปปีนเก็บมาให้ได้นะเจ้าคะ"
เป้าหัวเราะคิกๆ
"ขืนปีนต้นไม้เล่นในวัง ได้โดนจับขังกันพอดีแม่แมงเม่า" แล้วหันไปพูดกับขันทอง
"ฉันไม่แน่ใจ ว่าจะถูกปากคุณพระหรือไม่ แต่ฉันก็ทำตามที่ท่านขุนจิตบอกทุกประการนะเจ้าคะ"
" ขอบน้ำใจนักแม่เป้า"
ขันทองนั่งลง แมงเม่า เป้า และแน่น ก็ทยอยนั่งตาม
เยื้อนหมั่นไส้สุดๆ
"อันที่จริง คุณพระท่านก็มีข้าวปลาอาหารอยู่แล้ว แม่หญิงไม่น่าลำบากเลยนะเจ้าคะ"
แมงเม่ามองเยื้อนด้วยความสงสัย ทำไมเยื้อนต้องแขวะตนตลอด
เป้ายิ้มแย้ม ไม่สงสัยอะไรเลย
"ไม่ลำบากดอกจ้ะ กับข้าวกับปลาพวกนี้ ฉันต้องทำให้คุณท้าวโสภาท่านอยู่แล้ว เพียงแต่ทำเพิ่มขึ้นเท่านั้นเอง"
" ยังเผื่อแผ่มาถึงพวกเจ้าด้วยนะ ลงไปกินซี ฉันวางไว้ในครัวน่ะ"
"จริงหรือเจ้าคะ" แม้นยกมือไหว้ "เป็นพระคุณเหลือเกินเจ้าค่ะ ลาภปากนังแม้นแท้ๆ"

เยื้อนทิ้งค้อนด้วยความไม่พอใจ แต่ก็ทำอะไรมากไม่ได้

เยื้อนเดินลงเรือนมาพร้อมกับแม้น ด้วยอารมณ์หงุดหงิดเต็มที่

"เช้าถึงเย็นถึง หน้าไม่มียางเลยหรืออย่างไรวะ"
"เพลาๆเสียงบ้างเถิดวะ นังเยื้อนเอ๊ย"
เยื้อนหันมาตวาดแว๊ด
"เอ็งพูดกระไรอีแม้น"
"ถึงข้าจะเพิ่งมาอยู่ แต่ข้าก็ดูออกนาโว้ย คุณพระท่านเป็นคนดี มีเมตตา แลยังรูปงามอีกด้วย แต่ถึงอย่างไร ท่านก็เป็นขันที เอ็งอย่าฝันเฟื่องเลยวะ"
เยื้อนยิ้มเยาะ
"เอ็งไม่รู้กระไร ขันทีก็เป็นคน ต้องการความสุขไม่ต่างกันดอก" เยื้อนเชิด มั่นใจในตัวเอง
"แลข้าก็รู้ ว่าควรทำอย่างไรให้คุณพระมีความสุข"
เยื้อนเดินเชิ่ดจากไป แม้นได้แต่มองตามด้วยความอ่อนใจ

ขันทองเดินนำแมงเม่าเข้ามาในห้องหนังสือ พร้อมกับอ่านกลบทที่แมงเม่าต้องแก้ด้วย
"มิน่าเล่า ถึงแก้ไม่ได้" หันไปคืนกระดาษที่จดกลบทให้แมงเม่า
แมงเม่ารับกระดาษมา
"แล้วคุณพระแก้ได้หรือไม่เจ้าคะ"
"กลบทเช่นนี้มีวิธีแก้หลายทาง ทั้งไทยนับสาม ไทยนับห้า ไทยหลง ฤาษีแปลงสาร กลอักษรตัวเลข ดูเพียงเท่านี้ ยังไม่รู้ดอกว่าต้องใช้วิธีใดบ้าง"
" มีมากเช่นนั้นเลยหรือเจ้าคะ ฉันไม่เคยรู้มาก่อนเลย"
"ไม่แปลกดอก กลบทพวกนี้มักไม่ค่อยบันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษร หากแต่ถ่ายทอดกันปากต่อปาก"
"คุณพระจะสอนฉันใช่หรือไม่เจ้าคะ"
" ฉันรับสินบนเจ้าทั้งเช้าทั้งเย็นแล้วนี่ จะบอกปัดได้อีกรึ"
แมงเม่ายิ้มแย้มดีใจ

ขันทองหันไปมองทางอื่น แล้วใช้ความคิดว่าจะเอาไงดี เผื่อแมงเม่าเอาไปต่อยอดไขสาส์นลับได้ด้วย ตนก็จะได้ประโยชน์ไปด้วย
"ฉันจะสอนเจ้าทีละกลก็แล้วกัน จากนั้น เจ้าเอาไปแก้เอง"
ขันทองหันกลับมาก็ต้องสะดุ้งตกใจเล็กน้อย เมื่อแมงเม่านั่งฉีกยิ้มแป้นแล้นอยู่ที่โต๊ะ ในมือถือพู่กัน เตรียมจดตามที่ขันทองสอนเต็มที่
" บอกมาเลยเจ้าค่ะ ฉันพร้อมแล้ว"
ขันทองยิ้มขำๆ อย่างเอ็นดูเจ้าตัวยุ่งอะไรมันจะเร็วขนาดนี้

หัวค่ำ แน่นเดินเอาตะเกียงมาแขวนไว้ เพื่อให้แสงสว่าง ในขณะที่เป้านั่งรอแมงเม่าอยู่
เป้าชะเง้อมองแมงเม่า แล้วพูดเปรยๆกับแน่น
"จนมืดค่ำแล้ว ทำไมยังไม่เสร็จเสียทีนะ"
" แม่เป้าเบื่อหรือไม่จ๊ะ ฉันจะได้บอกบ่าวไพร่ให้มันหากระไรมาให้แม่ทำแก้เบื่อ"
"ไม่เบื่อดอกเจ้าค่ะ เพียงแต่เห็นว่าแม่แมงเม่าอยู่กับคุณพระนานแล้วเท่านั้น แต่ก็แปลกนะเจ้าคะ จะแก้กลอักษรกลับต้องมาถามคุณพระ ฉันไม่เห็นทราบมาก่อน ว่าคุณพระศรีชำนาญกลกลอนพวกนี้ด้วย"
แน่นรีบแก้ตัวแทนเพื่อน
"ชำนิชำนาญกระไรกัน คุณพระศรีกับฉัน เป็นชาวโต้ระกี่ ไม่รู้เรื่องกลกลอนของอโยธยาดอก เพียงแต่มีตำรับตำรา ที่พระราชาข่านท่านสะสมเก็บไว้เท่านั้น"
เป้าพยักหน้ารับ "มิน่าเล่า"
"แต่เรื่องนี้ แม่เป้าต้องจำไว้ให้มั่น ว่าอย่าบอกผู้ใดเป็นอันขาด คุณพระศรีไม่อยากได้ชื่อว่าเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง"
" อย่ากังวลเลยเจ้าค่ะ ฉันอยู่ในวังมาแต่เล็กแต่น้อย รู้ว่ากระไรเป็นกระไร ไม่ทำให้คุณพระศรีเดือดร้อนดอกเจ้าค่ะ"
แน่นยิ้มรับ
เป้าหันไปมองพระจันทร์ ดวงดาวบนท้องฟ้าอย่างอารมณ์ดี
แน่นมองใบหน้าเป้า เห็นเป้านั่งมองท้องฟ้า ดูสบายๆ แต่ก็สวยงามน่ารักอย่างบอกไม่ถูก
แน่นยิ้มเคลิ้ม
"แม่เป้า รู้ตัวหรือไม่ ว่าใต้แสงจันทร์อย่างนี้ ผิวพรรณของแม่เป้าช่างงดงามนัก"
เป้ายิ้มอายๆ เอื้อมมือไปจับมือแน่นไว้
"ฉันนึกแล้ว ว่าท่านขุนต้องพูดเช่นนี้"
แน่นหัวใจพองโต ยิ่งเป้าจับมือตนก็ยิ่งตื่นเต้นสุดๆ
"นี่แม่เป้ารู้แล้วหรือ ว่าฉันคิดกระไร"
" รู้ซีเจ้าคะ ฉันได้สูตรลับบำรุงผิวพรรณมาจากคุณท้าวโสภาท่าน เพียงทาก่อนนอนเท่านั้น ก็เห็นผลทันที ท่าน ขุนคงอยากได้ไปบำรุงผิวตัวเองบ้างล่ะซี ทำไมฉันจะไม่รู้เล่าเจ้าคะ ฉันจะบอกให้ ไม่หวงวิชาดอกเจ้าค่ะ"
แน่นเซ็งสุดๆ
"ขอบน้ำใจเจ้ามาก"

เป้ายิ้มแย้ม ไม่รู้ว่าแน่นแอบชอบตนแม้แต่น้อย เข้าใจว่าแน่นเป็นเพื่อนสาวมาตลอด

ตัวอักษรในกระดาษเขียนว่า “มจ้ไบงทอตานักมบเอ้สาเถ ศสาถทุมอกสัดถ้นทีอัลย กวัไสสนสาติเร่พเสจ ยบเงสิสส้นนาะรุสุสำอนเยทนีชาร” แมงเม่ากำลังดูตัวอักษรในกระดาษด้วยความงุนงง 
 
" แค่เห็นก็งงเป็นไก่ตาแตกแล้วเจ้าค่ะ"
" ถ้ามันง่าย ทุกคนก็แก้เป็นกันหมดแล้วซี ลองทำดูอย่างที่ฉันสอน ใบ้ให้ ว่านี่เป็นกลบทไทยนับสาม ถ้าเจ้าทำได้ ฉันว่าน่าจะแก้กลบทของเจ้าจอมเพ็ญได้"
"เจ้าค่ะ"
แมงเม่าหยิบกระดาษอีกแผ่นขึ้นมา แล้วค่อยๆถอดกลบททีละตัวตามที่ขันทองสอน
ในขณะที่ขันทองนั่งอยู่ใกล้ๆ หยิบพู่กันขึ้นมาเขียนบางอย่างลงในกระดาษของตน
" บรรทัดแรกถอดได้แล้วเจ้าค่ะ"
"ให้ฉันดูซิ" ขันทองชะโงกหน้ามาดูกระดาษที่แมงเม่าเขียน "ไทนับสามบอกแจ้ง ฉันบอกแล้ว ว่าเจ้าต้องทำได้"
ขันทองหันไปยิ้มให้แมงเม่า จังหวะเดียวกับที่แมงเม่าหันหน้ามา ใบหน้าของทั้งคู่เลยเกือบจะสัมผัสโดนกัน
ทั้งคู่สบตากันนิ่ง เหมือนอยู่ในภวังค์ แต่ขันทองเป็นฝ่ายดึงสติกลับมาได้ก่อน เลยรีบเบือนหน้าหนี เช่นเดียวกับแมงเม่าที่รีบเบือนหน้าไปทางอื่น
ขันทองรีบเปลี่ยนเรื่องพูด
"เจ้าทำต่อไปเถิด ฉันจะตรวจดูอีกที" ขันทองหยิบกระดาษที่ตนเพิ่งเขียนเสร็จใส่ถุงที่เตรียมไว้
"ส่วนอันนี้ ฉันให้เจ้ากลับไปฝึกหัดต่อที่เรือน เสร็จแล้วค่อยให้เอามาให้ฉันตรวจ"
แมงเม่าไหว้ รีบรับถุงมาโดยไม่กล้าสบตาขันทอง
"ขอบพระคุณเจ้าค่ะ"
แมงเม่ารีบก้มหน้าทำแบบฝึกต่อ
ส่วนขันทองก็หยิบหนังสือมาอ่านแก้เขิน
แต่ทั้งคู่ก็มีแอบมองกันเป็นระยะ แต่พออีกฝ่ายทำท่าเหมือนจะรู้ตัว อีกฝ่ายก็รีบทำไม่รู้ไม่ชี้ทันที

ในวังตอนเช้า
กรมขุนวิมลภักดีส่งถุงใส่เงินให้แมงเม่า แมงเม่าก้มลงกราบ ก่อนจะยื่นมือออกไปแล้วกระดกมือขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะรับถุงใส่เงินมา
กรมขุนวิมลภักดีนั่งอยู่บนตั่ง ในขณะที่แมงเม่านั่งพับเพียบอยู่บนพื้น โดยมีเจ้าจอมอำพันนั่งอยู่บนตั่งอีกตัวแต่ต่ำกว่ากรมขุนวิมลภักดี ในขณะที่คุณท้าวโสภานั่งพับเพียบอยู่ใกล้ๆแมงเม่า
กรมขุนวิมลวิมลยิ้มแย้มอารมณ์ดี
"ฉันเอากลกลอนที่เจ้าแก้" ไหว้ท่วมหัว "ถวายพระพุทธเจ้าอยู่หัวไปแล้ว พระองค์ท่านทรงพอพระทัยนัก ฉันจึงให้เบี้ยถุงนี้แก่เจ้าเป็นรางวัล
"เป็นพระกรุณาเพคะ"
คุณท้าวโสภากระหยิ่มยิ้มย่อง
"เมื่อแรก ฉันยังอดสงสัยในตัวแม่ไม่ได้ แต่ครานี้ ฉันสิ้นสงสัยแล้ว ฝีมือในกลกลอนกลอักษรของแม่แมงเม่า ถือเป็นหนึ่งในฝ่ายในเราจริงๆ เจ้าจอมเพ็ญ คงไม่กล้ามาราวีอีกแล้ว"
แมงเม่ายิ้มแหยๆ รู้ดีว่าขันทองช่วย ไม่อย่างงั้นก็ไม่ชนะ ไหว้
" เป็นพระคุณเจ้าค่ะ คุณท้าว แต่ปัญญาฉัน ก็เพียงแต่พอประมาณเท่านั้น ไม่นับว่าดีเลิศกระไรดอกเจ้าค่ะ"
เจ้าจอมอำพัน" เจ้าตัวดีของเสด็จ รู้จักถ่อมตัวด้วยนะเพคะ"
กรมขุนวิมลภักดียิ้มแย้ม ชอบอกชอบใจที่แมงเม่าเก่งแล้วยังถ่อมตัวอีก
เจ้าจอมอำพันยิ้มสะใจ
"แม่เพ็ญ พ่ายแพ้เสียหน้าไปหลายครา คงหยุดเหิมเกริม ไปอีกนาน แต่เรื่องที่จะไม่กล้าอีกแล้ว ฉันยังไม่เชื่อดอก"
" ถึงจะมาอีก ก็สู้บุญของเสด็จไม่ได้ดอกเจ้าค่ะ เหมือนพวกอังวะที่ไม่เจียมตัว ยกทัพมาคราใด ก็พ่ายแพ้กลับไปครานั้นอย่างไรเล่าเพคะ"
เจ้าจอมอำพัน คุณท้าวโสภาหัวเราะชอบใจ
กรมขุนวิมลภักดีก็พลอยยิ้มแย้มไปด้วย แม้จะไม่พูด แต่กรมขุนวิมลก็เหมือนคนอื่น คือเชื่อว่ายังไงอยุธยาก็ชนะเพราะเทวดาคุ้มครอง มีบุญเหนือกว่า
แมงเม่าหน้าเครียดขึ้นมาทันที ตนไม่พูดออกมา แต่ลึกๆแล้ว เชื่อว่าเทวดาจะช่วยก็ต่อเมื่อช่วยตัวเองก่อน ไม่ใช่สิ่งที่กำลังทำอยู่เลย

พระยาพลเทพกำลังตกใจมาก
" แก้กลบทได้ เป็นไปได้อย่างไร"
พระยาพลเทพกำลังคุยกับเจ้าจอมเพ็ญอยู่ภายในสวน ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
" ยังจะถามอีกหรือว่าเป็นไปได้อย่างไร ครานี้ฉันขายหน้าต่อหน้าพระที่นั่ง อับอายจนเหลือประมาณแล้ว ท่านเจ้าคุณคุยใหญ่คุยโต ว่าในเชิงอักษรนั้นไม่มีใครสู้ เหตุใดแพ้ต่อนังเด็กนี่ได้ถึงสองครั้ง
สองครา ฉันไม่น่าเชื่อท่านเจ้าคุณเลยจริงๆ"
" เรื่องเอาชนะคะคาน พักไว้ก่อนเถิดขอรับเจ้าจอม กลบทที่กระผมให้ไปครานี้ มีพื้นฐานเช่นเดียวกับที่กระผมเขียนไปให้อังวะ ถ้านังเด็กนี่มันแก้กลได้ ก็อาจจะแก้กลในกลักได้เช่นกัน"
" จริงรึ แล้วอย่างนี้ มันจะแก้กลในกลักได้หรือไม่"
"ถ้าแก้ได้ เราจะอยู่ตรงนี้รึ แต่ถึงอย่างไร ก็ไว้ใจไม่ได้"
เจ้าจอมเพ็ญคิดทบทวน
"แต่คุณพระนาย บอกว่ามันทำลายกลักไปแล้ว เราก็ไม่มีกระไรต้องกลัวแล้วไม่ใช่หรือ"
"กระผมบอกแล้วอย่างไร ว่ายังวางใจไม่ได้ เจ้าจอมจะค่อนขอดว่า กระผมขี้ระแวงอย่างไรก็เถิด แต่คนรอบคอบเท่านั้น ถึงจะอยู่รอด"
พระยาพลเทพเดินเลี่ยงไปทางอื่นด้วยความหงุดหงิด

เจ้าจอมเพ็ญยืนเครียดกังวลอยู่คนเดียว โดนพระยาพลเทพพูดซะเริ่มกลัวไปด้วย

บ่ายวันนั้น แมงเม่าขึ้นจากเรือมา โดยมีติ่น ผล และบรรดาบ่าวไพร่มารอรับ และช่วยกันขนของใช้ของแมงเม่าขึ้นจากเรือด้วย

แมงเม่าหยิบถุงใส่เงินที่ได้มาจากกรมขุนวิมลภักดียื่นให้ติ่น
"กรมขุนวิมลท่านทรงประทานให้ข้าเป็นรางวัล ข้ายกให้พวกเอ็งเอาไปแบ่งกัน"
ติ่นตกใจ
"แล้วแม่หญิงเอามาให้พวกกระผมทำไมขอรับ"
แมงเม่าหน้าขรึมลง
"มีศึกสงครามเช่นนี้ กระดาษของพ่อข้าขายได้น้อยลง พวกเอ็งก็พลอยเดือดร้อนไปด้วย ไม่มีเบี้ยใช้กันดังแต่ก่อน ข้าเลยยกให้ เผื่อจะประทังได้บ้าง"
ติ่น และผล หันไปมองหน้ากันด้วยความซึ้งใจ
" แม่หญิงของอ้ายผล ช่างมีเมตตาเหลือเกิน" ผลไหว้ "ขอบพระคุณขอรับ"
ติ่นไหว้แมงเม่าตาม แล้วรับถุงใส่เงินมา ก่อนจะเรียกพวกบ่าวไพร่มาแบ่งเงินกันคนละนิดละหน่อย
แมงเม่ามองพวกบ่าวไพร่ด้วยสายตาสงสาร สงครามทำให้ทุกคนลำบากไปกันหมด

แมงเม่าเดินกลับเข้ามาในห้อง หลังจากอาบน้ำเสร็จ เปลี่ยนชุดเรียบร้อย ใช้ผ้าซับหยาดน้ำ
ที่ยังติดอยู่บ้าง
พอเข้ามา ก็เห็นข้าวของของตนถูกบ่าวไพร่เอามาวางไว้ที่โต๊ะในห้อง
แมงเม่าเห็นถุงใส่โจทย์กลบทที่ขันทองเขียนให้
แมงเม่าเดินไปหยิบถุงขึ้นมา ยิ้มๆ
"ดูทีรึ จะยากสักเพียงใด"
แมงเม่าเปิดถุงออก แล้วหยิบม้วนกระดาษที่ขันทองเขียนออกมา
แมงเม่าคลี่กระดาษออก ปรากฏว่ามีเศษกระดาษเล็กๆปลิวออกมาจากม้วนกระดาษอีกที
แมงเม่าแปลกใจ หยิบเศษกระดาษมาดู เห็นในกระดาษเขียนว่า
“รัเมามื่ห้าอลศบำกวดครลดา”
แมงเม่าแปลกใจมาก
"เขียนโจทย์มาให้แก้แล้ว ยังจะเขียนใส่เศษกระดาษมาทำกระไรอีก"
แมงเม่านั่งลงที่โต๊ะ แล้วหยิบกระดาษ พู่กัน มา ก่อนจะอ่านกลบทที่เขียนมาในเศษกระดาษเล็กๆ
เพื่อแก้กลบท
แมงเม่าแก้กลอยู่ซักพัก ก็เขียนกลที่แก้ลงกระดาษเรียบร้อย ก่อนจะลองอ่านดู
ขณะอ่าน ... คล้ายกับขันทองมากระซิบบอกข้างหูเจ้าหล่อนเอง
" เมื่อเวลามาบำราศให้คลาดรัก
สงวนศักดิ์ไว้ให้งามเถิดทรามสงวน
คิดเสงี่ยมเจียมพักตร์แต่พอควร
ใครสงวนไม่เท่านวลสงวนกาย"
แมงเม่าอ่านแล้วก็จำได้
" เพลงยาวเจ้าฟ้ากุ้ง ... ส่งมาเกี้ยวฉันรึ"
แมงเม่าทั้งอาย ทั้งดีใจ อมยิ้มออกมา แต่พอคิดว่าขันทองไม่ใช่ชายแท้ก็เครียดขึ้นมาแทน
" เขาเป็นขันทีนี่นา" แมงเม่าพึมพำ สับสนไปหมด

เวลาพลบค่ำ เยื้อนนั่งอยู่หน้ากระจก หลังจากอาบน้ำแต่งตัวเสร็จ
เยื้อนหยิบน้ำอบไทยมาหยดใส่มือ แล้วค่อยๆลูบไล้ไปที่แขน ซอกคอ เพื่อให้ตนมีกลิ่นกายหอม
เยื้อนมองกระจกนิ่ง สายตายั่วยวนเต็มไปด้วยความอยากเอาชนะ

มุมหนึ่งในวัง ขันทองกำลังเดินคุยมากับเทพชำนาญ และเทพรักษา โดยมีแน่นตามหลังมาที่มุมหนึ่งของวังในตอนหัวค่ำ
"บาญชีค่าใช้จ่ายที่ท่านขุนทั้งสองส่งมา ฉันเห็นว่ามากเกินไป ครานี้ฉันจะยอมให้ แต่คราหน้า ฉันยอมให้ได้เพียงหกส่วนเท่านั้น"
ขุนเทพรักษาโมโห
"หกส่วน เพียงเท่านั้นแล้วจะไปพอได้อย่างไรเล่าเจ้าคะออกพระ"
แน่นยิ้มๆแล้วพูดดักคออย่างรู้ทัน
"ถ้าใช้จ่ายกัน แต่จำเพาะในทิมขันที ทำไมจะไม่พอเล่า เว้นแต่จะแบ่งไปให้คนข้างนอกช่วยใช้ก็เท่านั้น"
ขันทีทั้งสองโมโห แต่เพราะพวกตนยักยอกเงินไปเลี้ยงลูกสวาทจริงๆ ก็เลยไม่กล้าเถียง
"บ้านเมืองกำลังมีศึก ประหยัดได้ก็ประหยัดเถิดท่านขุน อาณาประชาราษฎร์ที่อยู่นอกอโยธยาเดือดร้อนกว่าเรามากนัก อย่าให้เขาต้องหลั่งเลือด เพื่อความสุขสบายของผู้ดีกรุงศรีเลย"
ขุนเทพชำนาญเจ็บใจแต่ต้องอดทนไว้
"เจ้าค่ะ พวกดีฉันจะประหยัดให้มากกว่านี้"
ขันทอง และแน่น เดินเลี่ยงไป
ขันทีทั้งสองมองตามด้วยความเกลียดชัง
" ตัดค่าใช้จ่ายออก แล้วจะพอเลี้ยงลูกสวาทได้อย่างไร มิต้องควักเบี้ยหวัดส่วนตัวกันรึ" ขุนเทพรักษาว่า
ขุนเทพชำนาญพยายามระงับอารมณ์
"ถึงอย่างไรก็ต้องทน ทนจนกว่าจะถึงวันของเรา"

เวลาต่อเนื่องมา เยื้อนยังเสริมสวยอยู่หน้ากระจกไม่เลิก
เยื้อนหยิบสีผึ้งมาทางปาก แล้วหยิบขวดน้ำมันหอมมาหยดลงบนมือเล็กน้อย ก่อนจะใช้มือ
สางผมช้าๆ ให้ผมเป็นมันเงา และหอม
ในกระจก เยื้อนยิ้มอย่างมั่นใจในตัวเองว่าเสน่หาทางเพศของตนจะดึงดูดขันทองในค่ำนี้ได้

ขันทองเดินคุยมากับแน่นมาตามทางเดินในวังก่อนจะแยกย้ายกัน
"อ้ายเทพรักษามันเลี้ยงลูกสวาทไว้ วันดีคืนดี ก็ลอบเอาเข้ามาในวัง แต่ที่มันไม่รู้ คืออ้ายเทพชำนาญแอบตีท้ายครัวมันอยู่ เป็นเช่นนี้ อย่าหวังเลยว่าจะประหยัดค่าใช้จ่ายได้ ข้าว่าจับพวกมันให้คาหนังคาเขาเถิดวะ จะได้สิ้นปัญหากันไป"
"ก็ควรอยู่ แต่ติดที่ข้าอดสงสารไม่ได้ เป็นขันทีต้องเสียสละมากมาย คนพวกนี้มีวิธีระบายออกเพียงนี้เท่านั้น หากสิ่งที่ทำ ไม่กระทบถึงงานของเราหรือบ้านเมือง ข้าก็ไม่อยากทำร้ายกันถึงเพียงนั้น"
"เอ็งสงสารมัน แต่พวกมันหาสงสารเอ็งไม่ ข้าว่าลงมือก่อนย่อมได้เปรียบนา"
" เอ็งอย่ามายุข้าเลย เพลานี้ข้าระวังตัวนัก ป้องกันทุกทางไม่ให้ใครมาจับผิดข้าได้ แล้วข้าจะไปหาเรื่องทำร้ายผู้อื่นทำไมให้ถูกจ้องจับผิดมากขึ้น คิดถึงการใหญ่เอาไว้ก่อนเถิด"
ขันทองเดินเลี่ยงไปหลังเตือนสติเพื่อน

แน่นมองตามแบบเซ็งๆ กะจะเล่นงานพวกเทพชำนาญเพื่อล้างแค้นส่วนตัวเสียหน่อย เพื่อนก็ไม่เอาด้วย

ขันทองกลับเข้ามาในห้องนอน ภายในห้องจุดเทียนไขไว้แล้ว

ขันทองหันไปปิดประตูลง ทันใดนั้น เยื้อนที่ซ่อนตัวอยู่ในห้อง ก็เข้ามากอดขันทองจากทางด้านหลัง
ขันทองตกใจมาก รีบสะบัดตัวออก "เฮ้ย"
เยื้อนถูกสะบัดตัวอย่างแรงจนล้มลงกับพื้น
ขันทองหันกลับมาเห็นเยื้อน ตกใจนึกไม่ถึง
"นังเยื้อน นี่เจ้าทำกระไรของเจ้า"
เยื้อนลุกขึ้นยืน มองขันทองด้วยสายตาอ้อนวอน
"บ่าวก็มารับใช้ออกพระน่ะซีเจ้าคะ บ่าวทราบ ว่าตัวท่านเองก็ยังต้องการเหมือนเช่นชายอื่น ได้โปรดเถิดเจ้าค่ะ ให้บ่าวได้รับใช้ออกพระในคืนนี้ สมกับที่ทั้งชีวิตของบ่าวเป็นทาสของออกพระด้วยเถิดเจ้าค่ะ"
ขาดคำ เยื้อนก็โผเข้ากอดขันทองแน่น
ขันทองพยายามสะบัด
"ออกไป อย่ามาใกล้ข้า ออกไป"
เยื้อนกอดแน่นไม่ยอมให้หลุดอีก
"ทำไมเล่าเจ้าคะ ทำไมถึงต้องรังเกียจบ่าว"
ไม่พูดเปล่ามือก็ลูบไล้ไปตามร่างกายของขันทอง
"ทั้งๆที่ออกพระก็มีความรู้สึกเฉกเช่นชายทั่วไป"
ขันทองพยายามจะผลักออก แต่คราวนี้เยื้อนกอดแน่น ไม่ยอมให้ถูกผลักออกง่ายๆ ก่อนที่ทั้งคู่จะกอดรัดฟัดเหวี่ยงกันไปมา จนล้มลงบนเตียง โดยตัวของเยื้อนทับบนตัวของขันทองอยู่
ขันทองตกใจ แต่พอเงยหน้ามอง ใบหน้าของทั้งคู่ก็อยู่ห่างกันเพียงแค่ฝ่ามือกั้น
"ออกพระเจ้าขา บ่าวเห็นสายตาที่ออกพระมองแม่หญิงคนนั้น ออกพระเองก็ปรารถนานางไม่ใช่หรือเจ้าคะ มาเถิดเจ้าค่ะ ในคืนนี้ ไม่ว่าท่านต้องการสิ่งใดจากนาง ก็จงมาลงที่เยื้อนคนนี้แทนเถิด"
เยื้อนก้มลงจูบปากขันทองด้วยความเสน่หา
ขันทองตกใจ ตั้งสติไม่ถูก เพราะเกิดมาไม่เคยเจออะไรแบบนี้มาก่อน บวชเป็นสามเณรแต่เด็ก ไม่เคยได้ใกล้ชิดผู้หญิงขนาดนี้มาก่อน ยิ่งมาเจอผู้หญิงสวยเจนจัดอย่างเยื้อน ขันทองก็ต้องตื่นเต้น เคลิบเคลิ้มไปบ้างเป็นธรรมดาผู้ชาย
ขณะที่เยื้อนกำลังกอดจูบลูกคลำขันทองอยู่ จู่ๆก็ตกใจสุดตัว เมื่อมือหล่อนไปสัมผัสอะไรบางอย่างเข้าอย่างคาดไม่ถึง
จังหวะนั้นเอง ขันทองก็ผลักเยื้อนออกไปอย่างแรงจนเยื้อนตกเตียง
ขันทองรีบลุกขึ้นนั่ง มองเยื้อนที่อยู่บนพื้นด้วยสายตาเคร่งเครียดสุดๆ
เยื้อนมองไปที่มือของตัวเอง ก่อนจะเหลือบตามองไปยังจุดที่ขันทีไม่ควรมีที่ตัวขันทอง
ทันใดนั้น ขันทองก็หันไปชักมีดสั้นออกมา แล้วเข้าไปล็อกคอเยื้อน
เยื้อนตกใจสุดขีด กรีดร้องออกมา
เยื้อนร้องได้นิดเดียว ขันทองก็ปิดปากเยื้อนไว้ไม่ให้ร้อง แล้วเงื้อมีดขึ้น เตรียมจะแทงกะฆ่าให้ตาย
เยื้อนกลัวสุดขีด คิดว่าตนไม่รอดแล้ว แต่ขันทองกลับไม่แทงลงไป
ขันทองขบกรามแน่น สายตาแข็งกร้าว ถมึงทึง ถ้าไม่มีเหตุจำเป็นจริงๆ ตนก็ไม่ใช่คนใจแข็งพอที่จะฆ่าใครได้
ขันทองลดมีดลง ตัดสินใจไม่ฆ่า ตะคอกด้วยสีหน้าแววตา แข็งกร้าวดุดัน
"ไปเสีย แล้วอย่าให้ข้าเห็นหน้าอีก"
ขันทองยอมปล่อยเยื้อน
เยื้อนเลยรีบวิ่งออกจากห้องไปด้วยความหวาดกลัวสุดชีวิต

เยื้อนหนีตายหน้าตาตื่นกลับเข้ามาในห้องนอน มือไม้สั่นดูหวาดกลัว รีบเก็บกวาดข้าวของจำเป็นของตนอย่างเร่งรีบ พูดบ่นบอกตัวเอง
"อยู่ไม่ได้แล้วกู"
เยื้อนสีหน้าหวาดกลัวมาก

เยื้อนสะพายสัมภาระแล้ววิ่งหนีกระเซอะกระเซิงมาด้วยความหวาดกลัว
เยื้อนกลัวสุดๆ เพราะรู้ว่าความลับที่ตนพบสำคัญขนาดไหน และขันทองสามารถเปลี่ยนใจฆ่าตนได้ตลอดเวลา
เยื้อนวิ่งหนีไปอย่างลนลาน ก่อนจะไปชนเข้ากับหลวงศรีมะโนราชที่เดินเลี้ยวตัดหน้าออกมาพอดีจนล้มลง
" โอ๊ย"
หลวงศรีมะโนราชโมโห
"ผู้ใดกันวะ ไม่มีตาหรืออย่างไร"
เยื้อนเห็นหลวงศรีมะโนราช รีบคลานเข้าไปกอดขาทันที
"ออกหลวง ออกหลวงเจ้าขา ช่วยด้วย ช่วยด้วยเจ้าค่ะ"
หลวงศรีมะโนราชแปลกใจที่เห็นเป็นเยื้อน
"อีทาส เอ็งเองรึ"

ครู่ต่อมา หลวงศรีมะโนราชกำลังหัวเราะ
" อีทาส เอ็งก็รู้อยู่ ว่าขันทีไหนเลยจะสนองใจเอ็งได้ พอโดนอ้ายศรีขันทินมันผลักไสมา ก็เลยคิดแค้นหาเรื่องใส่ร้ายมันน่ะซี นึกว่าข้าโง่รึ"
เยื้อนนั่งพับเพียบอยู่กับพื้น รายงานให้หลวงศรีมะโนราช ขุนเทพชำนาญ และขุนเทพรักษาฟัง
เยื้อนหน้าเครียด พูดจริงจัง มีความตื่นเต้นและหวาดกลัว ไม่เหมือนคนโกหก
"อีฉันพูดจริง ท่านต้องเชื่อข้า ออกพระศรียังมิใช่ชายสิ้นสภาพ เขาสมบูรณ์เสียยิ่งกว่าชายคนไหนที่ข้าเคยผ่านมาเสียอีก เมื่อครู่ข้าแตะต้องมา มือของข้ามิเคยโกหกข้า"
ขันทีทั้งสามคนหันมองหน้ากัน รู้สึกได้ว่าเยื้อนพูดจริง

"พระศรีขันทินผู้นี้เป็นชายแท้ จะให้ข้าไปสาบานที่ใดก็ได้เจ้าค่ะ"

หลวงศรีมะโนราช และขุนทั้งสองหันไปมองหน้ากัน เยื้อนพูดขนาดนี้ ก็ชักลังเล

"ฟังดู อีทาสผู้นี้ก็รับรองแข็งขัน น่าจะเชื่อถือได้นะเจ้าคะ ลองเสี่ยงดูเถิดเจ้าค่ะคุณหลวง หากเป็นจริง หัวของอ้ายศรีขันทินได้หลุดจากบ่าเป็นแน่" ขุนเทพชำนาญบอก
"แต่หากไม่จริง หัวพวกเราจะหลุดเสียเอง คราก่อน พวกเราก็ยุแยงออกญาวังโดยใช้ข้อหานี้ทีหนึ่งแล้ว สุดท้าย ก็ไม่ได้กระไรขึ้นมา หากทำอีก ออกญาวังจะไม่ดูว่าเราจ้องจะใส่ความเอารึ" ขุนเทพรักษาว่า
"แต่ครานี้ เรามีอีทาสของอ้ายศรีขันทินเป็นพยานยืนยัน น่าจะมีน้ำหนักมากกว่าคราก่อน ไม่แน่ว่าออกญาวังอาจจะเชื่อเราก็เป็นได้"
" ไม่ต้องเถียงกัน เรื่องนี้ข้าต้องคิดให้รอบคอบ จะผิดพลาดอีกไม่ได้เป็นอันขาด"
"อย่ากลัวเลยเจ้าค่ะ อีฉันเอาหัวเป็นประกัน หากผิดพลาดสิ่งใด ก็ให้มาตัดหัวอีฉันแทนเถิดเจ้าค่ะ"
ศรีมะโนราชยิ้มเยาะ
"ดูเอ็งจะแค้น ที่ถูกบอกปัดเสียเหลือเกินนะอีทาส"
เยื้อนสายตาถมึงทึง น่ากลัว
"ความแค้นที่ถูกทำให้อับอายก็ส่วนหนึ่งเจ้าค่ะ แต่การรักษาชีวิตนั้นสำคัญกว่า อีฉันรู้ความลับนี้เข้า หากพระศรีขันทินไม่ตาย ไหนเลยอีฉันจะนอนตาหลับได้เจ้าคะ"
เยื้อนมีสีหน้าหวาดกลัวจับใจ
พระศรีมะโนราชแอบยิ้มมุมปากพอใจที่พอมาลู่ทางเล่นงานขันทองได้อีกครั้ง

หน้าเรือนพระยาพลเทพตอนเช้า
หลวงศรีมะโนราชกำลังคุยกับพระยาพลเทพอยู่ โดยมีขุนแผลงฤทธิ์อยู่ใกล้ๆ ส่วนเยื้อนก็นั่ง
พับเพียบอยู่กับพื้น
"แต่แรก ดีฉันตั้งใจจะแจ้งเรื่องนี้ต่อออกญาวัง แต่เกรงว่าออกญาวังจะไม่เชื่อถือ เพราะก่อนหน้านี้ก็เคยไม่ได้ความสิ่งใดมาแล้ว จึงต้องมาขอพึ่งใบบุญท่านเจ้าคุณ ด้วยเพลานี้ ไม่ว่าการใหญ่น้อยใดในอโยธยา ล้วนเป็นสิทธิ์ขาดของท่านเจ้าคุณทั้งสิ้นเจ้าค่ะ"
พระยาพลเทพคิดทบทวนอยู่ครู่หนึ่ง
" ข้อที่คุณหลวงพูดมา ก็ตรงกับที่ฉันเคยสงสัยอยู่ แต่ฉันก็หาหลักฐานใดไม่ได้เช่นกัน" แล้วหันไปมองเยื้อน "แต่ในเมื่อมีอีทาสนี้มาเป็นพยาน ก็คงวางใจได้กระมัง"
เยื้อนพนมมือ
"อีฉันขอสาบาน ว่าสิ่งที่อีฉันเล่าให้ท่านเจ้าคุณฟัง เป็นความจริงทุกประการเจ้าค่ะ"
พระยาพลเทพพยักหน้า
"ดี ข้าจะหาทางให้มีการสอบสวนเรื่องนี้ขึ้น ถึงเพลานั้น เอ็งก็เข้าไปเป็นพยานก็แล้วกัน"
"เจ้าค่ะ"
หลวงศรีมะโนราชดีใจมาก
"ถ้าเช่นนั้น ดีฉันขอฝากอีทาสนี้ไว้กับท่านเจ้าคุณด้วยเถิดเจ้าค่ะ ด้วยเกรงว่าอยู่กับดีฉันแล้วจะไม่ปลอดภัย เกิดถูกปิดปากไปก่อนก็จะเสียการที่ทำมาเจ้าค่ะ"
"ต้องเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว คุณหลวงอย่าห่วงเลย" แล้วหันไปพูดกับเยื้อน "ข้าติดใจที่เอ็งบอกเมื่อครู่ เอ็งบอกว่าพระศรีขันทินมีใจให้แม่หญิงโรงกระดาษรึ"
"เจ้าค่ะ แม่หญิงแมงเม่า บุตรสาวเศรษฐีมิ่งแห่งบ้านนางเลิงเจ้าค่ะ"
พระยาพลเทพ และขุนแผลงฤทธิ์หันไปสบตากัน เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับแมงเม่าอีกจนได้
"เช่นนี้เป็นว่า แม่หญิงผู้นี้รู้ว่าอ้ายขันทีเป็นตัวปลอมรึ" ขุนแผลงฤทธิ์ว่า
เยื้อนคิดทบทวน
"ไม่น่ารู้เจ้าค่ะ แต่แม่หญิงแมงเม่าชอบมาปรึกษาหารือกับออกพระอยู่เนืองๆ เข้าทำนองน้ำตาลใกล้มดเสียมากกว่า"
"ปรึกษาหารือ เรื่องกระไรกัน"
"ไม่ทราบเจ้าค่ะ ออกพระศรีจะกันอีฉันออกไปทุกคราที่มีการพูดคุย แต่อีฉันเดาว่าน่าจะเกี่ยวข้องกับกลบทของเจ้าจอมเพ็ญเจ้าค่ะ เพราะทุกคราที่แม่หญิงแมงเม่าถูกวานให้แก้กลบท ก็มาหาออกพระแลต่อมาก็แก้กลบทได้เจ้าค่ะ"
พระยาพลเทพตบเข่าฉาด สีหน้าถมึงทึง "อย่างนี้นี่เล่า"
หลวงศรีมะโนราชงงๆ "มีกระไรหรือเจ้าคะ"
"ไม่ใช่ธุระโกงการ คุณหลวงอย่ารู้เลย เมื่อไม่มีกระไรแล้ว ก็กลับไปเสียเถิด"
หลวงศรีมะโนราชชักสีหน้าไม่พอใจ แต่ก็ไม่กล้าพูดมาก
หลวงศรีมะโนราชพยายามระงับอารมณ์ หันไปไหว้พระยาพลเทพ
"ถ้ากระนั้น ดีฉันขอลาเจ้าค่ะ"
พระยาพลเทพรับไหว้
หลวงศรีมะโนราชลุกขึ้นออกจากเรือนไป โดยมีเยื้อนตามไปส่ง
พระยาพลเทพเห็นทั้งคู่ไปแล้ว ก็หันไปพูดกับขุนแผลงฤทธิ์
" เห็นที เราจะนิ่งนอนใจอีกไม่ได้แล้ว ฉันต้องรู้ให้จงได้ ว่ากลักยังมีอยู่ หรือถูกทำลายไปแล้วกันแน่ ท่านขุนมีแผนการใดหรือไม่"
ขุนแผลงฤทธิ์คิดหนัก ไม่ค่อยถนัดกับการวางแผนอยู่แล้ว
ขณะนั้นเอง กล้าก็เดินเข้ามาหา
"กระผมมีขอรับ"
ทุกคนหันไปมองกล้าเป็นตาเดียว
กล้าคุกเข่าลง
"นับแต่กระผมหนีมาพึ่งใบบุญท่านเจ้าคุณ ก็ยังไม่เคยกระทำสิ่งใดเป็นการทดแทนคุณ ครานี้ ขอให้กระผมได้รับใช้ท่านเจ้าคุณด้วยเถิดขอรับ"
"ว่ามา..."

กล้ายิ้มเจ้าเล่ห์ อาศัยเรื่องนี้ช่วยพลเทพ แล้วยังได้ล้างแค้นอีกด้วย

หลวงศรีมะโนราชเดินหงุดหงิดมาที่ท่าน้ำ ซึ่งเรือของตนจอดรออยู่ โดยมีเยื้อนเดินตามมาส่งถึงเรือ

" ถือตัวว่ามีอำนาจบาตรใหญ่ บังอาจไล่ข้ากลับ หากไม่ติดว่าต้องพึ่งพาอาศัย คงต้องได้เห็นดีกันบ้าง เอ็งอยู่แต่ในนี้ อย่าเที่ยวออกไปเพ่นพ่านเล่า รองานใหญ่สำเร็จ เอ็งจะไปอยู่ที่ใดก็เรื่องของเอ็ง"
"เจ้าค่ะ คุณหลวงอย่ากังวลเลย"
หลวงศรีมะโนราชลงเรือที่มีทาสของตนจอดรออยู่
เรือลำหนึ่งจอดลอยอยู่กลางคลอง โดยมีผู้ชายแต่งชุดซอมซ่อคนหนึ่งนั่งตกปลาอยู่
ผู้ชายคนนั้น ปรากฏว่าเป็นแน่นนั่นเอง แน่นปลอมตัวมา คอยจับตาดูเยื้อนอยู่ตลอด

ขันทองกำลังคุยกับแน่นด้วยสีหน้าเคร่งเครียดที่มุมหนึ่งในวัง
" เรือนอ้ายพลเทพรึ"
" ใช่ เอ็งจะเอาอย่างไรต่อ การบุกเรือนอ้ายพลเทพ ก็ไม่ต่างกับการรนหาที่ตายนาโว้ย"
"เรื่องนี้ เป็นความผิดข้าเอง ฉะนั้น ก็ขอให้ข้าได้แก้ไขมันด้วยตัวเองเถิด"
ขันทองเดินเลี่ยงไปสีหน้าเคร่งเครียด
แน่นได้แต่มองตามด้วยความเป็นห่วงเพื่อน

บนเรือน ชื่นเอาของว่างมาให้ม่วง และ มิ่ง ที่กำลังตรวจบัญชีกันอยู่
พอเอาของวางเสร็จ ชื่นก็เหลือบไปเห็นแมงเม่าหลบอยู่หลังเสา คอยแอบดูพี่กับพ่อ
ชื่นงงๆ มองตามสายตาแมงเม่ามาที่มิ่งกับม่วง ก่อนจะหันกลับไปมองแมงเม่า แมงเม่าก็มีทีท่ากระวนกระวาย แต่ก็ไม่เข้ามา แล้วก็กลับมาแอบดูอีก
"แม่แมงเม่า จะเข้าก็เข้ามาเถิด นี่พี่กับพ่อ ไม่ใช่โจรที่ไหน จะต้องหลบทำกระไร"
"ไม่ดอกจ้ะน้าชื่น รอให้พ่อกับพี่ม่วงคุยธุระกันให้เสร็จก่อนก็ได้จ้ะ"
มิ่ง และม่วง หันไปมองแมงเม่าแบบเซ็งๆ
" ไม่ต้องคุยแล้วโว้ยอ้ายม่วง ประเดี๋ยวข้าตรวจทานบาญชีพวกนี้เอง มีนกกระปูดจ้องไปจ้องมาอย่างนี้ ข้าทำงานทำการไม่รู้เรื่อง" มิ่งว่า
ม่วงยิ้มขำๆ "จ้ะพ่อ"
ม่วงลุกขึ้นจะไปหาแมงเม่า
"คืนนี้ พ่อม่วงจะกลับเรือนหรือไม่" ชื่นถาม
"มีกระไรหรือจ๊ะน้าชื่น"
ชื่นถอนใจ หงุดหงิด
"ถึงแม่อินจะไม่ว่ากระไร แต่น้าก็ไม่ชอบนักดอก ติดโรคขึ้นมา สถานเบาก็อับอาย สถานหนักก็ถึงตาย ยังจะไปกันอีก"
ม่วงหน้าเสีย รู้ว่าชื่นตำหนิตนเรื่องยี่สุ่น
"อย่างน้าเอ็งว่าล่ะวะอ้ายม่วง แม้ข้าจะเป็นไพร่ไม่ใช่ผู้ดี แต่ก็ไม่คิดจะรับหญิงสัญจรโรคมาเป็นสะใภ้ดอกนะโว้ย"
ม่วงหน้าเศร้า "ฉันรู้จ้ะพ่อ"
ม่วงเดินเลี่ยงเข้าข้างในไป
แมงเม่ารีบเดินตามพี่ชายไปทันที

ม่วงกำลังคุยกับแมงเม่าด้วยความหงุดหงิด
" นี่แม่อินเล่าเรื่องแบบนี้ให้เอ็งฟังด้วยรึ ทำไมถึงได้เป็นคนปากพล่อยเช่นนี้นะ"
"พี่อินไม่ได้ปากพล่อยดอก แต่ทนฉันเซ้าซี้เองไม่ได้ต่างหาก พี่ม่วงอย่าไปตำหนิพี่อินเลย"
ม่วงหงุดหงิด "ถึงอย่างไร เรื่องเช่นนี้ก็ไม่ควรเล่า"
"ไม่เล่า แต่ให้เก็บเอาไว้ แล้วมันดีขึ้นหรือพี่ม่วง"
ม่วงเถียงไม่ออก แต่ก็ยังฮึดฮัดไม่พอใจอยู่
"ฉันเห็นว่าพี่อินมีใจรักใคร่พี่อยู่มาก ไม่ได้มีใจให้ทิดคล้อยอย่างที่พี่เข้าใจดอก เพียงแต่เรื่องที่เกิดขึ้นมันพิสดารนัก จำต้องหันหน้ามาพูดคุยกันมากกว่าตั้งแง่ใส่กัน"
ม่วงหงุดหงิด
"เอ็งเป็นเด็ก จะรู้กระไร ถ้าวิญญาณแม่เอิบหึงหวงข้าจริง ก็ต้องมาเล่นงานข้าซีวะ จะไปหลอกหลอนน้องสาวทำกระไร เป็นอุบายของแม่อินเสียมากกว่า"
แมงเม่าถอนใจเฮือกใหญ่กับความดื้อของพี่
"ทีอยากให้ฉันมีผัว ก็บอกว่าฉันโตแล้ว พอไม่อยากให้ฉันยุ่งเกี่ยว ก็บอกว่าฉันยังเด็ก ตกลงจะเอา
อย่างไรกันแน่"
" เอ็งอยากคุยกับข้าด้วยเรื่องนี้เองรึ ถ้ากระนั้น ก็ไม่มีอะไรต้องคุยแล้ว"
ม่วงจะเปิดประตูกลับออกไป
แมงเม่าพูดสวนขึ้น
"ฉันอยากได้กลักลายผีเสื้อคืน"
ม่วงหันกลับมามองน้องด้วยความเป็นห่วงทันที
"เอ็งแก้กลบทได้แล้วรึ ถึงจะเอากลักคืนไป"
"ยังไม่รู้ดอกพี่ แต่ฉันเรียนรู้กลบทใหม่มาไม่น้อย เลยอยากจะลองดู"
ม่วงห่วงน้องมาก
"เอ็งก็จำข้อความในกระดาษได้ทั้งหมด ไม่ต้องเอาของจริงไปดอก ข้าเป็นห่วง"
" ยิ่งฉันเรียนรู้ในกลอักษรมากเท่าใด ก็ยิ่งมีสิ่งลึกซึ้งมากขึ้นเท่านั้น บางที ในกระดาษอาจจะมีปริศนาอื่นซ่อนอยู่อีก ฉันจึงอยากได้ของจริงมากกว่า"
ม่วงถอนใจ ปลดกลักที่ผูกไว้กับสร้อยคออกมา
"กลักของเอ็ง เอ็งต้องการคืน ข้าก็ต้องคืน แต่เอ็งต้องระวังตัวให้จงหนักเทียวนะแมงเม่า"
"ฉันขอเวลาสามวัน ภายในสามวันนี้ฉันจะไม่ลงจากเรือนแม้แต่ก้าวเดียว หากฉันยังแก้กลบทไม่ได้ ฉันจะคืนให้พี่เก็บรักษาไว้ก็แล้วกัน"
ม่วงยื่นกลักให้แมงเม่า
แมงเม่ารับกลักมาดู กลักรูปผีเสื้อ
สีหน้าแมงเม่าดูเคร่งเครียด มีความตั้งใจเต็มที่

ตอนหัวค่ำ
พวกจมื่นศรีสรรักษ์ ขุนแผลงฤทธิ์ กำลังดื่มกินกันเต็มที่ ก่อนจะออกไปทำงานในตอนหัวค่ำ
ขุนแผลงฤทธิ์ดื่มเหล้าอย่างอารมณ์ดี ก่อนจะพูดเสียงดังให้ได้ยินกันทั่วๆ
"ท่านเจ้าคุณให้พวกเอ็งทุกคนกินให้อิ่มหนำ แต่ห้ามเมาเป็นอันขาดนาโว้ย ประเดี๋ยวจะเสียการของท่านเจ้าคุณ"
ลูกน้อง 1ยิ้มแย้ม
"อย่าห่วงเลยท่านขุน พวกกระผมก็กินพอกระชุ่มกระชวยเท่านั้น"
ขณะนั้นเอง เยื้อนและพวกทาสผู้หญิง ก็พากันถือถาดใส่อาหาร เหล้ามาเพิ่มเติมให้อีก พวกลูกน้องพระยาพลเทพเห็นมีสาวๆมาก็แซว หยอกล้อกันยกใหญ่
เยื้อนเดินถือถาดใส่กับแกล้มมาเติมให้จมื่นศรีสรรักษ์
จมื่นศรีสรรักษ์ดื่มเหล้าจากจอกขนาดใหญ่ได้นิดเดียวก็หน้าเหยเก
"เหล้ากระไรกันนี่แรงนัก" แล้วก็วางจอกเหล้าลง
เยื้อนยิ้มยั่วยวน "ถ้าคุณพระนายไม่ชอบ ก็ขอให้บ่าวแทนแล้วกันนะเจ้าคะ"
"อยากกินก็เอาไป"
เยื้อนหยิบจอกเหล้าขึ้น ส่งสายตาให้จมื่นศรีสรรักษ์ ก่อนจะดื่มเหล้าที่เหลือรวดเดียวหมดจอก
เรียกเสียงเฮลั่นจากพวกลูกน้องพระยาพลเทพ
" เอ็งไม่กลัวเมารึ"
เยื้อนยิ้มยั่ว
" เมาไม่กลัวเจ้าค่ะ กลัวแต่ไม่มีคนประคองเพลาเมามากกว่า"
เยื้อนลุกขึ้น ทิ้งหางตาให้ก่อนจะเดินเลี่ยงไป
จมื่นศรีสรรักษ์มองตามด้วยสายตากรุ้มกริ่ม
ขุนแผลงฤทธิ์หัวเราะชอบใจ
"ให้ท่าถึงขนาดนี้ ไม่ทำกระไรสักหน่อย ก็เสียเชิงชายนา คุณพระนาย"
จมื่นศรีสรรักษ์หน้าเสีย
"เมียฉันดุนัก ท่านขุนก็รู้ พูดอย่างนี้ อยากให้ฉันถูกตีหัวแตกรึ"
ขุนแผลงฤทธิ์กับพวกลูกน้อง พากันหัวเราะชอบใจ
จมื่นศรีสรรักษ์มองตามเยื้อนไปอย่างกระหยิ่มยิ้มย่อง กลัวเมียก็กลัว แต่สนใจก็สนใจ

กลางคืนต่อเนื่องมา
บรรยากาศโรงรับชำเราดูคึกคัก มีคนมาเที่ยวมากมาย สนุกสนานเต็มที่
ยี่สุ่นเดินถือกับแกล้มมาให้ม่วงที่นั่งรออยู่ด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
" ถ้าอยากกินกระไรก็บอกนะจ๊ะพี่ม่วง ฉันจะไปเอาให้อีก"
" ไม่ต้องดอก ข้าก็ไม่ได้หิวกระไร" ยี่สุ่นจับมือสุ่น "อยากคุยกับเอ็งมากกว่า"
ยี่สุ่นยิ้มแย้มมีความสุข นั่งลงข้างๆม่วงแล้วรินเหล้า คอยเอาอกเอาใจ
ยี่สุ่นหยิบอาหารจะป้อนม่วง แต่ทันใดนั้นเอง กล้าก็ยื่นหน้าเข้ามากินอาหารจากมือยี่สุ่นไปหน้าตาเฉย
ม่วง และยี่สุ่นตกใจ คิดไม่ถึงว่าจะเจอกล้าที่นี่
ม่วงทั้งตกใจทั้งโมโห ตบโต๊ะเสียงดังลั่น
"อ้ายกล้า นี่เอ็งยังมีหน้ามาให้ข้าเห็นอีกรึ"
กล้ายิ้มกวนๆ
"แล้วเหตุใดข้าจะมาไม่ได้ เอ็งนึกว่าเอ็งเป็นใคร ข้าถึงต้องหลบหน้าเอ็งด้วย"
ม่วงโมโห
"อ้ายคนหนีคุก ก็ดี ข้าจะจับเอ็งส่งกรมเวียงเอง"
กล้าหัวเราะเยาะ พร้อมๆกับที่ลูกน้องพระยาพลเทพที่มากับกล้า เริ่มล้อมกรอบเข้ามา พร้อมอาวุธครบมือ
ม่วงหน้าเสีย รู้ว่าหลงกลเข้าแล้ว
กล้ายิ้มเยาะ "จัดการมัน"
พวกลูกน้องพากันชักดาบออกจากฝัก บุกเข้าใส่ม่วงทันที
ยี่สุ่นห่วงม่วง "พี่ม่วง"
ขณะนั้นเอง หมิ่นก็เข้าไปฉุดแขนยี่สุ่นให้ถอยห่างออกมา
"เอ็งมานี่ อีสุ่น"
ม่วงหลบดาบที่ฟันมาอย่างหวุดหวิด แล้วเตะสวน ก่อนจะใช้แม่ไม้มวยไทยสู้กับพวกลูกน้อง
พระยาพลเทพอย่างดุเดือด จนข้าวของระเนระนาด แขกเหรื่อหนีตายออกไปจนหมด ในขณะที่พวกโสเภณีก็กรีดร้องด้วยความหวาดกลัว หนีไปคนละทิศละทาง
ม่วงมีฝีมือไม่ใช่ย่อย แม้อีกฝ่ายจะมีอาวุธแต่ก็ทำอะไรม่วงไม่ได้ง่ายๆ เพียงแต่ฝ่ายตรงข้ามมีมากกว่า ม่วงเลยยังแหวกวงล้อมออกไปไม่ได้
กล้ามองตามม่วงด้วยความเกลียดชัง แต่ก็ยังไม่มีทีท่าว่าม่วงจะแพ้
กล้าเจ็บใจ ชักดาบออกมา เหมือนจะเข้าไปรุมอีกคน แต่แทนที่จะเข้าไป ทันใดนั้นเอง กล้าก็หันไปเอาดาบแทงใส่ยี่สุ่นทันที ท่ามกลางความตกใจของทุกคน
ยี่สุ่นโดนแทงโดยไม่คิดมาก่อน ไม่ทันได้ร้องซักคำ ได้แต่จ้องมองกล้าอย่างไม่อยากเชื่อ ก่อนจะค่อยๆทรุดร่วงลงกับพื้น
ม่วงตกใจสุดขีด "นังสุ่น"
ม่วงเสียสมาธิ เลยถูกฟันเข้าที่ต้นแขนจนบาดเจ็บ
พวกลูกน้องรีบเข้ามาซ้ำทันที ม่วงเลยต้องต่อสู้ก่อน ไม่มีเวลาเข้าไปดูยี่สุ่น
ออกญาหมิ่นเข้ามาพอดี ตกใจกับเหตุการณ์
"นี่เอ็งทำกระไรกัน อีสุ่นมันเป็นคนทำเงินทำทองให้ข้านาโว้ย เอ็งฆ่ามันทำไม"
กล้าตีหน้าตาย
"ข้าน่ะรึฆ่าอีสุ่น ตาฝาดแล้วออกญาหมิ่น อ้ายม่วงต่างหากที่ฆ่าอีสุ่น มีคนเห็นกันทั่ว" กล้ายกดาบขึ้นเพื่อขู่ "ใช่หรือไม่"
ออกญาหมิ่นกลัวตาย รีบละล่ำละลักพูดออกมา
"เอ่อ ใช่ ใช่จ้ะ อ้าย อ้ายม่วงฆ่าอีสุ่น"
กล้าหัวเราะลั่น รีบหันไปบอกพวกลูกน้อง
"ได้ยินหรือไม่วะ อ้ายม่วงมันฆ่าอีสุ่น พวกเอ็ง รีบจับมันไปส่งกรมเวียงเร็ว"
ม่วงแค้นสุดๆ นอกจากจะทำร้ายสุ่นแล้ว ยังใส่ความตนหน้าด้านๆอีก
พวกลูกน้องก็บุกมาไม่ยั้ง ม่วงเลยต้องกัดฟันประเคนหมัดเท้าเข่าศอกเข้าสู้ ก่อนจะได้โอกาส
ม่วงหยิบโต๊ะขึ้นมา แล้วใช้โต๊ะต่างโล่ ดันเข้าใส่พวกลูกน้องที่ดาหน้าเข้ามา
ม่วงดันพวกลูกน้องถอยร่นไป จนสบช่อง เลยรีบทิ้งโต๊ะแล้วหนีออกจากโรงรับชำเราทันที
กล้าตกใจ ไม่คิดว่าม่วงจะหนีไปได้
"ตามมันไปเร็ว"
กล้ารีบนำพวกลูกน้องไล่ตามม่วงไป
ในขณะที่หมิ่นรีบเข้าไปดูอาการสุ่นที่นอนสลบอยู่ ว่ายังพอมีทางช่วยได้หรือไม่

ทางด้านเยื้อนเดินถือถาดเปล่ามากับพวกทาสผู้หญิง
พวกทาสจะเดินเลี่ยงไปโรงครัว แต่เยื้อนกลับจะเดินไปทางท่าน้ำ
ทาส 1ถาม
"อ้าว เอ็งจะไปที่ใดวะ"
"ท่าน้ำ เหล้าเมื่อครู่แรงจริง แลข้าก็ไม่ได้ดื่มมาเสียนาน จึงอยากเอาน้ำลูบหน้าลูบตาให้สร่างเสียหน่อย"
"ตามใจ"
ทาสผู้หญิง 3-4 คนเดินเลี่ยงไปทางโรงครัว
เยื้อนเดินไปที่ท่าน้ำ แล้วนั่งพับเพียบลง ใช้ขันน้ำตักน้ำในคลองขึ้นมาลูบหน้า ลูบตัว
ทันใดนั้นเอง ขันทองในชุดรัดกุม ก็พุ่งขึ้นจากน้ำแล้วล็อกตัวพร้อมกับปิดปากเยื้อนไว้

เยื้อนตกใจสุดขีดที่เห็นขันทอง จะร้องก็ไม่ได้ จะขัดขืนก็ไม่ทัน เพราะขันทองดึงตัวเยื้อนลงน้ำพร้อมกับตนทันที
 
อ่านต่อตอนที่ 15


กำลังโหลดความคิดเห็น