หนึ่งด้าวฟ้าเดียว ตอนที่ 13
บทประพันธ์ : วรรณวรรธน์
บทโทรทัศน์ : เอกลิขิต
บ่ายวันหนึ่งที่ทิมมหาดเล็ก พระยากำแหงพยายามกลั้นหัวเราะเต็มที่ แต่ก็ยังหลุดออกมาเป็นช่วงๆ
หลวงศรีมะโนราช ขุนเทพชำนาญ และขุนเทพรักษา หน้าตาหงิกงอบึ้งตึง ที่ตนมายุแยง
พระยากำแหงแล้ว แต่พระยากำแหงกลับมาหัวเราะเยาะพวกตน
" ขออภัยเถิด ฉันไม่ได้เยาะพวกท่านดอกนะ แต่มันอดขำไม่ได้จริงๆ ขันทีอย่างออกพระศรีน่ะรึ ชอบพอกับแม่แมงเม่า"
แม้หลวงศรีมะโนราชจะไม่พอใจ แต่พยายามระงับอารมณ์
"ดีฉันรู้ ว่ายากที่จะเชื่อ แต่ข่าวที่ดีฉันได้ยินมา รับรองว่าไม่ผิดพลาดเป็นแน่ แลเรื่องเช่นนี้
กันไว้ย่อมดีกว่าแก้นะเจ้าคะ"
" คุณหลวง ฉันได้ยินมาเช่นกัน ว่าคุณหลวงหมายตาตำแหน่งหัวหน้าขันทีมานานแล้ว เพลาที่ออกพระราชาข่านสิ้น คุณหลวงก็ได้รับการคาดหมายว่าจะได้ขึ้นตำแหน่งนี้มากกว่าผู้ใดไม่ใช่รึ พูดตรงๆ อย่าดึงเอาฉันเข้าไปเกี่ยวข้องกับความขัดแย้งของพวกท่านเลย"
ขุนเทพชำนาญ และขุนเทพรักษาหน้าเสีย พระยากำแหงอ่านขาดจนไม่รู้จะพูดอะไรต่อ แต่ศรีมะโนราชขบกรามแน่น ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ
"ท่านเจ้าคุณจะคิดเช่นนี้ก็ไม่แปลกดอกเจ้าค่ะ แต่ไม่คิดบ้างหรือเจ้าคะ ว่าหากเป็นจริง จะมีข้ออันตรายต่อบ้านเมืองอย่างไร"
“ อันตรายต่อบ้านเมือง เกินไปกระมังคุณหลวง เรื่องเพียงเท่านี้ จะเกี่ยวข้องอันใดกับบ้านเมืองได้”
“อย่าประมาทไปเจ้าค่ะ ด้วยขันทีที่ชอบพอผู้หญิงนั้นพิกลนัก ดีฉันหวั่นใจ ว่าอาจจะไม่ใช่ขันทีจริงก็เป็นได้”
พระยากำแหงมีสีหน้างุนงง
หลวงศรีมะโนราชหันไปมองขุนทั้งสองให้ช่วยตนพูด
ขุนเทพชำนาญปั้นหน้า
“ท่านเจ้าคุณอาจจะไม่ทราบ ขันทีอย่างพวกเรา เมื่อสิ้นความเป็นชายแล้ว โดยมาก ก็ไม่ไยดีเรื่อง
กามารมณ์อีก แลถึงมี ก็ชอบพอผู้ชายมากกว่า คุณหลวงจึงสงสัยด้วยเหตุนี้”
ขุนเทพรักษารีบเสริม
“คราก่อน ก็มีคนปลอมเป็นขันทีเข้ามาในวัง ถ้ามีอีกจะแปลกกระไรเล่าเจ้าคะ ยิ่งเพลานี้มีศึกสงคราม จารบุรุษที่เข้ามาสืบข่าวคราว เป็นสิ่งที่ประมาทไม่ได้นะเจ้าคะ”
พระยากำแหงมีสีหน้าครุ่นคิด ไม่ปักใจอะไร แต่ก็ไม่ตอบโต้ เพราะคำพูดของพวกศรีมะโนราชก็ไม่ใช่จะไร้สาระซะทีเดียว
ขันทีทั้งสามเดินคุยกันมา
ขุนเทพรักษาแปลกใจมาก
“คุณหลวงรู้ได้อย่างไรเจ้าคะ ว่าอ้ายศรีขันทินไม่ใช่ขันทีจริง เรื่องนี้คอขาดบาดตายนัก ไม่น่าจะรู้ได้ง่ายๆเลยนะเจ้าคะ”
หลวงศรีมะโนราชยิ้มขำ
“เจ้านี่ก็ซื่อนัก อ้ายศรีขันทินมีหนังสือรับรองจากเมืองโต้ระกี่ แลผ่านการตรวจตราจากพระราชาข่านแล้ว คราที่ออกญาวังตรวจความเป็นชาย ก็มีเครื่องเพศของมันมายืนยัน จะไม่ใช่ขันทีได้อย่างไร”
ขุนเทพรักษางงเป็นไก่ตาแตก “อ้าว”
“ คุณหลวง เพียงแต่หาเรื่องใส่ร้ายเท่านั้น ในเมื่อยุยงให้ออกญาวังหึงหวงไม่ได้ ก็ต้องยุว่ามันเป็นจารบุรุษอย่างไรเล่า”
“แล้วออกญาวังจะเชื่อหรือเจ้าคะ”
หลวงศรีมะโนราชยิ้มเจ้าเล่ห์
“คราแรกไม่เชื่อ แต่ถ้าหลายคราเข้าก็ไม่แน่ดอก หินแกร่งเพียงใด โดนน้ำหยดทุกวันยังกร่อนได้ อย่าว่าแต่หัวใจคนเลย”
ขุนเทพรักษาคิดตาม แล้วก็ยิ้มดีใจ
หลวงศรีมะโนราชยิ้มร้ายๆ กะหาเรื่องขันทองไม่ยอมเลิก
บรรยากาศริมแม่น้ำยามเย็น กระทงที่ลอยมาตามน้ำตั้งแต่เมื่อคืนจำนวนมาก เริ่มมากองรวมกันอยู่ที่ปากแม่น้ำ
ผู้ชายแต่งตัวแบบชาวบ้าน 3-4 คน ตามกระทงมาจากเมื่อคืน รอจังหวะเก็บไม่ให้เป็นที่ผิดสังเกต ก่อนที่ผู้ชายคนหนึ่ง จะเก็บกระทงใบใหญ่ สวยงามประณีตของเจ้าจอมเพ็ญขึ้นมา
ชาย 1หยิบกระทงขึ้นมาดู ก่อนจะเอาไปให้หัวหน้าของตนดู
“ใช่กระทงนี้หรือไม่”
ชาย 2 รับกระทงมาดู
“งดงาม แปลกตากว่ากระทงอื่นตามที่ได้แจ้งมา ก็น่าจะใช่อยู่”
ชาย 2 เริ่มดึงใบไม้ ดอกไม้ที่ประดับกระทงออก จนพบว่าในกระทงถูกเจาะเป็นช่องเล็กๆซ่อนอยู่ในใบไม้ดอกไม้ที่ประดับกระทง
ชาย 2 ล้วงนิ้วเข้าไปในช่อง ก่อนจะดึงเอากลักเล็กๆออกมาดู
กลักมีสัญลักษณ์รูปผีเสื้อติดอยู่ เหมือนกลักที่แมงเม่าได้ไปไม่มีผิด
ชาย 2ยิ้มดีใจ “ รีบเอาไปให้ท่านแม่ทัพกันเถิด”
ที่แท้คนกลุ่มนี้คือ สายลับจากอังวะ
ชาย 2 โยนกระทงทิ้งอย่างไม่ใยดีแล้วเดินจากไปพร้อมกับพวกของตน
ท้องฟ้ายามค่ำคืนเหนือเรือนพระยาพลเทพ
กล้ากำลังนั่งคุกเข่าพนมมือต่อหน้าพระยาพลเทพ โดยกล้าหน้าจ๋อยๆ ผมยุ่ง
เสื้อผ้าสกปรกมอมแมมไปทั้งตัว
ในขณะที่จมื่นศรีสรรักษ์ ขุนแผลงฤทธิ์ นั่งอยู่บนตั่งใกล้ๆ
จมื่นศรีสรรักษ์อ่อนใจ
“อ้ายกล้ามันหนีกรมเวียงไปซ่อนในป่าช้า ตอนที่กระผมไปเจอมันกำลังแย่งข้าวหมากินอยู่ สารรูปอุบาทว์นัก นี่ก็ให้มันเช็ดหน้าเช็ดตาแล้ว พอจะเป็นผู้เป็นคนขึ้นมาหน่อย จึงพามาพบท่านเจ้าคุณนี่ล่ะขอรับ”
พระยาพลเทพยิ้มขำๆ ชี้หน้ากล้า
“เข็ดหรือยังเล่าอ้ายบ้าตัณหา นี่ถ้าไม่เห็นว่าหัวพันพ่อเอ็งรับใช้ข้ามานานปี แลมีเอ็งเป็นลูกชายคนเดียว ข้าปล่อยให้เอ็งอยู่กับหมาไปแล้ว”
กล้าก้มลงกราบ
“เป็นพระคุณเหลือเกินขอรับท่านเจ้าคุณ กระผมสาบานว่า จะรับใช้ท่านเจ้าคุณไปจนกว่าชีวิตจะหาไม่ แต่ขอท่านเจ้าคุณ ได้โปรดช่วยพ่อกระผมอีกสักคนเถิดขอรับ”
“ช่วยพ่อเอ็งนั้นเป็นเรื่องเล็กน้อย ด้วยเพลานี้มีการเปลี่ยนกฎบัตรกฎหมาย ให้ใช้การปรับแลยึดทรัพย์แทนการลงโทษได้ พ่อเอ็งก็เพียงแต่เสียเงินทองเป็นค่าปรับ เท่านี้ก็พ้นผิดแล้ว”
กล้ายิ้มดีใจ
“แต่โทษเอ็งนั้นหนักหนากว่า ด้วยทำร้ายขุนนางผู้ใหญ่ แลเอ็งก็หาได้มีทรัพย์สมบัติเหมือนพ่อเอ็งให้ปรับไม่ ฉะนั้น เอ็งอยู่รับใช้ท่านเจ้าคุณที่นี่ อย่าออกไปเพ่นพ่านก็แล้วกัน”
“ขอรับ”
จมื่นศรีสรรักษ์ถอนใจเฮือกใหญ่
“วุ่นวายกันไปหมด เพราะความโง่เง่าของเอ็งแท้ๆ อ้ายกล้า ข้าบอกแล้ว ว่าสักวันเอ็งต้องตายเพราะ ผู้หญิง ผิดปากข้าหรือไม่เล่า”
กล้าจ๋อยสุดๆ
“พุทโธ่ คุณพระนายขอรับ อันที่จริง เรื่องจะไม่เป็นเช่นนี้เลย แลอ้ายออกญาวังก็คงเป็นผีเฝ้าทางไปแล้ว ถ้าอ้ายขันทีนั่นมันไม่เข้ามาขวาง”
จมื่นศรีสรรักษ์แปลกใจ “ขันทีรึ”
“ขอรับ กระผมได้ยินนังแมงเม่าเรียกว่า “ออกพระศรี” ดูการแต่งกายแล้ว เป็นขันทีในราชสำนักเป็นแน่ขอรับ”
ขุนแผลงฤทธิ์เบะปากดูถูก
“คุณพระศรีขันทินน่ะรึ หน้าตาราวกับตุ๊กตาฝาหรั่ง จะมีปัญญากระไรเล่นงานเอ็งกับลูกน้อง เอ็งจะแก้ตัว ก็หากระไรที่มันเข้าท่ากว่านี้หน่อยเถิด”
“กระผมพูดจริงนะขอรับท่านขุน” กล้ายกมือไหว้ท่วมหัว “สาบานให้ตายดับลงไปประเดี๋ยวนี้ก็ได้ขอรับ เป็นฝีมืออ้ายขันทีนี่จริงๆ”
พระยาพลเทพคิดตาม
“ถ้าเป็นจริงอย่างที่อ้ายกล้าพูด ก็นับว่าพิกลอยู่ พวกขันทีไม่น่ามีฝีมือในเชิงต่อสู้เช่นนี้ได้ ฉันไม่ชอบอยู่อย่างหวาดระแวง เห็นที ต้องพิสูจน์ให้รู้แน่ ถึงจะข่มตาหลับลงได้”
“ พิสูจน์อย่างไรหรือขอรับ”
พระยาพลเทพ กำลังใช้ความคิดว่าจะเอาไงดี
พระยากำแหงกำลังตกใจ นึกไม่ถึง
“ออกพระศรีอีกแล้วหรือขอรับ”
พระยากำแหงกำลังคุยกับพระยาพลเทพ จมื่นศรีสรรักษ์ และขุนแผลงฤทธิ์ ที่มุมหนึ่งภายในวัง
“ อีกแล้ว หมายความว่าอย่างไรหรือท่านเจ้าคุณ”
“เมื่อวาน เพิ่งมีคนสงสัยว่าออกพระศรีเป็นจารบุรุษปลอมตัวมา มาวันนี้ ท่านเจ้าคุณก็สงสัยเรื่องเดียวกันอีก นับว่าแปลกแท้”
จมื่นศรีสรรักษ์ และขุนแผลงฤทธิ์ หันไปสบตากัน นับว่าได้ช่องโดยบังเอิญ
“เรื่องนี้ชักยังไงอยู่ กระผมว่าท่านเจ้าคุณไม่ควรปล่อยผ่านนะขอรับ”
“แต่ฉันเคยตรวจดูแล้ว แต่ครั้งที่ออกพระราชาข่านยังอยู่ ออกพระศรีมีเครื่องเพศมายืนยันว่าผ่านการตอนแล้ว ไม่น่ามีกระไรต้องสงสัยอีกนา”
ขุนแผลงฤทธิ์บอก
“เห็นแต่เครื่องเพศ แสดงว่ายังไม่เห็นกับตาว่าตอนจริงหรือไม่ แล้วจะไว้ใจได้หรือขอรับ เพลานี้ มีศึกสงคราม แม้เป็นเรื่องเล็กน้อยก็ไม่ควรประมาทนะขอรับ”
พระยาพลเทพได้ช่องหักคอทันที
“ขุนแผลงฤทธิ์พูดถูกแล้ว ในฐานะที่ฉันได้สิทธิขาดให้ดูแลทุกอย่างในช่วงที่บ้านเมืองมีศึก ฉันขอสั่งให้ท่านเจ้าคุณสืบความเรื่องนี้มาให้จงได้”
พระยากำแหงหน้าเสีย
“แต่เพลานี้คุณพระศรีหาใช่ขันทีชั้นผู้น้อย ที่กระผมจะบังคับเอาโดยอำนาจได้ ถ้าผิดพลาดกระไรไป จะกระเทือนขวัญแลกำลังใจของฝ่ายในได้นะขอรับ”
จมื่นศรีสรรักษ์ยิ้มเจ้าเล่ห์
“ถ้าเช่นนั้น กระผมมีแผน ที่จะพิสูจน์ความเป็นชายของออกพระศรี โดยที่ไม่มีผู้ใดรู้เห็นขอรับ”
พระยากำแหงมองจมื่นศรีสรรักษ์ด้วยความสงสัย ว่าแผนอะไรแน่
7-8 วันต่อมา สายวันหนึ่ง
เลื่อนนำเหล่าข้าหลวงยกสำรับอาหารอย่างดี พร้อมด้วยเหล้าอย่างดีมาให้ ขันทอง พระยากำแหง
จมื่นศรีสรรักษ์ ขุนแผลงฤทธิ์ และขุนนางคนอื่นๆ ที่ล้วนมากินเลี้ยงกันด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส
โดยเจ้าจอมเพ็ญเป็นคนเลี้ยงดูทุกคนเต็มที่
(เดือนอ้ายคือเดือนธันวาคม ถือว่าเป็นปีใหม่ของคนไทย แต่ชาววังนับวันสงกรานต์เป็นวันขึ้นปีใหม่ ดังนั้น สมัยก่อนคนไทยมีปีใหม่สองวัน คือปีใหม่เดือนอ้ายสำหรับคนธรรมดา และปีใหม่เดือนห้า (เมษายน) สำหรับชาววังและชนชั้นสูง)
เจ้าจอมเพ็ญยิ้มแย้ม
“วันนี้เป็นวันเริ่มต้นเดือนอ้ายของปี แม้จะไม่ใช่วันปีใหม่ของชาววังเรา แต่ชาวบ้านร้านตลาดก็ถือเป็นวันเริ่มต้นปี ฉันจึงอยากจะเลี้ยงให้ทุกท่านอิ่มหนำสำราญ หลังจากที่รับราชการด้วยความเหน็ด
เหนื่อยมาทั้งปี”
“พวกเราถวายรับใช้ด้วยความจงรักภักดี เหน็ดเหนื่อยเพียงเท่านี้ เรื่องเล็กน้อยนักขอรับ” ขุนแผลงฤทธิ์ว่า
“ขอบน้ำใจนัก ถ้าเช่นนั้น ก็ขอเชิญทุกท่านดื่มกินกันให้เต็มที่เถิด”
เจ้าจอมเพ็ญกวาดตามองทุกคนอย่างยิ้มแย้ม
เจ้าจอมเพ็ญลุกขึ้นเดินเข้าข้างในไป โดยมีจมื่นศรีสรรักษ์กับข้าหลวงจำนวนหนึ่งเดินตามไป
เลื่อนรีบเข้าไปรินเหล้าให้ขันทอง
“เชิญเจ้าค่ะออกพระศรี”
“ขอบน้ำใจนักแม่เลื่อน” ขันทองจิบเหล้าเล็กน้อย
พวกข้าหลวงคนอื่นๆก็พากันรินเหล้าให้พวกขุนนาง แต่ละคนพูดคุยกันยิ้มแย้มแจ่มใส ครึกครื้นเต็มที่
เจ้าจอมเพ็ญเดินคุยมากับจมื่นศรีสรรักษ์ โดยมีข้าหลวงเดินตามหลังมา
“ที่พี่ยอมทำจัดงานเลี้ยงครานี้ให้ ก็เพราะคุณพระนายมาขอดอกนะ แต่อย่าพิเรนทร์ให้มันมากนักเล่า นึกถึงหน้าพี่บ้าง”
“คุณพี่อย่ากังวลไปเลย กระผมทำเพื่อคลายสงสัยเท่านั้น รับรองว่าไม่ให้เสื่อมเสียมาถึงคุณพี่เป็นอันขาด”
“ลำพังคุณพระนาย คงไม่สงสัยเท่าใดดอกกระมัง น่าจะเป็นท่านเจ้าคุณพลเทพมากกว่า นิสัยขี้ระแวงเช่นนี้ จะกี่ปี ก็ไม่เคยหายเลยจริงๆ พลอยทำให้พี่ต้องวุ่นวายไปด้วย”
เจ้าจอมเพ็ญเดินเซ็งๆเลี่ยงไป
จมื่นศรีสรรักษ์มองตาม แล้วยิ้มเจ้าเล่ห์กับแผนของตน
เลื่อนกับพวกข้าหลวงกำลังรินเหล้า และยกอาหารสำรับใหม่มาให้ พวกขุนนางเริ่มเมาก็เริ่มส่งเสียงดัง พูดคุยกันสนุกสนานกว่าเดิม
ขันทองกำลังดื่มเหล้า โดยมีพระยากำแหงกับขุนแผลงฤทธิ์คะยั้นคะยออยู่
ขันทองดื่มจนหมดจอก หน้าตาเหยเก เพราะตนบวชเณรมานาน เรื่องเหล้าถือเป็นจุดอ่อน คอไม่แข็ง
ขุนแผลงฤทธิ์รินเหล้าให้อีก “ มันต้องอย่างนี้ซีขอรับ มา ดื่มอีกจอกนะขอรับ ออกพระ”
ขันทองหน้าเหยเก “ดีฉันไม่ไหวแล้วท่านขุน เดิมที ก็ไม่สันทัดในทางสุราอยู่แล้ว ขืนดื่มอีกต้องเมาเป็นแน่”
“อีกจอกสองจอก ไม่เมาดอกขอรับ แลคนที่กระผมรินเหล้าให้ด้วยตัวเอง มีเพียงไม่กี่คน ออกพระอย่าทำให้กระผมผิดหวังซีขอรับ”
พระยากำแหงบอก
“ท่านขุนแผลงฤทธิ์กล่าวเช่นนี้ ก็ดื่มเสียหน่อยเถิดคุณพระ ถือเสียว่าให้เกียรติกัน”
ขันทองเห็นพระยากำแหงเอาด้วยก็ไม่มีทางเลือก เลยดื่มเหล้าอีกด้วยสีหน้าเหยเก
ขุนแผลงฤทธิ์ และพระยากำแหงหันไปสบตากัน เป็นไปตามแผนที่จะมอมเหล้าขันทองทุกอย่าง
ขันทองดื่มเหล้าจนหมดจอก
พระยากำแหงก็รีบรินต่อให้ทันที ไม่ยอมให้ขาดช่วงแม้แต่น้อย
ทางด้านตำหนักกรมขุนวิมลภักดี
แมงเม่ากำลังคุกเข่าเอากระดาษอย่างดีจำนวนหนึ่งใส่พานถวายกรมขุนวิมล โดยมีอำพันนั่งอยู่บนตั่ง และมีคุณท้าวโสภา เป้า นั่งพับเพียบอยู่ใกล้ๆแมงเม่า
แมงเม่ายิ้มแย้ม
“ไม้ดีจากทางเหนือ เพลานี้หาไม่ได้แล้ว กระดาษชุดนี้จึงน่าจะเป็นชุดสุดท้ายจนกว่าจะเสร็จศึก พ่อท่านจึงให้นำมาถวายเสด็จ เนื่องในวันปีใหม่เพคะ”
กรมขุนวิมลภักดีรับกระดาษมาดู
“กระดาษอย่างดีเลยเทียว ฝากขอบน้ำใจพ่อเจ้าด้วย”
เจ้าจอมอำพันยิ้มแย้ม
“แต่เดือนอ้าย เป็นปีใหม่ของชาวบ้าน ปีใหม่ของชาววังเราต้องวันสงกรานต์เดือนห้า พ่อเจ้า เอามาให้ผิดเดือนแล้ว”
“จะปีใหม่ชาวบ้านหรือปีใหม่ชาววัง ก็ถือว่าเป็นวันดีทั้งนั้นล่ะแม่อำพัน เออ แต่วันดีเช่นนี้ ก็น่าจะมีสินน้ำใจเล็กๆน้อยๆให้คนที่เค้าทำงานรับใช้เราบ้างนะ”
“ หม่อมฉันจัดการให้แล้วเพคะ เหลือแต่ออกพระศรีเท่านั้นที่ยังไม่ได้ เพราะโดนฉกตัวไปเสียก่อน” คุณท้าวโสภาพูดพลางทิ้งค้อน
กรมขุนวิมลภักดีทำหน้างงๆ ว่าฉกตัวอะไรกัน
“แม่เพ็ญจัดเลี้ยงพวกขุนนางเพคะ ออกพระศรีก็ถูกเชิญตัวไปด้วย เรื่องร้อยคนไว้ใช้ไวนัก” เจ้าจอมอำพันเบะปากหมั่นไส้พูดเสริม
“อย่าไปค่อนขอดแม่เพ็ญเค้าเลย เรื่องเล็กน้อยเท่านี้เอง” กรมขุนวิมลภักดีคิดทบทวน “แต่ออกพระศรีไม่ได้ของอยู่คนเดียวก็ดูไม่ดี .... เจ้าแมงเม่า เอาของกำนัลจากคุณท้าวโสภา ไปให้ออกพระศรีหน่อยซี”
แมงเม่าอึกๆอักๆ ตั้งแต่ถูกหอมแก้มคราวที่แล้วก็สับสนมาตลอด
“ ว่าอย่างไรเจ้าแมงเม่า ไปไม่ได้รึ”
“ มิได้เพคะ ... แม่เป้า ไปเป็นเพื่อนฉันหน่อยนะ”
เป้างงๆกับท่าทางแมงเม่าเหมือนกัน “ได้ซีจ๊ะ ใกล้ๆแค่นี้เอง”
แมงเม่าทั้งกระอักกระอ่วน ทั้งเขินอาย แต่ก็บอกใครไม่ได้
พระยากำแหง กับขุนแผลงฤทธิ์ ประคองขันทองที่เมาหนักขึ้นมาบนเรือน โดยมีจมื่นศรีสรรักษ์
ตามมาด้วย
เยื้อน กับแม้น ได้ยินเสียงเอะอะก็รีบเดินออกมาจากข้างใน พอเห็นขันทองเมาเละเทะมาก็ตกใจ
แม้นตกใจ “ว๊าย คุณพระช่วย เหตุใดคุณพระศรีเป็นอย่างนี้เล่าเจ้าคะ”
“ก็เมาน่ะสิวะ อีทาสเอ๊ย แค่นี้ดูไม่ออกรึ” จมื่นศรีสรรักษ์บอก
“ แล้วเมาได้อย่างไรเจ้าคะ ร้อยวันพันปี บ่าวไม่เคยเห็นคุณพระกินเหล้าเมายาแม้แต่น้อย” เยื้อนว่า
ขุนแผลงฤทธิ์ตะคอก
“มันใช่เรื่องขี้ข้าอย่างพวกเอ็งจะมาซักไซ้รึ ไป รีบไปต้มหยูกยาแก้เมามาให้นายเอ็งซีวะ”
“ประเดี๋ยวบ่าวประคองคุณพระเข้าไปพักข้างในก่อนนะเจ้าคะ” เยื้อนว่า
“ ไม่ต้อง พวกข้าทำกันเองได้ สั่งกระไรก็ทำไปตามนั้นเถิดน่ะ” จมื่นศรีสรรักษ์
เยื้อนเซ็งๆ “เจ้าค่ะ”
เยื้อน และแม้น รีบเดินลงจากเรือนไปทำตามคำสั่ง
ขุนแผลงฤทธิ์มองตามจนแน่ใจว่าทั้งคู่ลงจากเรือนไปไกลแล้ว ก็ปล่อยขันทองให้พระยากำแหงประคองอยู่คนเดียว
พระยากำแหงตกใจ “อ้าว ทำไมมาทิ้งกันเช่นนี้เล่า ไม่ช่วยแบกเข้าไปข้างในก่อนรึท่านขุน”
“ กระผมจะไปคุมนังพวกนั้นไม่ให้ขึ้นมาวุ่นวายบนเรือน เชิญท่านเจ้าคุณตรวจสอบความเป็นชายให้เรียบร้อยเถิดขอรับ” ขุนแผลงฤทธิ์บอก
ขุนแผลงฤทธิ์เดินลงจากเรือนไปด้วยความหงุดหงิด ไม่พอใจที่ต้องมาทำงานแบบนี้
พระยากำแหงหันมามองหน้าจมื่นศรีสรรักษ์
จมื่นศรีสรรักษ์ยิ้มแหยๆ
“ถ้าเป็นเรื่องอื่น กระผมจะเต็มใจช่วยท่านเจ้าคุณอย่างยิ่งขอรับ แต่สิ่งไม่พึงมองเช่นนี้ กระผมขอไปช่วยท่านขุนแผลงฤทธิ์ คุมอีบ่าวสองคนนั่นแทนดีกว่าขอรับ”
จมื่นศรีสรรักษ์รีบหลบเลี่ยงไปอีกคน
พระยากำแหงมองตามด้วยความเบื่อหน่าย ขณะนั้นเอง ขันทองก็ทำท่าผะอืดผะอมจะอ้วก
พระยากำแหงตกใจ รีบประคองขันทองไปโก่งคออ้วกที่หน้ามุข พร้อมกับลูบหลังไปด้วย
พระยากำแหงสีหน้าเหยเก แต่ก็ต้องลูบหลังขันทองอย่างลำบากลำบน
แมงเม่าเดินถือพานใส่ของชำร่วยอันเล็กๆที่ห่อไว้ในผ้าสีทอง ซึ่งเป็นของขวัญเล็กๆน้อยๆที่คุณท้าวโสภาให้เป็นของขวัญวันปีใหม่พวกขุนนาง แต่ให้ในนาม “กรมขุนวิมลภักดี” เลยต้องใส่พานถือมา
แมงเม่าพร้อมกับคุยกับเป้าไปด้วย เป้า ช่างพูดช่างคุย
“เห็นอย่างนี้ มีคนชื่นชอบออกพระศรีอยู่มากเทียวนา ก็ออกพระรูปงาม กิริยาวาจาก็น่าดู แลนักเทศขันทีได้เบี้ยหวัดมากนัก จะมีผู้ใดไม่ชอบเล่าจ๊ะ”
แมงเม่าหน้าหงิกงอ หึงหวงเล็กๆขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
“เออ แล้วเหตุใด จู่ๆแม่แมงเม่าถึงถามเรื่องออกพระศรีขึ้นมาเล่าจ๊ะ”
แมงเม่าหน้าเสีย ก่อนจะรีบแก้ตัว
“ไม่มีกระไร ฉันเพียงแต่ชวนคุยไปอย่างนั้นเอง” แล้วเลียบๆเคียงๆอีก “เอ่อ แต่ออกพระศรีเป็นขันที พวกข้าหลวงที่มาชื่นชอบ ก็คงชอบอย่างเพื่อนกระมังจ๊ะ”
“ถ้าเป็นฉันก็คงใช่จ้ะ แต่คนอื่นก็ไม่แน่ พูดแล้วเหยียบไว้นาแม่แมงเม่า ในวัง มีพวกชอบเล่นเพื่อนอยู่ไม่น้อย หากจะมีคนคิดผิดเพศชอบขันทีขึ้นมาจริงๆ จะแปลกกระไรเล่า”
แมงเม่าหน้าเสีย พูดกับตัวเองเบาๆ “ผิดเพศ หรือว่าเรา...”
เป้าได้ยินแว่วๆ “มีกระไรหรือจ๊ะแม่แมงเม่า”
แมงเม่ารีบฉีกยิ้มกลบเกลื่อน “ไม่มี ไม่มีจ้า”
แมงเม่าเบือนหน้าไปหุบยิ้ม หน้าเสีย ชักกลัวว่าตนจะชอบขันทองแล้วกลายเป็นคนผิดปกติขึ้นมา
รึเปล่า
พระยากำแหงประคองขันทองที่เมาหนักเข้าห้องมา ไม่ทันได้ปิดประตูห้องสนิท เพราะไม่มีคนช่วยประคองขันทอง
ขันทองเมามาก “ทำกระไรกัน ข้าไม่เมา”
“คออ่อนอย่างนี้ ยังมีหน้าบอกไม่เมาอีก”
พระยากำแหงประคองขันทองมานอนที่เตียง
พระยากำแหงถอนใจเฮือกใหญ่ มองขันทองที่นอนนิ่งอยู่บนเตียง
“ อโหสิให้ฉันเถิดออกพระศรี”
พระยากำแหงเข้าไปถอดผ้าคาดเอวขันทอง เพื่อจะถอดกางเกงขันทองออก
แต่ทันใดนั้น ขันทองก็จับมือพระยากำแหงไว้ พระยากำแหงตกใจสะดุ้งเฮือก คิดว่าขันทองรู้ตัว
ขันทองมึนเมา เสียงดุ
“เจ้าจะทำกระไร”
กำแหงหน้าเสีย อึกๆอักๆ “เอ่อ คือฉัน”
ขันทองเมามากจนไม่ได้สติ
“คิดจะขโมยของรึ ไม่กลัวบาปกลัวกรรมเสียบ้างเลย ของพระเถรเณรชียังไม่เว้น บาปกรรมนัก” !!?
พระยากำแหงถอนใจอย่างโล่งอก เพราะขันทองพูดเพ้อไม่รู้เรื่อง
“เมาแล้วยังละเมออีก”
พระยากำแหงจะแก้กางเกงอีก แต่ขันทองก็ดึงไว้ไม่ยอมให้ถอดกางเกง
“ พูดไม่รู้ฟัง ยังจะขโมยจีวรข้าอีกรึ”
“ จีวงจีวรกระไรเล่า ฉันขอดูนิดเดียวให้หายข้องใจเท่านั้นล่ะน่ะออกพระ”
ทั้งคู่ยื้อยุดฉุดกระชากกันอยู่ แม้ขันทองจะเมามากแต่ก็ถอดกางเกงไม่ได้ง่ายๆ เพราะเขากึ่งฝันกึ่งละเมอตื่นว่า มีโจรกำลังจะมาขโมยถอดจีวรตน
แมงเม่า และเป้า เดินขึ้นมาบนเรือน โดยแมงเม่าถือพานใส่ของขวัญมาด้วย
แมงเม่ามองไปรอบๆ “ทำไมบนเรือนเงียบนักเล่า หรือออกพระศรีจะยังไม่กลับมา”
“ไม่ดอก ฉันถามแม่พวงดูแล้ว ออกพระศรีกลับมาก่อนทุกคนเสียอีก คงจะอยู่ข้างในกระมัง ลองเดินหาดูเถิด”
แมงเม่า และเป้าเดินเข้าไปข้างใน แยกกันหาขันทอง
แมงเม่าที่เดินถือพานใส่ของขวัญมาทางหน้าห้องนอนขันทอง พร้อมกับมองหาไปรอบๆ
ขณะนั้นเอง แมงเม่าก็ได้ยินเสียงพระยากำแหงดังออกมาจากห้องพักขันทอง
“ อยู่นิ่งๆ บ้างซีคุณพระ ทำอย่างนี้แล้วเมื่อใดฉันจะถอดได้เสียที”
แมงเม่าชักงงๆเลยเดินตามเสียงไปชะโงกมองเข้าไปในห้องนอนขันทอง แล้วก็ต้องตกใจสุดตัว
เห็นพระยากำแหงขึ้นคร่อมทับขาสองข้างของขันทองเอาไว้ ใช้มือทั้งสองของตนกดแขนทั้งสองข้างของขันทองไว้กับเตียงไม่ให้ดิ้นขัดขืน
“ แรงเยอะนัก แล้วจะเอามือที่ไหนมาถอดได้วะ”
แมงเม่าช็อกสุดๆ กับภาพที่เห็น จนเผลอทำพานใส่ของขวัญตกลงบนพื้น
พระยากำแหงหันไปมองตามเสียง ตกใจสุดๆ “แม่แมงเม่า”
จังหวะที่พระยากำแพงตกใจไม่ได้ลงแรงกด ขันทองกระชากมือทั้งสองออก จนพระยากำแพงเสียหลัก ล้มทับขันทองลงไปพอดิบพอดี ยังโชคดีที่พระยากำแพงเบี่ยงหน้าหลบได้ทัน ไม่เช่นนั้นจะกลายเป็นจุตพิตโชว์แม่เป้าที่เดินเข้ามาตามเสียงอีกคน
“ มีกระไรหรือแม่แมงเม่า” เมื่อหันไปมองตามสายตาแมงเม่า ตกใจสุดขีด “ออกญาวัง ออกพระศรี!”
เป้ารีบเอามือปิดตาตัวเอง แล้วมืออีกข้างปิดตาแมงเม่า แต่แมงเม่าถ่างนิ้วเป้าออก ให้เห็นเหตุการณ์นิดนึงก็ยังดี
พระยากำแหงรีบลุกขึ้น ลงจากเตียงทันที
“ไม่ใช่นะ ไม่ได้เป็นอย่างที่เจ้าเห็น”
เป้าดึงมือแมงเม่าพาวิ่งหนีออกไปจากห้องทันทีอย่างอับอาย ไม่กล้ามอง
พระยากำแหงตกใจมากกลัวโดนเข้าใจผิด
“ประเดี๋ยวก่อน อย่าเพิ่งไป ฟังฉันก่อน”
“แม่แมงเม่า รอฉันก่อน”
ออกญษวังรีบตามแมงเม่าออกไปอย่างร้อนใจ
ขันทองนอนหลับอมยิ้มอยู่บนเตียง โดยไม่รู้เรื่องอะไรเลย
ตอนเย็น พระยาพลเทพกำลังฟังรายงานจากจมื่นศรีสรรักษ์ และขุนแผลงฤทธิ์ด้วยความหงุดหงิด โดยมีเจ้าจอมเพ็ญนอนอยู่บนตั่งด้วยท่าทางเซ็งๆ
“ เรื่องแค่นี้ ก็ยังสู้อุตส่าห์พลาดได้อีก มิรู้ว่าฉันดวงตก หรือคนที่ฉันใช้ไปทำงาน มันไม่ได้เรื่องได้ราวกันแน่”
จมื่นศรีสรรักษ์บอก
“จะโทษพวกกระผมทั้งหมดก็ไม่ถูกนะขอรับ ถ้าจะโทษ ก็ต้องโทษที่ออกญาวังมัวแต่พิรี้พิไรต่างหาก ไม่เช่นนั้น ก็คงรู้ความจริงกันไปแล้ว”
เจ้าจอมเพ็ญบอก
“รู้แล้วจะได้กระไรขึ้นมา ต่อให้คุณพระศรีเป็นจารบุรุษจริง อย่างมากก็เอาไปตัดหัว พี่ยังไม่รู้ว่าจะเป็นประโยชน์ต่อเราในที่ใดเลย”
“ จะไม่เป็นได้อย่างไรขอรับ ถ้ามันเป็นจารบุรุษจริง ก็ไม่รู้ว่าสืบได้ความลับกระไรไปบ้าง แลที่เราผิดพลาดบ่อยครั้งในระยะหลัง ก็ไม่แน่ ว่าอาจจะเป็นฝีมือมันก็เป็นได้”
“ท่านเจ้าคุณระแวงเกินไป นิสัยขี้ระแวงอย่างนี้ เป็นมาแต่รู้จักกัน จนป่านฉะนี้ก็ยังแก้ไม่หาย ใครอยู่ใกล้ด้วย ก็เหนื่อยกันไปหมด” เจ้าจอมเพ็ญพูดพลางถอนใจ
พระยาพลเทพพยายามระงับอารมณ์ไม่เถียงด้วย
“เอาเถิด เรื่องนี้เก็บไว้ก่อนก็ได้” แล้วหันไปพูดกับขุนแผลงฤทธิ์ “เรื่องกลัก ว่าอย่างไรบ้าง นี่ก็ผ่านมาพอควรแล้ว นังลูกเศรษฐีโรงกระดาษน่าจะตายใจ พอที่เราจะชิงกลักกลับมาได้”
“อ้ายกล้ามันเสนอแผนมาแผนหนึ่งขอรับ มันบอกว่า นังแมงเม่ากับพี่ชายมันสนิทสนมกันมาก ไม่ว่าเรื่องใด ล้วนพูดคุยปรึกษาหารือกันเสมอ ไม่แน่ ว่าอ้ายม่วงอาจรู้เรื่องนี้ก็เป็นได้” ขุนแผลงฤทธิ์ว่า
“สืบจากพี่ชายมันรึ ก็เข้าทีดี แล้วจะสืบอย่างไร”
“อ้ายม่วงมันติดพันอีสุ่น หญิงที่โรงรับชำเราของออกญาหมิ่นขอรับ เราอาจจะใช้อีสุ่นให้เป็นคุณแก่เราได้” จมื่นศรีสรรักษ์บอก
เจ้าจอมเพ็ญยิ้มพอใจ
“บังเอิญแท้ อ้ายหมิ่นก็เป็นคนของเรา คงจัดการไม่ยากกระมังท่านเจ้าคุณ”
พระยาพลเทพคิดตาม แล้วพยักหน้ารับ พร้อมกับยิ้มอย่างพอใจ
เรือนขันทองยามค่ำ ขันทองกำลังดื่มยาช่วยสร่างเมาที่เยื้อนเอามาให้ด้วยหน้าตาเหยเก โดยมีแน่นอยู่ใกล้ๆ
ขันทองดื่มได้ไม่เท่าไหร่ก็ผะอืดผะอมจะอ้วกอีก
เยื้อนรีบเอากระโถนให้ขันทองโก่งคออ้วกทันที
แน่นยิ้มเยาะ
“ฉันล่ะสมน้ำมะหน้าคุณพระนัก รู้ว่าตัวเองคออ่อนไม่เคยดื่มเหล้า ยังจะฝืนดื่มเข้าไปอีก”
“ อย่าเยาะกันเลยท่านขุน อยู่ในงานเลี้ยง มีคนเชิญให้ดื่ม จะไม่ดื่มได้อย่างไรเล่า”
ขันทองผะอืดผะอม จนต้องอ้วกออกมาอีก
แน่นหัวเราะชอบใจ
เยื้อนไม่พอใจแทน
“ต่อไป คะยั้นคะยออย่างไรก็อย่าดื่มอีกนะเจ้าคะ พวกคุณพระนายศรีเอาแต่สนุก ไม่ได้สนใจว่าคนอื่นจะเป็นอย่างไรดอกเจ้าค่ะ”
แน่นหยิบห่อยาออกมาห่อหนึ่ง
“วันพรุ่ง คุณพระอาจจะปวดหัวหนัก เจ้าต้มยาในห่อนี้ให้คุณพระกินสักชาม กันไว้ก่อน”
เยื้อนรับห่อยามา
“เจ้าค่ะ บ่าวจะไปจัดการประเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ”
เยื้อนออกจากห้องไป พร้อมกับปิดประตูลง
แม้ขันทองจะอ่อนเพลีย แต่ก็รู้ว่าแน่นต้องการกันเยื้อนออกไป
“มีกระไรรึอ้ายแน่น”
“ข้าฟังเรื่องจากแม่เป้าหมดแล้ว ออกญาวังกำลังจับเอ็งแก้ผ้าเป็นที่อุจจาดตานัก” แน่นแกล้งกระเซ้า “ข้าไม่รู้เลยว่าแอบพึงใจกันอยู่”
ขันทองโมโห ชี้หน้าแน่น “อ้าย... “ ก่อนชะงักไปอย่างฉุกคิดบางอย่างได้
“ คิดได้แล้วซี เหล้าไม่ได้ทำให้เอ็งโง่เลยนะ ข้าก็คิดเช่นนั้น ออกญาวังคงจะสงสัยกระไรสักอย่าง จึงคิดพิสูจน์ความเป็นชายของเอ็งขึ้นมาอีก”
“ ต่อไป ข้าจะระวังให้มากขึ้น ไม่เปิดโอกาสให้ออกญาวังหรือใครทำเช่นนี้อีกแล้ว”
“ดีแล้ว เพราะข้าเพิ่งได้ข่าวจากน้าหาญมา ยังไม่รู้ ว่าข่าวนี้จะดีหรือร้ายเลย ถ้าเอ็งไม่ระวังให้ดี หัวเอ็งกับข้า อาจจะไม่ได้อยู่บนบ่าอีก”
ขันทองสนใจมาก “ข่าวกระไรรึ”
แน่นหน้าเครียด
“พระยาตาก คุมทหารจากเมืองตากมาถึงอโยธยาแล้ว”
ขันทองตกใจ นึกไม่ถึง ไม่คิดว่าพระยาตากจะทิ้งเมืองตัวเองมาช่วยอโยธยารบในเวลาเช่นนี้
ตอนเช้า ในวัง
พระยาตาก และหลวงพิชัยอาสาเดินตามพระยาพลเทพเข้ามาในศาลาลูกขุน โดยมี จมื่นศรีสรรักษ์ ขุนแผลงฤทธิ์ และขุนนางคนอื่นนั่งรออยู่ก่อนแล้ว
พระยาพลเทพเดินนำพระยาตาก พูดไป
“ฉันดีใจจริงๆ ที่ได้คนดีมีฝีมืออย่างท่านเจ้าคุณมาช่วยอีกแรง ฟังว่าท่านเจ้าคุณนำทหารเอาชำนะพวกอังวะได้หลายครา จริงหรือไม่”
“แค่พวกกองตระเวนหรือทหารกลุ่มย่อยๆเท่านั้นขอรับ ไม่อาจนับเป็นอย่างไรได้ ที่น่ากังวล คือทัพใหญ่ของอังวะที่ลำปาง ยิ่งกระผมมาช่วยราชการที่อโยธยาเช่นนี้ ก็ยิ่งเป็นห่วงเมืองตากเหลือเกินขอรับ”
พระยาพลเทพเดินมานั่งที่ตั่ง สูงกว่าทหารทุกคน ก่อนที่พระยาตากจะนั่งที่ตั่งซึ่งอยู่ต่ำลงมา
โดยมีหลวงพิชัยอาสานั่งพับเพียบอยู่ใกล้ๆ
“อย่าห่วงไปเลยท่านเจ้าคุณ ระแหวงแขวงเมืองตากกันดารนัก ถึงอ้ายพวกข้าศึกจะยึดไป ก็คงอยู่ไม่นานดอก มาช่วยกันที่อโยธยาจะดีกว่า”
หลวงพิชัยอาสาบอก
“แต่ทัพทางเหนือแลใต้ของอังวะ ยังไม่เคลื่อนพลเลยไม่ใช่หรือขอรับ การเรียกมาช่วยกันแต่ตอนนี้ จะไม่เร็วเกินไปหรือขอรับ”
จมื่นศรีสรรักษ์พูดสวนขึ้น ยิ้มดูถูก
“เป็นทหารอาสาไม่ใช่รึ เมื่ออาสามารบแล้วก็รบไป เรื่องแผนการ พิชัยสงคราม หาใช่สิ่งที่คนใช้แต่แรง จะเข้าใจไม่”
หลวงพิชัยอาสาหน้านิ่งๆ ไม่แสดงอาการโกรธหรือตอบโต้อะไร
“ท่านเจ้าคุณนำทหารมาห้าร้อยใช่หรือไม่ขอรับ ขอเชิญตั้งทัพอยู่นอกกำแพงเมืองอโยธยาเถิด หากมีคำสั่งใดถึงท่านเจ้าคุณ กระผมจะให้คนไปกราบเรียนเอง” ขุนแผลงฤทธิ์ว่า
“ ทหารเพียงเล็กน้อยของกระผม สร้างความกังวลใจให้อโยธยาถึงเพียงนี้เชียวหรือขอรับ” พระยาตากว่า
“ไม่ใช่ว่าฉันไม่วางใจท่านเจ้าคุณ หรือเกรงว่าท่านเจ้าคุณจะคิดคดทุรยศดอก แต่ในจำนวนทหารของท่านเจ้าคุณ มีลูกน้องเก่าของอ้ายเสือขุนทองมาด้วยไม่ใช่รึ สันดานโจร จะให้ฉันเชื่อใจนั้นคงไม่ได้”
“เช่นนั้น กระผมก็จะทำตามที่ท่านเจ้าคุณต้องการขอรับ”
พระยาตากสบตากับพระยาพลเทพนิ่งๆ ต่างคนต่างรู้เท่าทันกัน แต่ก็ไม่แสดงพิรุธออกมา
ภายในวัง ขันทองตกใจมาก
“ น้าพันหาญ เล่าให้ท่านเจ้าคุณฟังหมดแล้ว”
ขันทองกำลังคุยกับพันหาญ และแน่น ในที่ลับตาคน
“ น้ารู้ ว่าน้าทำไม่ถูก ที่เอาความลับสำคัญของพวกเราไปบอกท่านเจ้าคุณ แต่ยิ่งน้ารับใช้ท่านเจ้าคุณนานเท่าใด ก็ยิ่งนับถือในตัวท่านเจ้าคุณมากขึ้นเท่านั้น การถูกเรียกตัวมาอโยธยาครานี้ น้าเห็นว่าจะร้ายมากกว่าดี จึงจำเป็นต้องกราบเรียนให้ท่านเจ้าคุณทราบไว้ ท่านจะได้ระวังตัว”
ขันทองมีสีหน้ากระอักกระอ่วน ไม่รู้จะทำยังไงดี
“ แล้วน้าแน่ใจรึ ว่าพระยาตากจะไม่เอาเรื่องของพวกเราไปบอกใครเพื่อรับความชอบ ฉันยังไม่อยากรับทัณฑ์ยี่สิบเอ็ดสถานนะน้า” แน่นว่า
“อ้ายแน่น ข้าอยู่มาจนปูนนี้แล้ว จะดูไม่ออกเทียวรึว่าผู้ใดไว้ใจได้ ไว้ใจไม่ได้ แลหากคนอย่างท่านเจ้าคุณไว้ใจไม่ได้ ก็ไม่ต้องวางใจในผู้ใดแล้วโว้ย”
“ก็จริงอย่างที่น้าว่า เอาเถิด อย่างไรเสีย น้าพันหาญก็บอกไปแล้ว คงมีแต่ต้องกระทำตามนั้น”
“พ่อขันทองพอจะหาช่องออกไปพบท่านเจ้าคุณได้หรือไม่ น้าอยากให้พ่อขันทองได้พบท่านเพื่อปรึกษากัน เราเอง ก็ไม่ได้กระไรคืบหน้ามาพักหนึ่งแล้ว ได้พูดคุยกับท่านอาจจะเหมือนได้เดินออกจากที่มืดมาสู่ที่สว่างก็ได้นา”
ขันทองลังเล เลยหันไปมองแน่น
“แล้วแต่เอ็งเถิด ถ้าเอ็งจะไป ข้าจะหาทางให้ รับรอง ว่าไม่ให้ผู้ใดสงสัยได้เป็นอันขาด”
ขันทอง คิดหนักว่าจะเอาไงดี
ขันทองกำลังซื้อของ โดยพูดคุยเรื่องราคา ก่อนจะเอาถุงใส่เงินให้พ่อค้าไป พ่อค้าก็รีบสั่งให้พวกทาสขนของขึ้นเกวียนทันที
ขันทองเดินกลับมาหาพระยาตาก หลวงพิชัยอาสา และพันหาญ ที่ยืนรออยู่
ขันทองไหว้พระยาตากกับหลวงพิชัยอาสา
“กระผมคงอยู่นานไม่ได้ เพราะมีคนจ้องจับผิดกระผมอยู่ ต้องขออภัยท่านเจ้าคุณกับคุณหลวงด้วยขอรับ”
“ไม่เป็นกระไรดอก พันหาญเล่าให้ฉันฟังหมดแล้ว แลพวกฉันก็ต้องรีบออกนอกกำแพงอโยธยาไปที่ค่ายเช่นกัน”
“ ฉันกับท่านเจ้าคุณ ติดใจเรื่องเจ้าคุณพลเทพนัก เจ้า เอ่อ คุณพระมั่นใจหรือไม่ ว่าคนผู้นี้ทุรยศต่ออโยธยา” หลวงพิชัยอาสาบอก
“เจ้าคุณพลเทพ มีส่วนในการตายของพ่อกระผมเป็นแน่ แลเหตุนั้นน่าจะเป็นเพราะการทุรยศต่ออโยธยาในศึกพระเจ้าอลองพญา แต่กระผมยังต้องหาหลักฐานมายืนยันก่อน ส่วนศึกนี้ จะเป็นเช่นนั้นอีกหรือไม่ ยังไม่อาจทราบได้ขอรับ”
หลวงพิชัยอาสาไม่พอใจมาก
“เป็นแน่ ทั้งการวางแผน ตั้งทัพ แลยุทธวิธีล้วนประหลาดพิกลนัก ถ้าไม่ใช่ทำไป เพื่อให้อโยธยาเสียเปรียบอังวะ แล้วจะทำไปเพื่อกระไร”
พระยาตากบอก
“อโยธยามีจุดอ่อนมากมาย เหมือนสนิมเกิดจากเนื้อในเหล็ก ถึงไม่มีพระยาพลเทพ ก็ใช่จะพ้นภัยไปได้ แต่เราก็ต้องหาหลักฐานมาจัดการพระยาพลเทพก่อน แล้วจึงค่อยแก้ไขส่วนอื่นต่อไป”
“หลักฐานอย่างเดียวที่พวกกระผมคาดว่าจะเอาผิดอ้ายพระยาพลเทพได้ อยู่ในมือบุตรสาวเศรษฐีโรงค้ากระดาษ พวกกระผมก็เพียรจะเอามาให้ได้ แต่ยังไม่สบโอกาสเหมาะ ทำได้เพียงแต่ขัดขวางพวกพระยาพลเทพไม่ให้ทำลายหลักฐานได้เท่านั้นขอรับ” พันหาญบอก
พระยาตากคิดอยู่ครู่หนึ่ง
“คนจีนมีคำกล่าวว่า บังคับไม่สู้เชื้อเชิญ เมื่อแย่งชิงไม่ได้ ทำไมไม่หาทางให้ส่งมอบออกมาเองเล่า
ขันทอง และพันหาญหันไปมองหน้ากันด้วยความแปลกใจ ก่อนจะหันไปมองพระยาตากเป็นตาเดียว
พระยาตากยิ้มรับบางๆ เหมือนมีแผนการอยู่ในใจเรียบร้อย
ติ่น และผลกำลังวิ่งหนีแมงเม่า ที่เอาส้มสูกลูกไม้ วิ่งไล่ขว้างใส่ด้วยความโมโห
ติ่นโดนปาเข้าไปหลายที “โอ๊ยๆ เบาขอรับแม่หญิง โอ๊ย”
แมงเม่าหงุดหงิดเรื่องขันทองพาลแหลก
“เบาหรืออ้ายติ่น เอ็งกับอ้ายผลนั่งกัดจิ้งหรีด ไม่ทำงานทำการ ข้าขว้างของใส่เอ็งแค่นี้ยังน้อยไป”
“พุทโธ่ แม่หญิงขอรับ เพลานี้มีคนสั่งกระดาษน้อยนัก จะให้พวกกระผมทำงานกระไรเล่าขอรับ” ผลบอก
“จริงขอรับ แลเมื่อก่อน แม่หญิงยังจับจิ้งหรีดมากัดแข่งกับพวกกระผมเสียด้วยซ้ำ เหตุใดวันนี้ ถึงมาโกรธเคืองกันได้เล่าขอรับ” ติ่นว่า
แมงเม่าตวาดแว๊ด
“วันก่อนก็วันก่อน วันนี้ก็วันนี้ ข้าชังนัก อ้ายพวกทำบาปรังแกคนอ่อนแอกว่า” ยิ่งพูดก็ยิ่งพาลไปเรื่องขันทอง ยิ่งแค้นหนักขึ้นเรื่อยๆ “แกล้งทำดี ใช้น้ำใจมาหลอกลวงกัน คนพวกนี้ มันน่าฆ่าให้ตายนัก”
ติ่น และผล หันไปมองกันอย่างงงๆ
ผลเกาหัวงงๆ “แม่หญิงพูดกระไรวะ หรือว่าผีเข้า”
แมงเม่าตะคอก “เอ็งด่าข้าว่าผีเข้ารึ” แมงเม่ามองซ้ายมองขวา เจออะไรใกล้มือ ก็หยิบฉวย
มาขว้างใส่ติ่น ผลยกใหญ่
ติ่น และผล ได้แต่ร้องโอดโอย เอามือปัดป้อง ปัดได้บ้าง โดนขว้างใส่บ้าง วุ่นวายไปหมด
แมงเม่าเจออะไรก็ขว้างใส่ไม่ยั้ง ก่อนจะขว้างกระบุงไปโดนม่วงที่เดินผ่านมาพอดี
“โอ๊ย”
แมงเม่าหน้าเหยเก ในขณะที่ติ่น และผลตกใจ ก่อนจะรีบวิ่งหนีไปอีกทางทันที
ม่วงหันมามองแมงเม่าด้วยใบหน้าดุๆ
แมงเม่าไหว้ หน้าจ๋อยๆ
"ขอขมาเถิดจ้ะพี่ม่วง ฉันไม่ได้ตั้งใจ"
" ไม่เป็นกระไรดอก"
ม่วงจะเดินเลี่ยงไป แต่ขณะนั้นเอง อินก็เดินถือห่อยาสมุนไพรเข้ามาหาม่วง
"พี่ม่วง" อินยื่นห่อยาให้ "นี่เป็นยาอย่างดี พี่เอาไปด้วยเถิด เผื่อได้ใช้"
ม่วงลังเลอยู่ครู่นึง ก่อนจะรับห่อยามา
"ขอบน้ำใจเอ็งนัก"
ม่วงเดินเลี่ยงไปด้วยสีหน้าไม่ค่อยสบายใจนัก
แมงเม่ามองตามพี่ด้วยความแปลกใจ ก่อนจะเดินเข้าไปหาอิน
"ผู้ใดเจ็บไข้ได้ป่วยหรือพี่อิน แลนี่ก็เย็นแล้ว พี่ม่วงยังไปเยี่ยมเยียนอีก หรือเป็นคนสำคัญ"
อินหน้าเสีย ก่อนจะอ้อมแอ้มตอบ
"เอ่อ แม่สุ่น ไม่ใคร่สบายน่ะ พี่ม่วงก็เลย ไปเยี่ยม"
แมงเม่าตกใจมาก
"แม่สุ่น หญิงโรงรับชำเราน่ะรึ พี่ม่วงไปเยี่ยมหาแปลกไม่ แต่พี่อินเป็นเมีย นอกจากจะไม่ห้ามผัวแล้ว ยังฝากหยูกยาไปอีก เกิดมาฉันไม่เคยได้ยินได้ฟังว่าเมียบ้านใดจะใจกว้างถึงเพียงนี้"
อินกระอักกระอ่วน ไม่ใช่ไม่รู้สึกอะไร แต่ความรู้สึกผิดที่มีต่อม่วงมีมากกว่า แต่ก็ไม่รู้จะเริ่มต้นเล่ายังไงให้แมงเม่าเข้าใจดี
เวลาหัวค่ำ ที่โรงรับชำเรา
ม่วงกำลังประคองยี่สุ่นกินยาสมุนไพรของอินที่เพิ่งต้มเสร็จร้อนๆ
" กินให้หมดชามนะ จะได้หายไวๆ"
ยี่สุ่นหน้าเหยเกเพราะยาขมมาก แต่ก็กลั้นใจกินจนหมดชาม
ม่วงยิ้มบางๆ ก่อนจะเอาชามยามาวางที่โต๊ะ
สุ่นไม่สบายใจ
"ฉันนี่เลวนัก แย่งผัวเค้ามา พอเจ็บไข้ไม่สบาย กลับด้านหน้ากินยาที่เมียเค้าฝากมาอีก"
ม่วงสงสาร
"อย่าพูดเช่นนี้อีกสุ่นเอ๊ย ไม่มีผู้ใดแย่งข้ามา ข้าเต็มใจที่จะมาหาเอ็งเอง ส่วนเรื่องระหว่างข้ากับแม่อินนั้น เมื่อแม่อินเขาไม่ทุกข์ร้อนกระไร ก็อาจจะดีเสียอีก ที่เราต่างคนต่างอยู่กันเช่นนี้"
ยี่สุ่นหน้าเศร้าลง ตัวเองก็เป็นโสเภณี ไม่มีทางไปเป็นเมียน้อยม่วงได้แน่ๆ ทำให้ทุกอย่างคาราคาซัง
ไปหมด
ขณะนั้นเอง ออกญาหมิ่นก็เปิดประตูเข้ามาโดยไม่เคาะประตู
ม่วงหน้าบึ้ง ไม่พอใจที่ออกญาหมิ่นไม่เคาะประตู
"มีกระไรรึออกญา"
"ขออภัยเถิดพ่อม่วง ฉันจะตามนังสุ่นไปรับแขกน่ะ"
ม่วงโมโห "แม่สุ่นเป็นไข้ ยังจะให้รับแขกอีกรึ เกินไปเสียแล้วอ้ายหมิ่น"
ยี่สุ่นรีบห้าม
"อย่าโมโหโทโสเลยพี่ม่วง มันเป็นงานของฉัน เมื่อแขกเรียกมา จะขัดได้อย่างไร"
ม่วงโมโห
"ถ้ากระนั้น ข้าจะซื้อเอ็งไว้เอง คืนนี้เอ็งอยู่กับข้า ไม่ต้องไปไหนทั้งนั้น"
ออกญาหมิ่นลำบากใจมาก
"อย่าทำเช่นนี้เลยพ่อม่วง ถ้าพ่อม่วงซื้อนังสุ่นไว้ก่อนก็ไม่เป็นกระไร แต่นี่ไม่ได้ตกลงไว้ ทำเช่นนี้ก็เหมือนหักหน้าแขกคนอื่น ฉันเกรงจะเกิดเรื่องขึ้นอีก"
" ก็ใครจะไปคิดเล่า ว่าเจ็บไข้ได้ป่วยถึงเพียงนี้ ยังจะบังคับกัน"
ยี่สุ่นรีบจับแขนม่วงเป็นเชิงห้าม
"พี่ม่วง ฉันขอเถิดจ้ะ"
ม่วงขบกรามแน่นด้วยความหงุดหงิด พยายามระงับอารมณ์เต็มที่
"ไปเจ้าค่ะออกญา"
สุ่นเดินตามออกญาหมิ่นออกจากห้องไป ปล่อยให้ม่วงหงุดหงิดอยู่คนเดียวในห้อง
ในห้องหนึ่ง ยี่สุ่นตกใจ
"จะให้อีฉันหักหลังพี่ม่วงหรือเจ้าคะ"
ที่แท้ แขกที่ว่าคือ ขุนแผลงฤทธิ์
ยี่สุ่นกำลังคุยกับขุนแผลงฤทธิ์อยู่ในห้อง
"แล้วเหตุใด เอ็งต้องทำท่าทาง ทำน้ำเสียงเช่นนั้นด้วย หรือเอ็งจะขัดคำสั่งข้า"
"ท่านขุนเจ้าขา พี่ม่วงมีบุญคุณแลน้ำใจกับฉันนัก อย่าให้ฉันทำสิ่งใด เป็นการหักหาญน้ำใจพี่ม่วงเลยนะเจ้าคะ"
" บุญคุณแลน้ำใจรึ"
ขาดคำขุนแผลงฤทธิ์ก็ตบหน้ายี่สุ่นจนล้มคว่ำทันที ท่ามกลางเสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด
ขุนแผลงฤทธิ์จิกหัวยี่สุ่นขึ้นมา
"หญิงแพศยาขายตัวเองอย่างมึง อย่าพูดถึงบุญคุณหรือน้ำใจให้กูจะอ้วกหน่อยเลยอีสุ่น มึงไม่ต่างจาก สัตว์เลี้ยงของพวกกู เหมือนม้า เหมือนลา ที่จะสั่งให้ไปซ้ายไปขวาก็ต้องไป เข้าใจหรือไม่"
ยี่สุ่นกลัวจับใจ ร้องไห้ "เจ้าค่ะ"
ขุนแผลงฤทธิ์ยิ้มเหี้ยม ด้วยความพอใจที่ทำให้สุ่นยอมทุรยศม่วงเพื่อสืบเรื่องกลักได้สำเร็จ
บรรยากาศของกรุงศรีอยุธยายามเช้า
แมงเม่าตกใจกับเรื่องที่อินเล่าให้ฟัง
" ผีพี่อิ่มหึงหวงพี่"
ทั้งคู่คุยกันอยู่ที่มุมหนึ่งบนเรือน
อินรีบจุ๊ปาก
"เบาๆซี พี่บอกเจ้าแล้ว ว่าอย่าให้ใครรู้เรื่องนี้"
" ขอประทานโทษเถิดจ้ะ แต่ฉันคิดไม่ถึง ว่าจะมีเรื่องแปลกพิกลถึงเพียงนี้เกิดขึ้นได้"
อินหน้าเศร้าลง
"พี่รู้ ว่ายากที่จะเชื่อ พี่ม่วงเองก็ไม่เชื่อ นึกว่าพี่รังเกียจแลยังมีใจให้พี่คล้อยอยู่ จึงโกรธเคืองพี่จนถึงทุกวันนี้ พุทโธ่เอ๊ย พี่กับพี่คล้อยโตมาด้วยกัน แม้จะชอบพอกันบ้างก็เป็นไปตามประสาเด็ก ไม่ได้ลึกซึ้งกระไร พอพี่อิ่มตาย พ่อกับแม่ให้พี่แต่งงานกับพี่ม่วงแทนพี่อิ่ม พี่ก็ลืมพี่คล้อยไปหมดสิ้นแล้ว แต่พี่ม่วงก็ไม่เข้าใจ"
"แล้วพี่ทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้พี่อิ่มหรือยังจ๊ะ เผื่อจะดีขึ้น"
"พี่ลองทุกทางแล้ว แต่ก็ไม่ได้ผล ทุกครั้งที่พี่กับพี่ม่วง..." เขินอายที่จะพูด "เอ่อ พี่อิ่มก็มาหลอกพี่ทุกคราไป"
แมงเม่าสงสารอินมาก
"มิน่าเล่า พี่กับพี่ม่วงถึงยังไม่มีลูกด้วยกันเสียที ... เมื่อเป็นเช่นนี้ แล้วเหตุใดพี่ถึงไม่เลิกรากับพี่ม่วง
เสียเล่าจ๊ะ"
อินเขินอาย
"ความรักก็เป็นเช่นนี้แหละ บางครา ก็หาเหตุผลกับมันไม่ได้เอาเสียเลย ว่าเหตุใดถึงต้องทำเช่นนี้"
แมงเม่าคิดตาม นึกถึงตัวเอง หน้าจ๋อยลง พูดเบาๆกับตัวเอง
"จริงของพี่ มันช่างไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย"
ขณะนั้นเอง ก็มีทาสหญิงคนหนึ่งเดินเข้ามาหาแล้วนั่งพับเพียบลง
"มีกระไรรึ"
"คุณพระศรีขันทิน เอาของมากำนัลแม่หญิงแมงเม่าเจ้าค่ะ แม่นาย"
แมงเม่าพอรู้ว่าขันทองมา ก็หน้าบึ้งขึ้นมาทันที
ต่อมา แมงเม่าไหว้ขันทอง ขันทองรับไหว้ อยู่ที่บริเวณหอนั่ง
"ฉันมี..."
แมงเม่าพูดสวนขึ้น ตีหน้าตาย "ท่านเจ้าคุณกำแหงไม่มาด้วยหรือเจ้าคะ"
ขันทองกลืนไม่เข้าคายไม่ออกขึ้นมาทันที เรื่องคราวก่อน ถึงตนจะเมา แต่พอรู้เรื่องจากแน่น
ตนก็อับอายไม่น้อย
ขันทองพยายามระงับอารมณ์
"ถามถึงท่านเจ้าคุณใยกัน อยากพบ หรือยังไม่เข้าใจสิ่งใด ฉันจะได้อธิบายเพิ่มเติม"
แมงเม่าแกล้งทำงงๆ
"อธิบายเรื่องกระไรเจ้าคะ ใช่เรื่องความรักของท่านเจ้าคุณกับออกพระหรือไม่"
ขันทองเห็นว่า แมงเม่ากวนเหลือเกิน อยากตีใจจะขาด หยิบหนังสือออกมาเล่มหนึ่ง เพื่อเปลี่ยนเรื่องสนทนา
"ฉันรับบัญชากรมขุนวิมลท่าน ให้เอาของขวัญมาตอบแทนท่านเศรษฐีที่เอากระดาษอย่างดีไปถวาย" ขันทองยื่นหนังสือให้แมงเม่า
"แลเห็นเจ้าชื่นชอบในกลบท จึงเอาหนังสือเกี่ยวกับการแก้ไขถอดความกลบทต่างๆมาให้"
แมงเม่าตาโตขึ้นมาทันที ขันทองให้หนังสือหายากแบบนี้เลยสนใจสุดๆ
ขันทองดึงหนังสือกลับ แกล้งบอก
"แต่ดูท่า เจ้าคงไม่ต้องการ"
ขาดคำ แมงเม่าก็ดึงหนังสือจากมือขันทองไปทันที
แมงเม่าไหว้
"ขอบพระคุณเจ้าค่ะ"
แมงเม่าดูหนังสือด้วยความดีใจ
ขันทองทำหน้างงๆในการเปลี่ยนใจของแมงเม่า แล้วเบือนหน้าไปทางอื่นเหมือนไม่สนใจ ก่อนจะยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมา หลังเป็นไปตามแผนที่ตนจะทำให้แมงเม่ายอมเผยเรื่องสาส์นลับออกมา
แมงเม่ากำลังอ่านหนังสือกลอนกลบทอย่างตั้งอกตั้งใจในห้องนอน แมงเม่ายิ้มดีใจ
"กลกลอนพิสดารทั้งนั้น ช่างโชคดีนัก" แมงเม่ายิ้มอยู่ครู่นึง ก็หน้าขรึมลง เมื่อนึกถึงตัวอักษรในสาส์นลับ
แมงเม่าหยิบกระดาษกับดินสอมา ก่อนจะเขียนตัวอักษรลงในกระดาษ
ตัวอักษรว่า “หังวฉวาลทหงขสาปหักสะ” ซึ่งเป็นตัวอักษรในสาส์ลับนั่นเอง
แมงเม่าอ่านหนังสือกลอน เพื่อจะหาทางแก้กลบทในสาส์นลับ พออ่านแล้วก็ลองถอดดู พอถอดไม่ได้ก็หาวิธีใหม่ไปเรื่อยๆ
ผ่านไปหลายชั่วโมง เห็นแมงเม่าวางดินสอลง
แมงเม่าถอนใจ
"วิธีถอดพิสดารเพียงนี้ ก็ยังถอดไม่ได้ กลบทกระไรกันแน่"
แมงเม่ามีสีหน้าเคร่งเครียด ทำยังไงก็แก้ปัญหานี้ไม่ได้
บ่ายวันต่อมา ยี่สุ่นยกถาดใส่เหล้ากับกับแกล้มเข้ามาให้ม่วงที่นั่งรออยู่
ม่วงรีบเข้าไปช่วยยี่สุ่น
"เอ็งจะยกมาเองทำกระไร ประเดี๋ยวก็ไข้กลับดอก"
" ฉันหายเป็นปลิดทิ้งแล้ว ยาแม่อินชะงัดนัก พี่ม่วงอย่าห่วงฉันเลย"
สุ่นวางจานกับแกล้ม รินเหล้าให้ม่วงอย่างเอาอกเอาใจ
"ข้าให้เงินออกญาหมิ่นเพื่อซื้อตัวเอ็งถึงสามคืน เอ็งอย่าออกไปรับใช้ผู้ใดอีกนา"
"จ้ะพี่ม่วง" ยี่สุ่นยกจอกเหล้าให้ม่วง
ม่วงยิ้มแย้ม "ยังบ่ายอยู่ ข้าไม่ดื่มดอก"
ยี่สุ่นคะยั้นคะยอ
"ดื่มสักนิดเถิด เหล้าขวดนี้ดีนัก ยิ่งในยามศึกสงครามเช่นนี้ ยิ่งหายาก ฉันจึงอยากให้พี่ม่วงได้ชิมน่ะจ้ะ"
ม่วงยิ้มรับ ก่อนจะรับจอกเหล้ามาดื่ม
ยี่สุ่นก็รินเหล้าให้อีก เอาอกเอาใจเต็มที่
หัวค่ำ อีกห้องหนึ่งในโรงรับชำเรา ขุนแผลงฤทธิ์ดีใจสุดๆ
" ทำลายไปแล้ว มึงไม่ได้ฟังผิดแน่นะอีสุ่น"
ขุนแผลงฤทธิ์กำลังฟังยี่สุ่นรายงาน โดยออกญาหมิ่นกำลังจุดเทียน เพิ่มแสงสว่างภายในห้องเพราะตอนนี้ตกค่ำแล้ว
"ไม่ผิดเจ้าค่ะ พี่ม่วงกลัวว่าแม่แมงเม่าจะมีภัยมาถึงตัว จึงให้แม่แมงเม่าทำลายกลักเสีย"
ออกญาหมิ่นยิ้มประจบ
"เป็นเพราะบารมีของท่านเจ้าคุณพลเทพโดยแท้ พวกมันถึงได้หวาดกลัวจนทำลายกลักเสียเอง ถ้ารู้อย่างนี้ ก็คงไม่ต้องกังวลใจอยู่เสียนานนะขอรับ"
"เอ็งยังไม่โดนกระไรมากดอกอ้ายหมิ่น ข้าเป็นคนรับใช้ใกล้ชิดท่านเจ้าคุณ ต้องลำบากลำบนเพราะอ้ายกลักจัญไรนี่มาไม่รู้กี่คราว ทำลายทิ้งเสียได้ก็ดี"
ขุนแผลงฤทธิ์หยิบถุงใส่เงินขึ้นมา แล้วโยนให้ ยี่สุ่นรับไป
ยี่สุ่นรับถุงใส่เงินที่โยนมา ไหว้
"เป็นพระคุณเจ้าค่ะ"
"มึงสมควรได้ ใช้งานคนมามาก ไม่คืบหน้ากระไร กลับมาได้ข่าวใหญ่เพราะหญิงขายตัวเองกินอย่างมึง"ขุนแผลงฤทธิ์หัวเราะชอบใจ
ยี่สุ่นหน้านิ่งๆ ไม่บ่งบอกความรู้สึกอะไรทั้งนั้น
ยี่สุ่นเดินหน้านิ่งๆเข้ามาหาม่วง ที่นอนหลับสนิทเพราะความเมาอยู่บนเตียง
สุ่นมองม่วงอยู่ครู่นึง ก่อนจะนั่งลงที่ข้างๆม่วง แล้วเอื้อมมือไปจับมือม่วงไว้มาแนบกับแก้มของตน
" พี่ม่วง พี่รู้หรือไม่จ๊ะ ว่าคนขายตัวเองกินสิ้นศักดิ์สิ้นศรีอย่างฉัน ยังมีสิ่งหนึ่งที่ฉันไม่ยอมขายเป็นอันขาด"
ยี่สุ่นก้มลง กอดม่วงไว้พร้อมกับแนบหน้ากับหน้าอกของม่วง
"ฉันจะไม่ขายหัวใจรักที่ฉันมีต่อพี่ ไม่มีวันจ้ะ"
ยี่สุ่นซุกลงที่หน้าอกม่วง บนคอม่วง ในสร้อยมีกลักรูปผีเสื้อที่ทุกคนตามหา แขวนรวมอยู่ด้วย
บรรยากาศภายในวังตอนเช้า ขันทองเดินออกมาจากข้างในเรือน พอออกมา ก็เห็นเยื้อนกำลังจัดสำรับกับข้าวเช้าให้ขันทองอยู่
" คุณพระออกมาพอดี บ่าวเพิ่งจัดสำรับเช้าเสร็จ รับก่อนซีเจ้าคะ"
ขันทองมองด้วยความระแวง
"แม้นเล่า เหตุใดวันนี้ไม่มาพร้อมกัน"
"พวกข้าหลวงตำหนักแดง มาขอแรงนังแม้นไปช่วยยกของเจ้าค่ะ บ่าวก็เลยอยู่รับใช้คุณพระแต่เพียงผู้เดียว"
ขันทองไม่ว่าอะไร นั่งลงเตรียมจะกินข้าวเช้า
ขณะนั้นเอง แมงเม่าก็เดินยิ้มกริ่มขึ้นเรือนมา พร้อมกับถือตะกร้าใส่ขนมหวานมาด้วย
" ออกพระศรีเจ้าคะ"
ขันทอง และเยื้อนหันไปมองตามเสียง
เยื้อนเห็นแมงเม่าก็หน้าบึ้งตึงไม่พอใจทันที
แมงเม่าปั้นยิ้มหวาน
"กำลังกินสำรับเช้าอยู่หรือเจ้าคะ บังเอิญจริงเชียว"
ฉันมีขนมจากหมู่บ้านพุทธเกษมาฝาก ประเดี๋ยวกินล้างปากนะเจ้าคะ
เยื้อนหึงหวงสุดๆ
"คุณพระยังกินของคาวไม่เสร็จ กินของหวานไม่ได้ดอกเจ้าค่ะ"
"ก็ใครให้กินตอนนี้เล่า" แมงเม่าหน้าหงิก "ฉันก็บอกอยู่เมื่อครู่ว่ากินล้างปาก ไม่ฟังกันเลยรึ"
เยื้อนจ้องหน้าแมงเม่าเขม็ง ด้วยความไม่พอใจ
"เยื้อน เจ้าไปช่วยแม้นที่ตำหนักแดงเถิด"
เยื้อนโมโห
"แต่บ่าวมีหน้าที่รับใช้คุณพระนะเจ้าคะ"
"เยื้อน อย่าให้ต้องพูดซ้ำ"
เยื้อนเจ็บใจมาก แต่ทันใดนั้นก็ฉุกคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ ยิ้มเจ้าเล่ห์ "เจ้าค่ะ"
เยื้อนคลานเข่าเลี่ยงออกมา ก่อนจะลุกขึ้นแล้วลงจากเรือนไป
"มาทำกระไรที่นี่"
"เสด็จพระองค์หญิงทรงเรียกให้ฉันมาเข้าเฝ้า แต่ฉันแวะเอาขนมมาให้คุณพระก่อน"
"อย่าอ้อมค้อม"
แมงเม่ายิ้มแหยๆ ขันทองรู้ทันอีกแล้ว
"หนังสือวิธีแก้กลอนกลบทของคุณพระวิเศษนัก แต่ยังแก้กลบทไม่ได้ทุกอย่าง พอจะมีหนังสืออื่น
ให้ฉันหยิบยืมอีกหรือไม่เจ้าคะ"
ขันทองแอบยิ้มดีใจที่แมงเม่าหลงกลแล้ว แกล้งปั้นหน้าบึ้ง
"วิธีถอดความแก้กลบทที่ฉันให้เจ้า ก็ถือว่าคลอบคลุมแล้ว ยังมีกลบทพิสดารใดแก้ไม่ได้อีก
ฉันไม่อยากเชื่อ เจ้าอ่านแล้วไม่เข้าใจถ่องแท้ จึงแก้ไม่ได้เองมากกว่า"
แมงเม่าหน้าบึ้งตึงไม่พอใจ
"ไม่ใช่นะเจ้าคะ แต่กลบทที่ฉันเจอ มันไม่มีอยู่ในวิธีแก้ของคุณพระต่างหากเจ้าค่ะ"
"กลบทแบบใด เจ้าลองบอกมาดูทีรึ"
"เป็นอักษรแถวเดียว มีทั้งพยัญชนะแลสระ แต่เรียงกันไม่เป็นคำเจ้าค่ะ"
ขันทองคิดตามอยู่ครู่นึง ในที่สุดก็รู้แล้ววว่าสาส์นลับนั้นเขียนด้วยกลบทแบบไหน
"เจ้าไปได้กลบทนี้มาจากที่ใด"
แมงเม่าแอบหลบตาปดไปว่า " ฉันเห็นที่ตลาด นักเลงกลอนเค้าเขียนประลองกันเจ้าค่ะ"
" เมื่อเจ้าไม่ไว้ใจฉัน ก็อย่าพูดถึงเรื่องนี้อีกเลย" ขันทองถอนใจแกล้งน้อยใจ
"เสียดาย ที่ฉันไว้ใจเจ้า เชื่อว่าเจ้าต้องไม่ทุรยศฉันมาตลอด"
แมงเม่าหน้าหงิกงอถอนใจ "ไม่ต้องแกล้งพูดให้ฉันรู้สึกผิดดอกเจ้าค่ะ ที่ฉันไม่บอก ไม่ใช่ว่าฉันไม่ไว้ใจ แต่เป็นเพราะไม่อยากให้คนอื่นเดือดร้อนเพราะฉันต่างหาก"
"ฉันรู้อยู่ตรงนี้ แลจะไม่พูดไป จะเดือดร้อนได้อย่างไร"
แมงเม่าลังเล ว่าจะเล่าดีมั้ย
ขันทองมองลุ้น ถ้าแมงเม่าบอก อีกไม่นานก็จะมีหลักฐานเล่นงานพระยาพลเทพแมงเม่าตัดสินใจเล่าเพราะไว้ใจมาก "ฉันได้มาจาก..."
ขันทองลุ้นสุดๆ
แต่ทันใดนั้น พระยากำแหงก็เดินขึ้นเรือนมาด้วยหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส
"แม่แมงเม่า แม่แมงเม่าเข้าวังมาแต่เมื่อใด นี่ถ้านังเยื้อนไม่ไปบอกฉัน ฉันก็คงไม่รู้"
แมงเม่าไหว้พระยากำแหงตามมารยาท เขารับไหว้ มองแมงเม่าด้วยสายตากรุ้มกริ่ม
ขันทองหน้าหงิก สีหน้าเซ็งที่สุดอีกนิดเดียวก็จะรู้ความลับแล้ว ไม่น่ามาเลย
อ่านต่อตอนที่ 14