หนึ่งด้าวฟ้าเดียว ตอนที่ 11
บทประพันธ์ : วรรณวรรธน์
บทโทรทัศน์ : เอกลิขิต
ต่อมา ณ ตำหนักกรมขุนวิมลภักดีตอนเย็น
กรมขุนวิมลประทับอยู่บนตั่ง สีหน้ากระอักกระอ่วนหลังจากที่พระองค์เจ้าเชษฐ์มาทูลขอแมงเม่า
กรมขุนวิมลภักดีหันไปมองเจ้าจอมอำพันที่นั่งอยู่บนตั่งต่ำลงไป และคุณท้าวโสภาที่พับเพียบอยู่กับพื้น เหมือนจะขอความเห็น ทั้งคู่ก็กระอักกระอ่วนพอกัน จะปฏิเสธก็เกรงบารมีพระองค์เจ้าเชษฐ์ จะสนับสนุนก็สงสารแมงเม่า
พระองค์เจ้าเชษฐ์ยืนฟังคำตอบอยู่ ก็ยิ่งกระวนกระวายหนักกว่า
"ว่าอย่างไรเล่ากระหม่อม เสด็จจะทรงประทานนางแมงเม่าให้กระหม่อมได้หรือไม่" แล้วยิ้มกรุ้มกริ่ม "กระหม่อมได้เห็นหน้านางคนนี้แล้ว ก็ให้นึกรักแต่แรกเห็น ไม่เคยเป็นเช่นนี้มาก่อน เหมือนวิหยาสะกำหลงรูปนางบุษบาก็ไม่ปาน"
กรมขุนวิมลตัดใจพูด
"ขอบพระทัยพระองค์ชายนัก ที่ทรงเมตตาเจ้าแมงเม่า แต่หม่อมฉันเห็นจะประทานเจ้าแมงเม่าให้ไม่ได้จริงๆเพคะ"
" ทำไมเล่ากระหม่อม"
"เจ้าแมงเม่าเป็นไพร่ ไม่ใช่ข้าหลวงในตำหนัก หม่อมฉันไม่อาจบังคับได้เพคะ"
พระองค์เจ้าเชษฐ์ยิ้มแย้ม
"กระหม่อมก็หาต้องการให้บังคับไม่ นางแมงเม่าเป็นลูกเต้าเหล่าใคร กระหม่อมจะจัดสินสอดไปสู่ขอเอง เอาทองเท่าน้ำหนักตัวก็ยังได้ เล็กน้อยนักสำหรับกระหม่อม"
กรมขุนวิมลหน้าเสีย เพราะพระองค์เจ้าเชษฐ์รวยจริง ทุ่มจริง อำนาจบารมีก็พร้อม รับมือยากมาก
เลยหันไปจ้องหน้าเจ้าจอมอำพันให้รีบช่วย
เจ้าจอมอำพันหน้าเสีย แต่ก็ต้องช่วย เสียงอ่อยๆ
"เจ้าแมงเม่าผู้นี้ เป็นคนดื้อรั้นเพคะ เคยประกาศไว้ ว่าหากไม่รักแล้วไซร้จะไม่ยอมออกเรือนกับผู้ใด
ทั้งสิ้น แม้พ่อแม่ก็ทำกระไรไม่ได้ หม่อมฉันเห็นว่า ถึงพระองค์ชายไปสู่ขอ ก็คงไม่สำเร็จเพคะ"
" บ๋า ฉันเป็นใครกัน นางคนนั้น จะกล้าถึงกับบอกปัดฉันเชียวรึ"
เจ้าจอมอำพันหน้าเสีย หันไปจ้องคุณท้าวโสภาให้ช่วยตนบ้าง
คุณท้าวโสภากลืนน้ำลายอึกใหญ่ ซวยจริงๆ แต่ก็ต้องช่วยพูด
"เอ่อ ก็พูดยากเพคะ แม่คนนี้ นิสัยใจคอผิดหญิงทั่วไป แลหากจะใช้อำนาจ ก็เกรงจะเป็นที่
ครหาได้ว่าผู้ใหญ่รังแกผู้น้อย คงมีแต่ต้องให้แม่แมงเม่าผูกสมัครรักใคร่ในตัวเสด็จเองเพคะ"
" ก็ดี เช่นนั้นฉันก็ชอบอยู่" แล้วหันไปพูดกับกรมขุนวิมลภักดี "แต่ก็คงต้องขอให้เสด็จช่วยกระหม่อมด้วย กระหม่อมรู้มาว่าแม่แมงเม่าเคารพนับถือเสด็จนัก ถ้าเสด็จทรงช่วยพูดถึงความดีของกระหม่อม แม่แมงเม่าก็คงรักกระหม่อมได้ไม่ยากนัก"
กรมขุนวิมลหน้าเสีย พูดอะไรไม่ออก วนกลับมาหาตนอีกจนได้ ไม่น่าให้แมงเม่าไปเจอเจ้าจอมเพ็ญเลยจริงๆ
ทางด้านเจ้าจอมเพ็ญกำลังเดินคุยกับเลื่อนอยู่ในสวน
เจ้าจอมเพ็ญหัวเราะชอบใจ
“ป่านฉะนี้ พระองค์เชษฐ์ คงสร้างความปวดพระเศียรให้กรมขุนวิมลอยู่เป็นแน่ จะยกนังเด็กนั่นให้ก็ไม่ได้ ไม่ยกให้ก็ต้องถูกรบเร้า ครั้นไม่คล้อยตามก็จะผิดพระทัยกันอีก สาแก่ใจข้านัก”
เลื่อนรู้สึกไม่วางใจขึ้นมา
“แต่ถ้าอีเด็กนั่นมันคิดกำเริบ อยากเป็นห้ามเองเล่าเจ้าคะ ไม่เท่ากับเรา สนับสนุนมันหรือเจ้าคะหม่อมแม่”
“นังโง่ นังเด็กแมงเม่ามันวิ่งเข้านอกออกในวังมานานเท่าใดแล้ว หากอยากเป็นห้ามจริง กรมขุนคงถวายมันไปเสียนานแล้ว ข้าว่ากรมขุนวิมลทรงปกป้องมัน ไม่ให้ถูกบังคับถวายตัวเสียด้วยซ้ำ”
เลื่อนประจบประแจง
“หม่อมแม่เฉลียวฉลาดเหลือเกินเจ้าค่ะ ถ้าพระองค์ชายทรงผิดพระทัยกับกรมขุนวิมลขึ้นมาจริง คุณประโยชน์ทั้งหลาย ก็คงตกอยู่ที่เราเป็นแน่เจ้าค่ะ”
เพ็ญยิ้มพอใจ ก่อนจะหน้าขรึมลง “เรื่องที่ข้าใช้ให้ไปทำ เป็นอย่างไรบ้าง”
เลื่อนหน้าเสียด้วยความกลัวทันที
“เอ่อ ได้มาแล้วเจ้าค่ะ ท่านเจ้าคุณพลเทพให้ยันต์สะกดวิญญาณแลคาถามากำกับ โดยให้ทำพิธีเพลากลางคืนที่อ่างแก้ว รับรอง ว่านับแต่นี้ ผีคุณท้าวสาลิกา จะไม่มารบกวนหม่อมแม่อีกแล้วเจ้าค่ะ”
“ ดี เช่นนั้น เอ็งก็ไปทำพิธีคืนนี้เลย”
“บ่าวหรือเจ้าคะ”
“ค่าที่เอ็งสาระแนเรื่องของข้าอย่างไรเล่า ถ้าเอ็งไม่สู่รู้ ก็ไม่ต้องทำอย่างนี้ดอก ถือเสียว่าทดแทนบุญคุณข้าก็แล้วกัน”
เจ้าจอมเพ็ญเดินเลี่ยงไป
เลื่อนหน้าเสีย กลัวผีมาก แต่กลัวเจ้าจอมเพ็ญยิ่งกว่า เลยไม่กล้าขัดคำสั่ง ได้แต่ยืนหน้าเครียด หวาดกลัวอยู่คนเดียว
ท้องฟ้ายามค่ำคืน ขันทองกำลังคุยกับแมงเม่าด้วยสีหน้าเคร่งเครียดอยู่ที่มุมหนึ่งในวัง
“ฉันรู้อยู่แล้ว ว่าเสือขุนทองเป็นผัวคุณท้าวสาลิกา ไม่มีเรื่องอื่นรึ”
“ไม่มีเจ้าค่ะ เจ้าจอมเพ็ญกลัวจนสลบ พอฟื้นขึ้นมาก็เล่าให้ฟังเพียงเท่านี้”
แมงเม่ามองขันทองด้วยความระแวง “ออกพระศรีรู้อยู่แล้ว เหตุใดไม่บอกฉันเล่าเจ้าคะ”
ขันทองรีบแก้ตัว “เรื่องเช่นนี้ คนเก่าคนแก่ในวังรู้กันทั้งสิ้น ฉันไม่เห็นเป็นความลับกระไร เลยไม่ได้บอก”
แมงเม่าสงสัยมาก
“แต่เรื่องที่เจ้าจอมเพ็ญเล่า คล้ายกับนิทานที่ออกพระเล่าให้ฉันฟังเลยนะเจ้าคะ”
ขันทองรีบเบือนหน้าหลบตาแมงเม่า ก่อนจะหันมาแกล้งทำเป็นรำคาญ
“เรื่องรักไม่สมหวัง ถูกกีดกันกระไรพวกนี้ ก็เล่าต่อๆกันมาซ้ำๆเช่นนี้ล่ะ ก็คงจะไปคล้าย ไปพ้องเข้าบ้าง ไม่เห็นจะมีกระไรเลย”
แมงเม่ามองขันทองด้วยความระแวง
“ เหตุใดมองฉันด้วยสายตาเช่นนั้น”
“สายตาเช่นใดหรือเจ้าคะ”
“ก็สายตาที่เจ้ามองเมื่อครู่อย่างไรเล่า”
แมงเม่าลอยหน้าลอยตา
“ไม่มีกระจก ฉันจะรู้ได้อย่างไรเจ้าคะ ว่ามองอย่าไร”
ขันทองชักโมโหกับความกวนของแมงเม่า เลยเดินเข้าไปเอานิ้วถ่างตาแมงเม่าออก
“ มองอย่างนี้อย่างไรเล่า”
แมงเม่าโวยลั่น “โอ๊ยๆ”
ทันใดนั้นเอง ก็ได้ยินเสียงเยื้อนดังขึ้น
“ คุณพระเจ้าคะ”
ทั้งคู่สะดุ้งตกใจ รีบผละออกจากกันทันที ก่อนจะหันไปมองตามเสียง เห็นเยื้อนเดินหน้าบึ้งตึงมาทางพวกตน
“ คุณพระเจ้าคะ”
ทั้งคู่หันไปมองตามเสียง เห็นเยื้อนเดินหน้าบึ้งตึงมาทางพวกตน
เยื้อนคุกเข่าลง
“บ่าวขอประทานอภัยเจ้าค่ะ”
เยื้อนเหล่ไปทางแมงเม่าด้วยความไม่ชอบหน้า
“บ่าวไม่ทราบว่าคุณพระกำลังพูดคุยธุระกับแม่หญิงอยู่”
ขันทองรีบปรับสีหน้า
“ไม่มีกระไรดอก เหตุใดเจ้ามาถึงที่นี่”
“ท่านขุนจิตใจภักดิ์มีกิจสำคัญต้องการพบเจ้าค่ะ บ่าวเกรงว่าจะเสียราชการ จึงรีบมาตามหาคุณพระเจ้าค่ะ” พลางเหล่ไปทางแมงเม่าอีกด้วยความหึงหวงเต็มที่ “แต่ไม่ทราบว่าจะขัดธุระสำคัญของคุณพระแทนหรือไม่”
แมงเม่าชักหงุดหงิด จู่ๆก็มามองหน้าตนสองครั้งติดๆ แถมพูดจาแขวะๆอีก
“เมื่อออกพระศรีมีราชการ ฉันก็ขอตัวก่อนดีกว่าเจ้าค่ะ” แมงเม่าไหว้ลา
“ ประเดี๋ยว”
เยื้อนรีบพูดดักคอ
“แม่หญิงจะกลับแล้วหรือเจ้าคะ เชิญเจ้าค่ะ”
แมงเม่าหน้าบึ้งตึง จ้องเยื้อนเขม็ง ก่อนจะหันไปมองขันทองบ้าง
ขันทองหน้าเจื่อน แต่ไม่ทันพูดอะไร แมงเม่าก็สะบัดหน้าเดินหนีไป
ขันทองได้แต่ถอนใจก่อนจะเดินเลี่ยงไป
เยื้อนมองตามด้วยความหึงหวง แล้วรีบตามไป
ขันทองเดินลิ่วมา โดยมีเยื้อนรีบตามมา
“ท่านขุนจิตใจภักดิ์มีข้อราชการกระไร บอกเจ้ามาหรือไม่”
“ท่านขุนไม่ได้มาเจ้าค่ะ”
ขันทองหยุดกึกหันกลับไปจ้องหน้าเยื้อนทันที
“ นี่เจ้ากล้าปดฉันเชียวรึ”
เยื้อนคุกเข่าลง
“บ่าวยอมรับผิดทุกประการ คุณพระจะลงโทษบ่าวอย่างไรก็ได้ทั้งสิ้นเจ้าค่ะ”
ขันทองจ้องเขม็งด้วยความโกรธ ก่อนจะหันหน้าไปทางอื่น พยายามระงับอารมณ์
“เจ้าทำไปเพื่อกระไร”
เยื้อนก้มหน้า ไม่กล้าสบตา “ ไม่ทราบเจ้าค่ะ”
ขันทองโมโห ตะคอก “ไม่ทราบ นี่เจ้ากล้า...”
“ บ่าวทราบแต่ว่า บ่าวไม่อยากเห็นคุณพระคุยกับหญิงอื่นเจ้าค่ะ”
ขันทองอึ้งไป ไม่คิดว่าเยื้อนจะกล้าพูดอย่างนี้
เยื้อนหน้าเศร้า
“บ่าวรู้ ว่าบ่าวเลวนัก ที่กล้าคิดเช่นนี้กับผู้เป็นนาย แต่บ่าวก็ไม่อาจหักใจไม่ให้คิดได้ ด้วยคุณพระดีกับบ่าวนัก นับแต่บ่าวต้องตกเป็นทาส ก็ไม่เคยมีผู้ใดเมตตาบ่าว ดีกับบ่าว เช่นคุณพระมาก่อนเลยเจ้าค่ะ”
เยื้อนเข้าไปกอดขาขันทองเอาไว้
“ ฉันดีกับเจ้า เพราะเราล้วนเป็นคนเหมือนกัน เป็นเพื่อนที่เกิดมาร่วมชาติเดียวกัน หาใช่ฉันมีจิตชอบพอเจ้าไม่ แล... แลฉันไม่อาจทำให้เจ้าสมหวังได้ดอก”
เยื้อนบีบน้ำตา
“บ่าวทราบ ว่าคุณพระสิ้นความเป็นชายแล้ว แต่บ่าวไม่เคยสนใจเรื่องนี้ ขอเพียงแต่คุณพระเมตตาบ่าวบ้าง บ่าวก็พอใจแล้วเจ้าค่ะ”
ขันทองค่อยๆดึงขาออก “เจ้าไม่เข้าใจ มันไม่ใช่อย่างที่เจ้าคิดดอก”
ขันทองเดินหนีไป
เยื้อนมองตามทั้งน้ำตาคลอ ก่อนสีหน้าจะเปลี่ยนเป็นเจ็บแค้นขึ้นมา เจ็บใจมากที่ถูกผู้ชายซึ่งไม่ใช่ชายแท้ๆ ปฏิเสธเอาได้ คิดแล้วก็ยิ่งแค้นใจยิ่งขึ้น
ขันทองเดินเซ็งๆผ่านมาทางอ่างแก้ว เพราะยังไม่อยากกลับเรือน
ขณะนั้นเอง ก็ได้กลิ่นธูปลอยมากระทบจมูก
ขันทองสูดหายใจลึกๆเพื่อให้แน่ใจว่ากลิ่นอะไรแน่ แปลกใจ
“กลิ่นธูป”
ขันทองเดินตามหาที่มาของกลิ่น
ขณะนั้นเองก็เหลือบเห็นเลื่อนกำลังจุดธูปหนึ่งดอก เทียนหนึ่งเล่ม แล้วคุกเข่าอ่านคาถาที่ได้มาด้วยท่าทางหวาดกลัว
เลื่อนวางตะเกียงไว้ใกล้ๆตัวด้วย เพื่อจะได้อ่านคาถาที่จดไว้ในกระดาษได้
เลื่อนกลัวผีมาก ท่องคาถาปากขมุบขมิบไป สายตาก็สอดส่ายมองไปรอบๆ ตลอดเวลา ด้วยความหวาดกลัว
ขันทองซึ่งแอบดูอยู่ ขันทองสงสัยว่าเลื่อนกำลังทำอะไรกันแน่
เลื่อนท่องคาถาเสร็จก็เป่าพรวด
“คุณท้าวเจ้าขา อย่ามาหลอกมาหลอนกันอีกเลยนะเจ้าคะ บ่าวกลัวแล้ว ไปที่ชอบๆเถิดเจ้าค่ะ”
เลื่อนใช้มือขุดดินบริเวณริมอ่างแก้ว แล้วหยิบบางอย่างฝังลงไป ก่อนจะกลบดิน
พอเสร็จเรียบร้อย เลื่อนก็รีบถือตะเกียง เดินออกจากอ่างแก้วด้วยความกลัวทันที
ขันทองมองตามจนแน่ใจว่าเลื่อนไปแล้ว ก็รีบไปตรงที่เลื่อนใช้มือขุดดินทันที แล้วใช้มือของตนขุดเอาดินออก เพื่อจะดูว่าเลื่อนฝังอะไรไว้
ไม่นาน ขันทองก็ขุดเจอแผ่นผ้าเล็กๆที่ถูกฝังอยู่ ขันทองรีบเอาแผ่นผ้าไปส่องกับเทียนที่เลื่อนจุดทิ้งไว้ข้างธูป ปรากฏว่าเป็นแผ่นยันต์ เขียนด้วยอักขระแปลกประหลาดแผ่นหนึ่ง
“ แผ่นยันต์” ขันทองคิดทบทวนอยู่ครู่นึงก่อนจะเดาเรื่องได้
“นี่กลัว จนต้องมาสะกดวิญญาณแม่ข้าเชียวรึ”
บรรยากาศตอนเช้าหน้าเรือนขันทอง
แม้น ทาสรุ่นราวคราวเดียวกับเยื้อน แต่ตัวอ้วนใหญ่ ท่าทางกลัวๆ นั่งพับเพียบกราบขันทองที่ยืนอยู่กับแน่น โดยมีเยื้อนคุกเข่าอยู่ใกล้ๆหน้าตาบึ้งตึง
“ชื่อนังแม้น เป็นทาสที่ฉันเพิ่งซื้อมา แต่เมื่อออกพระต้องการฉันก็ยกให้ออกพระไว้ใช้สอยก็แล้วกัน” แน่นบอก
เยื้อนพูดสวนทันที
“เรือนเพียงเท่านี้ บ่าวคนเดียวก็ดูแลได้แล้วเจ้าค่ะ หาจำเป็นต้องมีบ่าวเพิ่มอีกคนไม่”
“แต่ฉันอยากได้มาแบ่งเบางานของเจ้า ไม่ดีรึ”
เยื้อนอึ้งไป รู้ว่าขันทองต้องการหาคนมาเป็นกันชนระหว่างตนกับขันทอง แต่จะโวยวายก็ไม่ได้
“มิได้เจ้าค่ะ”
“ถ้าเช่นนั้น เจ้าก็พาแม้นไปห้อง แลสอนงานให้ด้วยก็แล้วกัน”
“เจ้าค่ะ”
เยื้อนหน้าตาบึ้งตึง แต่ก็เดินนำแม้นลงจากเรือนไป
แน่นมองตามจนเยื้อนและแม้นไปแล้ว หันมาพูดกับขันทองด้วยความแปลกใจ
“เกิดกระไรขึ้นวะ เอ็งถึงต้องเอาทาสมาเพิ่มอีกคน เรือนก็เพียงเท่านี้ อย่างที่นังเยื้อนมันว่า”
“ เรื่องจุกจิก เอ็งอย่าใส่ใจเลย” ขันทองตัดบท “เออ แผนข้าที่ให้เจ้าแมงเม่าแกล้งผีเข้า เผื่อขู่เจ้าจอมเพ็ญ ไม่สำเร็จดอกนะ”
“ แผนแตกรึ” แน่นตกใจ
“ไม่ใช่ เจ้าจอมเพ็ญเชื่อถือเรื่องพวกนี้ ฉะนั้น ไม่สงสัยว่าผีปลอม หากแต่เจ้าจอมเพ็ญยังมีสติพอ ที่จะกลบเกลื่อน เรื่องราวไม่ให้เป็นพิรุธได้”
“ร้ายกาจนัก เออ แต่เห็นทีต้องพักเรื่องนี้ไว้ก่อนแล้ว เพราะเอ็งมีงานในหน้าที่ต้องสะสางก่อน”
“งานกระไรรึ” ขันทองแปลกใจ มองหน้าแน่นอย่างรอคำตอบ
บริเวณศาลาในวัง
ขุนรักษ์เทวา โยนสมุดบัญชีลงต่อหน้าหลวงศรีมะโนราช ขุนเทพชำนาญ ขุนเทพรักษา โดยมีขันทอง และแน่น ยืนอยู่ใกล้ๆ
ขุนเทพรักษาเห็นสมุดบัญชีถูกโยนลงมาก็หน้าเสีย แต่แกล้งโวยวายกลบเกลื่อน
“บาญชีพวกนี้อยู่กับพวกฉันนี่” พลางชี้หน้าขุนรักษ์เทวา
“นี่เจ้าขโมยไปรึ ขุนรักษ์เทวา”
"ต๊ายตาย จนตรอกขึ้นมาก็ป้ายสี ง่ายดีเหลือเกินนะ" รักษ์เทวากรี๊ดจริตพลางทิ้งค้อน
"ท่านขุนรักษ์เทวา เห็นว่าค่าใช้จ่ายที่ลงไว้ในบาญชี กับของที่ซื้อหามามันไม่ตรงกัน จึงอยากให้ท่านขุนเทพชำนาญ กับท่านขุนเทพรักษาชี้แจงมา"
ขุนเทพชำนาญ และเทพรักษาหน้าเสีย เหลือบไปมองศรีมะโนราชเพื่อขอความช่วยเหลือ
หลวงศรีมะโนราชตีหน้าเครียด
"ไม่มีกระไรต้องชี้แจงทั้งนั้น ซื้อของกระไร เท่าใด ก็ลงไว้ตามนั้น จะสงสัยอันใด"
ขันทองยิ้มเล็กน้อยแล้วบอก
"สร้อยลูกปัดสองพวง ราคาถึงหนึ่งตำลึง แต่เกิดมา ฉันไม่เคยเห็นสร้อยลูกปัดใดแพงเท่านี้มาก่อน"
ขุนเทพชำนาญ และขุนเทพรักษา ก้มหน้างุด
หลวงศรีมะโนราชเหล่มองทั้งคู่
"แลยังมีของอีกหลายอย่าง ที่ลงราคาเกินจริงไปมาก อย่างนี้ยังไม่ควรสงสัยอีกรึ"
"จะพูดไปไยกันออกพระ เอาหลักฐานทั้งหมดไปให้ออกญาวังดูเถิด" แน่นยิ้มเยาะ
"ไต่สวนกันสักพัก ลิ้มรสหวายกันสักหน่อย ขี้คร้านจะพูดความจริงออกมาจนหมด"
ขุนเทพชำนาญเผลอหลุดปาก
"อย่านะ อย่าให้ถึงออกญาวัง"
หลวงศรีมะโนราชตะคอกขุนเทพชำนาญ
"หุบปาก กลัวคนไม่รู้ว่าโง่รึ"
ขุนเทพชำนาญจ๋อยไป ไม่กล้าพูดอีก
หลวงศรีมะโนราชหันมาจ้องเขม็ง
"ต้องการกระไร ถ้าอยากฟ้องร้อง คงฟ้องไปนานแล้ว ไม่ใช่หรือคุณพระ"
"ที่ฉันไม่ฟ้อง เพราะเห็นว่ายังพูดจากันได้ แลไม่อยากให้คุณหลวงกับพวกต้องโทษเฆี่ยนตีเป็นที่อนาถ เอาอย่างนี้เถิด คุณหลวงกับท่านขุนทั้งสองชดใช้เงินทองที่ใช้จ่ายเกินไปมา แลนับแต่นี้ หน้าที่ดูแลบาญชี
ขอให้เป็นของท่านขุนรักษ์เทวา เช่นนี้ดีหรือไม่"
หลวงศรีมะโนราชมองขันทองด้วยสายตาเกลียดชัง
"ฉันเหมือนลูกไก่อยู่ในกำมือของคุณพระแล้วนี่ ยังจะกล้าไม่เห็นดีอยู่อีกรึ"
หลวงศรีมะโนราชเดินออกจากศาลาไป ตามด้วยเทพชำนาญ และเทพรักษา
"ไม่ขอบพระคุณสักคำ รู้เช่นนี้ ไม่น่าพูดดีด้วยเลย" ขุนรักษ์เทวาว่า
"นั่นซี ใจดีกับคนเช่นนี้ไป ก็ไม่ต่างจากช่วยงูเห่าดอกออกพระ" แน่นบอก
"ฉันไม่อยากเพิ่มศัตรูโดยไม่จำเป็น แลหวังว่าเรื่องครานี้ จะเป็นบทเรียนให้หลวงศรีมะโนราชกลับใจได้ก็พอ"
ขุนรักษ์เทวาเบ้ปากไม่เห็นด้วยเล็กน้อย
ขันทองมองตามหลวงศรีมะโนราชกับพวกไปด้วยสีหน้ากังวล ปัญหาตัวเองก็เยอะพอแล้ว เลยไม่อยาก
มีปัญหาเพิ่มอีก
บรรยากาศคึกคักของย่านร้านค้ายามบ่าย
ขันทองกำลังควบคุมให้พวกทาสขนข้าวของขึ้นเกวียน ซึ่งเป็นของที่ใช้ในวัง อย่างผ้า เครื่องหอม เครื่องประดับ โดยขุนรักษ์เทวาเป็นคนถือถุงใส่เงิน แล้วจ่ายเงินให้เจ้าของร้านค้า
ขันทองดูกระดาษที่จดรายชื่อของไว้
"ของที่ต้องซื้อก็ได้ครบถ้วนแล้ว ท่านขุนอยากซื้อกระไรเพิ่มหรือไม่"
"ไม่เจ้าค่ะ กลับกันดีกว่า" แล้วขุนรักษืเทวาก็หยิบเงินให้พ่อค้า
ทันใดนั้น ก็มีผู้ชายคนหนึ่ง เดินเข้ามาใกล้ขุนรักษ์เทวา แล้วฉวยโอกาสฉกถุงใส่เงินของขุนรักษ์เทวา วิ่งหนีไปทันที
รักษ์เทวาตกใจ
"ว้าย โจรๆ เอาเบี้ยข้าคืนมา"
ขุนรักษ์เทวารีบวิ่งตามไปทันที
ขันทองรีบเรียก
"ท่านขุน ไม่ต้องตาม"
ขุนรักษ์เทวาไม่ฟัง รีบวิ่งตามโจรไป
ขันทองหันไปสั่งพวกทาส
"รอข้าอยู่ที่นี่ ห้ามไปที่ใดเป็นอันขาด"
ขันทองรีบตามขุนรักษ์เทวาไป
โจรซึ่ง วิ่งราวถุงใส่เงินของขุนรักษ์เทวาหนีมา โดยมีขุนรักษ์เทวาตามมาติดๆ ในขณะที่ขันทองตามหลังมาอีกคน
โจรคนนั้นวิ่งเข้ามาในตรอก เป็นทางตัน ไม่มีทางไปต่อ
ขุนรักษ์เทวาตามมาจนทัน โดยมีขันทองตามมาอีกคน
ขุนรักษ์เทวากระหยิ่มยิ้มย่อง
"เสร็จข้าล่ะ เอาถุงใส่เงินข้าคืนมา"
ขันทอง ขันทองรู้สึกได้ว่ามีสิ่งผิดปกติ เลยหันไปมองรอบๆ
ขณะนั้นเอง พวกโจรที่ซ่อนอยู่ก็ค่อยๆออกมาจากที่ซ่อน รวมทั้งอีกกลุ่มที่ออกมาปิดปากตรอกไว้
แต่ละคนมีอาวุธครบมือ ทั้งดาบ ทั้งไม้
ขุนรักษ์เทวาตกใจมาก ออกอาการเลิ่กลั่ก "กระไรกันนี่"
"ท่านขุนหลงกลแล้ว" ขันทองบอก
ขุนรักษ์เทวากลัวมาก กลับลำทันที
"อยากได้เบี้ยไม่ใช่รึ ข้ายกให้ ไม่เอาคืนแล้ว"
พวกโจรค่อยๆล้อมกรอบกันเข้ามา ยิ้มร้ายๆกันเป็นแถว
"เราแต่งกายเช่นนี้ ดูแต่ไกลก็รู้ว่าเป็นขันทีในวัง โจรทั่วไป จะกล้าขโมยของพวกเรารึ แสดงว่าคงรับจ้างมาทำร้ายพวกเราเสียมากกว่า"
ขุนรักษ์เทวา เข้าไปกอดแขนขันทอง
"ออกพระศรี ออกพระศรีไม่กลัวเลยหรือ ถ้าเช่นนั้น ช่วยฉันด้วยนะเจ้าคะ"
ขันทองแกล้งกลัวทันที ดึงแขนออก
"ผู้ใดว่าฉันไม่กลัวมัน ฉันกลัวจนทำกระไรไม่ถูกแล้ว"
ขุนรักษ์เทวากอดแขนแน่นเข้าไปอีก
"อ้าว อย่าพูดเช่นนั้นซีเจ้าคะ"
ขุนรักษ์เทวาพยายามจะจับแขนขันทอง ขันทองก็ไม่ยอมให้จับ เลยยื้อยุดกันอยู่
ทันใดนั้นเอง โจรคนหนึ่ง ก็พุ่งเข้ามา ถือไม้เงื้อจะหวดทั้งคู่
ขันทองรีบถีบก้นขุนรักษ์เทวาไปชนกับโจรคนนั้น จนล้มคว่ำไปด้วยกัน
ขุนรักษ์เทวาโดนถีบไปชน ทั้งเจ็บทั้งจุก "โอ๊ย"
โจรอีกคนหวดไม้ใส่ขันทอง ขันทองก็หลบแล้วเตะสวน ก่อนจะบิดข้อมือแย่งไม้มา แล้วใช้ไม้ต่อสู้กับพวกโจรที่รุมเข้ามา
ขันทองสู้ไปก็โวยวายกลบเกลื่อนไปด้วย เพราะให้รักษ์เทวารู้ไม่ได้ว่าตนมีฝีมือการต่อสู้
"อย่าเข้ามา ฉันกลัวแล้ว อย่าทำฉันเลย ฉันเป็นขันที"
ขันทองกลัวแต่ปาก แต่ควงไม้เข้าต่อสู้กับพวกโจรอย่างดุเดือด หวดไม้ใส่พวกโจรจนร่วงไปทีละคนสองคน พวกโจรฟันดาบมา ขันทองก็หลบได้อย่างง่ายดาย ก่อนจะเตะสวนจนร่วงไปอีกคน
" โอ๊ย ช่วยด้วย ใครก็ได้ ช่วยฉันที ช่วยฉันด้วย"
ขุนรักษ์เทวาพยายามจะลุกขึ้นช่วย ทั้งๆที่ยังจุกอยู่
ขันทองรีบยันหลังขุนรักษ์เทวาลงไปกระแทกกับโจรคนเดิม จนจุกด้วยกันทั้งคู่ จะให้ขุนรักษ์เทวาเห็นตนต่อสู้ไม่ได้
ขุนรักษ์เทวาร้องเสียงหลง "ว้าย"
ขันทองสู้ไปก็โวยกลบเกลื่อนไปด้วย
"หลบลงไปท่านขุน มีคนมาช่วยเราแล้ว ช่วยด้วยๆ"
ขันทองใช้ไม้ตีใส่พวกโจรอย่างรวดเร็ว พวกโจรไม่เก่งนัก แม้จะมีมากกว่า แต่โดนขันทองเล่นงานร่วงเป็นใบไม้ร่วง
ขุนรักษ์เทวาจะเงยหน้าขึ้นมา แต่ก็โดนขันทองใช้เท้ายันก้นล้มคว่ำไปอีก หัวพุ่งไปกระแทกปลายคางโจรคนนั้นซ้ำจนโจรสลบเหมือดไป ขันทองไม่ยอมให้เห็นการต่อสู้เด็ดขาด
ขันทองสู้ไปก็โวยกลบเกลื่อนไปด้วย เหมือนมีคนมาช่วยสู้
"ท่านระวังหลังด้วย นั่นล่ะ เล่นงานมันให้หมอบเลย พวกมันหนีไปแล้ว รีบตามไปเร็วเข้า" พูดไปก็สู้กับโจรไปอย่างทะมัดทะแมง
ขันทองเล่นงานโจรคนสุดท้ายสลบเหมือดไป
โจรทั้งกลุ่ม นอนร้องโอดโอยอยู่บนพื้น ลุกไม่ขึ้นซักคน รวมทั้งขุนรักษ์เทวาด้วย
หลวงศรีมะโนราชหันกลับมาด่าขุนเทพชำนาญ กับขุนเทพรักษาที่ทำงานพลาด ด้วยความโมโห หลังจากฟังรายงานอยู่ที่เรือนเทพรักษาตอนหัวค่ำ
" คิดว่าฉันโง่รึ อย่างอ้ายศรีขันทินจะไปมีปัญญากระไรเอาชำนะพวกโจรด้วยตัวคนเดียว"
" พวกดีฉันพูดจริงนะเจ้าคะ อ้ายพวกโจรมันยืนยันตรงกันทุกคนเจ้าค่ะ" ขุนเทพชำนาญบอก
หลวงศรีมะโนราชตะคอก
" ก็โดนพวกมันหลอกเอาน่ะสิ ดูสารรูปอ้ายศรีขันทินมันบ้างเถิด ของหนักที่สุดเท่าที่มันเคยยก คงไม่พ้นกระโถนน้ำหมาก ใครที่เชื่อว่าจะเอาชำนะโจรได้ ก็โง่จนไม่รู้จะเปรียบกับกระไรแล้ว มันคงรับเบี้ยพวกเจ้าไปแล้วไม่ทำงาน แลปั้นเรื่องมาหลอกเอาตัวรอดต่างหาก"
ขุนเทพชำนาญ ขุนเทพรักษาหันไปมองหน้ากัน พวกตนฟังความข้างเดียว ไม่มีหลักฐานยืนยัน และที่
หลวงศรีมะโนราชพูดมาก็มีส่วนถูก
ขุนเทพรักษาบอกเสียงอ่อย
" ถ้ากระนั้น คุณหลวงจะให้พวกดีฉันทำกระไรต่อเจ้าคะ จะให้ไปจ้างพวกอื่น มาดักทำร้ายอ้ายพระศรีขันทินอีกหรือไม่"
" ของเช่นนี้ ทำบ่อยครั้งก็เท่ากับรับสารภาพเสียเอง หมดโอกาสไปแล้วจะทำได้อีกรึ"
"แต่เพลานี้ ใกล้จะมีศึกอีก อาจเกิดเหตุวุ่นวายได้ทุกเมื่อ เราค่อยฉวยโอกาสตอนนั้นก็ได้นะเจ้าคะ"
"พวกดีฉันขอสัญญาว่าจะแก้ตัว ไม่ให้ผิดพลาดเหมือนครานี้อีก คุณหลวงอย่าเพิ่งตัดโอกาสพวกดีฉันเลยนะเจ้าคะ" ขุนเทพชำนาญบอก
หลวงศรีมะโนราชคิดตามอยู่ครู่หนึ่ง
"ถึงเพลานั้น ค่อยมาพูดกันอีกทีเถิด" พลางขบกรามแน่นด้วยความแค้น "ถ้ามีช่องให้ทำได้ ฉันก็ไม่มีวันปล่อยมันเช่นกัน อ้ายพระศรีขันทิน"
หลวงศรีมะโนราชแววตาอาฆาต
ขันทอง และแน่น เดินคุยกันมาตามทางเดินในวังยามเช้า ด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส
แน่นหัวเราะชอบใจ
"เสียดายนักที่ข้าไม่อยู่ด้วย เลยอดเห็นสภาพของท่านขุนรักษ์เทวาเสียได้"
ขันทองยิ้มขำๆ
"เอ็งก็คิดเอาแต่สนุก ข้าสู้ไป ปากตะโกนเรียกให้คนช่วยไป แลยังต้องระวังไม่ให้ขุนรักษ์เทวาเห็นอีก ไม่ใช่ง่ายๆนาอ้ายแน่น"
แน่นยิ้มๆ ก่อนจะหน้าขรึมลง
"เอ็งว่าฝีมือผู้ใด ใช่อ้ายพลเทพหรือไม่"
ขันทองส่ายหน้า
"ถึงอ้ายพลเทพจะไม่ชอบน้ำมะหน้าข้า แต่ก็ไม่เคยสงสัยแลอ้ายคนที่มาดักทำร้าย ฝีมืออ่อนด้อยเกินไป น่าจะเป็นพวกลักเล็กขโมยน้อยรับงานมาเสียมากกว่า"
แน่นคิดตามอยู่ครู่นึง
"ถ้าเช่นนั้น ออกหลวงศรีมะโนราชก็น่าสงสัยกว่าใคร เพราะเพิ่งมีเหตุโกรธแค้นกัน เช่นนี้แล้ว เอ็งจะทำอย่างไรต่อ"
ขันทองส่ายหน้า
"ไม่ต้องทำกระไร พลาดไปเช่นนี้ คงสงบได้อีกพักใหญ่ เรื่องตัวข้า ไม่กระไรนักดอก ที่ข้าห่วงที่สุดตอนนี้ คือเรื่องของบ้านเมืองมากกว่า"
ขันทองหนักใจขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด
ทางด้านพระยาพลเทพ พระยากำแหง จมื่นศรีสรรักษ์ และขุนนางคนอื่นๆกำลังประชุมกันอยู่ในศาลาลูกขุนอย่างเคร่งเครียด โดยพระยาพลเทพเป็นเหมือนประธานในที่ประชุม
ขุนนาง 1บอก"ทัพของมังมหานรธายั้งอยู่ที่ทวายมาพักหนึ่งแล้ว ยังไม่มีทีท่าว่าจะกลับ ส่วนเนเมียวสีหบดีก็ยกทัพตีล้าน ช้าง คาดว่าคงแตกในอีกไม่ช้านี้ ชะรอยว่าทัพทั้งสอง คงยกมาตีอโยธยา พร้อมกันเป็นแม่นมั่นขอรับ"
พระยากำแหงบอก
"ทัพทางเหนือของเนเมียวสีหบดีไม่น่าหนักใจ เพราะเรายังมีทั้งพิษณุโลก สุโขทัย แลอีกหลายเมืองเป็นด่านกั้นอยู่ ขอเพียงเราให้เมืองเหล่านี้เกณฑ์ทหารเพิ่ม ทัพเพียงสองหมื่นของเนเมียวสีหบดีก็ยากจะผ่านมาได้ แต่ทัพทางทวายนี้หนักหนาอยู่ จึงควรรวมกำลังหัวเมืองด้านใต้ไปร่วมรับศึก จึงจะได้ขอรับ"
พระยาพลเทพบอก
"ฉันเห็นด้วยกับท่านเจ้าคุณกึ่งหนึ่ง คือทัพทางใต้ของมังมหานรธานับเป็นปัญหาใหญ่ แต่เราจะยอมให้มีการเกณฑ์ทหารเพิ่มไม่ได้เป็นอันขาด เกิดพวกหัวเมืองมันฉวยโอกาสก่อกบฏขึ้นมาจะทำอย่างไร" มองหน้าขุนนางทุกคน "มีผู้ใดในที่นี้รับผิดชอบได้บ้าง"
ทุกคนหันไปมองตากันปริบๆ แม้จะไม่เห็นด้วยนัก แต่ถ้าเกิดกบฏจริงๆ ก็ไม่มีใครกล้ารับผิดชอบเหมือนกัน
ขุนนาง 2 บอก
"ถ้าเช่นนั้น พระคุณจะวางแผนรับมืออย่างไร โปรดบอกมาเถิดขอรับ"
พระยาพลเทพบอก
"ศึกด้านเหนือ ฉันเชื่อว่าทหารหัวเมืองที่มีอยู่ เพียงพอต่อการรับศึกแล้ว ไม่จำเป็นต้องเกณฑ์เพิ่ม แต่ศึกด้านใต้ ฉันจะส่งทหารจากอโยธยาหกหมื่นคนไปช่วยป้องกันแทน รับรอง ว่าไม่มีทางผ่านขึ้นมาเห็นกำแพงเมืองอโยธยาได้เป็นอันขาด"
จมื่นศรีสรรักษ์ตื่นเต้น
"หกหมื่นเชียวหรือขอรับ มีกำลังพลมากกว่าศัตรูนัก อย่างนี้ก็คงชำนะศึกได้ไม่ยาก"
พระยากำแหงกับขุนนางคนอื่นหันไปปรึกษากัน ทางออกของพระยาพลเทพก็น่าสนใจไม่น้อย
พระยากำแหงกังวล
"แผนของท่านเจ้าคุณดีนัก แต่ทหารของอโยธยาไม่ค่อยได้ออกศึก ความเข้มแข็งเกรงว่าจะสู้ทหารหัวเมืองไม่ได้นะขอรับ"
พระยาพลเทพแกล้งทำเป็นรำคาญ
"ท่านเจ้าคุณจำใครมาพูด ทหารอโยธยามีหรือจะเข้มแข็งสู้ทหารหัวเมืองไม่ได้ แลฉันส่งไปครานี้ถึงหกหมื่น มากกว่าเป็นเท่าตัว จะไม่ชำนะได้อย่างไร"
พระยากำแหงหน้าเจื่อนไป ไม่กล้าพูดอะไรอีก
จมื่นศรีสรรักษ์อยากได้ความชอบ
"ถ้าเช่นนั้น ขอกระผมออกศึกเพื่อทดแทนบุญคุณแผ่นดินสักคราเถิดนะขอรับท่านเจ้าคุณ จะได้ให้อ้าย
พวกอังวะ มันเห็นฝีมือชาวอโยธยาเสียบ้าง"
พระยาพลเทพยิ้มแย้ม
"เมื่อคุณพระนายมีใจรักแผ่นดินเช่นนี้ ฉันจะขัดขวางได้อย่างไร ฉันจะให้คุณพระนายเป็นรองแม่ทัพก็แล้วกัน"
จมื่นศรีสรรักษ์ดีใจมาก ไหว้ "เป็นพระคุณขอรับ"
จมื่นศรีสรรักษ์กระหยิ่มยิ้มย่อง ศึกนี้ชนะง่ายๆ ตนก็ได้ความชอบไม่ยาก จบศึก มีหวังเป็นพระยาแน่ๆ
พระยากำแหง ดูเครียดไป รู้สึกไม่ค่อยเห็นด้วยกับแผนการรบครั้งนี้เท่าใดนัก
ขันทองเดินคุยกับพระยากำแหงด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
" ไม่เพียงแต่จะอ่อนแอ แต่ทหารอโยธยายังวินัยหย่อนยานอีกด้วย ถึงมีจำนวนหกหมื่น ก็หามีความหมายไม่ อย่าว่าแต่รบกับอังวะเลย ต่อให้รบกับชุมโจร ยังไม่แน่ว่าจะชำนะ แผนนี้ ดูเหมือนจะดี
แต่กลับมีช่องโหว่รอยใหญ่นัก"
"ฉันก็เห็นด้วยกับคุณพระ แต่เมื่อทักท้วงไม่เป็นผล ก็จำต้องปล่อยไปด้วยสิทธิขาดเป็นของออกญาพลเทพ ฉันจะทำกระไรได้"
" เจ้าคุณพลเทพเป็นใหญ่ในกรมนา เหตุใดจึงมีสิทธิขาดในศึกสงครามได้ แล้วฝ่ายกลาโหมเล่าเจ้าคะ"
พระยากำแหงถอนใจเฮือกใหญ่
"ออกญากลาโหม ก็มีแต่ชื่อเท่านั้นดอก ที่ได้ตำแหน่งนี้มา ก็เพราะเคยทำความดีความชอบครั้งใหญ่ไว้ พอมีศึกถึงได้ให้ออกญาพลเทพบัญชาการอย่างไรเล่า"
ขันทองถอนใจเฮือกใหญ่บ้าง ถ้าขนาดนี้ ก็ไม่รู้จะทำยังไงเหมือนกัน
พระยากำแหงมองขันทองด้วยสายตาจับผิด
"ดูคุณพระจะเป็นห่วงเป็นใยบ้านเมือง แลมีความรู้เรื่องการศึกไม่น้อย ฉันไม่เคยเห็นขันทีคนใดเป็นอย่างคุณพระมาก่อนเลย"
ขันทองปั้นหน้าเศร้า
"ดีฉันเป็นคนต่างด้าวท้าวต่างเมืองก็จริง แต่ก็สำนึกในบุญคุณข้าวแดงแกงร้อนของอโยธยา จะไม่เป็นห่วงเป็นใยได้อย่างไรเล่าเจ้าคะ ส่วนความรู้ด้านการศึกนั้น คนเมืองโต้ระกี่ก็พอมีติดตัวทุกผู้คน หากวันใดท่านเจ้าคุณได้ไปเมืองโต้ระกี่ ก็คงจะเห็นเองเจ้าค่ะ"
พระยากำแหงยิ้มรับอย่างคลายสงสัย
"เช่นนี้นี่เอง ฉันต้องขอบน้ำใจคุณพระนักที่มีใจรักแผ่นดินนี้ แต่ในเมื่อเราทำกระไรไม่ได้ ก็คงต้อง
ทำใจ ไม่แน่ว่าสิ่งที่ออกญาพลเทพทำ อาจจะเป็นสิ่งที่ถูกก็ได้ " ก่อนนึกขึ้นได้ "เออ แล้วเรื่องที่ฉันฝากฝังคุณพระไว้ เป็นอย่างไรบ้าง"
ขันทองหน้าหงิก หงุดหงิด เริ่มหึงหวงแมงเม่าแต่ไม่รู้ใจตัวเอง รู้แค่ว่าหมั่นไส้โดยไม่มีเหตุผล
"แม่แมงเม่า ยังอยู่ที่ตำหนักกรมขุนวิมล ท่านเจ้าคุณไปหาเองก็ได้นี่เจ้าคะ"
" ถ้าไปได้ ฉันก็ไปนานแล้ว จู่ๆไม่มีเหตุ จะให้เข้าไปที่ตำหนักได้อย่างไร"
ขันทองหยิบห่อผ้าเล็กๆที่เหน็บไว้กับผ้าคาดเอวยื่นให้พระยากำแหง
"สร้อยคอของเจ้าจอมอำพันขาด ท่านใช้ให้ดีฉันไปต่อ เพลานี้เจ้าจอมท่านอยู่ที่ตำหนักกรมขุน ท่านเจ้าคุณเอาสร้อยไปคืนเจ้าจอมแทนดีฉันเป็นอย่างไรเจ้าคะ"
พระยากำแหงดีใจมากที่ขันทองเปิดโอกาสให้ตน รีบรับห่อผ้า
"ขอบน้ำใจคุณพระนัก ฉันไหว้วานไม่ผิดคนเลย"
พระยากำแหงรีบเดินเลี่ยงไปอย่างอารมณ์ดี
ขันทองหมั่นไส้ พูดเบาๆตามหลัง
"เสน่ห์แรงเหลือเกินนะแม่คุณ"
ตำหนัก กรมขุนวิมลภักดี พระยากำแหงเอาห่อผ้าใส่สร้อยคอที่ได้จากขันทองยื่นให้เจ้าจอมอำพัน
กรมขุนวิมลภักดีนั่งเล่นอยู่ที่ชานเรือน โดยมีแมงเม่า เป้า เจ้าจอมอำพัน และคุณท้าวโสภาร้อยมาลัยอยู่ใกล้ๆ
เจ้าจอมอำพันยิ้มแย้ม รับของมา
"รบกวนออกญาท่านแล้ว สู้อุตส่าห์เอาของมาให้ฉันถึงที่ เกรงใจจริงๆ"
" ไม่ต้องเกรงใจดอกขอรับเจ้าจอม กระผมเห็นว่าออกพระศรีติดราชการด่วน จึงเป็นคนอาสามาเองขอรับ"
พระยากำแหงหันไปเหล่แมงเม่า
แมงเม่าเห็นสายตาพระยากำแหง ก็รีบเอามาลัยที่ตนเพิ่งร้อยเสร็จให้กรมขุนวิมลดูทันที
แมงเม่ายื่นมาลัยให้กรมขุนวิมล
"เสร็จแล้วเพคะ"
กรมขุนวิมลภักดีรับมาลัยมาดู
"งามจริง เจ้าตัวดีของฉัน เพลาตั้งใจทำกระไรแล้ว ก็ไม่น้อยหน้าใครเลยจริงๆนะ"
แล้วยื่นมาลัยให้คุณท้าวโสภา "คุณท้าวลองดูสิ"
คุณท้าวโสภายื่นมือไป แล้วกระดกมือขึ้นเล็กน้อยตามธรรมเนียม ก่อนจะรับมาลัยมา
คุณท้าวดูมาลัยอย่างละเอียด ยิ้ม
"งามจริงอย่างที่ตรัสเพคะ ฝีมือไม่แพ้ชาววังอย่างพวกเราเลย" ก่อนหันไปพูดกับแมงเม่า "นี่ถ้าฉันไม่เห็นกับตา ต้องนึกว่าหล่อนไปจ้างคนอื่นทำเป็นแน่"
"พุทโธ่ คุณท้าวเจ้าขา"
ทุกคนพากันยิ้มขำๆกับท่าทางของแมงเม่า
คุณท้าวโสภาคืนมาลัยให้แมงเม่า แมงเม่ารับมาก็เอามาดมด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
เป้าตกใจ
"อุ๊ย แม่แมงเม่า ดมได้อย่างไรจ๊ะ มาลัยนี้จะเอาไว้ถวายพระ"
แมงเม่าตกใจ
"จริงหรือแม่เป้า ฉันไม่รู้เลย"
"นี่ ช่างไม่รู้กระไรเสียบ้างเลย ช่างเถิด ร้อยเอาใหม่ก็ได้" กรมขุนวิมลภักดีว่า
"เพคะ"
กำแหงได้ช่อง
"เอ่อ แม่แมงเม่า อย่างไรเสีย มาลัยพวงนี้ก็ใช้ถวายพระไม่ได้แล้ว แม่จะเมตตายกให้ฉันได้หรือไม่"
แมงเม่าชะงักไปทันที ถ้ายอมให้ก็เท่ากับมีใจ ไม่ให้ก็หักหน้าพระยากำแหง เลยชักลังเล
เจ้าจอมอำพันหันไปมองกรมขุนวิมลภักดี คุณท้าวโสภา ต่างคนต่างยิ้มๆ พระยากำแหงเป็นขุนนางชั้นผู้ใหญ่ อายุก็ยังไม่มาก มาติดพันแมงเม่าก็ถือว่าโชคดีของแมงเม่า
ขณะนั้นเอง พระองค์เจ้าเชษฐ์ก็เดินเข้ามาหาทุกคน
" ร้อยมาลัยกันอยู่รึ แหม ช่างโชคดีจริง นึกว่าจะมาเสียเที่ยวเสียแล้ว"
แมงเม่า เป้า คุณท้าวโสภา และ พระยากำแหงก้มลงกราบพระองค์เจ้าเชษฐ์
เจ้าจอมอำพันยกมือไหว้ พระองค์เจ้าเชษฐ์รับไหว้ ก่อนจะหันไปไหว้กรมขุนวิมลภักดีบ้าง กรมขุนวิมลก็รับไหว้
"ต้องขอประทานโทษด้วยเพคะ ไม่ทราบว่าพระองค์ชายจะเสด็จมา"แล้วหันไปบ่นพวกข้าหลวง "นังพวกนี้ก็เหลือเกิน ทำไมถึงไม่มาบอก"
"อย่าไปโทษพวกข้าหลวงเลยเจ้าจอม" พระองค์เจ้าเชษฐ์หันไปยิ้มกรุ้มกริ่มให้แมงเม่า
"ฉันได้กลิ่นหอมของมาลัย ก็เลยตามเข้ามาน่ะ"
แมงเม่าหลบตา กระอักกระอ่วนมาก แต่พูดอะไรไม่ได้
พระยากำแหงตกใจที่พระองค์เจ้าเชษฐ์จีบแมงเม่า หันไปมองพระองค์เจ้าเชษฐ์กับแมงเม่า
สลับกันไปมา
องค์เชษฐ์เห็นแมงเม่าหลบตาก็เข้าใจผิดว่าเขินอาย เลยยิ่งได้ใจ
"เจ้าแมงเม่า ขอมาลัยของเจ้าให้ฉันเถิด ฉันจะเก็บไปวางไว้ข้างหมอน คืนนี้คงหลับ
ฝันดีเป็นแน่"
แมงเม่ากระอักกระอ่วน ก่อนนึกขึ้นได้
"ขอประทานอภัยเพคะ ออกญาวังได้ขอมาลัยของหม่อมฉันแล้ว"
พระองค์เจ้าเชษฐ์หันไปมองเขม่นพระยากำแหงทันที
พระยากำแหงได้ใจ แมงเม่าพูดอย่างนี้ ก็แสดงว่าไม่ชอบพระองค์เจ้าเชษฐ์
"เป็นเช่นนั้น จริงกระหม่อม ต้องขอประทานอภัย"
พระองค์เจ้าเชษฐ์เจ็บใจแต่ก็ไม่ยอมแพ้
"ออกญาวังขอ แล้วเจ้าเอ่ยปากยกให้แล้วหรือไม่"
"ยังเพคะ"
" เมื่อยังไม่ตอบตกลง ก็ยังเปลี่ยนใจได้ไม่ใช่รึ"
พระยากำแหงขบกรามแน่นด้วยความเจ็บใจ ถ้าเป็นคนอื่น คงเห็นดีกันไปแล้ว
แมงเม่ายิ้มบางๆ "จริงเพคะ"
พระองค์เจ้าเชษฐ์ดีใจจนออกนอกหน้า แต่พระยากำแหงตกใจที่แมงเม่าพูดอย่างงี้
แมงเม่าหันไปร้อยมาลัยอีกพวงที่ค้างไว้จนเสร็จเรียบร้อย
แมงเม่ายื่นมาลัยสองพวงออกมา
"พวงหนึ่ง หม่อมฉันขอถวายเพคะ ส่วนอีกพวง เป็นของออกญาเจ้าค่ะ"
พระองค์เจ้าเชษฐ์ และพระยากำแหงหน้าเจื่อนทั้งคู่ แมงเม่าทำอย่างงี้ ก็เท่ากับไม่เลือกใคร
เป้าหัวเราะคิกๆ
คุณท้าวโสสภาหยิกเป้า ดุเบาๆ "หัวร่อกระไร ไม่งามเอาเสียเลย"
กรมขุนวิมลภักดี และเจ้าจอมอำพัน พากันแอบขำเบาๆกับพฤติกรรมของแมงเม่า
คุณท้าวโสภาหน้าเจื่อน เป้ามองคุณท้าวประมาณว่าทีคนอื่นล่ะ คุณท้าวก็ทำไม่รู้ไม่ชี้
พระองค์เจ้าเชษฐ์ พระยากำแหงมองเขม่นกัน ก่อนจะรับมาลัยมาคนละพวง
แมงเม่าเดินยิ้มๆออกมารอเป้าที่หน้าตำหนัก
แมงเม่านึกถึงวีรกรรมตัวเองเมื่อครู่ ก็อดขำไม่ได้ ค่อนข้างจะภูมิใจกับสิ่งที่ตัวเองทำมาก
ขณะนั้นเอง ก็ได้ยินเสียงกระแอมของขันทองดังขึ้น
แมงเม่าหันไปมองตามเสียง เห็นขันทองเดินหน้าบึ้งเข้ามาหาตน
" ออกพระศรี ติดราชการด่วนไม่ใช่หรือเจ้าคะ"
" ออกญาวังเป็นคนบอกล่ะซี ดูท่า เจ้าจะดีอกดีใจมาก ถึงได้ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เช่นนี้"
แมงเม่างงๆ "ดีใจ" ด้วยคิดว่าเป็นเรื่องที่ตนให้มาลัยพระองค์เจ้าเชษฐ์กับพระยากำแหง
พร้อมกัน " นี่ออกพระทราบแล้วหรือเจ้าคะ แหม เร็วจริง ก็ไม่ได้ดีใจกระไรนักดอกเจ้าค่ะ เพียงแต่รู้สึกภูมิใจกับไหวพริบตัวเองเท่านั้น"
ขันทองยิ่งหึงหนัก
"ก็น่าภูมิใจอยู่ดอกกระมัง มีผู้ชายหาอุบายมาพบหน้าถึงในตำหนักนี่ เป็นฉัน ฉันคงภาคภูมิใจจนนอนไม่หลับเทียว"
" ไม่ถึงขั้นนั้นดอกเจ้าค่ะ เรื่องเพียงเล็กน้อย พอให้มีเรื่องคุยเล่นเป็นขำเท่านั้นเอง"
ขันทองยิ่งหึงหนัก
แมงเม่าพูดอย่างงี้ก็เหมือนตัวเองมีเสน่ห์ จนเห็นผู้ชายมาจีบเป็นเรื่องตลก แต่ยังไม่ทันต่อปาก
ต่อคำ เป้าก็เดินออกมาจากข้างในก่อน
" แม่แมงเม่า รอนานหรือไม่จ๊ะ" หันไปเห็นขันทอง ยิ้มทักทาย "คุณพระศรี มาเข้าเฝ้าเสด็จหรือเจ้าคะ"
ขันทองหน้าบึ้งตึง "มิได้ ฉันเพียงแต่ผ่านมาเท่านั้น"
"ถ้ากระนั้น ฉันขอตัวนะเจ้าคะ ไปกันเถิดแม่แมงเม่า"
ทั้งคู่เดินเลี่ยงไป คุยกันไปด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
" แม่แมงเม่านี่ร้ายกาจนัก เป็นฉันคงคิดไม่ออกว่าจะทำอย่างไร คงกลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่อย่างนั้น"
แมงเม่าได้แต่ยิ้มขำๆ เดินคุยไปกับเป้า
ขันทองมองตามด้วยความหึงหวง หน้าบึ้งตึง
"เห็นชายมาเกี้ยวพา เป็นเรื่องน่าภูมิอกภูมิใจแลขบขันรึ จำเริญเถิดแม่คุณ"
ขันทองจับตามองตามแมงเม่าไปด้วยสีหน้าบึ้งตึง อาการหึงหวงเก็บไม่มิดแล้ว
บนแผนที่ เห็นลูกศรสีแดงแสดงการเดินทัพของอังวะจากเมืองเชียงใหม่ ไปที่ล้านช้าง ก่อนที่จะออกจากล้านช้างมาที่เมืองลำปาง
"หลังจากยึดเชียงใหม่ได้ กองทัพของเนเมียวสีหบดีก็บุกไปตีล้านช้างต่อจนสำเร็จ ก่อนที่จะยกทัพมาตีเมืองลำปาง แล้วพักกองทัพทั้งหมดไว้ที่เมืองลำปาง เพื่อสะสมเสบียงอาหาร และรอเวลาได้เปรียบในการทำศึกระยะยาวต่อไป"
ลูกศรสีน้ำเงินแสดงการเดินทัพของกรุงศรีอยุธยา จากกรุงศรีอยุธยาลงมาทางใต้
"ในขณะที่กรุงศรีอยุธยามั่นใจว่าหัวเมืองทางเหนือจะรับศึกได้จึงไม่ได้ส่งทัพไปช่วย แต่กลับยกทัพใหญ่ลงทางใต้ เพื่อป้องกันกองทัพของมังมหานรธาเป็นหลัก"
ลูกศรสีแดงแสดงการเดินทัพของอังวะจากเมืองทวาย ลงใต้ไปเมืองมะริด จากเมืองมะริดไปเมืองตะนาวศรี จากเมืองตะนาวศรีลงไปที่เมืองชุมพร แล้ววกขึ้นเหนือมา
"แต่มังมหานรธากลับหลบการป้องกันของกรุงศรีอยุธยา ด้วยการยกทัพลงใต้ไปยึดเมืองมะริด และตะนาวศรีแทน ก่อนจะลงไปถึงเมืองชุมพร แล้วจึงวกอ้อมกลับขึ้นมา
ลูกศรสีแดงแสดงการเดินทัพของอังวะ ที่อ้อมชุมพรขึ้นเหนือมา เข้าปะทะกับลูกศรสีน้ำเงินที่แสดงถึงกองทัพของกรุงศรีอยุธยา
10 วันผ่านมา
กองทัพอยุธยาจำนวนมาก มีอาวุธครบมือ ยืนเป็นระเบียบเรียบร้อย ธงทิวปลิวไสว
จมื่นศรีสรรักษ์ขี่ม้ายืนคู่กับแม่ทัพ เพื่อรอฟังข่าวจากหน่วยลาดตระเวน
ขณะนั้นเอง ก็มีทหารไทยคนหนึ่งสังกัดหน่วยลาดตระเวน ขี่ม้าเข้ามาหาแม่ทัพและจมื่นศรีสรรักษ์ เพื่อรายงานความเคลื่อนไหว เขาหยุดม้า แล้วลงจากหลังม้า คุกเข่าต่อหน้าแม่ทัพและจมื่นศรีสรรักษ์
ทหาร 1 คุกเข่าพนมมือ
"ทัพหน้าของข้าศึกมีจำนวนห้าพัน ตั้งอยู่เลยทิวไม้ข้างหน้าไป แต่ในกองทัพ มีธงประจำตัวแม่ทัพอยู่ด้วยขอรับ"
จมื่นศรีสรรักษ์ยิ้มดีใจ
"มีแค่ห้าพัน แต่เรามีถึงหมื่นสอง ศึกนี้เราชำนะแน่ท่านเจ้าคุณ"
แม่ทัพบอก " ยังประมาทไม่ได้ดอกคุณพระนาย เพราะเมื่อมีธงแม่ทัพอยู่ แสดงว่ามังมหานรธาบัญชาการศึกนี้ด้วยตนเอง"
"กระผมได้ยินมาว่า มังมหานรธาอายุถึงหกสิบเศษแล้ว เราจะกลัวอันใดกับคนแก่เล่าท่านเจ้าคุณ" จมื่นศรีสรรักษ์หัวเราะชอบใจ
แม่ทัพหน้าเครียดยังไม่ไว้ใจนัก
มหานรธากำลังขี่ม้า ปลุกขวัญทหาร โดยกองทัพมังมหานรธายืนเป็นระเบียบเรียบร้อย สีหน้าแววตามุ่งมั่นทุกคน
มังมหานรธาพูดเสียงดัง
"ทัพหน้าอโยธยามีเรือนหมื่น เรามีเพียงห้าพัน บอกหน่อยเถิด ว่าพวกเอ็งกลัวหรือไม่"
ทหารทุกคนตอบพร้อมกัน เสียงดังลั่น " ไม่"
มังมหานรธายิ้มมั่นใจ หันไปพยักหน้าให้ลูกน้อง
ลูกน้องคนหนึ่ง วิ่งเอาจอกใส่เหล้าเข้ามาให้
มังมหานรธารับจอกไว้
"พวกเราทุกคนมีที่มาต่างกัน บ้างเป็นอังวะ บ้างมาจากหัวเมืองฉาน ยังมีคนจากทวายอีกด้วย แต่วันนี้ เรารบใต้ร่มธงเดียวกัน ร่มธงของชาวพุกามทั้งมวล ข้า มังมหานรธา ขอดื่มเหล้าจอกนี้ เพื่อแสดงความคารวะแก่ทหารกล้าทุกคน"
เมื่อดื่มเหล้าจนหมดจอกแล้ว ปาจอกทิ้ง ก่อนจะชักดาบออกมา
"ไป จงไปแสดงการรบเยี่ยงชาวพุกาม ให้ศัตรูได้เห็น"
พวกทหารโห่ร้องดังกึกก้อง กำลังใจฮึกเหิมถึงขีดสุด
เสียงโห่ร้องดังกึกก้องของทหารอังวะ ดังลั่นมาถึงกองทัพกรุงศรีอยุธยา จนจมื่นศรีสรรักษ์ และพวกทหารคนอื่นพากันตกใจ เริ่มกลัว หันไปซุบซิบกัน
แม่ทัพพูดเสียงดัง ปลอบขวัญ
"ไม่ต้องกลัว พวกมันเพียงแต่ส่งเสียงดังเข้าขู่เท่านั้น ทหารกล้าแห่งอโยธยา จะไม่มีวันถอยเพียงเพราะเสียงข้าศึกเป็นอันขาด บุก"
แม่ทัพควบม้านำ พวกทหารโห่ร้อง แล้วเริ่มทยอยตามแม่ทัพเข้าบุกตีศัตรู
จมื่นศรีสรรักษ์กลัวมาก ชักดาบอย่างเก้ๆกังๆออกมา แล้วแกล้งตะโกนเสียงดัง
"บุกเข้าไป ฆ่าพวกอังวะให้หมด บุกเข้าไป"
จมื่นศรีสรรักษ์ตะโกนเรียกให้บุก แต่ตัวเองกลับไม่ยอมขยับตัวแม้แต่น้อย ปล่อยให้พวกทหารตาม
แม่ทัพไป แถมยังค่อยๆชักม้าถอยหลังอีกต่างหาก
บนแผนที่ ลูกศรสีแดงแสดงทัพของอังวะยันลูกศรสีน้ำเงินซึ่งแสดงทัพของกรุงศรีอยุธยาจนถอยกลับไป ก่อนที่ลูกศรสีแดงจะเคลื่อนที่ไปที่เมืองเพชรบุรี
"กองทัพของมังมหานรธาสามารถเคลื่อนผ่านการป้องกันของกรุงศรีอยุธยาเข้าโจมตีเมืองเพชรบุรีได้สำเร็จ แต่กองทัพเมืองเพชรบุรีต่อสู้อย่างเข้มแข็ง จนสามารถยันกองทัพของมังมหานรธาเอาไว้ได้"
ลูกศรสีแดงแสดงการเคลื่อนทัพของอังวะ เคลื่อนจากเมืองเพชรบุรีไปที่เมืองทวาย
(ทวาย มะริด ตะนาวศรี เป็นสามเมืองที่อยู่ด้านตะวันตกของประเทศไทย โดยเมืองทวายจะอยู่ใกล้กาญจนบุรี และอยู่ห่างเพชรบุรีไม่มากนัก แต่มังมหานรธาเจตนาเคลื่อนทัพลงด้านใต้ เพื่อยึดมะริด ตะนาวศรี ที่อยู่ด้านใต้แล้วอ้อมกลับขึ้นไป แต่ตอนถอยจากเพชรบุรีกลับทวาย สามารถตัดตรงไปได้เลย ไม่ต้องอ้อมอีก)
"มังมหานรธาเกรงว่ากองทัพของตนจะเสียหาย จึงยอมถอยทัพกลับเมืองทวายในที่สุด แต่ถึงจะล่าถอย กรุงศรีอยุธยาก็ต้องเสียเมืองทวาย มะริด ตะนาวศรีเป็นการถาวร ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา"
ลูกศรเล็กๆสีแดงจำนวนมากกระจายออกจากเชียงใหม่ ทวาย แสดงการแยกทัพเป็นทัพเล็กๆของอังวะเพื่อหาเสบียง และสำรวจเส้นทาง
"กองทัพทั้งทางเหนือและใต้ของอังวะ ต่างส่งกองกำลังเล็กๆ จำนวนมากออกปล้นสะดมไปทั่ว เพื่อสะสมเสบียงและสำรวจภูมิประเทศ โดยยึดหลักสำคัญ ว่าเมืองใดยอมอ่อนน้อมก็จะไม่ทำร้าย เพียงยึดเสบียงและยุทธปัจจัยเท่าที่จำเป็น แต่หากเมืองใดขัดขืน ก็จะจัดการขั้นเด็ดขาดทันที"
อีก 10 กว่าวันผ่านมา
เนเมียวสีหบดีนั่งอยู่บนหลังม้า พร้อมกับคุมทหารบุกเข้าโจมตีหมู่บ้านที่ขวางทาง โดยพวกชาวบ้านทั้งชาย หญิง ต่างถืออาวุธทั้งดาบ ขวาน มีดผ่าฟืน หรือแม้แต่กระบอง อาวุธทุกอย่างเท่าที่พอหาได้ ออกต่อสู้อย่างกล้าหาญกับทหารอังวะ
ทางฝ่ายทัพมังมหานรธา
มังมหานรธานั่งอยู่บนแคร่ โดยมีทหารล้อมรอบ พวกชาวบ้านที่ยอมจำนนต่างหมอบกราบอยู่กับพื้นด้วยความหวาดกลัว
ทหารคนหนึ่งถือขันใบใหญ่ ข้างในขันมีทั้งมีด ลูกธนู คมหอกและอาวุธอื่น แช่อยู่ในน้ำ
มังมหานรธาใช้ขันเล็กๆตักน้ำจากขันแช่อาวุธแล้วยื่นให้หัวหน้าหมู่บ้าน
"ดื่มเสีย เพื่อแสดงความภักดีต่ออังวะ พวกข้าให้สัตย์ว่าจะเอาไปเพียงเสบียง แลอาวุธกับวัวควายบางส่วนเท่านั้น แลจะไม่ทำร้ายพวกเอ็งแม้แต่น้อย"
หัวหน้าหมู่บ้านรับขันมาด้วยความหวาดกลัว
ขณะนั้นเอง ก็มีทหาร 2-3 คน ฉุดหญิงสาวคนหนึ่งออกมา หญิงสาวกรีดร้องด้วยความกลัว ทหารที่ฉุดต่างหัวเราะกันอย่างสะใจ
พวกชาวบ้านหันไปมองตามด้วยความเจ็บแค้น แต่ก็ยังกลัวพวกอังวะอยู่เลยไม่กล้าช่วย
ด้านทัพ เนเมียวสีหบดี
พวกทหารอังวะไล่ฆ่าชาวบ้านอย่างโหดเหี้ยม ไม่ว่าชาย หญิง หนุ่มสาวหรือคนแก่ต่างถูกฆ่าอย่างไม่ปราณี
เนเมียวสีหบดีเสียงดังลั่น
"ฆ่าให้สิ้น อย่าให้เหลือแม้แต่คนเดียว ให้คนไทได้รู้ว่าการต่อต้านอังวะ จะลงเอยเช่นไร"
พวกชาวบ้านสู้ยิบตา แม้จะทำร้ายทหารอังวะได้บ้าง แต่จำนวนคนที่น้อยกว่า บวกฝีมือที่สู้ไม่ได้ ทำให้ถูกฆ่าตายคนแล้วคนเล่า เป็นใบไม้ร่วง
มังมหานรธาเห็นทหารฉุดผู้หญิงมา ก็หันไปพยักหน้ากับทหารที่อยู่ข้างกาย
ทหารกลุ่มนั้น เดินเข้าไปหาทหารที่ฉุดผู้หญิง แล้วฆ่าพวกทหารที่ฉุดผู้หญิงทิ้งทันที ท่ามกลางความตกใจของทุกคน ไม่คิดว่ามังมหานรธาจะสั่งฆ่าพวกเดียวกันแบบนี้
ผู้หญิงที่ถูกฉุดรีบวิ่งเข้าไปหาแม่ กอดกันร้องไห้ด้วยความหวาดกลัว
มังมหานรธาลุกขึ้น พูดเสียงดัง
"คำสั่งของข้าคือประกาศิต มันผู้ใดที่ทำร้ายผู้สวามิภักดิ์ มีโทษตายสถานเดียว"
พวกชาวบ้านต่างหันไปมองหน้ากัน ไม่มีใครคิดว่าอังวะจะรักษาคำมั่นขนาดนี้
หัวหน้าหมู่บ้านมองจอกในมือแล้วขบกรามแน่น แม้จะรู้ว่าเป็นการทรยศบ้านเมือง แต่เห็นความเด็ดขาดของอังวะ ในที่สุดก็ยอมดื่มน้ำสาบานทันที
มังมหานรธามองการดื่มน้ำสาบาน แล้วยิ้มอย่างพอใจ
ซากศพชาวบ้านทั้งชาย หญิง คนแก่ นอนตายเกลื่อนอย่างน่าสยดสยอง
ทหารอังวะกำลังขนเสบียงอาหารที่ยึดได้ ทั้งข้าวเปลือก เนื้อสัตว์ ผัก รวมทั้งทรัพย์สินเงินทอง และสัตว์อย่างม้า วัว ควาย เพื่อเอาไปใช้งาน ทหารแต่ละคนมีสีหน้ากระหยิ่มยิ้มย่อง
เนเมียวสีหบดีนั่งอยู่บนหลังม้า ดูผลงานของทหารตน ด้วยรอยยิ้มอย่างภาคภูมิใจ
"แผนการของฝ่ายอังวะ นับว่าได้ผลอย่างดีเยี่ยม บรรดาชาวบ้านที่หวาดกลัวต่างพากันยอมแพ้ ส่วนพวกที่ไม่ยอม ก็ต้องไปรวมตัวกัน เกิดเป็นป้อมค่ายจำนวนมากเพื่อป้องกันตัวเองจากทหารอังวะ ทำให้การรวบรวมเสบียงของฝ่ายอังวะเป็นไปอย่างราบรื่นเหลือเพียงรอเคลื่อนทัพสู่กรุงศรีอยุธยาในช่วงหน้าฝนปีหน้าเท่านั้น"
แมงเม่า อิน มิ่ง และชื่น ต่างกระวนกระวาย รอคอยม่วงอยู่บนเรือนตอนหัวค่ำ
ขณะนั้นเอง ม่วงก็เดินขึ้นเรือนมาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
แมงเม่า อิน มิ่ง และชื่น รีบเข้าไปหาทันที
มิ่งร้อนใจ
"เป็นอย่างไรบ้างพ่อม่วง ได้ไม้มาหรือไม่"
ม่วงหน้าเครียด
"ไม่ได้เลยจ้ะพ่อ พวกอังวะส่งทัพเล็กออกปล้นไปทั่ว ไม่มีใครกล้าขนไม้ลงมาอโยธยาเลยจ้ะ นี่ฉันก็ให้อ้ายติ่น อ้ายผลไปหาที่โรงไม้อื่น ไม่รู้ว่าจะพอได้มาบ้างหรือไม่"
ขณะนั้นเอง ก็ได้ยินเสียงติ่น กับผล ดังมาจากข้างหน้าเรือน
" ท่านเศรษฐีขอรับ กระผมกับอ้ายผลกลับมาแล้วขอรับ"
มิ่งตะโกน "รีบขึ้นเรือนมา ข้าอนุญาต"
ติ่น กับผล รีบขึ้นเรือนไปทันที พอเจอเศรษฐีมิ่งก็รีบนั่งพับเพียบลง
" พวกกระผมตระเวนหาตามโรงไม้แลโรงกระดาษอื่นจนทั่วแล้ว แต่ก็ไม่ได้ของเลยขอรับ" ติ่นว่า
" คราศึกพระเจ้าอลองพญา กองทัพล้อมพระนครไว้ แต่ข้าวของก็ยังไม่ขาดแคลนเหมือนคราวนี้เลยนะขอรับ" ผลบอก
แมงเม่าหน้าเครียด
"ก็ต้องเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว ศึกนั้นไม่มีการปล้นสะดม แต่ศึกนี้ล้อมมาทั้งทางเหนือทางใต้ ปล้นสะดมไปทั่ว ทุกคนก็ต้องเอาตัวรอด จะมีผู้ใดส่งข้าวของมาขายที่อโยธยาอีกเล่า"
อินคิดหนัก
"พ่อจ๊ะเพลานี้เราคงขายได้แต่กระดาษทั่วไป กระดาษอย่างดีที่ต้องใช้ไม้จากทางเหนือคงทำไม่ได้แล้ว ฉันจะคืนมัดจำให้ลูกค้าแลชดใช้เบี้ยอัฐให้ พ่อเห็นเป็นอย่างไรจ๊ะ"
มิ่งพยักหน้ารับ
"เอาตามนั้นเถิดแม่อิน บุญของพ่อแล้วที่ได้แม่อินเป็นหัวเรี่ยวหัวแรง เพลานี้ พ่อคิดกระไรไม่ออกแล้ว"
" ใจเย็นก่อนเถิดพี่มิ่ง ศึกพระเจ้าอลองพญาว่าหนักหนา เราก็ผ่านมาแล้ว ศึกนี้เราก็ต้องผ่านไปได้ พี่อย่ากลัวไปเลย" ชื่นปลอบใจ
ม่วงช่วยปลอบใจ
"จริงจ้ะพ่อ ต่อให้ข้าศึกมาถึงชานกรุงอีก เราก็หลบเข้าหลังกำแพงเหมือนคราก่อน กำแพงเมืองอโยธยามั่นคงนัก ไม่มีวันถูกตีแตกได้ดอก"
แมงเม่าแปลกใจ
"แล้วตอนเสียกรุงคราก่อนเล่า"
"เป็นเพราะมีไส้ศึก ไม่นับโว้ย แลเพลานั้นน้ำยังไม่ท่วม ถ้าน้ำท่วมก่อน เราไม่แพ้ดอก"
"แผนตั้งรับแล้วรอน้ำท่วม ใช้มาตั้งแต่ตั้งกรุง สี่ร้อยกว่าปีแล้ว พี่ว่าอังวะจะไม่หาทางแก้บ้างรึ"
ม่วงโวยลั่น
"เอ๊ะ เอ็งจะขวางข้าให้ได้ทุกเรื่องหรืออย่างไรวะ นังแมงเม่า"
" ก็ฉันสงสัย ถามไม่ได้รึ" แมงเม่าเถียง
ชื่นปราม
"พอได้แล้ว ทั้งพี่ทั้งน้อง จะทะเลาะเบาะแว้งให้ได้กระไรขึ้นมา"
ม่วง และแมงเม่า เหล่มองกัน ก่อนจะเมินใส่กัน
อินรีบเปลี่ยนบรรยากาศ
"เราอย่าพูดเรื่องนี้อีกเลยนะจ๊ะ วันพรุ่ง จะมีงานลอยพระประทีป แลมีมโหรสพทั้งคืน เราเตรียมไป
งานวันพรุ่งเถิดจ้ะ"
"ก็ดี บางที พ่ออาจจะตีตนไปก่อนไข้ก็เป็นได้ ทหารมีอยู่เต็มเมืองจะต้องกลัวกระไร ไปเที่ยวงานให้เพลิดเพลินจะดีกว่า"
มิ่งเดินเข้าข้างในไป โดยมีชื่นตามไปดูแล
ติ่น กับผลเดินลงเรือนไป
อิน และม่วงก็แยกย้ายกันไปคนละทาง เหลือแมงเม่ายืนอยู่คนเดียว
แมงเม่าอดรำพึงออกมาไม่ได้
"จัดงานลอยพระประทีป ทั้งๆที่ข้าศึกออกปล้นสะดมไปทั่วอย่างนั้นรึ"
แมงเม่าถอนใจด้วยความกลัดกลุ้ม
เช้าวันรุ่งขึ้น
กระทงของเจ้าจอมเพ็ญ เป็นกระทงขนาดใหญ่ ถูกจัดประดับประดาอย่างสวยงาม
เจ้าจอมเพ็ญกำลังถือกระทงอวดเจ้าจอมคนอื่นๆโดยมีเลื่อนคอยประจบประแจง
อยู่ใกล้ๆ
ในขณะที่ขันทองนั่งพับเพียบอยู่ห่างออกไป
เจ้าจอม 1ตื่นเต้น
" งามเหลือเกินเจ้าค่ะพี่เพ็ญ ฉันไม่เคยเห็นกระทงใดสวยงามเช่นนี้มาก่อนเลย"
เจ้าจอมเพ็ญยิ้มภูมิใจ
"ก็ต้องชมออกพระศรี ที่หาคนทำกระทงมีฝีมือดีให้ฉัน"
ขันทองไหว้ หน้านิ่งๆแต่ในใจเซ็งมาก "เป็นพระคุณเจ้าค่ะ"
เลื่อนรีบประจบ
"ใช่แต่เท่านั้นเจ้าค่ะ หม่อมแม่ยังสั่งล่วงหน้านานนับเดือน ข้าวของที่ใช้ตกแต่งกระทงบางอย่างส่งมาจากหัวเมืองเชียวนะเจ้าคะ เพลานี้พวกอังวะออกปล้นไปทั่ว ไม่มีทางที่จะหาของพวกนี้ได้ดอกเจ้าค่ะ"
เจ้าจอม 2 บอก
"ช่างมองการไกลนัก งานลอยพระประทีปปีนี้ ต้องไม่มีใครสู้กระทงของแม่เพ็ญได้เป็นแน่เลยจ้ะ"
เจ้าจอมเพ็ญยิ้มภูมิใจ ต้องการเป็นที่หนึ่งในทุกเรื่องอยู่แล้ว
ขันทองแอบถอนใจเบาๆ สีหน้าเหนื่อยหน่ายใจอย่างที่สุด
ขันทองเดินคุยมากับแน่น ด้วยสีหน้าอ่อนอกอ่อนใจ
แน่นตบบ่าเพื่อนเป็นเชิงให้กำลังใจ
"อย่าคิดมากเลยวะ ใช่แต่ฝ่ายในเท่านั้นที่เป็นทองไม่รู้ร้อน ข้าเห็นพวกฝ่ายหน้าเองก็ย่ามใจหนักหนา ยิ่งเห็นทัพของมังมหานรธาตีเมืองเพชรบุรีไม่แตก ต้องล่าทัพไปทวาย ก็ยิ่งคุยฟุ้งไปทั่ว ขนาดข้าไม่มีความรู้เรื่องการศึก ยังดูออกเลยว่ามันถอยไปตั้งหลัก ไม่ช้าไม่นาน ก็ต้องบุกมาอีกเป็นแน่"
" ข้าไม่เข้าใจเลย ว่าเหตุใดอโยธยาถึงเป็นเช่นนี้ไปได้ ไม่เพียงแต่ประมาท ยังเห็นแก่ตัวนัก มีหัวเมืองจำนวนมากต้องรับศึกกันเอง คิดดูเถิด ว่าคนในหัวเมืองนั้นจะน้อยเนื้อต่ำใจเพียงใดที่ถูกอโยธยาทิ้งขว้าง พอจำต้องยอมแพ้เพื่อเอาตัวรอด ก็ถูกก่นด่าว่าไม่รักแผ่นดินเสียอีก"
" เอ็งว่าศึกนี้ จะถึงขั้นเสียเมืองหรือไม่วะ"
ขันทองส่ายหน้า
"ข้าไม่รู้ อโยธยามีชัยภูมิได้เปรียบนัก อาวุธแลเสบียงอาหารก็บริบูรณ์ อาจจะไม่เสียเมืองก็เป็นได้ แต่ที่เสียแน่นอน คือความสามัคคีเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของคนไท จะอีกนานเท่าใดกัน ถึงจะมีผู้รวมไทให้เป็นหนึ่งเดียว ดังที่ผ่านมาได้"
ตอนบ่ายพระยาตากโห่ร้องลั่น พร้อมกับวิ่งนำหน้าหลวงพิชัยอาสาและเหล่าทหารไทย บุกเข้าสู้กับทหารอังวะอย่างดุเดือด
ทั้งสองฝ่ายสู้ตะลุมบอนกัน ฝีมือสูสี แต่ทัพไทยมีพระยาตากกับหลวงพิชัยอาสา เลยบุกตะลุยใส่ทัพ
อังวะเข้าไปเรื่อยๆ
พระยาตากใช้ดาบมือเดียว บุกเข้าฟาดฟันอังวะจนล้มตาย ถอยร่นกันไป
ส่วนหลวงพิชัยอาสาใช้ดาบสองมือฟันใส่พวกอังวะอย่างรวดเร็ว จนล้มตายเป็นใบไม้ร่วง
หัวหน้าทหารอังวะเห็นฝ่ายตนเสียเปรียบ ก็เริ่มเครียด รีบมองหาพระยาตาก พอเห็นพระยาตาก
ก็บุกเข้าใส่ทันที หวังฆ่าหัวหน้าฝ่ายศัตรูเพื่อพลิกสถานการณ์
พระยาตากหลบดาบที่ฟันมาอย่างง่ายดาย ก่อนจะตั้งรับอย่างใจเย็น เพื่อดูทางดาบคู่ต่อสู้
หัวหน้าทหารอังวะเห็นพระยาตากเอาแต่รับก็รุกไล่อย่างหนัก พระยาตากเห็นช่องว่างก็บุกกลับอย่างรวดเร็ว หัวหน้าทหารอังวะถอยร่นอย่างนัก ก่อนที่พระยาตากจะได้โอกาสฟันเข้ากลางลำตัวเต็มๆ
หัวหน้าทหารอังวะร้องโหยหวน ก่อนจะล้มลงขาดใจตายไป พวกอังวะเห็นหัวหน้าของตนตายก็
ขวัญเสีย รีบวิ่งหนีทันที
หลวงพิชัยอาสาโห่ร้องลั่น แล้วนำทหารไทยวิ่งตามทหารอังวะไป เพื่อบดขยี้ให้สิ้นซาก
พระยาตาก ยืนอย่างองอาจ มีสง่าราศีท่ามกลางสมรภูมิรบ
อ่านต่อตอนที่ 12