หนึ่งด้าวฟ้าเดียว ตอนที่ 9
บทประพันธ์ : วรรณวรรธน์
บทโทรทัศน์ : เอกลิขิต
กรมขุนวิมลภักดี เจ้าจอมอำพัน เป้า และคุณท้าวโสภา รีบเดินออกมาจากข้างในตำหนักในตอนเช้าเพื่อมาหาแมงเม่าที่ยืนรออยู่ด้วยความดีใจ
" เสด็จเพคะ" แมงเม่าจะคุกเข่าลงกราบ
กรมขุนวิมลภักดีรีบเข้าไปประคองแมงเม่า ดีใจมากที่แมงเม่าปลอดภัย
" ไม่ต้องกราบต้องไหว้แล้ว" แล้วดึงแมงเม่าเข้ามากอด
"เจ้าตัวดี ฉันนอนไม่หลับทั้งคืน ห่วงเจ้าเหลือเกิน บุญรักษาแล้วนะลูกนะ"
แมงเม่าซึ้งใจ กอดกรมขุนวิมลตอบ
"เป็นพระคุณเพคะ"
"ฉันรู้มาว่ามีทหารฝ่ายหน้าสองคนคิดร้ายกับแม่แมงเม่ารึ เรื่องเป็นมาอย่างไรกัน" เป้าเป็นห่วง
แมงเม่าหน้าเสีย ไม่อยากเล่าเรื่องกลักเลยตอบเลี่ยงๆ
"เอ่อ ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันจ้ะ คงต้องรอให้กรมเวียงไต่สวนเรื่องนี้ก่อน"
เจ้าจอมอำพันเจ็บใจ "จะมีกระไร คงเห็นว่าเกิดเรื่องวุ่นวายก็เลยฉวยโอกาสน่ะซี มันคงเห็นเจ้าแมงเม่าหน้าตาสะสวยก็เลยคิดจะข่มเหง หรือไม่ก็คงอยากได้ทรัพย์ อย่างนี้ต้องลงโทษให้หนัก"
"ไม่ทันแล้วล่ะเจ้าค่ะ อ้ายสองคนนั่นมันตายแล้ว ได้ยินมาว่า หลวงศรีขันทินเป็นคนฆ่าด้วยนะเจ้าคะ" คุณท้าวโสภาบอก
เจ้าจอมอำพันตกใจนึกไม่ถึง "ออกหลวงปันหยีน่ะรึ"
ทุกคนหันไปมองเจ้าจอมอำพันเป็นตาเดียว
เจ้าจอมอำพันหน้าเจื่อนไป ตัวเองเป็นเจ้าจอมแต่เอาคำหยอกล้อที่พวกเด็กๆล้อขันทองมาพูด
ก็ดูไม่ดีนัก เลยได้แต่ยิ้มแหยๆกลบเกลื่อน
"เรื่องจะเป็นมาอย่างไร เอาไว้ค่อยเล่าก็ได้ ตอนนี้ไปพักผ่อนให้สบายก่อนเถิด นอนกลางป่ามาทั้งคืน ลำบากเจ้านัก" กรมขุนวิมลภักดีบอก
" เพคะ"
กรมขุนวิมลภักดีพาแมงเม่าเข้าข้างในไป โดยมีคนอื่นแห่ตามกันไปด้วยความดีใจที่แมงเม่าปลอดภัย
ทางด้านพระยาพลเทพกำลังโมโห หลังจากฟังรายงานของขุนแผลงฤทธิ์
" อ้ายขันทีหน้าสวยน่ะรึ ฆ่าคนของเรา เป็นไปได้อย่างไร"
"กระผมสอบถามกรมเวียงมาแล้ว อ้ายขันทีให้การว่า คนของเราประมาท มันจึงฉวยโอกาสลอบฆ่าขอรับ"
" อ้ายหน้าโง่ โดนคนไม่ชายไม่หญิงฆ่าเอาได้ เสียชาติเกิดนัก เออ ท่านขุนอย่าลืมไปจัดการให้เรียบร้อย อย่าให้สาวมาถึงพวกเราได้ล่ะ"
"อย่ากังวลเลยขอรับ กรมเวียงคาดว่าพวกมันอยากได้ทรัพย์ของนังลูกเศรษฐี เมื่อตายแล้วก็ไม่ติดใจกระไร แลกระผมให้เงินทองแก่ลูกเมียของอ้ายสองนั่นไปพอควร พวกมันไม่กล้าซัดทอดว่าทำงานรับใช้ท่านเจ้าคุณดอกขอรับ"
พระยาพลเทพพยักหน้ารับ
"มีท่านขุนคอยช่วยฉันก็สบายใจ แต่พลาดโอกาสครานี้ไป คงยากจะหาโอกาสได้อีก เห็นที
เราคงต้องอยู่กับความหวาดระแวงกันต่อไป"
ขุนแผลงฤทธิ์ไม่สบายใจ
"เอ่อ ท่านเจ้าคุณขอรับ เรื่องครานี้ ทำให้เจ้าจอมเพ็ญแท้งหน่อพระพุทธเจ้า กระผมเกรงว่า..."
"เจ้าจอมเพ็ญรู้รึ ว่ามาจากความผิดพลาดของเรา"
"ไม่ขอรับ คุณพระนายเองก็ไม่รู้ คิดว่าเป็นเหตุบังเอิญ แต่กระผมก็เกรงว่าจะโยงกันได้ จึงปิดเรื่องที่เราฆ่านังลูกเศรษฐีผิดพลาด ไม่ให้คุณพระนายรู้ขอรับ"
" เช่นนั้นก็ดีแล้ว เจ้าจอมเพ็ญ ก็เป็นเพียงหมากตัวหนึ่ง หากหมดความสำคัญ อย่างไรก็ต้องเขี่ยทิ้งจากกระดานอยู่ดี เพียงแต่ตอนนี้ยังมีคุณกับเราอยู่ ก็จำต้องรักษาไว้ก่อน ก็เท่านั้นเอง"
พระยาพลเทพยิ้มมุมปาก
ผ่านมา 7-8 วัน ตอนบ่าย
เจ้าจอมเพ็ญกำลังเดินช้าๆโดยจับแขนเลื่อนเป็นหลักพยุง เพราะตัวเองยังไม่แข็งแรงนัก มีพระยาพลเทพกับขุนแผลงฤทธิ์เดินตาม
พระยาพลเทพปั้นหน้าเศร้า
"กระผมเสียใจเหลือเกิน ที่หน่อพระพุทธเจ้าท่านทรงไม่อยู่กับเราแล้ว เศร้าเสียใจจนนอนไม่เต็มตื่น กินไม่เต็มอิ่ม อยากมาเยี่ยมเยียนเจ้าจอมท่าน แต่ก็ทราบว่าเจ้า จอมต้องพักฟื้น จึงต้องรอถึงเจ็ดแปดวันค่อยมา"
" ขอบน้ำใจท่านเจ้าคุณนัก เรื่องครานี้ ฉันเองก็เสียใจ ชะรอยว่าตัวฉันคงจะบุญไม่ถึงเสียแล้ว"
ขุนแผลงฤทธิ์บอก "บุญไม่ถึงกระไรขอรับ ที่เกิดเหตุครานี้ ต้องบอกว่าเป็นด้วยแรงบุญบารมีเสียด้วยซ้ำ"
" หมายความว่ากระไร" เจ้าจอมเพ็ญแปลกใจ
พระยาพลเทพปั้นสีหน้าเป็นห่วงเป็นใยมาก
"กระผมไม่สบายใจ จึงให้ท่านขุนแผลงฤทธิ์ลอบไปพบขรัวท่าน พอบอกท่านเรื่องหน่อพระพุทธเจ้า
ขรัวท่านก็ตกใจนัก ด้วยไม่คิดว่าจะมีหน่อพระพุทธ เจ้ามาเกิดในครรภ์เพลานี้ ด้วยอีกสองปีถึงจะมีหน่อพระพุทธเจ้าที่มีบุญบารมียิ่งใหญ่มาเกิด การมาเกิดในเพลานี้จึงถือว่าเร็วเกินไปขอรับ"
ขุนแผลงฤทธิ์รีบสนับสนุน
"กระผมมั่นใจว่าด้วยบุญของหน่อพระพุทธเจ้าพระองค์ที่สอง จึงทำให้เจ้าจอมแท้งในครานี้ เพราะไม่อาจแข่งบุญบารมีได้ขอรับ"
เจ้าจอมเพ็ญเชื่อเต็มที่
"มิน่าเล่า เป็นอย่างนี้นี่เอง ขรัวเถื่อนชาวมอญ พูดกระไรไม่เคยผิดพลาด คงเป็นเช่นนั้นจริงๆ"
เลื่อนรีบประจบ
"ถ้ากระนั้น หม่อมแม่ก็อย่าเสียใจอีกเลยนะเจ้าคะ ทนรออีกสองปี ก็จะได้ทุกอย่างตามที่หม่อมแม่ประสงค์แล้วเจ้าค่ะ"
เพ็ญยิ้มรับ อารมณ์ดีขึ้นทันที
"สองปี ข้าย่อมรอได้อยู่แล้ว" แล้วฉุกคิดขึ้น
"นังเลื่อน พระราชาข่านสิ้นแล้ว จะต้องมีการแต่งตั้งหัวหน้าขันทีคนใหม่เพื่อดูแลฝ่ายใน มีการเลือกกันไปแล้วหรือไม่"
"ยังเลยเจ้าค่ะ บ่าวได้ฟังมาว่ากรมขุนวิมลภักดีจะทรงเลือกในบ่ายวันนี้เจ้าค่ะ แต่บ่าวเห็นว่าหม่อมแม่ยังเศร้าเสียใจอยู่ จึงไม่ได้กราบเรียนเจ้าค่ะ"
เพ็ญยิ้มพอใจ "เช่นนั้นก็ยังทัน"
ทุกคนมีสีหน้าสงสัยว่าเจ้าจอมเพ็ญคิดจะทำอะไร
หลวงศรีมะโนราชกำลังเดินคุยมากับขุนเทพชำนาญ และขุนเทพรักษาอย่างอารมณ์ดี
ขุนเทพรักษายิ้มแย้ม พูดประจบประแจง
"มิพักต้องสงสัยเลย ว่าผู้ที่จะขึ้นเป็นหัวหน้าขันทีคนต่อไปแทนพระราชาข่าน ย่อมต้องเป็น
คุณหลวงเป็นแน่"
ขุนเทพชำนาญยิ้มแย้ม
"คุณหลวงพร้อม ด้วยวัยแลความสามารถ ถ้าไม่ติดว่าหลายวันมานี่มีเหตุต้องสะสางมากมาย คุณหลวงคงได้ขึ้นแต่วันแรกที่พระราชาข่านตายแล้ว"
หลวงศรีมะโนราชยิ้มมั่นใจ แต่ยังแค้นขันทอง
"ขึ้นแต่วันแรกก็น่าเกลียดเกินไป รอสักหน่อยจะงามกว่า แต่ทันทีที่ฉันได้ขึ้นเป็นหัวหน้าขันที ฉันจะไม่ปล่อยให้อ้ายศรีขันทินมันเป็นสุขอีกเลย"
"ใช่แต่มันเท่านั้น อ้ายขุนจิตใจภักดิ์ก็ปากดีใช่ย่อย ควรที่จะให้มันได้เห็นดี ที่กล้าทำตัวเป็นอริกับพวกเราเสียทั้งคู่"
ขุนเทพรักษารีบเสนอตัว
"หากจะลงมือเมื่อใด ขอให้เป็นหน้าที่ดีฉันเถิด ดีฉันชังน้ำหน้าพวกมันมานานเหลือเกินแล้วเจ้าค่ะคุณหลวง ไม่ใช่ซี คุณพระ"
หลวงศรีมะโนราชหัวเราะชอบใจ การได้เป็นหัวหน้าขันที ถือว่าได้ขึ้นถึงจุดสูงสุดของการเป็นขันทีในราชสำนักอยุธยา ซึ่งเป็นสิ่งที่ตนใฝ่ฝันมาตลอด
ในเรือนขันทอง
เยื้อนกำลังทยอยเก็บข้าวของลงหีบอยู่ ในขณะที่ขันทองกำลังตรวจดู ว่ามีอะไรสำคัญบ้างที่
ต้องเก็บไว้
"เราต้องย้ายไปอยู่เรือนอื่นจริงหรือเจ้าคะ"
"ช้าหรือเร็วก็ต้องไป คุณหลวงศรีมะโนราชไม่ชอบหน้าฉันมานานหนักหนาแล้ว ครานี้ได้ขึ้นเป็นหัวหน้าขันที ฉันคงต้องรับเคราะห์เป็นแน่ แค่ถูกไล่ออกจากเรือนนี้ ยังถือว่าสถานเบานะเจ้า"
เยื้อนคลานเข่าเข้ามาหาขันทอง หน้าเศร้าๆ
"ไม่ว่าออกหลวงจะไปอยู่ที่ใด บ่าวก็ขอตามไปรับใช้ออกหลวงทุกที่เจ้าค่ะ"
ขันทองยิ้มบางๆ
"ฉันอาจต้องไปอยู่ที่ทิมขันที เจ้าไปด้วยไม่ได้ดอก แต่อย่ากลัวไปเลย ฉันฝากฝังเจ้ากับขุนรักษ์เทวาแล้ว เจ้าจะได้อยู่สุขสบายเหมือนเดิม"
เยื้อนหน้าเสีย รีบเข้าไปกอดขาขันทอง
"ไม่เจ้าค่ะ บ่าวไม่อยากแยกจากออกหลวง" พลางบีบน้ำตาร้องไห้สะอึกสะอื้น
"ออกหลวงอย่าทิ้งบ่าวไปนะเจ้าคะ"
ขันทองหน้าเสีย ไม่ชอบที่เยื้อนมาถึงเนื้อถึงตัวตนแบบนี้ เลยกระอักกระอ่วนไม่รู้จะทำไงดี
ในตำหนักฝ่ายใน
กรมขุนวิมลภักดีนั่งอยู่บนตั่ง เป็นเหมือนประธานในที่ประชุม โดยมีเจ้าจอมเพ็ญ เจ้าจอมอำพัน และ
เจ้าจอมคนอื่นๆนั่งอยู่บนตั่งที่ต่ำกว่าลงมา
ในขณะที่เป้า เลื่อน และคุณท้าวโสภาก็นั่งพับเพียบคอยรับใช้อยู่ใกล้ๆ
"หลวงศรีมะโนราชมีอาวุโสสูงกว่าทุกคน แลทำราชการได้ดีไม่ขาดตกบกพร่อง ฉะนั้น ฉันเห็นควรให้หลวงศรีมะโนราชขึ้นเป็นหัวหน้าขันทีแทนพระราชาข่าน ทุกคนเห็นเป็นเช่นไร"
กรมขุนวิมลภักดีกวาดตามองเรียงคน
เจ้าจอมแต่ละคนหันไปปรึกษากันไปมา
เจ้าจอมเพ็ญนั่งนิ่งๆอยู่คนเดียว ไม่หารือกับใคร
เจ้าจอมอำพันยิ้มแย้ม
"อาวุโสสูงกว่าได้ขึ้นเป็นนาย ก็ถือว่าเป็นไปธรรมเนียม ไม่มีผู้ใดคัดค้านเพคะ"
"ถ้าเช่นนั้น ฉันจะ..."
เจาจอมเพ็ญพูดสวนขึ้น "หม่อมฉันไม่เห็นด้วยเพคะ"
ทุกคนหันไปมองเจ้าจอมเพ็ญเป็นตาเดียว
"เหตุใดแม่เพ็ญจึงไม่เห็นด้วยเล่า"
"หลวงศรีมะโนราชมีอาวุโสมากก็จริง แต่ก็มีคนไม่ชอบพออยู่มาก หากขึ้นเป็นหัวหน้าขันทีดูแลฝ่ายใน เกรงจะเกิดความวุ่นวายขึ้นได้เพคะ"
คุณท้าวโสภาสีหน้าติดใจสงสัย
"จริงหรือเจ้าคะ ที่มีคนไม่ชอบพอหลวงศรีมะโนราชอยู่มาก เหตุใดอีฉันถึงไม่เคยรู้มาก่อน"
เลื่อนรีบตอบแทน ยิ้มแย้ม
"หลวงศรีมะโนราชเป็นคนเจ้าโทสะ โมโหร้าย มีหลายคราที่ดุด่าเหล่าข้าหลวงเกินกว่าเหตุ บางคราก็ถึง ขั้นลงมือทำร้าย" เลื่อนหันไปมองเป้า "เรื่องนี้ แม่เป้าก็รู้เห็นอยู่เจ้าค่ะคุณท้าว"
"จริงหรือแม่เป้า" คุณท้าวโสภาถาม
เป้าจ๋อยๆ อ้อมแอ้มตอบ "จริงเจ้าค่ะ แต่เรื่องนี้เกิดขึ้นนานแล้ว"
ทุกคนมองมาที่เป้าอย่างสนใจอยากรู้ความจริง
"เล่าไปสิ"
"เจ้าค่ะ ครานั้นมีข้าหลวงหลายคนจับกลุ่มคุยกันเสียงดัง หลวงศรีมะโนราชไม่พอใจจึงฟาดหวายเข้าใส่ ฉันอยู่ในเหตุการณ์ด้วยเจ้าค่ะ"
เจ้าจอมเพ็ญยิ้มพอใจ
เจ้าจอมอำพันไม่ยอมแพ้
"หลวงศรีมะโนราชทำตามกฎ หากไม่ควบคุมเข้มงวดจะรักษาความเป็นระเบียบเรียบร้อยไว้ได้รึ" แล้ว หันไปพูดกับกรมขุนวิมลภักดี "จากข้อนี้ หม่อมฉันยิ่งเห็นควรให้หลวงศรีมะโนราชขึ้นเป็นหัวหน้า
ขันทีเพคะ"
กรมขุนวิมลภักดีมีสีหน้าครุ่นคิดว่าจะทำยังไงดี
เยื้อนกำลังกอดขาขันทองร้องไห้สะอึกสะอื้น ไม่ยอมแยกจากขันทอง
ขันทองอึดอัด "ปล่อยเถิด อย่าทำเช่นนี้เลย"
เยื้อนยอมปล่อย แต่ก็ยังร้องไห้อยู่
" ขอบน้ำใจเจ้านักที่ภักดีต่อฉัน แต่ถ้าฉันต้องระเห็จไปอยู่ทิมขันทีจริง อย่างไรก็ให้เจ้าไปด้วยไม่ได้ ที่ฉันช่วยได้ ก็คือไม่ให้เจ้าที่เป็นบ่าวลำบากลำบนไปด้วยเท่านั้น"
" ออกหลวงเจ้าขา..."
ขันทองตัดบท
"ทำใจเสียเถิด เจ้าเองก็กำเนิดเป็นลูกพระยา ย่อมเห็นความไม่จีรังของวาสนาอยู่แล้ว อย่าดื้อดึงให้ฉันต้องลำบากใจไปด้วยเลย"
ขันทองเดินเลี่ยงเข้าข้างในไป
เยื้อนมองตาม หน้าเปลี่ยนเป็นบึ้งตึงทันที ไม่ร้องไห้อีก ไม่พอใจ
"สู้อุตส่าห์ทำถึงขั้นนี้แล้ว ยังไม่เข้าใจอีก สมแล้ว ที่ไม่ใช่ชายแท้"
เยื้อนทิ้งค้อนให้อีกขวับ
เจ้าจอมเพ็ญยังถกเถียงกับเจ้าจอมอำพัน ต่อหน้ากรมขุนวิมลภักดีและคนอื่นๆ
เจ้าจอมเพ็ญปั้นยิ้มหวาน
"ฉันรู้ว่าแม่อำพันสนิทสนมกับหลวงศรีมะโนราชมากกว่าคนอื่น"
เจ้าจอมอำพันโมโห
"แล้วอย่างไร แม่เพ็ญพูดให้จบซี อย่าพูดครึ่งๆกลางๆให้คนอื่นเข้าใจฉันผิด"
เจ้าจอมเพ็ญยิ้มๆ เบือนหน้าไปทางอื่นไม่พูดอีก
อำพันยิ่งโมโหหนักกว่าเดิม "แม่เพ็ญ"
กรมขุนวิมลภักดีปราม "แม่อำพัน"
อำพันพยายามระงับอารมณ์เต็มที่ ไหว้
"ขอประทานอภัยเพคะ"
กรมขุนวิมลภักดีพูดกับทุกคน
"ตำแหน่งหัวหน้าขันที แม้จะมีบรรดาศักดิ์เพียงแค่พระ แต่มีอำนาจมากกว่าบรรดาศักดิ์นัก ด้วยเหมือนควบคุมฝ่ายในเอาไว้กึ่งหนึ่ง ฉะนั้น ฉันจึงอยากให้คนที่เป็นหัวหน้า เป็นที่ยอมรับแก่ทุกฝ่าย แม่เพ็ญคงเข้าใจนะ"
เพ็ญไหว้
"เข้าใจเพคะ แลเพราะเหตุนี้ หม่อมฉันจึงอยากเสนอให้คนที่ทำราชการเข้ากับทุกผู้คนได้" พลางชายตามองอำพัน "แลเป็นกลาง ไม่เอนเอียงเข้ากับฝ่ายใด ขึ้นเป็นหัวหน้าขันทีเพคะ"
"แม่เพ็ญหมายถึงผู้ใดรึ"
เจ้าจอมเพ็ญอมยิ้มมั่นใจ
ตอนเย็น ที่ศาลาในวัง
บรรดาขันทีทั้งหลาย กำลังนั่งคุกเข่าพนมมือฟังพระบรมราชโอการที่ขุนนางเอามาประกาศ
"มีพระบรมราชโองการ โปรดเกล้าโปรดกระหม่อม"
หลวงศรีมะโนราชกระหยิ่มยิ้มย่องรอฟังชื่อตน
ขุนเทพชำนาญ และขุนเทพรักษา ชำเลืองมองหลวงศรีมะโนราชด้วยสีหน้ายิ้มๆ ประจบๆ
"ให้หลวงศรีขันทินขึ้นเป็นพระศรีขันทิน ตำแหน่งหัวหน้าขันที"
หลวงศรีมะโนราช ที่กระหยิ่มยิ้มย่องอยู่ ยิ้มแห้งไปทันที
ขุนเทพชำนาญ และขุนเทพรักษา อึ้งปนงง ที่ทุกอย่างผิดคาด
ขันทองและแน่น ชำเลืองมองหน้ากันงงๆ นึกไม่ถึง ขณะที่ขุนรักษ์เทวา ยิ้มดีใจจนออกนอกหน้า
"มีหน้าดูแลขันทีแลราชการฝ่ายใน นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป"
ทุกคนบอก "รับด้วยเกล้า พระพุทธเจ้าข้า" แล้วไหว้แล้วก้มลงกราบกับพื้น
หลวงศรีมะโนราช เทพชำนาญ และเทพรักษา หลวงศรีมะโนราชมีท่าทางโกรธแค้นขณะก้มลงกราบ
เทพชำนาญ และเทพรักษา เจ็บแค้นใจมาก แต่ต่อหน้าพระบรมราชโองการ เลยไม่มีใครกล้าทำอะไร
พอกราบเสร็จ ขันทองและทุกคนก็ลุกขึ้น
ขุนนางรีบประจบขันทอง
"ยินดีด้วยขอรับคุณพระ ภายภาคหน้า กระผมคงต้องอาศัยพึ่งพาคุณพระแล้ว"
ขันทองยิ้มมารยาท "เป็นพระคุณเจ้าค่ะ"
ขุนนางกับพวกทหารที่ตามขบวน เดินเลี่ยงไป
แน่นหันไปมองเย้ยหลวงศรีมะโนราชกับพวก
"แต่ก่อน เพลาเรียกหลวงศรี ยังต้องแจกแจงว่าเป็นหลวงศรีผู้ใด ศรีมะโนราชหรือศรีขันทิน
แต่มาบัดนี้คงง่ายขึ้น เมื่อมีหลวงศรีแต่ผู้เดียว เพราะอีกคน คือ ออกพระศรีขันทิน"
หลวงศรีมะโนราชแค้นจัดจะเข้าไปเอาเรื่อง
แต่เทพชำนาญ เทพรักษารีบจับแขนไว้ รีบห้าม
"อย่าเจ้าค่ะ หากบานปลาย จะมีโทษหนักนะเจ้าคะ มีพระบรมราชโองการลงมาแล้ว"
หลวงศรีมะโนราชขบกรามแน่น แค้นจนตัวสั่น แต่ก็ยอมฟัง สะบัดหน้าเดินหนีไป
ขุนเทพชำนาญ และขุนเทพรักษารีบตามไป
ขุนรักษ์เทวายิ้มขำๆมองตามศรีมะโนราชไป
"นี่ถ้าไม่ติดว่าปากคอเลาะร้ายแล้วล่ะก็ จะตามไปปลอบใจเสียหน่อย"
แน่นก็ได้แต่ยิ้มสาแก่ใจ
ขันทองมองตามศรีมะโนราชไป แล้วถอนใจเฮือกใหญ่ ได้เลื่อนตำแหน่งก็จริง แต่ไม่ดีใจเลย เพราะมีแต่จะสร้างศัตรูมากขึ้นนั่นเอง
บนเรือนขุนเทพรักษา สำรับกับแกล้มถูกปาลงบนพื้นต่อหน้าทาสหญิงคนหนี่ง ที่คุกเข่าตัวสั่นงันงกด้วยความหวาดกลัว
หลวงศรีมะโนราชเป็นคนปาสำรับกับแกล้มด้วยความโกรธจัดและเมามาย หลังจากกินเหล้าเข้าไป มีขุนเทพชำนาญ และขุนเทพรักษากินเหล้าเป็นเพื่อน ในยามวิกาล
หลวงศรีมะโนราชเมามาก ตะคอก
" อีขี้ข้าหน้ากระโถน มึงทำอะไรมาให้กูกิน คิดว่าคนอย่างกูจะกินกระไรก็ได้อย่างนั้นรึ"
หลวงศรีมะโนราขจิกหัวทาสหญิงขึ้นมาจะตบ
ทาสหญิงหลับตาปี๋ หวาดกลัวสุดๆ
ขุนเทพชำนาญรีบห้าม
"พอเถิดเจ้าค่ะคุณหลวง เกิดอีทาสนี่เป็นกระไรขึ้นมา เราจะเดือดร้อนนะเจ้าคะ"
หลวงศรีมะโนราชสะบัดขุนเทพชำนาญออก
"กูไม่กลัว เอาซี้อย่างมากก็แค่ตาย กูหลวงศรีมะโนราชรับราชการมานานกว่าทุกผู้คน แล้ว เหตุใด
กูถึงไม่ได้ขึ้นเป็นคุณพระ ทำไมต้องเป็นมันด้วย"
แล้วเหวี่ยงทาสหญิงกระเด็นไป
หลวงศรีมะโนราชเดินกลับไป แล้วหันไปคว้าขวดเหล้ามากรอกเข้าปาก ดื่มดับความเจ็บใจโดยไม่สนอะไรทั้งนั้น
ขุนเทพรักษามองไปทางข้างในเรือน ด้วยสีหน้าเคร่งเครียดไม่สบายใจ ก่อนจะเดินไปพูดกับทาสของตน
"สำออยบีบน้ำตาอยู่นั่นล่ะ รีบไปทำกับแกล้มมาให้คุณหลวงใหม่สิ"
" เจ้าค่ะๆ"
ทาสหญิงรีบลนลานลุกออกไปทันที
ขุนเทพรักษามองเข้าไปข้างในด้วยความกระวนกระวายอีก
ขุนเทพชำนาญมองเพื่อนด้วยความแปลกใจ
"เป็นกระไร ฉันเห็นกระวนกระวายอยู่นานแล้ว"
ขุนเทพรักษากลัวหลวงศรีมะโนราช
"เบาๆซี ฉันไม่อยากถูกบีบคออีก"
ขุนเทพชำนาญรู้ทันที พูดเบาๆ "เอาลูกสวาทเข้ามาอีกแล้วรึ"
ขุนเทพรักษาถอนใจ พูดเบาๆ
"ฉันไม่คิด ว่าคุณหลวงจะไม่ได้ตำแหน่ง ยิ่งไม่คิดว่าจะมากินเหล้าที่เรือนฉันอีก จะให้ทำอย่างไรเล่า"
ขุนเทพชำนาญยิ้มเจ้าเล่ห์ ก่อนจะปั้นหน้าเครียด
"คุณหลวงคงค้างที่นี่เป็นแน่ เมาเช่นนี้คงกลับเรือนไม่ไหวดอก ถ้าอย่างไร ฉันจะพาลูกสวาทออกจากวังให้ เจ้าถ่วงเวลาคุณหลวงไปพลางๆก็แล้วกัน"
" ขอบน้ำใจนัก"
ศรีมะโนราชเมามาก โวยวายลั่น
"เฮ้ย เอ็งสองคนคุยกระไรกันวะ นินทาข้ากระนั้นรึ"
ขุนเทพรักษารีบกลับไปรับหน้าทันที
"มิได้เจ้าค่ะ มิได้ พวกเราไม่กล้าทำเช่นนั้นดอก"
ขุนเทพรักษารีบรินเหล้าให้หลวงศรีมะโนราชอีก แล้วชักชวนกินเหล้าต่อ
ขุนเทพชำนาญยิ้มเจ้าเล่ห์ แอบลักลอบได้กับลูกสวาทของเพื่อนแล้วยังได้บุญคุณอีก
แน่นกำลังเดินตรวจตราตามหน้าที่ ขณะนั้นเองก็เห็นทหารกลุ่มหนึ่งเดินเวรยามผ่านมา
พวกทหารหยุดยืนตรงเป็นการทำความเคารพแน่น
แน่นพยักหน้ารับ
"ออกเวรเมื่อใด ก็แวะไปที่ทิมขันทีซี ข้าให้คนต้มข้าวต้มไว้ พวกเอ็งไปกินรองท้องสักหน่อย จะได้หลับสบาย"
ทหาร 1ยิ้มดีใจ ไหว้ "เป็นพระคุณขอรับท่านขุน"
พวกทหารเดินเลี่ยงไป สีหน้ายิ้มแย้มดีใจที่แน่นมีน้ำใจกับพวกตน
แน่นเดินมาอีกเล็กน้อย ก็เหลือบเห็นขุนเทพชำนาญเดินนำทาสชายกลุ่มหนึ่งมา โดยพวกทาสแบกหีบใบเดิมมาด้วย
แน่นรีบหลบเพื่อดูสถานการณ์ทันที
ขุนเทพชำนาญเดินนำพวกทาสไป โดยไม่สนใจอะไร
แน่นมองตาม "อีกแล้วรึ" คิดอยู่ครู่นึง "ไม่ใช่ทางออกจากวัง"
แน่นฉุกคิดขึ้น ถอนใจ
"เอากลับไปเรือนตัวเอง เวรแท้" พลางส่ายหน้าปลงๆ
บรรยากาศของสวนยามเช้า
เจ้าจอมเพ็ญเดินคุยมากับจมื่นศรีสรรักษ์ โดยมีเลื่อนเดินตามรับใช้
จมื่นศรีสรรักษ์เซ็งๆ
"คุณพี่ไม่น่าสนับสนุนอ้ายพระศรีขันทินขึ้นเป็นหัวหน้าขันทีเลย กระผมเห็นหน้ามันแล้วไม่ใคร่ถูกชะตา ดูหูตามันไม่น่าวางใจอย่างไรชอบกล"
" เจ้าจะทำงานใหญ่ก็ต้องรู้จักใจกว้าง จะถือเอาอารมณ์ของตนเป็นที่ตั้งไม่ได้ดอก พี่สนับสนุนออกพระศรีน่ะถูกต้องแล้ว ด้วยหลวงศรีมะโนราชสนิทสนมกับเจ้าจอมอำพันมากกว่าพี่ ขืนให้ขึ้นเป็นใหญ่ อำนาจในฝ่ายในของพี่ก็สั่นคลอนน่ะซี"
"ผู้อื่นก็มี เหตุใดต้องเป็นออกพระศรีผู้นี้ด้วย"
เลื่อนรีบตอบแทน
"ออกพระศรีเป็นคนเฉลียวฉลาดนะเจ้าคะ รับราชการไม่ทันไร ก็ได้เป็นคุณหลวง แลไม่มีผู้ใดรังเกียจ เหล่าข้าหลวง เหล่าโขลน ล้วนชื่นชอบพ่อปันหยีรูปงามกันทั้งนั้นล่ะเจ้าค่ะ" เลื่อนหัวเราะคิกๆ
"ชายไม่ใช่ชาย ถึงรูปงามแล้วใช้ทำกระไรได้ โง่เง่า" จมื่นศรีสรรักษ์เหยียดปากดูถูก
เลื่อนหน้าจ๋อยไป
"แต่ที่นังเลื่อนพูดก็มีส่วนถูก คุณพระศรีผู้นี้ไม่มีผู้ใดรังเกียจแลไม่อยู่ฝ่ายใด ถ้าพี่สนับสนุน ก็ไม่มีใครตำหนิได้ว่า พี่เอาคนของตัวเองขึ้นเป็นใหญ่ แต่ในความจริง คือพี่สร้างบุญคุณกับคุณพระศรีแล้ว ก็เท่ากับคุณพระผู้นี้ อยู่ใต้อำนาจพี่อย่างไรเล่า"
จมื่นศรีสรรักษ์คิดตาม ยิ้มดีใจ
"คุณพี่ช่างชาญฉลาดนัก กระผมเทียบไม่ติดเลยจริงๆ"
เจ้าจอมเพ็ญยิ้มรับ หันไปพูดกับเลื่อน
"นังเลื่อน เอ็งไปจัดของหวานมาให้ข้าที ข้าจะฝากคุณพระนายเอาไปให้หลานข้า"
" เจ้าค่ะหม่อมแม่"
เลื่อนเดินเลี่ยงไป
เจ้าจอมเพ็ญมองตามจนเห็นว่าเลื่อนไปไกลแล้ว จึงพูดกับจมื่นศรีสรรักษ์ด้วยความร้อนใจ
"ขรัวเถื่อนว่าอย่างไรบ้าง เจ้าได้ไปเจอขรัวท่านแล้วหรือไม่"
จมื่นศรีสรรักษ์ไม่สบายใจและหยิบขวดใส่ยาเล็กๆออกมา
"เจอแล้วขอรับ กระผมได้ยามาตามที่คุณพี่ต้องการแล้ว แต่หากคุณพี่ต้องการทำเสน่ห์เพิ่ม
ก็ต้องรออีกสองเดือน จึงจะได้ฤกษ์ขอรับ"
เจ้าจอมเพ็ญดีใจมาก รีบรับขวดใส่ยามาดู แล้วรีบเก็บไว้
จมื่นศรีสรรักษ์หงุดหงิด
"กระผมรู้ว่าคุณพี่เชื่อถือขรัวเถื่อนผู้นี้นัก แต่บอกตามตรง กระผมไม่นับถือเลย ดูเป็นคนมากเล่ห์ แลเราก็เสียทรัพย์สินเงินทองให้ขรัวเถื่อนผู้นี้ไปมากนัก นอกจากพร่ำบ่นคาถาแล้ว กระผมยังไม่เห็น
จะทำกระไร"
เจ้าจอมเพ็ญชักสีหน้า
"ดูคุณพระนาย จะไม่พอใจในทุกสิ่งที่พี่ทำเลยกระมัง"
" มิได้ขอรับ"
เจ้าจอมเพ็ญถอนใจ เห็นน้องหน้าจ๋อยก็หายโกรธ
"เรื่องทำเสน่ห์ เจ้าไม่เชื่อถือก็ช่างเถิด เอาเป็นว่าพี่เชื่อก็แล้วกัน ส่วนเรื่องทรัพย์สินที่เสียไป
เป็นเพียงรายได้ส่วนเล็กน้อยจากที่พี่ได้อยู่ประจำเท่านั้น ยังไม่ถึงเศษเสี้ยวของที่พี่มีเลย"
เจ้าจอมเพ็ญยิ้มเย่อหยิ่ง
จมื่นศรีสรรักษ์ตกใจ "นี่คุณพี่มีทรัพย์สมบัติแอบซ่อนอยู่อีกหรือขอรับ"
เจ้าจอมเพ็ญลูบหัวน้องด้วยความเอ็นดู
"เรื่องนี้ไม่มีใครรู้ นอกจากเจ้าที่เป็นน้อง อโยธยารุ่งเรืองเท่าใด พี่ก็ร่ำรวยเท่านั้น แลพี่เชื่อว่าอโยธยายังจำเริญรุ่งเรืองไปชั่วกัลปวสาน ฉะนั้น เจ้าอย่ากังวลไปเลย"
จมื่นศรีสรรักษ์ยิ้มดีใจมาก ที่รู้ว่าพี่สาวร่ำรวยมหาศาลกว่าที่ตนคิดไว้
เจ้าจอมเพ็ญยิ้มยโส มั่นใจว่าตนไม่มีทางตกต่ำลงมาได้แน่
ท้องพระโรงอังวะตอนกลางวัน...พระเจ้ามังระเดินเข้ามาในท้องพระโรงด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
อะแซหวุ่นกี้ มังมหานรธา เนเมียวสีหบดี และขุนนางคนอื่นๆ นั่งอยู่กับพื้นเตรียมพร้อม
" เหตุการณ์ที่ทวายกับเชียงใหม่เป็นอย่างไร"
ขุนนาง 1ยกมือไหว้เหนือหัว "ขอเดชะ พระอาญาไม่พ้นเกล้า เมืองทวายแลนครพิงค์เชียงใหม่ ได้แปรพักตร์จากอังวะ ไปเข้าด้วยอโยธยาแล้วพระพุทธเจ้าข้า"
พระจ้ามังระนั่งลงบนบัลลังก์ สีหน้าเจ็บใจ "อังวะเราวุ่นวายภายในอยู่นาน กว่าจะสงบ พวกมันได้ทีจึงกระด้างกระเดื่อง น่าเจ็บใจนัก"
อะแซหวุ่นกี้พนมมือขึ้น
"ขอเดชะ เราจะละไว้นานหาเป็นการควรไม่ หากไม่ตีเอาทวายแลเชียงใหม่ให้กลับมาอยู่ในอำนาจแล้วไซร้ หัวเมืองประเทศราชอื่นก็จะเอาเยี่ยงอย่าง จนเกิดความเดือดร้อน ไปทั่วได้พระพุทธเจ้าข้า"
"ใจข้า อยากจะให้อาณาประชาราษฎร์ได้พักอีกสักสองสามปี จึงค่อยคิดการศึ แต่ครั้นจะไม่ออกรบก็จะเป็นอย่างเจ้าว่า" พระเจ้ามังระเงียบไปอย่างใช้ความคิด
ท้องพระโรงเงียบกริบรอฟังคำบัญชา
"เอาเช่นนี้เถิด ข้าจะสั่งเกณฑ์ทหารจากบรรดาหัวเมืองฉานก็แล้วกัน จะได้ผ่อนภาระชาวอังวะเราไปได้บ้าง"
" ควรแล้ว พระพุทธเจ้าข้า"
พระจ้ามังระสั่ง "มังมหานรธา"
มังมหานรธา แม่ทัพวัยประมาณ 60 สีหน้าเงียบขรึม สำรวม
มังมหานรธาพนมมือขึ้น "พระพุทธเจ้าข้า"
"เจ้าจงยกทัพสองหมื่นไปยึดเมืองทวายคืนมาให้จงได้"
มังมหานรธาพนมมือขึ้น "รับด้วยเกล้า พระพุทธเจ้าข้า"
พระเจ้ามังระสั่ง"เนเมียวสีหบดี"
เนเมียวสีหบดี แม่ทัพวัยประมาณ 38-40 ปี สีหน้ายิ้มแย้มดีใจ
เนเมียวสีหบดีพนมมือขึ้น ดีใจมาก "พระพุทธเจ้าข้า"
"เจ้าจงยกทัพอีกสองหมื่น ไปโจมตีนครพิงค์เชียงใหม่"
ขุนนาง 2 รีบพูดขึ้น พนมมือ "ช้าก่อนพระพุทธเจ้าข้า"
"มีกระไร"
"เนเมียวสีหบดีผู้นี้ แม้จะมีบิดาเป็นชาวอังวะ แต่มีมารดาเป็นชาวล้านนา หาควรส่งไปทำศึกกับล้านนาไม่ ด้วยเกรงว่าจะรบไม่เต็มฝีมือพระพุทธเจ้าข้า"
เนเมียวสีหบดีเจ็บใจ เป็นปมด้อยโดนดูถูกมานานแล้วที่ไม่ใช่สายเลือดอังวะแท้
"ขอเดชะ ข้าพระพุทธเจ้าขอเอาชีวิตลูกแลเมียเป็นประกัน หากข้าพระพุทธเจ้ายึดเชียงใหม่มามิได้ ก็ขอพระองค์ทรงตัดศีรษะข้าพระพุทธเจ้าพร้อมด้วยลูกเมียเถิดพระพุทธเจ้าข้า"
" ไม่ต้อง อันหลักการช่วงใช้คนนั้น สำคัญที่ใช้คนไม่ระแวง ระแวงคนไม่ใช้ เนเมียวสีหบดีเป็นหนึ่งในหกสิบทหารเอกที่สมเด็จพ่อข้าแต่งตั้งด้วยพระองค์เอง เช่นเดียวกับมังมหานรธา ข้าเชื่อ ว่าเจ้าจะต้องรบพุ่งเพื่ออังวะจนสุดฝีมือเป็นแน่"
" เป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ พระพุทธเจ้าข้า"
เนเมียวสีหบดีก้มลงกราบ
"เจ้าทั้งสองจงไปเตรียมตัวให้พร้อม เกณฑ์ทหารได้ครบเมื่อใด ก็จงไปสำแดงอำนาจของอังวะให้เป็นที่ประจักษ์ไปทั่วทุกทิศเถิด"
พระเจ้ามังระแววตาดุดัน น่าเกรงขราม
ผ่านมา 10 กว่าวัน
เมียวสีหบดีกำลังเกณฑ์ทหารจากเมืองฉานอยู่ โดยมีเชื้อพระวงศ์เมืองฉานสองคน ยืนดูด้วยความเจ็บใจ
ทหารอังวะช่วยกันคัดเลือกผู้ชายที่มีความแข็งแรง เข้ามาในกองทัพ จากนั้นก็ให้ลองจับคู่ซ้อมดาบให้ดู เนเมียวสีหบดีเห็นคนไหนมีฝีมือก็คัดไปเป็นทหารของตน
เชื้อพระวงศ์เมืองฉานยืนมองด้วยความเจ็บใจ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ได้แต่หันไปมองหน้ากันเหมือนมีแผนอะไรบางอย่างในใจ
เมืองฉานเป็นพวกไทยใหญ่ มีสิบเก้าหัวเมือง โดยเป็นเมืองขึ้นบ้าง แยกตัวเป็นอิสระจากพม่าบ้าง แต่ในยุคนี้ ตกเป็นเมืองขึ้นของอังวะทั้งหมด
" พระเจ้ามังระ ทรงมีรับสั่งให้เกณฑ์ทหารจากหัวเมืองฉานไปทำการรบ โดยไม่ทรงทราบว่าหัวเมืองฉานได้แอบส่งเครื่องราชบรรณาการถวายแด่ “จักรพรรดิเฉียนหลง” แห่งราชวงศ์ชิงของจีน เป็นเหตุให้อังวะและจีนผิดใจกัน จนเกิดสงครามในเวลาต่อมา ซึ่งสงครามครั้งนี้ ได้ส่งผลสำคัญต่อกรุงศรีอยุธยาอีกด้วย"
อีก 10 กว่าวันต่อมา พระยากำแหงเดินหน้าเครียดมา เพราะจะต้องเข้าประชุมด่วน แต่ขณะนั้นเอง ก็ได้ยินเสียงขันทองดังขึ้นที่ด้านหลัง
" ท่านเจ้าคุณเจ้าคะ"
พระยากำแหงหันกลับไปมอง เห็นขันทองเดินหน้าเครียดเข้ามาหาตน
" ที่มีการเรียกประชุม เพราะข่าวที่ว่าอังวะยกทัพมาใช่หรือไม่เจ้าคะ"
กำแหงพยักหน้ารับ
"พวกเราต้องช่วยกันคิดว่าจะเอาอย่างไร หากต้องตั้งรับอยู่แต่ในพระนครเหมือนคราก่อน ฝ่ายในของเราจะได้เริ่มสะสมเสบียงอาหารกัน"
ขันทองคิดอยู่ครู่นึง
"แต่ดีฉันคิดว่าอังวะยกทัพมาครานี้ หาใช่คิดจะยึดอโยธยาเหมือนทุกคราวไม่ หากแต่คิดจะตีเอาทวายแลเชียงใหม่กลับไปเท่านั้นเจ้าค่ะ"
" เหตุใดคิดอย่างนั้น ไม่มีผู้ใดคิดเหมือนคุณพระสักคน เพราะชาวพุกามกับเรานั้น เปิดศึกกันมาแต่ครั้งโบร่ำโบราณ ผลัดกันแพ้แลชำนะ แล้วทำไมครานี้ถึงจะละเว้นไม่คิดจะยึดอโยธยาเล่า"
"เพราะมันผิดปกติเจ้าค่ะ หากพระเจ้ามังระทรงคิดจะยึดอโยธยาเป็นเมืองขึ้นเมืองออกจริง ย่อมต้องทรงยกทัพมาด้วยพระองค์เอง เพื่อให้พระเกียรติยศปรากฏไปในแผ่นดิน ดังเช่น พระเจ้าอลองพญาแลบูรพกษัตริย์พระองค์อื่น แต่นี่กลับให้แม่ทัพมังมหานรธากับเนเมียวสีหบดียกมาเท่านั้น ดีฉันจึงมั่นใจว่ามิได้คิดยึดอโยธยาเป็นที่ตั้งเจ้าค่ะ"
" ก็มีเหตุผลอยู่ แต่ถึงอย่างไร เราก็ต้องเตรียมการตั้งรับไว้อยู่แล้ว อังวะคิดจะยึดอโยธยาหรือไม่ คงไม่สำคัญกระมัง"
"สำคัญเจ้าค่ะ สำคัญมากเสียด้วย เพราะเราจะวางแผนรับมืออังวะอย่างไร ก็ขึ้นอยู่กับประสงค์ของอังวะนี่ล่ะเจ้าค่ะ"
กำแหงแปลกใจ "อย่างไรรึ ฉันไม่เข้าใจ"
ขันทองกำลังครุ่นคิดว่าจะอธิบายยังไงดี
ขันทองกำลังอธิบายให้พระยาพลเทพฟัง โดยมีพระยากำแหง ขุนแผลงฤทธิ์ แน่น และขุนนาง
คนอื่นๆเข้าประชุมกันพร้อม
"เมื่ออังวะ คิดเพียงแค่ยึดทวายกับเชียงใหม่ เราจึงมิควรตั้งรับอยู่ในแดนของเรา แต่ควรส่งกองทัพใหญ่ไปช่วยทวายแลเชียงใหม่เจ้าค่ะ ด้วยเหตุที่อังวะไม่ได้เตรียมตัวมารับกองทัพใหญ่ แลเรายังได้ชัยภูมิเมืองทวายกับเชียงใหม่ช่วยอีกด้วย จึงมีความได้เปรียบมากอยู่ อีกทั้งทวาย แล เชียงใหม่สวามิภักดิ์ต่อเราแล้ว เมื่อเกิดศึกเราไม่ยกทัพไปช่วย ก็จะโกรธเคืองแลเสียน้ำใจได้เจ้าค่ะ"
ขุนนางทุกคนหันไปมองหน้า และปรึกษากันเบาๆกับข้อเสนอของขันทอง
"ข้อเสนอของคุณพระศรีขันทินก็ไม่เลว แต่หากอังวะเตรียมตัวมารบกับอโยธยาแต่แรกเล่า เราส่งทัพใหญ่ออกไปแล้วเกิดไม่ได้ชัย เราจะไม่เสียทั้งคนทั้งขวัญกำลังใจรึ ฉันเห็นว่าเราควรตั้งรับอยู่ในเขตแดน
หากรับไม่อยู่ ก็ใช้พระนครเป็นปราการสุดท้ายเหมือนทุกคราวจะเหมาะกว่า"
"หากทำเช่นนั้น ก็เท่ากับเราปล่อยให้ทวายแลเชียงใหม่ รับศึกเพียงลำพังนะเจ้าคะ"
"จะห่วงกระไร พวกเมืองประเทศราช ถึงจะถูกยึดไป ก็หากระเทือนถึงอโยธยาไม่"
พระยากำแหงตกใจ
"แล้วท่านเจ้าคุณไม่กลัวว่าหัวเมืองพวกนี้จะโกรธเคืองที่อโยธยาทอดทิ้งหรือขอรับ"
ขุนแผลงฤทธิ์รีบสวนทันที
"โกรธก็โกรธไปซีขอรับ เมืองขึ้นพวกนี้ ก็เหมือนบ่าวรองมือรองตีนนาย แต่ละปี มีหน้าที่เพียงส่งบรรณาการ เท่านั้น เรื่องอื่นอย่าไปใส่ใจเลยขอรับ"
"พูดเช่นนี้ มันเอาแต่ได้แล้วท่านขุน บรรณาการก็อยากได้ แต่พอเกิดเรื่องกลับทอดทิ้ง แล้วต่อไปใครจะยอมสวามิภักดิ์"
พระยาพลเทพปราม
"ใจเย็นก่อนเถิดท่านเจ้าคุณ ขุนแผลงฤทธิ์เจรจาโดยซื่อ อย่าถือโทษโกรธเคืองเลย" แล้วหันไปพูดกับทุกคน "เอาเป็นว่า ฉันจะเสนอให้ใช้แผนเดิมในการรับศึกอังวะ ทุกคนเห็นเป็นอย่างไร"
ขุนนาง 1 รีบประจบ
"แผนเดิมก็ดีแล้วขอรับ เรารักษาอโยธยามาได้เป็นร้อยปีก็เพราะแผนนี้ แล้วจะเปลี่ยนเพื่อกระไร"
ขุนนาง 2 บอก
"พวกกระผมก็เห็นตามนั้นขอรับท่านเจ้าคุณ ศึกคราก่อน พระเจ้าอลองพญามาด้วยพระองค์เอง ยังพ่ายแพ้กลับไป แล้วนี่ส่งเพียงแม่ทัพมา จะพอมือหรือขอรับ"
" แต่..."
ขันทองจะขัด แต่แน่นรีบกระตุกชายเสื้อขันทองไว้ไม่ให้พูดต่อ
"ออกพระศรีคงไม่เห็นด้วย ฉันเข้าใจ แต่อันที่จริง เรื่องการศึก ก็ไม่เกี่ยวกระไรกับขันทีอย่างคุณพระเลย ที่ฉันให้เข้าประชุมด้วย ก็เพื่อจะได้เตรียมสะสมเสบียง แลควบคุมฝ่ายในให้มีความเรียบร้อย
เพลามีศึกเท่านั้น ฉะนั้น คุณพระอย่าได้ออกความเห็นให้เป็นที่หัวร่อเลย" พระยาพลเทพพูดพลางขำๆลงคอ
ขุนแผลงฤทธิ์กับพวกขุนนางคนอื่นๆพากันหัวเราะขบขัน
พระยากำแหงหน้าตาบึ้งตึง ไม่พอใจกับการเหยียดหยามแบบนี้
ในขณะที่ขันทอง และแน่น สีหน้าเรียบเฉย หน้านิ่งๆ ไม่หวั่นไหวกับคำพูดเหยียดหยาม
ขันทอง และแน่นเดินคุยกันมาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
" อ้ายเจ้าคุณพลเทพ มันวางแผนรับศึกเช่นนี้ หากไม่ใช่จงใจให้อโยธยาเสียเปรียบ ก็ต้องถือเป็นเวรกรรมของบ้านเมืองโดยแท้ที่ได้คนเช่นนี้มีอำนาจในกลาโหม"
แน่นตบบ่าขันทอง
"ข้ารู้ว่าเอ็งห่วงบ้านเมือง แต่ที่อ้ายเจ้าคุณพลเทพพูดมันก็ถูก เอ็งเป็นขันที มาจากเมืองโต้ระกี่ ควรรึ ที่จะมีความรู้ด้านพิชัยสงครามกับเค้า ยิ่งแสดงปัญญามากเท่าใด เอ็งจะยิ่งเดือดร้อนนาโว้ย"
ขันทองคิดตาม ก่อนจะถอนใจเฮือกใหญ่
"ขอบน้ำใจนัก ที่เอ็งเตือนสติข้า ต่อไป ข้าจะระวังให้มากกว่านี้"
" ไม่เป็นกระไรดอก เออ แล้วเอ็งคิดว่าจะเป็นอย่างไรต่อ ถ้าอังวะมันยึดเชียงใหม่กับทวายคืนได้แล้ว จะกลับไปหรือไม่"
" ก็หวังให้เป็นเช่นนั้น แต่ข้าเกรงว่าอังวะจะย่ามใจ ด้วยเห็นว่าเราอ่อนแอ ยอมปล่อยให้ยึดหัวเมืองประเทศราชได้ง่ายๆ จากที่ไม่คิดโจมตี ก็จะกลายเป็น..."
ขณะนั้นเอง แน่นก็เหลือบเห็นเป้าเดินถือขันสำหรับใส่ดอกมะลิ เดินไปทางสวน
แน่นดีใจ รีบตัดบท
"ข้าเพิ่งนึกได้ว่ามีงาน เอ็งเองก็ต้องไปทำงานให้กรมขุมวิมลท่านไม่ใช่รึ เช่นนั้น เราต่างแยกย้ายไปทำงานเถิด"
พูดจบ แน่นก็รีบเดินลิ่วเลี่ยงไปทันที
ขันทองไม่ทันจะพูดจบ ได้แต่มองตามแน่นอย่างงงๆ
บรรยากาศของสวนสวยงาม มีต้นไม้ดอกไม้มากมาย
เป้ากำลังเก็บดอกมะลิและดอกไม้อื่นใส่ขันอยู่
แน่นค่อยๆเดินมาที่ด้านหลังเป้าอย่างเงียบๆ ก่อนจะเด็ดดอกไม้ดอกหนึ่งติดมือมาด้วย แอบหย่อนดอกไม้ที่เด็ดมา ผ่านหน้าเป้าลงขันที่ถืออยู่
"อุ๊ย"
เป้าหันกลับไป เกือบชนหน้าแน่น ใบหน้าของทั้งคู่ห่างกันเพียงฝ่ามือกั้นเท่านั้น
แน่นเองก็ตกใจ ไม่คิดว่าจะใกล้ชิดกับเป้าขนาดนี้ ได้แต่ยืนตะลึงอยู่
" ท่านขุน มาเงียบๆ ตกอกตกใจหมดเลยเจ้าค่ะ"
แน่นเพิ่งรู้สึกตัว ผงะถอยออกมา ปั้นยิ้ม "เอ่อ ฉันหยอกเล่นน่ะ ทำกระไรอยู่รึแม่เป้า"
"เก็บดอกไม้ไปร้อยมาลัยถวายพระน่ะเจ้าค่ะ ท่านขุนนี่พิลึกคนจริงๆ ฉันไม่เคยเห็นขันทีคนไหน หยอกเย้ากับนางข้าหลวงอย่างนี้เลย นี่ถ้าไปเล่าให้คนอื่นฟัง คงไม่มีใครเชื่อ"
"ถึงฉันจะมีบรรดาศักดิ์เป็นขุน แต่อายุก็แก่กว่าแม่เป้าไม่กี่ปีดอก จะนับว่าเป็นรุ่นเดียวกันก็ได้ จะให้ฉันวางท่า เป็นท่านขุนแก่ๆ เจอหน้าใครก็หนวดกระดิกแลถลึงตาโปนๆอย่างนั้นรึ"
เป้าหัวเราะชอบใจ อยู่ในวังเจอแต่คนเข้มงวด ไม่เคยเจอคนอย่างแน่น
แน่นเห็นเป้าหัวเราะยิ่งสวยกว่าเดิม ก็มองแบบปลื้มๆหลงๆ
เป้ารีบเก็บอาการ
"นี่ถ้าคุณท้าวมาได้ยินฉันหัวเราะอย่างนี้ คงหยิกฉันเนื้อเขียว ที่ไม่สำรวมเสียกิริยาต่อหน้า... เอ่อ"แน่นรีบยิ้มกลบเกลื่อน
"จะพูดว่าเสียกิริยาต่อหน้าชายใช่หรือไม่ อย่ากลัวเลย ฉันไม่ใช่ชายแท้ คุณท้าวดุไม่ได้ดอก เชื่อฉันซี"
เป้ายิ้มขำๆ ไม่เครียด เลยสนิทด้วยเร็ว
"เอ่อ เก็บดอกไม้อยู่ไม่ใช่รึ ให้ฉันช่วยนะ"
"เป็นพระคุณเจ้าค่ะ"
แน่นช่วยเก็บดอกไม้และชวนเป้าคุยไปด้วยอย่างมีความสุข ยิ้มแย้มแจ่มใส
ตอนบ่าย แมงเม่าเดินเร็วจนเกือบจะวิ่ง ออกมาจากข้างในเรือน เพื่อมาหาขันทองที่กำลังนั่งคุยกับอิน
อยู่ที่โถงบ้าน
แมงเม่าร้อนใจมาก
"ออกพระเจ้าขา จริงหรือเจ้าคะที่พวกอังวะยกทัพมาอีกแล้ว"
อินดุ
"เจ้าแมงเม่า ทำไมทำกิริยาอย่างนี้ คุณพระท่านนั่งอยู่ ยังจะเอะอะมะเทิ่งอีก ใครรู้เข้า จะเอาหน้าไปไว้ที่ใด"
" โอ๊ย อยากจะเอาไว้ที่ใดก็ไว้เถิด ฉันไม่ว่ากระไรดอกพี่อิน" แล้วหันไปพูดกับขันทอง "ว่าอย่างไรเจ้าคะ อังวะมาจริงหรือไม่"
ขันทองหน้านิ่ง แกล้งพูดเรื่องอื่นกวนประสาทแมงเม่า
"กรมขุนวิมลท่านทรงได้ผ้าสวยมา จึงให้ฉันเอามาให้เจ้า"
ขันทองหยิบพานใส่ผ้าพับที่วางอยู่ขึ้นมา แล้วยกขึ้นจบหัว
แมงเม่าไม่อยากรู้เรื่องนี้ แต่ก็ต้องไหว้พานตาม แล้วรับพานมาจากขันทอง
"แล้วเรื่องอังวะ... "
ขันทองหันไปพูดกับอิน
"ที่แม่นายพูดมา ฉันสนใจนัก ไม่ทราบว่าจะไปเห็นของจริงได้ที่ใด"
อินไม่ทันตอบ แมงเม่าก็แว๊ดขึ้นก่อน
" ออกพระ ๆๆ ฉันโกรธแล้วนะเจ้าคะ"
ขันทอง และอินหันไปสบตากัน ก่อนจะหลุดขำออกมาพร้อมกันกับท่าทางของแมงเม่า
แมงเม่าเห็นทั้งคู่ขำ ก็ยิ่งหน้าหงิกกว่าเดิม
แต่ไม่ทันทำอะไร มิ่ง และชื่นก็กุลีกุจอเดินนำพระยากำแหงขึ้นเรือนมา
มิ่งยิ้มแย้ม
"เชิญขอรับท่านเจ้าคุณ เชิญเลยขอรับ" แล้วหันไปสั่งบ่าว "เฮ้ย รีบไปเอาส้มสูกลูกไม้มาต้อนรับขับสู้ท่านเจ้าคุณเร็ว"
ชื่นเห็นแมงเม่านั่งอยู่ ยิ้มดีใจ
"อ้าว แม่แมงเม่าอยู่ที่นี่พอดี เร้ว รีบมาไหว้ท่านเจ้าคุณเร็วเข้า"
แมงเม่าถอนใจเซ็งๆ ก่อนจะลุกขึ้นพร้อมอิน แล้วเข้าไปไหว้พระยากำแหงพร้อมกัน โดยขันทองลุกขึ้นยืนเป็นการทำความเคารพพระยากำแหง
แมงเม่าไหว้
"ฉันไหว้เจ้าค่ะท่านเจ้าคุณ"
พระยากำแหงรับไหว้ ยิ้มกรุ้มกริ่ม "จำเริญสุขเถิดแม่หญิง" ก่อนหันไปพูดกับขันทอง "เจอกันอีกแล้วนะคุณพระ เพิ่งแยกกันเมื่อครู่นี้เอง นี่ถ้ารู้ว่าคุณพระจะมาที่เรือนนี้ คงมาด้วยกันแล้ว"
"ดีฉันเอาผ้ามาให้แม่แมงเม่า ตามรับสั่งของกรมขุนวิมลภักดีเจ้าค่ะ"
แมงเม่าฉุกคิดขึ้น รีบพูดทันที
"คุณพระศรีกำลังจะกลับอยู่เลยเจ้าค่ะ"
ขันทองชะงักปนอึ้งไป
อินตกใจ
"เจ้าแมงเม่า ทำไมพูดอย่างนี้"
แมงเม่าทำไม่รู้ไม่ชี้ เข้าไปดึงแขนขันทอง
"มาเจ้าค่ะ ฉันไปส่งนะเจ้าคะ" ก่อนหันไปพูดกับพระยากำแหง
"ขอไปส่งคุณพระศรีสักประเดี๋ยวนะเจ้าคะ"
แมงเม่าดึงแขนขันทองลงจากเรือนไปกับตนทันที โดยขันทองยังตั้งตัวไม่ติด สีหน้าเหรอหรา
แต่ก็ตามแมงเม่าไป
พระยากำแพงก็มองตามไปอึ้งๆปนงง
ชื่นหน้าเสีย รีบแก้ตัวแทน
"เอ่อ แม่แมงเม่าคิดว่าคุณพระศรีเป็นเช่นเดียวกับตนเลยจับมือถือแขน ท่านเจ้าคุณอย่าถือสาเลยนะเจ้าคะ"
กำแหงยิ้มแย้ม
"ฉันเข้าใจ พวกนางข้าหลวงในวังก็ทำเช่นนี้หลายคน ฉันไม่ถือดอก"
มิ่งหัวเราะกลบเกลื่อน
"ท่านเจ้าคุณเป็นคนใจกว้าง ย่อมไม่ถือสาเรื่องเล็กน้อยอยู่แล้ว มาขอรับ มานั่งพักทางนี้ก่อน"
มิ่ง ชื่น และอิน รีบนำพระยากำแหงมาที่หอนั่ง
พระยากำแหงยังหันไปมองตามแมงเม่าไป สีหน้าบึ้งตึง
ขันทองเดินคุยมากับแมงเม่า อยู่ที่หน้าเรือนของแมงเม่า
ขันทองหน้าบึ้งตึง
"ฉันสงสัยในตัวเองนัก"
แมงเม่าแปลกใจ
"เรื่องกระไรหรือเจ้าคะ"
"เรื่องที่ฉันเป็นคุณพระหรือเป็นเครื่องไม้เครื่องมือให้เจ้าใช้กันแน่ ช่างกล้านักนักนะเจ้าตัวดี"
แมงเม่าหัวเราะคิกๆ
"พุทโธ่เอ๊ย อย่าเพิ่งเคืองซีเจ้าคะ คุณพระช่วยฉัน ฉันก็ช่วยคุณพระ ถือว่าช่วยเหลือกันฉันมิตรเถิดเจ้าค่า"
" นี่มาส่งฉันแล้ว ก็คงหาเรื่องไถลไม่ยอมกลับเลยล่ะซี"
แมงเม่าหน้าจ๋อยๆ
"เป็นคนอื่นก็คงอย่างนั้นล่ะเจ้าค่ะ แต่ออกญาวังท่านเป็นขุนนางผู้ใหญ่ ฉันทำอย่างนั้นก็เป็นการฉีกหน้าพ่อท่านเกินไป"
ขันทองแขวะ หน้าตาย " อ้อ ยังมีสำนึก"
"ก็ไม่มากดอกเจ้าค่ะ แต่พอมีบ้าง" แมงเม่าทิ้งค้อน
ขันทองยิ้มขำๆ ก่อนจะหน้าขรึมลง
"เรื่องอังวะ เพลานี้มีสองทัพ บุกเข้าตีทวายแลเชียงใหม่"
แมงเม่ามีสีหน้าสนใจขึ้นมาทันที
"ส่วนภายหน้า จะบุกถึงอโยธยาหรือไม่ ฉันไม่กล้าเดา ได้แต่หวังว่าคงไม่"
แมงเม่าหน้าเครียดขึ้นมา
"เสียทีที่ฉันไม่ใช่ชาย ไม่เช่นนั้น ก็คงจะช่วยบ้านเมืองได้บ้าง"
"ผิดแล้ว ไม่ว่าชายหรือหญิง หากมีความตั้งใจ ก็ช่วยบ้านเมืองได้ทั้งนั้น มิแน่ สักวันอโยธยาอาจจะต้องพึ่งพาหญิงอย่างเจ้าก็เป็นได้"
แมงเม่ายิ้มรับ ที่ขันทองให้กำลังใจ
พระยากำแหงยืนมองทั้งคู่ที่เดินคุยกันอย่างสนิทสนม ด้วยสีหน้าบึ้งตึง เหมือนไม่พอใจ
ขันทองเดินขึ้นเรือนมาในตอนหัวค่ำ ขณะนั้นเอง ก็ได้ยินเสียงเยื้อนดังขึ้นที่ด้านหลัง
"คุณพระเจ้าขา"
ขันทองหันไปมองตาม เห็นเยื้อนขึ้นบันไดตามหลังตนมา แล้วคุกเข่าลงกับพื้น
"มีกระไรรึ"
เยื้อนยิ้มแย้ม
"คุณพระรับกระไรมาแล้วหรือไม่เจ้าคะ ถ้ายังไม่รับ บ่าวจะได้จัดเตรียมให้"
"ฉันกินที่ทิมขันทีมาแล้ว ขอบน้ำใจเจ้านัก"
"บ่าวเห็นว่าเริ่มหนาวแล้วเลยต้มน้ำไว้ หากคุณพระจะอาบน้ำชำระกาย บ่าวจะผสมน้ำให้นะเจ้าคะ"
"ดีเหมือนกัน เจ้าไปเตรียมน้ำเถิด"
"เจ้าค่ะ"
ขันทองเดินเลี่ยงเข้าข้างในไป
ผ่านเวลาเล็กน้อย
หลังเรือนขันทอง
ขันทองเอานิ้วจุ่มลงไปในถังน้ำ เพื่อดูว่าน้ำร้อนกำลังดีหรือยัง
ขันทองยิ้มพอใจ ถอดผ้าโพกหัวแขวนไว้ จากนั้นก็ค่อยๆถอดเสื้อ
จังหวะนั้นเอง ก็เห็นเยื้อนถือกระจาดเล็กๆ ใส่เครื่องหอม ใยบวบ ฯลฯ สำหรับอาบน้ำชำระ
ล้างร่างกายมาให้ขันทอง
แต่พอเห็นขันทองกำลังถอดเสื้อ เยื้อนก็ชะงักไปแอบลอบมอง
ขันทองไม่รู้ตัวว่าเยื้อนกลับเข้ามา ขันทองกำลังจะถอดกางเกง แต่ขณะนั้นเองก็เหลือบเห็น
เยื้อนยืนจ้องตนอยู่
ขันทองรีบกระชับกางเกง "มีกระไรรึ"
เยื้อนตั้งสติได้ "เอ่อ บ่าวเอาเครื่องหอมแลเครื่องขัดผิวมาให้เจ้าค่ะ"
"วางไว้ตรงนั้นเถิด"
เยื้อนวางกระจาดไว้กับพื้น ใกล้ๆกับขันทองก่อนจะเดินเลี่ยงไป
ขันทองมองตามจนแน่ใจว่าเยื้อนไปพ้นแล้ว
"เกือบไปแล้ว"
ขันทองเป่าปากโล่งอก
ต่อมา เยื้อนนั่งใจลอยอยู่บนเรือน จิตใจยังปั่นป่วนอยู่หลังจากเห็นรูปร่างขันทอง เยื้อนยังคงอมยิ้มอยู่ไปมาใจนึกถึงแต่ภาพขันมอง ไม่ทันได้ยินเสียงเรียกของพระยากำแหง
" นังทาส อีนังทาส"
เยื้อนตั้งสติได้ หันกลับไปมองตามเสียง เห็นพระยากำแหงยืนถือขวดใส่เหล้าแบบฝรั่ง เรียกตนอยู่
เยื้อนรีบเข้าไปคุกเข่า
"ท่านเจ้าคุณมีกระไรให้รับใช้เจ้าคะ"
"ข้าก็มาหาออกพระศรีนายเอ็งน่ะซี ให้ข้าเรียกอยู่เสียนาน"
" เอ่อ คุณพระกำลังอาบน้ำอยู่เจ้าค่ะ ท่านเจ้าคุณมีกิจธุระด่วนหรือไม่เจ้าคะ บ่าวจะได้ไปกราบเรียนคุณพระถูกเจ้าค่ะ"
"ไม่ด่วน เอ็งไม่ต้องไปรบกวนออกพระดอก ให้ท่านอาบน้ำตามสบายเถิด ข้าจะนั่งรออยู่ที่นี่ก็แล้วกัน"
ขณะนั้นเองขันทอง ในเปลี่ยนชุดเรียบร้อย เดินเข้ามาหาพระยากำแหง
ขันทองยิ้มแย้ม
"ท่านเจ้าคุณไม่ควรต้องมานั่งรอดีฉัน"
พระยากำแหงและเยื้อนหันมองขันทอง..เยื้อนยังมีท่าทางเขินอายอยู่ในทีไม่กล้ามองขันทองตรงๆ
พระยากำแหงยิ้มรับ
"ฉันมาด้วยกิจส่วนตัว ไม่กล้ารบกวนคุณพระดอก" พลางเอาขวดเหล้ายื่นให้ขันทอง
"นี่เป็นเหล้าองุ่นจากเมืองฝาหรั่ง ฉันเอามาฝาก"
"เป็นพระคุณเจ้าค่ะ แต่ดีฉันไม่ดื่มสุรา"
พระยากำแหงนึกไม่ถึง
"อ้าว กระนั้นรึ ฉันไม่รู้มาก่อนเลย เอ่อ ถ้าเช่นนั้น คุณพระชอบกระไร บอกฉันมาได้เลย ฉันจะหามาให้"
"ไม่ต้องดอกเจ้าค่ะ เชิญท่านเจ้าคุณว่าธุระมาเถิด ถึงไม่มีของกำนัลอันใด ดีฉันก็เต็มใจรับใช้ท่านเจ้าคุณอยู่แล้ว"
พระยากำแหงอายๆ ไม่รู้จะเริ่มต้นยังไง "เอ่อ" เลยหันไปยิ้มให้ขันทองแทน
กำแหงหันไปคุยกับเยื้อน "เอ็งไปที่อื่นไป"
"เจ้าค่ะ"
เยื้อนคลานเข่าออกมา ก่อนจะลุกขึ้นเดินเลี่ยงไป
ขันทองมองพระยากำแหงนิ่ง ตกลงจะทำอะไรกันแน่
พระยากำแหงถอนใจหนักๆ ตัดใจพูด
"ฉันชอบพอแม่แมงเม่า บุตรสาวเศรษฐีมิ่ง คุณพระเป็นพ่อสื่อให้ฉันได้หรือไม่"
ขันทองตกใจมาก "ดีฉันหรือเจ้าคะ"
"ก็ต้องคุณพระซี ฉันเห็นมาหลายคราแล้ว แมงเม่าดูจะสนิทสนมกับคุณพระโขอยู่ ถ้าคุณพระช่วยพูด ต้องสำเร็จเป็นแน่"
ขันทองอึดอัดมาก แต่จะบอกว่าตนไม่ใช่ขันทีก็ไม่ได้
"เอ่อ เรื่องเช่นนี้ ท่านเจ้าคุณพูดกับเศรษฐีหรือแม่แมงเม่าเองก็ได้นี่เจ้าคะ ไม่เห็นต้องให้ดีฉันช่วยเลย"
" ด้านท่านเศรษฐีไม่กระไรดอก แต่แมงเม่าดูเฉยชากับฉันนัก ฉันดูออก ว่าแม่แมงเม่าไม่ได้มีใจให้ฉัน แต่ก็ไม่ได้รังเกียจกระไร คงเป็นเพราะเพิ่งอยู่ในวัยสาว ยังไม่ประสาเรื่องความรัก อ้ายครั้นฉันจะเกี้ยวก็ไม่ได้โอกาสเสียที คงต้องหวังพึ่งคุณพระแล้ว"
"แต่ดีฉัน..."
พระกำแหงพูดสวนขึ้น
"เป็นผู้อื่น ฉันไม่กล้าพูดดอกนะ พวกข้าหลวงที่สนิทกับแม่แมงเม่าก็พอมี แต่ฉันกลัวว่าจะปากมาก ส่วนผู้ชาย ไม่ต้องพูดถึง ใครฝากปลาย่างไว้กับแมวก็โง่เง่าเต็มทน เหลือแต่คุณพระนี่ล่ะ ที่ฉันพอจะหวังพึ่งได้"
ขันทองหน้าเสียหนักกว่าเดิม เพราะจริงๆตนเริ่มมีใจให้แมงเม่าบ้างแล้วแต่พูดไม่ได้
พระยากำแหงทำแบบนี้ทำให้ยิ่งอึดอัดหนักขึ้นแต่ก็ไม่มีทางเลือก "เอ่อ เจ้าค่ะ"
" ฉันนึกแล้ว ว่าคุณพระต้องเห็นใจฉัน เออ นอกจากเรื่องนี้แล้ว ยังมีเรื่องสงครามที่ต้องบอกกันไว้"
ขันทองสนใจขึ้นมา "ทำไมหรือเจ้าคะ"
กำแหงหน้าเครียด
"เปิดศึกเมื่อใด ฉันคงต้องกวดขันฝ่ายในหนักกว่าเดิม แลมีคำสั่งลงมา เห็นผู้ใดมีพิรุธให้จับกุมได้เลย ไม่ต้องรอหลักฐาน"
" ศึกนอกจะเป็นอย่างไร ยังไม่อาจรู้ได้ กลับมาสร้างศึกในเพิ่มขึ้นอีก ทำเช่นนี้ เท่ากับให้อยู่กันด้วยความหวาดระแวง แลเป็นช่องทางให้คนไม่ชอบกัน ทำร้ายกันเสียเปล่าๆ"
" ฉันก็ไม่เห็นด้วยดอก แต่เมื่อมีคำสั่ง ก็ต้องทำตาม"
ขันทองหน้าเครียดหนัก กับสถานการณ์ตอนนี้
ลูกศรบนแผนที่ แสดงการเคลื่อนกำลังทัพของอังวะเข้าโจมตีเมืองทวายและเชียงใหม่พร้อมกัน
"หลังจากรวบรวมกำลังพลได้ กองทัพของอังวะก็เคลื่อนกำลังเข้าโจมตีเมืองทวายและเมืองเชียงใหม่พร้อมกันตามแผนทันที ... โดยมีการต่อต้านเพียงเล็กน้อยจากเมืองทวาย ก่อนจะเสียเมือง ให้กับอังวะอย่างง่ายดาย สร้างความตกใจให้กับกรุงศรีอยุธยาเป็นอย่างมาก"
ลูกศร แสดงการเคลื่อนทัพจากกรุงศรีอยุธยา ขึ้นไปที่เชียงใหม่ แต่ลูกศรยังไปไม่ถึง
"กรุงศรีอยุธยาจึงได้เปลี่ยนใจ ส่งกองทัพไปช่วยเมืองเชียงใหม่ แต่กองทัพยังเดินทางไปไม่ถึง เมืองเชียงใหม่ก็เสียให้กับอังวะไปก่อน"
ซึ่งการเสียเมืองทั้งสองนี้เอง ได้กลายเป็นจุดเริ่มต้นของการเสียกรุงศรีอยุธยาในเวลาต่อมา
ผ่านมา 10 กว่าวัน
บรรยากาศภายในวังยามเช้า
พระยาตากกำลังเดินคุยกับขุนนางผู้ใหญ่คนหนึ่ง โดยมีหลวงพิชัยอาสา กับ พันหาญเดินตามหลัง ทุกคนมีสีหน้าเคร่งเครียด
" กระผมรู้มาว่า หลังจากอังวะยึดเชียงใหม่ได้ ก็แบ่งกำลังส่วนหนึ่งจากเชียงใหม่ไปตีล้านช้าง หาก “ล้านช้างร่มขาว” เสียแก่อังวะแล้วไซร้ อังวะคงมีกำลังแลเสบียงอาหารเพิ่มขึ้นอีกเป็นอันมาก แลหากอังวะยกมาตีระแหงแขวงเมืองตาก เมืองเล็กๆของกระผมคงไม่อาจต้านทานได้ จึงจำเป็นต้องเกณฑ์ทหารเพิ่ม ขอท่านเจ้าคุณได้โปรดเร่งนำเรื่องนี้ ไปให้กลาโหมพิจารณาด้วยเถิดขอรับ"
ขุนนาง 1บอก
"ฉันจะเร่งให้ก็แล้วกันนะท่านเจ้าคุณ แต่เมืองเล็กๆอย่างเมืองตาก พวกอังวะมันจะเอาไปทำกระไร ข้อนี้ ฉันยังสงสัยอยู่"
"แม้เมืองตากจะเล็ก แต่เป็นชัยภูมิสำคัญ หากจะเคลื่อนทัพจากเหนือลงสู่อโยธยา อย่างไรก็ต้องยึดไว้ขอรับ"
ขุนนาง 1ไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่ "เอาเถิดๆ ฉันจะจัดการให้ก็แล้วกัน"
ขุนนาง 1 เดินเลี่ยงไป แบบไม่สนใจนัก
หลวงพิชัยอาสาหน้าบึ้งตึงไม่พอใจ
"จนเสียเชียงใหม่ไปแล้ว ยังทำทองไม่รู้ร้อนอีก พวกผู้ดีกรุงศรีนี่อย่างไรกันนะ"
พันหาญเบะปากดูถูก
"ก็อย่างนี้ล่ะคุณหลวง ต้องรอจนอังวะล้อมกรุงเหมือนคราศึกพระเจ้าอลองพญา จึงจะสำนึกได้"
หลวงพิชัยอาสาบอก
"จะเกณฑ์ทหารเอง ก็เกรงถูกหาว่าเป็นกบฏ มิเช่นนั้น คงไม่ต้องพึ่งพาอ้ายพวกนี้ดอก"
พระยาตากถอนใจ
"ช่างเถิด เรามีหน้าที่ต้องทำตามกฎ หัวพันไปรอตามที่นัดไว้ก็แล้วกัน แล้วฉันจะตามไป"
"ขอรับ"
พระยาตากกับหลวงพิชัยเดินเลี่ยงไป ขณะที่พันหาญเดินไปอีกทาง
พันหาญกำลังเดินอยู่ที่มุมหนึ่งภายในวัง
ทันใดนั้นเอง ก็มีมือข้างหนึ่งมาจับบ่าพันหาญไว้
พันหาญตกใจ รีบพลิกตัวจับข้อมือคนที่มาจับบ่าตน แล้วบิดข้อมือคนๆนั้นทันที
ปรากฏว่าพันหาญกำลังบิดข้อมือแน่นอยู่ โดยมีขันทองยืนดูอยู่ใกล้ๆ
แน่นร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด
"โอ๊ยๆ แขน แขนจะหักแล้วน้า"
พันหาญตกใจ รีบปล่อยมือ
"อ้ายแน่น เล่นกระไรอย่างนี้วะ"
แล้วรีบดูไปรอบๆว่ามีคนอื่นมั้ย
แน่นจับมือตัวเองที่ถูกบิดจนเจ็บ
"ไม่ต้องดูดอกน้า พวกฉันเห็นว่าไม่มีใครแล้วจริงๆ ถึงได้ออกมาทักทายน้า แล้วมาทำกันอย่างนี้
เจ็บแทบตาย"
พันหาญถอนใจ โล่งอกที่ไม่มีใครเห็น
"ฉันกับอ้ายแน่น เห็นน้าพันหาญอยู่กับพระยาตาก เป็นมาอย่างไร ถึงได้ไปอยู่กับท่านได้"
"น้ากับพวก อาสาไปรบที่เชียงใหม่ แต่ยังไปไม่ถึงก็เสียเมืองเสียก่อน โชคดี เจอท่านเจ้าคุณเข้า ท่านชวนมาอยู่ด้วย พวกน้าก็เลยไปเป็นทหารอาสาที่เมืองตากกัน แต่เมืองตากเล็กนัก ท่านเจ้าคุณเกรงจะต้านศึกอังวะไม่ได้ จึงมาที่อโยธยาเพื่อขอเกณฑ์ทหารเพิ่ม น้าก็เลยติดสอยห้อยตามมาด้วย"
"น้าพันหาญกับพวกเราไปพึ่งใบบุญท่านเจ้าคุณ ฉันก็หมดห่วง แต่ฉันไม่สบายใจ ที่น้ากลับมาที่อโยธยาอีก เกรงจะปะกับคนของอ้ายพระยาพลเทพเข้า"
พันหาญยิ้มสะใจ
"ช้าไปแล้วพ่อขันทอง น้าเจอพวกมันแล้ว"
ขันทอง และแน่นตกใจ
" แล้วมันไม่ทำร้ายน้าหรือ เอ หรือน้าอยู่กับพระยาตาก พวกมันเลยไม่กล้า"
พันหาญยิ้มๆ
"ฉลาดเฉลียวขึ้นมากนี่อ้ายแน่น พวกมันไม่กล้าทำร้ายข้าโดยตรง แต่อ้ายพลเทพมันเชื้อเชิญท่านเจ้าคุณไปหามันที่เรือนแทน ซึ่งเพลานี้ ท่านเจ้าคุณก็กำลังไปตามคำเชื้อเชิญ"
ขันทองตกใจมากนึกไม่ถึง
"นี่พระยาตาก ไปหาอ้ายพลเทพถึงเรือนเชียวรึ"
ขันทองวิตกกังวล ไม่สบายใจ
อ่านต่อตอนที่ 10